อัจฉริยะสมองเพชร 2304-2307

ตอนที่ 2304 เหลวไหลสิ้นดี!

 

พูดกันตามตรง พวกเขาออกจะไม่ค่อยพอใจที่จู่ๆท่านอาจารย์ก็สั่งให้ยอมรับจางเซวียนเป็นผู้นำคนใหม่ แต่ด้วยความยำเกรงในตัวท่านอาจารย์ จึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่ง


ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มจะมีจอมราชันย์เป็นคนรับใช้?


ทุกคนรู้ดีว่าจอมราชันย์ทรงพลังขนาดไหน จึงนึกไม่ออกว่าชายหนุ่มทำให้จอมราชันย์คนหนึ่งยอมจำนนได้อย่างไร


เหลวไหลสิ้นดี!


“ต่อให้เขามีจอมราชันย์อมตะคอยคุ้มกัน แต่การดวลของ 2 จอมราชันย์ก็ยังถือว่าอันตรายมาก ต่อให้ปรมาจารย์จางไปที่นั่นก็ไม่น่าจะทำอะไรได้หรอก เพราะฉะนั้น รอฟังผลอยู่ที่นี่จะดีกว่า” นักปราชญ์โบราณโป๋ช่างพูด


“จริงด้วย ถ้าจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีรู้ว่าเขาคือผู้สืบทอดของท่านอาจารย์ของเราและคิดร้ายต่อเขา นั่นจะทำให้ท่านอาจารย์เกิดความวอกแวก และอาจต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงโดยไม่จำเป็น” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด


ปัญหาใหญ่คือจางเซวียนจะกลายเป็นภาระของปรมาจารย์ขงทันทีที่จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ซึ่งสิ่งที่อีกฝ่ายต้องทำก็เพียงแค่จงใจใช้เศษเสี้ยวหนึ่งของพละกำลังของเธอเล่นงานจางเซวียนเพื่อทำให้ท่านอาจารย์ของพวกเขาตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ


“พวกคุณก็กังวลไม่เข้าเรื่อง” รู้ดีว่าบรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงกำลังคิดอะไร หลัวฉีฉีส่ายหน้า “จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีไม่มีวันทำร้ายเขาหรอก”


“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว “คุณไม่ควรสบประมาทสิ่งที่มนุษย์จะลงมือทำเมื่อตกอยู่ในอันตรายนะ กฎเกณฑ์และศีลธรรมน่ะไม่มีความหมายหรอกในสถานการณ์แบบนั้น”


จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีลงทุนลงแรงถึงขนาดดั้นด้นเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อเสาะหาคุณสมบัติและความสามารถของท่านอาจารย์ของพวกเขา ในเมื่อเธอหมายมั่นปั้นมือจะเอาชนะการดวลให้ได้ขนาดนี้ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอจะไม่ใช้ความรุนแรงเพื่อบีบบังคับปรมาจารย์ขงให้ยอมจำนน?


ในการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย เรื่องสำคัญเรื่องเดียวคือใครชนะ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ การดวลก็สิ้นสุดทันที


“ฉันคงต้องคิดให้ดีก่อนพูดหากเป็นจอมราชันย์คนอื่น แต่ถ้าเป็นจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีล่ะก็ เธอไม่มีทางทำให้จางเซวียนได้รับบาดเจ็บแน่ ก็เพราะ…” หลัวฉีฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็เพราะเธอคือคนรักของจางเซวียน!”


“คนรัก?”


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง และคนอื่นๆถึงกับจังงัง


ชายหนุ่มเป็นผู้สืบทอดของท่านอาจารย์ของเขา เป็นนายน้อยของจอมราชันย์อมตะ แถมยังเป็นคนรักของจอมราชันย์หลินชีด้วย


นี่มันเป็นบ้าอะไร? ทำไมเขาถึงมีตัวตนที่สำคัญได้มากมายขนาดนี้?


…..


ด้วยการพุ่งผ่านมิติ ไม่ช้าจางเซวียนก็พบว่าตัวเขามาอยู่เหนือมิติแบนราบที่ว่างเปล่า มันกว้างใหญ่และทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา


ไม่มีร่องรอยของพลังจิตวิญญาณหรือความรุนแรงในบรรยากาศ เป็นพื้นที่ที่แยกตัวออกจากส่วนอื่นๆของโลกอย่างสิ้นเชิง


“นี่เราอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว คงยากจะเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ส่วนการต่อสู้นั้นไม่ต้องพูดถึง


“พวกเราอยู่บนดวงจันทร์!” ไก่น้อยตอบ


“ดวงจันทร์?” จางเซวียนทวนคำอย่างงุนงง


ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้สึกว่าพื้นดินที่ตัวเองยืนอยู่เปล่งประกายสีเงินออกมา ดวงดาวระยิบระยับเจิดจ้าดารดาษอยู่รอบตัว สรวงสวรรค์ขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ ปรากฏให้เห็นในระยะไกล


พวกเขาอยู่บนดวงจันทร์จริงๆ


คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาถึงดวงจันทร์ได้ในชั่วพริบตา


จอมราชันย์ช่างน่าสะพรึงเหลือเกิน


จางเซวียนเหลียวมองรอบตัว เห็นผู้คนจำนวนหนึ่งยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง การรับรู้จิตวิญญาณของเขาไม่อาจระบุการปรากฏตัวของคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เจ้าของใบหน้าขนาดใหญ่ที่เขาได้เห็นที่น่านฟ้าหลิงหลงก็อยู่ในหมู่ฝูงชนด้วย


จางเซวียนประหลาดใจที่ไม่เห็นชายหนุ่มซึ่งเคยให้คำชี้แนะเรื่องศิลปะเพลงดาบของเขาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ผู้อาวุโสที่เคยยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มกลับอยู่ที่นี่ เป็นไปได้ว่าจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบคงส่งอีกฝ่ายมาชมการดวลแทนตัวเขา


“เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ก็คือ 9 จอมราชันย์” จางเซวียนพึมพำ


ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้ชมการดวลครั้งนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นจอมราชันย์ มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รีบร้อนมาที่นี่เพื่อให้ทันการดวล และก็เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถปกป้องตัวเองจากคลื่นความสั่นสะเทือนของการต่อสู้


“มันเริ่มแล้ว” ไก่น้อยพูด


จางเซวียนเงยหน้า เห็นสองร่างยืนจังก้าอยู่บนภูเขาสองลูกที่ห่างออกไปหลายพันลี้


หนึ่งในนั้นคือชายชราที่มีเคราสีขาวราวหิมะ เครานั้นปลิวไสวอยู่ในสายลม นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายของความเมตตากรุณาล้ำลึกที่มีต่อโลกใบนี้


อีกฝ่ายคือสาวน้อยผมดำยาวสยาย แววตาของเธอสง่างามและเย็นเยียบตามแบบของจอมราชันย์


หลัวลั่วชิง!


จางเซวียนกำหมัดแน่น


เขาคิดถึงเธอนับตั้งแต่ทั้งคู่แยกจากกันในทวีปแห่งปรมาจารย์ และนึกภาพไว้ล่วงหน้าหลายครั้งหลายหนว่าการกลับมาพบกันอีกครั้งของพวกเขาจะเป็นอย่างไร


แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจริงจะเป็นแบบนี้


เธอกำลังจะเข้าสู่การดวลแบบชี้เป็นชี้ตายกับอีกบุคคลหนึ่งซึ่งก็มีความสำคัญต่อชีวิตของเขา


จางเซวียนเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รอยร้าวปรากฏทันที สายฟ้าฟาดนับไม่ถ้วนก็ฟาดลงมายังพื้นดิน ปลดปล่อยพละกำลังทำลายล้าง พื้นผิวดวงจันทร์สั่นสะท้านไม่หยุด


ท่ามกลางรอยแยกสีดำที่มีอยู่มากมาย หลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงที่ลอยตัวอยู่ก็เริ่มสำแดงกระบวนท่า


กระบวนท่าของทั้งสองไม่ได้ว่องไวมากนัก แต่ทุกการปะทะทำให้เกิดแรงกระแทกที่แทบจะฉีกกระชากโลกทั้งใบให้แยกออกจากกัน


ดูเหมือนพระจันทร์ใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะพละกำลังของพวกเขา มันอาจจะร่วงลงจากกลางอากาศก็ได้


หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางเซวียนก็เข้าใจว่าทำไมหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงถึงเลือกชัยภูมินี้สำหรับการดวลครั้งสุดท้าย


“บนดวงจันทร์ ไม่มีใครใช้พละกำลังของสวรรค์ได้…”


ในฐานะนักรบผู้ควบคุมเศษเสี้ยวของสวรรค์ หากพวกเขาตั้งต้นใช้พละกำลังและอำนาจของสวรรค์ นั่นคงเป็นหายนะต่อความมั่นคงและความเสถียรของโลก ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนจะต้องล้มตาย


ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงตัดสินใจเลือกสนามประลองที่จำกัดให้พวกเขาใช้ได้เฉพาะพละกำลังของตัวเองเท่านั้น


คลื่นความสั่นสะเทือนทรงพลังเสียจนแผ่ซ่านออกไปในระยะหลายพันลี้ เกือบจะถึงตัวจางเซวียน แต่ไก่น้อยก็ปัดป้องมันออกไปไม่ให้ถึงตัวเขา


แต่ดวงจันทร์โชคร้ายที่ไม่มีใครคอยปกป้อง รอยร้าวที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าบนผิวหน้าของมันทำให้มันแยกตัวออกจากกันเพราะแรงปะทะของนักรบผู้ไร้เทียมทานทั้งสอง


จางเซวียนไม่อาจมองเห็นการต่อสู้ได้อย่างชัดเจนเพราะพละกำลังของเขาที่ยังมีจำกัด แถมใช้หอสมุดเทียบฟ้าที่นี่ก็ไม่ได้ จึงได้แต่หันไปมองไก่น้อยแล้วถามว่า “แกคิดว่าใครจะชนะ?”


ไก่น้อยไม่ตอบคำถามของจางเซวียน มันขมวดคิ้วขณะพึมพำด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ “ประหลาดมาก!”


“อะไรประหลาด?” จางเซวียนถาม


“ในเมื่อมันคือการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย ผมก็คิดว่าทั้งคู่น่าจะใส่เต็มที่ แต่เพราะอะไรสักอย่าง…” ไก่น้อยโคลงศีรษะไปมาขณะครุ่นคิดคำถามที่ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้ “ทำไมถึงดูเหมือนพวกเขาต่างก็ยั้งมือ?”


“พวกเขาอาจกำลังหยั่งเชิงเพื่อหาโอกาสโจมตีหรือเปล่า?” จางเซวียนถามขณะเฝ้ามองการดวลด้วยความกังวล


ในการต่อสู้โดยทั่วไป นักรบมักไม่ทุ่มสุดตัวหรือเปิดเผยไม้ตายตั้งแต่ต้น พวกเขาจะลองหยั่งเชิงความสามารถของอีกฝ่ายก่อนจะปลดปล่อยไม้ตายที่มีประสิทธิภาพสูงสุดออกมา


พื้นดินยังคงสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องจากแรงปะทะของทั้งคู่ แม้แต่ภูเขาที่พวกเขาเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็พังทลาย กลายเป็นฝุ่นคลุ้งอยู่กับพื้น


โชคดีที่ปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงไม่ได้อยู่ในสรวงสวรรค์ ไม่อย่างนั้น การต่อสู้ที่รุนแรงระดับนี้คงทำลายได้แม้แต่เมืองใหญ่อย่างเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน เทพเจ้ามากมายคงต้องสังเวยชีวิตให้กับหายนะครั้งนี้


“ด้วยพละกำลังของแกในเวลานี้ คิดว่าพอมีโอกาสยับยั้งพวกเขาได้ไหม?” จางเซวียนถาม


“เป็นไปไม่ได้เลย” ไก่น้อยตอบพร้อมกับส่ายหน้า “วรยุทธของผมพัฒนาขึ้นเล็กน้อยหลังจากฟื้นคืนชีพ แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับการรับมือกับทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นจอมราชันย์หลินชีหรือจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ พวกเขาก็เป็นสุดยอดของสรวงสวรรค์แล้ว ไม่มีจอมราชันย์คนไหนประชันกับพวกเขาได้หรอก”


คำตอบนั้นทำให้จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาเองก็คิดไว้แล้วว่าต้องได้รับคำตอบแบบนี้ แต่ก็อดผิดหวังไม่ได้เมื่อได้ฟังจากปากไก่น้อย ดูเหมือนไม่มีอะไรที่เขาทำได้เลย


แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้ไก่น้อยยับยั้งการดวลครั้งนี้ได้ ในอนาคตก็ย่อมเกิดหายนะครั้งใหญ่อยู่ดี เพียงแค่ยึดสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ให้เกิดช้าออกไปอีกหน่อยเท่านั้น


ฟิ้วววว!


กระแสดาบฉีรูปพระจันทร์เสี้ยวจำนวนมากมายระเบิดออกเต็มพื้นที่โดยรอบ


ในที่สุดหลัวลั่วชิงก็ชักอาวุธของเธอออกมา


ศิลปะเพลงดาบของเธอทั้งสง่าและงดงาม แถมยังดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด จางเซวียนอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อได้เห็น


มันมีความคล้ายคลึงบางอย่างกับศิลปะเพลงดาบที่เขาได้เห็นจากจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบ แต่แนวคิดดูจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย


ศิลปะเพลงดาบของหลัวลั่วชิงให้ความรู้สึกของจิตวิญญาณและอิสระเสรี ราวกับนักรบสักคนที่ปลอดจากพันธะต่างๆในโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง


หลัวลั่วชิงน่าจะเคยได้รับคำชี้แนะจากจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบ


จางเซวียนประเมินระดับพละกำลังของจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบไม่ได้ แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเก่งกาจทัดเทียมกับหลัวลั่วชิงและปรมาจารย์ขง


หลัวลั่วชิงนำศิลปะเพลงดาบของจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบมาถ่ายทอดจิตวิญญาณของเธอเข้าไปและปรับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแบบของตัวเอง


เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จางเซวียนยังรู้สึกได้ว่านอกเหนือจากความโหยหาอิสรภาพ เพลงดาบของหลัวลั่วชิงยังมีแนวคิดของการปกป้องคุ้มกันด้วย


ปัญหาเดียวก็คือสองแนวคิดนี้ขัดแย้งซึ่งกันและกัน ความปรารถนาที่จะปกป้องอะไรสักอย่างคือโซ่ตรวนในตัวของมันเอง ทำให้ผู้นั้นไม่อาจใช้ชีวิตอย่างอิสระ


หากเธอเป็นอิสระอย่างแท้จริง ศิลปะเพลงดาบของเธอคงจะแข็งแกร่งกว่านี้มาก…


จางเซวียนอาจอ่อนด้อยกว่าทั้งคู่ในแง่ของวรยุทธ แต่หากเป็นเรื่องศิลปะเพลงดาบ ก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่ากันเลย

 

 

 


ตอนที่ 2305 ข้อบกพร่องข้อใหญ่

 

การที่เขาสามารถทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบที่เหนือกว่าสวรรค์ก็บ่งบอกอะไรได้มาก


ศิลปะเพลงดาบของหลัวลั่วชิงบรรจุเอาความปรารถนาที่จะปกป้องคุ้มกันไว้ แต่ในส่วนลึกของหัวใจของเธอ สิ่งที่เธอโหยหาอย่างแท้จริงคืออิสระ แม้เธอจะก้าวข้ามความขัดแย้งนี้ไปได้ แต่มันก็กลายเป็นอุปสรรคในการต่อสู้ที่ไม่อาจหนีพ้น


ซึ่งหากเธอต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน สิ่งนี้คงกลายเป็นข้อบกพร่องข้อใหญ่


ซึ่งหากจางเซวียนดูออก ปรมาจารย์ขงก็คงดูออกเช่นกัน


จางเซวียนใจเต้นโครมครามด้วยความกังวล เขาหันไปมองปรมาจารย์ขงและเห็นอีกฝ่ายชักอาวุธออกมา


มันคือไม้เท้าอันหนึ่ง


เพราะเห็นข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของสาวน้อย ไม้เท้าของปรมาจารย์ขงจึงตรงเข้าเล่นงานอีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด การปัดป้องมันแทบจะเป็นไปไม่ได้


ทักษะการใช้ไม้เท้าของเขาไร้เทียมทานจริงๆ…จางเซวียนอัศจรรย์ใจ


ในฐานะครูบาอาจารย์ของโลก ปรมาจารย์ขงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายไม่ใช่เพราะพละกำลังเหนือชั้น แต่เพราะความเข้าใจที่ล้ำลึกในเรื่องวรยุทธของเขา รวมทั้งการพัฒนาระบบปรมาจารย์และค่านิยมที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้น ผู้คนมากมายจึงเห็นเขาเป็นนักปราชญ์ผู้สงบเสงี่ยมคนหนึ่ง


จางเซวียนเคยคิดว่าปรมาจารย์ขงก็คงจะยังสงบเสงี่ยมและสุขุมแม้เมื่ออยู่ในการต่อสู้ แต่หลังจากเห็นภาพนี้ ก็รู้แล้วว่าคิดผิดถนัด


ไม้เท้าของเขาพุ่งตรงเข้าเล่นงานคู่ต่อสู้ด้วยพละกำลังของทั้งโลก ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจต้านทานได้


มันทั้งรุนแรงและเปี่ยมด้วยพละกำลังทำลายล้าง


สิ่งนี้ขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับแนวคิดเรื่องตัวตนของปรมาจารย์ขง


แต่นั่นแหละ ผู้ที่เล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจนราบคาบจะเป็นคนสงบเสงี่ยมได้อย่างไร?


จางเซวียนเดินตามรอยเท้าปรมาจารย์ขง จึงรับรู้ถึงการกระทำต่างๆของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี


ปรมาจารย์ขงคือบุคคลผู้ปรารถนาจะสร้างโลกอันชอบธรรมที่ทุกคนมีความแข็งแกร่งและยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองได้ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เขาจึงจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงในบางครั้ง


ระหว่างยุคสมัยของปรมาจารย์ขงในทวีปแห่งปรมาจารย์ เพื่อให้แน่ใจว่ามวลมนุษยชาติจะมีชีวิตรอด ปรมาจารย์ขงบุกเดี่ยวเข้าเล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น สร้างความปั่นป่วนและสังหารพวกนั้นไปมากมาย


เมื่ออยู่ในมิติเบื้องบน เขาปราบคู่ต่อสู้จำนวนมากเพื่อก่อตั้งและวางระบบของหอนิรันดร์ ทำให้มิติเบื้องบนเจริญก้าวหน้า


แน่นอนว่าปรมาจารย์ขงคือนักรบผู้น่าสะพรึง แต่ความไม่เห็นแก่ตัวของเขาทำให้เขาได้รับความเคารพยกย่องจากใครต่อใคร ไม่ใช่ความหวาดกลัว


น่าสะพรึงสำหรับผู้ที่ล้ำเส้น เมตตาปรานีต่อผู้ที่แสวงหาการเรียนรู้


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปรมาจารย์ขงกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพอย่างสูงตลอดยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย ทั้งยังเป็นที่จดจำของทั้งโลกแม้เวลาจะผ่านมาแล้วหลายหมื่นปี


แต่ก็นั่นแหละ แม้ในกระบวนท่าของเขาก็ยังมีความขัดแย้ง


ถึงการโจมตีของไม้เท้าจะเป็นไปอย่างรุนแรง แต่ผู้พบเห็นก็ยังรู้สึกได้ถึงเจตนาที่เปี่ยมด้วยความสุขุมและปรานี การโจมตีของเขาดูจะมีเจตนาสังหารเข้มข้น แต่ปรมาจารย์ขงก็จะปรับเปลี่ยนมันในวินาทีสุดท้ายเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรง


คุณธรรมของเขาไม่อนุญาตให้เขาสังหารผู้บริสุทธิ์ ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขาเกิดความขัดแย้งในจิตใจ


จางเซวียนส่ายหน้า นี่ก็ข้อบกพร่องเหมือนกัน…


หลัวลั่วชิงโหยหาอิสระ ขณะที่ปรมาจารย์ขงประนีประนอมต่อโลกใบนี้มากเกินไป


ทั้งสองความรู้สึกล้วนเป็นข้อห้ามเด็ดขาดในการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย


แต่นั่นคือธรรมชาติของพวกเขา ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้ โดยเฉพาะระหว่างการต่อสู้


แล้วตัวเราล่ะ?


เมื่อเห็นปัญหาในการโจมตีของปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะย้อนดูตัวเอง


เวทนาสวรรค์ที่เขาทำความเข้าใจได้สำเร็จมีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ต่อบุคคลผู้เป็นที่รัก ดังนั้น ศิลปะเพลงดาบของเขาจึงเปี่ยมด้วยความรู้สึกและพันธะ


แต่หลังจากได้คำชี้แนะของจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบ จางเซวียนก็รู้ทันทีว่าศิลปะเพลงดาบของเขามีปัญหา


การให้คุณค่ากับความรู้สึกไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าคิดได้แค่นั้นก็คงจะตื้นเขินเกินไป แทนที่จะมัวเวียนว่ายอยู่ในความรู้สึก เขาควรเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นให้กลายเป็นแรงผลักดันเพื่อปกป้องคนที่เขารักให้รอดพ้นจากอันตรายให้ได้!


ก็คงเหมือนกับครอบครัวหนึ่ง ที่การจะรักษาครอบครัวเอาไว้ไม่อาจใช้เพียงแค่ความรัก แต่ยังต้องทุ่มเทเวลาและแรงกายเพื่อปกป้องครอบครัวและสืบสานความสัมพันธ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจหรือสถานภาพทางการเงินก็ตาม


ถ้าเราได้เป็นจอมราชันย์ ก็คงจะเข้าไปขัดขวางและยื่นข้อเสนอเพื่อแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ได้…


คงไม่ต้องนั่งดูใครตายเพราะสงครามสวรรค์โดยไม่อาจทำอะไรได้เลย


ถ้าเรามีพละกำลังมากพอจะปกป้องสรวงสวรรค์ พวกเขาก็คงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้…


ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัวสมองของจางเซวียน


เขาทุกข์ทรมานเหลือเกินที่ต้องเห็นทั้งคู่ต่อสู้กัน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ก็ยากจะรับได้


จางเซวียนสลดใจกับความอ่อนแอของตัวเอง เขาไม่อาจปกป้องได้แม้ผู้เป็นที่รัก และคงไม่เหมาะจะปกป้องใครทั้งนั้น…


ในตอนนี้เองที่เขาพลันรู้ตัวว่าเขาไม่เหมาะสมกับศิลปะเพลงดาบที่จอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบชี้แนะให้


เมื่อฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งจากโลกใบเก่า สิ่งหนึ่งที่จางเซวียนรู้ก็คือเขาไม่เต็มใจให้ชะตากรรมของเขาถูกบงการด้วยมือของคนอื่น


นับตั้งแต่เริ่มการเดินทางในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆโดยไม่เคยหวาดกลัว พุ่งเข้าใส่ในสิ่งที่เขาเชื่อ เขามักอยากปกป้องคนรอบตัวให้รอดพ้นจากอันตรายเสมอ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่คิดอยากปกป้องโลกใบนี้


สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การปกป้องใครต่อใคร แต่เป็นการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเขาอยากเป็น


สำหรับจางเซวียน การใช้ชีวิตแบบเป็นตัวของตัวเองคือวิถีทางที่ดีที่สุด


ตลอดการเดินทางของเขา ขณะที่ตัวโคลนเอาแต่คิดหาวิธีว่าจะคุยโวโอ้อวดอย่างไร ความคิดแบบนั้นกลับไม่เคยผ่านเข้ามาในหัวสมองของเขาเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งหรือสองครั้งที่เขาใช้ความคิดของตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่นั่นก็ทำไปเพื่อให้กลายเป็นตัวเขาในแบบที่ดีที่สุด


ในส่วนลึกของหัวใจ จางเซวียนเป็นคนนอบน้อม ถ่อมเนื้อถ่อมตัว ขยันหมั่นเพียร และซื่อตรงเสมอมา


ขณะที่เกิดความคิดนั้น จางเซวียนก็พลันรู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกเปิดออก


ในเวลาเดียวกัน ศิลปะเพลงดาบที่เขาทำความเข้าใจก็เริ่มเปลี่ยนแปลง


ศิลปะเพลงดาบของเขา…ไม่ว่าจะเป็นหัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปมหรือความภักดีไม่คลอนแคลน ก็ล้วนมีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการผูกพันกับบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อสภาวะจิตของเขาเปลี่ยนไป พวกมันก็ได้รับการขัดเกลา เกิดเป็นเจตจำนงที่พร้อมจะพุ่งตรงไปข้างหน้าโดยปราศจากความหวาดกลัว


เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องญาติสนิทมิตรสหายและคนที่เขารัก แต่จะไม่มีวันยอมให้ตัวเองตกเป็นทาสของคนเหล่านั้น


และเช่นเดียวกัน คนคนหนึ่งจำเป็นต้องแสวงหาเงินทองเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว แต่จะต้องไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นเป็นเพียงเหตุผลเดียวในการดำรงชีวิตอยู่ การดำรงชีวิตจะต้องมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น


มุ่งหน้าต่อไปอย่างอาจหาญและกลายเป็นตัวเขาในรูปแบบที่ดีที่สุด นั่นคือเส้นทางที่จางเซวียนเลือก


ถ้าเขากลายเป็นตัวเองในรูปแบบที่ดีที่สุด และได้รับความแข็งแกร่งกับความสามารถอย่างที่ปรารถนา ก็จะมีพละกำลังมากพอในการปกป้องบุคคลซึ่งเป็นที่รัก


2 สิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน


เมื่อความขัดแย้งในหัวใจถูกขจัดออกไป จางเซวียนก็หันกลับมาเฝ้ามองการต่อสู้ตรงหน้า


การปะทะของสองผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ทำให้ผู้ชมพากันเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ


“เขาช่างไร้เทียมทานจริงๆ” ไก่น้อยพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “เพียง 40 ปีก็ขัดเกลาวรยุทธได้ถึงระดับนี้ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์คืออัจฉริยะที่เก่งกาจอย่างเหลือเชื่อ…”


จอมราชันย์อมตะมีชีวิตมาหลายปีแล้ว แถมยังฟื้นคืนชีพได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีอะไรใกล้เคียงกับประสิทธิภาพการต่อสู้ของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เลย เพียงเท่านี้ก็เกินพอจะชี้ชัดถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขา


จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ไปไกลจนเขาได้แต่แหงนหน้ามองอย่างสิ้นหวัง


หลังจากรำพึงรำพันกับตัวเอง ไก่น้อยก็หันมามองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ส่ายหัวอีกครั้ง


หากจะคิดถึงเรื่องนี้ ความเก่งกาจของนายน้อยก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าจอมราชันพิชิตสวรรค์ ซึ่งหากต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ มันรู้สึกว่านายน้อยน่าจะถือไพ่เหนือกว่า


ภายใน 10 ปีนี้ อีกฝ่ายน่าจะเข้าถึงระดับเดียวกันกับทั้ง 2 จอมราชันย์ที่ปะทะกันอยู่


หลัวลั่วชิงชักดาบกลับและถอยไป 2-3 ก้าวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “น่าประทับใจ คุณก้าวขึ้นมาทรงพลังได้ขนาดนี้ภายในระยะเวลาเพียง 40 ปี แต่ฉันยังมีกระบวนท่าสุดท้ายอยู่ ถ้าคุณเอาชนะมันได้ ก็ถือเป็นความพ่ายแพ้ของฉัน”


“ผมก็มีสิ่งสุดท้ายที่ผมเตรียมไว้เช่นกัน” ปรมาจารย์ขงตอบด้วยทีท่าสุขุมตามปกติของเขา “ถ้าผมแพ้ ผมก็หวังว่าคุณจะเคารพข้อตกลงก่อนหน้านี้ของเรา”


“ฉันไม่ใช่คนที่จะผิดคำพูด” หลัวลั่วชิงตอบ “และฉันก็หวังว่าหากฉันแพ้ คุณจะรักษาข้อตกลงของเราเช่นกัน”


“แน่นอน!” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามัวเสียเวลา”


เมื่อเข้าใจกันแล้ว ทั้งสองสำแดงกระบวนท่าพร้อมกัน


เจตจำนงเพลงดาบที่ทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้ระเบิดออกมา ขณะที่ไม้เท้าพุ่งเข้าใส่ด้วยพละกำลังที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง การปะทะกันของทั้งคู่ทำให้เกิดแสงเจิดจ้าจนแสบตา บดบังดวงจันทร์ไว้


เพียงครู่เดียว ทั้งสรวงสวรรค์ก็เจิดจ้าไปด้วยแสงที่ระเบิดออกมาจากการปะทะ


“นั่นอะไร?”


“ผมก็ไม่รู้…”


“ใช่การต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์หรือเปล่า?”


“พวกเขาสู้กันบนดวงจันทร์หรือ?”


“ก็ต้องอย่างนั้นแหละ! คนอื่นจะสร้างความยิ่งใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร?”


 


ในเวลาเดียวกัน ผู้คนมากมายในสรวงสวรรค์ต่างพากันเงยหน้าจ้องมองดวงจันทร์ที่ตอนนี้ส่องสว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์


ท่ามกลางแสงเจิดจ้าจนแสบตา ไม้เท้าของปรมาจารย์ขงดูจะกลายเป็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวที่ปรากฏตรงหน้าเขา มีร่างนับไม่ถ้วนอยู่ในแม่น้ำ บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ของโลกนับตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน


ทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์มีปรมาจารย์ขงอยู่ในนั้น บางช่วงก็เกรี้ยวกราด บางช่วงมีรอยยิ้มเยือกเย็น บางช่วงสนุกสนานรื่นเริง และบางช่วงก็โศกเศร้า…

 

 

 


ตอนที่ 2306 นี่คือเส้นทางที่พวกเรา…

 

เมื่อรวมกัน ‘ปรมาจารย์ขง’ เหล่านี้ก็ดูเหมือนจะขับเคลื่อนกงล้อของประวัติศาสตร์ นำพาพละกำลังที่แท้จริงของกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาให้มีชีวิตขึ้นมา


นี่คือเทคนิคที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง!


ฝีแปรงหนึ่งลิขิตฤดูใบไม้ผลิ อีกฝีแปรงหนึ่งลิขิตฤดูใบไม้ร่วง มันคือเทคนิคที่เปิดเผยให้เห็นทุกสิ่งนับจากอดีตสู่ปัจจุบัน


เจตจำนงของเหล่า ‘ปรมาจารย์ขง’ ที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางกระแสกาลเวลาค่อยๆหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เขามีพละกำลังเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้


ดวงจันทร์ทั้งดวงดูพร้อมจะแตกสลายและร่วงหล่นได้ทุกขณะภายใต้แรงกดดันมหาศาลของพละกำลังของเขา


ด้วยการเร่งกงล้อประวัติศาสตร์ หินแกรนิตสีเทาบนดวงจันทร์สว่างวาบเป็นประกายสีขาวก่อนจะแหลกเป็นผุยผง


ไม่มีใครต้านทานพละกำลังของกาลเวลาได้ ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม มันคืออำนาจเหนือชั้นที่ก่อเกิดเป็นรากฐานของจักรวาล


“ลั่วชิง…”


จางเซวียนไม่คิดว่าปรมาจารย์ขงจะมีไม้ตายซ่อนไว้จริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยความกังวล เขามองหลัวลั่วชิงอย่างร้อนใจ ในช่วงเวลาหนึ่ง เห็นเธอส่งสายตาที่เปี่ยมความถวิลหามาให้ แต่พริบตาต่อมา เธอก็หันกลับไปมองคู่ต่อสู้ด้วยนัยน์ตาอาฆาต


“ฉันรอสิ่งนี้มาตลอด…”


เธอชูดาบขึ้นแล้วจ้วงแทงเข้าใส่แม่น้ำแห่งกาลเวลา


ดาบแข็งทื่อไปทันที ราวกับถูกลิขิตไว้ไม่ให้เข้าถึงเป้าหมายได้ แต่แล้วเจตจำนงเพลงดาบก็ระเบิดออกมา ทำลายแม่น้ำแห่งกาลเวลาและพุ่งตรงเข้าสู่ใจกลางของประวัติศาสตร์


กระแสของกาลเวลาคือมิติรูปแบบหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวและหลบเลี่ยงการโจมตีของหลัวลั่วชิงได้


ดาบของเธอพุ่งตรงเข้าสู่จุดอ่อนของฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง จ้วงแทงเข้าที่ ‘ปรมาจารย์ขง’ จำนวนนับไม่ถ้วนในคราวเดียว ทำให้เขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย


ลงท้าย อดีตก็ไม่อาจเป็นได้มากกว่าอดีต มันไม่มีอำนาจกำหนดปัจจุบันและอนาคต


“มันคือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง เธอได้มันมาจากทวีปแห่งปรมาจารย์และล่วงรู้ความลับทั้งหมดของมันแล้ว” จางเซวียนพึมพำด้วยใบหน้าซีดเผือด


เห็นได้ชัดว่าศิลปะเพลงดาบนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการรับมือกับปรมาจารย์ขงเท่านั้น หลัวลั่วชิงใช้ตัวเธอเป็นสื่อกลางเธอถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบเข้าสู่กฎเกณฑ์ของกาลเวลา แล้วตั้งใจเล่นงานกระแสของกาลเวลาโดยตรง


ไม่มีทางที่เธอจะคิดค้นกระบวนท่าแบบนี้ได้หากไม่ได้ล่วงรู้ความลับของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง


ซึ่งตัวเขาคือผู้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อและนำมาหาคัมภีร์นั้นมาให้เธอ หากปรมาจารย์ขงถูกสังหาร เขาก็คือผู้สมรู้ร่วมคิดคนหนึ่ง


จางเซวียนหันกลับไปมองปรมาจารย์ขง หวังว่าอีกฝ่ายอาจใช้วิธีใดสักอย่างหลบหลีกหรือเอาชนะการโจมตีครั้งนี้ได้ แต่แทนที่จะตอบโต้ ปรมาจารย์ขงกลับทิ้งไม้เท้าในมือ


“ทำไม?” จางเซวียนตะโกน


เขาพุ่งพรวดออกไป ตั้งใจจะไปเขย่าปรมาจารย์ขงให้รู้สึกตัว แต่ไก่น้อยรั้งตัวไว้


เทคนิคนั้นทำให้ตัวตนปัจจุบันของเขาทับซ้อนกับตัวตนอื่นๆในประวัติศาสตร์ ซึ่งหากตัวตนอื่นๆของเขาถูกสังหาร ตัวตนปัจจุบันก็ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้เช่นกัน นี่คือข้อบกพร่องข้อใหญ่ที่สุดของเทคนิคนี้ ดังนั้น เขาไม่อาจทำอะไรเพื่อช่วยชีวิตตัวเองได้หรอก” ไก่น้อยอธิบายพร้อมกับส่ายหน้า


“แต่…มันต้องมีสักวิธีสิ…สักวิธี” จางเซวียนอุทานอย่างสิ้นหวัง


แต่ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าไก่น้อยพูดถูก


กาลเวลาเดินทางเป็นเส้นตรง หากตัวเขาในอดีตถูกฆ่า ตัวเขาในปัจจุบันก็ไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่ได้


ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นเทคนิคที่ทรงพลังก็จริง แต่มีข้อบกพร่องที่แสนอันตรายอยู่ในนั้น


“อย่าลืมเรื่องที่คุณสัญญากับผมไว้ล่ะ…”


ปรมาจารย์ขงหันมามองจางเซวียน เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในหู


จากนั้น ร่างของปรมาจารย์ขงก็ร่วงลงสู่พื้น


ฟึ่บ!


ด้วยเจตจำนงเพลงดาบอันทรงพลังของหลัวลั่วชิง แม่น้ำแห่งกาลเวลาถูกทำลาย ร่างจำนวนมากมายของปรมาจารย์ขงที่อยู่ในนั้นค่อยๆเสื่อมสลายไป


ยังไม่ทันที่ปรมาจารย์ขงในปัจจุบันจะร่วงลงสู่พื้น ร่างกายของเขาก็แหลกสลายกลายเป็นม่านหมอกที่ยังคงมีอำนาจของสรวงสวรรค์อยู่ในนั้น


หมอกพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที หวังจะหนีให้พ้นจากดวงจันทร์


แต่หลัวลั่วชิงก็รีบคว้าหมอกนั้นไว้ จัดการไม่ให้มันหลบหนีได้


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา และแสงเจิดจ้าของดวงจันทร์ก็หายวับไป แต่พลังงานรุนแรงที่เกิดจากการปะทะยังคงอบอวลอยู่โดยรอบ พวกมันรวมตัวกันกลางอากาศและร่วงลงสู่พื้นราวกับฝนห่าใหญ่


ดูเหมือนท้องฟ้ากำลังร่ำไห้


การต่อสู้ของ 2 จอมราชันย์สิ้นสุดแล้ว


ปรมาจารย์ขงเสียชีวิต!


หลัวลั่วชิงกำหมอกที่สลายจากร่างของปรมาจารย์ขงไว้แน่น เธอเข้าสู่ภวังค์


จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เป็นที่ยำเกรงของผู้คนมากมายตั้งแต่ปรากฏตัวที่นี่ แม้จอมราชันย์ที่อยู่มาแต่ดั้งเดิมก็ยังลงเอยด้วยการยอมจำนนให้เขาทีละคน


หลัวลั่วชิงก้าวเข้าสู่การปะทะทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่าอาจต้องเสียชีวิต แต่ลงท้าย เธอคือผู้ที่อยู่รอด


นั่นคือเทคนิคที่ทรงพลังที่สุดของปรมาจารย์ขง แม้เธอจะเดินทางลงสู่โลกเบื้องล่างเพื่อเสาะหาความสามารถของเขาและใช้เวลาอีกยาวนานเพื่อหาวิธีตอบโต้มัน แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างราบรื่นเสียจนเธออดประหลาดใจไม่ได้


ราวกับปรมาจารย์ขงถอดใจในวินาทีสุดท้าย


ตอนที่เธอสำแดงกระบวนท่าท้ายสุด ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง เธอเห็นปรมาจารย์ขงมีสีหน้าโล่งใจ ราวกับว่าในที่สุดเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้


หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลัวลั่วชิงกระดิกนิ้วเพื่อเก็บหมอกนั้นไว้ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปจับจ้องใครคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไป


ชายหนุ่มที่เธอรักพุ่งพรวดเข้าหาพื้นที่บริเวณที่ปรมาจารย์ขงร่วงลงไป พยายามรวบรวมเศษซากของพลังงานที่หลงเหลืออยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้


รู้ดีว่าจางเซวียนรู้สึกอย่างไร หลัวลั่วชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาและพูดว่า “นี่คือชะตากรรม เราทำอะไรกับมันไม่ได้หรอก…”


ผู้ครอบครองเศษเสี้ยวสวรรค์ย่อมมีชะตากรรมที่ไม่อาจหนีพ้น


จางเซวียนก้มหน้าอยู่นานก่อนจะพึมพำ “ผมเข้าใจ…”


เขาไม่อยากยอมรับ แต่เรื่องจริงก็คือปรมาจารย์ขงตายไปแล้ว!


นับตั้งแต่เขาอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ปรมาจารย์ขงก็คอยชี้แนะ เป็นแสงสว่างให้กับเส้นทางที่เขาเลือกเดิน แม้จางเซวียนจะไม่เคยยอมรับอีกฝ่ายเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่ก็เห็นปรมาจารย์ขงเป็นผู้ชี้แนะที่ตัวเขาให้ความเคารพอย่างล้ำลึก


จางเซวียนไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะหายไปจากโลกหลังจากที่พวกเขาพบกันได้เพียงไม่นาน


เขายังจำบทสนทนากับชายชราผู้นี้ได้อย่างชัดเจนราวกับปรมาจารย์ขงยังอยู่ การที่อีกฝ่ายตายจากไปแบบนี้ดูไม่ใช่ความจริงเอาเสียเลย


“นี่คือเส้นทางที่พวกเรา…ก็ต้องเดินเหมือนกันหรือ? เราต้องต่อสู้เพื่อสวรรค์เหมือนกันใช่ไหม?” จางเซวียนมองหลัวลั่วชิงด้วยสีหน้าเศร้าสลด


“ฉันก็ไม่รู้…” หลัวลั่วชิงก้มหน้า ราวกับพยายามจะหลบสายตาของจางเซวียน


“คุณมีคำตอบในใจแล้ว แค่ไม่อยากพูดออกมาเท่านั้นเอง คุณหลบหน้าผมมาตลอดเพราะไม่อยากปะทะกับผมใช่ไหม? คุณกลัวว่าในท้ายที่สุดคุณจะทำร้ายผมไม่ลง…ใช่หรือเปล่า?” จางเซวียนคาดคั้น


“ฉัน…” หลัวลั่วชิงตอบไม่ได้


เห็นภาพนี้ จางเซวียนรู้สึกหัวใจสลาย คิดขึ้นมาทันทีว่าต้องไปให้พ้นจากที่นี่


จางเซวียนหันหลังกลับและออกเดิน “ไก่น้อย ไปกันเถอะ”


ถ้าชะตากรรมคือการที่หนึ่งในพวกเขาต้องตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย เขาก็อยากให้ความรักครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเลยจะดีกว่า


“จางเซวียน…”


เห็นจางเซวียนจากไป หลัวลั่วชิงหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างก็พร่าเลือน เธอพูดเสียงสั่นๆ “ฉันเสียใจ…”


“คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก นี่คือชะตากรรมของเรา” จางเซวียนตอบโดยไม่หันกลับไป


เขาอดทนดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อหวังว่าจะได้พบเธออีกครั้ง แต่เมื่อสุดท้ายได้พบเธอจริงๆและเข้าใจเรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง บางที…ก็คงจะดีกว่าหากเขาปล่อยเธอไปตั้งแต่แรก


จางเซวียนรับไม่ได้ที่สิ่งนี้เป็นเพียงอนาคตเดียวที่รอพวกเขาอยู่ ถ้าหากนี่คือความทุกข์ทรมานที่เขาต้องเผชิญ เขาก็ขอให้ตัวเองไร้อารมณ์และความรู้สึกต่างๆโดยสิ้นเชิงจะดีกว่า


พลั่ก!


จางเซวียนกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย


ในฐานะนักรบผู้ฝึกฝนเวทนาสวรรค์ ความปรารถนาที่จะให้ตัวเองปราศจากอารมณ์และความรู้สึกทั้งมวลเป็นแรงตีกลับครั้งใหญ่ เพียงแค่คิดก็เกือบทำให้วรยุทธของเขาแตกสลาย


วิ้งงงง!


จี้ที่ห้อยอยู่รอบลำคอของจางเซวียนร้อนผ่าวขึ้นมา กระแสพลังงานซึมซาบเข้าไป ระงับความปั่นป่วนของพลังงานในร่างของจางเซวียนไว้


จางเซวียนยกมือขึ้นคว้าจี้ อยากจะโยนมันกลับไปให้หลัวลั่วชิง แต่สุดท้ายก็ปล่อยมือทั้งที่มือนั้นยังสั่นเทา


ระบายความโกรธใส่หลัวลั่วชิงก็ไม่มีประโยชน์ ที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ


หากเธอตายเพราะการดวล เขาคงสะเทือนใจยิ่งกว่านี้หลายเท่า


จางเซวียนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินออกมาจากการดวลโดยยังมีชีวิต เพียงแต่ตัวเขาปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงข้อนี้


เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับหลัวลั่วชิงอีกครั้ง เห็นนัยน์ตาของเธอแดงก่ำ ในตอนนั้น เขารู้สึกผิดอย่างรุนแรง


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอต้องมีชีวิตอยู่ทั้งที่รู้ว่าอนาคตแบบไหนรอคอยอยู่ตรงหน้า จางเซวียนนึกภาพไม่ออกเลยว่าหลัวลั่วชิงจะต้องเผชิญกับความกดดันมากมายขนาดไหน


ความเจ็บปวดที่เธอรู้สึกคงไม่น้อยไปกว่าเขา


จางเซวียนเดินเข้าไปกอดหลัวลั่วชิงไว้แน่น เขาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น “ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีวิธีไหนยับยั้งสงครามสวรรค์ได้ ผมจะต้องหาวิธีนั้นให้เจอเพื่อให้เราทั้งคู่ได้มีชีวิตรอด รอผมด้วยนะ”


ในตอนนั้น เขาพลันนึกได้ถึงคำพูดของปรมาจารย์ขง


อีกฝ่ายเคยบอกไว้ว่าตัวเขาครุ่นคิดเรื่องนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำสำเร็จหรือเปล่า


นั่นย่อมหมายความว่าทั้งคู่ไม่ได้อับจนหนทางเสียทีเดียว อาจมีวิธีแก้ไขปัญหานี้ได้


ก็แค่ต้องหาให้เจอ!


เมื่อครั้งที่จางเซวียนอยู่ในมิติเบื้องบน ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงดูเหมือนจะรู้วิธีสกัดเอาหอสมุดเทียบฟ้าออกจากร่างของเขา


แม้วิธีนั้นจะทำให้เขาต้องตาย แต่จะเป็นไปได้หรือเปล่าที่จะปรับเปลี่ยนมันสักหน่อยเพื่อให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ได้ต่อให้สกัดเอาหอสมุดเทียบฟ้าออกไปแล้ว?


ซึ่งหากทำได้จริง ก็จะเอาชนะสงครามสวรรค์ครั้งนี้ได้โดยไม่มีใครต้องสละชีวิต!


“นั่น…เป็นไปได้หรือ?” หลัวลั่วชิงถามอย่างอ่อนแรง

 

 

 


ตอนที่ 2307 จอมราชันย์พิชิตสวรรค์

 

“ใช่ มันเป็นไปได้ ต้องเป็นไปได้สิ! ผมจะต้องหาวิธีนั้นให้เจอ ไว้ใจผมเถอะ” จางเซวียนพูด


“แล้วถ้าคุณหาไม่เจอล่ะ?” หลัวลั่วชิงเสียงสั่น


จางเซวียนตอบอย่างเฉียบขาดหนักแน่น “อย่างมากที่สุด เราก็แค่ตายด้วยกัน เมื่อเราตายไปแล้ว เศษเสี้ยวสวรรค์ก็จะกลับมารวมตัวกันเพื่อฟื้นฟูสวรรค์ได้เอง แต่นั่นก็ไม่ใช่กงการของเราแล้วนี่”


“คือ…” ได้ฟังคำตอบของจางเซวียน หลัวลั่วชิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “คุณพูดถูก เราจะต้องกังวลอะไรหากตายไปแล้ว ก็แค่อยู่ด้วยกันภายใต้ป้ายหลุมศพอันเดียวกัน เท่านั้นก็พอ!”


“ใช่ จะมีอะไรแย่กว่านั้นได้อีก? ต่อให้สวรรค์หรือโชคชะตา ก็ไม่มีสิ่งใดแยกเราออกจากกันได้…”


“ไม่มีสิ่งใดแยกเราออกจากกันได้…”


หลัวลั่วชิงนัยน์ตาแดงก่ำ เธอกอดชายหนุ่มไว้แน่น


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอทั้งลังเลและกังวล รู้ทั้งรู้ว่าความรักครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจขัดขืนความต้องการของตัวเอง


แต่ชายหนุ่มเปิดเผยความปรารถนาที่ล้ำลึกที่สุดของเธอออกมา


ขอแค่เธอกับเขาได้อยู่ด้วยกัน ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องหวาดกลัว


เมื่อขจัดความลังเลทั้งหมดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรยับยั้งเธอได้อีก!


ต่อให้สรวงสวรรค์พังพินาศ ฉันก็ยังพอใจ ตราบใดที่ได้อยู่กับคุณ


จางเซวียนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างของหญิงสาว บทกวีบทหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขา


เราจะเป็นนกน้อยพลอดรักในสรวงสวรรค์ เป็นกิ่งไม้ที่เกี่ยวกระหวัดกันบนพื้นโลก แม้สรวงสวรรค์กับโลกจะถูกกำหนดด้วยกาลเวลา แต่ความรู้สึกของเราจะเป็นนิรันดร์!


ในตอนนั้น หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หนังสือเทคนิควรยุทธเล่มหนึ่งปรากฏ


มีเหตุใดให้ต้องยินดีกับการมีชีวิตอยู่? มีเหตุใดให้ต้องเศร้าโศกกับความตาย?


ทะเลอาจเหือดแห้ง หินผาอาจพังทลาย แต่ต่อให้ทั้งโลกแหลกสลาย ความรู้สึกของสองเราจะยั่งยืนเหนือกาลเวลา


บนดวงจันทร์ กระแสพลังงานเข้มข้นถาโถมเข้าใส่จางเซวียน ร้อยรัดร่างของเขาไว้


ในเวลาเดียวกัน กลุ่มเมฆสีแดงก็รวมตัวกันเหนือสรวงสวรรค์ พละกำลังมหาศาลทิ้งตัวลงมา เงาดำทาบทับพื้นดิน ทั้งโลกสะท้านราวกับบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น


จางเซวียนเคยคิดว่าตราบใดที่เขายังไม่ได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากจอมราชันย์ ก็คงไม่อาจก้าวข้ามวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าไปได้…แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาก็ยังก้าวข้ามด่านคอขวดได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ


“ฮะ…”


นัยน์ตาของเหล่าจอมราชันย์ต่างเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงกับภาพนั้น


เทพธิดาหลิงหลงตัวสั่นไม่หยุดขณะอุทานออกมา “เขาไม่จำเป็นต้องได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากจอมราชันย์ แต่ได้รับจากโลกโดยตรง…นี่คือการได้รับเกียรติจากโลก…หมายความว่า…จะเกิดจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ขึ้นอีกคนหนึ่งใช่ไหม?”


บรรดาจอมราชันย์ที่อยู่ตรงนั้นพากันจับจ้องจางเซวียนอย่างอัศจรรย์ใจ พวกเขาพูดไม่ออกอยู่นาน


เมื่อ 40 ปีก่อน อัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องเหนือชั้นคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในสรวงสวรรค์ เพราะประทับใจในความเก่งกาจของเขา เหล่าจอมราชันย์ต่างก็พยายามยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายมาอยู่ในสังกัดและแต่งตั้งเขาให้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ


เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่เพราะการแย่งชิงครั้งนั้น


แต่ลงท้ายพวกเขาก็ได้ข้อสรุป ไม่มีจอมราชันย์คนไหนคิดจะแต่งตั้งอัจฉริยะผู้นั้น เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก


ทุกคนคิดว่านี่คงเป็นจุดจบของเรื่องนี้ ไม่นึกเลยว่าอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องคนนั้นจะได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลก


ภาพที่เห็นตรงหน้าก็เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้น ทั้งสรวงสวรรค์ถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีแดง พละกำลังมหาศาลพวยพุ่งขึ้นจากพื้นโลก


เหล่าจอมราชันย์ต่างนิ่งอึ้งกับปรากฏการณ์ที่เห็น พวกเขารู้ทันทีว่าบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเขากำลังจะปรากฏ


และก็เป็นไปตามคาด อัจฉริยะผู้นั้นกลายเป็นจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ มีพละกำลังมหาศาลถึงขนาดสามารถท้าทายจอมราชันย์หลินชีผู้ยิ่งใหญ่


40 ปีให้หลัง จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เพลี่ยงพล้ำในการดวลกับจอมราชันย์หลินชี แต่เพียงพริบตาเดียว อีกบุคคลหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลกก็ปรากฏตัว


แม้ 9 จอมราชันย์ก็ยังไม่เคยได้รับเกียรติขนาดนี้!


การได้รับเกียรติจากโลกคือพละกำลังโดยธรรมชาติของโลกใบนี้ที่อยู่เหนือการควบคุมของเหล่าจอมราชันย์ ซึ่งผู้ที่ได้รับอำนาจดังกล่าวย่อมกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานที่เป็นรองแค่เหล่าจอมราชันย์เท่านั้น


“สิ่งนี้ก็คือชะตากรรมหรือ?” ไก่น้อยพึมพำ


มันเคยคิดว่านายท่านคงต้องใช้เวลาสั่งสมวรยุทธหลายปีกว่าจะเข้าถึงระดับนี้ แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ทำสำเร็จในชั่วพริบตา


เห็นแล้วแทบเสียสติ!


ขณะกำลังพึมพำกับตัวเองด้วยความตกใจ ไก่น้อยก็เกือบสูญเสียการควบคุมพละกำลังของมันและคืนสภาพกลับเป็นไก่น้อยตัวจ้อยดังเดิม


จอมราชันย์มังกรเมฆก็นัยน์ตาเบิกโพลงราวกับระฆังใบใหญ่ ดูราวกับเขาหวิดๆจะกลายร่างกลับคืนสภาพเป็นมังกร


เทพธิดาหลิงหลงตัวสั่นเสียจนเข่าอ่อน แค่หวนนึกถึงการที่เธอเคยพยายามสังหารชายหนุ่มคนนี้ก็เกินพอจะทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบไปหมด


ถึงพวกเขาจะทรงพลังขนาดไหน แต่ก็มีอำนาจปกครองแค่น่านฟ้าเดียว แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าได้การยอมรับจากทั้ง 9 น่านฟ้า


พูดอีกอย่างก็คือ เขาคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า!


นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานเรื่องใหม่


…..


แอ๊ดดดด!


ในสรวงสวรรค์ ประตูที่ดูหน้าตาธรรมดาของกระท่อมฟางหลังหนึ่งถูกเปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา เขาจับจ้องท้องฟ้าอย่างเงียบงัน จากนั้นก็มีรอยยิ้มบางๆที่ริมฝีปาก


“เขาทำความเข้าใจมันได้เร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก บางทีคุณอาจพูดถูกมาตลอด…”


“ผมกำลังรอคอยให้เขาสร้างปาฏิหาริย์”


…..


ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ฉีเหมิงออกจากการปลีกวิเวกเพื่อมาสังเกตการณ์หมู่เมฆสีแดงที่อยู่กลางอากาศ


“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า…จะเป็นใครกัน?”


ในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของตระกูลฉี เขารู้เรื่องการขึ้นสู่อำนาจของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ในครั้งนั้น และรู้เรื่องราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าด้วย แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าคราวนี้ใครคือผู้สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่


“ดูเหมือนราชันย์เทพเจ้าพิชิตสวรรค์จะปรากฏขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว…น่าเสียดายที่เราไม่ได้ทำความรู้จักมักคุ้นกับเขาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น ตระกูลฉีของเราจะต้องเจริญรุ่งเรืองไปอีกหลายปีอย่างแน่นอน” ฉีเหมิงพึมพำ


โลกดูเหมือนจะหมุนเวียนไปตามวัฏจักร แต่ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ความลับของโลกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบว่าโลกดูจะแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น แม้ด้วยภูมิปัญญาที่พวกเขาสั่งสมมาตลอดหลายพันปี ก็ยังไม่อาจหยั่งถึงทิศทางของโลกได้


หากเขารู้ว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าเป็นใคร คงจะสานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายไว้ล่วงหน้า เพราะนั่นจะเป็นการรับประกันความรุ่งโรจน์ของตระกูลฉี…


แต่ก็ไม่มีทางคาดการณ์เรื่องแบบนั้นได้ ขนาดจอมราชันย์ยังทำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับแค่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ


“สงสัยเหลือเกินว่าเขาเป็นใคร…”


ฉีเหมิงครุ่นคิดถึงบรรดานักรบที่ใกล้จะสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด แต่ก็ไม่มีใครที่ดูจะเข้าข่าย


“ราชันย์เทพเจ้าผู้นี้คงเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบมาตลอด ไม่อย่างนั้น ไม่มีทางหรอกที่เราจะนึกไม่ออกว่าเป็นใคร!”


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าจะต้องเป็นใครสักคนที่เก่งกาจปราดเปรื่องอย่างไม่มีใครเทียบ ดังนั้น การคาดเดาว่าอีกฝ่ายเป็นใครจึงน่าจะง่าย แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้ตัวตนของผู้นั้นเลย จึงพูดได้เพียงว่าราชันย์เทพเจ้าคนนี้คงจะเป็นคนรักสันโดษและถ่อมเนื้อถ่อมตัวมาก


น่าประหลาดเหลือเกิน


ในสรวงสวรรค์ทุกวันนี้ แทบจะไม่มีใครที่ใช้ชีวิตสมถะแบบนั้นอีกแล้ว!


…..


“ใครคนหนึ่งได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า, เหมือนท่านอาจารย์ของพวกเรา…”


บนหน้าผาที่ปรมาจารย์ขงเคยพำนักอยู่ นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเฝ้าจับตากลุ่มพลังงานที่รวมตัวกันอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“จะต้องเป็นปรมาจารย์จางแน่…”


“ปรมาจารย์จางได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลก นั่นก็หมายความว่าท่านอาจารย์ของพวกเรา…”


“จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านอาจารย์แน่ เฮ่อออออ! ท่านอาจารย์บอกไว้ให้ยอมรับจางเซวียนเป็นผู้นำและเฝ้ารอ…ผมเชื่อว่าท่านอาจารย์คงมีเหตุผลที่สั่งเสียพวกเราแบบนั้น พวกเราก็ควรเชื่อฟังและรอให้เขากลับมา”


“จะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณนะ ท่านอาจารย์…”


ทุกคนเงียบกริบ


ด้วยเหตุผลบางอย่าง สำหรับพวกเขา การที่โลกมอบตำแหน่งทรงเกียรติให้ใครสักคนเป็นเครื่องบ่งบอกถึงจุดจบของตำนานของท่านอาจารย์ และการเริ่มต้นบทใหม่ของตำนานของปรมาจารย์จาง


…..


ชายหนุ่มคนหนึ่งหอบหายใจหนักหน่วง เขาหลบเลี่ยงการโจมตีของกระต่ายตัวหนึ่งและหนีไปยังถ้ำที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้สำเร็จ


ในถ้ำนั้น สาวสวย 2 คนมองเขาอย่างร้อนใจขณะตั้งคำถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”


ถ้าจางเซวียนอยู่ด้วย ก็จะรู้ทันทีว่าสุภาพสตรีทั้งสองคือหยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าที่เขาได้พบในมิติเบื้องบนเมื่อไม่นานมานี้


ส่วนชายหนุ่มคนนั้น ก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นพี่ชายของหลัวฉีฉี-หลัวชวนฉิง


พวกเขาเข้าสู่สรวงสวรรค์โดยผ่านหอเทพเจ้าและพบว่าตัวเองอยู่บนภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ ไม่ต่างกับจางเซวียนและบรรดาศิษย์สายตรงของเขาในครั้งนั้น


เพราะได้ซึมซับหยดเลือดของจางเซวียน ทั้งสามจึงผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติมาได้โดยไม่ได้รับความบอบช้ำมากนัก ทั้งยังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้รวดเร็วด้วย แต่เพราะยังเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต้น จึงไม่อาจรับมือกับภัยอันตรายที่อยู่โดยรอบสรวงสวรรค์ได้


“ผมเล่นงานกระต่ายตัวนั้นไม่ได้ และเกือบถูกมันฆ่าตายอีกต่างหาก โชคดีที่ผมวิ่งหนีเร็วพอ แต่ดูเหมือนคืนนี้พวกเราคงต้องอดแล้วล่ะ…” หลัวชวนฉิงส่ายหน้าอย่างขมขื่น


พวกเขาคิดว่าสรวงสวรรค์คงเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณและทรัพย์สมบัติล้ำค่ามากมาย ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่ได้เจอจริงๆจะเป็นแค่ดินแดนแห้งแล้งทุรกันดาร ทั้งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติเบื้องบน แต่ก็มีพละกำลังไม่พอแม้จะรับมือกับกระต่ายสักตัว


แค่คิดก็ทำให้เขาคับอกคับใจแล้ว


“กระแสกาลเวลาในสรวงสวรรค์เชื่องช้าเกินไป อีกทั้งแรงกดดันของมิติก็หนักหน่วง หากเรายังปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่ได้ แค่จะเดินไปไหนมาไหนก็ยากแล้ว” หูเหยาเหย่าอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม “พูดก็พูดเถอะ คุณคิดว่าจางเซวียนฝ่าปราการแห่งมิติเพื่อลงมายังมิติเบื้องบนได้อย่างไร? เขาจะต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงทำแบบนั้นได้?”


“เอ่อ…” อีกสองคนเงียบกริบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)