อัจฉริยะสมองเพชร 2308-2311

ตอนที่ 2308 เหนือกว่าจางเซวียน?

 

ทุกคนคิดว่าสรวงสวรรค์คงแข็งแกร่งกว่ามิติเบื้องบนไม่มาก แต่แท้ที่จริง ช่องว่างระหว่างโลกทั้งสองใบนั้นห่างไกลจนเกินเอื้อมถึง


ด้วยความแข็งแกร่งทนทานของกฎเกณฑ์แห่งมิติที่นี่ พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าจางเซวียนจะฉีกกระชากปราการแห่งมิติเพื่อลงมามอบหยดเลือดให้พวกเขาได้อย่างไร


อีกฝ่ายจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


“ตอนที่ผมออกไปเมื่อครู่ก่อน ผมเจอกับนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาสำรวจพื้นที่” หลัวชวนฉิงพูด “เท่าที่จับความได้ ดูเหมือนระดับวรยุทธในสรวงสวรรค์จะแบ่งเป็นระดับเทพเจ้า เทพเจ้าสวรรค์สร้าง ราชันย์เทพเจ้า ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ และจอมราชันย์! หมอนั่นเพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์ได้เพียงเดือนเดียวนะ หากพิจารณาจากความเก่งกาจและความเร็วในการยกระดับวรยุทธของเขา ผมเชื่อว่าตอนนี้เขาคงเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง”


“ส่วนการที่เขาลงไปยังมิติเบื้องบนได้ ผมก็ยังสงสัยอยู่ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวให้พวกเราเห็น ผมเดาว่าเขาน่าจะส่งมอบหยดเลือดผ่านทางพิธีกรรม การทำแบบนั้นโดยใช้อำนาจของแท่นบูชาของตำหนักคว้าดาวคงไม่ยากเกินไปหรอก”


จากการแอบฟังบทสนทนาของบรรดานักรบที่เขาได้พบเมื่อครู่นี้ หลัวชวนฉิงพอเข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสรวงสวรรค์ และรู้ดีว่าสำหรับที่นี่ การยกระดับวรยุทธเป็นเรื่องยากแค่ไหน


“คือ…” หูเหยาเหย่าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “หมอนั่นน่ะถนัดนักเรื่องทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ฉันคิดว่าวรยุทธของเขาน่าจะสูงกว่านั้น…คงเป็นระดับเทพเจ้าขั้นสูงนะ ฉันคิดแบบนี้แหละ!”


“คุณกำลังบอกว่าวรยุทธของเขากระโจนพรวดไปถึง 2 ขั้นภายในเดือนเดียวหรือ?” หลัวชวนฉิงคำรามอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณเชื่อมั่นในตัวเขาเกินไปแล้วล่ะ!”


“การทำแบบนั้นเป็นเรื่องยากมากก็จริง แต่ฉันเชื่อว่าเขาทำได้” หยู่เฟยเอ๋อเสริมอย่างกระตือรือร้น


“ก็อาจเป็นได้…”


รู้ดีว่าเถียงกับ 2 สาวซึ่งเป็นแฟนตัวยงของจางเซวียนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ หลัวชวนฉิงยักไหล่ก่อนจะเงียบไป


ในตอนนั้น พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทั้งสามรีบพุ่งออกจากถ้ำ เห็นท้องฟ้าดารดาษด้วยหมู่เมฆสีแดง


“นั่นอะไร?”


“เป็นอำนาจบางอย่างของจอมราชันย์หรือเปล่า?”


“ผมรู้สึกเหมือนโลกกำลังให้การยอมรับใครสักคน ผมเคยรู้สึกแบบเดียวกันนี้เมื่อครั้งที่จางเซวียนได้การยอมรับให้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้หลังจากมาถึงสรวงสวรรค์ได้เพียงไม่นาน! เอาล่ะ! นับจากวันนี้ไป ผมจะให้เขาเป็นไอดอลของผม!” หลัวชวนฉิงประกาศกร้าวด้วยนัยน์ตาเร่าร้อน “ผมจะยึดถือเขาเป็นเป้าหมาย จะพัฒนาตัวเองต่อไปจนเหนือกว่าเจ้าหนุ่มจางเซวียนคนนั้นให้ได้!”


หลัวชวนฉิงพบจางเซวียนเป็นครั้งแรกที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ และทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน


แต่ด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับน้องสาวของหลัวชวนฉิง ลงท้ายความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเปลี่ยนไป แต่ในส่วนลึกของหัวใจ เขายังเห็นอีกฝ่ายเป็นทั้งสหายและคู่แข่ง


เพียงแต่วรยุทธของหมอนั่นพัฒนารวดเร็วเหลือเกิน ฝ่าด่านวรยุทธได้เร็วจนน่าสะพรึง ทิ้งตำนานอันแสนเหลือเชื่อเอาไว้มากมาย


หลัวชวนฉิงเคยคิดว่าเขาคงไม่มีวันตามจางเซวียนทัน แต่ใครจะไปรู้ว่าความต่างของกระแสกาลเวลาระหว่างทวีปแห่งปรมาจารย์กับโลกที่อยู่สูงกว่าจะห่างกันขนาดนี้?


ด้วยสิ่งนี้ เขายังพอมีโอกาส!


ในเวลานี้ จางเซวียนล้ำหน้าเขาไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ขอแค่เขาหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนัก ก็น่าจะตามอีกฝ่ายทัน และไม่ช้า คงได้ซ้อมหมอนั่นให้น่วม


“เหนือกว่าจางเซวียน?”


ได้ยินเสียงพึมพำของหลัวชวนฉิง หูเหยาเหย่ากับหยู่เฟยเอ๋อสบตากันก่อนจะส่ายหน้า “ช่างเถอะ เอาที่คุณสบายใจก็แล้วกัน…”


ในฐานะประจักษ์พยานในการสร้างตำนานของจางเซวียน พวกเธอไม่คิดว่าหลัวชวนฉิงจะมีโอกาส แต่ก็นั่นแหละ ถ้าตอนนี้จางเซวียนเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงจริงๆ พวกเธอก็อาจตามทัน หรืออาจพัฒนาไปพร้อมๆกับเขาก็ได้


ความคิดนี้ทำให้ทุกคนมีกำลังใจขึ้นมา


“สวยงามอะไรอย่างนี้ ฉันเชื่อว่าผู้ที่ได้การยอมรับจากโลกจะต้องเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แน่…”


สองสาวรำพึงขณะจับจ้องท้องฟ้าที่ดารดาษด้วยหมู่เมฆสีแดง


…..


จางเซวียนไม่แยแสสายตาตกตะลึงของเหล่าจอมราชันย์ เขาหลับตาขณะสำรวจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกาย


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ขั้นต้น!


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ขั้นกลาง!


…..


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ขั้นสูงสุด!


เพียงไม่ถึง 1 นาที ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็พุ่งจากเทพเจ้าขั้นสูงสุดไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุด


แต่มันไม่หยุดแค่นั้น วรยุทธของจิตวิญญาณของเขายังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไป


การได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลกเกินพอที่จะทำให้จางเซวียนยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้หลายขั้น สิ่งนี้น่าสะพรึงยิ่งกว่ากระแสจิตปรารถนาเสียอีก


แต่นั่นแหละ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เราจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์ จางเซวียนคิดขณะพยายามกดข่มระดับวรยุทธของจิตวิญญาณที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ


ตำแหน่งราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าคือการได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากทั้ง 9 น่านฟ้าพร้อมๆกัน ทำให้มีพละกำลังมากกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั่วไป อันที่จริง พละกำลังระดับนี้น่าจะเพียงพอให้เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์แล้ว แต่น่าเสียดายที่กายเนื้อกับพลังปราณยังอ่อนด้อยอยู่


หากเขาฝ่าด่านวรยุทธตอนนี้ ก็จะนำพาการทดสอบจอมราชันย์จากสรวงสวรรค์เข้ามา ซึ่งเขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับการทดสอบวรยุทธระดับนั้น เพราะแน่นอนว่าคงถูกเล่นงานจนย่ำแย่


ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น เขาก็จะเป็นจอมราชันย์คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ตายเพราะการทดสอบวรยุทธหลังจากที่เพิ่งฝ่าด่านวรยุทธได้ไม่นาน


มันจะน่าอับอายขนาดไหน?


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงตั้งใจกดข่มการเติบโตของระดับของวรยุทธของจิตวิญญาณเอาไว้ก่อน


ถึงอย่างไรเขาก็ทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธขั้นจอมราชันย์ที่จำเป็นต่อการฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว ยกระดับกายเนื้อและพลังปราณเสียก่อนแล้วค่อยฝ่าด่านวรยุทธก็ยังไม่สาย


“เป็นการตัดสินใจที่ดี…” หลัวลั่วชิงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นจางเซวียนยังคงมีสติแม้ต้องเผชิญหน้ากับความเย้ายวนขนาดนั้น


หลักการของวรยุทธไม่ใช่การฝ่าด่านวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือการสร้างรากฐานอันแข็งแกร่ง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น นักรบจะสำแดงพละกำลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้หลังจากฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว


ชายที่เธอรักช่างเป็นคนเด็ดเดี่ยวและตั้งใจแน่วแน่เสียจริง!


หลังจากรักษาความเสถียรของระดับพลังงานในร่างกายได้แล้ว จางเซวียนระบายลมหายใจยาวก่อนจะหันมามองสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ


“ผมตั้งใจจะหาหนทางหลีกเลี่ยงสงครามสวรรค์ให้ได้ คุณจะอยู่กับผม หรือว่า…”


กว่าเขาจะได้กลับมาพบเธออีกครั้งก็ไม่ง่าย จึงไม่อยากแยกจากเธอให้เร็วนัก แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะพบวิธีแก้ไข การอยู่เคียงข้างกันอาจนำไปสู่ความเจ็บปวดแสนสาหัสกว่าเดิมในอนาคต ซึ่งจางเซวียนก็ไม่อยากบีบบังคับหลัวลั่วชิงเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของเขา


“ฉันต้องกลับน่านฟ้าเสรีสักระยะหนึ่งเพื่อสะสางธุระ เสร็จแล้วจะตามไปสมทบกับคุณ!” หลัวลั่วชิงตอบ


มีบางอย่างที่เธอต้องไปจัดการเสียก่อน


“ได้ ผมจะรอคุณ” จางเซวียนพยักหน้า จากนั้นก็ร้องเรียกไก่น้อย “ไปกันเถอะ!”


“ได้สิ” ไก่น้อยตอบรับ


จางเซวียนโบกมือ แล้วทั้งคู่ก็หายวับไป


หลัวลั่วชิงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกจากตรงนั้น


จอมราชันย์คนอื่นๆต่างพากันแยกย้าย


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้พวกเขาออกจะเสียขวัญอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ได้เห็นกับตา หรือจอมราชันย์คนใหม่ที่กำลังจะถือกำเนิด ดูเหมือนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเข้าใกล้สรวงสวรรค์แล้ว


และสิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลยิ่งกว่าก็คือจอมราชันย์ที่กำลังจะถือกำเนิดนั้นมีพละกำลังมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้ยังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธ จอมราชันย์หลินชีก็เป็นคนรักของเขา แถมมีจอมราชันย์อมตะเป็นอสูรของเขาด้วย


พวกเขาจะรับมือกับบุคคลที่มีพละกำลังล้นเหลือขนาดนี้ได้อย่างไร?


…..


จางเซวียนกลับสู่ภูเขาที่ปรมาจารย์ขงกับเหล่าศิษย์สายตรงพำนักอยู่


“ปรมาจารย์จาง!”


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับคนอื่นๆรีบเข้ามารวมตัวกัน


“ปรมาจารย์ขง เขา…” จางเซวียนตั้งต้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


“ไม่เป็นไร พวกเรารู้แล้ว” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เมื่อครู่นี้ ตอนที่รูปปั้นของท่านอาจารย์แตกเป็นเสี่ยงๆ พวกเราก็รู้ทันทีว่าจิตวิญญาณของเขาดับสูญไป…”


“ผมเสียใจด้วย”


จางเซวียนรู้ดีว่าปรมาจารย์ขงกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขามีความสัมพันธ์แนบแน่นขนาดไหน หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายปี ความผูกพันที่ทุกคนมีให้กันก็ล้ำลึกยิ่งกว่าความเป็นเครือญาติ


“ไม่มีอะไรต้องเสียใจหรอก ท่านอาจารย์ไม่จากพวกเราไปแบบนั้นแน่” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด


จางเซวียนออกจะประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “ผมเห็นจิตวิญญาณของเขาดับสูญด้วยตาของผมเองเลยนะ เกรงว่าความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมาคงมีน้อยมาก…”


นักรบที่สูญเสียกายเนื้ออาจหากายเนื้อร่างใหม่ให้เป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณของพวกเขาได้ แต่หากจิตวิญญาณดับสูญ ย่อมหมายถึงจุดจบอย่างแท้จริง


แต่นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับคนอื่นๆยังคงมีความหวังว่าปรมาจารย์ขงอาจกลับมาด้วยวิธีใดสักอย่าง


“ในสรวงสวรรค์ ความตายไม่ได้หมายถึงจุดจบเสมอไป สระบาดาลของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนมีอำนาจฟื้นฟูพลังงานให้จิตวิญญาณที่ดับสูญไปแล้วไม่ใช่หรือ? อย่างจอมราชันย์อมตะที่เสียชีวิตไปเนิ่นนานหลายสิบปีแล้วก็ยังฟื้นคืนชีพได้ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือไง?” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด


“คือ…” จางเซวียนตัวสั่นเล็กน้อย


จริงด้วย!


สระบาดาลมีความสามารถในการฟื้นคืนชีพวิญญาณที่เคยเสื่อมสลายโดยใช้กระแสจิตปรารถนา และจอมราชันย์อมตะก็ฟื้นคืนชีพจากความตายได้ สำหรับคนอย่างปรมาจารย์ขงที่เก่งกาจจนไม่มีใครเทียบ เขาจะไม่เตรียมแผนสำรองใดๆไว้เชียวหรือ?


ปรมาจารย์ขงจะต้องหาวิธีฟื้นคืนชีพไว้แล้วแน่ๆ!


เพียงแต่…


“ต่อให้เขากลับมา แล้วเขาจะยังเป็นคนเดิมหรือเปล่า?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย


จอมราชันย์อมตะฟื้นคืนจากความตายก็จริง แต่ลงท้ายก็กลายเป็นไก่น้อยตัวหนึ่ง ต่อให้ทั้งคู่มีความทรงจำเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่คนคนเดียวกันแล้ว


สระบาดาลก็ไม่ต่างกัน


ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจิตวิญญาณที่หวนคืนกลับมาใหม่จะมีสติสัมปชัญญะและจิตใต้สำนึกเหมือนจิตวิญญาณดวงเดิม


“เขาจะเป็นคนเดิม” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบหนักแน่น


“คุณแน่ใจได้อย่างไร?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


เห็นได้ชัดว่านักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจะต้องรู้อะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่แสดงทีท่าแบบนี้

 

 

 


ตอนที่ 2309 เรื่องแบบนี้มีจริงหรือ?

 

“จอมราชันย์ คุณสร้างปราการปิดกั้นรอบบ้านหลังนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เจตจำนงสวรรค์เข้ามาแอบฟังได้ไหม?” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนร้องขอ


“ได้สิ!” ไก่น้อยพยักหน้า


มันโบกมือและใช้พละกำลังสร้างปราการปิดกั้นไว้รอบบ้าน แยกพื้นที่นี้ออกจากส่วนอื่นของโลก


จากนั้น นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนก็หันมามองจางเซวียน


จางเซวียนเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย เขาพยักหน้า “ผมจะพยายาม”


ลำพังแค่ปิดกั้นบ้านหลังนี้จากสรวงสวรรค์ย่อมไม่เพียงพอ เพราะจางเซวียนมีเศษเสี้ยวสวรรค์อยู่กับตัว ที่ไหนก็ตามที่มีหอสมุดเทียบฟ้า สวรรค์ก็ย่อมเข้าถึงได้


เรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันจากการที่สวรรค์เล่นงานสมาคมผู้หยั่งรู้ได้แม้คนที่นั่นจะวางมาตรการต่างๆไว้มากมาย


จางเซวียนรวบรวมพลังจิตวิญญาณและใช้มันห่อหุ้มหอสมุดเทียบฟ้า ปิดกั้นมันไว้


หากเป็นเมื่อก่อน เรื่องแบบนี้อาจเป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธระดับจอมราชันย์แล้ว ก็อยู่ในวิสัยที่ทำได้ไม่ยาก


“เอาล่ะ เรียบร้อย” จางเซวียนพูด


เมื่อเห็นทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจับจ้องจางเซวียนก่อนจะตั้งคำถาม “ปรมาจารย์จาง คุณเคยได้ยินไหมว่าท่านอาจารย์ของพวกเราฝึกฝนเทคนิคที่เรียกว่า…การบั่นทอนสามร่าง?”


จางเซวียนส่ายหัว “ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นเลย”


“คุณไม่เคยได้ยินเรื่องนั้น?” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนออกจะประหลาดใจกับคำตอบ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามต่อ “ปรมาจารย์จาง ในมิติเบื้องบน, คุณได้พบกับตัวโคลนของท่านอาจารย์ของเราใช่ไหม? แล้วรู้หรือเปล่าว่าความแตกต่างระหว่างท่านอาจารย์กับตัวโคลนของเขาคืออะไร?”


“ความแตกต่าง?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “บอกตามตรงนะ ผมแยกไม่ออกตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือจิตวิญญาณ คงต้องบอกว่าความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดระหว่างทั้งคู่คือนิสัยใจคอ…”


การที่เขาถูกตัวโคลนของปรมาจารย์ขงล่อลวงในครั้งนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผล


ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพยายามฆ่าเขา จางเซวียนก็คงหลงกลกับการตบตาของหมอนั่นไปแล้ว


“มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิ่งแปดเปื้อนภายใน พวกเขาผ่านการเกิดแก่เจ็บตายและความทุกข์ทรมานต่างๆนานา สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความปรารถนา ความอิจฉาริษยา ตัณหา ความโลภ และอารมณ์ต่างๆที่เข้าเกาะกุมจิตใจ ทำให้พวกเขาถูกผสมปนเปไปกับสิ่งเหล่านั้น” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้า


ไม่มีมนุษย์คนไหนไร้ความปรารถนา แม้นักบุญที่มีความเห็นแก่ตัวน้อยที่สุดก็ยังพบว่าการกำจัดความปรารถนาของพวกเขาเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก


จางเซวียนเองก็มีความปรารถนามากมาย เขาโหยหาความรักและอยากเป็นที่รัก อยากได้รับความเข้าอกเข้าใจ อยากกินอาหารอร่อย และอยากเป็นนักรบที่เข้มแข็ง…


สิ่งเหล่านั้นคือความปรารถนาอันทรงพลังที่ขับเคลื่อนเขา


“การบั่นทอนสามร่างคือเทคนิคที่ใช้ตัดทอนสิ่งแปดเปื้อนและเจตจำนงอธรรมที่ไม่จำเป็นของแต่ละคนออกไป คืนความบริสุทธิ์ให้จิตใจและร่างกายของผู้นั้น” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบ


จางเซวียนตัวแข็งเมื่อได้ฟัง


เรื่องแบบนี้มีจริงหรือ?


ถ้าเป็นความจริง ก็ถือว่าเทคนิคนี้ไร้เทียมทานในระดับที่เรียกว่าแสนจะน่าสะพรึง!


“พวกเราก็ฝึกฝนเทคนิคนี้เช่นกันเมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เราใช้เทคนิคบั่นทอนสามร่างเพื่อปิดกั้นเส้นทางระหว่างมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ไว้” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูดต่อ


“ผมเข้าใจแล้ว! เป็นร่างของพวกคุณนี่เอง…” จางเซวียนพยักหน้า


เขาเคยสงสัยว่าทำไมนักปราชญ์โบราณเหล่านี้จึงยังอยู่ที่นี่ทั้งที่เขาได้เห็นศพของคนเหล่านั้นในทวีปแห่งปรมาจารย์ กลับกลายเป็นว่า…มันคือผลข้างเคียงของเทคนิคที่พวกเขาฝึกฝนนี่เอง!


ร่างที่ถูกตัดออกมาจะไม่แตกต่างอะไรกับร่างต้นแบบ ถึงขนาดที่เรียกว่าแทบแยกไม่ออก


มันเหมือนกันถึงขนาดที่ตบตาได้แม้แต่สวรรค์!


“ใช่ เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ท่านอาจารย์ของเราบั่นทอนร่างธรรมะ แล้วหลอมมันให้กลายเป็นมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ในมิติเบื้องบน…เขาบั่นทอนร่างอธรรมและกักขังมันไว้ในหอนิรันดร์ ซึ่งก็กลายเป็นตัวโคลนที่คุณได้พบ และถ้าผมเข้าใจไม่ผิด…เขายืมมือจอมราชันย์หลินชีเพื่อบั่นทอนร่างอัตตาของเขา” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย


“ร่างธรรมะ, ร่างอธรรม และร่างอัตตา?”


“มีแต่การขจัดแนวคิดเรื่องความดีความชั่วออกไปและก้าวข้ามตัวตนของตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้อยู่เหนือการผสมผสานกันของสิ่งแปดเปื้อนภายในได้” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย “ท่านอาจารย์ของพวกเราถือกำเนิดมาพร้อมเศษเสี้ยวสวรรค์ ซึ่งทุกครั้งที่เขาใช้มัน พลังงานสีเทาเสี้ยวหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ในร่างของเขา พลังงานสีเทานี้จะหลอมรวมเข้ากับร่างกายและจิตวิญญาณ ทำให้ไม่อาจกำจัดมันได้ ท่านอาจารย์จึงคิดค้นเทคนิคบั่นทอนสามร่างขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยตัวเขาให้พ้นจากพลังงานสีเทาและได้พบกับอิสระที่แท้จริง!”


“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า


นั่นอธิบายได้เลยว่าทำไมปรมาจารย์ขงถึงยังสุขุมเยือกเย็นตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการที่เขาวางไว้


ด้วยการใช้พละกำลังของหลัวลั่วชิงมาบั่นทอนร่างอัตตาของเขา ปรมาจารย์ขงจะสามารถละทิ้งทุกอย่างที่เคยยึดถือไว้ได้ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือเขาจะเป็นอิสระจากชะตากรรมที่สวรรค์ขีดไว้ ทำให้พบกับความหลุดพ้นอย่างแท้จริง


สมกับที่เป็นครูบาอาจารย์ของโลก การกระทำทุกอย่างของเขาล้วนเฉียบขาดและจัดการทุกสิ่งได้อยู่หมัด


จางเซวียนสำรวจร่างกายของเขาและพบว่าพลังงานสีเทาที่อยู่ในนั้นเพิ่มปริมาณขึ้นเล็กน้อย มันฝังลึกอยู่ในกายเนื้อและจิตวิญญาณ ทำให้ไม่อาจกำจัดมันได้


แม้มีเวทนาสวรรค์ จางเซวียนก็ทำอะไรพลังงานสีเทาที่อยู่ในตัวเขาไม่ได้เลย


“ในการจะสำเร็จเทคนิคบั่นทอนสามร่าง ผู้นั้นจะต้องตบตาสวรรค์ให้ได้ก่อน ด้วยเหตุนี้ นอกจากท่านอาจารย์และพวกเราไม่กี่คน ก็ไม่มีใครรู้จักเทคนิคนี้ ท่านอาจารย์ไม่เคยถ่ายทอดมันให้คนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่เทคนิคนี้ถูกใช้ สวรรค์จะแก้ไขข้อบกพร่องของมันโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่อาจใช้ได้เป็นครั้งที่สอง น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ท่านอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดให้คุณ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้า


ในฐานะผู้ครอบครองเศษเสี้ยวสวรรค์ เขาพอเข้าใจ


เพื่อให้เป็นอิสระจากพันธนาการสวรรค์ ผู้นั้นจะต้องเรียนรู้วิธีตบตาสวรรค์ให้ได้เสียก่อน


ในท้ายที่สุด จางเซวียนคงหาวิธีปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการสวรรค์ได้เช่นกัน แต่คงใช้วิธีของปรมาจารย์ขงไม่ได้


เพราะถึงอย่างไร หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับปรมาจารย์ขง สวรรค์จะต้องระแวดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งที่สอง หากเขาดันทุรังทำไป ก็อาจลงเอยด้วยการถูกสวรรค์ขัดขวาง


“ปรมาจารย์จาง ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ของเราได้เล่าเรื่องของคุณให้พวกเราฟังแล้ว เขาบอกว่าคุณก็ไม่ต่างจากเขา คือต้องหาวิธีหลุดพ้นจากสวรรค์ให้ได้เช่นกัน แม้จะเป็นคนละเส้นทางกับที่เขาเลือก แต่ก็ดูเหมือนทั้งท่านอาจารย์และจอมราชันย์หลินชีได้แผ้วทางเส้นทางไว้ให้คุณแล้ว” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด


“แผ้วถางเส้นทางให้ผม?” จางเซวียนประหลาดใจ


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฟังเรื่องแบบนี้


“ท่านอาจารย์ไม่ได้บอกพวกเราว่าจอมราชันย์หลินชีมีแผนการอย่างไร แต่ผมพอรู้สิ่งที่ท่านอาจารย์ตั้งใจทิ้งไว้ให้คุณ อันดับแรก, จอมราชันย์อมตะคือสิ่งหนึ่งที่เขาเตรียมไว้ให้คุณโดยเฉพาะ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด


“ฮะ…” จางเซวียนถึงกับชะงัก


เขาเองก็เคยใคร่ครวญเรื่องนี้ ถ้าไก่น้อยถูกส่งมายังทวีปแห่งปรมาจารย์พร้อมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นหลังจากที่มันเสียชีวิต มันก็น่าจะยังอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจแทนที่จะอยู่ในสันเขาของทวีปแห่งปรมาจารย์


ซึ่งก็ดูเหมือนเขาจะคิดถูก มันคือการกระทำด้วยความตั้งใจของปรมาจารย์ขง แต่เขาไม่รู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายจงใจจัดเตรียมไว้ให้


เมื่อคิดดูให้ดี คุณสมบัติเฉพาะของไก่น้อยก็คือความสามารถในการฟื้นคืนชีพจากความตาย ซึ่งหลังจากที่จางเซวียนได้ซึมซับเลือดของไก่น้อยที่ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง เขาก็ได้เศษเสี้ยวหนึ่งของความสามารถในการฟื้นคืนชีพมาเช่นกัน


ถ้าเขาต้องเสียชีวิตด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป


เพียงแต่…


ฟื้นคืนชีพแล้ว…จะเป็นอย่างไรต่อ?


มีความเป็นไปได้สูงที่จิตใต้สำนึกอีกดวงหนึ่งจะเกิดขึ้นในตัวเขา และเขาจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนเดิม


ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่ตัวโคลนที่เกิดจากจิตวิญญาณดวงเดียวกับเขาก็ยังมีนิสัยปากกล้าคุยโว แตกต่างราวฟ้ากับเหวกับตัวเขาที่สมถะและนอบน้อมถ่อมตัว


พูดอีกอย่างก็คือ เพียงเพราะคน 2 คนถือกำเนิดจากจิตวิญญาณดวงเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่จะเหมือนกันเป๊ะในทุกด้าน จิตใต้สำนึกอาจแตกต่างกันได้มากมายจนกลายเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว


สิ่งที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้อาจเป็นเครื่องรับประกันได้ว่าเขาจะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาสติสัมปชัญญะและจิตใต้สำนึกเดิมไว้ได้หรือเปล่า


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วสิ่งที่หลัวลั่วชิงเตรียมไว้ให้เขาคืออะไร?


จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดหนัก


2 สิ่งปรากฏขึ้นในหัวสมองของเขา


อย่างแรกคือเครื่องรางแห่งการปลอมตัว ที่ทำให้ปรับเปลี่ยนได้แม้แต่สายเลือด


มันคือของล้ำค่าที่มีอานุภาพไร้เทียมทานกว่าที่เขาคิดไว้มาก ตบตาได้แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แต่มันก็ดูจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสวรรค์เลย


ถ้าอย่างนั้น จี้สีแดงก่ำล่ะ?


มีเลือดหยดหนึ่งอยู่ภายในจี้ ซึ่งมีพละกำลังและอำนาจที่แม้แต่เขาก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้


จี้อันนี้ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามันมีอานุภาพเรียกคืนความสงบสุขุมกลับสู่จิตใต้สำนึกของเขาได้เมื่อหัวสมองของเขาเกิดความยุ่งเหยิงปั่นป่วน


ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นก็คือเมื่อจางเซวียนรู้ว่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิดไว้หลังจากเข้าสู่มิติเบื้องบน เรื่องนั้นเกือบทำให้วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก แต่จี้อันนี้ช่วยระงับความสับสนปั่นป่วนในหัวสมองของเขา


ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อจางเซวียนเกิดความแคลงใจในเวทนาสวรรค์ ซึ่งก็เพิ่งไม่นานมานี้


จี้อันนี้ช่วยปลุกสติสัมปชัญญะของเขาเอาไว้ถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาคับขัน ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่ามันจะช่วยเรียกคืนจิตใต้สำนึกและสติสัมปชัญญะเดิมของเขากลับมาได้เมื่อเขาฟื้นจากความตาย?


แต่นั่นก็ดูไม่สมเหตุสมผล


เพราะหลัวลั่วชิงคือผู้มอบจี้อันนี้ให้เขา ซึ่งถ้าเธอรู้ความจริงข้อนี้ จะยังต้องกังวลอะไร?


ถ้าเขากับเธอสามารถเอาชีวิตรอดจากสงครามสวรรค์ได้ด้วยสิ่งนี้ ทุกอย่างก็ย่อมดี…ไม่ใช่หรือ?

 

 

 


ตอนที่ 2310 ต้นกำเนิดของ “อาจารย์”

 

“เราคงต้องถามเธอ…” จางเซวียนส่ายหน้า


ดูเผินๆ ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ก็ไม่น่าจะใช่ใครอื่นนอกจากหลัวลั่วชิง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จางเซวียนรู้สึกว่าเขากับเธอถูกผลักด้วยมือที่มองไม่เห็น ทำให้ทั้งคู่จมดิ่งลงสู่วังวนของความรุ่มร้อน


“พอจะเป็นไปได้ไหมหากคุณจะถ่ายทอดเทคนิคบั่นทอนสามร่างให้ผม?” จางเซวียนถาม


ไม่ว่าเขาจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการสวรรค์ได้หรือไม่ เทคนิคนี้ก็จะทำให้เขามีชีวิตเพิ่มถึง 3 ชีวิตและปกป้องตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม


อีกอย่าง เขาจะได้แยกร่างธรรมะ ร่างอธรรม กับร่างอัตตาออกจากกัน ซึ่งนั่นจะทำให้การฝึกฝนวรยุทธในอนาคตทำได้ง่ายขึ้นอีกมาก


“ในการล่อลวงสวรรค์ เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะต้องไม่เก็บรักษาความทรงจำในสมองเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้น สวรรค์ก็ย่อมเข้ามาสังเกตการณ์ได้ พวกเราศึกษาและฝึกฝนเทคนิคนั้นท่ามกลางคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติขณะที่เราออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ และหลังจากเสร็จสิ้นการเรียนรู้ ก็ลบมันออกจากความทรงจำ แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังไม่เก็บรักษามันไว้ในหัวสมองของเขา ดังนั้น…ผมเกรงว่าพวกเราจะไม่มีเทคนิคนั้นอยู่กับตัว” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบพร้อมกับยิ้มแหยๆ


ได้ยินคำตอบนั้น จางเซวียนส่ายหน้าขณะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่แล้วก็พลันคิดอะไรได้บางอย่าง จึงถามต่อ “ปรมาจารย์ขงเป็นผู้คิดค้นเทคนิคนี้ใช่ไหม? แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าจะมีใครอื่นมาแข่งขันกับเขาเรื่องเศษเสี้ยวสวรรค์ ใช่หรือเปล่า?”


นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้จางเซวียนสงสัย


แม้เมื่อตอนที่เขาออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์มาแล้ว ก็ยังแทบไม่รู้อะไรเลยเรื่องเศษเสี้ยวสวรรค์และสงครามสวรรค์ เขายังคงไว้ใจและพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าตลอดมา


ทุกอย่างน่าจะปะติดปะต่อเข้าด้วยกันหลังจากที่พวกเขามาถึงสรวงสวรรค์แล้ว และสงครามสวรรค์ก็ปะทุขึ้น แต่มันไม่ดูประหลาดไปหน่อยหรือที่ปรมาจารย์ขงเตรียมการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขายังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


หรือลิขิตสวรรค์มอบอำนาจของการหยั่งรู้อนาคตให้เขา?


“ถึงท่านอาจารย์ของพวกเราจะฉลาดปราดเปรื่อง แต่ก็ไม่ได้รู้ไปเสียทุกอย่าง เขารู้เรื่องนี้ก็เพราะคำชี้แนะของใครคนหนึ่ง” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด


จางเซวียนพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร


ความสำเร็จของปรมาจารย์ขงที่ปรากฏในทวีปแห่งปรมาจารย์นั้นพิเศษมากจนกระทั่งไม่มีใครเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะทำได้ขนาดนี้ด้วยน้ำมือของตัวเอง


มันดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง


มนุษย์ทุกคนย่อมต้องแสวงหาความรู้จากบางคนหรือบางสิ่งทั้งนั้น


ต่อให้ผู้ปราดเปรื่องอย่างปรมาจารย์ขงก็ยังต้องการคำชี้แนะจากผู้อื่นเพื่อการฝึกฝนวรยุทธ


ก็เหมือนกับตัวเขาที่แม้จะมีหอสมุดเทียบฟ้า แต่ก็ยังต้องการคำชี้แนะของปรมาจารย์ขงอยู่เนืองๆเพื่อหาเส้นทางที่ถูกต้อง


“อาจารย์ปู่เป็นผู้ถ่ายทอดเทคนิคนั้นให้พวกเรา” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเสริม


“อาจารย์ปู่?” จางเซวียนถึงกับงง


เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าปรมาจารย์ขงก็มีอาจารย์


“เมื่อนานแสนนานมาแล้วในทวีปแห่งปรมาจารย์ พวกเราเรียกขานผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นๆด้วยความเคารพว่า ‘ปรมาจารย์’” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย “แต่เมื่ออาจารย์ปู่ของพวกเราปรากฏตัว พวกเราก็เริ่มเรียกขานผู้ที่ให้คำชี้แนะกับคนอื่นๆว่า ‘อาจารย์’!”


“….” จางเซวียนงุนงงอย่างหนัก


ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจสิ่งที่นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด?


“ก็เหมือนกับการที่ใครต่อใครเรียกคุณว่าปรมาจารย์จางนั่นแหละ เหมือนการที่คุณเรียกขานท่านอาจารย์ของเราว่าปรมาจารย์ขง โดยทั่วไป…เราใช้แซ่บวกกับคำว่า ‘ปรมาจารย์’ เพื่อเรียกขานด้วยความเคารพ ส่วนคำว่า ‘อาจารย์’ เป็นคำที่ท่านอาจารย์ของเราใช้เรียกท่านอาจารย์ของเขาตั้งแต่แรก ซึ่งลงท้าย พวกเราที่เหลือก็ใช้คำนั้นเช่นกัน สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย


จางเซวียนถามต่อด้วยความสงสัย “ถ้าอาจารย์ปู่ของคุณเก่งกาจถึงขนาดถ่ายทอดเทคนิคที่แสนจะไร้เทียมทานให้ปรมาจารย์ขงได้ ตัวเขาก็ต้องไร้เทียมทานเช่นกัน ถูกไหม? แต่ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขาเลย?


จางเซวียนรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ แถมยังมีไอ้โหดซึ่งเป็นตำนานของยุคโบร่ำโบราณอยู่กับตัว แต่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อของอาจารย์ปู่ผู้ไร้เทียมทานคนนี้มาก่อน


“จากที่ท่านอาจารย์ของเราเล่าให้ฟัง อาจารย์ปู่พำนักอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะจากไปโดยขี่วัวสีเขียวตัวหนึ่ง ท่านอาจารย์ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นอาจารย์ปู่ไปไหน และพวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน…”


“เข้าใจแล้ว…”


ดูเหมือนเขาคงทำได้แค่ซักถามเรื่องนี้กับปรมาจารย์ขงหลังจากที่อีกฝ่ายฟื้นคืนชีพ


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็มองฝูงชนที่อยู่ตรงหน้า “ว่าแต่พวกคุณมียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดหรือสมุนไพรชนิดอื่นๆที่ผมจะใช้ยกระดับวรยุทธได้บ้างไหม?”


วรยุทธของจิตวิญญาณของเขาเข้าถึงระดับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุดแล้ว แต่วรยุทธของกายเนื้อกับพลังปราณยังคงอ่อนด้อย


จางเซวียนวางแผนไว้แล้วว่าจะทำอย่างไรกับกายเนื้อของเขา ด้วยการฟื้นคืนชีพของจอมราชันย์อมตะ เขาจะสามารถเข้าใช้แอ่งลาวาอมตะเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อได้


ส่วนวรยุทธของพลังปราณ เขาทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธขั้นจอมราชันย์ได้แล้ว สิ่งเดียวที่ยังขาดอยู่คือยาเม็ดและสมุนไพรที่ใช้สำหรับขัดเกลาพลังปราณ


ขอแค่มีพลังจิตวิญญาณมากพอ ก็จะสามารถยกระดับวรยุทธของพลังปราณไปถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด หรืออาจฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์ได้เลยทีเดียว!


แต่ปัญหาก็คือยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดนั้นหายากมาก ขนาดนักปรุงยาผู้เก่งกาจอย่างฟู่เจียงเฉินก็ยังมีเก็บไว้เพียงไม่กี่เม็ด แต่จางเซวียนก็คิดว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปรมาจารย์ขงคงสะสมยาเหล่านี้ไว้มากพอให้เขานำมาใช้


“ก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์ของเราหลอมยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดไว้หลายเม็ด พวกเรากินยาเหล่านั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อยกระดับวรยุทธ ผมคิดว่าตอนนี้คงยังเหลืออยู่สักสองสามร้อยเม็ด ผมจะนำมาให้คุณนะ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูดยิ้มๆก่อนจะเดินออกจากห้อง


“สองสามร้อยเม็ด?” จางเซวียนอ้าปากค้าง


สมกับเป็นปรมาจารย์ขง ช่างร่ำรวยมั่งคั่งเสียจริงๆ


ครู่ต่อมา นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนก็กลับมาพร้อมกระสอบใบหนึ่ง เขาโยนมันให้จางเซวียน “ยาพวกนั้นน่าจะอยู่ในนี้แหละ”


จางเซวียนเปิดปากกระสอบ มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าจำนวนมากอยู่ในนั้นจริงๆ รวมแล้วก็น่าจะสองสามร้อยเม็ด


“พวกคุณ…เก็บยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ากันแบบนี้หรือ?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


นักรบแทบทุกคนในสรวงสวรรค์เก็บยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าของพวกเขาไว้ในกล่องหยกหรือขวดหยกเพื่อรักษาไว้อย่างดี แต่นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับพรรคพวกกลับทิ้งขว้างมันไว้ในกระสอบราวกับเป็นขยะ


จางเซวียนอดสงสัยไม่ได้ว่ายาเม็ดที่อยู่ข้างในเป็นของจริงหรือเปล่า


เขาหยิบออกมาเม็ดหนึ่งและกลืนลงไป


ฟิ้วววววว!


กระแสพลังจิตวิญญาณระเบิดออกและพวยพุ่งเข้าสู่ทางเดินพลังปราณของเขา จางเซวียนรีบหยิบเม็ดที่ 2 และเม็ดที่ 3 ใส่ปากโดยไม่ลังเล…


“นั่นคือ…วิธีกินยาของคุณหรือ?” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอ้าปากค้าง


พวกเขามียาเม็ดเก็บไว้มากมายก็จริง แต่ยาเหล่านี้คือยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดนะ! ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อซึมซับพลังงานของมัน แต่อีกฝ่ายโยนมันเข้าปากเม็ดแล้วเม็ดเล่าราวกับกินขนม


ไม่แปลกใจแล้วที่คุณมียาไม่พอ!


ขณะที่นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเฝ้ามองชายหนุ่มโดยไม่รู้จะพูดอะไร ระดับวรยุทธของอีกฝ่ายก็พุ่งพรวด


ราชันย์เทพเจ้า ขั้นกลาง!


ราชันย์เทพเจ้า ขั้นสูง!


…..


เพียงครู่เดียว วรยุทธของจางเซวียนก็เข้าถึงราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดก่อนจะค่อยๆสงบลง


“น่าเสียดาย ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดไม่มีประโยชน์กับผมแล้ว” จางเซวียนพึมพำ


โดยปกติ ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดมีประสิทธิภาพดีแม้แต่กับนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่ แต่ด้วยความพิเศษของเวทนาสวรรค์ ปริมาณและความบริสุทธิ์ของพลังจิตวิญญาณที่จางเซวียนต้องการจึงอยู่ในระดับสูงมาก


ระดับความบริสุทธิ์ของยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดที่มีอยู่ในเวลานี้เพียงพอให้เขาเข้าถึงวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดเท่านั้น ต่อให้กินยาเพิ่มอีกเท่าไหร่ ก็ไม่อาจผลักดันวรยุทธให้สูงกว่านี้ได้แล้ว


“โชคดีนะที่พวกมันไม่มีประโยชน์กับคุณอีกต่อไป ไม่อย่างนั้น คุณคงกินยาของพวกเราจนหมดคลังแน่!” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบอย่างจนปัญญา


จางเซวียนก้มหน้าดู พบว่ายาเม็ดในกระสอบหายไปกว่าครึ่ง เขาหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นก็เกาศีรษะแล้วพูดว่า “ยาเม็ดที่ปรมาจารย์ขงหลอมนี่รสชาติดีจริงๆ มีกลิ่นผลไม้ต่างๆกันไปเสียด้วย ทั้งสับปะรด แอปเปิ้ล องุ่น…ผมออกจะติดใจ ก็เลยกินเกินความจำเป็นไปหน่อย!”


“….” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน


เพราะเคียงบ่าเคียงไหล่กับปรมาจารย์ขงมาเนิ่นนาน นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจึงถือเป็นนักรบคนหนึ่งที่ฝ่าฟันมรสุมมาอย่างโชกโชน มีเพียงไม่กี่อย่างในโลกใบนี้ที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้


แต่เมื่อเป็นเรื่องของยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุด แม้แต่พวกเขาก็ยังต้องการเวลาอย่างน้อย 1 หรือ 2 เดือนเพื่อซึมซับพลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลที่อยู่ในนั้น แต่ชายหนุ่มกลับกลืนลงไปเป็นร้อยเม็ดในคราวเดียวโดยไม่หยุดพัก…


และไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะไม่เป็นอะไร ยังแถมออกความเห็นเรื่องรสชาติของยาอีกต่างหาก


จะบ้าหรือไง!


มันใช่ประเด็นหรือ?


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับคนอื่นๆรู้สึกไม่อยากพูดกับจางเซวียนอีก


สิ่งที่อยู่ในร่างกายของคุณไม่น่าจะใช่กระเพาะ แต่เป็นหลุมดำ!


ขณะที่นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกำลังจนปัญญา ก็พลันรู้สึกว่าชายหนุ่มจับจ้องเขา


“นอกเหนือจากยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุด คุณยังมียาอื่นๆที่รสชาติ…เอ่อ ผมหมายความว่า…มีพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์กว่านี้ไหม? อย่างราชายาเม็ดหรืออะไรประมาณนั้น? ถ้ามีล่ะก็ ผมยินดีขอซื้อจากคุณ สัญญาว่าจะชดเชยให้พวกคุณอย่างงามหลังจากที่ผมได้เป็นจอมราชันย์แล้ว”


“พวกเราไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้หรอก” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบพร้อมกับส่ายหน้า


ท่านอาจารย์สั่งเสียไว้ว่าให้พวกเขาปฏิบัติต่อจางเซวียนในฐานะผู้นำ จึงเป็นธรรมดาที่ชายหนุ่มจะมีสิทธิ์เข้าถึงยาเม็ดของพวกเขา เพียงแต่ตอนนี้ พวกเขาไม่มีอะไรที่มีประสิทธิภาพดีไปกว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุด


“สมัยก่อน ปรมาจารย์ขงก็คงต้องการพลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธเช่นกัน แล้วเขาได้พลังจิตวิญญาณตามที่ต้องการได้อย่างไร?” จางเซวียนตั้งข้อสงสัย

 

 

 


ตอนที่ 2311 ทะเลท่วมท้น?

 

เขาพอนึกภาพออกว่าปรมาจารย์ขงจะต้องเคยอยู่ในสภาวะเดียวกับตัวเขาในเวลานี้ การพึ่งพาเฉพาะยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดคงทำให้วรยุทธของเขาก้าวหน้าไปได้ถึงแค่ราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดเท่านั้น


แล้วปรมาจารย์ขงทำอย่างไรถึงได้เป็นจอมราชันย์?


“ท่านอาจารย์ของเราได้เป็นจอมราชันย์เพราะการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบ “มันคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุก 10 ปี ซึ่งในแต่ละครั้งก็จะนำพาทรัพยากรล้ำค่ามากมายมาสู่โลก ก็เพราะการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณเมื่อ 40 ปีก่อนที่ทำให้พวกเรากับท่านอาจารย์พัฒนาได้อย่างรวดเร็วจนถึงระดับนี้”


จางเซวียนตาโตเมื่อได้รู้


เขาเคยได้ยินเรื่องการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณมานานแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจในรายละเอียด


แต่เพียงแค่พิจารณาจำนวนของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกับราชันย์เทพเจ้าที่ต้องเสียชีวิตไปในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งก่อน ก็ไม่ยากเกินไปที่จะสรุปได้ว่าจะต้องมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอันน่าทึ่งมากมายที่ไม่มีใครหักห้ามใจได้


อันที่จริง ของล้ำค่าบางอย่างมีค่าถึงขนาดที่แม้แต่จอมราชันย์ก็ขาดสติได้เลยทีเดียว


ไม่อย่างนั้น เหล่าจอมราชันย์คงไม่ลงทุนถึงขนาดพาตัวบรรดาศิษย์สายตรงของเขาไป เรื่องนี้ชี้ชัดว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณมากขนาดไหน


“แล้วอีกนานแค่ไหนกว่าจะเกิดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งต่อไป?”


“ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทุก 10 ปี แต่ไม่อาจระบุวันที่แน่นอนได้ บางครั้งมันก็มาช้าไปสักหน่อย บางครั้งก็มาเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย จากการประเมินที่ผ่านๆมา น่าจะเหลือเวลาอีกครึ่งปีก่อนที่การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งต่อไปจะมาถึง แต่การมอบตำแหน่งทรงเกียรติของโลกที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้บางอย่างเปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้น ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งที่ 5 จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้แหละ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบขณะเหม่อมองท้องฟ้า


การมอบตำแหน่งทรงเกียรติของโลกทำให้พลังจิตวิญญาณทั่วทั้งสรวงสวรรค์มารวมตัวกันและอบอวลอยู่ในอากาศ สภาวะแบบนี้อาจทำให้การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณมาถึงเร็วกว่ากำหนด


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบ


ในเมื่อยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาคงต้องรอคอยการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งต่อไปเพื่อให้ได้สมุนไพรที่มีประสิทธิภาพมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ


…..


จางเซวียนยังคงอยู่บนภูเขาลูกนั้นอีก 2 วัน ใช้เวลาส่วนใหญ่สำรวจคลังหนังสือของปรมาจารย์ขง หลังจากนั้นก็กล่าวอำลานักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับคนอื่นๆ


สิ่งที่ยังคงล้าหลังอยู่คือวรยุทธของกายเนื้อของเขา


ไก่น้อยเคยบอกไว้ว่ามันสามารถฟื้นฟูแอ่งลาวาอมตะได้หากได้กลับสู่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด จางเซวียนจึงรู้สึกว่ารีบจัดการให้เสร็จสิ้นไปน่าจะดีกว่า


เมื่อมีไก่น้อยอยู่ด้วย เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ แค่ฉีกกระชากมิติ ก็สามารถไปได้ทุกที่ตามแต่จะต้องการ


…..


2-3 อึดใจต่อมา ตัวเขา หลัวฉีฉี และไก่น้อยก็กลับมาถึงน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด


“ฝ่าบาท ยินดีเหลือเกินที่คุณกลับมา!”


ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟกับคนอื่นๆ ดูเหมือนพวกเขาจะได้ข่าว จึงตัดสินใจมายืนรอที่นี่เพื่อเฝ้าคอยการกลับมาของไก่น้อย


“เตรียมยาเม็ดที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นไว้ให้ผมหน่อย เอามามากที่สุดเท่าที่จะหาได้นะ” ไก่น้อยสั่งการพร้อมกับโบกมือ


“ขอรับ!”


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟกับพรรคพวกรีบไปจัดการ


2 ชั่วโมงให้หลัง พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับสมุนไพรมากมาย


ไม่มีใครกล้าชักช้ายืดยาดหากได้รับคำสั่งโดยตรงจากจอมราชันย์ ทุกคนนำสมุนไพรล้ำค่าทุกชนิดที่มีอยู่ในคลังสมบัติของตัวเองมามอบให้ไก่น้อย


จางเซวียนถึงกับอึ้งตะลึงเมื่อเห็นสมุนไพรมากมายก่ายกองจนแทบไม่น่าเชื่อที่อยู่ตรงหน้า


เขาจังงังกับความมั่งคั่งร่ำรวยของตระกูลราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเหล่านี้


แม้จะยังมองไม่เห็นชัดๆว่ามีสมุนไพรชนิดไหนที่จะช่วยยกระดับวรยุทธให้เขาได้ แต่สิ่งที่คนพวกนี้นำมาให้ก็มากมายเกินพอจะหลอมเป็นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดได้หลายร้อยเม็ด


ไก่น้อยรวบรวมสมุนไพรทั้งหมดเข้าด้วยกัน จากนั้นก็พาจางเซวียนเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ไม่ช้าก็มาถึงแอ่งลาวา


ขณะที่ลาวากระเพื่อม คลื่นความร้อนรุนแรงก็ระเบิดออกมา


ไก่น้อยโบกมือ สมุนไพรชนิดต่างๆลอยตัวขึ้นไปกระจายกันอยู่กลางอากาศเหนือแห่งลาวา พวกมันระเบิดและกลายเป็นพลังจิตวิญญาณที่พุ่งเข้าสู่แอ่งลาวานั้น


ฟึ่บ!


ด้วยกระแสพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ลาวาที่กำลังเดือดพล่านกลายร่างเป็นนกฟีนิกซ์ตัวใหญ่ สูงตระหง่านบดบังทั่วทั้งพื้นที่


ไก่น้อยกัดนิ้วและหยดเลือด 2-3 หยดลงไปในแอ่งลาวา


นกฟีนิกซ์ขยายใหญ่ขึ้นอีกเมื่อได้ซึมซับหยดเลือด ไม่เพียงเท่านั้น ยังแผ่รังสีพิเศษของจอมราชันย์ออกมา เกิดเป็นแรงกดดันหนักหน่วงที่พุ่งเข้าใส่ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้น


“นายน้อย ผมจัดเตรียมแอ่งลาวาอมตะเรียบร้อยแล้ว คุณลงไปได้เลย” ไก่น้อยพูดยิ้มๆ


จางเซวียนก้าวเข้าสู่แอ่งลาวาโดยไม่ลังเล


ฟิ้ววววว!


ทันทีที่ได้สัมผัส ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานเข้มข้นพุ่งเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจุดชีพจร พลังงานนั้นไหลเวียนไปตามทางเดินพลังปราณและเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกายของเขา


จางเซวียนรีบทรุดตัวลงนั่งที่ใจกลางแอ่งลาวา แล้วใช้สมาธิกับการซึมซับพลังงาน


ระดับวรยุทธของกายเนื้อของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


ราชันย์เทพเจ้า ขั้นต้น


ราชันย์เทพเจ้า ขั้นกลาง


ราชันย์เทพเจ้า ขั้นสูง


…..


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ขั้นสูงสุด!


4 ชั่วโมงต่อมา พลังงานภายในแอ่งลาวาก็เหือดแห้ง จางเซวียนเสร็จสิ้นการยกระดับวรยุทธ


“ในแง่พละกำลังของกายเนื้อ เราเทียบได้กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุดแล้ว” จางเซวียนพึมพำด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


กายเนื้อของเขาพัฒนาขึ้นมากใน 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา ยกระดับวรยุทธจากราชันย์เทพเจ้าขั้นต้นไปจนถึงราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุด!


ต่อให้ใช้แค่กายเนื้อ เขาก็สู้กับนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุดและเอาชนะคนเหล่านั้นได้สบาย!


แต่ไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาในเวลานี้ก็ยังไม่ใช่กายเนื้อ แต่เป็นวรยุทธของจิตวิญญาณ


ในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า หากพิจารณากันแค่ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ ต่อให้ 9 ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่มีวรยุทธระดับเดียวกับเขาก็ไม่อาจต้านทานพละกำลังของเขาได้


หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝนวรยุทธ จางเซวียนก็ปล่อยตัวโคลนออกมาให้มันฝึกฝนวรยุทธด้วย


ไม่ช้า ตัวโคลนก็สำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุดเช่นกัน


ส่วนไอ้โหดที่มีอัตราการยกระดับวรยุทธค่อนข้างช้า จางเซวียนมองว่าอีกฝ่ายคงยังไม่อาจพัฒนาตัวเองได้เร็วนัก เขาจึงเก็บไอ้โหดไว้ในหนังสือเทียบฟ้าเหมือนเดิม


ด้วยสิ่งนี้ ในที่สุดวรยุทธของเขาก็มาถึงด่านคอขวด จนกว่าการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งต่อไปจะมาถึง จางเซวียนก็คงไม่อาจยกระดับวรยุทธของพลังปราณได้อีก เขาจึงตัดสินใจหันกลับมาใช้สมองกับการคิดค้นศิลปะเพลงดาบ


ครู่ต่อมา ไก่น้อยก็ปรากฏตัวตรงหน้าและพูดว่า “นายน้อย จอมราชันย์มังกรเมฆเชื้อเชิญอีก 8 จอมราชันย์ให้ไปที่ทะเลท่วมท้น!”


“ทะเลท่วมท้น?”


“ใช่ มันคือพื้นที่ที่เป็นต้นกำเนิดของการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ ปรากฏการณ์นี้ครอบคลุมทั่วทั้งสรวงสวรรค์ก็จริง แต่ทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่สุดก็มักจะถูกพบในทะเลท่วมท้นนี่แหละ” ไก่น้อยพูด


“การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้หรือ?” จางเซวียนถาม


“จากการประเมินครั้งใหม่ มันน่าจะเกิดขึ้นในอีก 2 วันนับจากนี้” ไก่น้อยพยักหน้า “นั่นคือเหตุผลที่จอมราชันย์มังกรเมฆเชิญจอมราชันย์คนอื่นๆไปที่นั่นเพื่อเตรียมตัว”


“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ” จางเซวียนพูดขณะลุกขึ้นยืน


ในที่สุด การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณก็กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว!


บางทีเขาอาจใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ยกระดับวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ…หรืออาจเป็นจอมราชันย์เลยก็ได้!


“ทะเลท่วมท้นคืออาณาเขตที่มีแต่นักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าจอมราชันย์เท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงมักเฝ้าดูจากด้านนอก”


“ทันทีที่พื้นที่นั้นเปิดออก ทั้ง 9 น่านฟ้าจะส่งราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกับราชันย์เทพเจ้าในสังกัดของพวกเขาเข้าไปแย่งชิงทรัพย์สมบัติล้ำค่า ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น การฆ่าฟันและปล้นสะดมเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกครั้งจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย ส่วนแต่ละน่านฟ้าจะคว้าทรัพย์สมบัติไปได้มากแค่ไหน หากจอมราชันย์ไม่ประกาศ ก็ไม่มีใครรู้”


หลังจากได้พละกำลังกลับคืนมา ไม่ช้าไก่น้อยก็ได้รู้เรื่องการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณจากการรายงานของเหล่าบริวาร


“นายน้อย ผมหวังว่าคุณจะเข้าไปที่นั่นในฐานะราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเราและปกป้องคนของผมไม่ให้ได้รับอันตราย แต่หากคุณไม่สะดวกใจ ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้…”


“ฉันจะพยายามปกป้องพวกเขาอย่างดีที่สุดถ้าเห็นว่าตกอยู่ในอันตราย” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


ในเมื่อราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟกับคนอื่นๆเป็นบริวารของไก่น้อย ก็ถือเป็นศิษย์น้องของเขาด้วย ถ้าคนเหล่านั้นพบเจออันตรายในทะเลท่วมท้น ก็เป็นหน้าที่ของเขาในฐานะศิษย์พี่ที่จะต้องช่วยเหลือ


“นี่คือตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกการเป็นตัวแทนของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด แค่คุณติดมันไว้ที่หน้าอกขณะเข้าสู่ทะเลท่วมท้น คนอื่นๆก็จะรู้ว่าคุณมาจากไหน ซึ่งจะทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะร่วมมือหรือจะสู้กับคุณ” ไก่น้อยพูดขณะยื่นตราสัญลักษณ์ให้


จางเซวียนรับตราสัญลักษณ์มาติดไว้ที่หน้าอก


นอกจากบริวารของ 9 จอมราชันย์ ก็ยังมีนักรบพเนจรอีกมากมายที่มุ่งหน้าสู่ทะเลท่วมท้นเพื่อหวังจะได้ทรัพยากรล้ำค่า ตรานี้จะป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเขาเป็นนักรบพเนจร ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก


แม้ทะเลท่วมท้นจะถูกมองว่าเป็นดินแดนไร้ขื่อแป แต่ไม่ว่าใครก็ต้องใคร่ครวญให้ดีหากคิดจะสังหารบริวารของจอมราชันย์


“การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณมีความรุนแรงมากขึ้นทุกที และทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่ปรากฏในแต่ละครั้งก็มีอานุภาพไร้เทียมทานมากขึ้นเรื่อยๆ” ไก่น้อยพูด “อันที่จริง ในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณคราวก่อน มีข้าวของบางอย่างที่เป็นประโยชน์แม้แต่กับจอมราชันย์ด้วยซ้ำ เพราะเหตุนี้ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์จึงพัฒนาตัวเองให้เก่งกาจถึงขนาดเทียบชั้นกับจอมราชันย์หลินชีได้ภายในเวลาเพียงสี่สิบปี!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)