อัจฉริยะสมองเพชร 2294-2297

ตอนที่ 2294 ความรู้สึก

 

เขานั่งเงียบๆอยู่ที่พื้น พยายามสุดขีดที่จะนำตัวเองไปอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับเซียนดาบชิงเหมิงและพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของทั้งคู่ แต่จิตใจของเขาก็ไม่ยอมเชื่อฟังเอาเสียเลย


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เงยหน้ามองหลัวฉีฉีและตั้งคำถาม “บอกผมหน่อยสิ คุณคิดว่าความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้นเป็นอย่างไร?”


หลัวฉีฉีชะงักกับคำถามปุบปับของจางเซวียน เธอหน้าแดงก่ำขณะตอบว่า “ฉัน…ฉันก็บอกอะไรไม่ได้เหมือนกัน ฉันเดาว่าคงมีแต่คนที่มีลูกเท่านั้นแหละถึงจะเข้าใจความรู้สึกพวกนั้น…”


ความรู้สึกคือประสบการณ์ ไม่ใช่การอธิบาย


พวกเขาอายุเพียง 20 ต้นๆ และยังไม่มีลูก เมื่อไม่ได้อยู่ในสถานภาพนั้นด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกต่างๆได้


เห็นหลัวฉีฉีเข้าใจเขาผิด จางเซวียนหัวอย่างกระอักกระอ่วน เขากำลังจะอธิบายเหตุผลที่ตั้งคำถามแบบนี้ ก็พอดีกับที่ไก่น้อยโยกหัวไปมาขณะกระพือปีกเล็กจ้อยของมัน “มีลูกสักคนก็ไม่ได้ยากอะไรนี่? ตรงนี้ก็ไม่มีใคร คุณเป็นผู้ชาย ส่วนเธอก็เป็นผู้หญิง แถมร่างกายของคุณทั้งคู่ก็ยังใช้การได้ดี มีลูกสักคนก็ได้ ไม่ต้องห่วง ผมจะหลับตาปี๋และไม่แอบดู…”


“….” จางเซวียนอ้าปากค้าง


เขาน่าจะจับเจ้าไก่นี่ทอดกินเสียตั้งนานแล้ว!


จางเซวียนรีบหันไปมองหลัวฉีฉี เห็นหน้าของเธอแดงก่ำจนแทบระเบิด


เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “ผมไม่ได้แกล้งคุณนะ ที่ถามแบบนี้ก็เพื่อจะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าและพาพวกเราทะลุผ่านกำแพงสีเทานี้ไปให้ได้!”


“คุณหมายความว่าอย่างไร? คิดว่าผมพูดเล่นหรือ? คุณจะเข้าใจความรู้สึกของการเป็นพ่อแม่ได้อย่างไรถ้ายังไม่มีลูกสักคน?” ไก่น้อยสวนกลับอย่างหงุดหงิด “ในเมื่อคุณทั้งคู่ก็อยู่ตรงนี้ด้วยกันแล้ว ทำไมไม่มีลูกด้วยกันล่ะ? มีลูกเมื่อไหร่ ก็จะเข้าใจความรู้สึกที่มาพร้อมกับการเป็นพ่อแม่เองนั่นแหละ!”


เห็นเจ้าไก่บ้ายังคงพูดจาหน้าไม่อาย จางเซวียนเตะมันกระเด็นก่อนจะคำรามใส่ “แกจะพูดอะไรให้มันดีๆหน่อยได้ไหม?”


ต่อให้พวกเขาทำแบบนั้นจริงๆ ก็ยังต้องใช้เวลาตั้งท้องอีก 10 เดือนและเลี้ยงดูอีกหลายปีกว่าจะรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของการเป็นพ่อแม่


แต่เขาไม่มีเวลามากขนาดนั้น!


“นี่ ผมก็พูดดีแล้วนะ ถ้าคุณห่วงว่าจะมีเวลาไม่พอ หรือไม่อยากแบกรับภาระผูกพันที่จะตามมาล่ะก็ ทำในฝันเอาก็ได้ คุณจะมีลูกได้มากมายตามที่ต้องการ ขอแค่สร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมก็พอ” ไก่น้อยตอบ


จอมราชันย์สามารถใช้ค่ายกลสร้างความฝันเสมือนจริงได้


ค่ายกลชนิดนี้จะทำให้ผู้นั้นตกอยู่ในความฝันขณะที่เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก ชั่วชีวิตของคนๆหนึ่งในความฝันอาจใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น


จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


พูดกันตามตรง นี่คือทางออกที่พอรับได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นแค่ความฝัน ถือเอาเป็นจริงเป็นจังไม่ได้อยู่แล้ว


แต่เขาเพิ่งอายุ 20 กว่าปีเท่านั้น หากต้องใช้เวลาชั่วชีวิตในความฝัน กว่าจะกลับมาก็คงกลายเป็นคนละคนไปแล้ว จิตวิญญาณเยาว์วัยและความเลือดร้อนคงสูญหายไปหมด


อีกอย่าง ทันทีที่เขามีภรรยาและลูกในความฝัน ต่อให้เป็นแค่ความฝันก็เถอะ ย่อมไม่ยุติธรรมกับหลัวลั่วชิงแน่


จางเซวียนจึงส่ายหน้าและถามอีก “แกมีความคิดอื่นไหม?”


ไก่น้อยเดาะลิ้นอย่างรำคาญใจก่อนจะตอบว่า “น่ารำคาญเสียจริง เอาเถอะ คุณอาจไม่มีลูก แต่ก็มีศิษย์สายตรงตั้งหลายคน อย่างที่ผู้คนเขาว่ากัน เป็นอาจารย์วันหนึ่ง, เป็นบิดาชั่วชีวิต ความรู้สึกที่คุณมีให้พวกเขาคงเทียบได้กับพ่อแม่ของพวกเขานั่นแหละ เพราะฉะนั้น ทำความเข้าใจจากมุมมองนี้ก็คงได้”


มันทนความซื่อบื้อของเจ้านายไม่ได้จริงๆ


ทั้งที่มีสาวสวยขนาดนั้นพร้อมอุทิศตัวให้ แต่ก็ไม่ยอมคว้าโอกาสไว้ สมควรแล้วล่ะที่จะอยู่เป็นโสด!


เอ…เดี๋ยวก่อน เราก็เป็นไก่โสดเหมือนกันนี่นา อย่างน้อยที่สุด หมอนี่ก็ยังมีใครบางคนมาหลงรัก แต่เรา…กลับไม่มีแม้ไก่หรือเป็ดสักตัวมาคลั่งไคล้…


ไก่น้อยมุดดินอย่างขัดใจ


ระหว่างนั้น จางเซวียนก็พลันนึกบางอย่างได้ “เป็นอาจารย์วันหนึ่ง, เป็นบิดาชั่วชีวิต…”


เขาไม่อาจทำความเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่เพราะตัวเขาไม่มีลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเอาใจใส่ และดูแลลูกศิษย์ของเขาอย่างดี


จางเซวียนยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กๆเหล่านั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น และพร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างทุกคนอย่างไม่ลังเลหากมีใครกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาเปรียบพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีสักวินาทีที่เขาจะคิดว่าตัวเองทุ่มเทชีวิตให้เด็กพวกนั้นมากเกินไป


กลับตรงกันข้าม ขอแค่ลูกศิษย์ของเขาไปได้ดี เขาก็เต็มตื้นและพออกพอใจแล้ว


นี่คือความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกหรือเปล่า?


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด รอยยิ้มของเซียนดาบชิงเหมิงก็ปรากฏในหัวสมอง


มีหลายครั้งที่เซียนดาบชิงเหมิงใช้ตัวเองเป็นโล่เพื่อปกป้องเขาจากอันตราย แม้จะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าเขาก็ตาม ไม่มีสิ่งใดสั่นคลอนความตั้งใจของทั้งคู่ที่จะปกป้องเขาให้ปลอดภัย และทั้งคู่ก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเขา


นั่นคือความรู้สึกของพ่อแม่…ความรักที่ล้ำลึกและสูงส่งที่สุดในโลก


พ่อแม่บ่มเพาะดูแลลูกอย่างทะนุถนอมและไม่คาดหวังสิ่งใดกลับคืน


ต้นหญ้าที่สูงเพียง 1 นิ้วจะตอบแทนความอบอุ่นของแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิได้อย่างไร?


หัวใจของจางเซวียนสะท้านสะเทือนขณะที่พลังปราณไหลเวียนไปทั่วพร้อมกับความคิดของเขา ในเวลาเดียวกัน กระแสดาบฉีก็เริ่มก่อตัวและโอบล้อมทั่วร่างของจางเซวียน ตัดมิติที่บิดเบี้ยวให้ขาดจากกัน


“เขากำลังหลอมรวมเทคนิควรยุทธกับศิลปะเพลงดาบเข้าด้วยกันหรือ?” ไก่น้อยพึมพำอย่างสงสัย


เพราะติดตามนายท่านมาระยะหนึ่งแล้ว มันรู้ว่านายท่านมักทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธก่อนจะคิดค้นศิลปะเพลงดาบที่เหมาะสมออกมา แต่คราวนี้เขาหลอมรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน


สายลมปะทะต้นไม้ที่ดื้อรั้นอย่างไม่หยุดหย่อน บุตรชายคนหนึ่งเสาะแสวงหาการเป็นลูกกตัญญู แต่กาลเวลาก็หลุดรอดนิ้วมือของเขาไป..


กระแสดาบฉีของจางเซวียนมีทั้งความผิดหวังและความหม่นหมองจากการรอคอยอันยาวนาน


ในชีวิตเก่าของเขา พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็กมาก จึงไม่มีโอกาสได้พบทั้งคู่ ส่วนในชีวิตปัจจุบัน เขาก็ถูกกลุ้มรุมจากเหตุการณ์รอบตัวเสียจนช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพ่อแม่ก็มีน้อยมาก


เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้กระจ่างแจ้งว่าการเป็นลูกชายนั้นเป็นอย่างไร แต่พอรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่ท่านพ่อท่านแม่มีให้เขา


ก็ไม่ต่างกับความรู้สึกที่เขามีต่อบรรดาลูกศิษย์


ศิษย์สายตรงทั้ง 11 คนของเขากระจัดกระจายไปทั่วทั้ง 9 น่านฟ้า และคงจะเป็นการโกหกหากจะบอกว่าเขาไม่เป็นห่วงเป็นใยเด็กๆเหล่านั้น ด้วยมุมมองนี้ จางเซวียนพอเข้าใจแล้วว่าเซียนดาบชิงเหมิงทั้งเป็นห่วงและขัดอกขัดใจในตัวเขาอย่างไร


ทั้งคู่ไม่ได้อยากรั้งตัวเขาไว้หรือตัดรอนอนาคต แต่ก็ไม่อาจทนเห็นเขาต้องฝ่าฟันอันตรายต่างๆครั้งแล้วครั้งเล่า


นี่คือความรู้สึกที่ขัดแย้งกันของคนเป็นพ่อแม่ เหมือนที่เขารู้สึกกับบรรดาลูกศิษย์!


ฟึ่บ!


จางเซวียนนำราชายาเม็ดออกมาและกลืนลงไปโดยไม่ลังเล


ฤทธิ์ยาปริมาณมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา ด้วยการไหลเวียนของพลังงานจากยา จางเซวียนขัดเกลามันให้เป็นพลังปราณของเวทนาสวรรค์แล้วเก็บไว้ในจุดตันเถียน


ราชายาเม็ดมีพลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุดซึ่งอยู่ภายในหญ้าราชันย์เทพเจ้า มีพละกำลังพอๆกับนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งเลยทีเดียว จุดตันเถียนของเขาที่เคยว่างเปล่าเพราะถูกใช้พลังปราณเทียบฟ้าไปจนหมดกลับเต็มเปี่ยมอีกครั้งด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


ขณะที่จุดตันเถียนของเขาได้รับการเติมเต็ม จางเซวียนก็ก้าวข้ามด่านคอขวดในวรยุทธของพลังปราณและเข้าถึงความเป็นราชันย์เทพเจ้า


รังสีของเขาพุ่งฉิวราวกับมังกรที่ผงาดขึ้นจากท้องทะเล แปรสภาพเป็นบางสิ่งที่ล้ำลึกและแข็งแกร่งกว่าเดิม


ครู่ต่อมา การไหลบ่าของพลังงานของเขาก็ถึงจุดสิ้นสุด


จางเซวียนระบายลมหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นยืน


เขาฝ่าด่านวรยุทธเป็นราชันย์เทพเจ้าสำเร็จแล้ว แต่ยังเป็นแค่ขั้นต้นเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้เขาใช้พลังงานมากเกินไป และพลังปราณของเวทนาสวรรค์ก็ต้องการพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์มาก หากเขาอยากสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด ก็ต้องใช้ยาเม็ดระดับราชายาเม็ดในจำนวนอีกไม่น้อย


การที่ราชายาเม็ดเติมเต็มจุดตันเถียนอันใหญ่โตของเขาและทำให้เขายกระดับวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จคือหลักฐานที่บอกชัดถึงพลังงานมหาศาลของมัน


เราจะเก็บราชายาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธที่เหลืออีก 3 เม็ดไว้ให้ท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉาง จางเซวียนคิดขณะยิ้มออกมา


ถ้าเขากินมันเข้าไป ก็จะยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีก แต่ผลที่ได้คงไม่ค่อยเด่นชัด อาจทำไม่ได้แม้แต่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นกลางด้วยซ้ำ ดังนั้น เก็บไว้ให้ท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางใช้ประโยชน์จะดีกว่า


จางเซวียนสำรวจการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาที่เป็นผลจากการฝ่าด่านวรยุทธ และพบว่าพลังปราณของเขาบริสุทธิ์กว่าเดิม ในเวลาเดียวกัน ปริมาณของพลังปราณก็เพิ่มขึ้นอีกมาก


ต่อไปเขาคงไม่ต้องห่วงว่าพลังปราณจะถูกใช้หมดอย่างรวดเร็วอีกแล้ว


“ไปกันเถอะ!”


รู้ดีว่าเมื่อฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก จางเซวียนชักดาบราชันย์เทพเจ้าออกมาแล้วกวัดแกว่งมันเบาๆ


ดาบนั้นปล่อยกระแสดาบฉีออกมาหลายสาย ตรงเข้าโอบล้อมร่างของพวกเขาไว้และก่อเกิดเป็นปราการชั้นดี


นี่คือศิลปะเพลงดาบระดับราชันย์เทพเจ้าที่จางเซวียนเพิ่งคิดค้นได้จากการทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ – ศรัทธากตัญญู


ศิลปะเพลงดาบที่มีทั้งอารมณ์ของความเศร้าหมองและการรอคอย


ต่อให้วรยุทธของเขาสูงส่ง แล้วอย่างไร? หรือต่อให้เขาร่ำรวยล้นฟ้า แล้วอย่างไรต่อ?


การจัดลำดับความสำคัญของพ่อแม่ไว้เป็นที่ 2 เพื่อใช้เวลาไขว่คว้าสิ่งอื่นนั้นทำได้ง่าย แต่เมื่อในที่สุดเขานึกอยากกลับไปอยู่กับทั้งคู่ ก็คงสายไปเสียแล้ว


มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ มักผัดวันประกันพรุ่งในสิ่งที่ควรทำจนกระทั่งสาย จากนั้นก็โทษตัวเอง เศร้าโศกเสียใจที่ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่พวกเขามี


…..


ฟึ่บ!


ไก่น้อยกับหลัวฉีฉีเข้าสู่ปราการของกระแสดาบฉีด้วย แล้วทั้ง 3 ก็ตั้งต้นเดินทางทะลุกำแพงสีเทา


…..


คลื่นพลังงานสีเทาที่อยู่ตรงหน้าถูกเจตจำนงเพลงดาบของจางเซวียนเฉือนเป็นชิ้นๆ ทำให้พวกเขาเดินต่อไปได้โดยไม่มีปัญหาใด


ทั้งสามเดินไปอีกราว 1 ชั่วโมง ก่อนจะมาถึงปลายสุดอีกด้านหนึ่งของกำแพงสีเทา แล้วทุกคนก็หยุดกึก

 

 

 


ตอนที่ 2295 ฉันเคยมาที่นี่

 

พวกเขามาสุดทางแล้ว ไม่มีที่ให้ไปต่อ มิติที่อยู่ตรงหน้าถูกปิดตาย


“ผมจะดูสักหน่อยว่าจะลงไปยังมิติเบื้องบนจากที่นี่ได้หรือเปล่า” จางเซวียนพูดขณะนำตราสุดยอดจอมราชันย์ออกมา


เขาถ่ายทอดเจตจำนงเข้าไปในนั้น แล้วอักษรจารึกที่ถูกสลักไว้บนตราก็พลันเรืองแสงเจิดจ้า พลังงานพุ่งเข้าสู่ตรานั้นอย่างรวดเร็ว


“ใช้ได้นี่!” จางเซวียนอุทานด้วยความดีใจ


เขารู้สึกได้ทันทีถึงการตอบรับของตู้ชิงหย่วนจากมิติเบื้องบน


“ให้ตู้ชิงหย่วนประกอบพิธีกรรม ผมจะลงไปที่นั่น”


จางเซวียนสั่งการไปยังอีกด้านหนึ่งโดยไม่ลังเล


มิติเบื้องบน เดี๋ยวเจอกัน!


ไม่ช้า ตราสุดยอดจอมราชันย์ก็ปล่อยพลังพิเศษออกมา ดูคล้ายกับสัญญาณไฟที่ช่วยนำทางไปสู่ที่หมาย


เราเข้าใจแล้ว…สรวงสวรรค์กับมิติเบื้องบนถูกแยกออกจากกันด้วยมิติที่บิดเบี้ยวและวุ่นวายสับสน ทำให้ผู้คนไม่อาจเดินทางกลับไปกลับมาได้ พิธีกรรมของตู้ชิงหย่วนไม่ได้มีเพื่อส่งตัวบุคคลจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่ง แต่เพื่อจัดหาสัญญาณนำทางที่จะทำให้ผู้นั้นไม่หลงออกนอกเส้นทางหรือผิดเพี้ยนไป…


จางเซวียนพยักหน้าเมื่อเข้าใจ เขาเคยคิดว่าพิธีกรรมคงช่วยให้ใครคนหนึ่งทะลุมิติตรงไปยังมิติเบื้องบนได้ทันที แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่


การทะลุมิติระหว่างโลกแต่ละใบมีความยากเย็นแสนสาหัส ถึงขนาดที่แม้ตราสุดยอดจอมราชันย์ของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ยังทำไม่ได้


แต่ต่อให้เรามีสัญญาณนำทาง ก็จะเดินทางไปที่นั่นได้จริงๆหรือ? แล้วปราการแห่งมิติล่ะ?


จางเซวียนสงสัย


สีหน้าของเขายังคงเคร่งเครียด เขาเดินตรงเข้าหามิติตรงหน้าที่ถูกสกัดกั้นไว้ รวบรวมพลังปราณทั้งหมดเข้าสู่ดาบราชันย์เทพเจ้า จากนั้นก็พยายามฝ่าฟันมิติดังกล่าวให้เกิดรอยแยก


จางเซวียนประหลาดใจเมื่อพบว่าแม้จะต้องใช้แรงไม่น้อย แต่เขาก็สร้างช่องโหว่เล็กๆในมิติที่ถูก สกัดกั้นได้ เขารีบร้องเรียกหลัวฉีฉีกับไก่น้อยให้มามุดรอยแยกออกไปด้วยกัน


เราเคยคิดว่าการฝ่าปราการแห่งมิติเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่บางทีกุญแจอาจไม่ได้อยู่ที่การทะลุมิติผ่านไป แต่คือการใช้พละกำลังฝ่ามันโดยตรง


สิ่งนี้ก็เหมือนกับความง่ายของการฝ่าปราการแห่งมิติเมื่อคุณตั้งใจเดินทางไปยังโลกใบที่สูงขึ้น การขึ้นไปนั้นง่ายกว่าการพยายามลงมายังโลกเบื้องล่าง


นี่คงเป็นการออกแบบที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้เพื่อรักษาความสมดุลของโลก


ถัดจากมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้คือมิติสับสนวุ่นวายที่เต็มไปด้วยคลื่นความสั่นสะเทือน คลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติพุ่งเข้าใส่ปราการที่จางเซวียนติดตั้งไว้รอบตัวอย่างไม่ลดละ พยายามจะทำลายมันให้ได้


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าพลังปราณในร่างกายของเขาถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว เขาพยายามมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่สัญญาณนำทางของตราสุดยอดจอมราชันย์บอกไว้ แต่ก็พบว่าแทบขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้


มิติที่สับสนวุ่นวายดูคล้ายกับคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ แต่ไร้ระเบียบยิ่งกว่า ทุกอย่างลอยไปตามทิศทางที่มันต้องการ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะผ่านมันไปได้ตรงๆ ต่อให้เป็นจอมราชันย์ก็ตาม


ถ้าไม่ใช่เพราะพลังปราณเหนือชั้นของจางเซวียน กายเนื้อและจิตวิญญาณของทั้งสามคงแหลกเป็นชิ้นๆไปแล้วทันทีที่เข้าสู่พื้นที่นี้ ยังไม่ต้องพูดถึงการสำรวจมัน


“ฉันเคยมาที่นี่” หลัวฉีฉีพูด “บอกตำแหน่งที่คุณต้องการมาสิ แล้วฉันจะพาคุณไป”


“ได้!”


รู้ดีว่าอำนาจของหลัวฉีฉีที่มีเหนือมิตินั้นเหนือชั้นกว่าเขามาก จางเซวียนรีบอธิบายพิกัดที่สัญญาณไฟของตราสุดยอดจอมราชันย์ชี้ไป


หลัวฉีฉีพยักหน้า เธอก้าวออกไปก้าวหนึ่งและคืนสภาพกลับเป็นเครื่องเก็บงำมิติ


ฟึ่บ!


เธอจัดการมิติที่กำลังสับสนวุ่นวายให้แข็งทื่อและรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว


สงสัยเหลือเกินว่าเครื่องเก็บงำมิติเป็นของล้ำค่าระดับขั้นไหน จางเซวียนครุ่นคิดด้วยความอยากรู้ขณะมองเส้นทางที่เครื่องเก็บงำมิติสร้างขึ้น


ไม่ว่าจะเป็นคลื่นพลังงานวนแห่งมิติหรือมิติที่สับสนวุ่นวาย ขอแค่มีความเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์แห่งมิติ เครื่องเก็บงำมิติก็รับมือและจัดการกับมันได้ไม่ยาก นี่คือสิ่งที่แม้แต่นักรบระดับจอมราชันย์ก็ไม่อาจทำได้ทุกคน


จางเซวียนนึกสงสัยเรื่องต้นกำเนิดของหลัวฉีฉี เธอยกระดับวรยุทธจนได้เป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดภายในเวลาเพียงเดือนเดียวหลังจากมาถึงสรวงสวรรค์ ทั้งยังแทบไม่เคยพบด่านคอขวดของวรยุทธเลย


เขาตัดสินใจถูกที่พาเธอมาด้วย ไม่อย่างนั้น ต่อให้ใช้ศิลปะเพลงดาบศรัทธากตัญญูที่มีวรยุทธถึงระดับราชันย์เทพเจ้า แต่การจะผ่านคลื่นพลังงานวนของมิติและมิติที่สับสนวุ่นวายเพื่อเข้าสู่มิติเบื้องบนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี


เพราะเดินทางอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ จางเซวียนกับพรรคพวกจึงระบุเวลาที่แน่ชัดไม่ได้ ตัวเขากับไก่น้อยได้แต่ตามไปเรื่อยๆจนกระทั่งหลัวฉีฉีหยุด เธอคืนร่างกลับเป็นมนุษย์แล้วพูดว่า “เรามาถึงแล้ว”


จางเซวียนเห็นสัญญาณไฟนำทางที่ได้จากตราสุดยอดจอมราชันย์อยู่ตรงหน้า


“เข้าไปกันเถอะ” จางเซวียนพูด


เขากำลังจะเข้าไป แต่ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่าโลกทั้งโลกสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเพราะการบุกรุกของเขา ดูราวกับมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆหากเขาหาทางเข้าไปข้างในได้


“มิติของมิติเบื้องบนนั้นอ่อนแอเกินไป เหมือนกับชั้นน้ำแข็งบางๆที่ลอยอยู่บนผิวหน้าของแม่น้ำในฤดูหนาว มันอาจรับน้ำหนักของเด็กคนหนึ่งได้ แต่พังแน่หากผู้ใหญ่สักคนเหยียบย่ำลงไป” หลัวฉีฉีพูด “พละกำลังของพวกเราในฐานะราชันย์เทพเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าที่สรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบนจะต้านทานไหว หากเราพยายามบุกเข้าไป ก็อาจทำให้สรวงสวรรค์แหลกสลาย ทั้งโลกจะพังพินาศไม่มีชิ้นดี”


จางเซวียนพยักหน้า “คุณพูดถูก ดูเหมือนพวกเราต้องลดระดับวรยุทธลง”


ตอนที่เขาได้เป็นเทพเจ้าครั้งแรก ก็รู้สึกได้ว่าสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบนปฏิเสธการปรากฏตัวของเขา ซึ่งในฐานะราชันย์เทพเจ้า ตอนนี้เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นหมื่นเท่า จึงเป็นธรรมดาที่การปรากฏตัวของเขาจะทำให้สรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบนต้านทานได้ยากขึ้นอีก


จางเซวียนสูดหายใจลึกขณะควบคุมพลังปราณในจุดตันเถียน


วรยุทธของเขาค่อยๆลดลง


เพียง 2-3 อึดใจ วรยุทธของจางเซวียนก็ร่วงหล่นลงไป กลายเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


นอกจากวรยุทธของพลังปราณ เขายังจัดการกดข่มประสิทธิภาพการต่อสู้และวรยุทธของจิตวิญญาณด้วย ดังนั้น หากไม่นับรวมการที่เขาสามารถทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธที่อยู่ในขั้นราชันย์เทพเจ้า เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนหนึ่ง ต่อให้จอมราชันย์ก็ไม่อาจมองทะลุการปลอมตัวครั้งนี้ได้


หลัวฉีฉีรีบทำแบบเดียวกัน เธอใช้ความสามารถที่เกี่ยวกับมิติสกัดกั้นพละกำลังของตัวเองไว้ ทำให้วรยุทธตกฮวบไปเป็นนักรบกึ่งสรวงสวรรค์


ส่วนไก่น้อย มันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ผมว่าคุณคืนน้ำเต้าของผมมาจะดีกว่า…”


หลังจากที่มันกลายเป็นไก่ จางเซวียนก็เก็บน้ำเต้าไว้กับตัวมาตลอด


“ได้สิ”


เมื่อได้น้ำเต้ามา ไก่น้อยมุดเข้าไปและกลายร่างเป็นน้ำเต้าตงฉู่ สิ่งนี้ลดระดับวรยุทธของมันลงไปมากเช่นกัน


หลังจากเตรียมตัวพร้อม มนุษย์ 2 คนกับน้ำเต้าลูกหนึ่งก็รีบเดินเข้าสู่สัญญาณไฟ


ฟึ่บ!


แรงกดดันมหาศาลของมิติถาโถมเข้าใส่พวกเขา สายฟ้าสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วนเปล่งประกายเกรี้ยวกราดอยู่รอบตัว


แม้ทุกคนจะพยายามลดระดับวรยุทธอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ดูเหมือนสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบนจะยังคงมองพวกเขาเป็นผู้บุกรุกและพยายามต่อต้านอย่างเต็มที่


เมื่อถูกโจมตีไม่หยุดหย่อน สุดท้ายทั้งสามก็ลงเอยด้วยการได้รับบาดเจ็บกว่าจะเอาชนะการทดสอบสายฟ้าเพื่อเข้าสู่มิติเบื้องบนได้


ในตอนนั้นเอง พวกเขาพบตู้ชิงหย่วนกับหวู่เฉินยืนหน้าซีดเผือดอยู่เหนือมหาสมุทรกว้างใหญ่ มีแท่นบูชาอันหนึ่งที่กำลังเรืองแสงลอยอยู่ไม่ห่างออกไป


เมื่อมองรอบตัว ก็พบว่าทุกคนอยู่ที่ทะเลว่างเปล่า สถานที่ที่หลัวลั่วชิงลงมาเมื่อคราวก่อน ในครั้งนั้นเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เลือดไหลปนไปกับน้ำในมหาสมุทร เปื้อนหินที่อยู่โดยรอบ


จางเซวียนเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมแม้แต่จอมราชันย์อย่างหลัวลั่วชิงถึงยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อเข้าสู่มิติเบื้องบน


เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบนเล่นงานเธออย่างหนัก หลัวลั่วชิงจำต้องลดระดับวรยุทธลง ทำให้ผ่านการทดสอบสายฟ้าได้ยาก


“คารวะนายน้อย!”


“คารวะเจ้าสำนักจาง!”


หวู่เฉินกับตู้ชิงหย่วนโค้งคำนับอย่างงาม


ข่าวที่พวกเขาได้รับคือเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจะลงมาหา จึงไม่คิดว่าจะได้พบจางเซวียน


เขากลายเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไปตั้งแต่เมื่อไหร่?


“ไปตำหนักคว้าดาวกันก่อนเถอะ”


จางเซวียนฉีกกระชากมิติและเดินทางสู่ตำหนักคว้าดาวโดยไม่ลังเล


แม้เขาจะเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ด้วยการควบคุมพลังปราณและความเข้าใจอย่างล้ำลึกที่มีต่อมิติ จางเซวียนจึงสามารถเปิดช่องว่างของมิติได้อย่างง่ายดาย


เมื่อมาถึงตำหนักคว้าดาว เขาสำรวจโดยรอบ และพบว่ามีนักรบเสมือนอมตะ นักรบอมตะตัวจริง และนักรบอมตะขั้นสูงเพิ่มขึ้นอีก จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


“ดูเหมือนมิติเบื้องบนจะพัฒนาได้เร็วทีเดียว…”


“ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เรามีนักรบ 30 คนที่สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ และอีกกว่า 200 คนที่ได้เป็นนักรบอมตะขั้นสูง ส่วนวรยุทธขั้นอื่นๆก็มีมากกว่านั้นอีก” ตู้ชิงหย่วนตอบยิ้มๆ


เวลาในสรวงสวรรค์ผ่านไปเพียง 1 เดือน แต่สำหรับมิติเบื้องบน เวลาผ่านไป 10 ปีแล้ว


10 ปีอาจไม่สลักสำคัญอะไรหากเปรียบเทียบกับอายุขัยยาวนานของเหล่านักรบ แต่หลังจากที่จางเซวียนเอาชนะตัวโคลนของปรมาจารย์ขงได้ ทรัพยากรที่ถูกหอนิรันดร์ฮุบไว้ก็ได้รับการจัดสรรปันส่วนให้กระจายไปทั่วถึงทั้ง 6 สำนัก และหอนิรันดร์ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองจากกลุ่มอำนาจใดๆอีก


ดังนั้น จำนวนนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และอมตะขั้นสูงจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


จำนวนผู้เชี่ยวชาญที่เพิ่มขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมามีมากกว่าจำนวนผู้เชี่ยวชาญที่มิติเบื้องบนบ่มเพาะได้ตลอดสี่พันปีก่อนเสียอีก


จางเซวียนพยักหน้ารับ เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณกวาดทั่วตำหนักคว้าดาว ครู่เดียวก็ตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ “นั่นหยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าใช่ไหม?”


สุภาพสตรี 2 คนปรากฏตัวในการรับรู้จิตวิญญาณของเขา ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าจากทวีปแห่งปรมาจารย์

 

 

 


ตอนที่ 2296 หยดเลือดของเทพเจ้า?

 

หูเหยาเหย่ากับหยู่เฟยเอ๋อยืนอยู่บนหน้าผาสูงตระหง่าน เสื้อคลุมสีแดงเรื่อของพวกเธอโบกสะบัดไปตามสายลม


จู่ๆทั้งคู่ก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน ย้ายจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างเงียบกริบจนน่าทึ่ง ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากัน


หลัวฉีฉีเข้ามาสมทบกับจางเซวียน ไม่ช้าก็จดจำสุภาพสตรีทั้งสองได้ เธอตาโตด้วยความตื่นเต้นขณะอุทาน “นั่นหยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่านี่!”


หยู่เฟยเอ๋อคือเพื่อนสนิทที่สุดของเธอตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เมื่อเธอออกเดินทางสู่สรวงสวรรค์แล้ว ก็ไม่คิดว่าจะได้พบหยู่เฟยเอ๋ออีก ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะขึ้นมาสู่มิติเบื้องบน และที่สำคัญกว่านั้น…


ทั้งหยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว!


“ใช่ ทั้งคู่กำลังดวลกัน” ตู้ชิงหย่วนพูด “สองคนนั้นฝึกฝนหนักมาก ฝึกวรยุทธทุกวันตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เพราะความหมั่นเพียรของพวกเธอที่ทำให้ทั้งคู่แข็งแกร่งขึ้นมากในระยะเวลาอันสั้น”


ไม่มีนักรบคนไหนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้โดยไม่ผ่านการเคี่ยวกรำฝึกฝน


ต่อให้เก่งกาจระดับจางเซวียน ก็ยังต้องใช้เวลาและความพยายามไม่น้อยกว่าจะฝึกฝนวรยุทธจนได้อย่างที่เขาเป็นอยู่


…..


หลังจากดวลกันได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดสุภาพสตรีเสื้อคลุมสีแดงทั้งสองก็จบการดวลและนั่งพักที่ด้านข้างหน้าผา หน้าตาสวยสดงดงามของพวกเธอมีร่องรอยของความผิดหวัง


“อย่ามัวเสียแรงเลย ถ้าไม่มีรังสีสวรรค์ พวกเราก็ก้าวข้ามด่านคอขวดเพื่อขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไม่ได้หรอก!” คนหนึ่งโพล่งออกมา


จากนั้น ชายอายุ 30 ปีคนหนึ่งก็กระโจนขึ้นมาบนหน้าผา


หลัวชวนฉิง!


ตอนนี้หลัวชวนฉิงก็เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เช่นกัน อีกทั้งไม่ได้อ่อนด้อยกว่าสุภาพสตรีทั้งสอง


“ฉันรู้ แต่…เราหมดหนทางแล้วจริงๆหรือ?” หยู่เฟยเอ๋อกำหมัดแน่นด้วยความหงุดหงิด


“นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมเสนอว่าเราควรใช้กำลังบุกเข้าไป อาจอันตรายก็จริง แต่อย่างน้อยก็ยังมีเศษเสี้ยวของความหวังอยู่บ้าง แต่หากมัวรออยู่ที่นี่ ก็จะกลายเป็นการพลัดพรากชั่วนิรันดร์!” หลัวชวนฉิงพูด


“การพลัดพรากชั่วนิรันดร์…” หยู่เฟยเอ๋อพึมพำลอดไรฟัน


ช่องว่างระหว่างมิติเบื้องบนกับสรวงสวรรค์ไม่เหมือนกับช่องว่างระหว่างมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ที่หากใช้ความพยายามสักหน่อยก็พอจะก้าวข้ามไปได้ และที่สำคัญกว่านั้น ต่อให้พวกเธอเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับแรงกดดันของมิติที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่าได้หรือไม่


“ผมไม่รู้ว่าระดับขั้นของวรยุทธในสรวงสวรรค์มีอะไรบ้าง แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องและนักรบที่เก่งกาจจากโลกต่างๆ แต่เราก็ไม่เคยเห็นนักรบจากสรวงสวรรค์ลงมาที่นี่สักคน บ่งบอกชัดเจนว่าการฝ่าปราการมิติของสรวงสวรรค์นั้นยากเย็นแค่ไหน ต่อให้น้องสาวของผมหรือปรมาจารย์จางจะเก่งกาจอย่างไร พวกเขาก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายร้อยปีหรืออาจเป็นพันปีในมิติเบื้องบน ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น พวกเราคงตายไปนานแล้ว!”


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่อาศัยอยู่ในมิติเบื้องบนมีอายุขัยราว 1000 ปี ซึ่งหากนานกว่านั้นก็ถือว่าเกินกำลังของพวกเขา


ความแตกต่างอย่างสุดขั้วของกระแสกาลเวลาหมายความว่าเส้นทางของพวกเขาไม่มีวันบรรจบกันได้อีก กว่าผู้ที่ขึ้นสู่สรวงสวรรค์จะแข็งแกร่งพอที่จะกลับมาหาพวกเขาได้ ทุกคนก็คงกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว


“ฉันก็เข้าใจ” หยู่เฟยเอ๋อพูดด้วยสีหน้าที่ยังไม่พร้อมยอมรับ “แต่…”


“คุณจะลังเลอะไรอีก?” หลัวชวนฉิงโพล่งออกมา “พวกเราล้วนตกที่นั่งเดียวกัน ทั้งคุณกับผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่มีทางไปได้ไกลกว่าการเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สูงสุด ทางเลือกเดียวที่พวกเรามีก็คือพยายามบุกเข้าสู่สรวงสวรรค์ให้ได้ ต่อให้อันตรายแค่ไหน ก็ต้องลองสักตั้ง!”


หยู่เฟยเอ๋อเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือเถอะ…”


“เฟยเอ๋อ หัวหน้าตู้บอกไว้ว่าพวกเราต้องสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าเสียก่อนถึงจะเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้ ไม่อย่างนั้นได้ตายแน่ๆ!” หูเหยาเหย่าขัดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว


ตั้งแต่ทั้งสามได้เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สูงสุด วรยุทธของพวกเขาก็ไม่ยอมก้าวหน้าอีกเลย ทุกคนพยายามทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่ช้าก็รู้ตัวว่าไม่อาจก้าวข้ามด่านสุดท้ายหากไม่มีรังสีสวรรค์


ซึ่งถ้าไม่ได้เป็นเทพเจ้า ก็ไม่อาจเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้ นี่คือโซ่ตรวนที่รั้งนักรบทุกคนในมิติเบื้องบนไว้ ฉุดพวกเขาไม่ให้เจริญก้าวหน้า


“ฉันคิดถึงเขาเหลือเกิน ถ้าตอนนี้ไม่ได้ติดตามเขา ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม” หยู่เฟยเอ๋อพึมพำลอดไรฟัน


ถ้าเธอเลือกเส้นทางเดียวกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ ป่านนี้ก็คงได้อยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว เธอคงไม่ถูกทิ้งไว้ที่นี่ ต้องตรากตรำฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักเพียงเพื่อความเป็นไปได้ที่อยู่ไกลแสนไกล การจะได้พบชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้งไม่ต่างอะไรกับความฝัน


“ในเมื่อคุณสองคนตัดสินใจแล้ว ฉันก็จะไปด้วย คงต้องบอกว่าเจ้าบ้านั่นมีเสน่ห์พิลึกพิลั่นที่ดึงดูดใจเหลือเกิน” หูเหยาเหย่าพูดยิ้มๆ


ในครั้งนั้น จางเซวียนมีระดับวรยุทธอ่อนด้อยกว่าเธอมาก เธอยังจำได้ว่าเคยพยายามกลั่นแกล้งเขาอย่างไร แต่แล้วก็ต้องเดือดร้อนเอง


ตอนนั้นเธอโกรธมาก แต่การหวนนึกถึงในเวลานี้ทำให้เธอยิ้มได้


ทั้งคู่ไม่เคยมีความผูกพันล้ำลึกต่อกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจดจำภาพระหว่างเธอกับเขาได้อย่างชัดเจน ราวกับตัวเขาทิ้งรอยประทับไว้ในใจของเธอ และหูเหยาเหย่าก็ไม่อาจสลัดอีกฝ่ายให้หลุดออกจากใจได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะยอมทำเพื่อใครสักคนได้มากขนาดนี้


“ในเมื่อพวกเราตัดสินใจแล้ว ก็เลือกวันกันเลยดีกว่า!”


เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็โน้มน้าวสองสาวได้สำเร็จ หลัวชวนฉิงถอนหายใจอย่างโล่งอก


ในตอนนั้น ใครคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนยอดเขา


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวู่เฉิน


“มีคนขอให้ผมมอบสิ่งนี้ให้พวกคุณ” หวู่เฉินพูดขณะโยนขวดหยก 3 ใบให้ทั้งสาม


“ให้พวกเรา?” หลัวชวนฉิงทวนคำขณะรับขวดหยกไว้ เกือบล้มเพราะน้ำหนักมหาศาลของมัน


ขวดหยกมีน้ำหนักมากกว่าที่เขาคิดไว้หลายเท่า


เขาเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สูงสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของมิติเบื้องบน แต่เพียงแค่ขวดหยกใบเดียว ก็เกือบรับพลาด สิ่งนี้เกินพอที่จะบ่งบอกว่ามีบางอย่างพิเศษเกี่ยวกับขวดหยกใบนั้น


หลัวชวนฉิงมีสีหน้างุนงง เขาเปิดขวดและพิจารณาสิ่งที่อยู่ภายใน ที่อยู่ในขวดคือเลือดหยดหนึ่ง


“เลือดหยดเดียวจะหนักได้ขนาดนี้เชียวหรือ? เดี๋ยวก่อน…หรือนี่คือหยดเลือดของเทพเจ้า?” หลัวชวนฉิงหรี่ตาด้วยความสงสัย


ทุกอย่างจะเหมาะเจาะลงตัวหากหยดเลือดที่อยู่ในขวดหยกเป็นของเทพเจ้าจริงๆ เพราะเลือดนั้นจะได้รับการถ่ายทอดพละกำลังและพลังชีวิตไว้เต็มเปี่ยม และมีน้ำหนักมากกว่าหยดเลือดของนักรบทั่วไปมาก เรื่องนี้เป็นที่รู้ทั่วกันในหมู่ชนชั้นสูงของมิติเบื้องบน


“ในหยดเลือดมีรังสีสวรรค์ด้วย หากเราซึมซับเข้าไป ก็คงยกระดับวรยุทธได้ถึงขั้นเทพเจ้า” หลัวชวนฉิงตั้งข้อสังเกตขณะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


หยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าก็ตกตะลึงกับของกำนัลที่ได้มาโดยไม่คาดคิด ทั้งคู่เข้าใจทันที


มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่จะมอบของกำนัลเป็นหยดเลือดของเทพเจ้า ซึ่งนั่นหมายความว่า…


หยู่เฟยเอ๋อหันขวับไปถามหวู่เฉินอย่างร้อนใจ “นี่คือเลือดของเขาใช่ไหม? เขาอยู่ไหน?”


เธอสัมผัสได้ สัญชาตญาณบอกเธอว่ามันต้องเป็นแบบนั้น หยดเลือดที่อยู่ในขวดหยกจะต้องเป็นของชายที่เธอกำลังตามหา!


“เขาจากไปแล้ว” หวู่เฉินตอบ “เขาฝากให้ผมส่งข้อความนี้ให้พวกคุณด้วย ‘เจอกันที่สรวงสวรรค์’”


“เจอกันที่สรวงสวรรค์?”


ทั้งสามคนถึงกับตัวสั่น


นั่นหมายความว่าเขาลงจากสรวงสวรรค์มายังมิติเบื้องบนแห่งนี้


ทุกคนคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วหลังจากได้รู้ว่าทั้งคู่อยู่ในสรวงสวรรค์ ใครจะไปคิดว่าเส้นทางของพวกเขาจะมาบรรจบกันแบบนี้?


ในช่วงเวลาเพียงสิบปี…ไม่ใช่สิ เพียงเดือนเดียวเท่านั้นในสรวงสวรรค์ เขาก็พัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่งพอจะฝ่าปราการแห่งมิติและเดินทางกลับมายังมิติเบื้องบนได้


“ชวนฉิง นี่คือของกำนัลที่เขาบอกให้ผมมอบให้คุณ เขายังฝากข้อความให้คุณด้วย” หวู่เฉินพูดขณะยื่นของชิ้นหนึ่งให้


หลัวชวนฉิงมองของที่อยู่ในมือหวู่เฉินอย่างงุนงง แต่แค่เห็นแวบเดียว เขาก็อึ้งด้วยความอัศจรรย์ใจ “นี่มันของฉีฉี…เธออยู่ไหน?”


สิ่งที่เขาได้รับเป็นแค่กิ๊บติดผมสีฟ้าราคาถูกอันหนึ่ง มันคือของขวัญที่เขาเคยมอบให้น้องสาวเมื่อตอนที่ทั้งคู่ยังเด็ก


หลัวชวนฉิงกำกิ๊บติดผมไว้แน่นและถามอย่างร้อนใจ “เขาพูดอะไรบ้าง?”


“เขาบอกว่าเขาปฏิบัติภารกิจที่คุณมอบหมายให้สำเร็จแล้ว และถ้าคุณอยากพบตัวเขาหรือน้องสาวล่ะก็ ควรรีบฝ่าด่านวรยุทธและมุ่งหน้าสู่สรวงสวรรค์โดยเร็ว!” หวู่เฉินตอบ


“สรวงสวรรค์? ก็ดี! ฮ่าฮ่าฮ่า เจอกันที่สรวงสวรรค์ก็แล้วกัน! ดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งขึ้นพอตัวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ผมก็จะตามเขาให้ทัน เจอกันอีกหนเมื่อไหร่ ผมจะต่อยหมอนั่นให้ฟันร่วงหมดปาก!” หลัวชวนฉิงหัวเราะลั่น นัยน์ตาแดงก่ำ


“เราจะได้พบกันเร็วๆนี้แล้ว…”


หยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าสบตากันก่อนจะก้มลงมองขวดหยกในมือ ทั้งคู่กำขวดหยกไว้แน่น ไม่อาจปิดบังสีหน้าที่บ่งบอกความตื่นเต้นและความคาดหวังของตัวเองได้


รอก่อนนะจางเซวียน พวกเรากำลังจะไปหาคุณ!


“นี่คือเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายที่คุณเคยพูดถึงใช่ไหม?”


หลัวฉีฉีจ้องดูซากปรักหักพังตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับจางเซวียน


เมืองนี้พังทลายไม่มีชิ้นดี ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตให้เห็น ยากจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่แสนเจริญรุ่งเรือง


ตอนแรก หลัวฉีฉีตั้งใจจะทักทายหลัวชวนฉิงกับคนอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ห้ามใจไว้


เธอรู้สึกว่าหากได้พบกันที่สรวงสวรรค์คงจะเหมาะสมกว่า


เพราะต่อให้ได้เจอกัน ก็คงเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น แถมยังอาจทำให้พวกเขาสูญเสียความตั้งใจในการพัฒนาตัวเองด้วย


ดังนั้น หลังจากลังเลอยู่นาน หลัวฉีฉีก็ตัดสินใจจากมาโดยไม่พบใคร, เหมือนกับจางเซวียน เธอเชื่อว่าวันที่พวกเธอจะได้หวนคืนมาเจอกันอีกครั้งคงไม่นานเกินรอ


หลัวฉีฉีเดินทางเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์และพบปะสมาชิกในครอบครัวของเธอ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับสู่มิติเบื้องบน


ด้วยกระแสกาลเวลาที่ต่างกันของโลกสองใบ แม้เธอจะใช้เวลากว่าครึ่งวันกับครอบครัว แต่เวลาในมิติเบื้องบนก็ผ่านไปเพียงชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 2297 จอมราชันย์อมตะ

 

แต่นั่นแหละ กาลเวลาในทวีปแห่งปรมาจารย์ผ่านไปกว่าร้อยปีแล้วตั้งแต่เธอจากไป และหลายอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผู้คนและข้าวของที่เธอจำได้ก็กลายเป็นเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์


สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือความเคารพยำเกรงที่ผู้คนมีให้จางเซวียน


ในยุคสมัยปัจจุบันของทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนมีอิทธิพลและสถานภาพสูงส่งยิ่งกว่าปรมาจารย์ขงเสียอีก ตำนานกล่าวว่าเขาก้าวจากการเป็นครูกระจอกคนหนึ่งของอาณาจักรเทียนเซวียนไปเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ภายในเวลาเพียง 2 ปี ซึ่งตำนานนี้ก็ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น


หนังสือนับเล่มไม่ถ้วนบันทึกวีรกรรมของเขาไว้ ล้วนกลายเป็นเรื่องเล่าขานที่ไม่มีใครลืม


แต่สิ่งที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดเกี่ยวกับตัวจางเซวียนก็คือชีวิตรักอันน่าประทับใจของเขา


ในฐานะผู้กุมหัวใจของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น เขากลายเป็นไอดอลของชายหนุ่มมากมายในทวีปแห่งปรมาจารย์ มีพิธีกรรมที่ชายหนุ่มแทบทุกคนจะต้องปฏิบัติ คือจุดธูปคารวะจางเซวียนก่อนจะสารภาพรักกับสุภาพสตรีที่พวกเขาหลงใหล…


เมื่อหลัวฉีฉีรู้เรื่องทั้งหมด เธอพูดไม่ออกอยู่ 5 นาทีเต็มๆ


ในครั้งนั้น เธอคือคนหนึ่งที่สนิทสนมกับจางเซวียน รู้จักนิสัยใจคอของเขาดี


ชีวิตรัก? เรื่องแบบนั้นมีอยู่ในพจนานุกรมของเจ้าเซ่อหัวทื่อคนนั้นด้วยหรือ?


เขาคือคนที่ตอบรับการสารภาพรักของฉันด้วยคำว่า ‘ผมก็ชอบคุณเหมือนคนอื่นๆ!’


ด้วยอีคิวต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ จะเอาชีวิตรักมาจากไหน?


….


ตลอดร้อยปีที่ผ่านไป ตระกูลจางเจริญรุ่งเรืองและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นกลุ่มอำนาจอันดับ 1 ที่มีอิทธิพลเหนือกว่าแม้สภาปรมาจารย์


ตระกูลหลัวกับตระกูลเจียงก็ก้าวหน้าไปมากเช่นกัน แต่ก็ยังเทียบชั้นไม่ได้กับตระกูลจาง


แต่นั่นแหละ เรื่องพวกนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับหลัวฉีฉี เธอดีใจมากที่พบว่าท่านพ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอช่วยท่านพ่อให้ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จและพาเข้าสู่มิติเบื้องบน จากนั้นก็กลับมาหาจางเซวียน


…..


“เอาล่ะ ถึงแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า เขานำน้ำเต้าออกมาแล้วพูดว่า “ออกมาสำรวจดูให้ทั่ว หลุมศพและพละกำลังที่หายไปของแกน่าจะอยู่ตรงไหนสักแห่งแถวๆนี้นี่แหละ”


คราวก่อน เขาได้พบโครงกระดูกสีดำหน้าตาประหลาดอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ได้รับรังสีสวรรค์จากมือของอีกฝ่ายและฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงเอาชนะตัวโคลนของปรมาจารย์ขงได้


แต่เมื่อกลับมาอีกครั้ง โครงกระดูกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงเขาจะหาโครงกระดูกไม่พบ แต่ไก่น้อยในฐานะจอมราชันย์อมตะก็น่าจะพอสัมผัสได้


“คุณเคยเห็นใครตามหาหลุมศพของตัวเองหรือ?” น้ำเต้าส่ายก้นอย่างเกียจคร้าน


“ก็ได้ ก็ได้ เดี๋ยวฉันหาเอง” จางเซวียนตอบอย่างรำคาญ


เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำตราสุดยอดจอมราชันย์ออกมา


โครงกระดูกสีดำอาจซ่อนตัวจากเขาได้ แต่หากเขาใช้ตราสุดยอดจอมราชันย์เรียกมัน อีกฝ่ายก็คงไม่มีที่ซ่อน


วิ้งงงง!


ทันทีที่ตราสุดยอดจอมราชันย์ปรากฏ รอยกระเพื่อมของมิติก็เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา พริบตาต่อมา ทุกคนก็มายืนอยู่ตรงหน้าห้องโถงขนาดใหญ่


ที่ยืนอยู่บริเวณปากทางเข้าคือโครงกระดูก ซึ่งเมื่อมันเห็นสิ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าจางเซวียน ก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่า


“มิติที่นี่เสถียรกว่าตรงนั้น สรวงสวรรค์คงไม่อาจตรวจจับพื้นที่บริเวณนี้ได้หรอก แกออกมาเถอะ” จางเซวียนพูดขณะตบน้ำเต้าเบาๆ


คราวก่อนที่เขามาที่นี่ ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าพื้นที่ตรงนี้แยกตัวออกจากส่วนอื่นๆของโลกอย่างสิ้นเชิง แม้เมื่อเขาได้เป็นเทพเจ้าแล้ว ก็ยังหาที่นี่ไม่เจอ


ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้จางเซวียนมั่นใจว่าหากไก่น้อยปรากฏตัวที่นี่ ก็คงไม่ต้องเจอกับการลงทัณฑ์จากสวรรค์


ได้ยินแบบนั้น ไก่น้อยโผล่ออกมาจากน้ำเต้าและปลดปล่อยประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับราชันย์เทพเจ้าของมันออกมา


“ฝ่าบาท ในที่สุดคุณก็ฟื้น…” โครงกระดูกสีดำร่ำร้องด้วยความดีใจ


มันทั้งตื่นเต้นและเต็มตื้นจนปลดปล่อยพละกำลังของมันออกมา ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเหมือนตัวเขา!


ไม่แปลกใจแล้วที่คราวก่อนที่เขามาที่นี่ ก็ไม่อาจหยั่งถึงระดับวรยุทธของโครงกระดูกได้


ตอนนั้นตัวเขากับโครงกระดูกสีดำยังห่างชั้นกันมาก!


“ผมอยากได้พละกำลังกลับคืนมา” ไก่น้อยพูด


ความทรงจำของมันยังไม่กลับมา จึงไม่รู้ว่าโครงกระดูกสีดำที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร


“ผมเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ฝ่าบาท…ขอแค่คุณเข้าสู่ห้องโถงแห่งนี้ ก็จะได้ซึมซับพละกำลังที่คุณสูญเสียไปและกลับสู่สภาวะแข็งแกร่งสูงสุดดังเดิม!” โครงกระดูกสีดำตอบอย่างตื่นเต้น


“ดี!” ไก่น้อยพยักหน้าก่อนจะเดินเตาะแตะเข้าไปในห้องโถง


บานประตูเปิดออกให้ไก่น้อย พละกำลังเหนือจินตนาการเต้นเร่าอยู่ในส่วนลึกของห้องโถงนั้น ดูราวกับพลังงานของทั้งโลกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่


“ไก่น้อย…” จางเซวียนร้องออกมาทันทีที่มันกำลังจะเข้าสู่ห้องโถง


ไก่น้อยเข้าใจความกังวลของจางเซวียน มันหันกลับมาและพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณกังวลอะไร แต่ไม่ต้องห่วง ผมคือตัวผม ไม่มีวันเป็นคนอื่น”


จางเซวียนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น


ไก่น้อยคือเจตจำนงใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากการฟื้นคืนชีพของจอมราชันย์อมตะ เขากลัวว่ามันจะกลายเป็นคนอื่นทันทีที่ได้พละกำลังและความทรงจำกลับคืนมา


ซึ่งก็หมายความว่าไก่น้อยน่ารักที่เขารู้จักจะต้องตายจากไป


คำยืนยันของไก่น้อยทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงมันให้กลายเป็นคนอื่น


มันไม่ใช่จอมราชันย์อมตะคนเก่าที่มีอายุยืนยาว แต่เป็นคนใหม่พร้อมกับเจตจำนงใหม่


ไก่น้อยเข้าสู่ห้องโถง บานประตูปิดตามหลังมัน


จางเซวียนกับหลัวฉีฉีรออยู่ข้างนอก แล้ว 3 เดือนก็ผ่านไป


…..


“ไก่น้อย พยายามเต็มที่ก็แล้วกัน พวกเราต้องกลับสรวงสวรรค์แล้ว ถ้าแกทำได้ทันเวลาล่ะก็ คงรู้ว่าจะตามหาพวกเราได้ที่ไหน…”


เวลาในสรวงสวรรค์ผ่านไป 5 วันแล้ว ซึ่งหากจางเซวียนกับหลัวฉีฉีไม่กลับไป ก็คงไม่ทันการดวลระหว่างปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง


แม้การยับยั้งการดวลของทั้งคู่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหากปราศจากความช่วยเหลือของจอมราชันย์อมตะ แต่จางเซวียนก็ไม่อาจรออยู่ตรงนี้โดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง


“ไปกันเถอะ!” เขาร้องเรียกหลัวฉีฉีก่อนจะหันหลังกลับ


ในตอนนั้น เสียงหึ่งดังสนั่นก็ดังก้องกลางอากาศ ห้องโถงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกิดรอยร้าวทั่วอาคารนั้น


กำแพงเริ่มพังทลาย เกิดฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่ว ที่อยู่ท่ามกลางฝุ่นคลุ้งและซากปรักหักพังคือนกฟีนิกซ์ขนาดมหึมาตัวหนึ่ง


ลำพังแค่พละกำลังที่มันแผ่ออกมาก็เกินพอจะทำให้ใครๆถอยห่าง


“นี่คือจอมราชันย์อมตะ?” จางเซวียนพึมพำด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


ความแข็งแกร่งของนกฟีนิกซ์ที่อยู่ตรงหน้ามีมากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติและเจตจำนงของเทพธิดาหลิงหลงที่เขาเคยพบเสียอีก


“เพราะฉะนั้น…นี่คือความแข็งแกร่งของจอมราชันย์?”


ไม่แปลกใจแล้วที่ไม่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนไหนกล้าทำให้จอมราชันย์ขุ่นเคือง พวกเขาอยู่กันคนละชั้นจริงๆ


“ไก่น้อยที่ฟื้นคืนชีพคงแข็งแกร่งกว่าจอมราชันย์อมตะคนก่อนเสียอีก”


ทุกครั้งที่ไก่น้อยฟื้นคืนจากความตาย มันจะแข็งแกร่งกว่าเดิม บางทีครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน


ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ พวกเขาคงยับยั้งการดวลของปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงได้!


เพียงครู่เดียว แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกจากนกฟีนิกซ์ตัวมหึมาก็สลายตัวไป มันกลายร่างเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งและเดินออกจากซากปรักหักพังมาอยู่ตรงหน้าจางเซวียนกับหลัวฉีฉี


เขาคือชายหนุ่มร่างผอมสูงที่มีอายุราว 16-17 ปี ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ไก่น้อยเคยบอกไว้ หน้าตาของเขาไม่ได้ดูน่ายำเกรง กลับดูอ่อนเยาว์เสียมากกว่า


ยากจะเชื่อว่าชายผู้อ่อนเยาว์คนนี้คือผู้มีตำแหน่งสูงสุดของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด, จอมราชันย์คนหนึ่งของสรวงสวรรค์


“คุณคือ…ไก่น้อย?”


“นายท่าน” ชายหนุ่มรับคำพร้อมกับยิ้มออกมา


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


ดูเหมือนสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดจะไม่ได้เกิดขึ้น อีกฝ่ายยังคงเป็นไก่น้อยดื้อรั้นและขี้โม้ที่ติดตามเขามาจากทวีปแห่งปรมาจารย์


“นายท่าน ผมเพิ่งได้พละกำลังกลับคืนมา จึงต้องการเวลาขัดเกลาวรยุทธสักหน่อย ผมจะฝึกฝนวรยุทธที่นี่ก็แล้วกันเพื่อประหยัดเวลา ระหว่างนี้ พวกคุณกลับสู่สรวงสวรรค์ไปก่อน การขัดเกลาวรยุทธเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปสมทบกับพวกคุณทันที!”


“ได้” จางเซวียนพยักหน้า


หากจะต้องเผชิญหน้ากับ 2 จอมราชันย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ พวกเขาก็จะต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดเสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้น ความพยายามทั้งหมดคงสูญเปล่า


กระแสกาลเวลาในมิติเบื้องบนไหลเร็วกว่ากระแสกาลเวลาในสรวงสวรรค์ถึง 100 เท่า ดังนั้น ฝึกฝนวรยุทธที่นี่จึงดีกว่า


“ฝงเหย่า ขอบใจที่ช่วยอารักขาผมมาตลอด ผมจะคืนร่างกายและพละกำลังดังเดิมให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ” ชายหนุ่มหันไปพูดกับโครงกระดูกสีดำก่อนกระดิกนิ้วเบาๆ


เลือดหยดหนึ่งลอยจากมือของเขา ซึมซาบเข้าสู่หน้าผากของโครงกระดูกสีดำ


โครงกระดูกสีดำเริ่มมีเลือดเนื้อกลับคืนมา ร่างของมันลุกโชนด้วยเปลวไฟ เกิดเสียงร้องกึกก้องของนกฟีนิกซ์ตัวหนึ่ง แล้วนกฟีนิกซ์ขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากเปลวไฟนั้น


นกฟีนิกซ์ตัวใหญ่กลายร่างเป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะและหมวกเกราะสีทอง


เขาคือหนึ่งในองครักษ์ผู้ภักดีที่สุดของจอมราชันย์อมตะ ดูแลหลุมศพของอีกฝ่ายมาหลายพันปี เฝ้ารอคอยให้จอมราชันย์อมตะกลับมา


“กลับกันเถอะ…”


เมื่อรู้แล้วว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไก่น้อย จางเซวียนร้องเรียกหลัวฉีฉีอีกครั้ง ทั้งคู่รีบเดินทางกลับสู่มิติเบื้องบน


การเดินทางจากโลกเบื้องล่างไปสู่โลกที่มีระดับขั้นสูงกว่านั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทั้งคู่ค่อยๆปลดปล่อยระดับวรยุทธออกมา ไม่ช้าก็ดึงดูดสายตาของสรวงสวรรค์แห่งมิติเบื้องบนและถูกขับให้เข้าไปอยู่ในมิติที่วุ่นวายสับสน


จางเซวียนปลดปล่อยวรยุทธเต็มขั้นของเขาในฐานะราชันย์เทพเจ้า จากนั้นก็สัมผัสได้ทันทีถึงการร้องเรียกจากสรวงสวรรค์ ตัวเขากับหลัวฉีฉีติดตามเสียงเรียกนั้นเข้าสู่สรวงสวรรค์โดยไม่ลังเล


ครึ่งวันต่อมา ทั้งคู่ก็ร่วงลงมาล้มกลิ้งอยู่กับพื้น


เมื่อสำรวจโดยรอบ จางเซวียนรู้ทันทีว่าพวกเขาอยู่ที่ภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ สถานที่แรกที่เขาได้พบเมื่อมาถึงสรวงสวรรค์กับจ้าวหย่าและลูกศิษย์คนอื่นๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)