ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 230-233
ตอนที่ 230 ผีดิบไอปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ร่างไร้หัวยังคงเดินต่อไปซักระยะ หลังจากนั้นถึงได้ล้มโครมลงพื้น และกลายเป็นกองขี้เถ้าสีขาวในที่สุด
หลิ่วหมิงโบกมือไปทางกองขี้เถ้าสีขาว
“ฟู่!” ป้ายเหล็กสีดำอันหนึ่งลอยเข้ามา และค่อยๆ หล่นลงบนมือ
เขาก้มสังเกตดูป้ายเหล็กในมือไม่กี่ที แล้วก็หมุนตัวเหาะกลับไป
“สหาย ผีดิบเกราะเหล็กตัวนี้เป็น……” ชายร่างอ้วนรอเท้าหลิ่วหมิงแตะพื้น และพูดอ้ำๆ อึ้งๆ ออกมาเพื่ออธิบาย
แต่หลิ่วหมิงโบกมือขัดจังหวะคำพูดในส่วนท้ายของเขา พร้อมกับโยนป้ายเหล็กออกไปให้ จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“อาวุธที่เจ้าพูดถึงใช่ของสิ่งนี้หรือไม่ ถ้าใช่ล่ะก็ ให้รีบเปิดผนึกเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ข้าไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระใดๆ”
“ใช่! นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการเปิดผนึก ข้าจะรีบไปเปิดผนึกเดี๋ยวนี้” แม้หลิ่วหมิงจะไม่พูดถึงผีดิบเกราะเหล็กในโลงศพ แต่ก็ยังคงทำให้ชายร่างอ้วนรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ หลังจากรับป้ายเหล็กมาดูแล้ว เขาก็รีบตอบรับในทันที
ชายร่างอ้วนเดินเข้าไปใจกลางถ้ำ และยกป้ายเหล็กขึ้นสูงๆ พร้อมกับอ้าปากพ่นโลหิตออกมา หลังจากนั้นก็เริ่มร่ายคาถา
คาถาคลุมเครือยากจะเข้าใจ แต่มันสัมผัสคล้องจองกันอย่างบอกไม่ถูก
“ฟู่!” ป้ายเหล็กที่ดูธรรมดาส่องแสงสีขาวออกมา ทั้งยังสว่างขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็หลุดออกไปจากฝ่ามือการควบคุมของชายร่างอ้วน และพุ่งขึ้นบนอากาศ
แสงสีเขียวกะพริบผ่านไป ป้ายเหล็กหายไปบนผนังถ้ำ
ครู่ต่อมา อักขระแสงสีขาวจำนวนมากก็ปรากฏอยู่ด้านบน จากนั้นก็พุ่งลงมาราวกับหยาดฝน และค่อยๆ จมหายไปบนพื้น
มีเสียงดังขึ้นจากใต้พื้น ถ้ำทั้งหลังเริ่มสั่นสะเทือน และค่ายกลอักขระห้าสีขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมาจากพื้น มันเพียงแค่หมุนติ้วๆ ก็แผ่กลิ่นไออันน่ากลัวออกมา
ในขณะเดียวกัน พื้นดินกลางค่ายกลอักขระก็แตกกระจายออก ก่อให้เกิดหลุมสีดำขนาดใหญ่ มีเสียงปีศาจแผดร้องดังแว่วๆ ออกมาจากในนั้น
“นี่คือทางเข้าของหลุมปีศาจหรือ?” หลิ่วหมิงจ้องมองหลุมสีดำขนาดใหญ่ด้วยแววตาร้อนผะผ่าว
“คงไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน” ชายร่างอ้วนจ้องมองหลุมใหญ่แล้วกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าลงไปก่อนเถอะ” หลิ่วหมิงปราดตามองชายร่างอ้วนแล้วกล่าวออกมา
“สหายจะให้ข้าลงไปก่อนหรือ?” ชายร่างอ้วนได้ยินก็รู้สึกชะงักงันเล็กน้อย
“ทำไมล่ะ! หรือเจ้าจะให้ข้าลงไปก่อนหรือ? แต่วางใจเถอะ! ข้าจะให้พวกมันทั้งสองลงไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วแล้วกล่าวออกมา
“ได้! ข้าลงไปก่อนก็ได้” เหมือนชายร่างอ้วนจะรู้ว่าตนเองไม่สามารถคัดค้านใดๆ ได้ จึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาก็เดินเข้าใกล้หลุมดำอย่างระมัดระวัง หลังจากที่ยื่นหน้ามองลงไปในนั้นแล้ว ถึงได้รวบรวมความกล้ากระโดดลงไป หัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวตามไปติดๆ
ผ่านไปไม่นาน หลังจากหลิ่วหมิงไม่ได้รับรายงานจากแมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เขาถึงกระโดดลงไป
หลุมดำไม่ค่อยลึกมากนัก หลิ่วหมิงรู้สึกว่าแค่อึดใจเดียวก็มาถึงถ้ำอีกหลังหนึ่งแล้ว
แต่นอกจากพื้นที่เล็กๆ ที่ควบคุมค่ายกลตรงหัวมุมแล้ว สถานที่อื่นๆ ล้วนเต็มไปด้วยไอสีดำเข้มข้น ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนว่าสภาพภายในถ้ำเป็นอย่างไร
ชายร่างอ้วน หัวบิน และแมงป่องกระดูกขาวต่างก็อยู่ในใจกลางค่ายกลอย่างว่าง่าย
“สิ่งเหล่านี้ดูไม่ค่อยเหมือนไอปีศาจบริสุทธิ์!” พอหลิ่วหมิงกวาดตามองไอดำเข้มข้นนอกค่ายกลแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนกล่าวออกมา
“ข้าเองก็รู้ว่ามันไม่ใช่ แต่คิดว่าหลุมปีศาจคงจะอยู่บริเวณนี้! พวกเราค้นหาดูให้ทั่วดีกว่าไหม!” ชายร่างอ้วนมองดูไอดำรอบด้านและกล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อย
“ค้นหาให้ทั่ว? ได้! เจ้าสามารถไปจากที่นี้ได้ ไปดูว่าไอดำด้านนอกคือสิ่งใดกัน?” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“สหายล้อข้าเล่นแล้ว! ในเมื่อสถานที่แห่งนี้ถูกวางชั้นจำกัดไว้ต้านทานไอสีดำเหล่านี้ ข้าคิดว่าพวกมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรไปแตะต้อง” พอชายร่างอ้วนได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าเหยเกออกมา
แต่ขณะนั้นเอง ไอดำรอบด้านที่ดูเงียบๆ ก็พลันพวยพุ่งขึ้นมา และเริ่มไปรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว ไอดำที่เดิมทีปกคลุมไปทั่วถ้ำก็หดหายไปจนหมดสิ้น พวกมันไปรวมตัวกันเหนือหลุมลึกที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวเจ็ดแปดจั้ง และก่อตัวเป็นกลุ่มไอดำขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง
ท่ามกลางไอสีดำมีเก้าอี้สีทองสว่างไสวลอยอยู่ และมีคนนั่งอยู่บนนั้น เขากำลังแหงนหน้ามองมาทางหลิ่วหมิง
สายตาของเขาราวกับสายฟ้า!
เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมเปราะบาง สวมชุดคลุมสีเหลือง มีกระบี่ยาวสีเงินสะพายอยู่ที่เอว ใบหน้าซีดขาว แต่โครงหน้าสง่างามเป็นอย่างมาก ระหว่างคิ้วเขาดูคล้ายกับชายร่างอ้วนสี่ถึงห้าส่วน
กลุ่มไอดำหมุนวนได้เพียงอึดใจเดียว ก็จมหายไปในร่างของชายหนุ่ม
พอหลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ กลับสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะมีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ชายร่างอ้วนที่ยืนอยู่ด้านข้าง พลันกระโดดเฉียดไหล่เขาไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และพุ่งไปทางด้านหลุมใหญ่ ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกไปด้วย
“ท่านรัชทายาท ข้าเป็นทายาทของท่าน และเป็นคนเปิดผนึกเอง ตั้งใจมาเพื่อปล่อยท่านออกไป”
รูปร่างเขาดูอวบอ้วน แต่กลับเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นอย่างมาก ตอนนี้วิ่งไปอยู่ห่างจากหลุมปีศาจไม่เกินสองสามจั้ง
หลิ่วหมิงเห็นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา
หัวบินที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะประหลาดๆ และสะบัดหัวอย่างรวดเร็ว
เส้นผมยาวที่ยังรัดชายร่างอ้วนไว้แน่น ก็ตึงขึ้นมาทันที
“ฟู่!” ชายร่างอ้วนถูกผมยาวบีบรัดหัวใจจนแตกสลาย หลังจากที่เขาร้องออกมาอย่างเวทนา ก็อ้าปากพ่นโลหิตออกมา
แต่เขาเพียงแค่โซเซไม่กี่ที หลังจากนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ และกระโดดตัวราวกับบิน
สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงปากอ้าตาค้างอย่างช่วยไม่ได้
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กน้อย พวกเจ้าคงคิดไม่ถึงล่ะสิ! ว่าข้ามีหัวใจสองดวง ความลึกลับของวิชาผสานร่างปีศาจมีมากกว่าที่เจ้าคิด ที่เจ้าทำลายไปเป็นแค่หัวใจของอสูรตนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างมันได้เปลี่ยนตำแหน่งกับหัวใจข้าไปนานแล้ว และจุดหมายสำคัญของการมาในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะสมบัติของราชวงศ์ก่อน แต่มาเพื่อปล่อยตัวรัชทายาทของราชวงศ์ก่อนที่อยู่ที่นี่มาพันปีแล้ว” ชายร่างอ้วนเคลื่อนไหวอีกที ก็กระโดดมาถึงด้านหน้าของเก้าอี้สีทอง จากนั้นก็หันมากล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ สีหน้าก็ดูไม่ได้เล็กน้อยแล้ว
แต่ขณะนั้นเอง ชายร่างอ้วนพลันร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ฝ่ามือข้างหนึ่งที่ดูผอมเปราะบางเจาะทะลุหน้าอกด้านหนึ่งของเขา นิ้วทั้งกำลังบีบหัวใจที่เต้นเบาๆ
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ท่านบรรพบุรุษ ท่าน……” ชายร่างอ้วนไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่พอพยายามหันศีรษะกลับไป ก็พบว่านอกจากชายหนุ่มรูปร่างเปราะบางแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นๆ อีก
ผู้ที่เจาะหัวใจเขาก็คือชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
“เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าทำผิดไปสองเรื่อง” ชายหนุ่มเหยียดปาก เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มแปลกประหลาด
“ท่าน……” ชายร่างอ้วนเบิกตาทั้งสองขึ้น เขารู้สึกว่าเรี่ยวแรงค่อยๆ หมดไป หลังจากพูดออกไปได้คำเดียวก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
ชายหนุ่มรูปร่างเปราะบางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ข้อแรก เจ้าไม่ควรเข้าใกล้ข้าขนาดนี้ เจ้ารู้ไหมว่า ร่างกายนี้ไม่ได้สัมผัสกับเลือดมากี่ปีแล้ว เข้าใกล้ข้าในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นลูกของข้าเอง ข้าก็จะค่อยๆ กินทีละคำจนหมด ข้อสอง ข้าไม่ใช่บรรพบุรุษของเจ้า รัชทายาทราชวงศ์ก่อนที่เป็นเจ้าของร่างนี้ ได้เป็นฆ่าตัวตายเพราะความเหงาไปเมื่อพันกว่าปีแล้ว ข้าเป็นแค่เจ้าของคนใหม่ที่เพิ่งมาเกิดในร่างนี้ทีหลัง แน่นอนว่ามันยังผสมผสานความทรงจำของรัชทายาทผู้นั้นอยู่เล็กน้อย เห็นแก่ความลำบากที่เจ้ามาเปิดผนึกให้ ข้าจึงเจ้าตายเร็วหน่อย ส่วนเลือดเนื้อของเจ้า ข้าย่อมค่อยๆ ลิ้มรสมันถึงจะอร่อย”
พริบตาที่ชายหนุ่มพูดประโยคสุดท้ายจบ ก็บีบนิ้วทั้งห้าเข้าหากันจนหัวใจดวงนั้นแหลกละเอียด จากนั้นเขาก็ดึงร่างของชายร่างอ้วนมาไว้บนเข่า พร้อมกับก้มลงกัดคอของเขาเพื่อดูดโลหิตอย่างบ้าคลั่ง
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาอยู่หลายรอบ จากนั้นก็เหาะพุ่งไปยังทิศทางที่เข้ามา
“เพล้ง!”
พอเขาเข้าใกล้บริเวณทางเข้า กลับมีม่านแสงสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าในฉับพลัน ทำให้เขาที่ไม่ทันได้ป้องกันตัวกระเด็นกลับมา
“เจ้าไม่ต้องเสียเวลาหรอก นอกเสียจากว่าข้าจะไปจากที่นี่ก่อน มิเช่นนั้นสถานที่แห่งนี้จะปิดผนึกเอง แน่นอนว่าด้วยระดับพลังของเจ้า ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาทำลายชั้นจำกัดนี้มากเท่าไหร่ แต่ข้าก็ต้องให้เวลาเจ้าด้วย” ในที่สุดชายหนุ่มรูปร่างผอมบางก็ละปากที่เต็มไปด้วยโลหิตออกจากศพ เผยให้เห็นเขี้ยวยักษ์ตรงมุมปากที่กำลังพูดออกมาอย่างสบายๆ
“เจ้าเป็นผีดิบไอปีศาจ?” ใบหน้าของหลิ่วหมิงมืดครึ้มเป็นอย่างมาก แต่หลังจากมองไปยังหลุมขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถคาดเดาความลึกได้ เขาก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
ขณะเดียวกัน กระบี่สั้นสีเขียวก็ถูกนำมาตั้งขวางไว้ตรงหน้า หลังจากมีเสียง “เต๊งตั๊ง!” ดังออกมาจากมืออีกข้าง โซ่สีเงินเส้นหนึ่งก็พุ่งออกไปในอากาศ และค่อยๆ หมุนวนอยู่รอบตัวเขา
ส่วนหัวบินกับแมงป่องกระดูกขาว เส้นผมยาวของหัวบินเหยียดตรงขึ้นมาในทันที แมงป่องกระดูกขาวเอี้ยวตัวมองลงไปด้วยตาที่เป็นประกาย หางตะขอตรงหลังเริ่มแกว่งไปมาอยู่ไม่หยุด
“ผีดิบไอปีศาจ! ใช่ ร่างกายนี้ก็ควรจะนับว่าใช่ ในสมัยก่อนข้าถูกศัตรูตัวฉกาจทำลายร่างไป แม้กระทั่งเศษวิญญาณก็ถูกปิดผนึกไปกับหลุมปีศาจแห่งนี้ เดิมทีคิดว่าคงไม่มีวันได้ออกไป แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาเปิดผนึกหลุมปีศาจนี้อีกครั้ง ทั้งยังมอบร่างที่ฝึกฝนจนเป็นผีดิบไอปีศาจให้ข้าแต่โดยดี ดูท่าสวรรค์คงไม่ทอดทิ้งข้า!” ชายหนุ่มร่างเปราะบางเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
……………………………………….
ตอนที่ 231 ต่อสู้กับผีดิบไอปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากนั้นชายหนุ่มก็ยกแขนขึ้น และชี้นิ้วมาทางหลิ่วหมิง
“ฟู่!”
พายุไร้รูปพุ่งมาตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว จนทำให้เขาไม่มีแม้แต่เวลาจะคิดพิจารณา
เขาเพียงแค่หันศีรษะไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว พายุเฉียดผ่านหูปะทะใส่ผนังหินด้านหลังที่อยู่ไม่ไกล
ก่อให้เกิดรูขนาดเท่านิ้วมือ
“ปราณแกร่ง!”
พอหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มร่างผอมบางบนเก้าอี้สีทองกลับหัวเราะออกมา และดีดนิ้วออกไปติดต่อกัน
“ฟิ้วๆ!” พายุจำนวนมากโจมตีส่วนต่างๆ ของหลิ่วหมิงพร้อมกัน
แต่หลิ่วหมิงที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว จะยืนนิ่งอยู่ที่เดิมได้อย่างไร เขาเคลื่อนไหวติดต่อกันจนเกิดเป็นเงา และมาปรากฏตัวในสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปหลายจั้ง
พายุจำนวนมากพัดผ่านไป ทำให้ผนังหินด้านหลังเกิดรูเป็นจำนวนมาก
“ไม่ถูกต้อง! เจ้าไม่ใช่อาจารย์จิตวิญญาณ! ปราณแกร่งของอาจารย์จิตวิญญาณที่แท้จริงไม่ได้อยู่แค่ระดับนี้!” หลิ่วหมิงหันไปมองรูบนผนังหินทีหนึ่ง แล้วหันไปดูการโจมตีของชายหนุ่มร่างผอมบางในรอบนี้ และเห็นว่าเขาไม่ได้ปล่อยนิ้วพายุออกมาอย่างต่อเนื่อง หลิ่วหมิงก็หรี่ตาพูดออกมาทันที
“เฮ่อๆ! ข้าฝึกปราณแกร่งสำเร็จแล้ว จะใช่อาจารย์จิตวิญญาณหรือไม่ มันแตกต่างกันตรงไหน! เจ้าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณ ยังคิดจะหนีไปจากเงื้อมมือข้าได้หรือ? สถานที่แห่งนี้ถูกปิดผนึกไว้ นอกเสียจากว่าจะมีระดับการโจมตีเทียบเท่ากับอาจารย์จิตวิญญาณถึงจะสามารถทำลายมันได้ มิเช่นนั้นเจ้าต้องถูกฆ่าดูดโลหิตหมดตัวอย่างแน่นอน” ชายร่างผอมบางหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
จากนั้นเขางอนิ้วทั้งห้าให้กลายเป็นกรงเล็บคว้ามาหาหลิ่วหมิง
บังเกิดเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง!
เคลื่อนสั่นไหวเหนือศีรษะหลิ่วหมิง มือสีขาวเทากึ่งโปร่งแสงขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้น และคว้าลงมาอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย เพียงแค่ขยับตัว ก็หลบออกไปราวกับใบหลิวที่ไหวตามแรงลม
ขณะเดียวกัน แมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน เส้นผมยาวเต็มศีรษะม้วนตัวออกไป หางตะขอกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นเจาะทะลุออกไป
มือใหญ่สีขาวเทาเผชิญกับการโจมตีทั้งสองพร้อมกัน หลังจากกะพริบไม่กี่ที มันก็กลายเป็นจุดแสงก่อนที่จะสลายไป
ชายหนุ่มร่างผอมบางเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ดูหนักอึ้งขึ้นมา เขาขยับแขนและดูเหมือนจะคว้าเข้าใส่หลิ่วหมิง
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับหัวเราะขึ้นมา
“น่าสนใจ! การโจมตีเมื่อครู่ดูเหมือนจะมีอานุภาพไม่น้อย แต่ข้าจะดูแต่เปลือกนอกได้อย่างไร คำพูดของท่านที่แฝงออกมาในแต่ละครั้ง ดูเหมือนจะตั้งใจให้ข้างัดท่าไม้ตายออกมาทำลายชั้นจำกัดนี้ ให้ข้าเดาล่ะก็ ถ้าไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้วิธีทำลายชั้นจำกัดนี้ จึงคิดจะยืมมือข้าทำเรื่องนี้แทนล่ะก็ คงเป็นเพราะว่าร่างกายของท่านไม่สมบูรณ์พอ จึงตั้งใจทำให้ข้าตกใจ ดูเหมือนว่าท่านยังไม่ได้ไปจากเก้าอี้ตัวนั้นเลย”
พอชายร่างเปราะบางได้ยินหลิ่วหมิงพูดเช่นนี้ ก็เผยแววดุร้ายออกมา แต่ก็ไม่เห็นพูดอะไร เพียงแค่ขยับแขนชักกระบี่ยาวสีเงินตรงเอวออกมา และฟันเข้าใส่หลิ่วหมิง
เสียงแหลมแสบหูดังขึ้นมา!
หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าแสงสีเงินตรงหน้าปรากฏออกมา จากนั้นปราณกระบี่สีเงินครั่นคร้ามก็มาถึงเหนือศีรษะเขา และฟันลงมาอย่างรุนแรง
เขากำลังจะหลบด้วยความตกใจ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากพื้น ทันใดนั้นมือสีเหลืองขนาดใหญ่สองข้างก็พุ่งขึ้นมา และคว้าเท้าทั้งสองของเขาไว้อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ กระบี่สั้นสีเขียวในมือฟาดฟันปราณกระบี่ออกไปในอากาศ ปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันโซ่สีเงินรอบตัวก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง มันไม่เพียงแต่จะหวดใส่มือสีเหลืองจนแหลกละเอียด แต่ยังกลายเป็นเงาสีเงินปกป้องร่างเขาไว้
พอปราณกระบี่สีเขียวกับสีเงินในอากาศปะทะกัน ก็ระเบิดเสียงอันน่าตกใจออกมา
ชายร่างผอมบางบนเก้าอี้สีทองเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น เขาสะบัดแขนข้างที่ถือกระบี่ และฟันมาทางหลิ่วหมิงทันที
ทันใดนั้นปราณกระบี่สีเงินอีกสายก็ฟันลงมาจากที่สูงราวกับสายฟ้าแลบ
ด้วยเหตุนี้ ปราณกระบี่สีเขียวเพียงแค่ส่งเสียงออกมา และกลายเป็นจุดแสงเขียวๆ ก่อนสลายไป
ปราณกระบี่สีเงินทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่ง และฟันใส่เงาโซ่สีเงินอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นได้เกิดเสียงระเบิดดังออกมาติดต่อกัน
ร่างหลิ่วหมิงโซเซ และในที่สุดก็สามารถออกมาจากวงล้อมของอานุภาพปราณกระบี่สีเงินได้
โซ่สีเงินแวววาวในตอนแรกกลับดำมืดลงไปมาก
แต่พอเท้าทั้งคู่ของหลิ่วหมิงยืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง เขาก็กวาดสายตาดูโซ่สีเงินสลับกับชายหนุ่มร่างผอมแห้ง แล้วก็ถามออกไปด้วยสีหน้าแปลกใจ
“นี่คือท่าไม้ตายของเจ้าหรือ? ดูท่าข้าคงเดาไม่ผิด ตอนนี้เจ้ามีสภาพไม่สมบูรณ์เล็กน้อยจริงๆ”
พอกล่าวจบ เขาก็โยนกระบี่สั้นสีเขียวในมือไปบนอากาศทันที มือข้างหนึ่งทำท่ามือและร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว
กระบี่สั้นสีเขียวหมุนติ้วๆ กลายเป็นจันทราสีเขียว และหมุนวนขยายขนาดอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน แมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินก็เคลื่อนไหว และกระโจนไปยังหลุมขนาดใหญ่
หัวบินเคลื่อนไหวเพียงแค่ไม่กี่ที ก็มาอยู่กลางอากาศห่างจากชายหนุ่มร่างผอมบางไม่ไกล มันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมา จากนั้นก็สะบัดผมยาวเต็มศีรษะจนกลายเป็นไหมหยกพุ่งยิงออกไปจำนวนมาก
ชายร่างผอมบางเผยรอยยิ้มอันน่าเกลียดน่ากลัว และอ้าปากพ่นแสงสีขาวเทาออกมาโดยฉับพลัน มันสูดเอาเปลวเพลิงสีเขียวทั้งหมดเข้าไปในปาก แต่ไม่สนใจเส้นผมยาวที่พุ่งมาเต็มฟ้า แต่กลับขยับแขนชกหมัดออกไป
“ตู๊ม!”
ขณะที่เส้นผมยาวเจาะไปยังร่างของชายหนุ่มนั้น หัวบินก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างโจมตีจนกระเด็นออกไปพร้อมเสียงร้องอย่างเวทนา
ขณะนี้ แมงป่องกระดูกขาวกระโจนตามมา มันอ้าปากพ่นเพลิงสีม่วงออกมาเช่นกัน ขณะเดียวกันหางตะขอตรงหลังก็เคลื่อนไหวกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้น เจาะทะลุเข้ามา
“ซู่!” “ซู่!”
ชายหนุ่มร่างผอมบางปล่อยให้เปลวไฟสีม่วงกับเส้นสีดำโจมตีร่างเขาตามอำเภอใจ และเขาก็ขยับแขนราวกับอสรพิษคว้าเอาหางตะขอสีดำมืดไว้ จากนั้นก็สะบัดข้อมือกระแทกแมงป่องกระดูกขาวกับขอบหลุมขนาดใหญ่
บังเกิดเสียงดังขึ้นมา!
พื้นดินค่อยๆ สั่นสะเทือน!
สถานที่ที่แมงป่องกระดูกขาวอยู่ยุบลงไปบางส่วน ทำให้มันไม่สามารถปีนขึ้นมาได้
เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ แมงป่องกระดูกถูกกระแทกไปไม่เบา
แต่ที่ทำให้คนตกใจยิ่งกว่าก็คือ ไม่ว่าบาดแผลที่ชายรูปร่างผอมแห้งได้รับมาจากเส้นผมยาวของหัวบิน หรือหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวนั้น มีเพียงแค่ไอสีดำพุ่งออกมา และไม่มีโลหิตไหลเลยแม้แต่น้อย
แต่ขณะนั้นเอง กระบี่จันทราหยกกลางอากาศก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าอ่างล้างหน้า พอหลิ่วหมิงตะคอกเสียงต่ำออกมา มันก็พร่ามัวหายไป
ครู่ต่อมา จันทราสีเขียวก็มาปรากฏตัวเหนือร่างชายหนุ่มร่างผอมบาง และตกลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง พร้อมกับสาดแสงเย็นสะท้านอันน่ากลัวลงมา
เดิมทีชายหนุ่มร่างผอมบางคิดจะจัดการแมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินก่อน แต่พอเห็นกลิ่นไออันน่ากลัวของจันทราสีเขียว สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาสะบัดกระบี่ยาวสีเงินออกไป และปราณกระบี่สิบกว่าสายก็ฟันขึ้นบนอากาศพร้อมกัน
พริบตาเดียว จันทราสีเขียวก็ปะทะกับปราณกระบี่สีเงิน และส่งเสียงระเบิดดังออกมา
แสงสีเขียวกับแสงสีเงินตัดสลับกัน และต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
ขณะนั้นเอง คมวายุยักษ์ขนาดยาวครึ่งจั้งได้ก่อตัวขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิง พอเขาสะบัดมือทั้งสองคมวายุยักษ์ก็พร่ามัวหายไป
ชายหนุ่มร่างผอมบางตาเป็นประกาย และคว้ามือเปล่าไปยังด้านหน้า
มือของเขาลีบแห้งจนยากจะหาที่เปรียบได้ และยังมืดดำราวกับหมึก
“เพล้ง!”
คมวายุยักษ์พร่ามัวไปปรากฏอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม และถูกเขาคว้าเอาไว้ได้พอดี
ฉากอันน่าเหลือเชื่อได้ปรากฏขึ้นแล้ว
คมวายุยักษ์ที่ฟันลงบนมือ ไม่สามารถจะตัดมือให้ขาดได้ แต่หลังจากที่ชายร่างผอมบางเผยสีหน้าดุร้ายออกมา เขาก็บีบคมวายุจนแตกกระจาย
แม้หลิ่วหมิงเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอด แต่พอได้เห็นฉากนี้ใจก็ร่วงหล่นลงไป แต่มือของเขาก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวจนดูคล้ายล้อรถหมุน จากนั้นแสงสีแดงก็ปรากฏออกมาตรงหน้า หลังจากหมุนรวมกันติ้วๆ แล้ว ก็หลายเป็นลูกเปลวไฟ และขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว
ชายร่างผอมบางเห็นฉากเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเย็นสะท้าน พอเขาอ้าปากก็พ่นของเหลวสีดำออกมาสองกลุ่ม
แต่พริบตาที่ทั้งสองอย่างตกลงพื้น มันก็เลื้อยขยุกขยิกกลายเป็นปีศาจวานรสีดำที่สูงจั้งกว่าๆ หลังจากแผดเสียงคำรามออกมา มันก็แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งมาหาหลิ่วหมิง
แต่ขณะนั้นเองได้มีเสียงดัง “ฟู่!” ออกมา
ปีศาจวานรทั้งสองถูกตาข่ายแผ่คลุมไว้ในพริบตา มันคือหัวบินที่พุ่งยิงเข้ามาพร้อมกับเส้นผมยาวบนหัว
แม้ปีศาจวานรทั้งสองจะดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ในตาข่าย แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ใบหน้าชายหนุ่มร่างผอมบางดูไม่ได้เล็กน้อย เขาสะบัดกระบี่ยาวสีเงิน เพื่อฟันฟันใส่หัวบิน
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นเหนือศีรษะเขา
มันคือจันทราสีเขียวที่ระเบิดออกมาในพริบตา ปราณกระบี่สีเขียวร้อยกว่าสายพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง และโจมตีจนปราณกระบี่สีเงินเหล่านั้นสลายไป ทั้งยังม้วนแสงเย็นสะท้านอันน่าครั่นคร้ามลงมา
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง ชายร่างผมบางได้แต่เปลี่ยนทิศทางของกระบี่ยาวสีเงิน และฟาดฟันมันออกไปในอากาศ
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังครึกโครมมาจากทางด้านหลิ่วหมิง ลูกเปลวไฟยักษ์ขนาดเท่าอ่างล้างหน้าพวยพุ่งเข้ามาถึงแล้ว
ชายร่างผอมบางปราดตามองอานุภาพของลูกเปลวไฟยักษ์ แล้วก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเป็นครั้งแรก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่ยอมไปจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แต่กลับแผดเสียงแหลมออกมา และอ้าปากพ่นของเหลวสีดำออกไปห้าหกกลุ่ม
ของเหลวที่พ่นออกมาในแต่ละกลุ่ม ทำให้สายตาของชายหนุ่มร่างผอมบางมืดลงเล็กน้อย
เมื่อมีเสียงดัง “ซู่!” “ซู่” ของเหลวสีดำก็รีบพุ่งไปเผชิญกับลูกเปลวไฟยักษ์
สถานการณ์อันน่าแปลกใจได้เกิดขึ้นแล้ว
พอลูกเปลวไฟยักษ์ที่คุโชน สัมผัสโดนของเหลวสีดำเหล่านี้ มันก็พร่ามัวก่อนที่จะดับลงไป
แต่ขณะนั้นเอง มีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นมา พริบตาเดียวเข็มเหงาหยกก็ดีดตัวออกมา
จากนั้นก็กะพริบผ่านไป และมาอยู่ระหว่างคิ้วของชายร่างอ้วนจนเกือบจะเจาะทะลุได้แล้ว
……………………………………….
ตอนที่ 232 กำจัดปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายร่างผอมแห้งทำเสียง “ถุย” ออกมา
แม้ว่าเสียงจะไม่ดังมาก แต่พริบตาที่เขาอ้าปาก แสงลูกกลมๆ สีมืดครึมก็ถูกพ่นออกมา
เข็มเงาหยกแทงเข้าไปในแสงลูกกลมๆ และค่อยๆ หยุดชะงักลง
ชายหนุ่มร่างผอมบางอาศัยโอกาสนี้หันศีรษะจนหลบเข็มเงาหยกไปได้
ขณะนั้นเองหลิ่วหมิงที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ก็กระทืบเท้าลงพื้นในฉับพลัน ร่างของเขาพุ่งเข้ามาราวกับลูกธนู พอเคลื่อนไหวเพียงแค่ทีเดียวก็มาถึงข้างชายหนุ่มร่างผอมบางราวกับปีศาจ พอเขายกแขนขึ้น แท่งวารีสีฟ้าก็พุ่งออกไป
ชายหนุ่มร่างผอมบางมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาในทันที มือข้างที่บีบคมวายุจนแหลกละเอียดก็พร่ามัวไปต้านทานแท่งวารีไว้ ขณะเดียวกันก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา
“คิดจะทำร้ายข้าด้วยวิชาแบบนี้หรือ ฝันไปเถอะ!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าแปลกๆ ออกมาในฉับพลัน และตีลังกาถอยไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน แท่งวารีสีฟ้าก็ระเบิดตัวออกมาโดยที่ชายหนุ่มร่างผอมบางยังไม่ทันได้บีบมัน
“ตู๊ม!” ไอเย็นประหลาดๆ ม้วนตัวออกไป
สำหรับชายหนุ่มร่างผอมบางแล้ว ไอเย็นแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ดันมีมุกสีแดงขนาดเท่านิ้วโป้งสามเม็ดโผล่ออกมาจากเศษแท่งวารี
“แย่แล้ว!”
ชายหนุ่มร่างผอมบางเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก เขาอยากจะทำท่าป้องกันก็สายเกินไปเสียแล้ว
มุกสีแดงทั้งสามระเบิดออกมาพร้อมกันภายใต้แสงสว่างที่เปล่งประกายออกมา
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” “ตู๊ม!”
หมอกเพลิงสามกลุ่มที่อยู่เหนือหลุมขนาดใหญ่ม้วนพุ่งขึ้นฟ้า มันรวมตัวกันเป็นแสงแดดอันเจิดจ้า
แสงแดดเจิดจ้าปกคลุมชายหนุ่มรูปร่างผอมบางกับเก้าอี้สีทองไว้ในนั้น มันแผ่อุณหภูมิสูงจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นดูหรุบหรู่ลงทั้งแถบ
ชายหนุ่มที่อยู่กลางแดดเจิดจ้าร้องออกมาอย่างเวทนา จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงโครงกระดูกสีดำราวกับหมึก
แต่โครงกระดูกนี้ก็พยุงตัวอยู่ได้เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ค่อยๆ ละลาย
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้ขึ้นในเบ้าตาทั้งสอง โครงกระดูกแหงนหน้าแผดเสียงแหลมยาวออกมา เก้าอี้สีทองละลายเป็นของเหลวสีทอง และม้วนตัวเข้าหาโครงกระดูกอย่างรวดเร็ว
พริบตานั้น โครงกระดูกที่ดำมืดราวกับหมึกก็เปล่งประกายสีทองเหลืองอร่ามเจิดจ้า
แต่พริบตาที่โครงกระดูกสีทองหลุดพ้นจากแสงสีแดง ก็มีเงาเคลื่อนไหวตรงหน้า ที่แท้ก็เป็นหลิ่วหมิงที่มาปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง และพอเขายกมือขึ้น สิ่งของสีขาวมัวบางอย่างก็พุ่งออกไป
ที่แท้มันก็คือลูกประคำที่ดูแวววาวเส้นนั้น
แม้ว่าลูกประคำนี้จะไม่ได้ผ่านการปรับแต่งมากนัก แต่พริบตาที่มันเผชิญหน้ากับโครงกระดูกสีทอง ก็มีเสียงภาษาสันสกฤตดังออกมาราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ จากนั้นก็พร่ามัวไปปรากฏอยู่บนคอของโครงกระดูกสีทอง แสงสว่างเปล่งประกายออกมา พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นวงแหวนเจ็ดสีขนาดใหญ่รัดคอไว้แน่น
โครงกระดูกสีทองร้องออกมาอย่างเวทนา ควันเหม็นคาวสีดำพุ่งออกจากคอ ทำให้ร่างเขาสั่นไหวอยู่ไม่หยุดจนไม่อาจควบคุมตนเองได้
“ฟู่!”
เข็มเงาหยกหมุนวนหนึ่งรอบ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในหัวกะโหลก และพุ่งออกมาระหว่างคิ้วของมัน
โครงกระดูกสีทองพยายามสลัดตัวเอาชีวิตรอดอย่างสุดชีวิต ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีดำในเบ้าตาก็สลายไป ร่างที่ดิ้นรนอยู่อ่อนแรงลงในทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาถึงด้านข้างโครงกระดูก แสงสีขาวเปล่งประกายในมือ คมวายุเส้นหนึ่งปรากฏออกมา เขาขยับแขนอีกครั้งเพื่อฟันคมวายุเข้าใส่หัวกระโหลก
แต่ขณะนั้นเอง เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป!
โครงกระดูกสีทองที่ดูไร้ลมหายใจ พลันมีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้ในเบ้าตาอีกครั้ง และหลังจากที่หมุนติ้วๆ แล้วก็กลายเป็นไอสีดำสองสายพุ่งออกไป และยังประกอบกันเป็นหน้าปีศาจสีดำที่ดูพร่ามัว
“เจ้าเด็กน้อย ในเมื่อเจ้าทำลายร่างไอปีศาจของข้าไปแล้ว งั้นข้าก็จะใช้ร่างของเจ้ามาชดเชย”
หน้าปีศาจยิ้มอย่างอัปลักษณ์ จากนั้นก็พุ่งมาหาหลิ่วหมิงอย่างพร่ามัว
หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันคมวายุสีเขียวในมือก็ฟันหน้าปีศาจอย่างไม่ปราณี
หลังจากแสงสีเขียวกระพริบผ่านไป หน้าปีศาจกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่มันกลับพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ
หลิ่วหมิงคำรามออกมาด้วยความโมโห ฝ่ามือถูกพลิกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กระบอกเหล็กสีแดงปรากฏออกมา เพียงแค่ได้ยินเสียง “แกร่กๆ!” ตาข่ายแวววาวก็พุ่งออกไป
ตาข่ายกระพริบผ่านร่างหน้าปีศาจ แต่กลับทำอะไรมันไม่ได้เลย
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เขาคิดที่จะแสดงวิชาอื่นออกมา แต่ก็ไม่ทันการแล้ว
หน้าปีศาจยืดตัวกลายเป็นไอดำพุ่งไปปะทะกับหลิ่วหมิง
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเย็นสะท้านในทันทีก็คือ ไม่ว่าแขนทั้งคู่จะต้านทานอาวุธใดๆ ก็ตาม มันไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าปีศาจตนนี้ไร้ซึ่งรูปร่าง
หน้าปีศาจหัวเราะออกมาอย่างแปลกประหลาดและคิดจะมุดเข้าไปในร่างหลิ่วหมิง
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีแสงสีแดงเปล่งประกายออกมาบนตัวหลิ่วหมิงสิบกว่าแสง พอหน้าปีศาจสัมผัสกับแสงบางอย่าง มันก็ต้องร้องออกมาอย่างเวทนา พริบตาเดียวก็กลายเป็นไอสีดำม้วนตัวถอยไป
มันคือเกราะเกล็ดมังกรที่หลิ่วหมิงสวมอยู่ พอมันรับรู้ได้ว่ามีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาใกล้ ก็สำแดงอานุภาพอันน่าตกใจออกมา และโจมตีหน้าปีศาจถดถอยไป
หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ย่อมรู้สึกดีใจมาก เขาอ้าปากพ่นพายุบ้าระห่ำออกมาอย่างไม่ลังเล จนทำให้หน้าปีศาจถูกพัดวนอยู่ที่เดิมไม่หยุด และไม่สามารถเคลื่อนไปที่ได้ในชั่วขณะ
จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว นิ้วมือนิ้วหนึ่งชี้ไปทางโครงกระดูกสีทอง
“เพล้ง!”
วงแหวนแสงเจ็ดสีตรงคอโครงกระดูกสลายไปในพริบตา และลูกประคำจำนวนมากก็พุ่งยิงออกจากในนั้น มันพร่ามัวไปโจมตีหมอกดำที่กลายมาจากหน้าปีศาจ
ทันใดนั้นกลุ่มแสงเจ็ดสีก็ระเบิดตัวในหมอกดำพร้อมกัน
หน้าปีศาจร้องออกมาอย่างเวทนา หมอกดำดิ้นขยุกขยิกท่ามกลางแสงเจ็ดสีอยู่ไม่หยุด ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูสภาพเดิมได้ชั่วขณะ
และเมื่อมีเวลาพักหายใจเช่นนี้ หลิ่วหมิงถึงได้ควักยันต์สีเหลืองออกจากแขนเสื้อมาปึกหนึ่งแล้วโยนไปด้านหน้า
“ฟู่!” “ฟู่!”
เพียงแค่ยันต์เหล่านั้นพร่ามัว มันก็ไปแปะอยู่บนหมอกดำ พริบตาเดียวก็ปกคลุมมันไว้อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือในทันที และตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา
ยันต์สีเหลืองทั้งหมดระเบิดตัวออกมาเป็นกลุ่มแสงสีขาว และมีเปลวเพลิงสีทองกระพริบอยู่ในแสงสีขาวไม่หยุด
ครั้งนี้หน้าปีศาจไม่ทันได้ส่งเสียงร้องใดๆ ออกมา จากนั้นเปลวสีทองก็มลายหายไป
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้ถอนหายใจยาวๆ ออกมา
หากไม่ใช่เพราะว่าปีศาจตนนี้ไม่ยอมออกห่างเก้าอี้เลยแม้แต่น้อย และบนตัวเขาก็พกสิ่งของปราบปีศาจมาเป็นจำนวนมากล่ะก็ เกรงว่าคงจะกำจัดมันได้ยาก
แต่หลังจากที่เขาคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกปวดใจอยู่ไม่หยุด
ยันต์ปึกเมื่อครู่ คือยันต์ระดับสูงในการรับมือกับปีศาจโดยเฉพาะ ซึ่งชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้มอบให้เขาเมื่อไม่นานมานี้ มันมีมูลค่ามาก จนดูเหมือนจะเป็นรองแค่ยันต์แสงทองที่ใช้คุ้มครองชีวิตเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่ว่าหน้าปีศาจเมื่อครู่รับมือได้ยาก และยันต์สยบปีศาจทั่วไปไม่สามารถทำอะไรมันได้ เขาคงไม่ใช้มันหมดในครั้งเดียวอย่างเด็ดขาด
แต่จะว่าไปแล้ว ลูกประคำเส้นนั้นเป็นอาวุธพุทธานุภาพ มันขับไล่ปีศาจได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เกราะเกล็ดมังกรก็ให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และยกมือขึ้นลูบเกราะหนังบนตัวที่ยังอุ่นๆ อยู่ จากนั้นก็โบกมือไปด้านหน้า
บังเกิดเสียงดังขึ้นมา
ลูกกลมๆ จำนวนมากพุ่งยิงเข้ามา และพร่ามัวกลายเป็นลูกประคำสีขาวมัว
และในพริบตาที่หน้าปีศาจสลายไป วานรสีดำสองตัวที่ต่อสู้กับหัวบินอยู่ก็สลายกลายเป็นไอสีดำ
หัวบินค่อยๆ ลอยเข้ามา
แมงป่องกระดูกขาวคลานขึ้นมาจากรอยเว้าได้ในที่สุด มันวิ่งโซซัดโซเซมาอยู่ข้างหลิ่วหมิง และใช้ก้ามทั้งสองถูขากางเกงของเขา
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองความเสียหายบนหลังแมงป่องกระดูกขาวที่ปรากฏอยู่หลายแห่ง แล้วก็คงต้องขมวดคิ้วออกมา ทันใดนั้นเขาก็ตบถุงหนังทันที
“ฟู่!”
แสงสีดำม้วนตัวผ่านไป มันดูดแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปในนั้น
ครั้งนี้มันได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ดูท่าหลายเดือนนี้คงไม่สามารถให้มันทำการต่อสู้ได้
แม้ว่าหัวบินจะสูญเสียพลังไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย จึงไม่ต้องรีบเก็บมันเข้าไป
หลิ่วหมิงใช้จิตสั่งหัวบินให้คอยระวังภัยอยู่แถวนี้ จากนั้นเขาถึงเดินไปยังโครงกระดูกสีทองที่ดูเหมือนจะยังรักษาสภาพที่เกือบสมบูรณ์ไว้อยู่
โครงกระดูกนี้นอนเงียบๆ อยู่ข้างหลุมใหญ่ ด้วยสภาพที่ไร้โอกาสรอดแล้ว
พอภาพเหตุการณ์ที่โครงกระดูกในก่อนหน้านั้น ถูกของเหลวสีทองที่ละลายจากเก้าอี้ปกคลุมไปทั่วร่างผุดขึ้นในสมองหลิ่วหมิง เขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบของสิ่งนี้
เขาจึงได้แต่เดินวนโครงกระดูกสีทองสองรอบ จากนั้นถึงปล่อยยันต์เก็บของง่ายๆ ออกมา และเก็บโครงกระดูกสีทองไว้ในนั้น
ต่อมา เขาเดินไปข้างศพชายร่างอ้วน
ในระหว่างการต่อสู้ในก่อนหน้า ปีศาจตนนั้นได้โยนศพชายผู้นี้ลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงค้นตัวชายร่างอ้วนอยู่รอบหนึ่ง ไม่คิดว่าจะค้นพบคัมภีร์ฝึกฝนนอกรีตอยู่สองสามเล่ม วิชาผสานร่างปีศาจก็อยู่ในนั้นด้วย
นอกจากนี้ ยังมีหินจิตวิญญาณระดับสูงที่มีมูลค่าหลายหมื่น
การค้นพบเหล่านี้ย่อมทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ค้นดูศพของชายรูปร่างสูงใหญ่เลย
ชายร่างอ้วนผู้นี้เป็นแค่ผู้นำหมายเลขสองของพรรควิญญาณมืด แต่กลับมีสมบัติมากมายถึงเพียงนี้ แล้วชายรูปร่างสูงใหญ่ที่เป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งคงจะมีสมบัติไม่น้อยไปกว่ากัน
ดีที่ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครบุกรุกเข้ามาได้ง่ายๆ เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบ
เมื่อเขาเก็บสิ่งของทั้งหมดแล้วก็สูดหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นถึงเดินไปยังขอบหลุมใหญ่ตรงหน้า และจ้องมองลงไป
……………………………………….
ตอนที่ 233 ไอปีศาจบริสุทธิ์ไร้นาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลึกลงไปในหลุมใหญ่หลายจั้ง เต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวเทา แต่ในนั้นมีไหมดำแวววาวจำนวนหนึ่งผสมปนเปอยู่ แต่ละเส้นเล็กละเอียดราวกับเส้นผม ไม่ว่าไอหมอกจะพวยพุ่งอย่างไรก็ตาม แต่มันยังคงสงบนิ่งอยู่เสมอ ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“กลิ่นไอนี้คือ……”
หลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตไปสัมผัสไหมดำเส้นเล็กละเอียดในหลุมแล้ว ก็แสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่
กลิ่นไอที่แผ่ออกจากไหมดำเหล่านี้ ค่อนข้างคล้ายกับกลิ่นไอในร่างของผีดิบไอปีศาจ ดูท่ามันคงใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์ชนิดนี้ชุบร่างไว้ ทำให้ยังคงรักษาสภาพเนื้อหนังไม่ให้เน่าเปื่อยได้
เนื้อหนังมังสาของผีดิบไอผีศาจในก่อนหน้านั้น ต้านทานการโจมตีของอาวุธแหลมคมได้อย่างดีเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าจะบีบคมวายุยักษ์จนแหลกละเอียดได้ด้วยมือเดียว ดูท่ามันคงเกี่ยวข้องกับไอปีศาจบริสุทธิ์นี้ แต่ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าไอปีศาจบริสุทธิ์นี้จะถูกการโจมตีประเภทไฟควบคุมไว้ได้ มิเช่นนั้น ผีดิบไอปีศาจในก่อนหน้าคงจะกล้ารับมือกับลูกเปลวไฟยักษ์ และคงไม่ถูกมุกเพลิงอัคคีทั้งสามทำลายเนื้อหนังมังสาได้โดยง่ายดาย
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ไอปีศาจที่มีข้อบกพร่องมากเช่นนี้ นับว่าเป็นไอปีศาจระดับต่ำในบรรดาไอปีศาจแต่ละชนิด
ไม่ว่ามันจะทวีผลลัพธ์ในด้านอื่นๆ ให้แข็งแกร่งก็ตาม แต่จุดอ่อนที่ชัดเจนเช่นนี้ ถ้าเอามาควบแน่นเป็นปราณแกร่งล่ะก็ ต่อไปถ้าทำการต่อสู้กัน คงถูกคู่ต่อสู้จัดการได้ง่าย และคงเสียชีวิตอย่างง่ายดาย
แต่ไอปีศาจบริสุทธิ์ในหลุมปีศาจเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ชนิดใด และจะมีข้อบกพร่องอย่างที่เขาคาดเดาหรือไม่นั้น ยังคงต้องนำกลับไปตรวจสอบดูก่อนถึงจะรู้ได้
ต่อให้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้จะเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ระดับต่ำ แต่ที่สะสมอยู่ในหลุมปีศาจคงมีไม่ต่ำกว่าสามชุด
ไอปีศาจบริสุทธิ์มากมายเช่นนี้ ต่อให้จะมีข้อบกพร่องมาก แต่ก็เพียงพอที่จะใช้เป็นตัวเลือกหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะถ้ามีไอปีศาจบริสุทธิ์ชนิดนี้มากหน่อย มันก็สามารถเพิ่มโอกาสในการควบแน่นปราณแกร่งได้เหมือนกัน
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ควักขวดเคลือบที่ดูธรรมดาออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่ลังเล จากนั้นก็โยนลงไปในหลุมและเริ่มทำท่ามือด้วยมือเดียว
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ด้านหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยขวดเคลือบที่อัดแน่นด้วยไอปีศาจบริสุทธิ์ห้าใบ
ขณะนี้ ไหมดำในหลุมปีศาจก็ลดน้อยลงไปด้วย
หลิ่วหมิงไม่ได้คิดจะเก็บมันมาทั้งหมด เขาสะบัดแขนเสื้อเพื่อเก็บขวดทั้งห้าใบเข้าไป
จากนั้นก็ค้นดูรอบถ้ำแห่งนี้อีกรอบ
แต่นอกจากหลุมปีศาจตรงกลางถ้ำแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของที่น่าสนใจอีกเลย
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงเก็บหัวบินเข้าไปในถุงหนัง และกลับไปยังใจกลางค่ายกล เขาแหงนหน้ามองด้านบนทีหนึ่ง
พอหรี่ตาทั้งสอง กระบี่สั้นสีเขียวก็ฟันขึ้นด้านบนทันที
“ฟู่!”
ม่านแสงปรากฏออกมา มันดีดปราณกระบี่สั้นสีเขียวจนกระเด็นออกไป
ที่แท้ชั้นจำกัดยังคงอยู่
แต่ครั้งนี้ไม่มีคนมาคอยรบกวน หลิ่วหมิงขยับแขนจนดูพร่ามัว ปราณกระบี่สีเขียวฟันขึ้นไปด้านบนติดต่อกัน
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ในที่สุดม่านแสงก็ค่อยๆ แตกกระจายออกมา
หลิ่วหมิงหัวเราะ และกลายร่างเป็นเงาก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปด้านบน
“ตุบ!”
เมื่อเท้าทั้งคู่ของหลิ่วหมิงแตะพื้นด้านบนอีกครั้ง เขาก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา
ศพของขายรูปร่างสูงใหญ่ยังคงอยู่ที่นั่น
หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล หลังจากค้นดูเล็กน้อย ก็พบหินจิตวิญญาณระดับสูงหลายก้อน กับโอสถและยันต์จำนวนหนึ่ง และยังมีกระจกทองเหลืองที่ปล่อยอัสนีเพลิงสีเลือดออกมา
เห็นได้ชัดว่ากระจกนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณ แม้จะดูมีอานุภาพไม่มาก และคงเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ แต่เป็นอาวุธจิตวิญญาณที่พบเจอได้น้อยมาก ถ้านำออกไปขายล่ะก็ คงจะขายได้สามหมื่นหินจิตวิญญาณขึ้นไป
แต่น่าเสียดายไปหน่อย ครั้งนี้เขาไม่ได้เจอคัมภีร์ฝึกฝนอะไรเลย เดิมทีเขาคิดจะดูวิธีการฝึกฝนวิชาภาพปีศาจ เขาจึงค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงไปตรวจสอบโลงศพสีดำที่เหลืออยู่เหล่านั้น สุดท้ายเขาค้นพบวัสดุหล่อหลอมอาวุธ วัตถุดิบปรุงโอสถ หินจิตวิญญาณจำนวนมาก ยันต์ต่างๆ และกระบี่จิตวิญญาณระดับต่ำที่มีลักษณะธรรมดาๆ หลายเล่ม
ถึงแม้สมบัติของราชวงศ์ก่อนเหล่านี้ จะมีจำนวนไม่มากนัก และก็ไม่ค่อยมีของที่ล้ำค่าสักเท่าไหร่ แต่พอเขาคำนวณมูลค่าของมันเล็กน้อยแล้ว ก็พบว่ามีมูลค่ามากกว่าหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ
ผลลัพธ์เช่นนี้ ย่อมทำให้หลิ่วหมิงที่ขาดแคลนหินจิตวิญญาณรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา
การเดินทางมาใต้ถ้ำครั้งนี้ เขาไม่เพียงแต่จะได้ไอปีศาจบริสุทธิ์ไร้นามเท่านั้น แต่ยังได้สมบัติอื่นๆ ที่มีมูลค่าเกือบสองแสนหินจิตวิญญาณ
เขาหยิบยันต์เก็บของแบบง่ายๆ ออกมา และเก็บของเหล่านี้ใส่เข้าไปทั้งหมด จากนั้นก็ทำลายร่องรอยที่มีจนหมดสิ้น และถึงได้จากไปด้วยความพอใจ
หลังผ่านความยุ่งยากและความตื่นเต้นมาทั้งคืน ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา
หลิ่วหมิงไม่ได้กลับไปจวนอ๋องสามอีก พอออกมาจากอุโมงค์ใต้ดินก็มุ่งหน้าไปยังเขาเซียนทอแสง
ช่วงเวลากลางวัน หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ และสังเกตดูโครงกระดูกสีทองตรงหน้าอย่างละเอียด
เขาได้ทำการทดสอบไปแล้ว ของเหลวสีทองที่ปกคลุมโครงกระดูกนี้ แข็งแกร่งราวกับเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง แม้แต่กระบี่จันทราหยกก็ทำได้แค่สร้างรอยจางๆ ไว้เท่านั้น
หากจะฟันมันให้ขาดล่ะก็ ต้องปล่อยปราณกระบี่เจ็ดแปดสายออกมาโจมตีพร้อมๆ กัน มิเช่นนั้นก็ไม่อาจทำอะไรมันได้เลย
หลิ่วหมิงตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ถึงได้จับไหล่ทั้งสองของโครงกระดูกไว้
“ฟู่!” เปลวไฟอันคุโชนลุกไหม้ออกจากฝ่ามือ พริบตาเดียวโครงกระดูกก็จมเข้าไปในนั้น
แต่โครงกระดูกสีทองอร่ามยังคงมีสภาพเช่นเดิม ดูเหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
“ดูท่าอุณหภูมิจะยังไม่สูงพอ” หลิ่วหมิงพูดพึมพำและขมวดคิ้วขึ้นมา
อุณหภูมิที่ละลายเก้าอี้สีทองในก่อนหน้านั้น เป็นเปลวเพลิงที่มาจากการระเบิดตัวของมุกเพลิงอัคคีทั้งสาม ในเวลานี้เขาจะไปหาของสิ่งนี้ได้จากที่ใดกัน
แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่ลังเลเล็กน้อย จากนั้นตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายออกมา
เขาเก็บโครงกระดูกสีทองแล้วเดินออกไปจากห้องลับ และออกไปจากถ้ำที่พักของตนเอง
ไม่นานก็มาถึงหน้าถ้ำของฝานไป๋จื่อ เขาเคาะประตูเบาๆ สองสามที
“เอ๋! ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสเฉียน วันนี้อาจารย์กำลังปรุงโอสถอยู่เกรงว่าคงไม่มีเวลาชี้แนะวิชาการปรุงโอสถให้แก่ท่าน” พอเด็กที่เปิดประตูเห็นหลิ่วหมิง ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงมาเรียนวิชาปรุงโอสถกับฝานไป๋จื่อได้ระยะหนึ่งแล้ว เด็กคนนี้ย่อมค่อนข้างสนิทกับเขา
“ไม่เป็นไร! ข้าไม่ได้มาหาผู้เชี่ยวชาญฝาน แต่จะมาขอใช้เตาหลอมเพลิงใต้พิภพ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อโยนหินจิตวิญญาณระดับกลางให้เด็กชายไปก้อนหนึ่ง
“เฮ่อๆ! ถ้าเป็นคนอื่นไม่อาจใช้เตาหลอมเพลิงใต้พิภพได้โดยเด็ดขาด แต่อาจารย์อาไม่ใช่คนนอก ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ตอนนี้อาจารย์กำลังใช้เตาหลอมเพลิงใต้พิภพที่ห้องหมายเลขหนึ่งอยู่ อาจารย์อาเฉียนไปใช้ที่ห้องหมายเลขสองเถอะ” เด็กชายรับหินจิตวิญญาณไปทันที และกล่าวออกมาด้วยความดีใจ
“ได้! เจ้าเดินนำไปก่อน” หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงเดินตามเด็กชายเข้าไปในถ้ำลึก
ผ่านไปไม่นาน เขาก็ถูกพามายังห้องหินสีแดง ในนี้นอกจากจะมีเตาหลอมโอสถสีดำตั้งอยู่โดดเดี่ยวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ น่าสนใจอีก
หลิ่วหมิงมองดูร่องดำๆ ตรงด้านล่างของเตาหลอมทีหนึ่ง และแสดงสีหน้าพอใจออกมา
เขาสะบัดแขนเสื้อปิดประตูในทันที และหยิบธงค่ายกลออกจากออกมาชุดหนึ่ง และโยนไปรอบด้าน
ทันใดนั้นม่านแสงจางๆ ก็ปรากฏออกมาปกคลุมห้องไว้
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลิ่วหมิงถึงหยิบยันต์ออกมาบีบจนแหลกละเอียด
แสงสว่างม้วนตัวออกมา โครงกระดูกสีทองปรากฏออกมาอีกครั้ง
พอหลิ่วหมิงยกมือไปตบเตาหลอมโอสถ ฝาเตาหลอมก็สั่นไหวและลอยขึ้นมาอย่างไร้สุ้มเสียง
เท้าข้างหนึ่งเตะไปยังด้านหน้า โครงกระดูกสีทองก็ลอยเข้าไปอยู่ในเตาหลอม
หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง จากนั้นฝาเตาหลอมก็ร่วงหล่นลงมา
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว และชี้ไปทางรอยแตกด้านล่างเตาหลอม
“ฟู่!”
แสงสีเพลิงปรากฏขึ้นตรงรอยแตก และเปลวเพลิงสีแดงก็พวยพุ่งออกมา พริบตาเดียวก็ห้อหุ้มเตาหลอมโอสถไว้ในนั้น
หลิ่วหมิงแตะมือทั้งสองผ่านอากาศ พลังเวทย์อันบริสุทธิ์สองสายก็ทะลักออกไป
“ตู๊ม!” เปลวเพลิงที่ดั้งเดิมเป็นสีแดงเปลี่ยนเป็นสีขาว มันแผ่อุณหภูมิสูงจนทำให้พื้นที่อากาศบริเวณนั้นเริ่มส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ กลับแสดงสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก และก็กระตุ้นพลังเวทย์อย่างบ้าคลั่ง
……
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป หลิ่วหมิงออกไปจากถ้ำของไป๋เทียนจื่อด้วยความดีใจ และกลับไปที่ถ้ำของตนเอง
พอเขากลับเข้าไปในห้องลับอีกครั้ง ก็นั่งขัดสมาธิลง และควักเอากล่องหยกออกมาใบหนึ่ง หลังจากเปิดมันออกมาก็เผยให้เห็นมุกสีทองอร่ามวางอยู่เม็ดหนึ่ง มันมีขนาดแค่กำปั้นเท่านั้น
นี่คือสิ่งของไร้นามที่เขาใช้พลังของเตาหลอมเพลิงพิภพแยกมันออกมาจากโครงกระดูก และโครงกระดูกที่แท้จริงถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
ตอนที่หลิ่วหมิงเทของเหลวสีทองออกมาจากเตาหลอมโอสถได้ไม่นาน มันก็แข็งตัวขึ้นมาทันที
หลิ่วหมิงตรวจสอบดูตั้งครึ่งค่อนวัน ก็ดูไม่ออกมาว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าหรือเป็นวัสดุ
วัสดุล้ำค่าหาได้ยากยิ่งที่เขารู้จัก ไม่มีสิ่งใดคล้ายกับมันเลย
ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้ จะเหมือบกับหยดของเหลวสีดำที่ได้มาจากคนของเผ่าเจ้าสมุทร รอมีโอกาสค่อยหาคนมาตรวจสอบดู
ต่อมา หลิ่วหมิงจัดการเก็บสิ่งของที่ได้มาจากถ้ำใต้ดินให้เป็นระเบียบ และเตรียมหาโอกาสที่เหมาะสมนำพวกมันไปแลกกับหินจิตวิญญาณ
ในตอนท้าย หลิ่วหมิงหยิบคัมภีร์นอกรีต ‘วิชาผสานร่างอสูร’ มาพลิกดูด้วยความสนใจ
วิธีการฝึกฝนที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เขาย่อมไม่ฝึกฝนอย่างแน่นอน แต่พอดูเคล็ดวิชาที่บันทึกอยู่บนนั้นแล้ว กลับทำให้เขาได้เปิดโลกทรรศน์เป็นอย่างมาก ต่อไปถ้าเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่ฝึกฝนวิชาคล้ายกัน ก็สามารถหาช่องโหว่ของคู่ต่อสู้และโจมตีได้โดยง่าย
พอถึงเวลายามสาม หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนหน้าตาแล้วออกไปจากถ้ำ มุ่งหน้าไปยังจวนอ๋องสาม
หลังผ่านประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาจึงมุ่งตรงไปยังหอเก่าแก่ที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของจวนอ๋องสามในทันที
เมื่อเขาเข้าไปถึงหน้าหอเก่าแก่อย่างราบรื่น ก็ปีนขึ้นไปยังชายคาชั้นสอง จากนั้นก็เริ่มมองจากแผ่นกระเบื้องที่อยู่ซ้ายสุดและค่อยๆ กวาดสายตาไปทางด้านขวา
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น