อัจฉริยะสมองเพชร 2290-2293

 ตอนที่ 2290 หยดเลือดของ…

 

ขณะที่นกฟีนิกซ์สีดำกำลังพูด มิติโดยรอบก็ดูจะบีบอัดเข้ามา ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหายใจหายคอไม่ออก


จางเซวียนรู้สึกเหมือนกำลังแบกภูเขาลูกใหญ่ไว้บนแผ่นหลัง น้ำหนักของมันทำให้กระดูกสันหลังของเขาโค้งงออีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนว่าคงต้องยอมแพ้เร็วๆนี้


ต่อให้โลกทั้งโลกก็อาจแตกสลายเมื่อต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของจอมราชันย์


“หมอนั่นกล้าใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของฝ่าบาทระหว่างกระบวนการฟื้นคืนชีพของเขา?”


“อวดดีเหลือเกิน! คนๆหนึ่งจะทำเรื่องเหลวไหลขนาดนั้นได้อย่างไร?”


“ต่อให้ฝ่าบาทยังไม่ได้พละกำลังเดิมกลับคืนมา แต่ก็ยังคงมีรังสีของจอมราชันย์อยู่ในตัว หมอนั่นไม่กลัวผลจากแรงตีกลับบ้างหรือ?”


3 ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจ้องชายหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อ


เก้าจอมราชันย์คือจุดสูงสุดของวิวัฒนาการของโลกใบนี้ ต่อให้จอมราชันย์อมตะยังคงอยู่ในสภาวะอ่อนแอจากกระบวนการฟื้นคืนชีพของเขา แต่สายเลือดนั้นก็ยังเหนือชั้นเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะต้านทานได้ คนๆหนึ่งจะต้องโง่เง่าขนาดไหนถึงนำจุดอ่อนของจอมราชันย์มาบังคับให้กลายเป็นอสูรของตัวเอง?


และที่สำคัญกว่านั้น…เจตจำนงของจอมราชันย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นคืนชีพคิดอะไร ถึงยอมรับเรื่องแบบนี้ได้?


แต่เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของจอมราชันย์อมตะ พวกเขาจึงตัดสินใจปิดปากเงียบ


“ผมคือไก่น้อย ไม่ใช่จอมราชันย์อมตะ! เขาเป็นเจ้านายของผมนะ ใครหน้าไหนก็แตะต้องเขาไม่ได้ทั้งนั้น!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะหมดความอดทน เสียงคำรามก็ดังขึ้นกลางอากาศ ไก่น้อยกำลังดิ้นรนสุดตัวเพื่อยับยั้งนกฟีนิกซ์สีดำ


“แก…” นกฟีนิกซ์สีดำจ้องหน้าไก่น้อยอย่างงุนงง


ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เกิดจากตัวมัน


แต่ทำไมถึงโง่เง่าได้ขนาดนี้?


จอมราชันย์จะยอมรับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนหนึ่งเป็นเจ้านายได้อย่างไร? เสียเกียรติเหลือเกิน!


แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะหากไก่น้อยสีเหลืองตัวนี้ปฏิเสธ มันก็คงทำอะไรไม่ได้


ซึ่งหากปล่อยให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ต่อไป มันคงต้องยอมจำนนให้ชายหนุ่มและถูกบังคับให้รับใช้อีกฝ่าย!


รู้ดีว่าสถานการณ์ล่อแหลมขนาดไหน นกฟีนิกซ์สีดำตรึงร่างของไก่น้อยให้อยู่กับที่ขณะตะโกนลั่น “สังหารหมอนั่นเดี๋ยวนี้!”


ได้ยินคำนั้น สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเริ่มเคลื่อนไหวทันที พวกเขาตรงเข้าล้อมจางเซวียนไว้โดยไม่ลังเล


ทุกคนรู้ดีว่าความภักดีของพวกเขาอยู่ที่ไหน และจะไม่มีวันทำให้เจตจำนงของจอมราชันย์ต้องขุ่นเคือง


“พวกคุณกล้าดีอย่างไร…” ไก่น้อยกัดฟันขณะร้องออกมาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


ความทรงจำของมันยังไม่กลับคืนมา ความรู้สึกต่างๆจึงยังไม่เชื่อมโยงกับนกฟีนิกซ์สีดำ สำหรับไก่น้อย ผู้ที่สนิทสนมกับมันที่สุดก็คือนายท่าน ไม่มีทางที่มันจะยอมให้นายท่านถูกสังหาร


“แกกับฉันเติบโตจากต้นกำเนิดเดียวกัน ฉันอาจเป็นแค่เจตจำนงก็จริง แต่แกก็ยังไม่แข็งแกร่งพอจะสังหารฉันได้หรอก…” นกฟีนิกซ์สีดำคำรามขณะสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของไก่น้อยไว้อย่างแน่นหนา


นกฟีนิกซ์สีดำได้ความทรงจำทั้งหมดของจอมราชันย์อมตะกลับคืนมาแล้ว จึงรู้ความลับและความสามารถต่างๆที่ไก่น้อยมี ด้วยสิ่งเหล่านี้ การสกัดกั้นไก่น้อยจึงไม่ยากเกินไป


แม้จะถูกล้อมโดยสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่มีเจตนาร้ายต่อเขา จางเซวียนก็ดูไม่วิตกกังวลสักนิด เขามองคนเหล่านั้นอย่างสุขุมขณะพูดว่า “นี่คือเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับจอมราชันย์ของพวกคุณ ขอแนะนำพวกคุณว่าอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวจะดีกว่า หากวันนี้พวกคุณสังหารผม คิดว่าไก่น้อยจะไว้ชีวิตพวกคุณหรือเมื่อมันได้พละกำลังกลับคืนมาดังเดิม?”


“เอ่อ…”


สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอดลังเลไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดนั้น


ชายหนุ่มพูดถูก


จอมราชันย์อมตะที่ออกคำสั่งกับพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเศษเสี้ยวเจตจำนงของจอมราชันย์อมตะคนเก่า ซึ่งไม่ช้าไม่นานก็คงเสื่อมสลายไป


หรือพูดอีกอย่างก็คือ ไก่น้อยต่างหากที่เป็นจอมราชันย์คนใหม่ผู้ฟื้นคืนชีพ!


ถ้าพวกเขาสังหารเจ้านายของไก่น้อย ทันทีที่มันได้พละกำลังกลับคืนมาและหวนคืนสู่บัลลังก์ มันจะต้องปลิดชีวิตพวกเขาเป็นการล้างแค้นอย่างแน่นอน!


นี่เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก การตัดสินใจของพวกเขาคือเครื่องชี้ชะตาเลยทีเดียว


“เร็วเข้า ฆ่ามันซะ!”นกฟีนิกซ์สีดำตวาดกร้าว “พวกคุณคิดว่าเมื่อความทรงจำของผมกลับคืนมา ผมจะยอมรับมนุษย์คนหนึ่งเป็นเจ้านายอย่างนั้นหรือ?”


คำพูดนี้ทำให้สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคิดหนักอีกครั้ง


พวกเขารู้จักจอมราชันย์อมตะมากว่าหมื่นปีแล้ว รู้นิสัยใจคอของอีกฝ่ายดี เพราะอยู่ในตำแหน่งสูงส่งมาเนิ่นนาน จอมราชันย์อมตะผู้ยิ่งใหญ่จะยอมรับชายผู้หนึ่งที่เป็นเพียงนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงเป็นเจ้านายของเขาได้อย่างไร?


นี่มันตลกร้ายสิ้นดี!


ในที่สุดสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ตัดสินใจได้ พวกเขารวบรวมพละกำลังเข้าด้วยกันเพื่อสร้างลูกทรงกลมลูกหนึ่งขึ้นมา พลังงานจากลูกทรงกลมตรงเข้าโอบล้อมจางเซวียนไว้เพื่อสกัดกั้นการหลบหนี


เห็นสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจงใจเล่นงานเขา จางเซวียนส่ายหัว


ในเมื่อตอนนี้ไก่น้อยถูกนกฟีนิกซ์สีดำจับตัวไว้ เขาก็จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองในการรับมือกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั้งสาม


แม้วรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนจะถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว แต่วรยุทธของพลังปราณยังเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงเท่านั้น การรับมือกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแม้เพียงคนเดียวจึงยังทำได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงทั้ง 3 คน


“ดูเหมือนเราคงต้องใช้หน้าหนังสือสีทองอีกแล้ว…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่หวังว่าคงจัดการทั้งสามได้พร้อมกันด้วยหน้าหนังสือสีทองที่มีอยู่


แต่ปัญหาก็คือ…


สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยืนล้อมตัวเขาเพื่อสกัดกั้นหนทางหลบหนี ดังนั้น หากเขาใช้หน้าหนังสือสีทองเล่นงานทั้งสามคนพร้อมกันในคราวเดียว ตัวเขาก็จะตกอยู่ในรัศมีทำลายล้างของมันด้วย


เขาต้องหาทางทำให้ทั้งราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั้งสามคนอยู่ใกล้กันให้ได้ก่อน…


ฟิ้วววว!


ขณะที่จางเซวียนกำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไร กระแสดาบฉีสายหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ จางเซวียนชะงัก จากนั้นก็เอนตัวไปด้านข้างเพื่อหลบ แต่เสื้อคลุมของเขาก็ยังฉีกขาด จี้สีแดงก่ำที่หลัวลั่วชิงมอบให้จึงโผล่พ้นเสื้อคลุมออกมา


จี้นั้นส่งเสียงหึ่งเบาๆขณะร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง


ในตอนนั้นเองที่นกฟีนิกซ์สีดำซึ่งอยู่กลางอากาศมองเห็นจี้


มันตกตะลึงจนพูดไม่ออก จากนั้นก็ปล่อยตัวไก่น้อยและร่อนลงจากกลางอากาศมายืนตรงหน้าจางเซวียน


นกฟีนิกซ์สีดำก้มศีรษะขณะร่ำร้องออกมา “อสูรของคุณ, อมตะตัวน้อย ขอคารวะนายท่าน…”


“ฮะ?”


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั้งสามที่กำลังจะเล่นงานจางเซวียนต่างยืนตัวแข็ง


คราวนี้เกิดอะไรขึ้น? พวกเราควรไปต่อ, หรือพอแค่นี้?


เจตจำนงของจอมราชันย์อมตะสั่งให้เราฆ่าหมอนั่นไม่ใช่หรือ?


แล้วทำไมจู่ๆถึงร่อนลงมาและทำตัวนอบน้อมเสียขนาดนั้น แถมยังเรียกตัวเองว่าอมตะตัวน้อย…


ทุกอย่างดูประหลาดและผิดที่ผิดทางไปหมด


คุณคือจอมราชันย์ผู้สูงส่งและไร้ความปรานีของพวกเราจริงๆหรือเปล่า?


แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั้งสามก็ตกตะลึงได้ไม่นาน พวกเขารู้สึกได้ว่านกฟีนิกซ์สีดำกำลังจับจ้องมาด้วยสายตาที่บ่งบอกความไม่พอใจ


“พวกคุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ กล้าใช้กำลังกับนายท่านของผมอย่างนั้นหรือ? อยากตายหรือไง? มีชีวิตอยู่มาก็หลายหมื่นปีแล้ว ทำไมในหัวสมองยังมีแค่การใช้ความรุนแรง? รู้จักวิธีแก้ปัญหาแบบสันติไหม? เพียงแค่คุณมีอำนาจ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะใช้มันได้นะ! รู้หรือเปล่าว่าแต่ละครั้งที่คุณทำลายอะไรสักอย่างน่ะ ต้องใช้ความพยายามแค่ไหนกว่าจะซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมได้?”


ฟึ่บ!


มิติสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนที่การโจมตีของสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจะแหลกสลายไป ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


ราชันย์เทพเจ้าทั้งสามแทบคลุ้มคลั่ง


ไก่น้อยคงไม่ได้เข้าครอบงำนกฟีนิกซ์สีดำแล้วหรอกนะ ใช่ไหม?


ไม่ใช่แค่พวกเขาที่งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไก่น้อยกับจางเซวียนก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน


ก่อนหน้านี้ ตอนที่นกฟีนิกซ์สีดำได้ยินไก่น้อยเรียกจางเซวียนว่าเจ้านาย มันโมโหเดือดจนแทบจะ ทำลายล้างโลกใบนี้ได้ แต่ในชั่วพริบตา ก็กลายเป็นบริวารผู้ว่านอนสอนง่ายเกินกว่าใครจะนึกฝัน


จอมราชันย์อมตะเป็นนักแสดงตลกตั้งแต่เมื่อไหร่?


หรือนี่คือนิสัยที่แท้จริงของอีกฝ่าย? จางเซวียนนึกสงสัยขณะย้อนคิดถึงความไว้ใจไม่ได้ของไก่น้อยที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน


ในเมื่อไก่น้อยคือการฟื้นคืนชีพของจอมราชันย์อมตะ ทั้งคู่ก็น่าจะมีนิสัยเหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็พอเข้าใจได้ที่นกฟีนิกซ์สีดำจะทำตัวหน้าไม่อาย


แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาสงสัย


ทำไมจู่ๆนกฟีนิกซ์สีดำถึงยอมรับเขาเป็นเจ้านายของมัน?


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจี้สีแดงก่ำของหลัวลั่วชิงหรือเปล่า?


เมื่อลองคิดดู ก็พบว่าหลังจากจี้ร้อนผ่าวขึ้นมาได้เพียงครู่เดียว ทีท่าของจอมราชันย์อมตะก็เปลี่ยนไปทันที


หรือจอมราชันย์อมตะจะรู้จักจี้สีแดงก่ำอันนี้?


เมื่อจางเซวียนคิดได้ ก็รีบชูจี้สีแดงก่ำขึ้นตรงหน้านกฟีนิกซ์สีดำและถามอย่างร้อนใจ “หรือว่าคุณจำจี้อันนี้ได้? แล้วถ้าอย่างนั้น…รู้ไหมว่าลั่วชิงอยู่ที่ไหน?”


เขาดั้นด้นมาจนถึงน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด และฝ่าฟันการประลองเพื่อให้ได้รับสิทธิ์การเข้าสู่ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเพื่อตามหาลั่วชิง แต่แม้จะสร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่แล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าลั่วชิงอยู่ที่ไหน ซึ่งนั่นหมายความได้เพียงอย่างเดียว…


คือเธอไม่ได้อยู่ที่นี่!


“ลั่วชิง?” นกฟีนิกซ์สีดำทวนคำอย่างเล


“ผมหมายถึงเจ้าของจี้อันนี้!” จางเซวียนสวนอย่างร้อนใจ


“นั่นคือหยดเลือดของ…” นกฟีนิกซ์สีดำพยักหน้า “ผมว่าผมรู้นะ ลั่วชิงที่คุณพูดถึงน่ะจะต้องเป็น จอมราชันย์หลินชี!”


“จอมราชันย์หลินชี?” จางเซวียนชะงัก


ชื่อนั้นดูคุ้นหูมาก ตอนที่ทั้งคู่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เมื่อเขาปลอมตัวเป็นหลัวเทียนหยา ชื่อที่หลัวลั่วชิงใช้ก็ดูเหมือนจะเป็นหลินชี!


ในครั้งนั้น เขายังปรบมือด้วยความดีอกดีใจและบอกหลัวลั่วชิงว่า ไม่ว่าต่อไปทั้งคู่จะต้องห่างไกลกันแค่ไหน หัวใจของพวกเขาก็จะยังคงผูกติดกัน


“ใช่ คนที่ผมตามหาคือจอมราชันย์หลินชี! แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเธออยู่ไหน?” จางเซวียนถามต่ออย่างกระวนกระวาย


เขาคิดอยู่แล้วว่าหลัวลั่วชิงจะต้องเป็นชื่อปลอม ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ…

 

 

 


ตอนที่ 2291 น่านฟ้าเสรี?

 

แต่เรื่องจริงก็คือเธอได้บอกชื่อจริงของเธอกับเขาแล้ว แต่ปกปิดมันไว้ด้วยการทำเป็นใช้ชื่อปลอม!


เขามองข้ามเงื่อนงำที่สำคัญขนาดนี้ได้อย่างไร?


“จอมราชันย์หลินชีคือจอมราชันย์ของน่านฟ้าเสรี เพราะฉะนั้นเธอต้องอยู่ที่น่านฟ้าเสรีแน่!” นกฟีนิกซ์สีดำตอบด้วยสีหน้าที่ยังคงสงสัย


คุณรับผมเป็นอสูรของคุณ แต่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเก้าจอมราชันย์อย่างนั้นหรือ?


“น่านฟ้าเสรี?” จางเซวียนหน้าตาเคร่งเครียดขณะพึมพำกับตัวเอง “ไม่สิ เราน่าจะรู้นะ…”


เขารู้ชื่อของแปดจอมราชันย์จากฟู่เจียงเฉินแล้ว แต่คนเดียวที่ยังคงเป็นความลับก็คือจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรี ซึ่งเขาก็น่าจะรู้ทันทีที่ได้ยินชื่อ ‘จอมราชันย์หลินชี’


ลงท้าย ผู้ที่เขาตามหาก็ไม่ได้อยู่ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด แต่เป็นที่ใจกลางน่านฟ้าเสรี


เห็นท่าทีของจางเซวียน นกฟีนิกซ์สีดำนึกอะไรได้บางอย่าง “การดวลแบบชี้เป็นชี้ตายระหว่างจอมราชันย์หลินชีกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จะเกิดขึ้นในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไป…”


ถึงมันจะเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงที่ถูกกักขังอยู่ในประติมากรรมนกฟีนิกซ์หิน แต่ก็รับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสรวงสวรรค์ โดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่าง 2 จอมราชันย์ที่กำลังจะเกิดขึ้น


“การดวลแบบชี้เป็นชี้ตายในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไป? อีก 5 วัน…นับจากนี้?” จางเซวียนตัวสั่นขณะหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


เขาพอได้ยินเรื่องการดวลครั้งนี้อยู่บ้างหลังจากที่มาถึงสรวงสวรรค์ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยใส่ใจ และคิดว่าปรมาจารย์ขงคงได้ชัยชนะอย่างแน่นอน


นึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายคือหลัวลั่วชิง!


และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือมันเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตายด้วย!


นั่นหมายความว่าจะต้องมีใครคนหนึ่งที่ไม่อาจเอาชีวิตรอดจากการดวล?


“ใช่ ที่ผ่านมา การต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นที่เป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย แต่ทั้งคู่ตัดสินใจร่วมกันว่าจะทำแบบนั้น ผมเชื่อว่าจะต้องมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านี้แหละ แต่เกรงว่าสิ่งที่ผมรู้จะมีจำกัด” นกฟีนิกซ์สีดำตอบ


“เราต้องเดินทางไปน่านฟ้าเสรีเพื่อยับยั้งพวกเขา” จางเซวียนพึมพำ


หลัวลั่วชิงเป็นคนเดียวที่เขามีความรู้สึกผูกพันฉันชู้สาวกับเธอ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยพบปรมาจารย์ขง แต่ก็ได้ฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายมามาก ทั้งยังรู้สึกเคารพยกย่องอย่างจริงใจด้วย


เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นอะไรเกิดขึ้นกับทั้งคู่!


“ยับยั้งพวกเขา? สองคนนั้นตัดสินใจแล้ว ใครจะห้ามได้?”


นกฟีนิกซ์สีดำก้มลงมองไก่น้อยและส่ายหัว “แม้เมื่อครั้งที่ตัวผมอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด ก็ยังสู้กับพวกเขาไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับตอนนี้…”


จางเซวียนอึ้งไปเมื่อพลันคิดอะไรได้บางอย่าง


ด้วยความวุ่นวายใหญ่โตต่างๆนานาที่เขาสร้างขึ้นในน่านฟ้าหลิงหลง หลัวลั่วชิงในฐานะจอมราชันย์คนหนึ่งก็น่าจะรู้เรื่องนี้ แต่กลับไม่มีข่าวคราวหรือการเคลื่อนไหวจากเธอเลย


หรือนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอไม่เต็มใจจะพบเขา?


แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?


มีอะไรเกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับปรมาจารย์ขงที่กำลังใกล้เข้ามาหรือเปล่า?


ซึ่งสิ่งนี้ก็นำเขากลับไปสู่คำถามแรก คือทำไมทั้งคู่ถึงใช้การดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย?


เหตุผลที่ลั่วชิงลงไปยังทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เพื่อยึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งนั่นคือของล้ำค่าที่ปรมาจารย์ขงอุทิศเวลาหลายปีในการสร้างมัน และเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะถ่ายทอดอำนาจของลิขิตสวรรค์เข้าไปในนั้นด้วย


แม้หลัวลั่วชิงจะไม่เคยบอกเขาตรงๆถึงเหตุผลที่เธอลงมายังทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่จางเซวียนก็พอเดาได้


เพราะทันทีที่เธอได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ก็ฝ่าปราการแห่งมิติและออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ทันที ไม่ต้องใช้หัวสมองมากมายก็พอจะรู้


ที่ผ่านมา จางเซวียนนึกสงสัยมาตลอดว่าทำไมผู้ที่มาจากสรวงสวรรค์อย่างเธอถึงยอมเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อครอบครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง เพราะในสรวงสวรรค์มีของล้ำค่าที่ทรงพลังกว่านั้นมากมาย


แต่เมื่อคิดดูอีกที ก็ชัดเจนแล้วว่าเธอกำลังเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้กับปรมาจารย์ขงที่กำลังจะมาถึง


“แล้วทำไมเธอต้องสังหารปรมาจารย์ขง?” จางเซวียนพึมพำ


คำถามมากมายอัดแน่นอยู่ในหัวสมองของเขาจนรู้สึกเหมือนมันจะระเบิด


อย่างที่นกฟีนิกซ์สีดำบอกไว้ ปรมาจารย์ขงท้าทาย 8 จอมราชันย์ไปแล้ว ซึ่งทุกครั้งก็เป็นการดวลกันฉันมิตร และจนถึงวันนี้ จอมราชันย์คนอื่นก็ยังมีชีวิตสุขสบายดี


แต่ทำไมการดวลครั้งสุดท้ายกับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีถึงต้องเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย?


“ต่อให้ผมยับยั้งพวกเขาไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องรู้เหตุผลให้ได้ว่าทำไม” จางเซวียนพูดพร้อมกับกำหมัดแน่น


ด้วยพละกำลังของเขาในเวลานี้ เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปก้าวก่ายการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์ได้เลย แต่แล้วอย่างไรล่ะ?


ไม่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ขนาดไหน ก็ต้องลองสักตั้ง ต่อให้ไม่ได้ผล อย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!


นกฟีนิกซ์สีดำพอเดาได้ว่าจางเซวียนคิดอะไร มันให้คำแนะนำ “นายท่าน ถ้าคุณอยากเข้าไปยับยั้งพวกเขา คุณก็จะต้องมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับจอมราชันย์เป็นอย่างน้อย หากไม่เป็นแบบนั้นล่ะก็ คุณทำอะไรไม่ได้หรอก”


“คุณพูดถูก ผมต้องแข็งแกร่งกว่านี้ถึงจะมีปากมีเสียงได้ ไม่อย่างนั้น แค่ขอเข้าพบพวกเขาก็คงไม่ได้ด้วยซ้ำ” จางเซวียนตอบอย่างเคร่งขรึม


จะต้องมีเหตุผลสำคัญไม่เบาที่ทำให้ปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงตัดสินใจแบบนี้ เพียงแค่คำพูดของเขาคงไม่อาจหว่านล้อมทั้งคู่ให้เปลี่ยนใจได้


ถ้าเขาอยากสร้างความแตกต่าง ก็ต้องมีพละกำลังมากพอที่จะทำให้มันเกิดขึ้น


แต่นั่นแหละ วรยุทธของเขายังอ่อนด้อยเหลือเกิน


จางเซวียนอยู่ในสรวงสวรรค์มา 1 เดือนแล้ว แต่ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณเพิ่งถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดเท่านั้น


หากเขาได้เป็นจอมราชันย์เหมือนปรมาจารย์ขงในอีก 5 วันข้างหน้า จะยับยั้งการดวลที่กำลังจะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า?


แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่าเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้


เขายังไม่ได้ทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้น


จางเซวียนรู้สึกได้ถึงอาการอับจนปัญญาที่ถาโถมเข้าใส่จนหนักอึ้ง


“นายท่าน เป็นไปไม่ได้ที่วรยุทธของคุณจะเทียบเท่ากับจอมราชันย์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จริง…แต่คุณยังมีอมตะตัวน้อยอยู่กับคุณนะ” นกฟีนิกซ์สีดำพูดอย่างอายๆ


จางเซวียนตาโตขึ้นมาทันที ประกายของความหวังปรากฏเด่นชัด


จริงด้วย เขาไม่มีทางกลายเป็นจอมราชันย์ได้ภายใน 5 วัน แต่เขาสามารถช่วยฟื้นฟูพละกำลังของไก่น้อยให้กลายเป็นจอมราชันย์อมตะได้!


แม้พละกำลังของมันจะเป็นรองปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ยังให้ความรู้สึกว่ามีจอมราชันย์อยู่ข้างกาย


“เมื่อ 40 ปีก่อน ตอนที่ผมมีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุด เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเกิดการพังทลายจากภายใน เกิดเป็นหลุมดำที่อยู่ใต้เมืองลอยได้อย่างทุกวันนี้ หากเราพบเมืองที่ถูกทำลายและเรียกพละกำลังของผมกลับคืนมาได้ การฟื้นฟูความทรงจำเพื่อกลับสู่สภาพแข็งแกร่งสูงสุดดังเดิมก็คงไม่ยากเกินไป” จอมราชันย์อมตะพูด


จางเซวียนตัวสั่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


บังเอิญว่าเขารู้ว่าเมืองที่ถูกทำลายตั้งอยู่ที่ไหน-มันคือเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายของมิติเบื้องบน!


ขอแค่พวกเขาหาทางไปที่นั่นได้ ก็จะสามารถเรียกอำนาจของไก่น้อยกลับคืนมาและทำให้มันหวนคืนสู่สภาพแข็งแกร่งสูงสุด


แต่ก็ยังมีปัญหา


ระหว่างมิติเบื้องบนกับสรวงสวรรค์มีปราการแห่งมิติขวางกั้นอยู่ แล้วพวกเขาจะลงไปยังมิติเบื้องบนได้อย่างไร?


“คุณก็เป็นจอมราชันย์นี่ อย่างน้อยก็น่าจะพอรู้อะไรบ้าง เพราะจอมราชันย์หลินชีก็ลงไปยังโลกเบื้องล่างได้นี่ ใช่ไหม?” จางเซวียนถามนกฟีนิกซ์สีดำ


“ผมไม่รู้รายละเอียด ตอนนี้เจตจำนงของผมอ่อนแอมาก ผมจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนหลับ แต่เมื่อไม่นานมานี้ จอมราชันย์หลินชีมาเยี่ยมผมและขอยืมตราสุดยอดจอมราชันย์ของผมไป มันคือสัญลักษณ์แทนตัวตนของผมในฐานะเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” นกฟีนิกซ์สีดำตอบ


“ตราสุดยอดจอมราชันย์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


มันคงคล้ายกับตราสัญลักษณ์ประจำตัวของกษัตริย์ที่ใช้กันในโลกเก่าของเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่จอมราชันย์มีบัญชา พวกเขาจะใช้ตราสุดยอดจอมราชันย์เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจของตัวเอง


ในอีกแง่หนึ่ง มันเป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจที่ไม่มีใครขัดขวางได้


“ผู้ที่ถือครองตราสุดยอดจอมราชันย์ของผมจะถือเป็นตัวแทนของผม ของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดด้วย” นกฟีนิกซ์สีดำพูดต่อ


“อ้อ…” จางเซวียนตาโต “เป็นไปได้ไหมว่าลั่วชิงขอยืมตราสุดยอดจอมราชันย์ของคุณไปเพื่อเผยแพร่คำบัญชาของเธอต่อประชากรของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ตอนนี้พำนักอยู่ในมิติเบื้องบนและทวีปแห่งปรมาจารย์ มันคือวิธีที่เธอใช้สั่งการให้พวกเขาประกอบพิธีกรรมเพื่อเปิดปราการแห่งมิติให้เธอลงไปที่นั่น…”


จางเซวียนหวนนึกถึงบทสนทนาของเขากับตู้ชิงหย่วน ซึ่งอีกฝ่ายเคยบอกว่าพวกเธอไม่ได้ข่าวคราวจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเลยตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา เพิ่งจะไม่นานมานี้ที่จู่ๆเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ติดต่อเธอและสั่งการให้เธอประกอบพิธีกรรมเพื่อให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณสามารถลงมาสู่โลกเบื้องล่าง


ตอนที่จางเซวียนได้ฟังเรื่องนี้ครั้งแรก ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่นั่นเป็นเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าปราการแห่งมิติของสรวงสวรรค์แข็งแกร่งขนาดไหน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ต่อให้จอมราชันย์ก็ยังไม่อาจฝ่าปราการมิติลงไปได้!


จะต้องมีช่องโหว่บางอย่างที่ทำให้ใครสักคนเข้าถึงโลกเบื้องล่าง


เรื่องนั้นยังอธิบายได้ว่าทำไมผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบนจึงรู้จักหลัวลั่วชิงในฐานะเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!


ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้ยังยืนยันความถูกต้องของข้อสันนิษฐานของจางเซวียนที่มองว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นคือประชากรดั้งเดิมของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์ เป็นไปได้ว่าร่างกายของคนเหล่านั้นปนเปื้อนพลังจิตวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ของโลกเบื้องล่าง ทำให้วรยุทธถดถอย อีกทั้งลักษณะทางธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิดก็เปลี่ยนแปลงไป

 

 

 


ตอนที่ 2292 คลื่นพลังงานวนแห่งมิติ

 

หากจะลำดับเหตุการณ์อีกครั้ง…เมื่อ 40 ปีก่อน หายนะครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ทำให้มันร่วงหล่นลงสู่มิติเบื้องบนและกลายเป็นที่รู้จักในชื่อเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จำนวนหนึ่งที่ร่วงหล่นลงไปพร้อมกับเมืองนั้นเอาชีวิตรอดมาได้และก่อตั้งตำหนักคว้าดาวขึ้นมา และในเวลาเดียวกัน ผู้รอดชีวิตอีกจำนวนหนึ่งที่ร่วงหล่นลงสู่รอยแยกแห่งมิติไปถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ก็กลายเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


นี่คือเหตุผลว่าทำไมตำหนักคว้าดาวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจึงใช้แท่นบูชาอันเดียวกัน ทั้งยังมีความสามารถในการสื่อสารกับโลกใบอื่นเหมือนกันด้วย


สิ่งนี้ยังเป็นคำตอบให้กับเรื่องของไก่น้อย ว่าทำไมไก่น้อยที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากจอมราชันย์ถึงลงเอยด้วยการไปอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


เป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงพบไก่น้อยอยู่ในดินแดนของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นและกักขังมันไว้ในอาณาบริเวณของปูชนียสถานนักปราชญ์ ซึ่งลงท้าย หลัวฉีฉีก็พบมันจากแผนที่และบอกกล่าวให้หลัวชวนฉิงรู้


สี่สิบปีผ่านไปในสรวงสวรรค์, สี่พันปีในมิติเบื้องบน และสี่หมื่นปีในทวีปแห่งปรมาจารย์…ช่วงเวลานั้นลงตัว!


เป็นไปได้ว่ากุญแจของการฝ่าปราการแห่งมิติก็คือตราสุดยอดจอมราชันย์ของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!


เมื่อคิดได้ จางเซวียนหันไปถามนกฟีนิกซ์สีดำ “แล้วตอนนี้ตราสุดยอดจอมราชันย์ของคุณอยู่ไหน? ลั่วชิง…ไม่ใช่ ผมหมายถึงจอมราชันย์หลินชี เธอนำกลับมาคืนคุณหรือเปล่า?”


“ตอนนี้ตราอยู่กับผม เธอนำไปใช้ไม่นานก็นำกลับมาคืน”


นกฟีนิกซ์สีดำอ้าปากกว้าง แล้วตราสัญลักษณ์อันหนึ่งที่มีขนาดพอๆกับจานใบกลมก็ลอยออกจากปากของมัน


จานใบนั้นลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ จางเซวียนรู้สึกราวกับว่าพลังงานทั้งหมดภายในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดกำลังสั่นคลอนเพราะการเคลื่อนไหวของมัน


หากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคือผู้มีอำนาจเหนือดินแดนใดสักแห่งภายในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ตราสัญลักษณ์อันนี้ก็บ่งบอกถึงอำนาจของใครคนหนึ่งที่ครอบคลุมทั่วทั้งน่านฟ้า ไม่ใช่เฉพาะพื้นดิน แต่รวมถึงท้องฟ้าด้วย


“คุณจะให้ผมยืมได้ไหม?” จางเซวียนถาม


“ได้แน่นอน! ทุกอย่างที่อมตะตัวน้อยมีเป็นของคุณทั้งนั้น เจ้านาย!” นกฟีนิกซ์สีดำตอบพร้อมกับยิ้มอย่างประจบประแจง


มันกระพือปีกอันใหญ่โต แล้วตราสัญลักษณ์ก็ลอยเข้าสู่ฝ่ามือของจางเซวียน


จางเซวียนพิจารณาตรานั้นอย่างถี่ถ้วน เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


จางเซวียนเห็นอักษรจารึกมากมายนับไม่ถ้วนถูกจารึกไว้บนตราสัญลักษณ์รูปกลม อักษรจารึกเหล่านี้คือฉบับย่อของอักษรที่เขาได้เห็นบนแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนยังไม่เข้าใจว่าอักษรจารึกพวกนี้หมายความว่าอย่างไร แต่หลังจากใช้เวลาในสรวงสวรรค์มาระยะหนึ่ง ก็พอจะคุ้นตากับภูมิประเทศของทั้งเก้าน่านฟ้า ดังนั้นจึงบอกได้ว่าอักษรจารึกที่เห็นคือผังเมืองและแผนที่กลุ่มดาวของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด!


ตราสัญลักษณ์นี้ก็ถูกสร้างขึ้นจากการหลอมรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน


ตลอดเวลาที่ผ่านมา พิธีการต่างๆของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่อยู่ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด


ถ้าเขาไม่เคยเห็นแผนที่ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดมาก่อน ก็คงสรุปแบบนี้ไม่ได้


“ผมขอลองดูสักหน่อยว่าจะใช้มันสื่อสารกับมิติเบื้องบนได้หรือไม่!”


จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาขับเคลื่อนพลังงานเข้าสู่ตราสุดยอดจอมราชันย์


แสงเจิดจ้าแผ่ออกมาจากตราสัญลักษณ์ เป็นสัญญาณว่ามันถูกเปิดใช้งานแล้ว


เมื่อเห็นภาพนั้น จางเซวียนตั้งต้นใช้ภาษาบางอย่างที่ออกจะคลุมเครือ มันคือภาษาเดียวกันกับที่ตู้ชิงหย่วนใช้ในพิธีกรรมของเธอ


เขาได้เรียนรู้ภาษานี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบน


“นั่นคือภาษาฟีนิกซ์สวรรค์สร้างของจอมราชันย์อมตะ” ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟพูดอย่างเคร่งขรึม


คนอื่นอาจไม่เข้าใจภาษานี้ แต่ในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ หนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เขารู้ว่ามันคืออะไร


มันคือภาษาฟีนิกซ์สวรรค์สร้างของจอมราชันย์อมตะ ศักยภาพของมันที่มีต่อสรวงสวรรค์นั้นเทียบได้กับแปดโน้ตมังกรสวรรค์เลยทีเดียว!


 


ตราสุดยอดจอมราชันย์ส่งเสียงหึ่งครู่หนึ่ง ก่อนลำแสงเจิดจ้านั้นจะค่อยๆจางลง


จางเซวียนขมวดคิ้ว


ตามทฤษฎีของเขา เขาน่าจะสื่อสารกับตู้ชิงหย่วนและคนอื่นๆได้ผ่านการประกอบพิธีกรรมด้วยแท่นบูชา แต่เพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง เขาไม่อาจเข้าถึงคนเหล่านั้น ราวกับมีบางสิ่งขวางกั้นไม่ให้เขาส่งข้อความได้


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หลัวลั่วชิงสื่อสารกับตู้ชิงหย่วนและคนอื่นๆได้อย่างไร?


“จะง่ายกว่าไหมถ้าเรามุ่งหน้าเข้าสู่มิติที่บิดเบี้ยวอย่างคราวก่อน?” ไก่น้อยซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดโพล่งออกมา


ตัวมันก็อยู่กับจางเซวียนด้วยเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในมิติเบื้องบน จึงดูออกว่าอีกฝ่ายวางแผนจะทำอะไร


“มิติที่บิดเบี้ยว…” จางเซวียนทวนคำก่อนจะพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น


จริงด้วย!


ถ้าข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของเขาถูกต้อง หลุมดำที่อยู่ใต้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดน่าจะเชื่อมต่อกับมิติเบื้องบนได้ ต่อให้ยังมีปราการแห่งมิติอยู่ที่นั่น แต่ก็น่าจะเปราะบางกว่าที่อื่น


บางที อาจเป็นเพราะสิ่งนี้ก็ได้ที่ทำให้หลัวลั่วชิงลงไปยังมิติเบื้องบนและทวีปแห่งปรมาจารย์ได้สำเร็จ


“ไปดูกันเถอะ” จางเซวียนพูด


ไก่น้อยพยักหน้าขณะขย้อนเอาประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินที่มันกลืนลงไปเมื่อครู่นี้ออกมา


นกฟีนิกซ์สีดำรีบผลุบเข้าไปในประติมากรรมชิ้นนั้นโดยไม่ลังเล มันอ่อนแรงไม่น้อยจากการสำแดงพละกำลังเมื่อครู่ก่อน และดูเหมือนไม่น่าจะอดทนได้นานนัก


เมื่อเห็นว่าแม้แต่เจตจำนงของจอมราชันย์อมตะคนเก่าก็ยังยอมรับจางเซวียนเป็นเจ้านาย ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟกับคนอื่นๆไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ทุกคนต่างโค้งคำนับด้วยความยำเกรงขณะส่งจางเซวียนออกเดินทาง


จางเซวียนออกจากเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เขากำลังจะเข้าสู่หลุมดำ ก็พอดีกับที่เจอกับหลัวฉีฉีโดยบังเอิญ


“พาฉันไปด้วย” หลัวฉีฉีพูดด้วยแววตามุ่งมั่น


จางเซวียนรู้ว่าหลัวฉีฉีคิดอะไร จึงพยักหน้ารับ


หากพวกเขาลงไปยังมิติเบื้องบน หลัวฉีฉีก็จะสามารถกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อเยี่ยมเยียนหลัวชวนฉิงกับสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวของเธอได้ นี่คือหนึ่งในความเสียใจใหญ่หลวงที่สุดของเธอตลอดเวลาที่ผ่านมา ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้แก้ไขมัน


มนุษย์ 2 คนกับไก่ตัวหนึ่งรุดหน้าสู่เส้นทางที่นำไปสู่หลุมดำ ราว 1 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ


“ผมจะลงไปก่อน!”


เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว ไก่น้อยจึงดำดิ่งลงไปโดยไม่ลังเล


“ฉันก็จะลองเหมือนกัน!” หลัวฉีฉีเสริมขณะหัวเราะเบาๆ


ยังไม่ทันที่ร่างของหลัวฉีฉีจะเข้าถึงคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ มิติที่อยู่รอบตัวเธอก็เริ่มบิดเบี้ยวในลักษณะที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของคลื่นพลังงานวนนั้น ด้วยเหตุนี้ เธอจึงทำตัวกลมกลืนไปกับคลื่นพลังงานวนแห่งมิติได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


ในฐานะจิตวิญญาณของเครื่องเก็บงำมิติ เธอมีความรู้สึกไวมากต่ออำนาจของกฎเกณฑ์แห่งมิติ อีกทั้งวรยุทธของเธอก็ถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว ทุกอย่างจึงไม่ยากเกินไป


“สงสัยจะเหลือเราคนเดียว” จางเซวียนพึมพำขณะสูดหายใจลึก


ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่เขามาที่นี่พร้อมกับฝงจิ่วเกอ เพราะระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาเข้าถึงราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว ทั้งยังมีตราสุดยอดจอมราชันย์อยู่กับตัวด้วย


การเข้าสู่คลื่นพลังงานวนแห่งมิติคงไม่อันตรายเกินไป


จางเซวียนรวบรวมพลังจิตวิญญาณเพื่อสร้างปราการขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเองไว้ก่อนกระโจนเข้าสู่คลื่นพลังงานวนแห่งมิติ เขากำตราสุดยอดจอมราชันย์ไว้แน่น


ฟึ่บ!


ทันทีที่สัมผัสกับคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ ร่างของเขาก็บิดงอราวกับเส้นบะหมี่


แม้จะยืดตัวให้ตรงดังเดิมแล้ว จางเซวียนก็ยังเห็นเท้าของเขาบิดงอเหมือนภาพสะท้อนในกระจกเงาที่บิดเบี้ยว เขาควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้


หลัวฉีฉีว่ายเข้ามาอยู่ข้างๆและพูดว่า “มิติที่อยู่ภายในคลื่นพลังงานวนแห่งมิติน่ะไม่ต่างกับมิติโดยทั่วไปสักเท่าไหร่หรอก อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น”


“อย่าเชื่อในสิ่งที่ผมเห็นกับตานี่นะ?”


“ดวงตาและการรับรู้ของคนเราบอกเราว่าสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสได้ในมิติทั่วไปนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องเพราะเราคุ้นชินกับมัน ดังนั้น ในพื้นที่ที่มิติเกิดการบิดเบี้ยว เราก็ต้องมองโลกจากมุมมองที่บิดเบี้ยวเหมือนกัน เพื่อให้ทำความเข้าใจมันได้…” หลัวฉีฉีสาธยายคุณสมบัติเฉพาะตัวของคลื่นพลังงานวนแห่งมิติให้จางเซวียนฟัง


ในฐานะจิตวิญญาณของเครื่องเก็บงำมิติ หลังจากเข้าสู่คลื่นพลังงานวนแห่งมิติได้ไม่นาน เธอก็เรียนรู้ความลับของมัน


เมื่อได้ฟังหลัวฉีฉี จางเซวียนรีบปรับเปลี่ยนมุมมองของเขา สุดท้ายก็พบว่าโลกที่เห็นก็เป็นแบบเดิมอย่างที่เขาคุ้นชิน


เห็นจางเซวียนปรับตัวได้ หลัวฉีฉีทอดสายตาไปไกลและพูดว่า “คลื่นพลังงานวนแห่งมิติไม่ได้มีสภาพเหมือนกันทุกแห่ง ระดับของความบิดเบี้ยวอาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเมื่อเราย้ายจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ยังประสบปัญหาหากจะสำรวจให้ลึกเข้าไป”


จางเซวียนมองตามสายตาของหลัวฉีฉี โลกตรงหน้าเขาบิดเบี้ยวในรูปแบบพิสดารพันลึกจนนับไม่ถ้วน บางพื้นที่ก็กว้างขวางใหญ่โตอย่างน่าทึ่ง ขณะที่บางส่วนมีพื้นที่น้อยนิดราวกับเส้นบะหมี่


ดูเหมือนกฎเกณฑ์ต่างๆของโลกถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงภายในพื้นที่แห่งนี้


แถมทุกอย่างยังเลวร้ายหนักขึ้นอีก เพราะมิติไหลเวียนไปอย่างไม่หยุดหย่อน สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่สามารถแปรสภาพจนแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงภายในเวลาเพียง 2-3 อึดใจ


ด้วยกฎเกณฑ์ของมิติที่เปลี่ยนแปลงได้มากมายและหลากหลาย ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าก็ยังต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงหากเข้ามาที่นี่


จะบอกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติพวกนั้นไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่ได้ แต่กฎเกณฑ์ที่ควบคุมคลื่นพลังงานวนแห่งมิติที่นี่แตกต่างกับกฎเกณฑ์อื่นๆในสรวงสวรรค์ อำนาจทรงเกียรติของพวกเขาใช้การไม่ได้ในดินแดนนี้ เหล่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจึงเหลือพละกำลังในระดับของราชันย์เทพเจ้าเท่านั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าจางเซวียนกับหลัวฉีฉี

 

 

 


ตอนที่ 2293 อย่านะ…

 

มนุษย์ 2 คนกับไก่ตัวหนึ่งเดินหน้าลึกเข้าไปในคลื่นพลังงานวนแห่งมิติโดยใช้เวลาอีกราว 2 ชั่วโมง แต่เพราะต้องการทำตัวให้คุ้นชินกับมิติที่บิดเบี้ยว พวกเขาจึงไปได้ไกลเพียง 500 เมตรทั้งที่ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง


คลื่นพลังงานวนแห่งมิติที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา อาจยาวได้หลายร้อยหรือหลายพันลี้ หากรุดหน้าไปได้เพียง 500 เมตรโดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง ต้องนานแค่ไหนกว่าจะไปถึงปลายสุดอีกด้านหนึ่งของมัน?


เป็นไปได้ว่าพวกเขาคงยังงมโข่งอยู่ที่นี่แม้เมื่อหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงเสร็จสิ้นการดวลไปแล้ว!


“แบบนี้ไม่เข้าท่า!” จางเซวียนโพล่งออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว


เขาพยายามใช้ตราสุดยอดจอมราชันย์มาตลอดทาง แต่ก็ไม่อาจสร้างความเชื่อมโยงกับมิติเบื้องบนได้ ปราการแห่งมิติแข็งแกร่งเกินไป


“ฉันจะนำทางให้ ตามฉันมาติดๆนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองรั้งท้าย” หลัวฉีฉีพูด


“ฮะ?” จางเซวียนประหลาดใจ


เขากำลังจะถามว่าเธอคิดจะทำอะไร ก็พอดีกับที่เธอแปรสภาพกลายเป็นลูกทรงกลมของเครื่องเก็บงำมิติ


หลัวฉีฉีปล่อยรังสีชนิดหนึ่งออกมา ทำให้มิติที่บิดเบี้ยวแข็งทื่อไปทันที ราวกับใครสักคนตรึงมันไว้ให้อยู่กับที่


“ไปกันเถอะ!” เธอสั่งการ


จางเซวียนกับไก่น้อยตามหลัวฉีฉีไปติดๆ


เมื่อมีเครื่องเก็บงำมิติที่ช่วยสร้างความเสถียรให้กับมิติโดยรอบ ทุกคนก็รุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว


4 ชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินทางมาได้หลายหมื่นลี้ บรรยากาศสีเทาเข้มก็ปรากฏตรงหน้า


คลื่นบรรยากาศนั้นกระเพื่อมตลอดเวลา มันแผ่แรงกดดันที่ทำให้ผู้พบเห็นแทบหายใจหายคอไม่ออก


หลัวฉีฉีกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิมขณะอ้าปากหอบหายใจ สีหน้าของเธอซีดเผือดจากการใช้พลังเกินขนาด เห็นได้ชัดว่าการเดินทางเมื่อครู่นี้กลืนกินพลังงานของเธอไปมาก


จางเซวียนรีบยื่นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดเม็ดหนึ่งให้เธอเพื่อเรียกพละกำลังกลับคืนมา ราว 1 ชั่วโมงให้หลัง สีหน้าของหลัวฉีฉีก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง


“คลื่นพลังงานสีเทานั่นมีบางอย่างแปลกๆ” หลัวฉีฉีตั้งข้อสังเกตขณะสำรวจตรวจตราสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอ


“มันแปลกจริงๆ…” จางเซวียนพยักหน้า


คลื่นพลังงานสีเทานี้คือสิ่งที่ฝงจิ่วเกอซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเขาในคราวก่อน จางเซวียนเคยคิดว่าทั่วทั้งหลุมดำคงมีพลังงานสีเทาอยู่ไม่มาก ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเดินลึกเข้ามาด้านใน มันจะก่อตัวกันหนาแน่นถึงขนาดที่เกิดเป็นกำแพงขนาดใหญ่?


หลัวฉีฉีเดินเข้าหากำแพงสีเทาและกำลังจะแตะมัน


เห็นภาพนั้น จางเซวียนร้องออกมาด้วยสีหน้าพรั่นพรึง “อย่านะ…”


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ สาวน้อยก็ได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังงานสีเทาแล้ว


ด้วยอานุภาพการดูดกลืนพลังงานของมัน ระดับวรยุทธของหลัวฉีฉีร่วงลงจากราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นต้นภายในเวลาเพียง 2-3 อึดใจ จากนั้นก็ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ


“อย่าใช้พลังปราณของคุณกำจัดพลังงานสีเทานั่นนะ!”


หลังจากมีประสบการณ์จากฝงจิ่วเกอ จางเซวียนรู้ว่าพลังงานสีเทามีอานุภาพดูดกลืนพลังปราณในร่างของนักรบได้ เขารีบเข้าประชิดตัวหลัวฉีฉีแล้วใช้ฝ่ามือทาบแผ่นหลังของเธอ


ขนาดพลังปราณเทียบฟ้าของเขาก็ยังยับยั้งพลังงานสีเทานั้นไม่ได้ นับประสาอะไรกับพลังปราณของหลัวฉีฉี นักรบคนไหนก็ตามที่พยายามใช้พลังปราณกำจัดพลังงานสีเทาออกไป ก็มีแต่จะสูญเสียพลังปราณของตัวเองไปจนหมด


จางเซวียนถ่ายทอดพลังปราณที่ได้จากเวทนาสวรรค์เข้าสู่ร่างของหลัวฉีฉีและผลักดันให้มันไหลเวียนไปทั่วทางเดินพลังปราณ กำจัดพลังงานสีเทาที่เพิ่งซึมซาบเข้าสู่ร่างของเธอออกไปได้อย่างรวดเร็ว


จากนั้นก็จัดการให้หลัวฉีฉีกลืนยาเม็ดลงไปเพื่อฟื้นคืนพลังชีวิตให้กลับมาดังเดิม ในเวลาเดียวกัน ก็รีบสำแดงเคล็ดวิชาเทียบฟ้าเพื่อสร้างพลังปราณเทียบฟ้าและถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย


การปะทะกันของพลังปราณเทียบฟ้ากับคลื่นพลังงานสีเทาทำให้เกิดแสงสีเขียวเจิดจ้า มันคงสภาพอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายพลังงานสีเทาก็ถูกกำจัดออกไปจนหมด


วรยุทธของหลัวฉีฉีค่อยๆฟื้นคืนสู่ระดับเดิม แต่สีหน้าของเธอยังคงซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง เมื่อครู่นี้ เธอคิดว่าเธอจะต้องตายเสียแล้ว


ถ้าไม่ใช่เพราะการแก้ปัญหาอย่างว่องไวของจางเซวียน เธอรู้สึกว่าพลังงานสีเทานั่นคงเล่นงานจิตวิญญาณของเธอจนแหลกสลาย เธออาจกลายเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจเหมือนนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนอื่นๆของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็ได้


ในครั้งนั้น ฝงจิ่วเกอถูกคลื่นพลังงานสีเทาเล่นงานขณะที่อยู่ห่างจากมิติที่บิดเบี้ยวเป็นระยะทางไม่น้อย แต่นั่นก็ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานถึง 2 ปีก่อนจะถูกขับไล่ออกจากตระกูล


แต่คราวนี้ คลื่นพลังงานสีเทาที่กำลังกระเพื่อมมีความเข้มข้นกว่านั้นอย่างน้อยก็พันเท่า ทำให้น่าสะพรึงกว่ากันมาก


“อย่าฝึกฝนวรยุทธหรือพยายามซึมซับสิ่งใดก็ตามที่อยู่ที่นี่ หากพลังงานสีเทาซึมซาบเข้าสู่ร่างของพวกคุณแล้ว การแก้ไขจะทำได้ยากมาก!” จางเซวียนกำชับ


หลัวฉีฉีกับไก่น้อยรีบพยักหน้า


หลังจากผ่านพ้นความฉุกละหุกเมื่อครู่ก่อน ทั้งคู่ก็รู้แล้วว่าพลังงานสีเทาน่าสะพรึงแค่ไหน


แม้ด้วยประสิทธิภาพการฟื้นคืนพละกำลังอันน่าทึ่งของไก่น้อย ก็ยังคงรับมือกับมันได้ยากหากปะทะกับพลังงานนั้นตรงๆ


“พลังปราณของเวทนาสวรรค์ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากคลื่นพลังงานสีเทา ผมจึงใช้มันกำจัดพลังงานสีเทาออกไปได้”


เท่าที่เห็น ดูเหมือนพลังงานชนิดใดก็ตามที่อยู่ในระดับขั้นต่ำกว่าสรวงสวรรค์จะไม่อาจกำจัดพลังงานสีเทาได้ แต่พลังปราณจากเวทนาสวรรค์ของจางเซวียนอยู่เหนือระดับของสรวงสวรรค์แล้ว ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พลังงานสีเทาทำอะไรมันไม่ได้


มีความเป็นไปได้สูงว่าทุกคนอาจต้องพึ่งพาพลังปราณของเขาเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคครั้งนี้


จางเซวียนนึกอยากทดสอบทฤษฎีที่เขาคิดค้น จึงรวบรวมพลังปราณของเวทนาสวรรค์แล้วยืดแขนออกไปแตะกำแพงพลังงานสีเทา


คลื่นพลังงานสีเทาที่หมุนวนอยู่บริเวณนั้นถูกผลักดันออกไป และแขนของเขาก็ไม่ได้รับอันตราย


“ได้ผลจริงๆ…” จางเซวียนระบายลมหายใจยาว


เขายิ้มอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปพูดกับหลัวฉีฉีและไก่น้อย “อยู่ใกล้ผมไว้นะ เราจะเดินทะลุกำแพงสีเทาเดี๋ยวนี้แหละ”


หลัวฉีฉีกับไก่น้อยรีบขยับเข้ามา จางเซวียนปล่อยพลังปราณจากเวทนาสวรรค์ออกมาโอบล้อมทั้งคู่ไว้ แล้วพวกเขาก็ทะลุกำแพงสีเทาเข้าไป


ฟิ้ววววว!


คลื่นพลังงานสีเทายังหมุนติ้วอย่างไม่ลดละ พยายามจะเล่นงานผู้บุกรุกทั้งสามให้ได้ เกิดการพังทลายครั้งใหญ่อยู่รอบตัวพวกเขา แต่ก็ไม่อาจฝ่าการคุ้มกันของพลังปราณจากเวทนาสวรรค์


หลังจากเดินไปได้ 2-3 ก้าว จางเซวียนหันกลับมาตรวจสอบอาการของหลัวฉีฉีกับไก่น้อย ซึ่งทั้งคู่ก็ดูจะยังสบายดี เขาจึงรุดหน้าต่อไป


แต่เพียงไม่ถึง 1 นาทีหลังจากนั้น จางเซวียนก็หยุดกึกและเริ่มถอยหลัง


“มีอะไร?” หลัวฉีฉีถาม


หลังจากที่ออกจากกำแพงสีเทา จางเซวียนปล่อยพลังงานจากเวทนาสวรรค์ออกมาปกป้องทุกคนไว้และอ้าปากหอบหายใจ


ซึ่งในเวลาสั้นๆเพียง 3 นาที เขาก็ใช้พลังปราณจากเวทนาสวรรค์ที่มีอยู่จนหมดเกลี้ยง!


แม้พลังงานสีเทาจะไม่อาจทำอันตรายพลังปราณจากเวทนาสวรรค์ได้ แต่การหมุนวนของพลังงานก็มีอยู่มากเกินไป นั่นทำให้จางเซวียนต้องออกแรงหนัก พลังปราณของเขาจึงถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว


ปัญหาใหญ่ก็คือเขาไม่อาจเรียกพลังปราณให้กลับคืนสู่ระดับเดิมได้ ในสภาวะแบบนี้ การจะผ่านพื้นที่บริเวณนี้ไปจึงทำได้ยาก


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งและฝึกฝนวรยุทธอยู่ราว 1 ชั่วโมงกว่าจะเรียกคืนพลังปราณกลับมาได้ทั้งหมด


“เราต้องหาทางเติมจุดตันเถียนให้เต็ม ถ้ายกระดับวรยุทธของพลังปราณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้ก็ยิ่งดี…”


จางเซวียนนวดหว่างคิ้วอย่างท้อใจ


แต่เดิม จุดตันเถียนของเขาเคยปริ่มด้วยมหาสมุทรของกระแสพลังปราณ แต่มันเหือดแห้งไปหมดหลังจากที่แสงสีเขียวปะทะกับคลื่นพลังงานสีเทา ทุกอย่างจึงว่างเปล่า หากเขาอยากผ่านกำแพงสีเทาไปให้ได้ ก็ต้องเพิ่มปริมาณพลังปราณในจุดตันเถียน หรือไม่ก็หาทางเติมพลังปราณเข้าไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้มันหมด


ไม่อย่างนั้น หากพลังปราณของเขาเหือดแห้งกลางทาง ทุกคนคงแย่แน่


ปัญหาเดียวก็คือเขาได้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดจากฟู่เจียงเฉินมาเพียง 3 เม็ดเท่านั้น แถมยังมอบเม็ดสุดท้ายให้หลัวฉีฉีไปแล้ว แต่นั่นแหละ ต่อให้เขามียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดในปริมาณไม่จำกัด ก็ยังไม่น่าจะเรียกพลังปราณกลับคืนมาได้ทันกับปริมาณพลังปราณที่เสียไป


ถึงขนาดนี้แล้ว เราคงต้องกินราชายาเม็ด!


ในเวลานี้ ยาเม็ดที่มีศักยภาพสูงสุดที่เขามีอยู่กับตัวคือราชายาเม็ด มันคือสมบัติล้ำค่าที่เข้าตาแม้แต่กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ จางเซวียนจะเรียกพลังปราณกลับคืนสู่จุดตันเถียนของเขาได้หากกินมันเข้าไป แถมยังมีโอกาสสูงที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จด้วย


แต่ปัญหาก็ยังมี…


เพราะเขายังไม่ได้ทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเลย!


ราชายาเม็ดคือไม้ตายสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของเขา และคงจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่หากต้องใช้ยาที่มีมูลค่าสูงขนาดนี้เพียงเพื่อฟื้นคืนระดับพลังปราณ


สำหรับเวทนาสวรรค์ เราทำความเข้าใจบทบาทของลูกน้องกับเจ้านาย, สายสัมพันธ์ของพี่น้อง และความผูกพันของอาจารย์กับลูกศิษย์ไปแล้ว…ถ้าสัญชาตญาณของเราไม่ผิดพลาด ขั้นต่อไปก็น่าจะเป็นพันธะหน้าที่ของพ่อแม่…


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วตั้งต้นใคร่ครวญ


ในชีวิตเก่าของเขา เขาเป็นเด็กกำพร้า และไม่เคยมีใครที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นพ่อแม่ ส่วนชีวิตปัจจุบัน เขามีโอกาสได้พบพ่อแม่ที่แท้จริง แต่ระยะเวลาที่ได้ใช้กับทั้งคู่ก็สั้นมาก


การที่เขาไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องความผูกพันของคนในครอบครัวได้อย่างถ่องแท้ทำให้เกิดความลังเลว่าควรทำอย่างไรต่อไป ซึ่งก็ลงเอยด้วยการสลัดความคิดนั้นทิ้งไปครั้งแล้วครั้งเล่า


แต่คราวนี้เขาทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องไปต่อให้ได้


จางเซวียนหลับตา เขาตั้งต้นระลึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเซียนดาบชิงเหมิง


เพื่อตามหาเขา ท่านพ่อท่านแม่ต้องลงทุนลงแรงมากมาย แม้ทั้งโลกจะบอกทั้งคู่ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาตายไปแล้ว เซียนดาบชิงเหมิงก็ยังเชื่อมั่นในความเป็นไปได้อันน้อยนิดที่ว่าเขาอาจยังอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้


เพื่อเขา ทั้งคู่ยินดีแม้ต้องสละชีวิต


พันธะและความผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อเขาสูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลกใบนี้


เพียงแต่…ถึงจางเซวียนจะเข้าใจที่มาที่ไปของมันแล้ว ก็ยังไม่อาจเรียงร้อยความรู้สึกเหล่านั้นเข้าด้วยกันได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)