ข้ามกาลบันดาลรัก 230.4-231.3
ตอนที่ 230-4 ป้ายหยกปรากฏ สืบถามเหวิน...
เมิ่งเชี่ยนโยวฝึกแต่วิชาจู่โจมประชิดตัว ย่อมไม่มีท่าทางล่อหลอก และไม่ตั้งท่ารับใดๆ ยืนรออย่างสงบนิ่งให้เมิ่งอี้เซวียนเข้ามาโจมตี
เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่เกรงใจ เดินขึ้นหน้า ออกอาวุธใส่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่โต้กลับ เอาแต่ยืนหลบซ้ายเบี่ยงขวา หลบมาได้หลายกระบวนท่า
เมิ่งอี้เซวียนไม่วู่วามรีบร้อน ยังคงโจมตีตามจังหวะของตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบพยักหน้า
ประมาณยี่สิบกระบวนท่าได้ จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เปลี่ยนกลยุทธ์ จากรับมาเป็นรุก ออกกระบวนท่าดุดันใส่เมิ่งอี้เซวียนเป็นพรวน
เมิ่งอี้เซวียนรับกระบวนท่าไม่ได้ เอาแต่ถอยหลัง จนเกิดช่องโหว่ ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเตะฟาดเต็มแรงล้มไปนอนกับพื้น
เมิ่งอี้เซวียนฉวยโอกาสพลิกตัว กระเด้งตัวลุกขึ้น แสดงท่าป้องกันการจู่โจม
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ เจตนาพูดว่า “วันนี้พอเท่านี้เถอะ ยังใช้ไม่ได้ ไม่ได้เรื่องเลย ยังห่างอีกไกลนัก”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินออกไปจากลาน เหวินเปียวเดินตามหลัง พูดเสียงเบา “แม่นาง คุณชายอี้เซวียนมีพัฒนาการรุดหน้ามากแล้วนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปพลางตอบกลับเสียงเบา “ข้ารู้ แต่ยังใช้ไม่ได้ เจ้าต้องการเพิ่มความต้องการต่อเขาให้เข้มงวดกว่านี้”
“มิใช่ข้าไม่เข้มงวดกับเขา แต่คุณชายอี้เซวียนเรียนรู้รวดเร็วมากจริงๆ ไม่ว่ากระบวนท่าไหนก็เรียนรู้ได้ในครั้งแรก ข้าแทบจะไม่เหลืออะไรให้สอนเขาแล้ว” เหวินเปียวร้อนใจกล่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วเดินต่อ “ข้าฝากให้คนหาอาจารย์ที่ดีกว่าให้เขาแล้ว ช่วงเวลานี้ เจ้าพยายามสอนเขาให้เต็มที่เถอะ”
เหวินเปียวหยุดฝีเท้า ขานรับอย่างนอบน้อม
พอฝึกวรยุทธ์เสร็จ เมิ่งชื่อก็ทำอาหารเช้าเสร็จพอดี หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เหวินเปียวและเหวินหู่ก็บังคับรถม้าพาพวกเขาไปที่ร้าน
ทั้งสองคนจอดรถม้าหน้าร้าน หลังจากทุกคนลงจากรถม้าแล้ว เหวินเปียวและเหวินหู่ก็บังคับรถม้าไปหลังร้าน
เมิ่งอี้และเหวินเป้านำเหวินจงเช็ดโต๊ะและเก้าอี้ใหม่อีกครั้ง สะใภ้เหวินทั้งสามคนเข้าไปต้มน้ำซุปเตรียมไว้สำหรับต้มก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง
เหลาจวี้เสียนก็ลดบานประตูลง เปิดประตูใหญ่ เริ่มดำเนินกิจการ
ผู้คนตามท้องถนนค่อยๆ หนาตาขึ้น คงเพราะเมื่อวานได้ยินเหตุการณ์ดังระเบิดนั่น คนที่เดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งจะต้องอดใจไม่ไหวมองเข้ามา
ยังไม่มีเวลากินข้าว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีบร้อน ให้ทุกคนเตรียมข้าวของให้เรียบร้อย แล้วนั่งรอลูกค้าภายในร้ายอย่างสงบ
เพียงอึดใจเดียว ก็มีลูกค้าเข้ามา พอเข้ามาก็ร้องพูดเสียงดัง “เมื่อวานข้ารอเป็นนานก็ไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง ภายหลังที่บ้านมีธุระจึงต้องกลับไปก่อน วันนี้ข้าเข้ามาแต่เช้า พวกเจ้ายังไม่เปิดร้าน ข้าจึงไปเดินเล่นที่ตลาดสดหนึ่งรอบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เมื่อวานลูกค้าเยอะมากจริงๆ พวกเราดูแลไม่ทั่วถึง ต้องขอโทษที่ทำให้ท่านต้องรอนาน เอาอย่างนี้เถิด เพื่อแสดงการขอขมาจากพวกเรา วันนี้ท่านเป็นลูกค้าท่านแรก ก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งที่ท่านสั่งข้าคิดห้าสิบอีแปะราคาเดียว”
ชายคนนั้นเพียงพูดเรื่อยเปื่อย เพื่อสร้างความสนิทสนม ภายหน้าเวลามาจะได้ไม่ต้องรอนาน ต้มให้ตนเองกินก่อน ไม่คิดว่าจะได้โชคใหญ่เช่นนี้ รีบพูดพลัน “เช่นนี้จะดีหรือ?” ปากพูดว่าจะดีหรือ ร่างกายกลับนั่งนิ่งบนม้านั่งยาวแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งอี้ เมิ่งอี้เดินเข้ามา ซักถามเขาว่าต้องการกินรสชาติใดอย่างเป็นกันเอง แล้วร้องตะโกนให้หลังร้านรีบทำออกมา
จากนั้นลูกค้าท่านที่สองก็ตามเข้ามาติดๆ ซึ่งก็คือลูกค้าที่ซื้อกลับบ้านไปเมื่อวาน พอพ้นประตูเข้ามา เริ่มจากมอบไหในมือสามใบให้เมิ่งอี้ จากนั้นนั่งบนม้านั่งยาว พูดเสียงดังลั่น “เอามาให้ข้าอีกสี่ชุด รสต้มยำหนึ่งชามข้ากินที่นี่ ที่เหลืออีกสามชุดเป็นน้ำใส ห่อกลับบ้าน”
เมิ่งอี้ดีใจขานรับคำ ตะโกนบอกหลังร้าน
เพิ่งจะยกก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งมาให้ลูกค้าสองท่านนี้ ด้านหลังก็มีลูกค้าทยอยเข้ามา
ภายในร้านเริ่มวุ่นวาย โชคดีที่มีเหวินเปียว เหวินหู่ เหวินจงสามคนมาร่วมด้วย สถานการณ์ภายในร้านถึงไม่ยุ่งเหยิงเหมือนเมื่อวาน
วันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวสบายตัวขึ้นมา คอยยืนเก็บเงินหลังโต๊ะคิดเงินเท่านั้น
หลังจากวุ่นวายไม่ได้ขาดสายครึ่งชั่วยาม ซุนวั่งถึงอิดๆ ออดๆ ฝืนใจปรากฏตัวหน้าประตูร้าน มองเข้ามาด้านใน เห็นวันนี้มีคนงานเพิ่มขึ้น แทบไม่ต้องการตัวเองแล้ว กะพริบตาปริบๆ หมุนตัวคิดจะจากไปเงียบๆ
เสียงร้องถามของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยมาจากด้านหลัง “ท่านพ่อตา เราตกลงกันแล้วให้ท่านรีบเข้ามาช่วยแต่เช้ามิใช่หรือ? เหตุใดถึงเพิ่งมา?”
ซุนวั่งหมุนตัว แย้มยิ้มประจบเอาใจนาง “วันนี้ข้านัดเพื่อนพูดคุยธุระไว้ เจ้าว่าข้าเข้ามาช่วยวันอื่นได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้ ประเดี๋ยวข้ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ ต้องออกไปข้างนอก เรื่องเก็บเงินมีเพียงท่านที่ทำได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าซุนวั่งเลือนหาย เบ้ปากบ่นงึมงำ “อยากให้ข้าทำงานให้เปล่าก็พูดมาตามตรง ทำเป็นยกเรื่องสำคัญมาอ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาขยับปากงุบงิบ แกล้งเอ่ยปากถาม “ท่านพูดว่ากระไร? พูดเสียงดังหน่อย ข้าฟังไม่ถนัด”
ซุนวั่งลนลานตอบ “ข้าพูดว่า เจ้ามีธุระก็รีบไปทำ ข้าจะช่วยดูแลการค้าในร้านให้”
“ขอบคุณท่านพ่อตา” เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มหวานตอบ
ซุนวั่งเสียใจแทบอยากจะตบปากตัวเองสักฉาด
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากโต๊ะคิดเงิน ยิ้มมองซุนวั่ง
ซุนวั่งเดินลิ่วเข้ามา นั่งบนม้านั่งยาวแต่โดยดี
เหลาจวี้เสียนก็เริ่มมีลูกค้าแล้ว ยังเป็นเหมือนเมื่อวาน มีลูกค้าไม่น้อยสั่งก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งด้วย
หลงจู๊จดบันทึก ให้เสี่ยวเอ้อร์นำใบรายการมาส่ง
เป็นช่วงเที่ยงที่คึกคักวุ่นวายอีกวัน เมิ่งเชี่ยนโยวคาดคำนวณ ก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งที่ขายวันนี้มากกว่าเมื่อวานมาก โดยเฉพาะจากเหลาจวี้เสียน ไม่เพียงลูกค้าจากห้องโถงใหญ่ชั้นล่างสั่งกันไม่น้อย แม้แต่ลูกค้าในห้องรับรองชั้นบนก็เข้ามาร่วมวง สั่งกันหลายต่อหลายชาม
ซุนวั่งไม่ได้ว่างเลยตลอดทั้งบ่าย คอยเก็บเงิน ทอนเงินไม่หยุด ทำมาทำไป จนคล้ายจะลืมความไม่ยินยอมพร้อมใจของตนเอง นับเงินอีแปะอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ
กระทั่งเวลากินข้าวช่วงเที่ยงผ่านไป เหลาจวี้เสียนสั่งก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งน้อยลง ลูกค้าในร้านก็ไม่มากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถือไหสะอาดสองใบมาด้านหลัง สั่งสะใภ้เหวินเปียวว่า “ต้มรสต้มยำและน้ำใสอย่างละหนึ่งให้ข้า แยกใส่ในไหสองใบนี้ ใส่วัตถุดิบแต่ละชนิดเพิ่มอีกหน่อย”
สะใภ้เหวินเปียวขานรับคำ อึดใจเดียวก็ต้มสองชุดเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหิ้วอย่างระวัง เดินออกมาด้านนอก สั่งการเหวินเปียว “เจ้าไปบังคับรถม้ามา พวกเราจะไปร้านยาเต๋อเหริน”
เหวินเปียวเข้าไปบังคับรถม้าออกมาจากด้านหลัง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งอี้ “พี่เมิ่งอี้ ข้ามีธุระออกไปข้างนอก ฝากท่านดูแลร้านให้ดีด้วย”
เมิ่งอี้รับคำ “ไปเถอะ ระวังด้วย รีบไปรีบกลับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หิ้วไหขึ้นไปนั่งบนรถม้า เหวินเปียวค่อยๆ บังคับรถม้ามาถึงร้านยาเต๋อเหริน
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดกังวลใจมาตลอดทาง ไม่สังเกตเห็นว่าตั้งแต่พวกนางออกมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง ก็มีร่างหนึ่งดอมๆ มองๆ สะกดรอยตามหลังรถม้าพวกเขามา กระทั่งมาถึงร้านยาเต๋อเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวกลับคืนสู่ภวังค์ ถึงคลับคล้ายจะรู้สึกได้ มองสำรวจด้านหลังแวบหนึ่ง ร่างนั้นหลบเข้ามุมอับพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวมั่นใจประสาทสัมผัสไวของตัวเองมาตลอด ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น มองไปโดยรอบอย่างไม่ตัดใจ ยังไม่พบร่างของคนผู้นั้น ขมวดคิ้วยับย่น
เหวินเปียวเห็นนางลงจากรถม้าแล้ว เอาแต่ยืนมองสำรวจโดยรอบ รู้สึกผิดปกติ ซักถามเสียงเบา “แม่นาง มีอะไรหรือ?”
“ข้ารู้สึกว่ามีคนจับตาดูพวกเรา แต่กลับไม่เห็นใคร ประเดี๋ยวระหว่างทางกลับเจ้าตื่นตัวหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเบา
เหวินเปียวจับบังเ**ยนในมือแน่น แววตากวาดมองไปโดยรอบ นอกจากคนเดินเท้าไปมา ไม่พบเห็นบุคคลต้องสงสัยอื่น แต่เขาเชื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นที่สุด ขานรับคำเสียงเบา “ข้าทราบแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองกลับไปอีกครั้ง ถึงหิ้วไหเดินเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน
ตอนเที่ยงไม่มีลูกค้า หมอชราไม่ได้นั่งตรวจอาการ พนักงานเข้ากะเห็นนางเข้ามา รีบออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกไหในมือ “ข้านำของอร่อยมาให้นายท่านของพวกเจ้าและหมอชรา รบกวนเจ้าไปรายงานด้วย”
พนักงานรับคำ รีบวิ่งไปหลังร้าน ไม่นานเสียงอดใจรอไม่ไหวของเหวินซื่อก็ดังแว่วมา “ของอร่อยอะไรกัน รีบเอามาให้ข้าลิ้มรสเร็ว” สิ้นเสียง คนก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง
“ข้าเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งอยู่ตรงข้ามเหลาจวี้เสียน นี่เป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่งที่ข้าตั้งใจนำมาให้เจ้าและหมอชรา เจ้าลองชิมดูเถอะ?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เสียงของหมอชราก็ดังขึ้นตาม “ยังมีส่วนของข้าด้วย ขอบใจแม่นางเมิ่งมาก” พูดจบ คนก็เดินเข้ามาในห้องโถง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ของท่านเป็นน้ำใส ของเขาเป็นต้มยำ พวกท่านทั้งสองจะกินที่ไหนเล่า”
เหวินซื่อพูดว่า “กินชั้นบนเถอะ พวกเรากินไปคุยไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หิ้วไหเดินตามหลังเหวินซื่อขึ้นไปชั้นบน เดินมาได้ครึ่งทางถึงนึกขึ้นได้ พูดกับเหวินซื่อว่า “ข้าไม่ได้เอาตะเกียบมา เจ้าสั่งพนักงานนำตะเกียบสองคู่ขึ้นมาด้วยเถอะ”
เหวินซื่อตะโกนสั่งพนักงาน
พนักงานรับคำ รีบวิ่งไปหยิบตะเกียบหลังร้าน
เดินมาถึงชั้นบน เมิ่งเชี่ยนโยววางไหในมือลงบนโต๊ะ
เหวินซื่อรีบยื่นหน้าเข้ามาเปิดฝาไหหนึ่งใบออก สูดดมกลิ่น ร้องอุทาน “หอมนัก!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ต้องหอมอยู่แล้ว ของท่านยังเพิ่มวัตถุดิบมากกว่าคนอื่นด้วยเล่า”
เหวินซื่อดีใจหัวเราะร่วน “นับว่าเจ้ายังมีน้ำใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้อีกด้าน พูดว่า “วัตถุดิบพวกนี้ข้าไม่ได้เพิ่มให้เปล่า รอเจ้ากินเสร็จแล้ว ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า เจ้าจะต้องตอบข้ามาตามตรง”
ตอนที่ 231-1 เคืองโกรธเหวินซื่อ
“เรื่องอะไร?” เหวินซื่อย้อนถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง รอพวกท่านกินเสร็จแล้วข้าค่อยถาม” พนักงานนำตะเกียบเข้ามา เหวินซื่อจึงไม่เค้นถามอีก นั่งกินพร้อมกับหมอชรา กินไปร้องซี้ดซ้าดไป พูดชมไป “อร่อยนัก! อร่อยนัก!”
หมอชราก็เห็นพ้องกินไปพยักหน้าไปพลาง
“ร้านยาเต๋อเหรินอยู่ไม่ห่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งนัก หากพวกท่านชอบกินก็แวะไปกินได้ หากไม่อยากเข้าไปให้พนักงานไปซื้อก็ได้ มีไหบรรจุให้ ซื้อกลับมาก็ยังร้อนกรุ่นอยู่ ข้ากลับไปจะสั่งกำชับพวกเขา ไม่เก็บเงินพวกท่าน” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
เหวินซื่อกลืนก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งลงคอ พูดอย่างประหลาดใจ “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงพูดง่ายเช่นนี้ หรือเจ้ามีจุดประสงค์ใด” พูดจบก็คีบกินอีกคำใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน เหวินซื่อตกใจกอดไหไว้ในอกพลัน ในปากยังมีก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งที่ยังไม่ได้กลืนเต็มปาก พูดอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง “ข้าล้อเจ้าเล่นหรอก ต่อให้เจ้ามีเป้าประสงค์ข้าก็จะกินให้หมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงไปตามเดิม “ทำดีไม่ได้ดี ข้าเพิ่งจะเสร็จงาน ยังไม่ทันได้กิน ก็รีบเอามาให้เจ้าก่อน”
เหวินซื่อด้านหนึ่งวุ่นวายกับการกิน ด้านหนึ่งพยักหน้าซาบซึ้งใจ “ข้ารู้ๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งโมโหทั้งขบขัน นั่งนิ่งเงียบไม่สนใจเขาอีก
เหวินซื่อกินจนเหงื่อท่วมตัว หากไม่เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้วย คาดว่าคงคลายกระดุมชุดคลุมยาวออก ตากลมเย็นให้สบายอารมณ์
หมอชราเห็นดังนั้น รีบลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งมายื่นให้เขา
เหวินซื่อรับมา ด้านหนึ่งถูไถเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและลำคอ ด้านหนึ่งพูดว่า “สำราญใจนัก กินเสร็จแล้วให้รู้สึกโล่งสบายตัวไม่น้อย”
ของหมอชราเป็นรสน้ำใส ย่อมไม่มีเหงื่อออกมากเช่นเขา ทว่าหลังจากกินเสร็จก็ให้รู้สึกตัวร้อนวูบวาบ ยิ้มพูดเห็นพ้อง “ก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งนี้เป็นอาหารที่แปลกแหวกแนวนัก หากได้กินสักชามในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ คิดว่าจักต้องยิ่งให้สบายตัว”
ถูกทั้งสองกล่าวชม เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกกระหยิ่มใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งนี้ข้าต้องลงแรงคิดค้นเป็นนานถึงจะคิดออกมาได้ จะธรรมดาได้อย่างไร”
เหวินซื่อร้องจิ๊ๆ สองครั้ง “ชมเข้าหน่อยทำเหลิงเชียว พูดมาเถอะ มีเรื่องอันใดจะถามข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองหมอชราแวบหนึ่ง
หมอชราเข้าใจพลัน หยิบไหสองใบขึ้น พูดว่า “ข้าจะนำไปล้างให้สะอาด ประเดี๋ยวแม่นางเมิ่งจะได้สะดวกนำกลับไป”
เหวินซื่อพยักหน้า
หมอชราหยิบตะเกียบลงไปล้างชั้นล่างพร้อมกัน
เหวินซื่อหยิบผ้าขนหนูเช็ดเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาไม่หยุด กลับไปนั่งที่โต๊ะบัญชีของตนเอง ถามขึ้นลอยๆ “เหล่าอวี๋ไม่ใช่คนนอก เรื่องที่ข้ารู้เขารู้แทบทั้งหมด เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา ถามตามตรง “เหตุใดแม่ทัพฉู่ต้องมาตำบลชิงซีทุกปี?”
เหวินซื่อหยุดชะงักในท่าเช็ดเหงื่อ เงยหน้ามองนางอย่างตกตะลึง “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงคิดจะถามเรื่องนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด รอคำตอบจากเขา
เหวินซื่อเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ข้าบอกรายละเอียดกับเจ้าไม่ได้ ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า เขามาเพื่อตามหาคน”
“ตามหาใคร?” เกี่ยวข้องอะไรกับเขา?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
เหวินซื่อส่ายหน้า “ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ อย่างอื่นข้าพูดไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ให้เขาลำบากใจ พูดว่า “ข้าจะเปลี่ยนคำถาม คนที่เขาตามหาอายุเท่าใด เหตุใดเขาถึงต้องออกตามหา?”
เหวินซื่อยังคงส่ายหน้า “ก่อนที่ท่านพี่ฉู่จะหาคนผู้นั้นพบ ข้าจะไม่บอกอะไรเจ้าทั้งนั้น หากเจ้าอยากรู้ ก็เขียนจดหมายถามท่านพี่ฉู่เองเถอะ หากเขาบอกให้ข้าบอกเจ้า ข้าค่อยบอกเจ้าอย่างละเอียด”
“เช่นนั้นที่เจ้าอยู่ตำบลหลายปีมานี้ ก็เพื่อช่วยเขาตามหาคนผู้นั้นใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเรื่องถามเขา
เหวินซื่อพยักหน้า “ข้าและท่านพี่ฉู่มีมิตรภาพยาวนานแน่นแฟ้น เรื่องของเขาข้าย่อมต้องช่วยเหลือ พอดีว่าที่ตำบลชิงซีมีสาขาร้านยาเต๋อเหริน ข้าจึงมาที่นี่”
“แปลว่าในตอนนั้นเจ้าตั้งใจทำความผิด เพื่อให้ท่านปู่ลงโทษส่งตัวเจ้ามาที่ตำบลชิงซี เจ้าจะได้สะดวกตามหาคน?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อพยักหน้ารับ “ถูกต้อง ข้ามีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “เช่นนั้นหลายปีมานี้เจ้าพบเบาะแสหรือไม่?”
เหวินซื่อส่ายหน้า “ไม่เลย ข้าส่งพรรคพวกจำนวนมากตามสืบอย่างลับๆ แทบจะเรียกได้ว่าพลิกตำบลชิงซีตามหา แต่ก็ยังหาคนผู้นั้นไม่พบ ไม่เพียงข้า แม้แต่…” กล่าวถึงตรงนี้ พลันหยุดชะงัก ไม่พูดอะไรต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าสิ่งที่เขาไม่พูดต่อให้ถามก็ไม่มีทางได้คำตอบ จึงไม่เจาะลึกถามความต่ออีก แต่ถามอีกคำถามหนึ่งแทน “ป้ายหยกที่เขามอบให้ข้าในตอนนั้น บอกว่าเป็นป้ายหยกคู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ป้ายหยกคู่นั้นเหมือนกันทุกประการ หรือมีความแตกต่างกัน”
เหวินซื่อยังคงส่ายหน้า “ข้าไม่เคยถามท่านพี่ฉู่ แต่ข้าเคยได้ยินท่านพี่ฉู่พูดว่า ป้ายหยกทั้งสองชิ้นนั้นแทบจะเหมือนกันทุกประการ ชิ้นหนึ่งอยู่กับเขา อีกชิ้นอยู่ที่ตัวคนผู้นั้น”
“ป้ายหยกสองชิ้นนั้นนอกจากจะนำไปขึ้นเงินก้อนโตที่สำนักการเงินที่ใดก็ได้ ยังใช้ประโยชน์ใดได้อีก?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อยังคงส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าไม่เคยถามมาก่อน ท่านพี่ฉู่เองก็ไม่เคยพูด”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าแน่ใจ”
เหวินซื่อผงกศีรษะ “แน่ใจ แม้ข้าและท่านพี่ฉู่จะสนิทสนมกัน แต่เรื่องที่ข้าสมควรรู้ เขาจะบอกข้าเอง เรื่องที่ข้าไม่สมควรรู้แม้สักคำเดียวเขาก็จะไม่พูดกับข้า บอกว่าข้ายิ่งรู้มาก มีแต่จะนำภัยถึงแก่ชีวิตมาสู่ตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยืดตัวตรง พูดว่า “ข้าจะถามเจ้าเป็นคำถามสุดท้าย เจ้าต้องตอบข้ามาตามความจริง”
เหวินซื่อไม่รับคำ กลับถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงสนใจท่านพี่ฉู่และป้ายหยกมากเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ถามขึ้นต่อว่า “ท่านแม่ทัพฉู่และท่านอ๋องฉีมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน?”
เหวินซื่อก็ไม่โง่ ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวถามคำถามต่อเนื่องมากมาย เริ่มรับรู้อะไรได้ลางๆ ลุกขึ้นยืนด้วยความกังขา เดินมาเบื้องหน้านาง ลูบคางตัวเองถามนาง “เจ้าบอกข้ามาก่อน เหตุใดวันนี้เจ้าถึงต้องสืบถามเรื่องราวมากมายเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำตัวตามสบาย เอนหลังพิงพนักอย่างผ่อนคลายอารมณ์ พูดโป้ปด “เมื่อวานตอนข้าควานหาของ เห็นป้ายหยกเข้า จู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องเกี่ยวกับป้ายหยกที่ท่านแม่ทัพฉู่พูดกับข้า เกิดความสนใจใคร่รู้ วันนี้จึงใช้โอกาสถามความตอนที่นำก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งมาส่งให้”
เหวินซื่อยังคงคลางแคลงใจ ยืนขบคิดเบื้องหน้านางพักใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยให้เขาพินิจมองอย่างไม่สะทกสะท้าน
เหวินซื่อไม่เห็นความปกติใดๆ ของเมิ่งเชี่ยนโยว ถึงลอบโล่งใจ พูดว่า “ท่านพี่ฉู่มอบป้ายหยกให้เจ้า เจ้าจงเก็บไว้ให้ดี หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ห้ามนำออกมาเด็ดขาด ส่วนเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไม่ต้องถามความให้มากแล้ว เลี่ยงไม่ให้นำภัยมาสู่ตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าน้อมรับคำสอน “ข้าทราบแล้ว เจ้าเพียงบอกข้ามาว่าท่านแม่ทัพฉู่และท่านอ๋องฉีมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน เรื่องอื่นข้าจะไม่ถามอีก”
เหวินซื่อยื่นมือออกไปเคาะกะโหลกศีรษะนาง “สาวน้อย บอกว่าไม่ต้องถามแล้ว เจ้ายังจะถาม เหตุใดเจ้าถึงอยากรู้มากเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เอาความ พูดว่า “ความสัมพันธ์ของพวกเขาซับซ้อนมากหรือ? เจ้าถึงพูดไม่ได้?”
เหวินซื่อเดินกลับมานั่งโต๊ะคิดบัญชีของตัวเอง พูดว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ซับซ้อน แต่เจ้ารู้ไปก็เปล่าประโยชน์”
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจนอยากจะเข้าไปถีบเหวินซื่อสักทีสองที เรื่องเพียงเท่านี้กลับพูดจาวกวนไม่ยอมบอกนาง หากไม่เพราะเรื่องเกี่ยวพันถึงเมิ่งอี้เซวียน นางคงบีบเค้นให้เหวินซื่อพูดออกมาแล้ว
เหวินซื่อเห็นนางไม่พูดไม่จา พูดอย่างหวังดีต่อนาง “ข้าไม่บอกเจ้า ก็เพราะหวังดีต่อเจ้า วันไหนที่พวกเราเจอคนผู้นั้นแล้ว ก็จะไปจากตำบลชิงซี ไม่กลับมาอีก หากเจ้ารู้มากไป จะไม่เป็นผลดีต่อเจ้าเลย”
ถามมาครึ่งวัน คำตอบที่อยากรู้กลับถามไม่ได้สักข้อ เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มเคืองขุ่น ลุกขึ้นยืน พูดฟึดฟัดเหมือนเด็ก “พวกเจ้าไม่มีวันหาคนผู้นั้นเจอ”
“ชูว์” เหวินซื่อแตะนิ้วชี้ประกบริมฝีปาก พูดว่า “วาจานี้เจ้าพูดต่อหน้าข้าไม่เป็นไร อย่าได้พูดต่อหน้าท่านพี่ฉู่เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เขาจักต้องบันดาลโทสะอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น” พูดจบ ก็ให้หวาดผวาตัวสั่นเทิ้ม “เจ้าไม่เคยเห็น เวลาเขาบันดาลโทสะน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กรอกตาขาวใส่เขา พูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าไม่บอกข้า สักวันเจ้าจะต้องเสียใจ” พูดจบ หันหลังลงไปชั้นล่าง ทั้งยังระบายอารมณ์ กระแทกกระทั้นบันไดเสียงดังปึงปัง
เป็นครั้งแรกที่เหวินซื่อเห็นนางมีอารมณ์เหมือนเด็ก ให้รู้สึกประหลาดใจ รีบเดินตามติดไป เกาะบันไดเจตนาแหย่เย้านาง “หากเจ้าเหยียบบันไดข้าพัง เจ้าต้องชดใช้ให้ข้าด้วยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังขวับ ถลึงตาพูดอย่างฉุนเฉียว “เหยียบพังเลยก็ดี เจ้าจะได้หกล้มตาย”
เหวินซื่อผงะเล็กน้อย แล้วหัวเราะครื้นเครง
หมอชราเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวโกรธเกรี้ยวมีอารมณ์ กำลังจะเข้าไปซักถาม เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยิบไหสองใบบนโต๊ะ ไม่แม้แต่จะบอกลา ก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
หมอชราแหงนหน้ามองเหวินซื่อด้วยความงุนงง
เหวินซื่อกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอีกครั้ง
ตอนที่ 231-2 เคืองโกรธเหวินซื่อ
พอออกมาจากร้านยาเต๋อเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวฉับๆ มาข้างรถม้า เหวินเปียวลดเสียงต่ำพูดว่า “แม่นาง เมื่อครู่ข้าเห็นมีคนหลบอยู่ในมุมอับลอบมองสังเกตการณ์เข้ามา ข้าไม่กล้าทิ้งรถม้า จึงไม่ได้ตามไปดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟัง ขมวดคิ้วแน่น เดินมาดูในมุมอับบริเวณที่เหวินเปียวบอก ไหนเลยจะยังเหลือเงาคนผู้นั้น จึงเดินกลับมาข้างรถม้าอีกครั้ง พูดเสียงเบา “ระหว่างทางกลับให้ไปช้าๆ คอยมองสังเกตด้วย หากเห็นมีคนสะกดรอยตาม ไม่ต้องสนใจเขา ข้าก็อยากรู้นักว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ และคิดจะทำอะไร?”
เหวินเปียวพยักหน้า พอเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปบนรถม้าแล้ว ก็บังคับรถม้ากลับอย่างเชื่องช้าตามสั่ง ตอนที่เดินทางมาได้ครึ่งทาง ก็พบคนผู้หนึ่งด้านหลัง รีบกดเสียงบอกเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดมุมหนึ่งของม่านรถออก สังเกตด้านหลังอย่างถี่ถ้วน กระทั่งเห็นว่าคนที่สะกดรอยตามเป็นใคร ถึงปล่อยม่านลง พูดกับเหวินเปียว “ไม่ต้องสนใจเขา เขาไม่มีทางได้เงื่อนงำใดกลับไป”
เหวินเปียวได้ฟังเร่งความเร็วม้า ไม่นานก็กลับมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง
ภายในร้านไม่มีลูกค้าแล้ว เมิ่งอี้และคนอื่นๆ กำลังปัดกวาดเช็ดถู ซุนวั่งนั่งบนม้านั่งหลังโต๊ะคิดเงิน ใบหน้าอ่อนล้าโรยแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพูดกับเขา “ท่านพ่อตา ลำบากท่านแล้ว ท่านนั่งก่อนเถิด ข้าจะให้พวกนางต้มก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งมาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
ซุนวั่งก็ไม่เกรงใจ “ของข้าเพิ่มเนื้อเพิ่มผักหนึ่งชามใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้พวกเขาทำเดี๋ยวนี้” พูดจบ เดินไปที่ครัวด้านหลัง สั่งการสะใภ้เหวินทั้งสามคนต้มก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งให้คนในร้าน ทำเหมือนเมื่อวาน เพิ่มเนื้อและผักให้มากขึ้น
สะใภ้เหวินทั้งสามคนทำงานคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานก็ต้มเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวยกชามใหญ่มาวางตรงหน้าซุนวั่งด้วยตัวเอง
ซุนวั่งรู้สึกตกใจที่ได้รับความเอ็นดู รีบยกมือรับมา กล่าวขอบคุณอย่างเบิกบาน
ส่วนคนอื่นๆ เข้าไปยกรสชาติที่ตัวเองชอบออกมาเอง นั่งบนม้านั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย
วันนี้ได้พวกเหวินเปียวมาช่วยเพิ่ม ทุกคนดูไม่เหนื่อยเท่าเมื่อวานแล้ว ต่างกินไปพลางเถียงอย่างออกรสออกชาติว่าวันนี้ขายได้เงินกี่มากน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเจ้าไม่ต้องเถียงกัน ถามนายบัญชีของพวกเราก็รู้แล้ว”
ทุกคนมองไปที่ซุนวั่ง
ซุนวั่งยังไม่รู้ตัวว่านายบัญชีที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถึงคือตัวเอง เห็นทุกคนมองมาที่ตัวเอง หน้าฉงนถามกลับ “พวกเจ้ามองข้าทำไม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านก็คือนายบัญชีของพวกเรา พวกเราไม่มองท่านจะมองใครล่ะเจ้าคะ?”
ซุนวั่งได้สติพลัน หลังจากคีบคำใหญ่เข้าปาก ถึงค่อยๆ ชูนิ้วทั้งห้าขึ้น
สะใภ้เหวินเปียวหยั่งเชิงถาม “อย่าบอกว่าได้ห้าสิบตำลึงนะ?”
ซุนวั่งพยักหน้า
คนทั้งหมดส่งเสียงโห่ร้องแตกต่างกันไป
เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึงถาม “ตอนข้าออกไปมีลูกค้าเข้ามามากหรือ? เหตุใดรายได้ของวันนี้ถึงมากกว่าเมื่อวาน?”
ซุนวั่งกลืนก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งในปาก พูดว่า “วันนี้คนที่เหลาจวี้เสียนสั่งมาก เมื่อครู่ข้าตัดบัญชีกับหลงจู๊แล้ว ประมาณยี่สิบตำลึงได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยิ้มพูด “พวกเราได้อาศัยใบบุญของเหลาจวี้เสียนโดยแท้”
เมิ่งอี้พูดสมทบ “ถูกต้องเลย ปริมาณที่ลูกค้าที่นั่นต้องการพอๆ กับที่พวกเราขายได้เองในร้าน ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง เจ้าจะต้องขอบคุณหลงจู๊ให้เต็มที่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น “ไม่ต้องรอภายหน้า ข้าจะเข้าไปขอบคุณเขาเดี๋ยวนี้”
พูดจบสั่งการทุกคน “พอพวกท่านกินเสร็จ ก็เก็บกวาดร้านรอข้า เมื่อข้ากลับมา พวกเราจะไปทันที”
คนทั้งหมดรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหวานถามซุนวั่ง “ท่านพ่อตา วันพรุ่งท่านยังจะมาอีกหรือไม่?”
ซุนวั่งสำลักก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งคำสุดท้ายที่คอหอย สำลักไอไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอคำตอบเขา ยกยิ้มเดินไปเหลาจวี้เสียน
ในเหลาจวี้เสียนก็ไม่มีลูกค้า พวกเสี่ยวเอ้อร์กำลังเก็บกวาดห้องโถง หลงจู๊กำลังดีดลูกคิดข้างโต๊ะคิดเงิน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรงมาข้างโต๊ะคิดเงิน แย้มยิ้มพูด “หลงจู๊ วันนี้ท่านช่วยพวกเราขายก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งได้อีกไม่น้อย ข้าเข้ามาขอบคุณท่าน”
หลงจู๊ปิดบัญชีในมือ เงยหน้า ยกยิ้มตอบกลับ “แม่นางเกรงใจแล้ว เทียบกับที่พวกเจ้าช่วยเหลาจวี้เสียน นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย เพียงแค่ให้เสี่ยวเอ้อร์วิ่งไปวิ่งมาเท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่อย่างไรพวกท่านก็ช่วยข้าเป็นอย่างมาก หากข้าไม่ทำอะไรเลย ให้รู้สึกละอายใจนัก ดังนั้นที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากจะมอบอีกหนึ่งสูตรอาหารให้พวกท่าน แต่ไม่รู้ว่าที่นี่มีวัตถุดิบนั้นหรือไม่?”
สูตรอาหารของเมิ่งเชี่ยนโยวขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทุกครั้ง หลงจู๊ได้ฟังดีใจลิงโลด รีบร้อนพูด “แม่นางต้องการสิ่งใดขอให้บอก หากภัตตาคารพวกเราไม่มี ข้าจะเขียนจดหมายถึงนายท่าน ให้เขาหาวิธีนำมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าต้องการกุ้งสดจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าภัตตาคารของพวกท่านมีหรือไม่?”
หลงจู๊ตะลึงค้าง แล้วถามขึ้น “กุ้งที่แม่นางพูดถึง ก็คือกุ้งที่พวกชาวประมงจับมาได้จากริมทะเล”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หลงจู๊ลนลานโบกมือ “ของพวกนั้นเรากินไม่ลงหรอก คาวมาก มีปีหนึ่ง ตอนเข้าไปรายงานบัญชีในเมืองหลวง ไม่รู้ว่านายท่านไปได้ของสิ่งนั้นมาจากที่ใดมากมาย ให้พ่อครัวเหลาจวี้เสียนในเมืองหลวงทำให้พวกเรากิน ปรากฏว่ากลิ่นคาวตลบอบอวลไปทั้งห้อง กลิ่นคลุ้งจนข้ากินข้าวไม่ลงไปหลายวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “นั่นเพราะพวกท่านไม่ได้กำจัดกลิ่นคาวออกก่อน ถึงได้เป็นเช่นนั้น ขอเพียงท่านได้วัตถุดิบมา ข้ารับรองว่าจะทำกุ้งเลิศรสรสชาติที่ต่างออกไปได้แน่นอน”
หลงจู๊ลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ไม่เพียงกุ้ง หากเป็นไปได้ ท่านให้นายท่านของพวกท่านส่งอาหารทะเลหลากหลายชนิดมา ข้าทำให้ท่านกินได้ทุกแบบ เชื่อข้า หลังจากท่านกินแล้ว จะต้องรู้สึกว่าอาหารในตอนนี้ของเหลาจวี้เสียนเทียบชั้นอาหารเหล่านั้นไม่ได้เลย”
หลงจู๊ยิ่งให้หวั่นไหว ลองพูดว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงนายท่าน ให้เขาหาวิธีจัดหาบางส่วนมาให้แม่นางทำให้พวกเราลิ้มรส”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขา “บอกให้นายท่านของพวกท่านจะต้องส่งแบบสดใหม่เข้ามา ไม่เพียงทำเป็นอาหารจานเดียวได้ ยังสามารถใส่เพิ่มลงไปในพระกระโดดกำแพงได้ รสชาติจะยิ่งหอมอร่อย”
หลงจู๊พยักหน้า “ได้ ข้าจะเขียนจดหมายถึงนายท่านเดี๋ยวนี้ เมื่อวัตถุดิบมาถึง ข้าจะแจ้งแม่นางทันที”
หลังจากพูดกับหลงจู๊เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาในร้านตัวเอง เห็นทุกคนต่างกินอิ่มแล้ว ในร้านก็เก็บกวาดอย่างสะอาดเอี่ยม หลังจากให้เมิ่งอี้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็สั่งเหวินเปียว เหวินหู่ให้บังคับรถม้ากลับบ้าน
สองสามีภรรยาเมิ่งและเมิ่งเสียน เมิ่งฉีได้ยินว่าขายได้ห้าสิบกว่าตำลึง ต่างดีใจลิงโลด
ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ลูกค้าในร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งลดน้อยลง แต่เงินที่ขายได้มิได้ลดน้อยลง เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าการค้าเข้ารูปเข้ารอย คนทั้งหมดก็คุ้นเคยงานแล้ว จึงไม่ได้เข้าเมืองไปทุกวันอีก
เริ่มแรกซุนวั่งยังประพฤติตัวดี เข้าไปช่วยในร้านทุกวัน เวลาผ่านไปนานเข้า เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่จับจ้องตนเองอีก ก็เริ่มแอบอู้ หากไม่อยู่แต่ในบ้าน ก็จะไปนัดเจอกับเพื่อนเกเรสองสามวันติด
เริ่มแรกเมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา
ไม่คิดว่าเขาจะยิ่งหนักข้อขึ้น ภายหลังไม่มาเห็นหน้าถึงสามสี่วัน
วันนี้เช้าตรู่ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวบังคับรถม้าไปจวนซุน พกรอยยิ้มไปเชิญเขา
ซุนซ่านเหรินถึงได้รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งอยู่ในเมือง หลังจากอวยพรชุดใหญ่ ได้ทราบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้ซุนวั่งไปช่วยที่บ้านทุกวัน ก็ให้ตื้นตันใจ ให้บ่าวไปเรียกเขาออกมาอย่างไม่รีรอ กำชับเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
ซุนวั่งหวาดกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวมาก เห็นนางมาหาถึงบ้าน รีบออกมาพร้อมเขาแต่โดยดี
เป็นเช่นนี้ซ้ำหลายครั้ง ซุนวั่งตกใจกลัวจนไม่กล้าไม่มาอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขา ต่อไปทุกเจ็ดวันให้เขาหยุดได้หนึ่งวัน
ซุนวั่งได้ยินเช่นนั้น ดีใจเป็นล้นพ้น กล่าวขอบคุณไม่หยุด ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เหวินซื่อให้พนักงานไปส่งข่าว บอกว่าตัวยาสำคัญที่สุดสำหรับปรุงยากำจัดรอยแผลเป็นส่งมาถึงแล้ว ให้นางเข้าไปรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวโกรธเคืองเขา ไม่ได้ไป บอกเหวินเปียวและเหวินหู่ให้เอารถม้าไปขนถ่ายกลับมา
เหวินซื่อยังคงไม่รู้ว่าตัวเองล่วงเกินเมิ่งเชี่ยนโยวเข้า เอาแต่ถามเหวินเปียวว่าเหตุใดนางถึงไม่เข้ามา
อาหารทะเลของเหลาจวี้เสียนยังไม่ได้ส่งเข้ามา
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็จัดการเรื่องราวต่างๆ ในโรงงานได้อย่างมีระบบระเบียบ เมิ่งเชี่ยนโยวนอกจากจะไปดูการเจริญเติบโตของฉั่งฉิกบนภูเขาหมู่บ้านหลี่ เวลาที่เหลือจะตั้งใจปรุงยาที่บ้าน
ชั่วเวลาพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองเดือนกว่า ไม่เพียงเก็บเกี่ยวพืชพรรณบนแปลงดิน แม้แต่มันฝรั่งฤดูใบไม้ร่วงก็เก็บเกี่ยวทั้งหมดแล้ว
มันฝรั่งหนึ่งร้อยกว่าหมู่ แรงงานในหมู่บ้านไม่เพียงพอ เมิ่งต้าจินไปหาคนหมู่บ้านใกล้เคียงเข้ามาช่วย ผู้ใหญ่บ้านใกล้เคียงย่อมต้องเลือกคนที่ทำงานแข็งขัน พวกชาวบ้านราวกับทำการแข่งขัน ขุดมันฝรั่งอย่างเอาจริงเอาจัง ต่อให้ลูกเล็กแค่ไหนก็ไม่เหลือทิ้งไว้
ขุดมันฝรั่งเสร็จ ใบมันฝรั่งย่อมตกเป็นของพวกเขาเหมือนเดิม คนต่างหมู่บ้านดีใจแทบคลุ้มคลั่ง กลางคืนไม่หลับไม่นอน แย่งชิงมาไว้บ้านตัวเอง
อากาศเริ่มเย็นลง ได้ฤกษ์เปิดโรงงานกุนเชียง เมิ่งเชี่ยนโยวให้หลงจู๊เหลาจวี้เสียนส่งข่าวบอกจูต้าจ้วง ยังไม่ถึงวันถัดมา จูต้าจ้วงก็บังคับรถเทียมเกวียนยิ้มร่าเข้ามา พอพบหน้าก็พูดด้วยความยินดี “ข้าประเมินเวลาช่วงนี้ไว้พอดี ให้พรรคพวกตุนหมูเป็นเอาไว้ แม่นางต้องการเท่าไร พวกเรามีให้เท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าจะเปิดโรงงานสี่แห่ง ต้องการเนื้อหมูมากกว่าแต่ก่อนมาก ไม่ทราบว่าเถ้าแก่จูพอจะส่งมอบให้ข้าตามเวลาได้หรือไม่”
จูต้าจ้วงตบหน้าอกรับประกัน “ไม่มีปัญหา รอบรัศมีร้อยลี้นี้ นอกจากข้าท่านหาโรงเชือดหมูที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูดว่า “ตามกฎเดิม ท่านต้องรับประกันว่าเนื้อหมูจะสดใหม่ทุกวัน ข้าจะตัดเงินให้ท่านตรงตามเวลาทุกวัน”
จูต้าจ้วงดีใจยิ้มไม่หุบ ขานรับเต็มปากเต็มคำ
หลังจากทั้งสองตกลงวันส่งหมูเสร็จ จูต้าจ้วงก็บังคับรถเทียมเกวียนยิ้มร่ากลับไป
ตอนที่ 231-3 เคืองโกรธเหวินซื่อ
เหลือแต่เพียงการรับสมัครคนงานแล้ว คนในหมู่บ้านหลี่ว่างงานช่วงฤดูหนาว จึงไปวิงวอนให้จางจู้มาพูดขอร้อง เมิ่งเชี่ยนโยวรับปากทันควัน ทั้งบอกจางจู้ว่า ยังคงมีอาหารเที่ยงให้หนึ่งมื้อ แต่ต้องหักเงินคนละหนึ่งอีแปะ
ได้กินผัดผักรวมใส่หมูทุกวัน หักเพียงแค่หนึ่งอีแปะ มีแต่ได้กับได้ คนในหมู่บ้านหลี่ไฉนเลยจะไม่ยินยอม ต่างต้องการจะมาทำงานด้วย
เพิ่งจะเลือกคนงานจากหมู่บ้านหลี่เสร็จ ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านข้างเคียงต่างเข้ามาหาเมิ่งต้าจินพร้อมกัน ไต่ถามว่าคนในหมู่บ้านตนเองขอเข้ามาทำงานด้วยได้หรือไม่
เมิ่งต้าจินเริ่มลำบากใจ พูดบ่ายเบี่ยงว่าตนเองต้องไปถามเมิ่งเชี่ยนโยวก่อน
เหล่าผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ไปไหน บอกให้เขาไปถาม พวกเขารอได้
เมิ่งต้าจินไม่มีทางเลือก จำต้องไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดเล็กน้อย บอกเขาว่า “ให้รับสมัครหมู่บ้านละสามสิบคนก่อน หากคนงานไม่พอ ค่อยไปรับสมัครจากหมู่บ้านพวกเขาเพิ่ม”
แม้สามสิบคนจะเป็นปริมาณน้อยไปบ้าง ทว่าหนทางอีกยาวไกล บรรดาผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ผิดหวังอะไร กลับไปรับสมัครคนอย่างเบิกบาน
กำหนดเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เลือกวันดี เปิดโรงงานกุนเชียงอย่างเป็นทางการ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนส่งข่าวบอกเซี่ยเจียงเฟิง วันถัดมาเซี่ยเจียงเฟิงก็เข้ามา พอเห็นว่าจะเปิดโรงงานรวดเดียวสี่โรง ก็ให้ดีใจลิงโลด พูดโพล่งว่าปีนี้ตนเองจะมีกำไรก้อนโตอีกแล้ว ทั้งขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง กุนเชียงที่ผลิตออกมาจะต้องขายให้ตนเองทั้งหมด
ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องตลาดการค้า เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมยินดีตบปากรับคำ
ฤดูหนาวพืชผักสดน้อย ไม่เพียงมันฝรั่งกลายเป็นสินค้าขายดี แม้แต่เส้นแป้งมันฝรั่งก็ขายออกรวดเร็ว ทุกครั้งที่เถ้าแก่หวังเข้ามาขนมันฝรั่งจะต้องมีความสุขยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งก็ดังจนฉุดไม่อยู่ ทุกวันที่เปิดประตู จะมีคนมายืนรอกินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งหน้าประตู กระทั่งลูกค้าจากตำบลใกล้เคียงห่างออกไปหลายสิบลี้ก็ยอมเดินทางมาเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งหนึ่งชาม
ลูกค้าในตำบลต่างร้องขอให้พวกเขาเปิดร้านตอนค่ำด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับปาก ตำบลอยู่ไกลจากบ้านมาก หากปิดร้านตอนกลางคืนกว่าจะกลับถึงบ้านก็คงค่อนคืนแล้ว เส้นทางไม่ปลอดภัยไม่ว่า แต่คนในร้านก็จะเหนื่อยล้ามาก และเพราะสาเหตุนี้ คนที่มากินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งตอนเที่ยงถึงมีจำนวนมากโข พวกเมิ่งอี้ทำไม่ทัน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงให้บุตรชายสองคนของจางจู้และหลานชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่เข้ามาทำงานด้วย
เด็กแรกรุ่นทั้งสามคนต่างดีอกดีใจ ทุกเช้าจะเข้ามาพร้อมกันแต่เช้าตรู่ หลังจากเลิกงานตอนเย็น ก็กลับบ้านไปด้วยกันอย่างมีความสุข
เมิ่งเชี่ยนโยวปรุงยารักษารอยแผลเป็นออกมาได้หลายขวดแล้ว ให้เหวินเปียวนำส่งไปร้านยาเต๋อเหริน เหวินซื่อได้รับมา รีบให้คนนำส่งไปเมืองหลวง
ในวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงหน้าร้านเพิ่งจะลงจากรถม้า หลงจู๊เหลาจวี้เสียนก็ก้าวเท้าฉับๆ ออกมาจากในร้าน ร้องเรียกนางข้ามถนน “แม่นางเมิ่ง ข้ากำลังจะให้คนไปส่งข่าวแก่เจ้า อาหารทะเลที่เจ้าพูดถึง นายท่านของพวกเราให้คนส่งมาให้แล้ว!”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งพวกเมิ่งอี้เปิดประตูร้าน ตนเองหันหลังเดินไปเหลาจวี้เสียน เข้ามาหลังร้านพร้อมหลงจู๊
หลังร้านมี**บใบใหญ่หลายใบวางเรียงเป็นแถว ด้านในบรรจุสัตว์ทะเลเป็นๆ ชนิดต่างๆ
หลงจู๊พูดว่า “ที่นี่อยู่ห่างไกลจากทะเลมาก อาหารทะเลที่ส่งมาทุกครั้ง ไม่ถึงครึ่งทางก็ตายเรียบ นายท่านของพวกเราให้คนคิดหาวิธี ดังนั้นจึงใช้เวลาหลายวันกว่าจะส่งมาถึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดลอยๆ “นายท่านของพวกท่านไม่ธรรมดาเลย สามารถส่งอาหารทะเลเข้ามาในคราเดียวได้มากมายเช่นนี้”
หลงจู๊แย้มยิ้มไม่พูดต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ให้เสี่ยวเอ้อร์นำเครื่องมือเข้ามาตักกุ้งจำนวนหนึ่ง พูดกับพ่อครัว “วันนี้ข้าจะสอนทำกุ้งสองสามชนิดก่อน ที่เหลือข้าจะค่อยๆ สอนท่าน”
พ่อครัวไม่เคยเห็นสัตว์ทะเลเป็นๆ ดิ้นไปดิ้นมาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ทำเลย แค่ได้เห็นก็ยังรู้สึกแปลกประหลาด พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสอนตนเอง ดีใจเดินตามต้อยๆ เข้าไปในห้องครัวเล็ก
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มสอนวิธีทำความสะอาดกุ้งให้พ่อครัวก่อน บอกเขาว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องกำจัดเส้นดำที่หลังของกุ้งออก
พ่อครัวทำตามนั้น
ทำความสะอาดกุ้งเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็สอนพ่อครัววิธีทำกุ้งหลายๆ แบบ
พ่อครัวจดจำอย่างละเอียด
หลังจากสอนเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปหนึ่งชั่วยามกว่า ในเหลาจวี้เสียนมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยแล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาหลงจู๊ เดินออกมาจากเหลาจวี้เสียน คิดจะกลับร้านตนเอง กลับเห็นมีคนอยู่ในมุมอับจ้องมองไปที่ร้านตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เดินตรงไปทางนั้น
คล้ายว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกตัว มองมาทางนี้แวบหนึ่ง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรงมาหาตัวเอง ตกใจหันหลังเผ่นแนบทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่วิ่งไล่ตาม ยิ่งให้ขมวดคิ้วเกร็งแน่น
เหวินเปียวยกถาดออกมากำลังจะไปส่งก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งที่เหลาจวี้เสียน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนข้างมุมกำแพง ถามด้วยความประหลาดใจ “แม่นาง ท่านมาทำอะไรตรงนี้ขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเขา “นับแต่วันนี้ไป เจ้าไม่ต้องช่วยทำงานแล้ว คอยลาดตะเวนรอบร้าน ดูว่ามีคนมาจับตาดูพวกเราทุกวันหรือไม่”
เหวินเปียวรับคำสั่ง หลังจากยกก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งไปส่งเหลาจวี้เสียนก็คอยสอดส่องตรวจตราโดยรอบ
แต่หลายวันต่อมา ไม่รู้เพราะร้อนตัวที่ถูกจับได้ หรือเพราะเหวินเปียวคอยลาดตะเวน จึงไม่ปรากฏผู้ต้องสงสัยใดๆ อีก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ผ่อนคลายความระแวดระวัง สั่งกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ รวมถึงเหวินเป้า ไม่ว่าใครไปร้านค้า จะต้องคอยระวังความเคลื่อนไหวนอกร้าน หากพบผู้ต้องสงสัยไม่ต้องออมมือ ให้จับตัวเขาถามว่าใครเป็นผู้บงการ
วันเวลาผ่านไปอย่างสงบราบเรียบ นอกจากไปช่วยที่ร้านสม่ำเสมอ เวลาส่วนใหญ่เมิ่งเชี่ยนโยวจะหมดไปกับการปรุงยารักษารอยแผลเป็นที่บ้าน
คนในครอบครัวต่างก็ทำงานในหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ทุกวันเช้าตรู่ออกจากบ้าน กระทั่งยามค่ำโรงงานเลิกถึงกลับมา
วันนี้เพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายแก่ เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังปรุงยาอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงร้องลั่นหน้าประตูใหญ่ เงยหน้ามองดู เห็นเมิ่งชื่อกลับมา ประหลาดใจ ลุกขึ้นเดินออกมาถามขึ้น “ท่านแม่ เหตุใดวันนี้ถึงกลับมาแต่หัววัน? มีเรื่องอันใดหรือ?”
เมิ่งชื่อหน้าตาหม่นหมอง น้ำเสียงก็แหบต่ำ “วันนี้แม่รู้สึกไม่สบายใจเลย กลับมาพักผ่อนเสียหน่อย” พูดจบ เดินเข้าไปในห้องตัวเอง
นับตั้งแต่ที่ตัวเองข้ามภพมา ไม่ว่าจะลำบากแสนเข็ญเพียงใด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เคยเห็นเมิ่งชื่อในสภาพนี้ ยิ่งให้ประหลาดใจ เดินตามเข้าไปในห้อง เทน้ำให้เมิ่งชื่อที่เอนตัวนอนบนเตียงเตาแล้ว “ท่านแม่ ดื่มน้ำเสียหน่อยเถอะ”
เมิ่งชื่อลุกขึ้นรับแก้วน้ำ แหงนหน้ากระดกน้ำดื่ม
เมิ่งเชี่ยนโยวรอนางดื่มเสร็จถึงถามว่า “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาว พูดว่า “วันนี้ป้าใหญ่เจ้ามาหาแม่ที่โรงงาน บอกว่าอยากให้สะใภ้ซุนไปกำหนดวันแต่งงานกับครอบครัวอิงจื่อ”
“นี่เป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ เหตุใดท่านแม่ถึงดูไม่สบายใจเลย?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาวอีกครั้ง “แม่มิได้ไม่สบายเพราะเรื่องนี้ แม่เพียงคิดว่าไม่รู้เมื่อใดพี่ใหญ่เจ้าถึงจะได้แต่งงาน ถึงได้จิตใจห่อเ**่ยวเช่นนี้ ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเย็บกระเป๋านักเรียน ถึงได้ตรงกลับมาพักที่บ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดอาการไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พูดว่า “ท่านกลับมาด้วยสภาพนี้ ข้ายังนึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น ตกใจแทบแย่”
เมิ่งชื่อถอนหายใจต่อเนื่อง “นี่ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ พ้นปีนี้ไปพี่ใหญ่เจ้าก็จะอายุสิบเจ็ดปี แม้ใจร้อนแทบคลั่งแล้ว”
“ใจร้อนก็ไปพูดสิเจ้าคะ พี่ใหญ่และแม่นางซุนก็หมั้นหมายกันมานานแล้ว สมควรแต่งงานได้แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเบาสบาย
เมิ่งชื่อหยุดชะงักในท่าดื่มน้ำ จากนั้นเบิกตาโตด้วยความยินดี ถาม “เจ้าบอกว่า พวกเราเข้าไปพูด ให้พี่ใหญ่และแม่นางซุนแต่งงานกันเร็วขึ้นได้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“แบบนี้ซุนซ่านเหรินจะเห็นด้วยหรือ?” เมิ่งชื่อถามอย่างไม่แน่ใจ
“ชายต้องแต่งงาน หญิงต้องมีเรือน แม่นางซุนก็อยู่ในวัยที่สมควรต้องแต่งงานแล้ว ซุนซ่านเหรินไม่คัดค้านหรอก” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เมิ่งชื่อกระฉับกระเฉงขึ้นมาพลัน ตบหน้าขาด้วยความยินดี “จริงด้วย เหตุใดแม่ถึงคิดไม่ถึง แม่นางซุนเองก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว”
พูดจบ ก็วางแก้วในมือลงบนโต๊ะ ใส่รองเท้าลงจากเตียง “แม่จะไปหาแม่สื่อหมู่บ้านข้างๆ ให้วันพรุ่งนางเข้าไปพูดเจรจา”
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งนางไว้ ชี้ไปที่ท้องฟ้าด้านนอก “รถม้าในบ้านไม่อยู่ หากท่านเดินไป กลับมาก็คงมืดค่ำแล้ว พรุ่งนี้ช่วงเช้าให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปส่งท่านเถอะ”
“ไม่ได้ แม่จะไปเดี๋ยวนี้ วันพรุ่งตอนเช้าแม่สื่อจะได้ไปพูดเจรจาเลย ไม่ต้องสนใจแม่ แม่เดินเร็ว ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” พูดจบ ก็เดินฉับๆ ออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่แย้มยิ้มส่ายหน้าอยู่ด้านหลัง
เมิ่งชื่อท่าทีกระฉับฉับไวจริงๆ พวกซุนเหลียงไฉเพิ่งจะเลิกเรียนกลับมาไม่นาน นางก็ยิ้มหน้าบานกลับมาแล้ว พ้นประตูเข้ามา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังเก็บข้าวของทำอาหารในครัว ด้านหนึ่งพับแขนเสื้อเข้ามารับงานในมือนาง ด้านหนึ่งดีใจพูดว่า “แม่สื่อรับปากแม่ทันที พรุ่งนี้จะไปเจรจาสู่ขอที่จวนซุน พรุ่งนี้เจ้าให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปส่งนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านแม่ ท่านใจร้อนเกินไปแล้ว ต่อให้ให้แม่สื่อไปพูดสู่ขอ พวกเราก็ต้องเตรียมของขวัญนะเจ้าคะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าผากตัวเอง “พอแม่ดีใจ ก็ลืมไปทุกอย่างไปสิ้น เจ้าพูดถูก จะให้แม่สื่อไปมือเปล่าไม่ได้” พูดจบถามขึ้นอีก “เจ้าว่าเตรียมของขวัญอะไรดี?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ยิ้มพูด “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ ท่านไปถามท่านป้าใหญ่เถิด”
เมิ่งชื่อไม่ทำอาหารแล้ว เช็ดมือลวกๆ “แม่จะไปถามป้าใหญ่เจ้าเดี๋ยวนี้ อาหารค่ำเจ้าเป็นคนทำนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะอ้าปาก เมิ่งชื่อก็เดินออกไปจากครัวแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ทำอาหารต่อไป
คนในครอบครัวทยอยกลับกันมา เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวทำอาหาร ถามอย่างประหลาดใจ “พ่อได้ยินอู๋ต้าบอกว่าแม่เจ้ากลับมาตั้งนานแล้ว นางหายไปไหนเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ท่านแม่หรือ ไปจัดการเรื่องสำคัญเจ้าค่ะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามด้วยความใคร่รู้ “จัดการเรื่องใหญ่อันใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเสียนที่พอเข้ามาก็มาช่วยนางเผาไฟ ยิ้มพูด “ท่านแม่นะ อยากให้พี่ใหญ่และแม่นางซุนแต่งงานในเร็ววัน จึงไปถามป้าใหญ่ว่าควรให้แม่สื่อนำของขวัญใดไปเจรจาสู่ขอดีเจ้าค่ะ”
เมิ่งเสียนหน้าแดงวาบทันที
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีใจเป็นอย่างมาก น้ำเสียงเจือแววยินดี “นี่เป็นเรื่องเมื่อใดกัน เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินแม่เจ้าเอ่ยถึงมาก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายให้เขาฟัง
เมิ่งเอ้ออิ๋นยิ่งให้ยินดี พูดว่า “เสียนเอ๋อร์ก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้วจริงๆ แม่เจ้าทำได้ดี นับแต่วันพรุ่งนี้พ่อก็จะไม่ไปโรงงาน อยู่บ้านเก็บกวาดห้องหอ”
เมิ่งเสียนเอาแต่ก้มหน้าแดงก่ำไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้าเขา “พี่ใหญ่ ได้ยินเรื่องจะไปสู่ขอบ้านซุน เหตุใดท่านถึงไม่ดีใจเล่า หรือว่าท่านไม่อยากแต่งงาน?”
เมิ่งเสียนเงยหน้า ลนลานพูด “ที่ไหนกัน ข้าแทบอยากจะแต่งแม่นางซุนมาเสียวันนี้พรุ่งนี้เลยต่างหาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าร้อง “อ่อ” หัวเราะจ้องมองเขา
เมิ่งเสียนถึงรู้สึกตัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้าตนเอง ยิ่งให้หน้าแดงก่ำ ก้มหน้าเก้อเขิน แสร้งเผาไฟไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
เมิ่งชื่อกลับมาได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานของนาง เดินเข้ามาในครัว ถาม “มีเรื่องอะไรถึงดีใจเช่นนี้?”
“ก็ต้องเป็นเรื่องที่พี่ใหญ่จะแต่งงานสิเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ
เมิ่งชื่อมองบุตรชายคนโตที่เอาแต่ก้มหน้าเผาไฟ พูดอย่างสำราญใจ “แม่ปรึกษากับป้าใหญ่แล้ว พวกเราจะนำของสิ่งหนึ่งไปสู่ขอ พรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปซื้อในเมือง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยุยงนาง “ท่านแม่ พรุ่งนี้พอท่านซื้อของขวัญเสร็จ ตรงเข้าไปเจรจาสู่ขอพร้อมแม่สื่อเลย เช่นนี้จะแสดงถึงความจริงใจเต็มเปี่ยมของพวกเรา ไม่แน่ว่าซุนซ่านเหรินจะยิ่งให้ตอบตกลงด้วยความยินดี”
เมิ่งชื่อถึงกับเอามาขบคิดอย่างตั้งใจ และเห็นดีเห็นงามด้วย “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปด้วยกัน หากซุนซานเหรินไม่ยอม แม่จะขอร้องจนกว่าเขาจะตอบตกลง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่เห็นด้วย “มีแม่สามีที่ไหนตามเข้าไปพูดสู่ขอกันเล่า เจ้าอยากให้พวกชาวบ้านหัวเราะเยาะเรอะ?”
เมิ่งชื่อไม่แยแส “ข้าไม่สน ขอเพียงตบแต่งสะใภ้กลับมาได้เร็ววัน ใครอยากหัวเราะเยาะก็หัวเราะเยาะไป”
เป็นดังคาด วันรุ่งขึ้นเมิ่งชื่อและสะใภ้เมิ่งต้าจินเข้าไปซื้อของขวัญในเมืองด้วยกัน หลังจากซื้อของเสร็จก็ตามแม่ซื้อเข้าไปจวนซุน
แม่สื่อไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ที่ว่าที่แม่สามีจะตามไปเจรจาสู่ขอด้วย ใช้สายตาแปลกประหลาดมองเมิ่งชื่อไปตลอดทาง
เมิ่งชื่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น นั่งบนรถม้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
มาถึงหน้าประตูจวนซุน แม่สื่อและเมิ่งชื่อถือของขวัญลงจากรถม้า
จับแต่งเสื้อผ้าของตัวเอง พอเห็นว่าเหมาะสมดีแล้ว ให้แม่สื่อเดินไปหน้าประตู พูดกับบ่าวรับใช้ “รบกวนเจ้าไปเรียนนายท่านและฮูหยินของพวกเจ้า บอกว่าข้ามาจากหมู่บ้านหวงมาเจรจาสู่ขอ”
บ่าวนึกว่าเมิ่งชื่อตามมายกของขวัญให้ ไม่ได้สนใจนาง มองประเมินแม่สื่ออย่างละเอียด ถึงพูดว่า “ท่านรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานก่อน” พูดจบ หันกลับเข้าไปในลานเรือน
ซุนซ่านเหรินได้ยินรายงานจากบ่าวให้ตกตะลึง รีบสั่งบ่าว “พาพวกเขาไปห้องรับรองแขก” บ่าวขานรับเดินออกมา
ซุนซ่านเหรินพูดกับบ่าวข้างกาย “ไปตามฮูหยินและคุณหนูซุนเข้ามา”
บ่าวกลับมาถึงหน้าประตู พูดกับทั้งสองคน “เชิญท่านสองท่านตามข้าเข้ามาด้านในขอรับ”
ทั้งสองถือของขวัญเดินตามบ่าวเข้าไปในลานเรือน
ฮูหยินซุนและซุนเชี่ยนได้ยินบ่าวมารายงาน รีบเดินมาถึงห้องรับรองแขก นั่งรอแม่สื่อเข้ามาพร้อมซุนซ่านเหริน
บ่าวพาทั้งสองคนเข้ามาในลานเรือน พูดอย่างนบนอบ “นายท่าน ฮูหยิน แม่สื่อมาแล้วขอรับ”
เสียงซุนซ่านเหรินดังออกมาจากในห้อง “เชิญนางเข้ามาเถอะ”
บ่าวเดินขึ้นหน้าไปเปิดม่านออก เชิญทั้งคนสองเข้าไป
แม่สื่อนำหน้า เมิ่งชื่อตามหลัง เดินเข้ามาภายในห้อง
ซุนซ่านเหรินและฮูหยินซุนนั่งบนเก้าอี้ประธาน เห็นแม่สื่อเข้ามา ซุนซ่านเหรินกำลังจะหัวเราะเหอะๆ เชิญนางนั่ง กลับเห็นเมิ่งชื่อตามหลังเข้ามา ตกใจลุกพรวด
ซุนเชี่ยนก็เห็นเมิ่งชื่อแล้ว ตกใจไม่น้อย ลนลานลุกขึ้น ร้องถามเสียงสั่น “ท่านป้า ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น