อัจฉริยะสมองเพชร 2298-2303

ตอนที่ 2298 เขาคือ…

 

“คราวนี้เราจะไปไหน?” หลัวฉีฉีถาม


“ไปที่เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก่อน จากนั้นก็ทะลุมิติเข้าสู่น่านฟ้าเสรีโดยใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่” จางเซวียนตอบ


เพราะมีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองเพื่อเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดเล็ก ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


แต่ก่อนที่จะเดินทางต่อ จางเซวียนพาหลัวฉีฉีไปที่บ้านพักของเขา


เขาอยากมอบยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าที่หลอมได้เมื่อครั้งอยู่ในน่านฟ้าหลิงหลงให้ท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางเสียก่อน เพื่อที่ทั้งสามจะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้โดยเร็ว สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาปกป้องตัวเองได้


เพราะไม่อยากสร้างความวุ่นวายโดยไม่จำเป็น จางเซวียนเล็ดลอดเข้าสู่บ้านพักของเขาโดยไม่มีใครรู้


“นายน้อย!”


ทันทีที่จางเซวียนเข้าบ้าน ซุนฉางก็รีบเข้ามาต้อนรับด้วยความตื่นเต้น


หลายวันที่ผ่านมา วรยุทธของซุนฉางเข้าถึงระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาฝึกฝนอย่างหนัก จึงยกระดับวรยุทธได้เร็วขนาดนี้


“ท่านพ่อท่านแม่ของผมอยู่ไหน?” จางเซวียนถาม


“ตอนนี้พวกเขาอยู่ในลานบ้าน กำลังสนทนากับแขก” ซุนฉางตอบ


“แขก?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขามีลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมา จึงรีบตรงไปที่ลานบ้าน ที่นั่น จางเซวียนเห็นท่านพ่อท่านแม่ของเขานั่งอยู่กับแขกคนหนึ่งซึ่งกำลังจิบชา


อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มอายุราว 20 ต้นๆ มีสีหน้าสุขุมเยือกเย็นซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งที่ไม่อาจถูกใครเล่นงานได้โดยง่าย รังสีหนักแน่นแผ่ซ่านอยู่รอบตัวของเขา แววตาของอีกฝ่ายล้ำลึกราวกับกำลังเพ่งมองอนาคต


แต่สิ่งที่ทำให้จางเซวียนไม่สบายใจก็คือเขาไม่อาจหยั่งถึงระดับวรยุทธของชายหนุ่มได้


ด้านหลังชายหนุ่มมีผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือพูดอะไร


“เขาคือ…จอมราชันย์?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความพรั่นพรึง


เมื่อได้ฟังจากซุนฉาง เขาก็ใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบทั่วทั้งลานบ้าน แต่รับรู้ได้เฉพาะการปรากฏตัวของท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาเห็นชายหนุ่มด้วยสองตาของตัวเอง ก็คงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนั้น!


เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพละกำลังของชายหนุ่มเหนือชั้นกว่าเขามาก


จางเซวียนอาจเป็นแค่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้า แต่ด้วยเทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบของเวทนาสวรรค์ เขาอาจรับมือได้แม้แต่กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอย่างที่เคยเล่นงานไป๋เย่ฉิงหงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้คงจัดการเธอได้สบายโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าหนังสือสีทอง


แต่แม้จะมีความแข็งแกร่งระดับนี้ จางเซวียนก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสู้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้


แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิม เพราะท่านพ่อท่านแม่ของเขาก็นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวกับหมอนั่น จะไม่ให้เขาประหวั่นพรั่นพรึงได้อย่างไร?


เมื่อเห็นจางเซวียน เซียนดาบเหมิงโพล่งออกมาพร้อมกับคลี่ยิ้ม


“นี่คือลูกชายของฉัน, จางเซวียน!”


ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้วยมีวรยุทธทรงพลังแค่ไหน


ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหันมามอง มันเป็นแค่การมองแบบธรรมดา แต่จางเซวียนเจ็บแปลบราวกับถูกดาบเล่มหนึ่งแทงทะลุถึงจิตวิญญาณ


อันที่จริง แม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็สั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับหวาดกลัวสิ่งที่ได้เห็น


“คุณคือจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบหรือ?” จางเซวียนถาม


เท่าที่เขารู้ มี 2 ใน 9 จอมราชันย์ที่ปิดบังตัวเองจากโลกภายนอก หนึ่งในนั้นคือจอมราชันย์หลินชีของน่านฟ้าเสรี และอีกคนคือจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าดาบสวรรค์


แม้กระท่อมดาบจะไม่ได้เสาะแสวงหาอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องหรือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนใหม่ แต่ก็ไม่มีจอมราชันย์คนไหนกล้ามีเรื่องกับน่านฟ้าดาบสวรรค์


เห็นได้ชัดว่าจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบมีพละกำลังในระดับที่แม้จอมราชันย์คนอื่นๆก็ยังยำเกรง


“นั่งสิ” ชายหนุ่มพูด


จางเซวียนรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายเปิดการโจมตี เขาก็คงต้านทานไม่ไหว จึงเดินเข้าไปแล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างเงียบๆ


ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเข้ามาเสิร์ฟน้ำชาให้


จางเซวียนรับถ้วยชา ขณะรู้สึกปั่นป่วนในใจ “ถ้าไม่เป็นการหยาบคายเกินไป ไม่ทราบว่าผมขอทราบเหตุผลที่จอมราชันย์แวะมาได้ไหม?”


หากจอมราชันย์อยากพบเขา แค่ส่งราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติสักคนมาเชิญเขาไปที่น่านฟ้าของตัวเองก็ได้ แต่อีกฝ่ายถึงกับดั้นด้นมาที่นี่ และเท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนว่าแม้แต่จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามา


เรื่องนี้ออกจะน่าเป็นห่วง


ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามของจางเซวียน เขาตั้งต้นประเมินจางเวียนจากหัวจรดเท้าราวกับกำลังประเมินมูลค่าของสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ไม่ช้า สีหน้าของเขาก็บ่งบอกความขัดแย้งในใจ


ครู่ต่อมา เขาวางถ้วยชาและเอ่ยปาก “ช่วยสาธิตศิลปะเพลงดาบที่คุณเพิ่งทำความเข้าใจใหม่ให้ผมดูได้ไหม?”


“ศิลปะเพลงดาบ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


จอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบลงทุนมาถึงนี่เพื่อชมศิลปะเพลงดาบของเขาหรือ?


เอาเถอะ…อาจเป็นอย่างนั้นก็ได้!


ด้วยขีดจำกัดของพละกำลังที่เขามี ศิลปะเพลงดาบที่จางเซวียนเพิ่งทำความเข้าใจได้ใหม่ไม่น่าจะมีความหมายต่อจอมราชันย์มากนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือเทคนิคการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในศิลปะเพลงดาบที่ละเอียดละออที่สุดในสรวงสวรรค์เลยทีเดียว


ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบผู้โด่งดังของสรวงสวรรค์ ก็ไม่น่าแปลกอะไรที่จอมราชันย์จะอยากเห็นและวิเคราะห์มัน


เมื่อคิดได้ ในที่สุดจางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


ในเมื่อจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบมาที่นี่เพื่อขอชมศิลปะเพลงดาบของเขา ก็คงไม่เป็นไรถ้าจะสรุปว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีเจตนาร้าย


ผู้ที่หมกมุ่นคลั่งไคล้ในศิลปะการต่อสู้มักมีนิสัยชอบความเรียบง่ายและตรงไปตรงมา พวกเขามักไม่อ้อมค้อมและไม่ทำร้ายใครง่ายๆ


เมื่อคิดได้ จางเซวียนลุกขึ้นยืนขณะชักดาบราชันย์เทพเจ้าออกมา


ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มยกมือ แล้วทั้งลานบ้านก็ถูกโอบล้อมด้วยปราการแบ่งแยก ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน


เห็นภาพนั้น จางเซวียนเลิกคิ้ว


ตัวเขาก็สร้างปราการปิดกั้นได้ทันทีเช่นกัน แต่ผู้อาวุโสทำได้อย่างง่ายดายกว่ามาก แถมยังถ่ายทอดกฎเกณฑ์แห่งมิติเข้าสู่ปราการเพื่อเสริมพละกำลังให้มันด้วย


จากสิ่งนี้ ก็บ่งบอกชัดว่าต่อให้ผู้อาวุโสไม่ใช่จอมราชันย์ แต่พละกำลังของเขาย่อมเหนือชั้นกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติโดยทั่วไปแน่ อย่างน้อยที่สุด จางเซวียนก็รู้ตัวว่าเขาไม่อาจเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้


แต่นั่นแหละ แค่ชายหนุ่มไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกเขาก็พอแล้ว คิดมากไปก็ไม่เกิดประโยชน์


จางเซวียนกำดาบราชันย์เทพเจ้าไว้แน่น เขาปลดปล่อยจิตใต้สำนึกให้หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับดาบ


ฟึ่บ!


ดาบเคลื่อนไหว


ลมโชยมาแผ่วๆ คลื่นน้ำในสระที่อยู่ใกล้ๆเกิดการกระเพื่อม


ด้วยท่วงท่าที่เรียบลื่นราวกับน้ำไหล จางเซวียนสำแดงศิลปะเพลงดาบทั้งสี่ของเวทนาสวรรค์ออกมาตามลำดับ ทุกกระบวนท่าของเขาเปี่ยมด้วยความรู้สึกล้ำลึก นำพาผู้พบเห็นเข้าสู่แนวคิดที่ตัวเขามีอยู่ในใจ


ชายหนุ่มเฝ้ามองการสำแดงศิลปะเพลงดาบอย่างเงียบๆ ดูจะรื่นรมย์ไม่น้อยกับสิ่งที่เห็น


สุดท้าย จางเซวียนก็เก็บดาบ กระแสดาบฉีที่เขาปลดปล่อยออกมาพุ่งกลับคืนสู่ดาบอย่างรวดเร็ว จางเซวียนประสานมือ “ผมจะยินดีมากหากคุณจะมอบคำชี้แนะให้ศิลปะเพลงดาบของผมสักหน่อย”


เป็นที่รู้ทั่วกันว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคือผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ แม้คำแนะนำเพียงคำเดียวจากอีกฝ่ายก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเขามาก


“ศิลปะเพลงดาบที่คุณทำความเข้าใจได้สำเร็จนั้นจัดว่าไม่ธรรมดาจริงๆ…” ในที่สุด รอยยิ้มก็ปรากฏบนสีหน้าเยือกเย็นของชายหนุ่มขณะที่พูดออกมา “ผมไม่คิดว่าผมจะให้คำชี้แนะใดๆกับคุณได้หรอก คุณกำลังแผ้วถางเส้นทางของตัวเอง ผมคงช่วยเหลือคุณได้น้อยนิดเต็มที…แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือดาบของคุณแบกรับความปรารถนาไว้มากมาย ซึ่งผลที่ได้กลับมาก็คือการขาดความแข็งแกร่งและหย่อนประสิทธิภาพในการปกป้อง”


“ขาดความแข็งแกร่งและหย่อนประสิทธิภาพในการปกป้อง?” จางเซวียนทวนคำ


เมื่อคิดดูอีกที อารมณ์และความรู้สึกส่วนใหญ่ที่เขาทำความเข้าใจได้สำเร็จก็มักเกี่ยวข้องกับแนวคิดของความปรารถนา ซึ่งศิลปะเพลงดาบของเวทนาสวรรค์ก็อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกที่เขามีต่อคนรอบข้าง จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องแบกรับความปรารถนาไว้


“ผมพูดแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้าคนที่คุณรักตกอยู่ในหายนะภัยหรือสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อความตาย คุณจะทำอย่างไร?” ชายหนุ่มถาม


จางเซวียนงุนงงกับคำถามปุบปับของอีกฝ่าย เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “ผม…ก็จะปกป้องพวกเขาให้ดีที่สุด ให้รอดพ้นจากอันตรายให้ได้”


“ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมพูดถึง การปกป้องคือการกระทำที่ขวางกั้นบุคคลหนึ่งไว้ให้รอดพ้นจากอันตราย ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม แต่ผมไม่ค่อยรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นสักเท่าไหร่จากศิลปะเพลงดาบของคุณ” ชายหนุ่มตอบ


จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


ก็จริง ศิลปะเพลงดาบของเขายังอ่อนด้อยเรื่องความรู้สึกเหล่านั้น


“ความรู้สึกของศิลปะเพลงดาบไม่ได้มีแค่ความปรารถนา แต่จะต้องแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับมันด้วย อย่างศิลปะเพลงดาบชนิดสุดท้ายของคุณ ผมสัมผัสได้ถึงความปรารถนาและความเสียใจที่คุณไม่อาจดูแลท่านพ่อท่านแม่กับคนที่คุณรักให้ดีกว่านี้ แต่คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่ายังมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่คุณจะต้องทำให้ได้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเศร้าโศกเหล่านั้น?” ชายหนุ่มถาม


“ผมคิดว่าผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะ” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ศิลปะเพลงดาบของผมเต็มปรี่ด้วยอารมณ์และความรู้สึกในอดีต มันให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแทนที่จะพยายามควบคุมหรือสร้างอิทธิพลต่อสิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมจมอยู่กับอดีตโดยไม่รู้ตัว…”


“ใช่ ถ้าอยากก้าวไปให้ไกลกว่านี้ สายตาของเราจะต้องจับจ้องอยู่ที่อนาคต การจมดิ่งอยู่กับความเศร้าโศกและความปรารถนามีแต่จะฉุดรั้งคุณให้ก้าวเดินได้ช้าลง” ชายหนุ่มตอบ


“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้า


อารมณ์และความรู้สึกแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ แบบหนึ่งช่วยให้ผู้คนเติบโตและมีวุฒิภาวะ ขณะที่อีกแบบฉุดรั้งความก้าวหน้าของพวกเขา


ความเสียใจอาจเป็นได้ทั้งเหตุผลที่ทำให้คนคนหนึ่งสิ้นหวังหรือผลักดันให้เขาเพียรพยายามหนักกว่าเดิม

 

 

 


ตอนที่ 2299 ผู้อาวุโส…

 

หากเราปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ ชีวิตก็จะลอยผ่านไปราวกับหมู่เมฆกลางอากาศ ทุกอย่างจะไร้ความหมายไปทันที


เพื่อทำให้ชีวิตมีความหมาย เราต้องเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ตาม


ความทุกข์ใจมีแต่จะเป็นภาระของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอายุที่ล่วงเลย ความเจ็บป่วย ความตาย การพลัดพราก ความอิจฉาริษยา…


เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความเจ็บปวด ทั้งต้องเรียนรู้ด้วยว่าจะปล่อยมันไปอย่างไร


ชีวิตก็เป็นแบบนี้


ไม่ว่าทุกอย่างจะขมขื่นแค่ไหน ก็ต้องกัดฟันและผลักดันตัวเองให้มองไปข้างหน้า


“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ…” จางเซวียนตอบพร้อมกับโค้งคำนับอย่างงาม


เขารู้สึกเหมือนเพิ่งได้สัมผัสสิ่งสำคัญบางอย่าง แม้จะยังดูเป็นนามธรรม แต่ก็รู้สึกว่ามันน่าจะเปลี่ยนแปลงวรยุทธของเขาไปในทางที่ดีได้


มันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนความรู้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่จางเซวียนได้ประโยชน์มหาศาลจากคำชี้แนะของชายหนุ่ม


“ผมประทับใจนะที่คุณเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนคุณคือคนที่ใช่จริงๆ” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆก่อนจะลุกขึ้นยืน “ผมต้องขอตัวก่อน ส่วนคุณก็ต้องก้าวต่อไปตามเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า ผมคงมอบให้คุณได้แค่ความปรารถนาดีเท่านั้น”


“คุณจะกลับแล้วหรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ


เขาคิดว่าการมาเยือนของชายหนุ่มน่าจะมีเหตุผลที่สำคัญและล้ำลึกกว่านี้ แต่เพียงแค่อีกฝ่ายได้เห็นศิลปะเพลงดาบของเขาและให้คำชี้แนะ 2-3 คำ ก็เตรียมตัวกลับเสียแล้ว หรือว่าอีกฝ่ายจงใจเดินทางมาถึงที่นี่เพียงเพื่อให้คำชี้แนะกับเขา?


ชายหนุ่มชำเลืองมองผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังและเอ่ยปาก “เจียนเหยา มอบดาบสวรรค์สีเลือดให้เขาด้วย!”


ผู้อาวุโสพยักหน้า


เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็มอบดาบเล่มหนึ่งให้จางเซวียน


ทันทีที่ดาบปรากฏตัว รอยแยกแห่งมิติก็เกิดขึ้นโดยรอบ แม้แต่ดาบราชันย์เทพเจ้าในมือของจางเซวียนก็พยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระเพื่อจะแสดงการคารวะต่อดาบในมือของผู้อาวุโส


ภาพนั้นทำให้จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


ดาบราชันย์เทพเจ้า, ก็ตามชื่อของมัน คือของล้ำค่าที่มีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้า เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยมี แต่มันก็ยอมก้มหัวให้ดาบสวรรค์สีเลือดโดยไม่ลังเล


แปลว่าดาบสวรรค์สีเลือดจะต้องแข็งแกร่งขนาดไหน?


“ผมรับของกำนัลชิ้นใหญ่แบบนี้จากคุณไม่ได้หรอก!” จางเซวียนรีบประสานมือและปฏิเสธดาบเล่มนั้น


“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ นี่คือดาบที่ผมตั้งใจหลอมให้คุณตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน รับไว้เถอะ มันเป็นของคุณ” ชายหนุ่มพูด


หลายสิบปีก่อน? จางเซวียนถึงกับงง


ปีนี้เราก็เพิ่งอายุ 20 ต้นๆ แถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ถ้านับตามกระแสกาลเวลาของสรวงสวรรค์ เราก็เพิ่งอยู่มาได้เดือนกว่าๆเท่านั้นเอง…


แต่คุณบอกว่าคุณหลอมดาบนี้ให้ผมตั้งแต่เมื่อหลาย 10 ปีก่อน?


เห็นอีกฝ่ายตั้งใจมอบของกำนัลให้เขา จางเซวียนประสานมือและพูดว่า “ขอบคุณมาก!”


จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อคว้าดาบสวรรค์สีเลือด


ทันทีที่มือของจางเซวียนสัมผัสดาบ ก็รู้สึกได้เลยว่ามันเป็นของเขา แรงกดดันน่าสะพรึงที่มันแผ่ออกมาเมื่อครู่หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ต่างอะไรเลยกับดาบทั่วไป


สิ่งแรกที่จางเซวียนสังเกตเห็นในดาบสวรรค์สีเลือดก็คือมันไม่มีน้ำหนักหรือจิตวิญญาณของดาบอยู่ในนั้น แถมยังน่าประหลาดตรงที่เขาถือมันไว้ได้อย่างสบายใจราวกับตัวดาบเป็นแขนข้างหนึ่งของเขาที่งอกออกมา


จางเซวียนรู้สึกว่าตัวเขาคงปลดปล่อยพลังทำลายล้างได้อย่างง่ายดายหากใช้ดาบเล่มนี้


ถ้าเขาใช้ดาบเล่มนี้สำแดงเวทนาสวรรค์ ต่อให้ใบหน้าขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิงหลงก็คงสู้เขาไม่ได้!


จางเซวียนแสนจะตื่นเต้น เขารีบโค้งคำนับอีกครั้งเพื่อแสดงความสำนึกในบุญคุณ และตอนนั้นเองที่พลันคิดอะไรได้บางอย่าง เขาเอ่ยถามด้วยแววตาที่เป็นประกายของความคาดหวัง “ขออภัยด้วยหากผมหยาบคาย แต่ผมมีความสนใจในศิลปะเพลงดาบมาก ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงล่ะก็ จะถือเป็นเกียรติสูงสุดทีเดียวหากผมได้เห็นศิลปะเพลงดาบของคุณ!”


จางเซวียนมั่นใจว่าความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขาจะล้ำลึกกว่านี้อีกมากหากได้เห็นเทคนิคของอีกฝ่าย


แทนที่จะให้คำตอบ ชายหนุ่มหันกลับมาและกระดิกนิ้ว


ฟึ่บ!


น้ำชาที่อยู่ในถ้วยชาบนโต๊ะม้าหินรวมตัวกันกลางอากาศ เกิดเป็นดาบเล่มหนึ่ง


“ใช้ศิลปะเพลงดาบของคุณโจมตีผม”


“ได้”


ด้วยการสะบัดข้อมือของจางเซวียน ดาบสวรรค์สีเลือดพุ่งแหวกอากาศออกไป ทำให้ทั่วทั้งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยกระแสดาบฉี


หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม!


ชายหนุ่มก้าวออกมาก้าวหนึ่งและไม่ได้สำแดงกระบวนท่าอะไรมากมาย เขาชูดาบที่ทำจากของเหลวในมือและจ้วงแทงออกไป


ในชั่วพริบตา จางเซวียนรู้สึกเหมือนถูกอสูรตัวหนึ่งตรึงกำลังไว้ ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ เขารู้ตัวทันทีว่าหากทำอะไรบุ่มบ่ามไป จะต้องถูกอีกฝ่ายเล่นงานจนยับเยินแน่


แม้ศิลปะเพลงดาบของชายหนุ่มจะแสนเรียบง่าย แต่จางเซวียนก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงแข็งกร้าวจากกระบวนท่านั้น มันคือเจตจำนงมุ่งมั่นที่พร้อมจะฉีกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางให้พินาศ ราวกับว่าที่อีกฝ่ายถอยไม่ได้ก็เพราะมีญาติสนิทมิตรสหายรออยู่ข้างหลัง


“เอ่อ…”


จางเซวียนรู้ตัวว่าคงจนมุมแน่หากไม่เปลี่ยนแปลงกระบวนท่า จึงขยับดาบเพื่อสำแดงศิลปะเพลงดาบชนิดที่ 4


มันคือกระบวนท่าที่บรรจุแนวคิดของความปรารถนาและความหม่นหมองไว้


แต่ชายหนุ่มก็ไม่ถอย เขายังคงเดินหน้าโจมตีต่อไปด้วยพละกำลังอันน่าทึ่ง ราวกับดาบคมกริบเล่มหนึ่งที่พร้อมปะทะกับทุกอย่างที่ขวางทาง


กระแสดาบฉีที่รวมตัวกันถูกเฉือนเป็น 2 ส่วน ร่างของจางเซวียนกระแทกเข้ากับเสาหินที่อยู่ด้านหลัง


ซู่!


ดาบที่ทำจากน้ำชาสลายตัวกลายเป็นของเหลวที่พื้น


“ผมลดระดับวรยุทธลงมาให้เท่ากับคุณแล้ว, ราชันย์เทพเจ้าขั้นต้น” ชายหนุ่มเปรย


“ใช่ ผมรู้…” จางเซวียนพยักหน้าขณะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน


จอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบไม่ได้ใช้วรยุทธเหนือชั้นของตัวเองเล่นงานจางเซวียน ทั้งยังปรับลดระดับวรยุทธลงมาเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นต้นเหมือนเขาด้วย แต่อีกฝ่ายก็เอาชนะจางเซวียนได้ด้วยทักษะที่มี ทั้งๆที่จางเซวียนก็ถือดาบสวรรค์สีเลือดไว้ในมือและกำลังแสดงศิลปะเพลงดาบเวทนาสวรรค์!


ที่วรยุทธระดับเดียวกัน ต่อให้มีอาวุธที่ทรงพลัง จางเซวียนก็เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี!


นับตั้งแต่เขาเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ ในบรรดานักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน เขาก็พ่ายแพ้ให้กับตัวโคลนเท่านั้น


นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังขนาดนี้


“ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจความแตกต่างของทั้ง 2 แนวคิดนะ คุณจะตีความอย่างไรและปรับใช้ศิลปะเพลงดาบอย่างไรก็แล้วแต่คุณ” ชายหนุ่มพูดก่อนจะหันหลังกลับและจากไป


“ช้าก่อน!” จางเซวียนร้องเรียก


ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า


“ผู้อาวุโส ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ด้วยพละกำลังของคุณ คุณน่าจะรับมือได้แม้แต่กับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์และจอมราชันย์หลินชี พอจะเป็นไปได้ไหมที่คุณจะยับยั้งการดวลระหว่างทั้งคู่?” จางเซวียนถาม


เขาไม่รู้ว่าจอมราชันย์คนอื่นทรงพลังแค่ไหน แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือผู้เชี่ยวชาญที่ไร้เทียมทานคนหนึ่ง จางเซวียนดูไม่ออกว่าชายหนุ่มจะมีตรงไหนที่อ่อนด้อยกว่าปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง


หากเขาโน้มน้าวอีกฝ่ายให้ขัดขวางการดวลได้ ทุกอย่างก็คงลงตัว


ถึงโอกาสมีเพียงน้อยนิด แต่ก็ต้องลองสักตั้ง!


“ทุกคนมีชะตากรรมของตัวเองที่ต้องเดินไปตามนั้น ต่อให้จอมราชันย์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น การดวลของทั้งคู่ไม่อาจถูกยับยั้งได้ และจะต้องไม่มีใครยับยั้งมันด้วย นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง” ชายหนุ่มตอบอย่างสุขุม


“ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตายด้วยหรือ?” จางเซวียนถามอย่างสิ้นหวัง “แค่รู้ผลแพ้ชนะยังไม่พอหรือไง?”


“เราทำอะไรไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็หันกลับไปและพูดว่า “ท่านพ่อท่านแม่ของคุณทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบได้ในระดับที่น่าพอใจนะ หลังจากที่พวกเขาสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว ส่งพวกเขาไปที่กระท่อมดาบด้วย ผมจะรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาเอง”


เมื่อพูดจบ ร่างของชายหนุ่มกับผู้อาวุโสก็เริ่มเลือนรางก่อนจะหายวับไป


“ผู้อาวุโส…ผู้อาวุโส!” จางเซวียนร้องเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคงจากไปแล้วจริงๆ จางเซวียนได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่


คำพูดที่ชายหนุ่มพูดไว้ก่อนจะจากไปทำให้เขาเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมา


อีกฝ่ายพูดไว้ว่าระหว่างหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขง ต้องมีใครคนหนึ่งเสียชีวิตในการดวล ซึ่งหากผู้ทรงพลังอย่างเขายังยับยั้งทั้งคู่ไม่ได้ แล้วจางเซวียนจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างไร?


ชะตากรรมแบบไหนที่รอคอยพวกเขาอยู่?


ทำไมอะไรๆต้องลงเอยแบบนี้?


หลัวลั่วชิงเป็นคนรักของเขา เขาดั้นด้นจากทวีปแห่งปรมาจารย์มาจนถึงสรวงสวรรค์ก็เพื่อตามหาเธอ


ส่วนปรมาจารย์ขงคือบุคคลที่เขายกย่องเชิดชูตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ และคงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าอีกฝ่ายได้ให้คำชี้แนะจนเขามาถึงจุดนี้ได้


ทั้งคู่ล้วนมีความสำคัญต่อเขา เขาไม่อาจทนเห็นทั้งสองคนเป็นอะไรไป


“ทุกคนมีชะตากรรมของตัวเองที่จะต้องเดินตาม…ถ้าอย่างนั้น ชะตากรรมคืออะไร?” จางเซวียนพึมพำด้วยสีหน้ากระวนกระวาย


“เซวียนเอ๋อ…”ขณะที่จางเซวียนกำลังปั่นป่วน ก็พลันได้ยินท่านแม่ร้องเรียกด้วยความกังวล เขารีบสลัดตัวเองออกจากภวังค์ จากนั้นก็เงยหน้าและยิ้มให้ “ผมไม่เป็นไร…แล้ววรยุทธของท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ด้วยเทคนิควรยุทธและยาเม็ดที่ลูกให้มา ท่านพ่อกับแม่สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงสุดแล้ว” เซียนดาบเหมิงตอบยิ้มๆขณะเปิดเผยพละกำลังของเธอ


“ทำไมรวดเร็วแบบนี้?” จางเซวียนกระพริบตาปริบๆด้วยความประหลาดใจ


เขาพอเข้าใจที่ท่านพ่อท่านแม่ยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่การยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณควรจะยากกว่านี้ไม่ใช่หรือ? ที่ตัวเขายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้รวดเร็วก็เพราะได้กระแสจิตปรารถนาจากการขายยาเม็ดเพิ่มความงามและยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธ


แล้วท่านพ่อท่านแม่ของเขาทำได้แบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?


“ซุนฉางซื้อสมุนไพรและยาเม็ดบางอย่างมาให้ ทำให้แม่กับพ่อยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว” เซียนดาบเหมิงอธิบาย


การขายยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธทำให้เงินจำนวนมากไหลเข้ากระเป๋าของพวกเขาทุกวัน อีกทั้งความมั่งคั่งและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากตระกูลฉี พวกเขาจึงหาซื้อยาเม็ดที่ช่วยยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้รวดเร็วมาได้อย่างง่ายดาย


ก็เพราะเหตุนี้ เซียนดาบชิงเหมิงจึงได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงสุดภายในเวลาไม่นาน

 

 

 


ตอนที่ 2300 น่านฟ้าเสรี

 

“ผมมียาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าอยู่ 3 เม็ด ตั้งใจจะมอบให้ท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉาง ถ้ารู้สึกว่าพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธเมื่อไหร่ล่ะก็ ยานี้จะช่วยมอบพละกำลังที่ต้องใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้า” จางเซวียนพูดขณะยื่นยาเม็ดให้


เขาตั้งใจเตรียมไว้ให้ทั้งสามคนตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเก็บไว้


“ซุนฉาง เราจะออกเดินทางไปน่านฟ้าดาบสวรรค์กันเดี๋ยวนี้ ผมอยากให้คุณหาที่เงียบๆสำหรับท่านพ่อท่านแม่และตัวคุณเองเพื่อฝึกฝนวรยุทธที่นั่น หากพวกคุณสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเมื่อไหร่ ให้มุ่งหน้าสู่กระท่อมดาบทันทีและตามหาชายหนุ่มที่เราได้พบเมื่อครู่”


แม้จางเซวียนจะอยากรีบเดินทางสู่น่านฟ้าเสรี แต่ก็ไม่อาจประมาทเลินเล่อในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของท่านพ่อท่านแม่ของเขา


หากพวกเขาเดินทางสู่น่านฟ้าดาบสวรรค์ด้วยวิธีการแบบทั่วไป ระหว่างการเดินทางอันยาวนาน อาจมีใครสักคนพยายามสะกดรอยตามท่านพ่อท่านแม่ของเขาเพื่อล้วงความลับเรื่องยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธ เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นธุรกิจกำไรดีที่ช่วยแก้ปัญหาทางการเงินให้กับกลุ่มอำนาจไหนก็ได้


คงจะปลอดภัยกว่ามากหากพวกเขาใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่แทน


ด้วยความก้าวหน้าในวรยุทธของจางเซวียนกับความสามารถในการควบคุมมิติของหลัวฉีฉี พวกเขาน่าจะรับประกันความปลอดภัยของท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางได้


ทุกคนรีบมุ่งหน้าสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ จางเซวียนมอบตราสัญลักษณ์ของเขาให้ซุนฉาง ส่วนตัวเขาประกบท่านพ่อ และหลัวฉีฉีประกบท่านแม่ ทั้งห้าคนมุ่งหน้าสู่น่านฟ้าดาบสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว


โชคดีที่แม้การปกป้องใครสักคนระหว่างการเดินทางโดยใช้ค่ายกลทะลุมิติจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขาก็ทำได้โดยไม่มีปัญหาใด


หลังจากกล่าวอำลาท่านพ่อท่านแม่แล้ว จางเซวียนมอบดาบราชันย์เทพเจ้าให้เซียนดาบชิง, ท่านพ่อของเขา และช่วยทำให้ดาบยอมจำนน


ด้วยศิลปะเพลงดาบของเซียนดาบชิงเหมิงและดาบราชันย์เทพเจ้า พวกเขาน่าจะเอาชนะได้แม้แต่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไป จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย


“ไปน่านฟ้าเสรีกันเถอะ!” จางเซวียนพูด


ตัวเขากับหลัวฉีฉีเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่อีกครั้ง


แม้จะยาก แต่เขาก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องยับยั้งการดวลระหว่างหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงให้ได้


เพื่อสิ่งนี้ เขาพร้อมสละชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน!


เมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรีตั้งอยู่ที่ใจกลางสันเขาขนาดมหึมา


ที่นี่ไม่เหมือนกับเมืองหลวงอื่นๆของน่านฟ้าที่เหลือซึ่งมีกฏระเบียบเข้มงวด เมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรีไม่มีทั้งกำแพงเมืองหรือองครักษ์ จึงดูไม่เป็นทางการหรือชวนให้อึดอัดเหมือนที่อื่น


มีพืชผักนานาพันธุ์ อสูรทุกชนิด อาวุธ และยาเม็ดวางขายอยู่ในเวิ้งตลาด อีกทั้งถ้วยชามรามไห เนื้อเค็ม และผักดองอีกมากมาย


ถ้าจางเซวียนจะต้องหาสักคำมาอธิบายความเป็นเมืองนี้ ก็คงต้องใช้คำว่าวุ่นวายสับสน


“ที่น่านฟ้าเสรี ทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามแต่ปรารถนา ไม่มีกฎเกณฑ์บังคับ” หลัวฉีฉีอธิบายขณะทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามถนน


เมืองนี้ไม่เหมือนกับอีก 8 น่านฟ้าที่เหลือ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีองครักษ์ ไม่มีกองกำลังทหาร แต่ก็ไม่มีน่านฟ้าไหนกล้าเปิดศึกกับพวกเขาเช่นกัน


นักรบคนหนึ่งอาจมองว่าที่นี่คือสรวงสวรรค์ได้เลยทีเดียว


แม้จะวุ่นวายสับสน แต่ก็มีความเป็นระเบียบที่ไม่อาจมองเห็นหรือบรรยายได้ชัดเจนอยู่ในสถานที่แห่งนี้


จางเซวียนพยักหน้า


น่านฟ้าเสรีแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสถานที่อื่นๆที่เขาเคยไป บรรดานักรบที่อาศัยอยู่ที่นี่มีความสุขสบายกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในน่านฟ้าอื่นๆมาก และพวกเขาก็พยายามปกป้องวิถีชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ใครก็ตามที่คิดจะทำลายวิถีชีวิตนี้จะต้องถูกเล่นงานอย่างสาสม


ซึ่งก็ด้วยวิถีทางที่เป็นเอกลักษณ์ของมันนี่เองที่ทำให้น่านฟ้าเสรีเติบโตผงาดเหนือกว่าน่านฟ้าอื่นๆที่เหลือ


จางเซวียนเดินเข้าตลาด เขาหยุดยืนตรงหน้านักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคนหนึ่งและตั้งคำถาม “ขออภัยด้วยเถิด ไม่ทราบว่าคุณรู้หรือเปล่าว่าจอมราชันย์หลินชีพักอยู่ที่ไหน?”


เมื่อรับรู้ได้ถึงรังสีทรงพลังที่จางเซวียนกับหลัวฉีฉีแผ่ออกมา นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงผู้นั้นตอบโดยไม่ลังเล “เท่าที่ผมรู้ ฝ่าบาทมักใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธบนภูเขาหลินชีที่อยู่ตรงนั้น แต่การจะไปที่นั่นก็ไม่ง่าย…”


“ขอบคุณมาก!”


จางเซวียนมองตามทิศทางที่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงผู้นั้นชี้ไป เขาเห็นยอดเขาสูงตระหง่านอยู่ไกลๆ ปกคลุมด้วยชั้นหมอกหนา


ทั้งคู่รีบออกเดินทางไปยังจุดนั้น


ในตอนแรก ภูเขาก็ดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าหลัวฉีฉีกับจางเซวียนจะพยายามบินเข้าหามันอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าใกล้มันได้เสียที ทั้งที่บินมาได้ราว 1 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ดูเหมือนทั้งคู่ไม่ได้เข้าใกล้ภูเขามากกว่าเดิมเลย หากเป็นอย่างนี้ คงไม่มีวันไปถึงแน่


จะว่าไป ก็เหมือนกับการที่ใครสักคนพยายามจะบินเข้าหาดวงอาทิตย์ มันอาจดูใหญ่โตและเจิดจ้าจนเห็นได้ชัด แต่ต่อให้ใครสักคนใช้เวลาทั้งชีวิตเดินหรือบินไป ก็ไม่มีวันเข้าถึง


เมื่อรู้แล้วว่าทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนเงยหน้าและตะโกน “หลัวลั่วชิง ผมรู้นะว่าคุณก็รู้ว่าผมมา ผมอยากพบคุณ!”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลัวลั่วชิงจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเขาเข้าถึงภูเขาลูกนี้ได้


ซึ่งหากเป็นแบบนั้น ก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง


เป็นอย่างที่คาดไว้ ทันทีที่จางเซวียนพูดจบ แรงกระเพื่อมของมิติชุดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า ตามมาด้วยร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง


เธอดูจะมีอายุราว 17-18 ปี สวมเสื้อคลุมสีเขียว


“นายน้อยจางเซวียน กรุณากลับไปเถอะ!”สาวน้อยเสื้อคลุมสีเขียวโค้งคำนับอย่างงามขณะพูดต่อ “ตอนนี้นายหญิงน้อยของเรากำลังเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้กับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ที่ใกล้เข้ามา เธอไม่อาจปล่อยให้สมาธิของเธอสั่นคลอนได้ในช่วงเวลาแบบนี้ ถ้าคุณเป็นห่วงเป็นใยเธอจริงๆ ฉันคงต้องขอร้องคุณว่าอย่าทำเธอวอกแวกในสถานการณ์ที่กำลังคับขัน การปะทะกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญ 2 คนน่ะ จุดอ่อนแม้เพียงนิดเดียวก็อาจส่งผลให้เกิดหายนะตามมาได้”


“ผม…” จางเซวียนกำหมัดแน่น


ในการต่อสู้ระหว่างนักรบผู้เชี่ยวชาญ 2 คน สมาธิที่หลุดไปเพียงนิดเดียวอาจนำมาซึ่งหายนะได้ทันที ซึ่งหากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขาส่งผลกระทบกับการต่อสู้ของหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงล่ะก็ เขาจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย


แต่…


จางเซวียนก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับหลัวลั่วชิงและปรมาจารย์ขงเด็ดขาด!


“ไม่มีวิธียับยั้งการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ให้เกิดขึ้นเลยหรือ?” จางเซวียนกัดฟัน


แม้เขาจะเห็นปฏิกิริยาของจอมราชันย์อมตะกับจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้


สาวน้อยเสื้อคลุมสีเขียวส่ายหน้า “ไม่มีอะไรยับยั้งไม่ให้เกิดการต่อสู้ครั้งนี้ได้หรอก”


“ทำไม?” จางเซวียนสวนทันควัน “ผมอยากฟังคำตอบจากปากของเธอ!”


“นายน้อย กรุณาอย่าทำให้คนรับใช้อย่างฉันต้องลำบากเลย สิ่งที่นายหญิงน้อยของเราต้องการในเวลานี้คือผู้สนับสนุน ไม่ใช่ใครสักคนที่สร้างแรงกดดันและเพิ่มความเครียดให้เธอมากขึ้นอีก หากเธอเอาชนะการดวลครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าเธอจะต้องอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังอยู่แล้ว แต่ถ้าเธอแพ้…ทุกเรื่องก็เป็นอันจบ คงไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก” สาวน้อยเสื้อคลุมสีเขียวตอบขณะก้มหน้างุด


“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะรอคำอธิบายของเธอ!”


เห็นความเด็ดเดี่ยวของสาวน้อยเสื้อคลุมสีเขียว จางเซวียนรู้ดีว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจเธอได้ จึงหันหลังกลับและจากไป


ถ้าหลัวลั่วชิงตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่พบเขา ก็ไม่มีทางที่เขาจะทำให้อะไรๆเปลี่ยนแปลงได้ พูดไปก็มีแต่จะเปลืองลมหายใจเปล่า


หลัวฉีฉีตามจางเซวียนมาติดๆขณะถามว่า “เราจะล้มเลิกง่ายๆแบบนี้หรือ?”


พวกเขาอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงน่านฟ้าเสรีเพื่อยับยั้งการดวล คนอย่างจางเซวียนไม่น่าจะยอมหยุดเพียงเพราะคำพูดของคนคนเดียว


แม้เธอจะรู้ดีว่าคนที่จางเซวียนหลงรักอย่างจริงใจคือจอมราชันย์หลินชี และการที่ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันจะทำให้ความรู้สึกเดิมๆแนบแน่นขึ้นอีก แต่ก็ไม่อาจทนเห็นจางเซวียนอยู่ในสภาพนี้ได้


ชายที่เธอรักคือผู้ที่ยืนจังก้าท้าทายโลกใบนี้อยู่เสมอ ราวกับไม่มีอะไรในโลกที่จะสร้างปัญหาให้เขาได้เลย!


“ไม่อยู่แล้วล่ะน่ะ! ถ้าเธอไม่อยากพบผม ผมก็จะไปพบจอมราชันพิชิตสวรรค์” จางเซวียนตอบ


เห็นได้ชัดว่าหลัวลั่วชิงจงใจไม่ยอมพบเขาจนกว่าการดวลจะเริ่ม ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาตามหาปรมาจารย์ขงแทนก็ได้ ก็เหมือนกับการปรบมือที่ต้องใช้มือ 2 ข้าง การดวลคือการต่อสู้ระหว่างคนสองคน ก็แค่หาทางพบใครคนใดคนหนึ่งให้ได้เพื่อจะได้รู้ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้ครั้งนี้คืออะไร


หลัวฉีฉีเข้าใจเจตนาของจางเซวียน แต่ก็ตั้งคำถามพร้อมกับส่ายหน้า “ว่าแต่คุณจะหาตัวเขาเจอได้อย่างไร? ตอนนี้เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ!”


9 จอมราชันย์ปกครองดูแลทั้ง 9 น่านฟ้า แต่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์คือจอมราชันย์ที่เพิ่งขึ้นมามีอำนาจเมื่อ 40 ปีก่อน ยังไม่มีดินแดนเป็นของตัวเอง จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาพำนักอยู่ที่ไหน จนกว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจปรากฏตัว ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขา


“ในเมื่อการดวลใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ตอนนี้เขาจะอยู่ในเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรี” จางเซวียนพูด “ขอแค่เราสำรวจให้ทั่ว ก็น่าจะพบตัวเขา”


ทั้งคู่รีบกลับสู่เมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรี


เห็นตึกรามบ้านช่องมากมายที่อยู่รอบตัว หลัวฉีฉีอุทาน “เราจะพบตัวเขาได้อย่างไรท่ามกลางคนมากมายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่แห่งนี้?”


หากจะไปซักถามใคร ก็คงไม่มีใครโง่เง่าพอจะเปิดเผยที่อยู่ของจอมราชันย์และเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง แต่หากทั้งคู่ออกตามหาให้ทั่วเมืองด้วยตัวเอง จะต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงจะสำรวจประชากรหลายร้อยล้านคนภายในเมืองได้หมด?


“เอาเถอะ เราไปที่สภาปรมาจารย์ของเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรีก่อนก็ได้” จางเซวียนพูด


หลัวฉีฉีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


จริงด้วย!


ในเมื่อสภาปรมาจารย์คือกลุ่มอำนาจที่อยู่ในสังกัดของปรมาจารย์ขง ก็น่าจะมีวิธีติดต่อเขาได้ หากพวกเขามุ่งหน้าสู่สภาปรมาจารย์ ก็อาจได้ข้อมูลบางอย่างจากที่นั่น


สภาปรมาจารย์คือกลุ่มอำนาจที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา การเสาะหาตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขาจึงไม่ได้ยากเกินไป ไม่ช้าจางเซวียนกับหลัวฉีฉีก็มาถึงที่หมาย

 

 

 


ตอนที่ 2301 สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

น่านฟ้าเสรีไม่มีกฎเกณฑ์ จึงไม่มีข้อบังคับเรื่องการพัฒนาวิชาชีพต่างๆ ดังนั้น หลายสมาคมวิชาชีพจึงเลือกตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้


ถ้าเปรียบเทียบกับสภาปรมาจารย์ของน่านฟ้าอื่นๆ สภาปรมาจารย์ของเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรีคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในจำนวนที่มากกว่ากันหลายเท่า มีนักรบมากมายแวะมาที่สภาปรมาจารย์เพื่อเสาะหาคำชี้แนะจากอาจารย์สักคน


เมื่อเข้าสู่อาคารที่มีผู้คนหนาแน่น จางเซวียนเห็นปรมาจารย์ 2-3 คนกำลังเปิดการบรรยายอยู่ด้านใน ดูไปก็คล้ายกับภาพที่เขาได้เห็นจนชินตาเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


หลัวฉีฉีเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา จากนั้นก็ถามจางเซวียน “เราจะไปขอพบประธานสภาปรมาจารย์ไหม?”


ถ้าพวกเขาอยากติดต่อกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องเข้าถึงตัวประธานสภาปรมาจารย์ให้ได้ก่อน


“ทำแบบนั้นจะยุ่งยากเกินไป” จางเซวียนตอบ


เขาสูดหายใจลึกๆก่อนตะโกนก้องด้วยเสียงดังสนั่น “จางเซวียนมาท้าทายประธานสภาปรมาจารย์ ขอให้คุณออกมาพบผมด้วย!”


“มีคนมาท้าทายท่านประธาน? ฮ่า คิดจะเล่นงานสภาปรมาจารย์หรือไง?”


“ท้าทายท่านประธานของเราก็ถือว่ารนหาที่ตายแล้ว!”


“แต่เดี๋ยว-คุณได้ยินชื่อของเขาไหม? เขาเรียกตัวเองว่าจางเซวียนนี่ ใช่นักปรุงยาที่อยู่เบื้องหลังยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธหรือเปล่า?”


“ทั่วทั้งสรวงสวรรค์ ก็มีจางเซวียนคนเดียวนะที่ผมรู้จัก…”


“ผมได้ยินว่าเขาสังหารราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่ฉิงหงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงไปเมื่อ 2-3 วันก่อน…”


…..


ฝูงชนส่งเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่


บรรดาปรมาจารย์ที่พุ่งออกมาโดยหมายจะปกป้องชื่อเสียงของสภาปรมาจารย์ของพวกเขาต่างอึ้งไปเมื่อรู้ว่าแม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่ฉิงหงก็ยังสู้กับชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ พวกเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ต่างคนค่อยๆล่าถอยขณะรอให้ใครสักคนที่มีอำนาจมากกว่ามารับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ผู้ที่สังหารได้แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติย่อมเก่งกาจเกินกว่าที่พวกเขาจะต้านทานได้อย่างแน่นอน


“ผมคือประธานสภาปรมาจารย์ของเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรี เชิญทางนี้!”


ชายชราเคราสีเทาคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมห้องและเชื้อเชิญจางเซวียนให้เข้าไปข้างใน


วรยุทธของเขาเข้มข้นและทรงพลัง เป็นราชันย์เทพเจ้าเหมือนจางเซวียน


จางเซวียนพยักหน้าขณะเดินตามอีกฝ่ายเข้าสู่ห้องชั้นในของสภาปรมาจารย์


หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง ชายชราเหลือบมองด้านหลัง และเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอื่น ก็หยุดเดินและหันมาเผชิญหน้ากับจางเซวียน


“นักปรุงยาจาง ผมรอการมาเยือนของคุณอยู่นะ ผมจะพาคุณไปพบฝ่าบาทเดี๋ยวนี้แหละ”


“คุณรู้ว่าผมจะมาที่นี่เพื่อพบจอมราชันย์พิชิตสวรรค์อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ


เขาคิดว่าคงต้องลงไม้ลงมือกันสักหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายยอมพาเขาไปพบจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ใครจะไปรู้ว่าจะได้ฟังคำตอบแบบนี้?


“ฝ่าบาทสั่งการไว้ให้ผมพาคุณไปพบเขาทันทีหากคุณปรากฏตัวที่นี่” ชายชราตอบพร้อมกับยิ้มให้


เขาโบกมือ แล้วค่ายกลทะลุมิติอันหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าทั้งคู่


“ไปกันเถอะ!”


จากนั้นชายชราก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลทะลุมิติ จางเซวียนกับหลัวฉีฉีรีบตามไปติดๆ


ฟึ่บ!


เกิดลำแสงสว่างวาบ ทั้งสามถูกนำตัวไปยังห้องที่ดูธรรมดาสามัญห้องหนึ่ง


ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าพวกเขาคือผู้อาวุโสคนหนึ่งซึ่งมีทีท่าและสีหน้าอ่อนโยน


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์ขง!


ยังมีราชันย์เทพเจ้ากับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอีกกลุ่มหนึ่งตั้งแถวขนาบทั้ง 2 ข้าง


เมื่อมองไปรอบๆ จางเซวียนถึงกับเลิกคิ้ว


เขาจำได้อยู่หลายคนทีเดียว


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, นักปราชญ์โบราณหรันชิว, นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง, นักปราชญ์โบราณจื่อก้ง…


10 สุดยอดสาวกและ 72 นักปราชญ์ต่างรวมตัวกันอยู่ที่นี่!


แม้ผู้ที่มีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดก็ยังเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง


มีมากกว่า 10 คนที่มีวรยุทธสูงกว่าระดับราชันย์เทพเจ้า ซึ่งหมายความว่าอิทธิพลของปรมาจารย์ขงไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าน่านฟ้าอื่นๆเลย


เพียงแต่…จางเซวียนได้เห็นศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับนักปราชญ์โบราณอีกสองสามคนแล้วก่อนที่จะเข้าสู่มิติเบื้องบน? แล้วทำไมพวกเขาถึงยังดูปกติดี?


จางเซวียนงุนงง แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาตั้งคำถาม จึงเดินตรงไปยังใจกลางห้อง โค้งคำนับอย่างงามและพูดว่า “ศิษย์น้องจางเซวียนคารวะปรมาจารย์ขง”


ด้วยการมองเพียงแวบเดียว เขาก็ดูออกว่าอีกฝ่ายคือครูบาอาจารย์ผู้เป็นที่ยำเกรงของคนทั้งโลกจริงๆ คราวนี้ไม่มีทางเป็นตัวปลอมไปได้


“ในที่สุดคุณก็มาถึงที่นี่” ปรมาจารย์ขงพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เขาชำเลืองมองบรรดาศิษย์สายตรงที่ยืนอยู่รอบห้องและพูดว่า “พวกคุณที่เหลือออกไปได้”


“ขอรับ ท่านอาจารย์!” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพยักหน้าขณะส่งสัญญาณให้คนอื่นๆตามไป


“ฉีฉี คุณก็ออกไปรอข้างนอกเถอะ” จางเซวียนพูด


“ได้ ถ้าคุณต้องการอะไร เรียกฉันได้ทันที” หลัวฉีฉีตอบพร้อมกับพยักหน้า


ไม่ช้า ในห้องนั้นก็เหลือแต่จางเซวียนกับปรมาจารย์ขง


“นั่งสิ”


ปรมาจารย์ขงโบกมือ แล้วเก้าอี้ตัวหนึ่งก็ลอยมาตั้งอยู่ด้านหลังจางเซวียน


แต่จางเซวียนก็ยังไม่นั่ง เขากลับก้มศีรษะอย่างขอโทษขอโพยและพูดว่า “ปรมาจารย์ขง ผมเป็นหนี้บุญคุณที่คุณช่วยชี้แนะให้ระหว่างที่ผมยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ด้วยเรื่องราวสลับซับซ้อนหลายอย่าง สุดท้าย ผมก็กลับกักขังตัวโคลนของคุณไว้”


จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็ปล่อยตัวโคลนของปรมาจารย์ขงที่เขาจับตัวไว้ในเมื่อครั้งอยู่ในมิติเบื้องบนออกมา


“เขาคืออะไรบางอย่างที่ถูกตัดทอนออกมาจากเจตจำนงของผม เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากตัวผม ผมนึกว่าผมกักขังเขาไว้ในมิติเบื้องบนแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะฝ่าฉนวนของกาลเวลาออกมาได้” ปรมาจารย์ขงตอบ


ตัวเขาก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติเบื้องบน แต่ไม่ได้หงุดหงิดอะไรกับการกระทำของจางเซวียน


ปรมาจารย์ขงกระดิกนิ้ว แล้วตัวโคลนของเขาก็สลายกลายเป็นควันสีเขียว ก่อนจะหายวับไปกับตา


จากนั้นปรมาจารย์ขงก็ยิ้มออกมาก่อนจะเปรย “ผมตั้งใจว่าจะส่งเจตจำนงอีกเสี้ยวหนึ่งของผมลงไปยังมิติเบื้องบนเพื่อจัดการเขา แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นหลังจากที่รู้ว่าคุณเข้าสู่มิติเบื้องบนแล้ว การกระทำของคุณไม่ได้ทำให้ผมไม่พอใจนะ”


“คุณ…รู้เรื่องของผมในมิติเบื้องบนด้วยหรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ


มิติเบื้องบนกับสรวงสวรรค์ถูกแยกออกจากกันด้วยปราการแห่งมิติ ทำให้การเดินทางหรือการสื่อสารระหว่างสองโลกแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ปรมาจารย์ขงก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในมิติเบื้องบน?


ปรมาจารย์ขงตอบข้อสงสัยของจางเซวียน “ผมก็เหมือนคุณนั่นแหละ ผมมาถึงที่นี่ได้โดยเริ่มจากทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบน ผมทิ้งเจตจำนงและมือไม้จำนวนหนึ่งของผมไว้ในทั้งสองโลกเผื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน แม้การจะลงไปสู่โลกเบื้องล่างจากที่นี่จะเป็นเรื่องยากเอาการ แต่ผมก็ยังติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกทั้ง 2 ใบได้อย่างละเอียด”


ด้วยระดับวรยุทธของเขาที่แม้แต่จอมราชันย์หลินชีก็ยังไม่กล้ายืนยันว่าตัวเธอแข็งแกร่งกว่า ก็เป็นธรรมดาที่ปรมาจารย์ขงจะมีวิธีการมากมายอยู่ในมือ


“เรื่องนั้นฟังดูสมเหตุสมผลดี” จางเซวียนพยักหน้า


แม้จอมราชันย์อมตะจะไม่ได้เก่งกาจใกล้เคียงกับจอมราชันย์หลินชีกับปรมาจารย์ขง แต่อีกฝ่ายก็สามารถส่งข้อความลงไปหาตู้ชิงหย่วนได้โดยผ่านตราสุดยอดจอมราชันย์


ส่วนปรมาจารย์ขงก็ขึ้นชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในหลากหลายอาชีพ อีกทั้งลูกศิษย์ลูกหาของเขาก็มีความปราดเปรื่องไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ การที่เขาจะทำแบบนั้นได้สำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


“ภายในระยะเวลาอันสั้น คุณก้าวข้ามขีดจำกัดของทั้ง 3 โลกได้ โดดเด่นเจิดจรัสยิ่งกว่าผมเสียอีก” ปรมาจารย์ขงลูบเคราและยิ้มอย่างสบายใจ


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาสอดส่องพฤติกรรมของจางเซวียนมาตลอด


ในตอนแรก เขาคิดว่าชายหนุ่มคงเหมือนพลุที่ฉายแสงเจิดจ้าเพียงวูบเดียว แต่อีกฝ่ายกลับประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งทำให้ผู้คนรอบตัวเขาล้วนอัศจรรย์ใจ ในระยะเวลาเพียง 2 ปี ชายหนุ่มก็ก้าวจากทวีปแห่งปรมาจารย์มาจนถึงสรวงสวรรค์ และตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในฐานะราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่ง


ปรมาจารย์ขงไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นไปได้ที่ใครสักคนจะเติบโตและพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วขนาดนี้


“คุณก็ชมเชยผมเกินไป” จางเซวียนตอบด้วยใบหน้าที่ออกจะแดงเรื่อ


เขารู้สึกว่าเหตุผลที่ทำให้เขาก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้ก็เป็นเพราะบรรพบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าคอยชี้ทางให้


ถ้าไม่ใช่เพราะปรมาจารย์ขงได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์และคิดค้นเทคนิควรยุทธมากมายอย่างเคล็ดวิชาถอดรหัสเซียน เขาก็คงไม่มีทางพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วจนมาถึงจุดนี้ได้


“เอาล่ะ เลิกคุยเรื่องสัพเพเหระและตรงเข้าประเด็นเสียทีดีไหม? ผมเข้าใจเหตุผลที่คุณมาที่นี่” ปรมาจารย์ขงพูด “คุณกำลังกังวลเรื่องการดวลระหว่างตัวผมกับจอมราชันย์หลินชีที่กำลังใกล้เข้ามา และตั้งใจมาบอกผมให้ล้มเลิกความคิดนี้ ใช่หรือเปล่า?”


“ใช่ นั่นคือความตั้งใจของผม” จางเซวียนพยักหน้า


เขาไม่คิดว่าตัวเองจะปกปิดความคิดจากปรมาจารย์ขงได้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจตรงเข้าประเด็น


“ผมจะตอบคุณแบบชัดๆเลยนะ-เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ การดวลครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผมหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ คุณก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน” ปรมาจารย์ขงตอบพร้อมกับส่ายหน้า


“ผมก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน?” จางเซวียนผงะ


นี่คือการดวลระหว่างจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับจอมราชันย์หลินชีไม่ใช่หรือ? แล้วตัวเขาเข้าไปเกี่ยวอะไร?


ปรมาจารย์ขงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “คุณทำความเข้าใจเรื่องมลทินสวรรค์ได้สำเร็จแล้วใช่ไหม?”


“ใช่” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


“ความสามารถของผมคือลิขิตสวรรค์ ผมเชื่อว่าคุณคงรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว” ปรมาจารย์ขงพูด


จางเซวียนพยักหน้าอีกครั้ง


เขารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วจากเจตจำนงที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ในหอเทพเจ้าของมิติเบื้องบน จึงไม่ใช่ความลับ


“ไม่ว่าจะเป็นลิขิตสวรรค์หรือมลทินสวรรค์ ก็ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ทั้งนั้น มันคือเศษเสี้ยวที่ปะติดปะต่อเข้าด้วยกันเป็นสรวงสวรรค์” ปรมาจารย์ขงพูดขณะเหม่อมองท้องฟ้าข้างนอกด้วยสายตาที่ทอดยาวออกไปแสนไกล


จางเซวียนใจหายวาบขณะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


“หรือว่าลั่วชิง…จอมราชันย์หลินชีก็ครอบครองเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์เช่นกัน?”


หรือว่านี่คือ ‘สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้’ ที่ทุกคนพากันพูดถึงตลอดมา?


หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาผูกพันกับหลัวลั่วชิงทั้งที่ไม่เคยมีความรู้สึกฉันชู้สาวกับผู้หญิงคนอื่น?


หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้หลัวลั่วชิงดูเหมือนจะรู้เรื่องการมีอยู่ของหอสมุดเทียบฟ้าตั้งแต่แรก?


บางที เศษเสี้ยวของสวรรค์อาจรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณถึงการปรากฏตัวของแต่ละคน และพวกเขาก็ถูกดึงดูดเข้าหากัน

 

 

 


ตอนที่ 2302 สงครามสวรรค์

 

“ก็อย่างที่คุณคิดนั่นแหละ มันคือสงครามสวรรค์!” ปรมาจารย์ขงตอบ “เป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พละกำลังทุกรูปแบบของโลกจะรวมตัวกันและสลายไปพร้อมกับกาลเวลา นี่คือวัฏจักรของธรรมชาติที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ หากผมชนะ ผมก็จะกลายเป็นผู้หยั่งรู้คนใหม่ของสรวงสวรรค์ แต่หากแพ้ จิตวิญญาณของผมก็จะเสื่อมสลายไป และทุกอย่างจะจบลงตรงนี้”


“สงครามสวรรค์…” จางเซวียนหน้าซีด “ถ้าอย่างนั้น เธอกับผมก็…”


นั่นหมายความว่า สุดท้ายเขาก็ต้องสู้กับหลัวลั่วชิงเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?


เขากับเธอต้องแย่งชิงความเป็นหนึ่งด้วยหรือไง?


หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอไม่เต็มใจตอบรับคำสารภาพความในใจของเขา แถมยังหาข้อบ่ายเบี่ยงมากมายเพื่อผลักไส?


ในครั้งนั้น จางเซวียนเคยคิดว่าอาจมีอำนาจบางอย่างบงการเธออยู่เบื้องหลังและห้ามไม่ให้พวกเขาสานสัมพันธ์กัน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้ว


ในสงครามสวรรค์ จะมีผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น


เมื่อตอนที่ทั้งคู่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาเคยถามหลัวลั่วชิงหลายครั้งถึงเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเธอ แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่หนักแน่นพอ


เมื่อคิดดูอีกที ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่เต็มใจพูด แต่เธอพูดไม่ได้ ถ้าหลัวลั่วชิงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอให้เขารู้ก่อนเวลา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสวรรค์จะต้องตอบโต้การเปิดเผยความลับครั้งนี้


ตัวเขากับเธออาจต้องดวลกันแบบชี้เป็นชี้ตายก่อนถึงเวลาอันควร!


“ถ้าผมชนะ คู่ต่อสู้คนต่อไปที่คุณจะต้องเจอก็คือผม แต่ถ้าผมแพ้ ก็จะเป็นคุณกับเธอที่ต้องสู้กัน นี่คือชะตากรรม เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขมันได้” ปรมาจารย์ขงพูดอย่างหนักแน่น


แม้สิ่งที่พวกเขากำลังพูดคุยกันคือเรื่องความเป็นความตาย แต่อีกฝ่ายก็ยังรักษาความสุขุมไว้ได้


“สวรรค์ที่คุณพูดถึง…หมายถึงสวรรค์ของสรวงสวรรค์แห่งนี้หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม “ไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงเลยหรือ?”


“ไม่มี” ปรมาจารย์ขงส่ายหน้า


“แต่…สรวงสวรรค์ก็ยังคงอยู่ดีนี่นา? นักรบส่วนใหญ่ยังพัฒนาตัวเองได้ ชีวิตก็ยังคงเติบโตงอกงาม! ถ้าสวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆจริงๆ ก็คงไม่ใช่แบบนี้นะ!” จางเซวียนอุทาน


ถ้าสรวงสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือพวกเขาทั้งสามคน โลกนี้ก็น่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จางเซวียนได้เห็น


“เติบโตงอกงาม?” ปรมาจารย์ขงส่ายหน้าอย่างขมขื่นใจ “สรวงสวรรค์น่ะหยุดเติบโตมา 40 ปีแล้วนะ พลังจิตวิญญาณค่อยๆเสื่อมถอย พืชพันธุ์ธัญญาหารและอสูรมากมายสูญพันธุ์ไป บรรดานักรบถูกบีบให้ต้องอาศัยอยู่เฉพาะภายในเมืองหลวง และประชากรส่วนใหญ่ก็ไม่มีรังสีสวรรค์มากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ นี่คือการขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธครั้งใหญ่ ทุกวันนี้เราอาจมีชีวิตรอด แต่หากเป็นอีกหลายร้อยปีข้างหน้าล่ะ ทุกอย่างจะต้องเหือดแห้งไม่มีเหลือ ถึงตอนนั้น แม้สิ่งมีชีวิตก็อยู่ไม่ได้…”


“คือ…” จางเซวียนพูดไม่ออก


เขารู้ว่าปรมาจารย์ขงพูดถูก


การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณตั้งต้นตั้งแต่ 40 ปีก่อน พื้นที่ส่วนใหญ่ของสรวงสวรรค์กลายเป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดาร สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนตายและสูญพันธุ์ไป


นักรบส่วนใหญ่ไม่อาจยกระดับวรยุทธของพวกเขาได้อีกเพราะการขาดแคลนทรัพยากร


แต่เพราะสรวงสวรรค์สั่งสมทรัพยากรไว้มากมายเนิ่นนานนับปีไม่ถ้วนตั้งแต่มันถูกก่อตั้งขึ้นมา ทุกวันนี้จึงยังคงอยู่ได้ แต่ทรัพยากรทั้งหมดจะใช้ไปได้อีกนานแค่ไหน?


เมื่อนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ 40 ปีก่อนสิ้นอายุขัยไป จะมีเทพเจ้าสวรรค์สร้างอีกสักเท่าไหร่เข้ามาแทนที่พวกเขา?


แล้วยังราชันย์เทพเจ้ากับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอีกล่ะ?


เมื่อพลังจิตวิญญาณในอากาศลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จะมีผู้คนอีกมากมายเท่าไหร่ที่ต้องเสียชีวิตเพราะความอดอยากหิวโหย?


แต่เขาไม่กล้านึกภาพเหล่านั้น!


นี่คือผลกระทบจากการที่สวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆหรือ?


“แต่ก็ยังมีการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณอยู่ใช่ไหม?” จางเซวียนถาม “ผมรู้มาว่าในช่วงเวลานั้น การเก็บเกี่ยวเอาทรัพยากรจำนวนมหาศาลเป็นสิ่งที่ทำได้”


การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณคือปรากฏการณ์ธรรมชาติของโลกที่เกิดขึ้นทุก 10 ปีนับตั้งแต่เกิดการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ ซึ่งในแต่ละครั้งที่เกิดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ มันจะนำพาทรัพยากรจำนวนมหาศาลเข้าสู่สรวงสวรรค์ ทำให้พืชพรรณที่เหี่ยวแห้งและดินแดนทุรกันดารกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง


ก็เพราะเหตุนี้ ภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ที่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณมาเนิ่นนานจึงยังคงมีพืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้นอยู่มากมายจนถึงทุกวันนี้


“ถ้าเทียบสรวงสวรรค์เป็นอาคารหลังหนึ่ง สวรรค์ก็คือเสาที่ค้ำจุนอาคารนั้นให้ตั้งอยู่ได้” ปรมาจารย์ขงพูด “แต่ตอนนี้ เสาถูกแบ่งแยกเป็นคุณกับผม ดังนั้น ไม่ช้าไม่นานอาคารก็จะต้องพังทลาย”


“การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าการค้ำจุนโครงสร้างนั้นให้มั่นคงได้ชั่วคราว แม้มันจะช่วยชะลอการพังทลายได้ แต่ก็เป็นแค่การอุดช่องว่างชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจยืนยงได้ยาวนาน”


“ยิ่งไปกว่านั้น ความยุ่งเหยิงแตกแยกครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ บรรดานักรบจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธในปริมาณที่มากขึ้น แม้มันจะดูเหมือนพลังที่ช่วยค้ำจุนความมั่นคงของสรวงสวรรค์ไว้ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการเร่งความตายให้ใกล้เข้ามาต่างหาก คุณรู้ไหมว่ามีเทพเจ้า, เทพเจ้าสวรรค์สร้าง และราชันย์เทพเจ้ามากมายแค่ไหนที่ต้องตายไประหว่างการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ?”


คำนี้ทำให้จางเซวียนคิดหนัก


เรื่องพวกนั้นคือความลับของสรวงสวรรค์ ไม่เคยมีบันทึกไว้ในหนังสือเล่มใดก็ตามที่เขาได้อ่าน


“ไม่มีทางนับจำนวนของเทพเจ้ากับเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้ แต่ก่อนจะเกิดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ ในสรวงสวรรค์มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมากกว่า 300 คน และราชันย์เทพเจ้าอีกกว่า 1000 คน!”


“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมากกว่า 300 คนกับราชันย์เทพเจ้าอีกกว่า 1000 คน?” จางเซวียนชะงัก


เท่าที่เขารู้ ตอนนี้มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเพียง 30 คนกับราชันย์เทพเจ้าอีกราว 100 คนเท่านั้น…


พูดอีกอย่างก็คือ สรวงสวรรค์สูญเสียผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้วกว่า 90%


แปลว่าหลายปีที่ผ่านมา มีเทพเจ้าสวรรค์สร้างกับเทพเจ้าเสียชีวิตไปแล้วมากมายแค่ไหน?


“สรวงสวรรค์ไม่อาจอยู่ในสภาพแหว่งวิ่นแบบนี้ได้อีกแล้ว หากเราปล่อยให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆต่อไป นับวันสถานการณ์ก็จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ โลกจะตั้งอยู่ไม่ได้ และทุกสรรพสิ่งก็จะต้องทุกข์ทรมาน” ปรมาจารย์ขงพูดอย่างเคร่งขรึม


เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้หากโลกจะต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ


“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือนอกจากสละชีวิตของหนึ่งในพวกเราเพื่อรักษาโลกเอาไว้ เราจะร่วมมือกันปกป้องสวรรค์ไม่ได้หรือไง?” จางเซวียนถาม


หากสวรรค์ถูกแบ่งแยกออกจากกัน เป็นไปได้ไหมหากพวกเขาจะรวบรวมแต่ละส่วนเข้าด้วยกันและทำให้ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ?


“ไม่ได้อย่างแน่นอน! สวรรค์เป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกแบ่งแยก มันคงสภาพอยู่ได้ด้วยการผสมกลมกลืนอันแสนละเอียดอ่อน วิธีเดียวที่จะรักษาความมั่นคงของของมันไว้ได้ก็คือรวบรวมมันเข้าด้วยกันให้กลับสู่สภาพเดิม การควบคุมสวรรค์จากแต่ละเศษเสี้ยวที่แยกจากกันนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้” ปรมาจารย์ขงตอบ “ก็เหมือนกับชุดฟันเฟืองหลายอันที่อยู่ในระบบหนึ่งๆนั่นแหละ มันไม่อาจทำประโยชน์ได้หากเราหยิบออกมาใช้งานทีละชิ้น”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพลันนึกอะไรได้บางอย่าง เขาถามต่อ “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หลัวลั่วชิงก็คงรู้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เราอยู่ด้วยกันในทวีปแห่งปรมาจารย์แล้วว่าผมควบคุมเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์ไว้ แล้วทำไมเธอถึงไม่ฆ่าผม? คุณก็เหมือนกัน, ปรมาจารย์ขง ถ้าคุณอยากฆ่าผม ฆ่าเสียตรงนี้เลยก็ได้ แล้วนำเศษเสี้ยวของสวรรค์ที่ผมมีอยู่ออกไป ทำแบบนั้น…คุณจะไม่ได้ประโยชน์หรือ?”


จางเซวียนไม่ได้โอหังจนจะคิดว่าตัวเขามีความสำคัญมากกว่าสรวงสวรรค์ทั้งหมด ถ้าการสังหารเขาจะช่วยรักษาสรวงสวรรค์ไว้ได้ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงถึงไม่ทำแบบนั้น


อีกอย่าง ตอนที่เขาพบเธอเป็นครั้งแรกในทวีปแห่งปรมาจารย์ ตัวเขาก็เป็นแค่นักรบธรรมดาคนหนึ่งจากโลกเบื้องล่าง แถมทั้งคู่ยังไม่ได้มีความรู้สึกใดๆต่อกัน จึงไม่มีเหตุผลเลยที่หลัวลั่วชิงไม่จัดการเขาตั้งแต่ตอนนั้น


ส่วนปรมาจารย์ขง…ถ้าอีกฝ่ายได้หอสมุดเทียบฟ้าไป ก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เพิ่มโอกาสให้เขาพัฒนาตัวเองไปจนเหนือชั้นกว่าหลัวลั่วชิงและเอาชนะเธอได้ในการดวลที่ใกล้เข้ามาทุกที แล้วทำไมเขาถึงไม่ทำ?


ยังไม่ต้องพูดถึงการช่วยชีวิตสรวงสวรรค์ แค่การได้มีอำนาจควบคุมสรวงสวรรค์ก็หมายถึงความเป็นสุดยอดของโลกใบนี้แล้ว นั่นคือความเย้ายวนใจครั้งใหญ่ที่ไม่น่ามีใครต้านทานได้


“ฆ่าคุณ?” ปรมาจารย์ขงมองจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเป็นประกายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถ้าผมจะช่วยทั้งสรวงสวรรค์ได้ด้วยการฆ่าคุณ ผมก็คงยอมเป็นคนบาปและทำแบบนั้นไปแล้ว แต่มันไม่ได้ผลหรอก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ตอนนี้”


“เพราะอะไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม


เขาไม่เข้าใจว่าตัวเขากับหลัวลั่วชิงต่างกันตรงไหน


ทั้งคู่มีเศษเสี้ยวสวรรค์อยู่ในครอบครองเหมือนกัน แล้วทำไมเศษเสี้ยวสวรรค์ที่เขามีถึงยังไม่ถูกฉกฉวยไป? เพราะเขาอ่อนแอเกินไปใช่ไหม?


“คุณยังไม่ได้เป็นจอมราชันย์เหมือนพวกเรา” ปรมาจารย์ขงตอบ “ต่อเมื่อสำเร็จวรยุทธระดับนั้น เศษเสี้ยวของสวรรค์ในตัวคุณถึงจะเติบโตและมีอำนาจเต็มที่ ไม่อย่างนั้น อำนาจและพละกำลังที่ไม่สมดุลจะทำให้การหลอมรวม 2 เสี้ยวเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ และความกลมกลืนที่เคยมีอยู่ก็อาจพังทลาย”


จางเซวียนพยักหน้า


หากจะมองเศษเสี้ยวแต่ละส่วนของสวรรค์เป็นอำนาจที่แยกจากกัน เรื่องสำคัญสูงสุดก็คือการปรับ อำนาจนั้นให้สมดุลก่อนจะผสมผสานมันเข้าด้วยกัน ไม่อย่างนั้น อำนาจหนึ่งก็จะกดข่มอีกอำนาจหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและไม่ผสมกลมกลืน


ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น แทนที่จะได้ช่วยโลกใบนี้ไว้ ก็อาจลงเอยด้วยการที่เขาทำร้ายทุกคน


“สรวงสวรรค์กับสวรรค์?” จางเซวียนพึมพำอย่างขมขื่น


ไม่แปลกอะไรที่ทุกคนพูดกันว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงการดวลแบบชี้เป็นชี้ตายครั้งนี้ได้ ตอนนี้เขาพอดูออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


นี่คือชะตากรรมที่ถูกลิขิตให้พวกเขาทั้งสามคน หากพยายามบ่ายเบี่ยงชะตากรรมนี้ ก็หมายถึงจุดจบของโลก


“ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆหรือ?” จางเซวียนถาม

 

 

 


ตอนที่ 2303 คืนวันพระจันทร์เต็มดวง

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขารู้สึกภาคภูมิใจที่มีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่กับตัว แต่มันกลับกลายเป็นเครื่องพันธนาการแทนที่จะเป็นพร


“ผมคิดหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเกิดความคิดหนึ่งขึ้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้การได้จริงหรือไม่ คุณน่ะโชคดีที่เลือกเดินในเส้นทางที่ต่างจากผม บางทีคุณอาจประสบความสำเร็จในแบบที่ผมไม่เคยทำได้” ปรมาจารย์ขงพูดขณะยิ้มออกมา


ดูเหมือนเขาพบเห็นความเป็นความตายมามากจนไม่สะดุ้งสะเทือนแล้ว


“เส้นทางที่ต่างจากคุณ?” จางเซวียนทวนคำ


“ใช่ ความลับของสวรรค์น่ะไม่อาจถูกเปิดเผย เพราะไม่อย่างนั้น อาจนำไปสู่ผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ที่จะตามมา ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับคุณ…ถึงอย่างไรจอมราชันย์หลินชีกับผมก็ทำในสิ่งที่เราต้องทำแล้ว ส่วนคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับคุณ” ปรมาจารย์ขงพูด


เห็นอีกฝ่ายไม่เต็มใจพูดเรื่องนี้ จางเซวียนรู้ดีว่าซักไซ้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น “ปรมาจารย์ขง, ผมทำความเข้าใจมลทินสวรรค์ได้สำเร็จ ขณะที่คุณครอบครองลิขิตสวรรค์ แล้วคุณรู้ไหมว่าเศษเสี้ยวสวรรค์ของจอมราชันย์หลินชีคืออะไร?”


นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด


หากสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แล้วส่วนของหลัวลั่วชิงคืออะไร?


ทำไมหลัวลั่วชิงถึงสัมผัสสิ่งที่เขามีอยู่ได้ ขณะที่เขาไม่รู้อะไรเลย?


“ผมก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน!” ปรมาจารย์ขงตอบพร้อมกับส่ายหน้า


“คุณก็ไม่รู้หรือ?” จางเซวียนชะงัก


เพื่อเสาะหาข้อมูลของปรมาจารย์ขง หลัวลั่วชิงลงทุนเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อตรวจสอบความสามารถของเขา แต่ปรมาจารย์ขงกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสามารถที่หลัวลั่วชิงครอบครองคืออะไร


แล้วเขาจะมีอะไรไปเอาชนะการดวลได้?


“ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ผมใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำความเข้าใจธรรมชาติของสวรรค์และสรวงสวรรค์ และพบว่าแม้มันจะมีสภาพแร้นแค้น แต่ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยที่ยังไม่พังทลายอย่างสิ้นเชิง ราวกับมีพละกำลังบางอย่างคอยทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อปกป้องบรรดาสิ่งมีชีวิตในสรวงสวรรค์ไว้” ปรมาจารย์ขงโพล่งออกมา


มีหลายเรื่องที่เขาไม่อาจบอกเล่าให้เหล่าศิษย์สายตรงของเขารับรู้ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับ 9 จอมราชันย์ก็ไม่ค่อยดีนัก ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่าคนเดียวที่เขาพอจะพูดคุยได้ทุกเรื่องก็คือจางเซวียน


“คุณกำลังจะบอกว่าพละกำลังบางอย่างที่ทำงานอยู่เบื้องหลังคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิงใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น…เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเธอครอบครองความสามารถบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสวรรค์?” จางเซวียนถาม


แม้ธรรมชาติของสรวงสวรรค์จะไม่ใช่สิ่งที่ยอมอ่อนข้อหรือประนีประนอมให้ใคร แต่มันก็ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนเติบโตอยู่ในนั้นได้


ยกตัวอย่างสภาพแวดล้อมของโลกใบเก่าของเขา มันถูกออกแบบมาให้ช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิตจากภัยอันตรายส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชั้นโอโซนหรือแร่ธาตุที่ก่อเกิดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ


นี่อาจเป็นวิธีที่สวรรค์ใช้ปกป้องโลกมนุษย์


เป็นไปได้ไหมว่ามันคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของสรวงสวรรค์?


“ก็เป็นไปได้ แต่สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจกลับแตกต่างออกไป” ปรมาจารย์ขงพูดพร้อมกับส่ายหน้า “ผมเชื่อว่าความสามารถของจอมราชันย์หลินชีจะต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับธรรมชาติของสวรรค์ เพราะเหตุนั้น บรรดาผู้คนในน่านฟ้าเสรีจึงให้ความสำคัญกับอิสระและการมีอำนาจสิทธิ์ขาดเป็นของตัวเอง ส่วนการปกป้องสวรรค์ ผมคิดว่ามันคือแนวคิดหนึ่งที่อยู่ภายในธรรมชาติของสวรรค์มากกว่า”


“ผมเข้าใจ…” จางเซวียนพยักหน้า


“แต่ทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของผมในตอนนี้ คงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อค้นหาความจริง” ปรมาจารย์ขงพูดยิ้มๆ


จางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “คุณมั่นใจแค่ไหนเรื่องการดวล?”


“ก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่นั่นแหละ จะเอาชนะผมก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะ” ปรมาจารย์ขงตอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความมั่นใจล้ำลึก


เขาฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆและดั้นด้นมาจนถึงที่นี่ ได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์และหอนิรันดร์ ทั้งยังท้าทายแปดจอมราชันย์ด้วยมือเปล่า ทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วโลก


เขามั่นใจว่าต่อให้มีอุปสรรคใดขวางทาง แต่ในที่สุดก็จะต้องก้าวข้ามมันไปจนได้


ได้ฟังแบบนี้ จางเซวียนทำได้แค่ถอนหายใจอีกรอบ


ไม่มีทางหลุดพ้นปัญหานี้ไปได้เลย


หากปรมาจารย์ขงชนะ นั่นย่อมหมายถึงความตายของหลัวลั่วชิง หรืออาจเป็นไปในทางกลับกันก็ได้ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงมัน


ซึ่งหลังจากฟังคำอธิบายของปรมาจารย์ขง จางเซวียนก็รู้แล้วว่าต่อให้เขาดิ้นรนยับยั้งการดวลครั้งนี้ต่อไปก็มีแต่เปล่าประโยชน์


สงครามสวรรค์คือการต่อสู้ที่พวกเขาไม่อาจหนีพ้น มันคือความรับผิดชอบและหน้าที่ที่จะต้องเฝ้าดูจนการต่อสู้สิ้นสุด!


“ไม่ต้องห่วงหรอก ผม…”


รู้สึกได้ถึงความกังวลของจางเซวียน ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆ แต่ขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในอากาศก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที จากนั้นก็เริ่มรุนแรงเกรี้ยวกราดอย่างฉับพลันจนน่าสะพรึง


ในเวลาเดียวกัน ทั้งโลกก็สั่นไม่หยุด


ทั้งจางเซวียนกับปรมาจารย์ขงรีบเดินออกจากห้องและเงยหน้ามองท้องฟ้า พวกเขาเห็นพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้ามืดมิด แสงสีเงินเจิดจ้าของมันอาบทั่วพื้นดิน


“ท่านอาจารย์…”


บรรดาศิษย์สายตรงที่ปรมาจารย์ขงสั่งให้ออกไปก่อนหน้านี้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขามองท่านอาจารย์อย่างร้อนรนด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


คืนวันพระจันทร์เต็มดวงมาถึงแล้ว การต่อสู้กำลังจะเริ่มต้น


“พวกเราเดินทางไกลแสนไกลมาด้วยกัน และพวกคุณก็รู้นิสัยของผมดี ชีวิตและความตายคือส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของเรา เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง แม้เราจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ใบไม้ย่อมร่วงหล่น ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง แต่นั่นแหละ ทุกอย่างล้วนเป็นการจัดเตรียมเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่” ปรมาจารย์ขงพูด “ถ้าการดวลสิ้นสุดลงโดยผมไม่ได้กลับมา พวกคุณยอมรับจางเซวียนเป็นผู้นำคนใหม่นะ เมื่อมีเขาอยู่ด้วย พวกคุณจะปลอดภัยจากอันตราย”


“รับทราบ” ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงตอบรับ


“ผมนี่นะ? ทุกคนล้วนแต่เป็นศิษย์พี่ของผม ผมจะรับหน้าที่นี้ได้อย่างไร?” จางเซวียนผงะ


ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง หรือนักปราชญ์โบราณชิวอู๋…


ทุกคนล้วนมีอาวุโสกว่าเขา และในอดีตเขาก็เคยได้รับประโยชน์มากมายจากคำชี้แนะของคนเหล่านี้


หากจะขึ้นเป็นผู้นำ ย่อมไม่เหมาะสมแน่


“ในฐานะผู้ครอบครองเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์ คุณควรมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้นะ” ปรมาจารย์ขงพูดพร้อมกับโบกมือ


“แต่พละกำลังของผมยังอ่อนด้อย…”


ตอนนี้จางเซวียนเป็นแค่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นต้นเท่านั้น และคงอีกนานกว่าจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด ส่วนราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยิ่งไม่ต้องพูดถึง


ส่วนนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับคนอื่นๆก็ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าเขา…เขาอดรู้สึกกดดันไม่ได้หากจะต้องเป็นผู้นำของคนเหล่านี้


“พละกำลังของคุณจะคงอยู่อย่างนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น คุณทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธที่เหนือกว่าสวรรค์ได้แล้ว ดังนั้น ไม่ช้าไม่นานคุณจะไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก” ปรมาจารย์ขงพูดยิ้มๆ “อย่ากังวลให้มากไปน่ะ ผมก็แค่พูดเผื่อไว้ในกรณีเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากผมเอาชีวิตรอดกลับมาได้ การดวลครั้งสุดท้ายก็จะเป็นการดวลระหว่างคุณกับผม…”


จางเซวียนถึงกับใบ้กินก่อนจะพยักหน้าด้วยอาการถอดใจ “เอาเถอะ ผมจะดูแลสภาปรมาจารย์ให้ดี”


คงไม่เข้าท่าหากเขาจะปฏิเสธคำขอของใครคนหนึ่งที่อาจเอาชีวิตไปทิ้งในการดวลก็ได้


ปรมาจารย์ขงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ เขาพูดต่อ “การดวลกำลังจะเริ่มแล้ว ผมจะไปล่ะนะ ลาก่อน…”


ฟึ่บ!


ทันทีที่พูดจบ ปรมาจารย์ขงก็กระโจนขึ้นสู่กลางอากาศและมุ่งหน้าสู่พระจันทร์ที่เห็นอยู่เต็มดวง


“ปรมาจารย์ขง พาผมไปด้วย!” จางเซวียนรีบตะโกน


นี่คือการดวลระหว่างปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง ต่อให้เขายับยั้งมันไม่ได้ แต่ก็อยากเห็นทุกอย่างกับตา


แต่ปรมาจารย์ขงก็หายวับไปแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเขา


“ปรมาจารย์จาง การเฝ้าดูการดวลของ 2 จอมราชันย์น่ะอันตรายมากนะ คลื่นความสั่นสะเทือนของการปะทะอาจคร่าชีวิตคุณได้เลยทีเดียว และหากบุ่มบ่ามเข้าไปโดยไม่ระวังตัวก็อาจได้รับบาดเจ็บ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด


จางเซวียนได้แต่ส่ายหัวกับคำเตือนนั้น


มีหรือที่เขาจะไม่รู้?


แต่นี่คือการต่อสู้ของปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้!


จางเซวียนโผขึ้นสู่กลางอากาศและใช้ทักษะการบินของนักรบระดับราชันย์เทพเจ้า แต่ก็รู้ทันทีว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขายังช้าเกินไป ซึ่งกว่าจะถึงสนามประลอง การดวลก็คงเสร็จสิ้นแล้ว


“นายน้อย ผมมาช้าไปหรือเปล่า?”


ขณะที่จางเซวียนกำลังกระวนกระวาย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง เมื่อหันกลับไป เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งมองมาพร้อมกับยิ้มให้


จางเซวียนตาโตเมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้น เขาอุทานอย่างร้อนใจ “แกมาได้เวลาพอดี! พาฉันไปที่สนามประลองเดี๋ยวนี้!”


อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไก่น้อยที่เพิ่งเสร็จสิ้นการขัดเกลาวรยุทธในมิติเบื้องบน


จางเซวียนเพิ่งกลับถึงสรวงสวรรค์ได้ราวครึ่งวัน แต่สำหรับมิติเบื้องบน เวลาที่นั่นผ่านไปกว่า 2 เดือนแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอให้ไก่น้อยขัดเกลาวรยุทธและเรียกความแข็งแกร่งสูงสุดกลับคืนมา


“ไปกันเถอะ!”


ไก่น้อยพยักหน้าและเคลื่อนตัวผ่านมิติไปอย่างลื่นไหลพร้อมกับดึงจางเซวียนไปด้วย ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็หายวับไป


“อันตรายเกินไปนะที่พวกเขาจะไปเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่าง 2 จอมราชันย์!”


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกำลังจะยับยั้งทั้งสองไว้ แต่ก็มาไม่ทัน จึงได้แต่ขมวดคิ้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น


ส่วนหลัวฉีฉีก็หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกถ้าชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่นี้ไปกับเขาด้วย”


“เขาคือ…” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนหันกลับมามองหลัวฉีฉี แต่พูดไปได้เพียงครึ่งประโยคก็พลันนึกบางอย่างได้ เขาหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ “คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่าย…คือจอมราชันย์อมตะหรอกนะ?”


ท่านอาจารย์ของเขาสู้กับจอมราชันย์เกือบหมดทั้ง 9 น่านฟ้าแล้ว นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจึงจดจำคนเหล่านั้นได้ ผู้ที่เขายังไม่เคยพบก็มีแค่จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีกับจอมราชันย์อมตะเท่านั้น


หลัวฉีฉีพยักหน้า


“แต่ชายหนุ่มคนเมื่อครู่นี้เรียกจางเซวียนว่า…นายน้อย”


บรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงถึงกับอึ้งตะลึง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)