ยอดหญิงสกุลเสิ่น 229.1-230.2
ตอนที่ 229-1 ดูแลคนป่วย
หมอมาเร็วอย่างยิ่ง จับชีพจรให้พระชายาจิ้นอ๋อง จากนั้นก็ฝังเข็ม พระชายาจิ้นอ๋องจึงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เหล่าคนรับใช้ที่ล้อมนางอยู่จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก โดยเฉพาะแม่นมซือ ดีใจจนน้ำตาไหล “พระคุ้มครอง พระชายาท่านฟื้นแล้ว ทำบ่าวกลัวแทบแย่”
พระชายาจิ้นอ๋องคิดจะลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะโบกมือ นางหันหน้ามองข้างนอก “ท่านอ๋องเล่า”
เห็นความคาดหวังในแววตาของพระชายา แม่นมซือกับหวาเยียนก็อดก้มหน้าไม่ได้ “ท่าน…ท่านอ๋องออกจากจวนไปแล้วเพคะ” แม่นมซือโกหกด้วยเจตนาดี “พระชายาท่านอย่าได้ร้อนใจ ส่งคนออกไปหาแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วงท่านอ๋อง ดูแลร่างกายตนเองให้ดีจะดีกว่า อยู่ดีๆ ถึงเป็นลมไปได้อย่างไร ทำพวกบ่าวตกใจแทบแย่”
หวาเยียนเองก็กล่าว “นั่นสิเพคะพระชายา หมอบอกว่าท่านเครียดเกินไป ตอนนี้การสมรสของคุณชายสี่ก็กำหนดแล้ว ท่านก็อย่าเป็นกังวลเกินไปนัก” หมอยังบอกว่าโมโหจนความดันโลหิตพุ่งสูง หวาเยียนก็ไม่ได้พูดถึง เป็นสาวใช้ใหญ่ที่ได้รับความไว้ใจที่สุดข้างกายพระชายาจิ้นอ๋อง หาผลประโยชน์เลี่ยงอันตรายกลายเป็นความสามารถชนิดหนึ่งแล้ว
เดิมพระชายาจิ้นอ๋องก็เป็นคนฉลาด จะฟังคำปลอบใจในคำพูดของแม่นมซือกับหวาเยียนไม่ออกได้อย่างไร “ข้ารู้ว่าท่านอ๋องตำหนิข้า” บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง ลมหายใจที่ข่มเอาไว้ปล่อยออกมา รู้สึกเพียงในสมองมีเสียงดังหึ่งๆ ในใจเองก็อัดอั้นอย่างยิ่ง
แม่นมซือกำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง ถูกพระชายาจิ้นอ๋องส่ายหน้าห้าม นางหลับตารู้สึกเพียงแค่เหนื่อยและหมดหวัง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จิ้นอ๋องบันดาลโทสะกับนาง แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องรู้ว่านางเป็นลมแต่กลับไม่ได้มาดูนางทันที เมื่อก่อนต่อให้นางจะไอหรือปวดหัว ท่านอ๋องก็จะตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ดูท่าแล้วครั้งนี้ท่านอ๋องจะโกรธนางแล้วจริงๆ เหอๆ นางอยู่ข้างกายเขามายี่สิบกว่าปี คลอดบุตรดูแลจวนอ๋องเพื่อเขา นางทำเพื่อเขามามากเพียงนั้น ท้ายที่สุดยังเทียบคนชั่วผู้นั้นไม่ได้ ในใจพระชายาจิ้นอ๋องรู้สึกเหยียดหยามอย่างถึงที่สุด นางควรจะทำให้ท่านอ๋องหายโกรธแล้วกลับมาเชื่อใจนางใหม่อย่างไร
แม่นมซื่อและคนรับใช้คนอื่นๆ มองเห็นเพียงมีน้ำตาหนึ่งหยดไหลลงมาจากหางตาของพระชายาจิ้นอ๋อง ต่างก็มองหน้ากันและกัน แต่กลับไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอะไรง่ายๆ อีก
พระชายาจิ้นอ๋องหมดสติและนางได้อำนาจดูแลครัวใหญ่สองข่าวนี้ดังมาถึงหูเสิ่นเวยพร้อมกัน หลังจากนั้นนางก็หัวเราะด้วยความใจแคบอย่างยิ่ง เกรงว่าเป็นเพราะเหตุการณ์อย่างหลังจึงทำให้เกิดอย่างหน้าใช่หรือไม่ ก็แค่อำนาจดูแลครัวใหญ่มิใช่หรือ พระชายาจิ้นอ๋องถึงขนาดทรมานตัวเองจนหมดสติเลยหรือ ประสบการณ์น้อยเกินไปแล้ว ความอดทนก็ไม่มากเช่นกัน!
แต่ว่าจิ้นอ๋องก็ดีต่อพระชายาจริงๆ มอบอำนาจดูแลครัวใหญ่ให้นางก็ไม่ใช่เพื่อปลอบใจหรอกหรือ นางได้อำนาจดูครัวใหญ่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีกไม่ใช่หรือ อีกทั้งนางยังต้องย้ายตามสวีโย่วไปจวนจวิ้นอ๋องอีก ได้อำนาจดูแลนี้แล้วจะดูแลได้สักเท่าไร ท้ายที่สุดครัวใหญ่ก็ต้องกลับไปอยู่ในมือพระชายาจิ้นอ๋องอยู่ดีไม่ใช่หรือ
จิ้นอ๋องทำเช่นนี้ล้วนแต่เป็นการคิดเพื่อพระชายา! ไม่รู้ว่าพระชายาจะเข้าใจความพยายามของท่านอ๋องหรือไม่ คาดว่าคงจะไม่เข้าใจ มิเช่นนั้นจะโกรธจนเป็นลมไปได้อย่างไร
สำหรับอำนาจดูแลครัวใหญ่ กระทั่งงานในจวนจิ้นอ๋อง เสิ่นเวยไม่ได้เห็นอยู่ในสายตา ไม่ช้าไม่เร็วนางก็ต้องย้ายตามสวีโย่วไปจวนจวิ้นอ๋อง ต่อให้จะได้อำนาจดูแลงานในจวนจิ้นอ๋องแล้วอย่างไร นางจะดูแลได้สักกี่วัน ไม่ใช่ว่ายังต้องมอบออกไปอีกไม่ใช่หรือ เรื่องโง่ๆ เช่นการลำบากกายใจทำงานเพื่อคนอื่นนางไม่ทำหรอก
แต่ว่าในเมื่อจิ้นอ๋องพูดแล้วนางก็ไม่อาจผลักไสอย่างโง่เขลา คุมครัวใหญ่ อย่างน้อยนางก็สามารถกินได้อย่างสบายใจหน่อย
“ฮูหยิน คราวนี้ดีแล้ว ในที่สุดพวกเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอาหารแล้ว” สาวใช้หลายคนข้างกายเสิ่นเวยดีใจอย่างถึงที่สุด
เสิ่นเวยเลิกคิ้ว กล่าว “พวกเจ้าอย่าดีใจเร็วเกินไป พวกเราเพิ่งเข้ามา ฐานยังไม่มั่นคง ครัวใหญ่มีแต่คนแก่ที่กลับกลอก จะเชื่อฟังฮูหยินของเจ้าเพียงนั้นเลยหรือ
เหอฮวาเด็กสาวที่ดุดันผู้นี้ก็ตบอกเสนอตัวทันที “ฮูหยิน บ่าวไปช่วยท่านจัดการครัวใหญ่เอง คนไหนไม่เชื่อฟังบ่าวจะโบยนาง รับรองว่าจะทำให้พวกนางว่านอนสอนง่าย”
คนหลายคนที่เหลือต่างก็พากันพยักหน้า ท่าทางเห็นด้วยกับเหอฮวา ตนเองก็กระตือรือร้นอยากจะลองด้วย
เสิ่นเวยก่ายหน้าผาก ดูสิ ดูสิ เหตุใดนับวันสาวใช้เหล่านี้ข้างกายนางถึงได้ห้าวหาญขึ้นเรื่อยๆ เล่า นายเช่นนางอ่อนหวานว่าง่ายจะตายไป!
“เจ้า อยู่ข้างๆ ข้าให้นิ่งก็พอ! พวกเราจะอยู่ในจวนอ๋องอีกสักกี่วัน ไม่คุ้มจะไปผิดใจใคร ครัวใหญ่ดูแลตามเดิมทั้งหมด เลื่อนตำแหน่งรองเดิมเป็นแม่บ้าน พวกนางเคยทำเช่นไรตอนนี้ก็ทำเช่นนั้น ส่วนพวกเรา ไม่หวังคุณงามความดีขอแค่ไม่ทำผิดก็พอ” เสิ่นเวยกล่าวเสียงเรียบ
“ฮูหยิน เช่นนั้นพวกเราจะไม่เข้าไปยุ่งแม้แต่คนเดียวเลยหรือ” เหอฮวาเบะปากไม่ยินยอมเล็กน้อย
เสิ่นเวยชายตามองนางปราดหนึ่ง กล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเตรียมจะให้พี่เฉินพาสาวใช้เล็กคนหนึ่งไป พี่เฉินรับตำแหน่งรองไม่ต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องครัวใหญ่ ขอเพียงแค่รับผิดชอบอาหารของข้ากับคุณชายใหญ่ก็พอแล้ว” ของที่เข้ามาในบ้านต้องผ่านคนของตนจึงจะวางใจได้!
หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “หากเจ้าชอบดูแลครัวใหญ่จริงๆ รอพวกเราย้ายไปจวนจิ้นอ๋องแล้ว ครัวใหญ่ส่วนนี้ก็ยกให้เจ้าดูแล”
เหอฮวาปฏิเสธทันที กระทืบเท้าแค้นเคือง “ฮูหยิน บ่าวเพียงแค่อยากแบ่งเบาภาระท่าน ใครทนเหนื่อยทนดูแลครัวใหญ่กันเล่า บ่าวไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่รับใช้ข้างกายฮูหยิน”
คนทั้งหมดในครัวใหญ่กระวนกระวายราวกับวิหคตื่นเกาทัณฑ์ แม่บ้านหม่าที่มีหน้ามีตามาสิบกว่าปีจบชีวิตในชั่วพริบตา สืบหาเหตุผลพวกนางต่างรู้ดีแก่ใจ ก็แค่ช่วยพระชายากดดันคุณชายใหญ่ฮูหยินใหญ่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้ครัวใหญ่ตกอยู่ในมือฮูหยินใหญ่ ยังไม่รู้ว่านางจะจัดการพวกนางอย่างไร
แต่สิ่งที่ทำให้พวกนางคิดไม่ถึงก็คือ ฮูหยินใหญ่คาดไม่ถึงว่าไม่มาพบพวกนาง แต่เลื่อนแม่บ้านรองของพวกนางเป็นแม่บ้านใหญ่ทันที สั่งเพียงแค่ให้พวกนางทำหน้าที่ให้ดี ครัวใหญ่ยังคงจัดการแบบเดิม ส่งหญิงแซ่เฉินผู้หนึ่งมารับผิดชอบเพียงแค่อาหารของฮูหยินใหญ่กับคุณชายใหญ่ ทั้งหมดที่เหลือไม่ยุ่งเกี่ยว
แรกเริ่มพวกนางยังไม่กล้าเชื่อ ฮูหยินตระกูลใดบ้างได้อำนาจดูแลครัวใหญ่แล้วไม่แทรกคนสนิทของตัวเองเข้ามาขูดรีดผลประโยชน์อย่างกำเริบเสิบสาน ฮูหยินใหญ่จะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไร แม้ว่าแม่บ้านซุนจะได้เลื่อนขั้นให้เป็นแม่บ้านใหญ่ แต่กลับไม่กล้าตัดสินใจเอง ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนไปปรึกษาพี่เฉิน ทว่าพี่เฉินกลับไม่ออกความเห็นใดๆ เหมือนอย่างที่นางได้พูดไว้
เวลานานเข้า ทุกคนก็ดูออกแล้วว่าพี่เฉินไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครัวใหญ่จริงๆ ส่วนฮูหยินใหญ่ก็ไม่ได้เห็นผลประโยชน์ของครัวใหญ่อยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่วางใจก็เกรงใจพี่เฉินมากยิ่งขึ้น มีผลประโยชน์อะไรล้วนแต่แบ่งให้นางด้วยตัวเอง อีกทั้งอาหารที่ส่งไปยังเรือนเสิ่นเวยก็ยังตั้งใจทำอย่างถึงที่สุด
แน่นอน นี่ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง
พูดเรื่องครัวใหญ่เสร็จเสิ่นเวยเองก็ไม่ได้ว่าง พระชายาจิ้นอ๋องเป็นลมแล้ว ลูกสะใภ้เช่นนางย่อมต้องไปดูแลคนป่วย มิเช่นนั้นจะไม่มีความกตัญญูอย่างมาก
ตอนที่เสิ่นเวยไปถึงเรือนพระชายาจิ้นอ๋อง อู๋ซื่อกับหูซื่อก็อยู่ก่อนแล้ว กำลังล้อมพระชายาจิ้นอ๋องถามไถ่อาการอยู่
“น้องสะใภ้รอง น้องสะใภ้สามมาเร็วเพียงนี้เลยหรือ เสด็จแม่ท่านเป็นอะไรไป อยู่ดีๆ เป็นลมไปได้อย่างไร หาหมอแล้วหรือยัง ว่าอย่างไรบ้าง ลูกได้ข่าวช้าเล็กน้อย มาช้าไปเล็กน้อย ท่านแม่ท่านอย่าตำหนิ” เสิ่นเวยกล่าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง
เมื่อได้ยินเสียงของเสิ่นเวย พระชายาจิ้นอ๋องก็หนังตากระตุกอย่างไม่มีเหตุผล เค้นรอยยิ้มที่อ่อนเพลียกล่าว “ไม่เป็นไร คาดว่าคงจะเหนื่อยเกินไป เมื่อคืนพักผ่อนไม่พอ ลุกจากเตียงเร็ว ดูพวกเจ้าแต่ละคนทำราวกับเป็นเรื่องใหญ่ หมอบอกว่าพักผ่อนไม่กี่วันก็หายแล้ว”
อู๋ซื่อขมวดคิ้ว ไม่เห็นด้วย “ดูหน้าเสด็จแม่ซีดเผือด ไหนเลยจะไม่เป็นไร เสด็จแม่ท่านต้องพักผ่อนให้ดีตามที่หมอว่า” นางดูแลงานส่วนหนึ่งในจวน รู้มารางๆ ว่าก่อนแม่สามีเป็นลมคล้ายมีปากเสียงกับท่านอ๋อง
เสิ่นเวยเองก็ย่นใบหน้าเล็กๆ พยักหน้าคล้อยตาม “ใช่แล้วๆ น้องสะใภ้รองพูดถูกต้อง พักผ่อนเพียงพอแล้วจะไม่เป็นไรได้อย่างไร เสด็จแม่อย่าคิดว่าร่างกายตนไม่เป็นไร เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะเสียใจทีหลัง” นางกล่าวอย่างตั้งใจ
หูซื่อที่อยู่บำรุงครรภ์ในเรือนเพียงผู้เดียวไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ยังคิดว่าแม่สามีเหนื่อย กล่าวด้วยความละอายใจ “ผิดที่ลูกร่างกายไม่ดี ไม่อาจช่วยเสด็จแม่แบ่งเบาภาะระได้ กลับทำให้เสด็จแม่เหนื่อยจนเป็นลม”
หูซื่อกำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งครรภ์ยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก ตั้งแต่ที่ตั้งท้องมาจนตอนนี้ก็เกือบจะสามเดือนแล้ว ตกเลือดมาสองครั้งแล้ว ยังดีที่ไม่มีอันตราย พระชายาจิ้นอ๋องคาดหวังกับท้องนี้ของนางอย่างมาก ย่อมต้องสั่งให้นางพักผ่อนอยู่ในเรือน ไม่ให้นางทุกข์ใจใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่การเคารพทุกวันก็ยังให้นางเลี่ยง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นภาพหลอนของพระชายาจิ้นอ๋องหรือว่าอะไร นางมักจะรู้สึกว่าตอนที่เสิ่นซื่อพูดคำว่าพักผ่อนสองคำนี้ไม่เข้าหูมากเป็นพิเศษ ท่านอ๋องลงโทษนางไม่ให้ออกจากเรือนหากไม่มีธุระ ก็ต้องพักผ่อนมิใช่หรือ หรือว่าเสิ่นซื่อรู้อะไรเข้าแล้ว เมื่อฟังคำพูดของนางต่อ อะไรคือเสียใจทีหลัง นี่ไม่ได้เป็นการสาปแช่งให้นางเป็นอะไรหรือ แม้แต่พูดยังพูดไม่เป็น โชคร้ายนัก
“ภรรยาโย่วเอ๋อร์เป็นห่วงแล้ว ข้าป่วยคราวนี้คงต้องพักหลายวัน งานอื่นๆ ในจวนก็มีภรรยาเยี่ยเอ๋อร์แล้ว ข้าไม่เป็นห่วง มีแต่ครัวใหญ่ที่ข้าไม่วางใจ เจ้าเป็นคนฉลาด งานในครัวใหญ่นี้ก็ลำบากเจ้าแล้ว” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวหยั่งเชิง
พี่สะใภ้ใหญ่ดูแลครัวใหญ่งั้นหรือ หัวใจของอู๋ซื่อกับหูซื่อเต้นพร้อมกัน โดยเฉพาะอู๋ซื่อ นางมองเสิ่นเวยปราดหนึ่งก็หลุบตาลง ดูความรู้สึกในแววตาของนางไม่ออก
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะในใจ เห็นชัดๆ ว่าท่านอ๋องสั่งให้นางดูแลครัวใหญ่ เหตุใดถึงกลายเป็นพระชายาไหว้วานนางแล้วเล่า ปิดทองหน้าตัวเองเก่งจริงๆ
“เฮ้อ ลูกไหนเลยจะเคยทำงาน แต่เพื่อแบ่งเบาภาระเสด็จแม่แล้ว ทำให้เสด็จแม่สบายใจพักฟื้นได้ ลูกก็ทำได้เพียงพยายามรับงานนี้ต่อ ลูกไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังต้องให้เสด็จแม่ชี้แนะเยอะๆ” เสิ่นเวยพูดอย่างจริงจัง หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ยายหม่าผู้นั้นในครัวใหญ่ทำผิดพลาดถูกท่านอ๋องลงโทษแล้ว ลูกจึงเลื่อนขั้นแม่บ้านรองขึ้นมาเติมที่ว่างของนาง งานทั้งหมดในครัวใหญ่ยังคงจัดการเหมือนตอนที่เสด็จแม่ดูแล ใครควรทำอะไรก็ทำเช่นนั้น ตรงไหนเกิดข้อผิดพลาดข้าก็จะหาเพียงแค่คนผู้นั้นที่รับผิดชอบ อ้อจริงสิ ลูกยังส่งพี่เฉินข้างกายไปด้วย นางรับใช้ข้างกายลูกมาหลายปีแล้ว รู้รสนิยมของข้า ลูกจึงให้นางดูแลอาหารของลูกกับคุณชายใหญ่เป็นพิเศษ”
หนังตาของพระชายาจิ้นอ๋องกระตุกอีกครั้ง เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าในคำพูดของเสิ่นซื่อมีเจตนาอยู่เล่า หรือว่าเสิ่นซื่อผู้นี้จะซื่อเป็นแมวนอนหวด หรือว่าจะดวงชะตาของเสิ่นซื่อจะขัดกับนางเล็กน้อยเหมือนอย่างที่แม่นมซือพูดไว้จริงๆ เสิ่นซื่อดีแล้วแต่นางกลับดีไม่ได้ ดูสิ ตั้งแต่นางเข้าจวนมา ชีวิตของตนก็ไม่ราบรื่น เช่นนั้นหากเสิ่นซื่อโชคร้ายนางก็จะโชคดีใช่หรือไม่
พระชายาจิ้นอ๋องคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง ใช่แล้ว ดวงชะตาของเสิ่นซื่อไม่ถูกกับนาง ตอนที่พระราชทานสมรสไม่ใช่ว่ากันว่าเสิ่นซื่อดวงแข็งหรอกหรือ นางคิดถึงตรงนี้ ในใจก็ตัดสินใจได้แล้ว
ตอนที่ 229-2 ดูแลคนป่วย
ตอนที่แม่นมซือเชิญเสิ่นเวยอย่างนุ่มนวลว่าให้อยู่ดูแลไข้พระชายาตอนกลางคืน เสิ่นเวยก็เตรียมใจไว้นานแล้ว แม่นมซือผู้นั้นกลัวนางจะคิดมาก ยังพยายามอธิบายต่อ “ข้างกายฮูหยินซื่อจื่อยังต้องเลี้ยงคุณหนูสองคน ปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ ฮูหยินสามก็ตั้งครรภ์อยู่ ไม่ควรออกแรงเยอะ ทำได้เพียงลำบากฮูหยินใหญ่อยู่ช่วยยกน้ำชาส่งของให้พระชายาแล้ว”
เสิ่นเวยโบกมืออย่างไม่สนใจ กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ดูแม่นมซือพูดเข้า ดูแลไข้เสด็จแม่เป็นหลักกตัญญูที่ลูกควรมี น้องสะใภ้รองน้องสะใภ้สามคนหนึ่งปลีกตัวไม่ได้ คนหนึ่งตั้งครรภ์อยู่ คนไม่มีภาระเช่นลูก ทั้งยังเป็นสะใภ้คนโต จะไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีได้อย่างไร หลีฮวา เจ้ากลับไปที่เรือนพวกเราเที่ยวหนึ่ง บอกคุณชายใหญ่ว่าคืนนี้ข้าไม่กลับเรือนแล้ว อยู่ที่นี่ดูแลเสด็จแม่ จากนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว ที่นี่ข้ามีเย่ว์กุ้ยก็พอแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้มาแทนเย่ว์กุ้ย”
ข้าวเย็นกินที่เรือนพระชายาจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องนอนอยู่บนเตียงย่อมลุกขึ้นไม่ได้ ทั่วทั้งเรือนก็มีเพียงเสิ่นเวยที่เป็นนายที่ถูกต้อง นางใช้พี่เฉินให้ส่งกับข้าวมาด้วยตัวเอง มีความสุขยิ่งนัก!
พระชายาจิ้นอ๋องตัดสินใจจะกลั่นแกล้งเสิ่นเวยแล้ว เพียงแค่เสิ่นซื่อไม่สมปรารถนาดวงของนางจึงจะดีขึ้น
เสิ่นเวยกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็เลี้ยวเข้ามาในห้องด้านใน พระชายาจิ้นอ๋องกำลังพิงหัวเตียง บนโต๊ะข้างเตียงวางข้าวต้มเนื้อแดงไว้หนึ่งถ้วย ไม่รอให้พระชายาจิ้นอ๋องเอ่ยปากเสิ่นเวยก็แย่งพูดขึ้นก่อน “แม่นางหวาเยียนยังชักช้าอยู่ไย กี่โมงกี่ยามแล้ว ยังไม่รีบปรนนิบัติเสด็จแม่ทานอาหารอีก”
หวาเยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังจะยกชามขึ้น ถูกแววตาของพระชายาจิ้นอ๋องหยุดไว้ แม่นมซือที่รู้ใจนางก็รีบกล่าว “ฮูหยินใหญ่ รบกวนท่านปรนนิบัติพระชายาทานอาหารเถิด เช่นนี้จะได้แสดงความกตัญญูของท่านได้”
“ได้สิ!” เสิ่นเวยยิ้มมองแม่นมซือปราดหนึ่ง ตอบด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง แต่ก็กล่าวเตือน “เสด็จแม่ อันที่จริงลูกอยากปรนนิบัติท่านทานอาหาร เพียงแต่อย่างไรเสียลูกก็ไม่ใช่คนรับใช้ ไม่เคยทำงานปรนนิบัติคนจริงๆ หากทำตรงไหนไม่ดีท่านก็อย่าได้ถือสาเลย”
พระชายาจิ้นอ๋องย่อมต้องบอกว่าไม่ถือสา ปากบอกว่าลำบากภรรยาโย่วเอ๋อร์แล้ว แต่ที่จริงในใจกลับพอใจยิ่งนัก
แต่ว่า ความพอใจของพระชายาจิ้นอ๋องกลับประคองไปได้เพียงแค่ชั่วครู่ เหตุใดน่ะหรือ ข้าวต้มเนื้อแดงหนึ่งถ้วยป้อนได้ไม่ถึงครึ่งก็หกลงเสื้อผ้าบนร่างพระชายาและผ้าไหมที่ห่มอยู่
ใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องดำราวกับก้นหม้อแล้ว เสิ่นซื่อผู้นี้ตั้งใจใช่หรือไม่ นางเห็นชัดเจนอย่างยิ่ง ช้อนคันนั้นยื่นมาทางปากนาง เหตุใดถึงดันหกลงบนเสื้อ บนผ้าห่มของนางได้เล่า นี่ยังดี มีสองช้อนที่หกลงบนจมูกนาง ทำให้หน้าของนางเหนียวหนึบไม่สบายอย่างถึงที่สุด
“พอแล้ว พอแล้ว เจ้าวางลงเถอะ หวาเยียนเข้ามาปรนนิบัติ” พระชายาจิ้นอ๋องผลักเสิ่นเวยหนึ่งครา น้ำเสียงกลายเป็นหยาบกระด้างขึ้นมาทันที
ทว่าเสิ่นเวยกลับน้อยใจอย่างถึงที่สุด “เสด็จแม่ ลูกบอกแล้วว่าปรนนิบัติคนไม่เป็น ไม่มีประสบการณ์ ท่านบอกเองว่าท่านไม่ถือสา”
พระชายาจิ้นอ๋องมองสีหน้าที่ร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อนั่นของเสิ่นเวย ในใจก็เสมือนยัดตะกั๋วหนึ่งก้อนใหญ่เอาไว้ อย่าว่าแต่อึดอัดใจเลย “พอแล้ว ข้าไม่ได้ว่าเจ้า นั่งพักอยู่ข้างๆ เถอะ” หวาเยียนหวาอวิ๋นเข้ามาปรนนิบัติ” ตีไม่ได้ว่าไม่ได้ ซ้ำยังต้องใจกว้างเมตตาบอกว่าไม่ถือสา ความรู้สึกของพระชายาจิ้นอ๋อง หึๆ เจ้าสามารถหาคำมาอธิบายได้หรือไม่
เสิ่นเวยนั่งลงบนเก้าอี้ราวกับถูกยกภูเขาออกจากอก อันที่จริงนางคิดจะนั่งบนตั่ง อย่างไรเสียตั่งก็นุ่ม นั่งสบาย แต่เสิ่นเวยมองอยู่นาน ที่ที่วางตั่งนุ่มไว้แต่เดิมกลับว่างเปล่า ชั่วขณะนางก็เข้าใจเจตนาของพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว
เหอะ แม้แต่ตั่งนุ่มก็ย้ายออกไป คิดจะบังคับให้นางไม่นอนทั้งคืนงั้นหรือ หึ อย่าได้คิด! เสิ่นเวยกำชับเสียงต่ำข้างหูเย่ว์กุ้ยหลายประโยค เย่ว์กุ้ยพยักหน้าถอยออกไปแล้ว
หวาเยียนหวาอวิ๋น กระทั่งแม่นมซือพยุงพระชายาจิ้นอ๋องไปล้างหน้าด้วยกัน เปลี่ยนชุด จากนั้นก็เปลี่ยนผ้าห่ม ทำเยอะแยะมากมายเช่นนี้ ข้าวต้มเนื้อแดงชามนั้นก็เย็นชืดนานแล้ว ทำได้เพียงสั่งให้ครัวใหญ่ส่งมาอีกหนึ่งถ้วย
ของที่เข้าเรือนนายล้วนแต่ต้องตรวจสอบ แม้ว่าจะไม่ทานก็ต้องทำก่อน เพียงแต่ระหว่างทางไปกลับก็ต้องใช้เวลาแล้ว ตอนที่รอข้าวต้มเนื้อแดงชามที่สองส่งมา พระชายาจิ้นอ๋องก็หิวจนท้องร้อง นางให้หวาเยียนป้อนกินอย่างเอร็ดอร่อย!
พระชายาจิ้นอ๋องกินข้าวต้มเนื้อแดงเสร็จแล้วยังรู้สึกว่าไม่พอ กำลังจะเอ่ยปากขออีก เสิ่นเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กล่าว “เสด็จแม่ ท่านยังป่วยอยู่ ค่ำเพียงนี้แล้วทานเยอะเดี๋ยวอาหารจะไม่ย่อย”
แม่นมซือเองก็โน้มน้าว “ฮูหยินใหญ่พูดถูก หากพระชายาชอบทานข้าวต้มนี้ พรุ่งนี้เช้าค่อยให้ครัวใหญ่ทำอีกก็ได้” แม้แต่หวาเยียนหวาอวิ๋นก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้นางกินเยอะ พระชายาป่วยแล้ว หากยังกินอีก เช่นนั้นก็จะเป็นความผิดของคนเป็นบ่าวเหล่านี้เช่นพวกนาง
พระชายาจิ้นอ๋องอัดอั้นใจยิ่งนัก นางยังหิวอยู่เลย จะอาหารไม่ย่อยได้อย่างไร นางโวยวายจะกินอีกถ้วย
เสิ่นเวยอดทนเกลี้ยกล่อม “เสด็จแม่ ท่านอย่าละเลยร่างกายตนเอง ท่านกินไปหนึ่งถ้วยแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ต้องดื่มยา ไม่อาจทานได้อีกแล้ว หากท่านอยากทานจริงๆ รออีกสองชั่วยามได้หรือไม่”
แม่นมซือและคนอื่นๆ เองก็คิดว่าพระชายาป่วยอารมณ์ไม่ดีหงุดหงิด จึงพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้นางกินอีก ทำเอาพระชายาจิ้นอ๋องโมโห หน้าเขียวจัดแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้พระชายาจิ้นอ๋องจึงยิ่งเห็นเสิ่นเวยไม่เข้าตา หากบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่กลั่นแกล้งนางให้ตนเปลี่ยนชะตา แต่ตอนนี้น่ะหรือ เหอๆ ต่อให้จะเปลี่ยนชะตาไม่ได้พระชายาจิ้นอ๋องก็ต้องทรมานเสิ่นเวยอย่างโหดเ**้ยม
“ภรรยาโย่วเอ๋อร์ เสด็จแม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าเข้ามาปรนนิบัติแม่หน่อย” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวด้วยเจตนาร้าย ป้อนข้าวไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าจะทำไม่เป็นแม้แต่พยุงคนกระมัง อ้อ ที่บอกว่าเปลี่ยนเสื้อก็ต้องไปห้องน้ำอย่างไรเล่า!
“ได้สิๆ เสด็จแม่ ให้ลูกช่วยพยุงท่าน ท่านระวังหน่อย!” เสิ่นเวยเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง ประคองจิ้นพระชายาลงจากเตียง
เมื่อเท้าของพระชายาจิ้นอ๋องแตะพื้นก็กดแรงทั้งร่างลงไปบนตัวเสิ่นเวยทั้งหมด เสิ่นเวยดีใจในชั่วขณะ เอ๋ พระชายาจิ้นอ๋องคิดจะทำอะไร เป็นคนสองภพ คนที่สนิทกับนางทั้งหมดต่างก็ไม่มีทางเล่นลูกไม้นี้ต่อหน้านาง จำใจต้องบอกว่าพระชายาจิ้นอ๋องเป็นผู้ไม่รู้จึงไม่กลัว!
มา จุดเทียนให้คนฉลาดไม่หวาดกลัวอย่างพระชายาจิ้นอ๋อง
ดวงตาเสิ่นเวยมีประกายเจ้าเล่ห์แวบผ่าน ขาอ่อน เท้าโซเซ ร่างทั้งร่างก็ล้มตามลงไปข้างๆ ด้วยฝีมือของนางล้มลงไปได้สิแปลก แม่นมซือและคนอื่นๆ เห็นนางล้มลงบนพื้น อันที่จริงนางเพียงแต่แตะพื้นเบาๆ กลับเป็นพระชายาจิ้นอ๋องที่ถูกนางพยุงถูกนางดึงจนล้มลงบนพื้นอย่างแรง
“โอ๊ย เสด็จแม่ท่านหนักจริงๆ ทำลูกล้มเลย หวาเยียน หวาอวิ๋น ยังยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบมาช่วยพยุงพระชายาขึ้นอีก ข้าคนเดียวพยุงนางไม่ไหว” เสิ่นเวยคลานขึ้นมาจากพื้นไปดึงพระชายาจิ้นอ๋องอย่างรวดเร็ว เรี่ยวแรงนั้น ดึงจนแขนพระชายาจิ้นอ๋องแทบจะหักแล้ว “เสด็จแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
พระชายาจิ้นอ๋องเจ็บจนพูดไม่ออก ครู่ใหญ่จึงถอนหายใจหนึ่งครา ถลึงตามองเสิ่นเวยอย่างแรงปราดหนึ่ง ไม่กล้าให้นางพยุงอีกแล้ว
เสิ่นเวยลูบจมูกไม่โกรธ กลับไปนั่งบนเก้าอี้ต่ออย่างอารมณ์ดี ซ้ำยังพูดกับเย่ว์กุ้ย “พระชายาป่วยอารมณ์ไม่ดี ข้าเป็นชนรุ่นหลังไหนเลยจะคิดเล็กคิดน้อยกับนางได้”
พระชายาจิ้นอ๋องเปลี่ยนชุดออกมาได้ยินนางพูดประโยคนี้พอดี แทบจะสะดุดล้มอีกครั้ง
พระชายาจิ้นอ๋องพยายามใช้ลูกไม้ทั้งหมดที่มี ประเดี๋ยวก็อยากดื่มน้ำ ประเดี๋ยวก็อยากเปลี่ยนเสื้อ ประเดี๋ยวก็เจ็บเอว…ไม่ว่าอย่างไรก็เอาลูกไม้ทั้งหมดที่คิดได้ออกมาใช้ เสิ่นเวยนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ใช้แม่นมซือ หวาเยียนหวาอวิ๋นจนวิ่งกันชุลมุน
หากพระชายาจิ้นอ๋องเรียกนางไปรับใช้ นางเองก็ไม่หงุดหงิด เข้าไปด้วยความยินดี เพียงแต่มักจะเกิดสถานการณ์เล็กน้อย ไม่ชาหกบนตัวนาง ก็นวดนางจนร้องโอดโอย
ผ่านไปสองครั้งพระชายาจิ้นอ๋องก็ไม่กล้าให้นางมารับใช้อีก แต่ก็ยังไม่ถอดใจ คิดว่าในเมื่อรับใช้ไม่ได้เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้นอนเสียเลย
ความคิดนี้ของนางยังไม่ทันแวบผ่านสมอง ก็เห็นหญิงชราใช้แรงงานสองคนยกตั่งนุ่มหนึ่งตัวเข้ามาแล้ว “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะให้วางไว้ตรงไหน”
เสิ่นเวยชี้มือ “อ้อ ตรงนั้นแล้วกัน” ตำแหน่งที่นางชี้ตรงกับตำแหน่งที่วางตั่งนุ่มก่อนหน้านี้พอดี
“เสด็จแม่ ลูกของงีบครู่หนึ่ง สะสมแรงตอนกลางคืนจะได้รับใช้ท่าน มีอะไรท่านก็เรียกลูกได้” พูดจบก็ปีนขึ้นตั่งนุ่มอย่างมีความสุข เย่ว์กุ้ยดึงผ้าห่มเย็นคลุมให้นาง ไม่นานนักเสียงหายใจที่เสมอกันก็ดังขึ้นมา
พระชายาจิ้นอ๋องโมโหแล้ว ทุบผ้าห่มอย่างแรงสองครั้ง ยิ่งไม่ยินยอม
คืนนี้ พระชายาจิ้นอ๋องไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กลั่นแกล้งเสิ่นเวยครั้งหนึ่ง เสิ่นเวยเป็นใครกัน เวลาปฏิบัติหน้าที่สามวันสามคืนไม่นอนยังได้ หากง่วงมากจริงๆ ยืนเงียบครู่หนึ่งก็สบายขึ้นแล้ว ยังจะกลัวพระชายาจิ้นอ๋องกลั่นแกล้งอีกหรือ
นางถูกปลุกตื่นก็ไม่ลุกขึ้น เท้าศีรษะนอนอยู่บนตั่งสั่งหวาเยียนหวาอวิ๋นให้ทำงานโดยตรง ส่วนเย่ว์กุ้ย นางไม่มีอะไรให้ต้องเรียกใช้อย่างสิ้นเชิง
ตอนที่ 230-1 ฉีกหน้าจนถึงที่สุด!
เช้าตรู่วันที่สอง เสิ่นเวยลงมาจากตั่งนุ่มอย่างมีชีวิตชีวา นางแสร้งทำเป็นยืดเส้นยืดสาย กล่าวอย่างขัดเคือง “ปรนนิบัติเสด็จแม่ทั้งคืนเหนื่อยแทบตายเลยจริงๆ”
พระชายาจิ้นอ๋องที่ใต้ตาดำคล้ำเป็นดวงใหญ่ ท่าทางหมดอาลัยตายอยากได้ยินประโยคนี้แล้วก็แทบจะหายใจไม่ออก หวาเยียนกับหวาอวิ๋นที่ซีดเซียวทั้งใบหน้าก็มีท่าทางประหนึ่งเห็นผี
ฮูหยินใหญ่ ท่านพูดประโยคนี้ได้รู้มโนธรรมของตนเองหรือไม่ ท่านได้ปรนนิบัติพระชายาด้วยหรือ ท่านเพียงแค่พิงอยู่บนตั่งนุ่มขยับปาก งานล้วนแต่เป็นพวกข้าที่ทำ พวกข้าจึงจะเป็นคนที่ไม่ได้หลับตาเลยทั้งคืน
ส่วนแม่นมซือ นางอายุมากแล้ว อยู่ไม่ไหว กลางดึกก็หาข้ออ้างออกไปงีบแล้ว งานที่รับใช้พระชายาล้วนแต่ทิ้งไว้ให้หวาเยียนหวาอวิ๋นสองคน ทรมานมาตลอดทั้งคืน แม่นางที่งดงามสดใสสองคนประหนึ่งบุปผาที่ขาดน้ำ ไร้ชีวิตชีวา
หากเสิ่นเวยรู้คำพูดในใจของหวาเยียนหวาอวิ๋นจะต้องแสยะปากเป็นแน่ ใครบอกว่านางไม่ลำบาก เจ้าขยับปากไม่เหนื่อยหรือ ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่นางกำลังจะหลับก็ถูกปลุกตื่น ไม่มีใครรู้ว่านางที่มีอาการหงุดหงิดตอนตื่นทรมานมากเพียงใด นางอยากจะฆ่าคนแล้วรู้หรือไม่
ตอนที่พระชายาจิ้นอ๋องง่วงจนหนังตาลืมไม่ขึ้นแล้ว ไม่มีแรงทรมานเสิ่นเวยต่อแล้วเช่นกัน นี่ทำให้หวาเยียนหวาอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกหนึ่งครา ตลอดทั้งคืนนี้พวกนางนับว่าได้เห็นแจ่มแจ้งแล้ว พระชายาคิดจะทรมานจัดการฮูหยินใหญ่ แต่ฮูหยินใหญ่เองก็ไม่รู้ว่ามีความสามารถเหนือชั้นหรือว่าเป็นคนโง่ที่มีวาสนาของคนโง่ อย่างไรเสียสุดท้ายแล้วฮูหยินใหญ่ก็ไม่เหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว กลับทรมานพวกนางสองสาวใช้ไม่เบา ตอนนี้พระชายาหยุดแล้ว พวกนางเองก็สามารถพักผ่อนได้สักงีบแล้ว!
เสิ่นเวยไม่สนใจว่าพวกนางจะคิดอย่างไร สายตาของนางกวาดมองบนร่างของสาวใช้ทั้งสองรอบหนึ่ง ในใจสงสารสุดขีด จุ๊ๆๆ น่าสงสารยิ่งนัก เพียงแค่คืนเดียวก็แห้งเ**่ยวจนเป็นเช่นนี้ ดูท่าแล้วข้างกายพระชายาจิ้นอ๋องจะไม่ได้อยู่ง่ายเพียงนั้น!
มองสาวใช้เสร็จก็มองพระชายาจิ้นอ๋อง อย่างไรเสียนางก็มีอายุแล้ว ไม่ใช่สตรีอายุน้อยเช่นหวาเยียนหวาอวิ๋น เอ๋ รอยย่นบนใบหน้าของจวิ้นพระชายาปรากฏออกมาแล้ว ใต้ตาดำคล้ำ ชั่วพริบตาก็แก่ลงสิบปีเป็นอย่างต่ำ อารมณ์ของเสิ่นเวยดีอย่างยิ่ง มุมปากยกขึ้นสูง กล่าวด้วยความเคารพและสนิทสนม “เสด็จแม่ ให้ลูกพาท่านไปล้างหน้าบ้วนปากเถอะ ท่านอยากดื่มชาก่อนหรือว่าอยากไปเปลี่ยนชุดก่อน”
พระชายาจิ้นอ๋องพยายามรวบรวมกำลัง อยากจะฉีกใบหน้ายิ้มแย้มขัดหูขัดตาใบนี้ตรงหน้ายิ่งนัก กล่าวในใจ ข้าไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น แค่อยากนอน ทรมานตลอดทั้งคืนนี้ นางเองก็เหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด ผ่านคืนนี้ไป นางนับได้ว่าเห็นแจ่มแจ้งแล้ว เสิ่นซื่อผู้นี้ไหนเลยจะอ่อนแอควบคุมง่ายเล่า เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์กลับกลอก! คาดไม่ถึงว่าแม้แต่นางก็ยังเคยถูกหลอก มิน่าเล่าถึงสามารถเข้าตาเด็กชั่วผู้นั้นได้ ท่านอ๋องยังคิดว่านางเป็นคนดีอยู่เลย หึ คิดว่านางไม่กล้าถลกหน้ากากของนางหรือ
พระชายาจิ้นอ๋องโมโหจนพูดไม่ออก เสิ่นเวยก็ยิ่งสบายใจ ยังคิดจะยั่วยุนางอีกหลายประโยค หวาเยียที่เป็นกังวลก็รีบกล่าว “ไหนเลยจะต้องให้ฮูหยินใหญ่ลงมือด้วยตัวเอง มีพวกบ่าวอยู่ทั้งคน” ฮูหยินใหญ่ ท่านรีบไปเถิด ท่านไปแล้ว พระชายาก็จะหยุด บ่าวทั้งหลายจึงจะสงบจิตใจได้เสียที!
หากให้ฮูหยินใหญ่ลงมือจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ท้ายที่สุดคนที่ต้องโทษลำบากก็ยังคงเป็นพวกนางบ่าวรับใช้เหล่านี้ หวาเยียนฉลาดกว่าหวาอวิ๋นมาก ไหนเลยจะดูไม่ออกว่าฮูหยินใหญ่ตั้งใจ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดหายนะซ้ำซ้อนนางไหนเลยจะกล้าให้ฮูหยินใหญ่ลงมืออีก!
พระชายาจิ้นอ๋องเองก็พยายามเอ่ยปาก เสียงแหบพร่าคลุมเครือ ราวกับฉินห้าสายที่ไม่เคยบรรเลง “เจ้าไปพักเถิด มีหวาเยียนหวาอวิ๋นอยู่” นางไม่กล้าให้เสิ่นซื่อปรนนิบัติอีกแล้ว เมื่อคืนหกล้มไปคราวนั้นกระดูกสันหลังของนางยังเจ็บจนถึงตอนนี้
เสิ่นเวยยกมุมปากเบาๆ อธิบายอย่างดีว่าอะไรที่เรียกว่า ‘ได้รับผลประโยชน์แล้วไม่รู้จักขอบคุณ’ “ในเมื่อเสด็จแม่เห็นใจลูกเช่นนี้ เช่นนั้นลูกก็ซาบซึ้งในพระคุณของเสด็จแม่”
ในดวงตาที่มองกันและกันของสองแม่ยายลูกสะใภ้มองเห็นความแหลมคมทั้งสองฝ่าย
ในตอนนี้เองอู๋ซื่อก็เข้ามาเคารพพอดี ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ ถือโอกาสกล่าว “น้องสะใภ้รองมาแล้ว กลางวันก็ให้เจ้าดูแลเสด็จแม่แล้วกัน ข้าอยู่ไม่ไหวจริงๆ กลับไปพักพ่อสักครู่ ตอนค่ำข้าจะมาแทนเจ้าใหม่”
อู๋ซื่อเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ขยี้ตาหาว ถูกสาวใช้ประคองท่าทางกำลังจะหกล้ม ก็รีบกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่วางใจกลับไปนอนพักเถิด เสด็จแม่มีข้าดูแล”
อันที่จริงแล้วนางจึงจะเป็นสะใภ้ลูกชายคนโตของแม่สามี หากยังกตัญญูไม่เท่าภรรยาลูกเลี้ยง อาจถูกคนติฉินนินทาเอาได้ อู๋ซื่อผู้ที่ห่วงทุกด้านเช่นนี้จะปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่เห็นหรือว่า เช้าตรู่นางไม่กินแม้แต่ข้าวเช้าก็รีบเข้ามาดูแลแล้ว
ส่งพี่สะใภ้ใหญ่ออกจากระเบียงทางเดิน อู๋ซื่อก็กลับไปในห้องด้านในเห็นความซีดเซียวบนใบหน้าของแม่สามี ชั่วขณะก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง “เสด็จแม่เป็นอะไรไป เมื่อคืนอาการป่วยกำเริบหนักหรือ เร็ว รีบไปส่งข่าวให้ท่านซื่อจื่อ ให้เขาเชิญหมอหลวงจากในวังมา”
พระชายาจิ้นอ๋องรีบโบกมือ เคลื่อนไหวแรงเกินไปเล็กน้อย นางรู้สึกเพียงมึนหัวตาลาย เบื้องหน้าดำมืด ร่างอ่อนแรงล้มลงไปบนหมอน
อู๋ซื่อยิ่งร้อนใจแล้ว ถลึงตามองหวาเยียนหวาอวิ๋นที่ยืนนิ่งไม่ขยับ “ยังยืนบื้อทำอะไรอยู่ ไม่ได้ยินที่นายพูดหรือ” พลางเข้าไปพยุงแม่สามี หากแม่สามีเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร คิดๆ แล้วนางก็กล่าวต่อ “ไป ไปส่งข่าวให้ท่านอ๋องด้วย”
“ไม่ ไม่ต้องไป” พระชายาจิ้นอ๋องปวดหัวแทบจะระเบิด ดึงแขนเสื้อของอู๋ซื่อแน่น พยายามพูดคำไม่กี่คำนี้ออกมา
อู๋ซื่อรีบหมุนตัวโน้มน้าวนาง “เสด็จแม่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโกรธเสด็จพ่อ ท่านป่วยจนเป็นเช่นนี้แล้ว เลิกดื้อดึงเพียงนั้นได้แล้ว อีกอย่าง หากเสด็จพ่อทราบว่าลูกๆ ดูแลท่านไม่ดี จะไม่บันดาลโทสะหรือไร”
“อย่าไป” พระชายาจิ้นอ๋องยังคงดึงแขนเสื้อของอู๋ซื่อ ท่าทียืนกรานสุดขีด ทั้งยังบอกเป็นนัยแก่หวาเยียนหวาอวิ๋น
ทั้งสองหมดหนทาง ทำได้เพียงรวบรวมความกล้าก้าวขึ้นมากล่าว “ฮูหยินซื่อจื่อ พระชายาไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่เมื่อคืนนอนหลับไม่ดี ตอนนี้จึงอ่อนแรง ท่านออกไปก่อน ให้บ่าวปรนนิบัติพระชายานอนหลับสักตื่นก็คงจะดีขึ้นแล้ว”
อู๋ซื่อลังเล “จริงหรือ” บ่าวหนึ่งกลุ่มปรนนิบัติจะหลับไม่ดีได้อย่างไร เพียงแต่เห็นใต้ตาแม่สามีเป็นสีเขียวคล้ำยังมีท่าทางเหมือนนอนหลับไม่ดีจริงๆ
เมื่อนางมองเห็นสีหน้าของหวาเยียนหวาอวิ๋น ก็ตกใจอีกครั้ง
ต้องรู้ไว้ว่าสาวใช้ที่ถูกเลือกมาทำงานข้างกายพระชายาจิ้นอ๋องได้ อย่าว่าแต่มีใบหน้าเช่นไร อย่างน้อยๆ ก็ต้องหน้าตาสวยสดงดงามมิใช่หรือ หวาเยียนกับหวาอวิ๋นล้วนแต่เป็นหญิงงาม แม้จะเทียบหวาลู่กับหวาฉังไม่ได้ แต่ในหมู่สาวใช้ทั้งหมดก็นับว่าเป็นบุคคลชั้นดีแล้ว
แต่ตอนนี้หวาเยียนหวาอวิ๋นที่มีโฉมหน้างดงามกลับสีหน้าโรยรา ซีดเซียวอย่างกับอะไรดี นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หวาเยียนหวาอวิ๋นไหนเลยจะมองไม่เห็นความสงสัยในแววตาของฮูหยิน แต่พวกนางพูดอะไรได้หรือ นายท่านทั้งสองประมือกัน แม่สามีประมือกับลูกสะใภ้ ซ้ำแม่สามียังพ่ายแพ้ คำพูดเช่นนี้จะพูดออกไปต่อหน้าพระชายาจิ้นอ๋องได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าพระชายาหรอกหรือ
ตอนที่เสิ่นเวยกลับไปถึงเรือนสวีโย่วก็นั่งรอนางอยู่ข้างโต๊ะอาหารแล้ว เห็นสีหน้าของนางยังดีอยู่จึงวางใจลง เมื่อคืนเขาได้ยินว่าพระชายาจิ้นอ๋องให้นางอยู่ดูแลกลางคืนก็เดือดดาลทันที น้องสะใภ้รองน้องสะใภ้สามไม่ดูแล ให้ภรรยาของเขาอยู่ดูแลเพียงคนเดียว ต้องการจะกลั่นแกล้งคนอ่อนแอหรือไร เขาอายุยี่สิบกว่าปีแล้วกว่าจะแต่งภรรยาที่ถูกใจได้ มิใช่ให้คนมาทำลาย
ยังคงเป็นหลีฮวาที่ถ่ายทอดเจตนาของเสิ่นเวยได้ทันเวลา บอกว่าฮูหยินให้เขาสงบจิตใจรออยู่ในเรือน นางมีแผนการของนาง
ตอนที่ 230-2 ฉีกหน้าจนถึงที่สุด!
สวีโย่วหยุดฝีเท้าชะงัก แม้ว่าเขาจะตัดใจปล่อยให้เสิ่นเวยลำบากไม่ได้ แต่ก็รู้นิสัยของเด็กคนนั้นเช่นกัน ในเมื่อนางพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็จะต้องมีแผนการแน่นอน หากตนดึงดันตามอำเภอใจทำเด็กคนนั้นเสียเรื่อง นางก็จะกางกรงเล็บใส่ตน
ทนแล้วทนอีกสวีโย่วจึงยอมไม่ไปเรือนของพระชายาจิ้นอ๋อง นอนอยู่บนเตียงห้องหอของคนทั้งสองหลังนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นอนไม่หลับ ปลายจมูกล้วนแต่เป็นกลิ่นหอมที่น่าหลงใหลของนาง แต่กลับรู้สึกว่าทั้งห้องเงียบเหงา ข้างกายขาดหายไปหนึ่งคน ในใจกลับคล้ายขาดหายไปหนึ่งช่องใหญ่ แม้แต่จันทร์ดวงนั้นบนฟากฟ้ายังดูเกียจคร้าน
สวีโย่วยิ้มเจื่อนอย่างอดไม่ได้ นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันน้องสี่แซ่เสิ่นก็ยึดครองตำแหน่งที่สำคัญเพียงนั้นในใจเขาไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรเขาที่ตัวคนเดียวจนเคยตัวคาดไม่ถึงว่าไม่ชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว นึกถึงน้องสี่แซ่เสิ่นที่บางครั้งก็ฉลาด บางครั้งก็เกียจคร้าน บางครั้งก็ไร้เหตุผล บางครั้งก็เจ้าเล่ห์ผู้นั้น ดวงตาของสวีโย่วก็มีความรักใคร่ที่ตัวเขาเองยังไม่รู้ตัวปรากฏขึ้นมา น้องสี่ เวยเวย สตรีที่เดินเคียงคู่เขาไปตลอดชีวิตผู้นี้!
เขาคิดนู่นคิดนี่พลิกกลับไปกลับมาเช่นนี้ทั้งคืน ฟ้าเพิ่งจะสางเขาก็ลุกจากเตียงแล้ว เรียกเจียงไป๋เข้ามาก่อน ให้เขาไปบอกครัวใหญ่ สั่งข้าวเช้าที่เสิ่นเวยชอบทานมาหนึ่งชุด หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมาอยู่ในห้องรอคอยด้วยความร้อนใจ หากไม่ใช่เพราะห่วงศักดิ์ศรีจริงๆ เขาก็คงจะไปต้อนรับคนที่หน้าประตูเรือนแล้ว
คนที่นอนหลับไม่สนิทเหมือนกันยังมีหลีฮวา ฮูหยินสั่งให้นางกลับจวนมารายงานและไม่อนุญาตให้นางกลับไปอีก ต่อให้ในใจนางจะไม่ยินยอมก็ไม่อาจขัดขืนคำสั่งของนายท่านได้ แต่เมื่อนางคิดว่าฮูหยินต้องดูแลพระชายา แม้แต่นอนหลับยันเช้ายังอาจจะไม่ได้นอน ไหนเลยจะยังมีอารมณ์นอนหลับอยู่อีก นอนอยู่บนเตียงพลิกไปมาราวกับปิ้งขนมปัง ทำให้เหอหวาที่อยู่ห้องเดียวกับนางเป็นกังวลไปด้วย กระทั่งหลังระฆังยามสามตีบอกเวลาจึงนอนหลับไปอย่างสะลึมสะลือ เช้าตรู่ตื่นขึ้นมาใต้ตาก็ล้วนแต่เหนื่อยล้าหนักหน่วง
“โอ้โห ของอร่อยมากมายขนาดนี้ ข้าหิวจะตายแล้วจริงๆ คุณชายใหญ่ ท่านดีต่อข้าจริงๆ ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก!” เสิ่นเวยเห็นว่าทั้งโต๊ะล้วนแต่เป็นอาหารที่นางชอบกิน ชั่วขณะก็เข้าใจความตั้งใจอันแรงกล้าของสวีโย่ว ในใจพอใจยิ่งนัก! นางหยิบตะเกียบคีบฮะเก๋าไส้กุ้งหนึ่งชิ้นเข้าปาก ยิ้มแย้มเบิกบาน “เรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตคนก็คือการได้กินฮะเก๋าไส้กุ้งทุกเช้า เรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตคนก็คือไม่เพียงแต่ได้กินฮะเก๋าไส้กุ้งทุกเช้า แต่ยังมีชายหนุ่มรูปงามอยู่เคียงข้าง” นางคุยโวโอ้อวดด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาจ้องมองสวีโย่ว ท่าทางลึกซึ้งจริงใจ
สวีโย่วมองเสิ่นเวยออดอ้อน จิตใจที่ร้อนรนเปล่าเปลี่ยวก็ร้อนรุ่มขึ้นทันที “รีบไปล้างหน้าบ้วนปากเถอะ ข้ารอกินข้าวกับเจ้า” ร่างกายเด็กคนนี้มักจะมีแรงดึงดูดชนิดหนึ่ง ขอเพียงแค่เป็นที่ที่นางอยู่ก็มักจะมีพลังเช่นนั้น แม้นางจะนอนหลับอยู่บนตั่งอย่างเกียจคร้าน แต่มองนางแล้ว ในใจก็รู้สึกสบายอย่างไม่อาจเทียบ
เสิ่นเวยบ่นพึมพำ “รอก่อน รอก่อน ให้ข้ากินอีกชิ้น” นางคีบฮะเก๋าไส้กุ้งอีกหนึ่งชิ้นเข้าปากจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องด้านใน
ส่วนเหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เห็นฮูหยินของพวกนางทำตัวอันธพาลใส่คุณชายใหญ่อยู่บ่อยครั้งจนชินตาแล้ว แม่นมมั่วบอกว่านี่เองก็เป็นความรักใคร่ของสามีภรรยาชนิดหนึ่งเช่นกัน ฮูหยินกับคุณชายใหญ่รักใคร่กลมเกลียวกับคุณชายใหญ่ได้ เป็นสิ่งพวกนางปรารถนาที่สุด
กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว สวีโย่วก็ไปเดินย่อยในลานบ้านเป็นเพื่อนเสิ่นเวย เสิ่นเวยสาธยายด้วยความร่าเริงเบิกบานว่าเมื่อคืนนางฝึกสมองประลองปัญญากับพระชายาจิ้นอ๋องอย่างไร “ท่านไม่เห็นสีหน้าของพระชายา ซีดเซียวราวกับดอกไม้สีเหลืองเมื่อวาน ข้าคิดว่าท่านอ๋องเห็นนางก็คงจะจำไม่ได้แล้ว”
แขวะพระชายาจิ้นอ๋องรหนึ่งอบแล้ว เสิ่นเวยก็หันหน้ายกยอตัวเองอย่างหน้าไม่อาย “เฮ้อ จะไปหาลูกสะใภ้ที่กตัญญูเช่นข้าได้อีกที่ไหน สะใภ้ตระกูลใดจะดูแลแม่สามีทั้งคืนได้ ข้าคิดว่าการกระทำนี้ควรค่าให้ป่าวประกาศยกย่อง คุณชายใหญ่ท่านคิดว่าอย่างไร” เสิ่นเวยจ้องมองสวีโย่วตาเขม็ง เสมือนกับว่าขอเพียงแค่เขากล้าปฏิเสธแม้แต่คำเดียวนางก็จะหยิกเขาตายทันที
สบสายตาที่ดุร้ายของเสิ่นเวย สวีโย่วก็กระแอมหนึ่งครา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเองก็คิดว่าฮูหยินสามารถเป็นแบบอย่างของสตรีมีคุณธรรมในเมืองหลวงได้ เจียงไป๋ ได้ยินที่นายพูดแล้วหรือยัง ยังไม่รีบไปจัดการอีก!”
เจียงไป๋ที่อยู่ห่างออกไปสิบก้าวแทบจะร้องไห้แล้ว คุณชายใหญ่ ใครกันที่รังเกียจบ่าวที่ขวางหูขวางตาให้บ่าวเดินห่างออกไปหน่อย ตอนนี้กลับหาว่าบ่าวไม่ได้ยินที่นายพูด คุณชายใหญ่ ท่านช่างรับใช้ยากเสียจริง โชคดีที่หูเขาดี มิเช่นนั้นคงจะไม่ได้ยินที่นายท่านพูดจริงๆ “ขอรับ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ก็แค่ไปแพร่ข่าวไม่กี่ประโยคข้างนอกมิใช่หรือ เรื่องพรรณ์นี้ตอนนี้เขาทำจนชำนาญแล้ว!
พระชายาจิ้นอ๋องนอนหลับทั้งวัน แม้แต่ข้าวยังทานบนเตียง ตอนพลบค่ำในที่สุดนางก็มีกำลังวังชาแล้ว สั่งสาวใช้ “ไปดูสิว่าฮูหยินใหญ่มาแล้วหรือยัง ให้นางรีบมาดูแลข้าได้แล้ว” ในน้ำเสียงมีความดีใจแฝงอยู่ เด็กชั่ว ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าแข็งแกร่ง ดูสิว่าคืนนี้ข้าจะทรมานเจ้าตายได้หรือไม่
สาวใช้ยังไม่ทันออกจากห้อง เสียงของเสิ่นเวยก็ดังขึ้นมาแล้ว “เสด็จแม่ ลูกมาดูแลท่านแล้ว! ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”
พระชายาจิ้นอ๋องเห็นเสิ่นเวยที่ก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ ทันใดนั้นก็ราวกับพ่อไก่ที่เข้าสู่สถานะเตรียมรบ ขนทั่วทั้งร่างก็ลุกชัน เค้นคำสองคำออกมาจากช่องฟัน “ไม่ดีแล้ว”
เสิ่นเวยถามอย่างมีน้ำจิตน้ำใจ “เสด็จแม่ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ”
“ข้าไม่สบายไปทั่วทั้งร่าง เวียนหัว ปวดเอว ขาก็เจ็บ เสิ่นซื่อยังไม่รีบมาทุบขาให้ข้าอีก” พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ไม่แต่งหน้าแล้ว เรียกเสิ่นซื่อเข้ามาทันที
เสิ่นกล่าวในใจ อยู่ดีๆ ก็นอนหลับทั้งวันจนปวดหลังปวดเอว เจ้าไม่สบายก็ถูกแล้วมิใช่หรือ
“เสด็จแม่แน่ใจหรือว่าจะให้ลูกช่วยทุบขา ลูกไม่เคยปรนนิบัติคนมาก่อน แรงที่มือไม่เบาไม่หนัก ท่านต้องให้อภัยด้วยนะเพคะ” เสิ่นเวยกล่าวเตือนอย่างหวังดี
“ครั้งแรกเพิ่งเริ่มครั้งที่สองชำนาญ ฝึกหลายๆ ครั้งก็เป็นแล้ว วางใจ แม่ไม่ตำหนิเจ้าหรอก” พระชายาจิ้นอ๋องกัดฟันกล่าว นางไม่ยมอปล่อยโอกาสหยามหน้าเสิ่นเวยไปจริงๆ
“เสด็จแม่พูดมีเหตุผล ลูกฝึกให้มากแล้วกัน เมื่อฝึกดีแล้วจะได้ไปปรนนิบัติคุณชายใหญ่ของพวกข้า” เสิ่นเวยยิ้มหวาน
มองเสิ่นเวยที่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ พระชายาจิ้นอ๋องก็หวาดกลัวในใจอย่างไม่มีสาเหตุ “ช่างเถอะ ไม่ต้องให้เจ้าทุบแล้ว เลี่ยงไม่ให้คุณชายใหญ่หาว่าข้าไม่เห็นใจเจ้า หวาเยียน เจ้ามาทุบขาให้ข้าแทน” นางไม่ลืมว่าเมื่อคืนเสิ่นซื่อเกือบจะนวดจนกระดูกนางหักแล้ว
เสิ่นเวยไม่อยากล้มเลิก “เสด็จแม่ ให้ลูกช่วยท่านทุบดีกว่า แม้ลูกจะไม่มีประสบการณ์ แต่ก็จริงใจยิ่งนัก”
“ไม่ต้อง” พระชายาจิ้นอ๋องปัดมือที่ยื่นเข้ามาของนางออกอย่างอารมณ์ไม่ดี “ให้หวาเยียนมาทุบดีกว่า”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณเสด็จแม่ยิ่งนักที่เห็นใจ” สีหน้าบนใบหน้าเสิ่นเวยเสียดายยิ่งนัก ซ้ำยังบ่นพึมพำเสียงเบาอีกหนึ่งประโยค “ยังคิดว่าจะได้ฝึกฝนกลับไปเอาใจคุณชายใหญ่เสียอีก” แม้เสียงจะเบา แต่คนทั้งหมดภายในห้องล้วนได้ยินหมดแล้ว
มือที่วางอยู่ข้างลำตัวของพระชายาจิ้นอ๋องกำแน่นทันที เด็กชั่วเจ้าคอยดูเถอะ ค่ำคืนยังอีกยาวไกล เจ้าสบายใจได้ นางคิดว่าตนนอนมาทั้งวันสะสมกำลังวังชาเต็มเปี่ยมกำลังชูมีดฉับพลันอยู่ แต่ไม่เคยคิดว่าเสิ่นเวยเองก็บำรุงกำลังวังชามารับศึกเช่นเดียวกัน
“สาวใช้ผู้นี้ไม่คุ้นหน้าเล็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงไม่พาเย่ว์กุ้ยกับหลีฮวามา” พระชายาจิ้นอ๋องเห็นว่าสาวใช้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังเสิ่นเวย ท่าทางอายุสิบสามสิบสี่ปี สวมชุดกระโปรงสีส้มอมแดง หน้าตาก็งดงาม หากโตกว่านี้อีกสองสามปีก็งามไม่ต่างจากหวาเยียนข้างกายนางเลย
เสิ่นเวยกล่าว “เรียนเสด็จแม่ เมื่อวานเย่ว์กุ้ยอดนอนมาทั้งคืนแล้ว ลูกจึงให้นางไปพักผ่อน บ่าวรับใช้ก็เป็นคนเหมือนกัน พวกเราเป็นนายไม่อาจปฏิบัติอย่างทารุณเกินไปได้ใช่หรือไม่ กลางวันหลีฮวากับเหอฮวาทำงานลำบากยิ่งนัก มีเพียงลั่วเหมยที่ไม่มีงาน ลูกจึงพานางมา ลูกมาที่เรือนเสด็จแม่ทั้งที จะขาดสาวใช้เรียกใช้ไปได้อย่างไร” อันที่จริงหลีฮวากับเหอฮวาไม่ได้มีงานอะไร ไม่ใช่เพราะนางสองคนนอนหลับไม่ดีเหมือนกันหรอกหรือ ตามนางมาก็ต้องอดนอนอีกหนึ่งคืน นางจึงเลือกลั่วเหมยที่ฉลาดหัวดีสามารถอดหลับอดนอนได้ผู้นี้มาแทน
คำพูดหนึ่งชุดทำให้พระชายาจิ้นอ๋องสำลักจนไม่สบายตัว และยังทำให้หวาเยียนกับหวาอวิ๋นอัดอั้นในใจจนสับสน อดตำหนิไม่ได้
ฮูหยินใหญ่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนรับใช้ พระชายากลับไม่ เรียกใช้พวกนางทั้งสองราวกับเป็นคนเหล็ก กลางวันแม้ว่านางทั้งสองจะสับเปลี่ยนกันนอนพัก แต่ขอเพียงพระชายาตื่นก็จะเรียกพวกนางมารับใช้ บวกกับงานในเรือนก็รอพวกนางไปดูแล ด้วยเหตุนี้พวกนางที่อดหลับอดนอนมาตลอดทั้งคืน กลางวันก็ต้องยุ่งทั้งวัน จนถึงตอนนี้พระชายาก็ยังไม่เอ่ยปากให้พวกนางบ่าวรับใช้ไปพักผ่อนเลย ดูท่าแล้วคืนนี้คนที่รับใช้ก็ยังคงเป็นพวกนางสองคน
สำหรับแม่นมซือ หึ วันนี้ยายแก่ผู้นั้นลาป่วยแต่เช้าแล้ว บอกว่าถูกลมเย็น กลัวว่าจะทำให้พระชายาติดหวัด จึงไม่มาเสีย คิดว่าใครไม่รู้บ้างว่านางแกล้งป่วย โชคดีที่พระชายาเชื่อใจนางเพียงนั้น ทั้งสองจึงคับแค้นในความไม่เป็นธรรม
เป็นสาวใช้รับใช้คนเหมือนกัน แต่เหตุใดชีวิตของเย่ว์กุ้ยถึงได้ดีเพียงนั้น หวาเยียนหวาอวิ๋นสบตากันปราดหนึ่ง มองเห็นความกลัดกลุ้มในดวงตาสองฝ่ายพร้อมกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น