ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 230-233

ตอนที่ 230 ในอกมีแผ่นดิน ในใจมีเจ้า

 

“ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าทำไมหม่อมฉันถึงได้แต่งให้กับพระบิดาของพระองค์” นางกุมหน้าอก สอบถามกลับไปอย่างจริงจัง 


 


 


คำถามนี้ หากว่าเป็นเมื่อก่อน จีเฉวียนก็มั่นพระทัยมากว่าที่นางยอมแต่งให้กับอดีตฮ่องเต้ก็เพื่อจีเย่ว์ 


 


 


แต่ว่าถึงตอนนี้จีเย่ว์ก็ถูกขับออกไปถึงแดนกันดารรกร้างอย่างซีเหลียงแล้ว ระหว่างนางและเขาไม่มีทางเป็นไปได้อีก 


 


 


พระองค์มิได้ตอบ เพียงเห็นตู๋กูซิงหลันกุมมือข้างหนึ่งไว้ที่หัวใจ และมืออีกข้างหนึ่งชี้ไปบนฟ้า “ก็เพราะ…..ความรักไงเพคะ!” 


 


 


“พระองค์ไม่ทรงเข้าพระทัย ความรักที่ข้ามีให้กับอดีตฮ่องเต้ ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลไปรวมกับทะเล ดวงดาวใต้แสงจันทรา แม้ว่าน้ำในมหาสมุทรจะผันแปรแต่ก็ไม่มีวันเหือดหายไป” 


 


 


จีเฉวียน “…..” ถ้าเขาเชื่อนางก็ผีหลอกแล้ว 


 


 


พอเห็นสีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงเย็นชา ตู๋กูซิงหลันก็เริ่มจะอึกอักขึ้นมา “ขอทรงวางพระทัย หม่อมฉันขอสาบาน ชั่วชีวิตนี้จะเห็นท่านเป็นดั่งลูกแท้ๆ ของตนเอง จะดีกับท่านตลอดไป” 


 


 


จีเฉวียนตรัสกับนางอย่างตรงไปตรงมา “ตู๋กูซิงหลัน ยอมรับเรา มันยากนักหรือไร?” 


 


 


ข้อแก้ตัวที่เหลวไหลถึงเพียงนี้นางก็ยังหามาได้ เพราะว่าไม่ได้ชอบ จึงทำเช่นนี้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงว่าเขาจะออกปากขัดนางตรงๆ เช่นนี้ 


 


 


นางชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นประกายตาที่แวววับเกินสิ่งใดเทียบของเขา ในที่สุดก็ต้องยอมว่าเรื่องนี้หนีไม่ได้อีกต่อไป 


 


 


นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ นั่งพิงลงไปบนเบาะนุ่มอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา 


 


 


นางมองดูเขา “ฝ่าบาท พระองค์ชอบข้าจริงๆ?” 


 


 


จีเฉวียนตอบนางกลับไปอย่างไม่ต้องคิด “แน่นอน” 


 


 


“เราตรัสคำไหนคำนั้น ไม่เคยมุสา” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูท่าทางที่จริงจังของเขา ก็ถามอีกว่า 


 


 


“ไม่ใช่เป็นเพราะสนใจสิ่งอื่น เพียงชื่นชอบอย่างบริสุทธ์ใจใช่หรือไม่?” 


 


 


จีเฉวียนพยักพระพักตร์ อย่างตรงใจ “ใช่” 


 


 


“ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท นับว่าเป็นบุญของข้า” ตู๋กูซิงหลันก็มิได้เล่นลวดลายกับเขาอีก เปรียบเทียบกับคำโกหกเมื่อครู่ ตอนนี้นางกลับสงบนิ่งลงมากกว่าเดิม 


 


 


“เพียงแต่ว่าข้ามีคำถามอยู่หลายข้อ ไม่ทราบว่าพระองค์จะทรงยอมตอบหรือไม่?” 


 


 


ฝ่าบาทประทับนั่งที่ข้างแท่นบรรทม ทอดพระเนตรเข้าไปในดวงตาดอกท้อของนาง “เจ้าว่ามา” 


 


 


“ข้อแรก ไยฝ่าบาทจึงชอบข้า?” 


 


 


จีเฉวียน “เจ้าล่อลวงเราก่อน เราติดกับแล้ว ก็ย่อมชอบเจ้า” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพยายามคิดย้อนกลับไป นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองไปล่อลวงเขาตอนไหน 


 


 


เอาเถอะ ถ้านับว่าเหยียบเท้าคือใช่ละก็…… 


 


 


“ไม่ใช่ว่าชอบตั้งแต่ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นองค์ชายสี่ใช่ไหม?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสอบถามอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


“ไม่ใช่” จีเฉวียนส่ายพระพักตร์ “นับตั้งแต่ที่เจ้าเลือกไข่มุกของอาปู้ไซสำเร็จ เราก็ถูกเจ้าดึงดูดเข้าแล้ว” 


 


 


วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ด้านข้าง พอฟังจีเฉวียนแล้วก็คิดดูอย่างละเอียด “อ้ายย่าห์ เฮอะ เฮอะ เฮอะ ที่เขาชอบก็คือเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับไทเฮาน้อยคนเดิมเลยสักนิด” 


 


 


ที่จริง…….ตอนแรกนั้น ฮ่องเต้สุนัขทรงรังเกียจเจ้าของร่างเดิมด้วยซ้ำ 


 


 


นางสูดลมหายใจลึกๆ ถามอีกว่า “ข้อสอง หากว่าข้าไม่ยอมรับฝ่าบาท เช่นนั้นฝ่าบาทจะประหารชีวิตสุนัขของข้าหรือไม่?” 


 


 


นี่จึงเป็นสิ่งที่ตู๋กูซิงหลันกังวลสนใจมากที่สุด 


 


 


นางใช้ดวงตาดอกท้อเบิ่งมองออกมา เมื่อถามคำถามนี้ออกไปนางก็เสี่ยงที่ตนเองจะถูกตัดหัวเข้าจริงๆ 


 


 


เพราะแม้ว่าความโปรดปรานของฮ่องเต้ คือบุญที่ผู้คนมากมายสวดอ้อนวอนก็ยังไม่อาจได้รับ แต่นางก็ไม่รู้ว่า หากกล้าปฎิเสธเขา ใช่เป็นการหาเรื่องตายหรือเปล่า? 


 


 


จีเฉวียนทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมา ยื่นไปลูบศีรษะของนางเบาๆ “เราเป็นประมุขแคว้นที่เช้ายันค่ำก็เอาแต่จะประหารตัดหัวคนหรืออย่างไร?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ ใช่! ใช่แน่นอน! ไม่เพียงแต่ตัดหัว แต่ประหารหมดทั้งวงศ์ตระกูลเสียด้วยซ้ำ 


 


 


จีเฉวียนลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา ตรัสขณะมองดูนางที่ทำสายตาหงิงๆ อย่างน่าสงสารว่า “เราชอบเจ้า ก็เป็นเรื่องของเรา เจ้าสามารถไม่ยอมรับเรา แต่เราเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะต้องยินดียอมรับ” 


 


 


“เราจะไม่บังคับเจ้าหรอก” 


 


 


ผลแตงที่ฝืนหักมาย่อมไม่หวาน พระองค์ชอบนาง ไม่ได้จะลักพาตัวนาง ไยจึงจะต้องตัดศีรษะนางเพราะยังไม่ยอมรับพระองค์ด้วย? 


 


 


ไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวสมองเล็กๆ นี้วันๆ คิดอะไรอยู่บ้าง 


 


 


อุ้งพระหัตถ์ใหญ่โตลูบอยู่บนศีรษะ ไล้ลงไปอย่างแผ่วเบา ถึงแม้ว่าจะเย็นมาก แต่ว่าในชั่วขณะนั้นอยู่ตู๋กูซิงหลันพลันเกิดความประทับใจขึ้นมา 


 


 


ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของฮ่องเต้สุนัขได้! 


 


 


พอเขาพูดจาภาษารักขึ้นมาที ก็ทำเอาคนจมน้ำตายไปเลย 


 


 


ที่จริงหากคิดดูอย่างละเอียดแล้ว แค่เพียงใบหน้าที่งดงามดุจเทพเซียนของเขา ก็เพียงพอจะให้นางตอบรับได้แล้วมิใช่หรือ? 


 


 


แต่พอคิดถึงความร้ายกาจอย่างที่สุดของเขา แล้วยังแผนชั่วที่มีอยู่เต็มท้อง วังหลังรึก็คึกคักไปด้วยผู้คน ต่อให้นางอยากจะยอมรับก็คงไม่ไหวอยู่ดี 


 


 


“ข้อที่สาม ข้าเป็นไทเฮา ท่านเป็นฮ่องเต้ หากว่าข้ายอมรับท่าน ความสัมพันธ์นี้จะบอกกับคนทั้งโลกยังไง?” 


 


 


พอได้ยินคำถามนี้ จีเฉวียนก็ถือว่านางเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว ในเมื่อนางเป็นฝ่ายเสนอข้อสมมติขึ้นมา นั่นก็แสดงว่านางอาจจะยอมรับเขาก็เป็นได้ 


 


 


“เราจะไม่ให้เจ้าต้องมาแบกรับเรื่องนี้” พระหัตถ์ของจีเฉวียนยังคงลูบอยู่บนศีรษะของนาง ยากนักที่ดวงเนตรหงส์ที่เย็นชาคู่นั้นจะมีประกายผ่อนคลาย “ขอเพียงเจ้าเต็มใจ จะไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว” 


 


 


ดูเอาเถอะผยองเสียขนาดนี้ ราวกับว่าเป็นประมุขที่ หากได้สาวงามก็ไม่ต้องการแผ่นดิน [1] อีกแล้วอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“ฝ่าบาทปรารถนาจะครองแผ่นดิน หากฝืนจะอยู่กับข้า ก็จะสูญเสียจิตใจของปวงประชา เส้นทางบนบัลลังก์ของพระองค์ก็จะยิ่งยากลำบาก” 


 


 


สมองของตู๋กูซิงหลันแจ่มใสชัดเจน บุรุษหนุ่มในวัยของจีเฉวียนล้วนแล้วแต่หุนหันพลันแล่น 


 


 


ความหุนหันนี้ย่อมส่งผลกระทบในภายหลัง นางเกรงว่าเขาจะรับมันไม่ไหว 


 


 


“เจ้ากำลังเป็นห่วงเรา?” ดวงเนตรของจีเฉวียนอ่อนโยนโค้งมน จนยิ้มออกมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเงียบไป นางรู้สึกว่าสมองส่วนความเข้าใจในเหตุและผลของจีเฉวียนนั้นมีปัญหาหนัก นางแสดงออกว่าเป็นห่วงเขาตรงไหนกัน? 


 


 


“ในอกของเรามีแผ่นดิน ในใจมีเจ้า สามารถรองรับได้ทั้งสองส่วน” 


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรดูนาง เก็บครึ่งประโยคหลังที่ไม่ได้ตรัสออกไปเอาไว้ในใจ หากว่าพระองค์ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ทั้งสองอย่าง นั่นก็ชัดเจนเลยว่าพระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถ 


 


 


แน่นอนว่า เขาไม่มีทางเป็นเช่นนั้น 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินหรือหญิงงามเขาล้วนต้องการ ตู๋กูซิงหลันมิใช่ภาระ ในอนาคตนางจะเป็นฮองเฮาที่ครองแผ่นดินร่วมกับเขา 


 


 


ที่ผ่านมาตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าจีเฉวียนเป็นบุรุษที่สนใจแต่ความคิดเห็นของบุรุษด้วยกัน กระทั่งวันนี้นางถึงได้รู้จักเขาในแง่มุมใหม่ 


 


 


ที่จริงแล้วเขา…….เป็นคนที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเลยต่างหาก 


 


 


ดูคำหวานที่เขาหยอดออกมาแต่ละชุดๆ สิ นี่มันระดับผู้มีฝีมือสูงส่งในเรื่องความรักเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงได้ถามขึ้นมาอีก “ข้อสี่ ที่ข้าต้องการก็คือหนึ่งชาติ หนึ่งภพ หนึ่งคู่ครอง ฝ่าบาทมีสนมสามพัน จะทรงปล่อยพวกนางไปหรือ?” 


 


 


คำถามนี้ หากว่าเป็นหญิงสาวในต้าโจวเอ่ยปากถามออกมา ย่อมถือว่าพวกนางเป็นพวกอาละวาดอย่างไร้เหตุผลอย่างแน่นอน 


 


 


เนื่องเพราะแม้แต่ในบ้านของครอบครัวทั่วไปที่มีฐานะดีก็ยังมีสามภรรยาสี่นางบำเรอ นางต้องการให้ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งมีแต่นางเพียงผู้เดียว นี่มิเท่ากับว่ากำลังท้าทายอำนาจของเขาอยู่หรอกหรือ? 


 


 


เขาพึ่งจะครองราชย์ได้เพียงหนึ่งปี เป็นช่วงเวลาที่ต้องการขุมกำลังจากฝ่ายต่างๆ มาเกื้อหนุนมากที่สุด ย่อมไม่มีทางสละวังหลังเพื่อนางเป็นแน่ 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น…..ในใจของเขามิใช่ว่ามีซูเม่ยที่กำลังตั้งครรภ์อยู่หรอกหรือ แล้วก็ยังมีท่านราชครูที่อยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอดอีก 


 


 


อดีตที่ผ่านมาของเขานางไม่ทันได้มีส่วนร่วม แต่ว่าหากในอนาคตเขาอยากจะมีนาง นางย่อมไม่อาจยอมให้ใจหรือกายของเขาเป็นของผู้อื่นได้อย่างเด็ดขาด 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] 要美人不要江山


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


พี่เต้: ผยองได้ใจไรท์จริงๆ จะแผ่นดินหรือหญิงงามก็ต้องเป็นของพี่เท่านั้น!


 


 


ที่ผ่านมาพี่เต้มโนเก่งมาก ตอนนี้นับว่าเริ่มมโนอย่างมีหลักการ รู้จะตะล่อมหลันหลันบ้างแล้ว


 


 


อาหลัน: ไรท์หมั่นไส้ในความซื่อ (บื้อ) แต่ก็รักในความตรงไปตรงมาของนางนะ ถ้าจะได้ก็ต้องได้ทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ขอแม้เศษเสี้ยว


 


 


แต่เอาจริงนะในฐานะที่เป็นผู้หญิงและแม่ที่มีลูกสาว ไรท์ก็ยังรู้สึกว่าเรื่องความรักสำหรับผู้หญิงแล้ว ‘ช้าหน่อยดีกว่าเร็ว’ จริงอยู่รักแท้ต้องใช้ใจแลกมา แต่ว่าผ่อนชำระเป็นงวดๆ ได้ค่ะ ไม่จำเป็นจะต้องทุ่มทีเต็มร้อย!


 


 


ตอนนี้ประโยคเด็ดของพี่เต้มีหลายประโยค ว่าแต่ประโยคไหนที่โดนใจรีดที่สุดคะ? 

 

 


ตอนที่ 231 แผนดักไทเฮาน้อยก้าวที่หนึ่ง

 

คำถามนี้ทำเอาจีเฉวียนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หนึ่งชาติ หนึ่งภพ หนึ่งคู่ครอง 


 


 


คำพูดนี้พอออกจากปากของตู๋กูซิงหลัน เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจเลยสักนิด 


 


 


ที่ด้านนอกหน้าต่างมีลมพัดโชย กิ่งของต้นเย่วกุ้ย [1] ทอดออกมากระทบบานหน้าต่าง ทำให้คืนที่เงียบสงบดูมืดมน 


 


 


ความเงียบงันของจีเฉวียนทำให้บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองเปลี่ยนเป็นอึดอัดขัดเขินขึ้นมาในทันที 


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่ จีเฉวียนก็ตอบนางกลับไปว่า “ไม่ได้” 


 


 


วิญญาณทมิฬโวยวายขึ้นมาในทันที “เขาช่างพูดได้ไม่อายปากเลย” 


 


 


แต่คิดๆ ดูแล้วก็ใช่อยู่ ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งไหนเลยจะยอมละทิ้งสนมสามพันและหกตำหนักมาปรารถนาเพียงแต่นางแค่ผู้เดียว? 


 


 


ดอกโบตั๋นแม้จะงามอย่างไร ก็ย่อมมีวันเบื่อหน่ายได้เช่นกัน นานวันเข้าแม้แต่ดอกไม้ริมทางก็อาจเหนือกว่า 


 


 


บุรุษล้วนเป็นเช่นนี้ ปากก็บอกว่าชอบ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงกว่า 


 


 


เมื่อได้คำตอบจากเขาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็มิได้ประหลาดใจ กลับเป็นความตรงไปตรงมาของจีเฉวียนที่ทำให้นางเกิดความประทับใจขึ้นมา 


 


 


โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าซูคนงามกำลังตั้งครรภ์หากนางทำให้จีเฉวียนสลายวังหลังไปจริงๆ มิเท่ากับว่าผลักไสซูเม่ยไปจนหมดหนทางหรอกหรือ? 


 


 


จีเฉวียนเองก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใดกับนาง ไม่ใช่ว่าเขาละทิ้งความเย้ายวนของวังหลังไม่ได้ เพียงแต่พระองค์อยู่ในตำแหน่งสูง ย่อมต้องคำนึงถึงฐานะของเจ้าแผ่นดิน 


 


 


พระสนมแต่ละพระองค์ในวังหลัง ต่างก็มีขุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นในวันข้างหน้า วังหลังของเขาก็ยังจะต้องมีคนใหม่มาเพิ่มเติม เรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ เขาย่อมไม่มีทางให้คำสัญญากับนางง่ายๆ 


 


 


เพราะเรื่องที่เขารับปากไปแล้ว ย่อมต้องทำให้ได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพิงอยู่บนเบาะนุ่มยิ้มน้อยๆ ออกมา “ฝ่าบาท ดูสิเพคะ มุมมองความคิดเห็นของพวกเราไม่ตรงกันแบบนี้แน่นอนว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้” 


 


 


“หากว่าข้าอยู่กับท่าน ย่อมต้องไม่ยอมให้ท่านมีหญิงอื่น อ้อ บุรุษก็ไม่ได้” 


 


 


“ในทำนองเดียวกัน ท่านลองเปลี่ยนตำแหน่งดู หากว่าข้าอยู่กับท่าน แต่ข้างกายยังมีบุรุษอีกไม่น้อย ท่านยอมรับได้หรือไม่?” 


 


 


จีเฉวียนรับฟังคำพูดของนางอย่างตั้งใจ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดถึงคำว่ามุมมองความคิดกับเขา 


 


 


พระหัตถ์ที่วางอยู่บนศีรษะของนางเบาๆ ก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ข้างแก้มของนาง สายพระเนตรยังคงเปี่ยมไปด้วยความเสน่หาล้ำลึกอยู่ไม่คลาย “ไม่ว่าในวังหลังจะมีสาวงามมากเพียงไร ก็ไม่มีผลต่อความโปรดปรานที่เรามีให้เจ้า” 


 


 


“ข้าไม่ยอม” ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความดื้อด้านนี้มาจากที่ใดกัน นางปัดหัตถ์ของจีเฉวียนที่ไล้อยู่บนขอบหน้าออกไป “ฝ่าบาท หม่อมฉันยิมยอมเป็นเพียงแม่ม่ายไปชั่วชีวิต แต่ไม่ขอเป็นหนึ่งในบรรดาพระสนมมากมายของท่าน เรื่องที่ฝ่าบาทโปรดข้า ต่อไปก็อย่าได้พูดถึงอีกเลยเพคะ” 


 


 


อย่าว่าแต่ ตอนนี้นางยังไม่ได้ชอบเขาด้วยซ้ำ 


 


 


หากให้ถอยมาอีกก้าว ต่อให้นางชอบเขาขึ้นมา ก็คงไม่มีทางยอมเรื่องพวกนี้อยู่ดี 


 


 


ทรวงอกของนางขยับขึ้นลง ผ้าโปร่งสีขาวมีรอยเลือดขึ้นมาจางๆ 


 


 


จีเฉวียนคาดเดาว่านางชักจะมีความรู้สึกร่วมขึ้นมาไม่น้อย 


 


 


มีความรู้สึกร่วมเช่นนี้ย่อมดี 


 


 


หากนางเริ่มกลัวใจตนเองก็แสดงว่าในนั้นจะต้องมีเขาอยู่บ้าง 


 


 


ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดถึงถ้อยคำของนางเมื่อครู่ ก็เริ่มหาหนทางว่าสมควรจะจัดการกับปัญหาของวังหลังอย่างไรดี 


 


 


ตลอดทั้งคืน เขามิได้ออกห่างจากนางเลยแม้ก้าวเดียว แต่กลับคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ตลอด 


 


 


ทุกคำที่นางกล่าวออกมาเขาล้วนนำมาไตร่ตรองอย่างละเอียด ตู๋กูซิงหลันเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ครึ่งคืนหลังจึงหลับไปแล้ว 


 


 


กระทั่งเมื่อนางตื่นขึ้นมาในยามฟ้าสาง จีเฉวียนก็ยังคงเฝ้าอยู่ที่ข้างกายนาง 


 


 


“ยังมีคำถามข้อที่ห้า เมื่อคืนลืมถามไปเลย ฝ่าบาททรงเป็นผู้ใดกันแน่?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิได้ขุ่นเคืองเรื่องที่เขาไม่ยอมสลายวังหลังเลยสักนิด 


 


 


“ฝ่าบาททรงพบเห็นภูติผีปีศาจร้ายแต่กลับมิได้ประหลาดพระทัย ทรงมีไอหยินรุนแรง ทั้งยังสามารถสังหารงูยักษ์ลงได้ ศพคืนชีพผู้นั้น เกรงว่าฝ่าบาทคงทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วกระมัง?” ตู๋กูซิงหลันเอาข้อสงสัยทั้งหมดที่มีอยู่ในสมองถามออกมาในคราเดียว 


 


 


“ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ เดิมทีพระวรกายสมควรเปี่ยมไปด้วยไอมังกรของโอรสสวรรค์ แต่แล้วไยจึงกลายเป็นเช่นนี้?” 


 


 


ดวงพระพักตร์ในยามเช้ามีเค้าความอ่อนล้าฉาบจางๆ ชั้นหนึ่ง พระองค์ประทับนั่งอยู่ข้างเตียงตู๋กูซิงหลัน พระหัตถ์ข้างหนึ่งหนุนพระเศียรเอาไว้ พระเกศายาวสลวยทอดตัวลงมา ทั่วทั้งองค์สะท้อนความเกียจคร้าน 


 


 


ดวงเนตรหงส์คู่นั้นหรี่ลงมาทำให้สามารถมองเห็นขนงที่งามงอนได้อย่างชัดเจน งามมากจริงๆ 


 


 


พระองค์มิได้ทรงตรัสตอบ เพียงแต่ใช่พระเนตรคู่นั้นเฝ้ามองนางอย่างเต็มตาเงียบๆ 


 


 


“ตั้งแต่ตอนเยาว์วัยเราก็สามารถมองเห็นจิตวิญญาณเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้ จึงไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจ” ครู่หนึ่ง เขาถึงได้ตอบ “เพียงแต่ว่าภายหลังเมื่อโตขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้มารบกวนอีก จึงได้ไปฝึกเนตรหยิน [2] ที่วัดซิวหลัวเสิน เพื่อสกัดกั้นสิ่งเหล่านั้นออกไป” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจับประเด็นไปที่คำสำคัญสองคำ ‘เนตรหยิน’ 


 


 


คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นภูติผีเทพต่างๆ แต่ผู้ที่มีเนตรหยินนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขามีพรสวรรค์พิเศษที่เกิดมาก็สามารถมองเห็นสิ่งเหลานี้ 


 


 


ผู้ที่มีเนตรหยิน จะดึงดูดความสนใจของสิ่งเหล่านั้น ทำให้พวกมันเข้าใกล้เขาด้วยตนเอง 


 


 


มีแต่ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับไอหยินเข้มข้นถึงได้สามารถมีเนตรหยิน เขามีชาติกำเนิดเป็นพระราชโอรสสายตรง สูงส่งเกินใคร เดิมทีสมควรจะมีไอหยางบริบูรณ์จึงจะถูก แต่กลับมีไอหยินเข้นข้นนี่ก็ประหลาดเกินไปแล้ว 


 


 


ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็เขยิบเข้ามาใกล้นางอีกนิด “ยามที่เราเป็นเด็กได้รับความยากลำบากมาไม่น้อย ประสบเหตุลึกลับอันตรายมาก็มากพอควร สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นหล่อหลอมให้เกิดความสามารถที่ไม่อาจแพร่งพรายได้บางประการ จึงมิค่อยได้แสดงออกมา หากว่าเจ้าสนใจ เราสามารถถ่ายทอดให้เจ้าได้” 


 


 


“เว้นแต่เรื่องไอหยินเข้มข้น นั่นเป็นโดยกำเนิด” 


 


 


จีเฉวียนไม่ได้ปิดบังนาง ตรัสจบแล้วเขาก็เชยคางนางขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ เขี่ยสิ่งสกปรกในดวงตาของนางออกไป 


 


 


“เจ้าอยากจะล้างหน้าเสียก่อนแล้วค่อยซักถามเราต่อไหม?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “!!!” เดิมทีนางกำลังตื่นตระหนกกับสภาพร่างกายที่มีความแปลกพิเศษของจีเฉวียนอยู่ พออยู่ๆ ก็ถูกเขาทักเช่นนี้ ทำเอานางเก้อเขินขึ้นมาในทันที 


 


 


อะไรเรียกว่ากรรมตามทัน! 


 


 


นางได้รู้แล้ว 


 


 


ก่อนหน้านี้เคยไปทักเขาเรื่องขี้ตามาก่อน แค่ไม่นานก็ถึงคราวย้อนมาเข้าตัวบ้างแล้ว 


 


 


มันเป็นเพราะไปต่อสู้ได้รับบาดเจ็บจนเกิดการอักเสบไม่เข้าใจหรือไง? 


 


 


ยามปกติดวงตาของนางสะอาดสะอ้านจะตายไป ต่อให้ไม่ล้างหน้าก็ไม่มีสิ่งสกปรก 


 


 


ยามนี้นางสามารถเข้าอกเข้าใจจิตใจของจีเฉวียนในตอนนั้นได้แล้ว 


 


 


“เรามิได้รังเกียจเจ้าสักหน่อย เจ้าจะต้องแอบซ่อนไปทำไม?” พอทรงเห็นว่านางทำท่าอยากจะมุดเข้าไปในผ้าห่ม จีเฉวียนก็ทรงคว้าปลายคางของนางขึ้นมา ใช้พระหัตถ์ปาดเช็ดสิ่งสกปรกออกไปจากมุมตาของนาง 


 


 


หืม ใช้มือเช็ด! 


 


 


คนที่เป็นโรคบ้าความสะอาด กลับใช้นิ้วมือมาเช็ดขี้ตาให้นาง??? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาในทันที 


 


 


เมื่อครู่ดูเหมือนว่าพวกนางสามารถพูดคุยในเรื่องสำคัญได้รู้เรื่องอยู่บ้าง ตอนนี้กลับเหมือนตกจากแท่นบูชาลงไปในหลุมโคลนเข้าเสียแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยากจะมุดรอยแยกแผ่นดินลงไปจริงๆ 


 


 


แต่กลับได้ยินจีเฉวียนตรัสอีกว่า “ต่อไปหากว่าเจ้ามีเรื่องใดอยากจะถามเรา พวกเรายังคงมีเวลาอีกถมไป ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” 


 


 


“เรายินดีจะให้เจ้าทำความเข้าใจ” 


 


 


และอยากจะเข้าใจนางให้มากขึ้นเช่นกัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ นางสามารถเลือกที่จะไม่เข้าใจได้ไหม? อยากเลือกแบบหนีไปไกลๆ เลย 


 


 


อย่างไรเสียรอบนี้คงต้องถือว่าการสารภาพรักของฮ่องเต้ถึงขั้นล้มเหลว แต่ว่าพระองค์กลับมิได้ทรงรู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิดเดียว 


 


 


ตลอดทั้งวันประตูหน้าต่างในตำหนักตี้หัวถูกปิดจนแน่นสนิท มีแค่หลี่กงกงที่เข้ามาส่งน้ำและอาหารเพียงรอบเดียว 


 


 


เป็นขาหมูน้ำแดงจำนวนมากเลยทีเดียว ใครไม่รู้ก็คงจะนึกว่าฝ่าบาททรงเลี้ยงหมูอยู่ในตำหนักตี้หัวเสียแล้ว 


 


 


แผนดักไทเฮาน้อยก้าวที่หนึ่ง ขุนนางให้อิ่มก่อน 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ต้นลอเริล 


 


 


[2] 阴瞳 (yin tong) เนตรหยิน : หมายถึงผู้ที่มีความสามารถพิเศษมีสัมผัสที่หกสามารถมองเห็นสิ่งเล้นลับเหนือธรรมชาติได้  

 

 


ตอนที่ 232 ถูกบีบจนถึงขั้นหายใจไม่ออก

 

ยังดีที่ประเด็นหลักที่ผู้คนกำลังสนใจนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าฮ่องเต้กำลังทรงเลี้ยงหมู 


 


 


แต่ว่าเป็นเรื่องศพคืนชีพและองค์หญิงแคว้นเหยียนที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นไปต่างหาก 


 


 


แคว้นต้าโจวของพวกเขาไปเกี่ยวพันอะไรกับพวกศพคืนชีพ? 


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่นานพึ่งจะมีคดีเรื่องที่เสียนไท่เฟยก็คือศพคืนชีพไปคดีหนึ่ง ต้องนี้ก็มีเฒ่าศพคืนชีพผู้นี้โผล่ขึ้นมาอีก? 


 


 


ยังไงกันเนี่ย คงจะไม่ใช่ว่ายังจะมีศพคืนชีพอื่นๆ ที่กำลังจับจ้องแคว้นต้าโจวของพวกเขาตาเป็นมันหรอกนะ? 


 


 


ในตำหนักชางอู๋ อันหร่วนถึงกับนั่งไม่ติดแล้ว 


 


 


นางยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง แค่เพียงครู่เดียวก็มีนกสีดำตัวหนึ่งบินเข้ามาจากด้านนอก 


 


 


นกสีดำตัวนั้นเกาะลงบนไม้เท้าของนาง ดวงตาทั้งคู่ของมันเปี่ยมไปด้วยไอสีดำ มันกระพือปีกเอ่ยกับอันหร่วนว่า “อันตราย อันตราย” 


 


 


ใจของอันหร่วนถึงกับกระตุก นางส่งเจ้านกตัวนี้ไปแอบจับตาดูเฒ่าศพคืนชีพเฮยโยว ด้วยเกรงว่าจีเฉวียนจะเล่นลูกไม้อะไรขึ้นมา บีบบังคับให้เฒ่าศพคืนชีพนั่นแฉนางออกมา 


 


 


นกดำส่งเสียงบอกว่ามีอันตราย ก็ชัดเจนแล้วว่าทางด้านเฮยโยวนั้นไม่สู้ดี 


 


 


นางไม่อาจนั่งรอความตายอยู่เช่นนี้! 


 


 


ฮ่องเต้ทรงเกิดความสงสัยในตัวนางแล้ว ตอนนี้สิ่งที่บ่งชี้ถึงตัวนางก็ยังอยู่ในมือของเฒ่าศพคืนชีพนั่น สถานการณ์ของนางนับว่าอันตรายอย่างยิ่ง 


 


 


อันหร่วนกำไม้เท้าจนแนบแน่น ในแววตาปรากฎไอสังหาร 


 


 


ในยามนั้นเอง ที่ด้านนอกหน้าต่างของนางก็ปรากฎหมอกสีดำขึ้น เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นเงาสีดำเคลื่อนเข้ามาใกล้ 


 


 


ไอสีดำที่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนกลายเป็นร่างของคนผู้หนึ่ง 


 


 


“ท่านประมุขมีคำสั่ง เรื่องหยกของแคว้นเซอปี่ซือ เจ้าจะต้องลอบให้ความช่วยเหลือองค์ชายน้อย ให้ได้รับสมบัติเทพของแคว้นเซอปี่ซือ” เงาดำนั้นกล่าวกับนาง 


 


 


“ส่วนเรื่องของหมากที่ไร้ประโยชน์อย่างเฮยโยวนั้น ท่านประมุขจะช่วยกำจัดแทนเจ้าเอง ไม่ให้เจ้าต้องมีห่วงกังวล” 


 


 


อันหร่วนได้ยินแล้วก็สบายใจขึ้นมาก นางวางไม้เท้าลง ไขว้สองมือบนทรวงอก คำนับลงไปครั้งหนึ่ง “อันหร่วนขอบคุณท่านประมุขที่เมตตา” 


 


 


ขอเพียงเฒ่าศพคืนชีพผู้นั้นตายไป ความวิตกของนางก็จะสลายไปดุจหมอกควัน 


 


 


“แต่หากว่าครั้งนี้ล้มเหลว เจ้าก็จะกลายเป็นหมากที่ถูกละทิ้งตัวหนึ่ง ท่านประมุขทั้งช่วยชีวิตเจ้าไว้และมีเมตตาต่อเจ้าเป็นพิเศษ หากเจ้าล้มเหลว จุดจบย่อมไม่มีทางเหนือไปกว่าเฮยโยวอย่างแน่นอน” 


 


 


หัวใจของอันหร่วนกระตุกวาบ นางรู้สึกเย็นวาบตลอดร่าง 


 


 


หากว่านางพลาดอีกครั้ง เกรงว่าแม้แต่ความตายสำหรับนางแล้วยังนับว่าเป็นความเมตตาเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ที่จริงแล้ว….ด้วยฝีมือของท่านประมุข ย่อมสามารถช่วยเหลือเฮยโยวได้ 


 


 


แต่ในอาณาจักรของท่านประมุข ท่านย่อมไม่มีทางให้ความช่วยเหลือแก่หมากที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน 


 


 


เมื่อล้มเหลว ก็คือไร้ประโยชน์ แม้แต่จะเป็นตัวหมากให้ท่านก็ยังไม่คู่ควร 


 


 


“เจ้าค่ะ อันหร่วนจะต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อแบ่งเบาภาระของท่านประมุขให้จงได้” อันหร่วนโค้งตัวลงไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย 


 


 


จากนั้นเงาร่างสีดำก็กลายเป็นไอหมอกสีดำและสลายตัวไปในที่สุด 


 


 


อันหร่วนยังคงตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง นางกดลงไปบนหัวใจตนเอง คล้ายดั่งหายใจไม่ออก 


 


 


…………………… 


 


 


 


 


 


เพียงไม่กี่วัน องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหยียนก็เสด็จมา 


 


 


องค์รัชทายาทเหยียนหยุน อายุยี่สิบห้าชันษา เป็นพระเชษฐาต่างพระมารดากับเหยียนเฉียวหลัว 


 


 


ยามที่รัชทายาทเสด็จมานั้น เอิกเกริกไม่น้อย 


 


 


ฟังว่า**บเครื่องเพชรเครื่องทอง ทั้งผ้าไหมแพรพรรณก็ถูกขนมามากมายหลาย**บ 


 


 


ยามที่เสด็จผ่านถนนในเมืองหลวงก็ทำเอาสายตาของผู้คนวาววับด้วยความอิจฉา 


 


 


องค์รัชทายาทประทับมาในราชรถเทียมม้าหกตัวที่หรูหรา นำขบวนผู้คนเข้าวังไปอย่างสง่างาม 


 


 


ครั้งนี้ฮ่องเต้ทรงให้การต้อนรับที่พระตำหนักจิ่นซิ่วกง 


 


 


“ฝ่าบาทพะยะค่ะ กระหม่อมได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” องค์รัชทายาทเหยียนหยุนถวายคำนับต่อพระองค์ พลางตอบว่า “ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่ความสัมพันธ์แต่เยาว์วัยกับน้องสาวของกระหม่อม คืนตัวนางมาเถอะพะยะค่ะ” 


 


 


จีเฉวียนที่ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง แย้มสรวลบางๆ “ได้ ส่งมอบเหยียนตงคืนมาเมื่อใด เราจะปล่อยคนไปทันที” 


 


 


“ฝ่าบาท” สีพระพักตร์เหยียนหยุนหม่นลง “เฉียวหลัวเป็นคนเช่นไร ท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว นับตั้งแต่สิบกว่าขวบนางก็หลงรักท่าน ตอนนั้นถึงขนาดไม่ใส่ใจฐานะตัวประกันของท่าน จะรับท่านเป็นราชบุตรเขย” 


 


 


“ครั้งนี้นางขโมยแผนที่ขุมทรัพย์ของพระบิดามามอบให้ท่าน ยังไม่ใช่เพราะในใจครุ่นคิดถึงแต่ท่านหรอกหรือ ท่านกลับพลิกเป็นฝ่ายกักขังนางเอาไว้ ในพระทัยของฝ่าบาทมีความละอายบ้างหรือไม่?” 


 


 


เหยียนหยุนยกคำพูดออกมายืดยาว แต่จีเฉวียนคร้านจะเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นกับเขา 


 


 


วันนี้พระองค์ทรงเรียกตัวตู๋กูเจวี๋ยเขาวังมาเป็นพิเศษ 


 


 


ทันใดนั้น ไม่รอให้จีเฉวียนทรงตรัสอะไร ขุนนางอวี้สื่อ [1] แห่งเมืองหลวงตู๋กูเจวี๋ยก็เอ่ยปากขึ้นมา “องค์รัชทายาทแคว้นเหยียน พระองค์ตรัสเช่นนี้ไม่ถูกแล้ว” 


 


 


“ประการแรก: องค์หญิงแคว้นท่านหลงรักฮ่องเต้ของแคว้นเรา ก็เป็นเรื่องของนาง ฮ่องเต้แคว้นเราเคยไปขอให้นางมารักหรือเปล่า? ตัวเองมาติดพันผู้อื่น ฝ่าบาทมิได้ทรงตอบรับ พวกท่านก็เลยถือว่านางเป็นผู้เสียหายกระนั้นหรือ?” 


 


 


“ประการที่สอง: ฝ่าบาทของพวกเราเคยเป็นองค์ประกันแล้วจะอย่างไร? เนื่องเพราะฝ่าบาททรงเป็นพระราชโอรสสายตรงองค์ใหญ่ที่สูงส่ง อดีตฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น จึงได้ส่งพระราชโอรสองค์ใหญ่ไปพำนักที่แคว้นเหยียนของพวกท่านเป็นช่วงสั้นๆ เพียงสิบปี พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงเป็นดวงพระทัยของอดีตฮ่องเต้ องค์หญิงแคว้นท่านมีคุณสมบัติอะไรจะมารับพระองค์ไปเป็นราชบุตรเขยกัน?” 


 


 


“ประการที่สาม: องค์หญิงแคว้นท่านมายังต้าโจวของพวกเรา ฝ่าบาทและผู้คนในเมืองหลวงล้วนปฎิบัติต่อนางด้วยมารยาทอันดี แต่ดูนางสิ ก่อเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะอะไรกัน? ไม่รู้ว่านางไปหาตัวประหลาดมาจากไหน ร่วมมือกันมากล่าวหาว่าไทเฮาของต้าโจวเราไปขโมยแผนที่สมบัติของนาง?” 


 


 


“นี่ช่างน่าขันแทบตายแล้ว รู้หรือไม่ว่าในชีวิตนี้ไทเฮาของพวกเราไม่เคยสนพระทัยในสิ่งใดที่สุด? นั่นก็คือเงินทอง! จะบอกให้ท่านฟังนะ ไทเฮานับตั้งแต่เยาว์วัยก็ทรงเกิดและเติบโตมาบนกองเงินกองทองอยู่แล้ว ทรงพบเห็นแก้วแหวนอัญมณีมามากมายนับไม่ถ้วน ต่อให้ท่านยกภูเขาเงินภูเขาทองมากองอยู่ตรงหน้าของนาง นางก็คงไม่สนใจสักเท่าไหร่หรอก แล้วไหนเลยจะไปแย่งชิงเอาแผนที่ขุมทรัพย์ที่มีเพียงแค่ครึ่งแผ่นกัน?” 


 


 


“ยังไม่ต้องพูดว่าแผนที่นั่นเป็นของจริงหรือว่าของปลอม ต่อให้เป็นของจริง ก็มีแค่เพียงครึ่งใบ หรือต่อให้มีครบทั้งแผ่น ก็ยังต้องให้ไทเฮาทรงทุ่มเทพระทัยไปตามหา หนทางนี้จะยาวไกลเพียงไรพวกเราก็ไม่รู้ ต่อให้สามารถเดินทางไปตามหาได้อย่างสะดวก ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีอันตรายมากมายเพียงไรรอนางอยู่ นางเป็นเพียงสาวน้อยที่ไม่อาจสู้รบตบมือ ไหนเลยจะต้องไปเป็นขโมยเพื่อสมบัติที่ไม่อาจจับต้องได้เหล่านี้?” 


 


 


“องค์หญิงแคว้นท่านสมองมีปัญหาหรือไม่ คิดจะใส่ร้ายใครก็ไม่ไปหาคนที่เหมาะสมสักหน่อยมาใส่ร้าย กลับเลือกองค์ไทเฮา? วังหลังมีพระสนมมากมาย หากว่านางเลือกซูหวงกุ้ยเฟย หยวนเฟย คิดว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคงจะดีกว่าเลือกไทเฮามากมายนัก” 


 


 


“หากว่าข้าเป็นนางล่ะก็ รับรองว่าจะต้องไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อย่างเด็ดขาด” 


 


 


รัชทายาทแคว้นเหยียน “…..” ไยต้าโจวถึงได้มีคนที่ปากมากปากกรรไกรเช่นนี้? 


 


 


พอพระองค์จะเอ่ยตรัส ตู๋กูเจวี๋ยก็ชิงกล่าวตัดหน้า “น้องสาวของท่านทำเรื่องที่ทั้งชั่วร้ายและโง่เขลาออกมา ท่านยังจะกล้ามาต่อรองขอให้เห็นแก่ความสัมพันธ์จากฝ่าบาทของพวกเราอีกหรือ? เพราะฝ่าบาททรงเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนจึงได้ละเว้นชีวิตของนางแล้วให้พวกท่านเอาดินแดนสามเหลี่ยนเหยียนตงมาแลกกับองค์หญิงที่เป็นดวงตาดวงใจของฮ่องเต้ต้าเหยียน มันขาดทุนหรืออย่างไร?” 


 


 


“ดินแดนไม่มีแล้ว พวกท่านยังสามารถขยับขยายไปทางตะวันตกได้ แต่หากองค์หญิงไม่มีแล้ว เช่นนั้นสิคือไม่มีจริงๆ พระบิดาของท่านพระชนม์มายุมากแล้ว คิดว่าคงไม่สามารถมีน้องสาวให้ท่านได้อีกแล้วกระมั้ง? องค์หญิงผู้นี้ถือเป็นต้นกล้ารุ่นสุดท้าย พวกท่านสมควรรักษาเอาไว้ให้ดี” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ย: จุดพลุให้พี่รองกันเถอะ มีความสะใจ แปลอย่างลื่นไหลมากๆ ไรท์เป็นเหยียนหยุนนี่คือ เอาปี๊บคลุมหัวไม่พอนะ ต้องมุดพรมในตำหนักลงดินไปแล้ว 


 


 


[1] 御史 ตุลาการสูงสุด/ผู้ตรวจการ  

 

 


ตอนที่ 233 อยากต่อยตีไหม?

 

เหยียนหยุน “ข้า….” 


 


 


“ข้าอะไรของท่าน?” ตู๋กูเจวี๋ยไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้เปิดปากเลยแม้แต่น้อย “ดังนั้นเพราะว่าเหยียนเฉียวหลัวมิใช่น้องสาวร่วมมารดาเดียวกันกับท่าน ท่านก็สามารถไปโป้ปดหลอกลวงฮ่องเต้ของท่านได้ เพียงแค่เดินทางมาต้าโจวรอบหนึ่ง ที่จริงไม่ได้คิดจะพาตัวนางกลับไปเลยสักนิดใช่หรือไม่?” 


 


 


เหยียนหยุนอยากจะหาเข็มสักเล่มมาเย็บปากของเขาเอาไว้จริงๆ 


 


 


ฮ่องเต้ต้าโจวทรงเป็นจอมมารหรืออย่างไร? ถึงได้เจาะจงไปเสาะหาไอ้ตัวแสบเช่นนี้มาเล่นงานเขา 


 


 


เขาหันไปเหลือบมองจีเฉวียน เห็นจีเฉวียนประทับนั่งอย่างสง่างามอยู่บนบัลลังก์ ด้วยท่าทางที่มิได้คิดจะห้ามปรามอะไรตู๋กูเจวี๋ยเลยสักนิด 


 


 


คราวนี้ เหยียนหยุนถึงได้เข้าใจ ว่าจีเฉวียนนั้นจงใจต่างหาก 


 


 


เขาพยายามสงบสติอารมณ์ลง ฝืนทนเสียงหวี่ๆ ของแมลงวันที่ริมหู หันไปถวายคำนับจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง “ฝ่าบาท กระหม่อมมาด้วยความจริงใจ เฉียวหลัวนั้นเอาแต่ใจไปบ้าง นางทำผิด แคว้นต้าเหยียนของเราย่อมต้องชดเชยให้ หากเป็นการทำการค้ายังต้องมีการต่อรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน เรื่องระหว่างสองแคว้นนั้นย่อมไม่ง่ายดาย ขอฝ่าบาททรงประทานโอกาสให้พวกเราได้พูดคุยกันอย่างละเอียด” 


 


 


ปากที่เป็นดั่งกระบอกปืนใหญ่ของตู๋กูเจวี๋ย ทำเอาเหยียนหยุนกลัวเข้าแล้วจริงๆ 


 


 


ยามนี้เขายินดีจะเผชิญหน้ากับฮ่องเต้แห่งต้าโจวที่เย็นชาเป็นน้ำแข็ง แต่ไม่ขอทนฟังขุนนางอวี้ซื่อแห่งเมืองหลวงผู้นั้นอีกแม้แต่ครึ่งคำ 


 


 


จีเฉวียนมิได้ทรงตรัสอะไร หากแต่ประทับอยู่บนบัลลังก์เช่นนั้น นางกำนัลผู้หนึ่งเข้ามาถวายน้ำชา พระองค์ก็ทรงรับมาถือไว้ พลางหมุนถ้วยในพระหัตถ์เบาๆ ดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังกวาดอยู่บนร่างของเหยียนหยุนอย่างช้าๆ 


 


 


พอเห็นเช่นนี้รัชทายาทแคว้นเหยียนก็ทรงขนลุกขึ้นมา 


 


 


ปีนี้เขามีอายุครบยี่สิบห้าปีแล้ว ฮ่องเต้ต้าโจวอ่อนกว่าเขาหนึ่งปี แต่ว่าราศีระหว่างคนทั้งสองกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะมีเพียงตาเปล่า 


 


 


ตอนที่ยังอยู่ในแคว้นต้าเหยียนนั้น จีเฉวียนเป็นเพียงแค่ตัวประกันคนหนึ่ง คิดถึงตอนนั้นเขาเหยียบย่ำคนผู้นี้เอาไว้ใต้เท้า คิดไม่ถึงว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไป จีเฉวียนกลับกลายเป็นถึงประมุขของแคว้นหนึ่งแล้ว 


 


 


เหยียนหยุนเกิดมาก็ถือดีมาโดยตลอด ด้วยเพราะเขามีรูปลักษณ์สูงส่งสง่างาม ทั้งยังเฉลียวฉลาดรู้จักวางแผน เขาเป็นรัชทายาทแห่งแคว้นเหยียนถือว่าสูงส่งมิว่าใครก็ต้องเคารพนพนอบ ที่ผ่านมาเขาล้วนแต่มีความมั่นใจในตนเองมาโดยตลอด มีแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียน ความรู้สึกที่เหนือกว่าอยู่ตลอดนี้ถึงได้ถูกกดดันจนไม่เหลืออยู่อีก 


 


 


ยามที่จีเฉวียนจดจ้องมองมา เหยียนหยุนก็อดไม่ได้ที่จะคิดย้อนกลับไปยังคืนวันที่จีเฉวียนเคยอยู่ในต้าเหยียน 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยถึงแม้จะเป็นคนพูดมาก แต่เขาก็รู้จักดูสีหน้าผู้คน ยามนี้จึงได้ปิดปากลง รอให้ฝ่าบาทมีรับสั่งออกมา 


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่จึงค่อยได้ยินจีเฉวียนมีรับสั่งว่า “รัชทายาทแคว้นเหยียน คิดจะคุยกับเราย่อมต้องมีข้อต่อรอง เจ้ามีหรือ?” 


 


 


 


 


 


 


 


 


เหยียนหยุนตกตะลึงไป เขาต้องมีอะไรนะ? 


 


 


เขาเป็นถึงรัชทายาทแคว้นเหยียนด้วยฐานะที่แสนสำคัญเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะเจรจากับเขาแล้วนี่ จีเฉวียนยังจะต้องการให้เขามีอะไรอีก? 


 


 


เหยียนหยุนรู้สึกว่าตนเองถูกดูถูกอย่างรุนแรง 


 


 


ในสายตาของจีเฉวียน เห็นเขาเป็นแค่สวะหรืออย่างไร? 


 


 


“ฝ่าบาท ที่จริงหม่อมฉันจริงใจอย่างที่สุดแล้ว หากว่าต้าโจวไม่คิดจะเจรจาเลยสักนิด มิตรภาพที่ต้าเหยียนและต้าโจวมีมานานตลอดหลายปีมานี้ เกรงว่าคงต้องกลายเป็นฟองอากาศไปหมดแล้ว” เหยียนหยุนเหยียดตัวตรง ไพล่หัตถ์ข้างหนึ่งไปด้านหลัง 


 


 


เขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับจะไม่ยอมถอยให้จีเฉวียนเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ในอีกไม่ช้าไม่นานเขาเองก็จะเป็นฮ่องเต้ของต้าเหยียน สถานะไม่มีทางต่ำต้อยไปกว่าจีเฉวียน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นรัชทายาท แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียนก็ไม่จำเป็นจะต้องถ่อมตัวเกินไป 


 


 


มีแต่แคว้นที่อ่อนแอจึงจะต้องพึ่งพาสิ่งของมาแลกเปลี่ยน แคว้นต้าเหยียนและต้าโจวนั้นต่างก็มีอำนาจยิ่งใหญ่ ฐานะของพวกเขาก็เกือบจะเสมอกัน แล้วเรื่องอะไรเขาจะต้องมาถอยให้ด้วย? 


 


 


จีเฉวียนทรงฟังแล้ว พระโอษฐ์บางก็ขยับน้อยๆ ตรัสออกมาเบาๆ เพียงไม่กี่คำ “อยากจะตีกันไหม?” 


 


 


แต่ไม่กี่คำนั้นถึงกับทำให้เหยียนหยุนถึงกับหัวใจชาวาบ! 


 


 


เมื่อฮ่องเต้ตรัสว่าจะตีกัน ย่อมมิใช่เรื่องธรรมดา! 


 


 


ระหว่างคนต่อคนเรียนว่า ต่อยตี แต่ถ้าเป็นระหว่างแคว้นต่อแคว้น นั่นเรียกว่าสงครามนะ! 


 


 


เดิมทีเขาคิดจะให้อำนาจของแคว้นต้าเหยียนมาข่มขู่จีเฉวียนสักรอบ คิดไม่ถึงว่าไปโดนใจของจีเฉวียนถึงขนาดนี้ เขาคิดจะเปิดสงคราม? 


 


 


นับแต่โบราณ ก่อศึกพึงมีเหตุ 


 


 


หากว่าเรื่องนี้เป็นต้าเหยียนของพวกเขาชิงท้าขึ้นมาก่อน แล้วต้าโจวตอบโต้เพื่อป้องกันการรุกรานของศัตรู นั่นก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว 


 


 


ยามนี้ ตู๋กูเจวี๋ยเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน 


 


 


เมื่อครู่นี้อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนผู้นี้ดุดันอหังการดีแท้ 


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบหน้าบุรุษตระกูลจีสักเท่าไร แต่เขาก็ต้องยอมรับ ว่าเขาเองก็ถูกทำให้ประหลาดใจเข้าแล้ว 


 


 


จีเฉวียนหมุนถ้วยชาในพระหัตถ์ ประทับนั่งอย่างอหังการ “หากเจ้าคิดจะต่อยตี เราก็พร้อมสนอง” 


 


 


ว่าแล้ว พระองค์ก็กระแทกถ้วยชาในพระหัตถ์ลงบนโต๊ะ 


 


 


ได้ยินเสียง ‘เพล้ง’ ดังสนั่นน้ำชาสาดออกมาทั้งสี่ทิศแต่กลับไม่เปื้อนพระหัตถ์สักหยด 


 


 


ฝ่าบาททรงจ้องไปทางองค์รัชทายาทแคว้นเหยียน “อยู่แผ่นดินของเรา หากกล้ากำแหงย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมา หากว่าพวกเจ้าไม่ต้องการเหยียนเฉียวหลัวแล้ว พรุ่งนี้เราจะประกาศออกไปทั่วแผ่นดิน ประหารนางทิ้งเสีย สังเวยให้แก่กฎของต้าโจว ให้คนทั่วทั้งแผ่นดินได้รับรู้ว่า แคว้นต้าโจวของเรา ไม่ใช่ที่ที่ใครก็จะมาหยามหยันได้” 


 


 


เหยียนหยุนมองดูน้ำชาที่ไหลลงหยดจากโต๊ะไปทั่วทุกทางก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นเลือดสดจำนวนมากไหลออกมา 


 


 


ดวงเนตรของจีเฉวียนเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งในฤดูหนาว ทำเอาเหยียนหยุนหนาวจนใจสั่นขึ้นมา 


 


 


“รัชทายาทแคว้นเหยียน ต้องการให้ข้าแปลให้ท่านฟังหรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยยืนอยู่ด้านข้าง ก็กระพือลมโหมไฟเข้าไปอีก “ความหมายของฝ่าบาทก็คือ ผู้หยามหมิ่นต้าโจวเรา ไม่ว่าอยู่ที่ใดพึงสังหาร” [1]  


 


 


“หากว่าท่านยังไม่เข้าใจ ข้าจะบอกให้ชัดกว่านี้ก็ได้….” 


 


 


เหยียนหยุนหันไปส่งสายตาคมกริบปานดาบเล่มหนึ่งให้แก่เขา “องค์ชายเช่นเรามิใช่คนโง่ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาพล่ามให้ฟัง” 


 


 


เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ไม่ได้พบกันหลายปี จีเฉวียนก็เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ 


 


 


จำได้ว่าตอนนั้น ยามที่จีเฉวียนพึ่งจะมาถึงแคว้นเหยียน เป็นเพียงเด็กตัวผอมที่ขนยังไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ ทั้งวันเอาแต่เงียบขรึมไม่พูดไม่จา 


 


 


ใครรังแกเขาเขาก็ไม่ตอบโต้ คนราวกับซุงท่อนหนึ่ง 


 


 


ใครจะไปนึก ว่าท่อนซุงในวันนั้น จะกลายเป็นฮ่องเต้เช่นนี้? 


 


 


เหยียนหยุนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ค่อยตรัสตอบว่า “สรุปแล้ว ดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงไม่อาจยกให้แก่ต้าโจวได้อย่างเด็ดขาด การเสียดินแดนนับเป็นความอับอายอย่างยิ่งใหญ่ของแว่นแคว้น ความทรนงแค่นี้กระหม่อมย่อมต้องมีอยู่” 


 


 


ตรัสแล้ว เขาก็โบกหัตถ์ขึ้นมา ผู้คนที่ติดตามมาก็ส่งม้วนบันทึกฉบับหนึ่งมาถวาย 


 


 


เหยียนหยุนประคองม้วนบันทึกเอาไว้ในหัตถ์ กราบทูลจีเฉวียนว่า “ทรัพย์สินเงินทอง ผ้าไหมแพรพรรณเหล่านี้ ถือเป็นการแสดงน้ำใจอย่างที่สุดของต้าเหยียนเราแล้ว หากว่าฝ่าบาทมิทรงรับไว้ คิดจะตีกันให้ได้จริงๆ ต้าเหยียนเราก็ไม่เกรงกลัว! 


 


 


ตรัสจบแล้ว หลี่กงกงก็เข้ามารับม้วนบันทึกไป นำไปถวายที่เบื้องพระพักตร์ของจีเฉวียน 


 


 


ฮ่องเต้เพียงกวาดพระเนตรมองผ่านๆ ครั้งหนึ่ง สิ่งของเหล่านี้มีค่าเพียงแค่หนึ่งในสิบของทรัพย์สินของตระกูลรองมหาเสนาบดีเท่านั้น 


 


 


“องค์หญิงของแคว้นเจ้ามีค่าเพียงเท่านี้เองนะหรือ?” ตู๋กูเจวี๋ยกรอกตาขาวใส่ “ฮ่องเต้แคว้นเหยียนจนมากเลยหรือยังไง?” 


 


 


เขาเคยนึกว่าจีเฉวียนงกมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นเหยียนจะเค็มยิ่งกว่า 


 


 


ตอนนี้พอเหยียนหยุนเห็นหน้าของเขาเป็นต้องรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปอาละวาด สองหัตถ์ของเขาซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ สีหน้าไม่น่าดูอย่างที่สุด 


 


 


“ฝ่าบาท พวกเราได้ส่งมอบความจริงใจออกไปแล้ว หากว่าพระองค์ยังไม่ปล่อยคน พวกเราก็จะไม่เกรงใจแล้ว” 


 


 


จีเฉวียนใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งเท้าคางจดจ้องดูเขา ดวงเนตรหงส์คู่นั้นทอประกายออกมา แววเนตรที่เย็นยะเยือกแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังสบพระทัยในบางสิ่ง 


 


 


เหยียนหยุนรู้สึกขนลุกชันขึ้นมา สายตาที่จีเฉวียนมองดูเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีหมาป่ากำลังมองแกะอ้วนพี 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] 犯我大周者,虽远必诛!


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


เฉวียนเฉวียน: แม่ขอบอกก่อนเลยนะ อะไรที่ไม่สะอาดห้ามกิน! เข้าใจไหมลูก เดี๋ยวท้องเสีย ของไม่ดีให้ทิ้งให้หมาไปค่ะ


 


 


ไรท์: ในตอนนี้มีประโยคเด็ดที่ไรท์ชอบอยู่หลายประโยคขออนุญาตนำมาแชร์ตรงนี้เพื่อความอร่อยในการอ่าน ^-^


 


 


师出有名 (shīchū-yǒumíng) : ก่อศึกพึงมีเหตุ การจะประกาศสงครามได้นับจำเป็นต้องมีข้ออ้างอันเหมาะสม เพื่อให้ผู้นำมีความชอบธรรมในการระดมกำลัง เช่นนี้จึงจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้านกำลังพลและเสบียง 


 


 


犯我大周者,虽远必诛: ผู้หยามหมิ่นต้าโจวเรา ไม่ว่าอยู่ที่ใดพึงสังหาร” ประโยคนี้มาจากวรรคทองที่แม่ทัพเฉินทังเขียนไว้ในหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ฮั่นหยวนตี้ (หลิวชื่อ) แห่งราชวงค์ฮั่น ตอนที่เขาสามารถไล่ฆ่าพวกซวงหนูได้สำเร็จ โดยเปลี่ยนจากคำว่า ‘ชาวฮั่นที่แข็งแกร่ง’ มาเป็น ‘ต้าโจว’ แทน 


 


 


แต่อย่าถามมากกว่านี้ ไรท์ไม่ได้เรียนเอกจีน หรือประวัติศาสตร์ แค่ไปกัดแทะวิกิพีเดียจีนมาปันความรู้กันค่ะ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)