ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 229-244
บทที่ 229 เหรียญทองคำที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นเรือยอชต์อวนลากสุดหรูของฉินสือโอว ชาวประมงในเรือประมงลำอื่นๆ ก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก
ไม่นานก็มีคนขับเรือเข้ามาจอดใกล้ๆ ห่างออกไปประมาณหนึ่งส่วนสี่ไมล์ เขาคนนั้นเดินมาที่หัวเรือแล้วพูดใส่โทรโข่งว่า “เฮ้! พ่อเศรษฐี คุณมาพักผ่อนเหรอ? ผมว่าคุณมาผิดที่แล้วล่ะ! ถ้าจะพักผ่อนต้องไปที่ท่าเรือกลอสเตอร์นู่น ที่นั่นมีสาวสวยสุดร้อนแรงกับหาดทรายที่ขาวละเอียด อย่ามารบกวนพวกเราที่นี่เลย”
ถึงแม้ว่าจะพูดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่สำเนียงแคนาดากับสําเนียงอเมริกันนั้นต่างกันมาก คำศัพท์และไวยากรณ์ก็ต่างกันด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพอหมอนี่เริ่มพูด ฉินสือโอวก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนอเมริกัน
ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกอเมริกันนี่หยาบคายและเห็นแก่ตัวจังเลยนะ ถ้าผมจะมาอาบแดดที่นี่แล้วมันจะทำไมเหรอ? ทะเลนี้ไม่ใช่สวนหลังบ้านของพวกเขาซะหน่อย”
เขายืนพูดติดตลกอยู่ข้างชาร์ค “แม้ว่าผมจะเกลียดพวกแยงกี้พวกนี้ แต่ผมขออธิบายให้บอสฟังนิดหนึ่งว่าที่พวกเขาให้เราออกไปจากตรงนี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการจะยึดครองที่ตกปลาแห่งนี้หรอก พวกเขากลัวว่าเดี๋ยวพวกเราจะทอดสมอที่นี่ไม่ก็หย่อนเบ็ดตกปลาลงไป เพราะถ้าอยู่ๆ มีคนตกปลาปลาทูน่าได้ พวกเขาทุกคนก็จะเริ่มขับเรือวุ่นไปหมด ซึ่งอาจทำให้เกิดเหตุการณ์เกี่ยวสายสมอเรือหรือสายเบ็ดขาดได้”
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “งั้นหรอกเหรอ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ แล้วค่อยขับเรือประมงกลับมา”
ซีมอนสเตอร์พูดขึ้นมาว่า “มันดูไม่ใช่สไตล์คุณเลยบอส”
ฉินสือโอวตอบว่า “นี่แหละสไตล์ฉัน นายว่าพวกเราจะทำยังไงถ้าเกิดว่าสายเบ็ดของพวกเราถูกเกี่ยวขาดขึ้นมา?”
เรือยอชต์ถูกนำไปเก็บส่วนเรือประมงก็เผยโฉมออกมาแทน ฉินสือโอว ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และอีวิลสัน พาหู่จือกับเป้าจือขึ้นเรือประมง ส่วนนีลเซ็นนั้นก็ขับเรือยอชต์ออกจากชายหาดน้ำตื้นจอร์จไป
พอขึ้นเรือประมง ฉินสือโอวก็เอนกายมองไปในทะเลแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว
พออยู่ห่างไกลจากฝั่ง มลพิษทางทะเลก็มีน้อยตามไปด้วย น้ำทะเลตรงเขตทะเลน้ำลึกนั้นใสจนเหมือนว่าจะสามารถมองทะลุลงไปถึงก้นทะเลได้เลยทีเดียว เพียงแต่ว่ามหาสมุทรนั่นลึกมากจนแสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึงก้นทะเล ทำให้ไม่สามารถมองเห็นก้นทะเลได้นั่นเอง
แต่ที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จนั้นไม่เหมือนกัน ที่นี่น้ำค่อนข้างตื้น โดยเฉพาะที่ที่ฉินสือโอวจอดเรืออยู่ มั่นใจว่าน้ำตรงนี้ลึกไม่ถึงสิบเมตรอย่างแน่นอน แสงอาทิตย์นั้นส่องทะลุผ่านผิวน้ำลงไปถึงก้นทะเล ทำให้น้ำทะเลสะท้อนแสงวิบวับเป็นประกาย
ด้วยเหตุนี้น้ำทะเลที่นี่จึงใสจนเหมือนโปร่งแสง เมื่อทะเลสงบ ฉินสือโอวจึงลองก้มหัวมองลงไปในน้ำ มันดูเหมือนว่าท้องเรือไม่ได้กำลังลอยอยู่ในน้ำด้วยซ้ำ แต่มันเหมือนเรือกำลังลอยอยู่บนอากาศยังไงอย่างนั้น
มันสวยซะจนทำให้ฉินสือโอวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือลงไปในน้ำ มันรู้สึกราวกับว่าเขาสามารถแตะถึงผืนทรายขาวละเอียดที่พื้นด้านล่างได้ด้วยซ้ำ
ฝูงปลาปลาแฮร์ริ่งว่ายผ่านมาเป็นครั้งคราว สาหร่ายทะเลก็ลอยอยู่ในน้ำนิ่งๆ ความเคลื่อนไหวที่สอดประสานกันนี้ดูเหมือนภาพเคลื่อนไหวความละเอียดสูง
หลังจากก้มมองน้ำทะเลอยู่สักพัก ฉินสือโอวก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเริ่มถ่ายรูป เขาถ่ายรูปจากหลายมุมๆ ไปหลายสิบรูปเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็ถอดเสื้อออกแล้วกระโดดลงไปในน้ำ เขาลอยตัวอยู่ที่ผิวน้ำสักพักเพื่อให้ชาร์คถ่ายรูปให้สามสี่รูป เมื่อมองจากในรูปแล้ว เขาเหมือนกำลังลอยอยู่ในอากาศ นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าน้ำมันใสแค่ไหน
พอหู่จือกับเป้าจือเห็นเขากระโดดลงน้ำ พวกมันก็กระโดดตามลงไปและว่ายไปมาด้วยความตื่นเต้นอยู่ใกล้ๆ เขา
และในที่สุดฉินสือโอวก็จับเจ้าตัวแสบทั้งสองตัวได้ ชาร์คกดชัตเตอร์ ‘แชะ แชะ แชะ’ จนได้ภาพมาอีกชุดหนึ่ง
เล่นได้สักพักฉินสือโอวก็กลับขึ้นมาบนเรือ ชาวประมงที่อยู่ในเรือลำที่ห่างออกไปมองมายังพวกเขาด้วยกล้องส่องทางไกล พอเห็นฉินสือโอวลงเล่นน้ำก็เลยคิดว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยว แต่พอฉินสือโอวขึ้นมาบนเรือ เรือประมงของพวกเขาก็ทำเป็นยกเบ็ดตกปลาขึ้น
เมื่อวานตอนที่ออกจากแฮลิแฟกซ์ ชาร์คได้ไปซื้อปลาเฮอริ่งและปลาทูน่าแช่แข็งมาสองกล่อง เขาสวมถุงมือแล้วจึงนำปลาไปที่เขียงแล้วหันเป็นสี่ส่วนด้วยมีดคมเพื่อทำเหยื่อตกปลา
แม้ว่าน้ำตื้นนั้นจะสวยงาม แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับปลาตัวใหญ่ เพราะปลาตัวใหญ่จะไม่ปรากฏตัวในน้ำที่ใสขนาดนี้
ซีมอนสเตอร์ผู้มีประสบการณ์โชกโชนจึงเลือกที่ที่ระดับน้ำลึกประมาณสี่สิบเมตรแล้วทอดสมอเรือลงไป เขาเตรียมตัวที่จะทำงานแล้ว
ฉินสือโอวนำจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปสำรวจรอบๆ ทันที เขาไม่ได้มองหาแค่ปลา แต่ยังมองหาเรืออับปางสองลำที่บิลลี่ สเต็มเมอร์เล่าให้เขาฟังอีกด้วย
พื้นที่ของชายหาดน้ำตื้นจอร์จนั้นไม่ถือว่าใหญ่ อีกทั้งยังเป็นทะเลน้ำตื้น ดังนั้นถ้าหากมีสมบัติในซากเรืออับปางมันก็คงจะถูกพรากไปนานแล้ว แต่เพราะอะไรถึงยังมีซากเรืออีกสองลำที่ยังไม่มีคนพบอยู่อีกล่ะ?
คำตอบก็คือซากเรือสองลำนั้นเป็นเรือเล็กและเป็นเรือไม้ จากการตรวจสอบของบริษัทโอดิสซีย์ เรือลำหนึ่งเป็นเรือสำปั้นเล็กยาว 6 เมตร ส่วนอีกลำหนึ่งเป็นเรือประมงไม้ธรรมดายาว 10 เมตร
เรือสองลำนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เรือสำปั้นเล็กอับปางลงในปี 1915 ณ ขณะนั้นเรือรบส่งเหรียญทองคำอเมริกันอีเกิ้ลของกองทัพเรือเดินทางจากนิวยอร์กมุ่งหน้าสู่เมืองอะคาเดียในรัฐเมน บนเรือบรรทุกทหารเรือรวมทั้งสิ้น 50 นายและเหรียญทองคำอเมริกันอีเกิ้ลปี 1907 อีกสี่หมื่นเหรียญ
เนื่องจากชายหาดน้ำตื้นจอร์จนั้นตื้นและมีหินโสโครกเยอะ เรือของทหารลำนี้จึงถูกซัดเกยตื้น
วันนั้นมีฝนตกหนักในทะเลและหลังจากที่เหล่าทหารเรือส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปพวกเขาก็รีบย้ายหีบเหรียญทองคำขึ้นเรือสำปั้นแล้วให้นายทหารเรือหนึ่งคนกับทหารสองนายขึ้นเรือสำปั้นออกเดินทางไปก่อน
ต่อมาเมื่อพวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากเรือรบที่จะจมแหล่มิจมแหล่พวกเขาก็ได้รู้ว่านายทหารเรือกับทหารที่ขึ้นเรือไปก่อนนั้นได้ตายไปแล้ว ส่วนเรือสำเภาที่บรรทุกหีบเหรียญทองคำอเมริกันอีเกิ้ลก็หายสาบสูญ
แพทย์นิติเวชทำการศึกษาชันสูตรร่างของนายทหารเรือและทหารพบว่าพวกเขาทั้งหมดจมน้ำตายและไม่มีร่องรอยหรือบาดแผลจากการต่อสู้ใดๆ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า คืนนั้นเรือสำเภาได้ล่มลงในพายุและหีบเหรียญทองคำอเมริกันอีเกิ้ลได้จมหายไปในทะเล
แต่เนื่องจากเรือสำปั้นลำนั้นเล็กเกินไป แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะได้จัดสรรทีมกู้ภัยเพื่อทำการค้นหาแล้วแต่ก็ไม่พบ นอกจากนี้ประชาชนจำนวนมากที่รู้ข่าวก็ได้ออกค้นหาเช่นกัน แต่ก็ยังไม่มีใครพบหีบเหรียญทองคำ
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการประมงที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จ บริษัทประมงแห่งหนึ่งซึ่งเคยมากู้ทองที่นี่เมื่อเห็นว่าที่นี่มีฝูงปลาที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมาย เลิกหาทองแล้วมาหาปลาแทน นี่จึงเป็นแรงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประมงของที่นี่
ส่วนเรืออีกลำที่ล่มนั้นมีชื่อว่า “แฟรงเกนสไตน์” เรือลำนี้จมลงก่อนเรือขนเหรียญ ตอนนั้นเป็นช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งเป็นสงครามระหว่างเหนือใต้
ในเวลานั้นประธานาธิบดีลินคอล์นประกาศเลิกทาสผิวดำซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในชาวไร่ชาวสวนจำนวนมาก ชาวไร่ชาวสวนที่อาศัยอยู่ในเมืองคองคอร์ดครอบครัวหนึ่งรวบรวมทองคำและเครื่องเงินที่ตัวเองมีทั้งหมดลงเรือเพื่ออพยพไปรวมกำลังกับทางใต้ที่ต่อต้านรัฐบาล
สุดท้ายเรือของพวกเขาก็พบจุดจบที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จ ครอบครัวหกคนรอดมาได้เพียงเด็กสองคน เด็กสองคนเล่าว่าเรือของพวกเขาชนเข้ากับแนวปะการังและจมลง ส่วนตำแหน่งที่แน่นอนพวกเขาจำไม่ได้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทีมกู้เรือและเรือหาปลานับไม่ถ้วนล้วนเดินทางมายังชายหาดน้ำตื้นจอร์จแห่งนี้เพื่อลองเสี่ยงโชค แต่ก็ยังไม่เคยมีใครโชคดีพอที่จะได้พบกับซากเรือสองลำนี้
นานวันเข้าผู้คนก็เลิกให้ความสนใจและต่างพากันคิดว่าเรือสองลำนั้นคงถูกทรายกลบไปแล้ว ยังไงก็คงหาไม่เจอ
และสิ่งที่ฉินสือโอวอยากจะทำก็คือหาพวกมันให้เจอ จากข้อมูลที่บิลลี่ สเต็มเมอร์ให้เขามา สมบัติที่ซ่อนอยู่บนเรือสองลำนั้น ไม่ว่าลำไหนก็มีมูลค่ามากกว่ายี่สิบล้านเหรียญทั้งนั้น ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่ทำให้หัวใจเต้นตูมตาม!
………………………………………….
บทที่ 230 การเริ่มต้นที่ดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสำรวจใต้ท้องทะเลคร่าวๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ไม่ต้องพูดถึงเรือที่ล่มเพราะขนาดปลาทูน่าสักตัวยังไม่เห็นเลย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเศร้าใจมาก ไหนบอกว่าชายหาดน้ำตื้นจอร์จเป็นแหล่งปลาทูน่าที่อุดมสมบูรณ์ไงล่ะ ทำไมฉันถึงไม่เห็นสักตัวเลย?
ชาร์คที่กำลังโยนเหยื่อเห็นฉินสือโอวดูไม่มีความสุข จึงถามเขาว่าเป็นเพราะอะไร ฉินสือโอวจึงตอบว่าเขามองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของปลาทูน่าด้วยซ้ำ
ชาร์คจึงบอกเขาว่า “ใจเย็นบอส ปลาทูน่าไม่ใช่ปลาค็อด คุณสามารถเจอมันได้ แต่เรียกมันมาไม่ได้หรอก ชายหาดน้ำตื้นจอร์จมีปลาอยู่แน่นอนและมีเยอะด้วย แต่ว่าพวกมันไม่ได้ว่ายอยู่ในน้ำโทงๆ รอเรามาหา เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือโยนเหยื่อเพื่อล่อให้พวกมันเข้ามาใกล้”
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วสวมหูฟัง ฟังเพลงของฟีนิกซ์เลเจนด์พร้อมนั่งกินลมอยู่ที่ห้องกัปตัน
หลังจากนั้นไม่นานก็มีแพเล็กๆ ลำหนึ่งลอยมาและคนอเมริกันบนแพก็พูดทักทาย “ไฮเพื่อน พวกคุณมาพักร้อนกันเหรอ? ทำไมถึงไม่ไปจอดเรือไกลๆ พวกเราหน่อยล่ะ? นี่คือถิ่นของพวกเรา พวกเราอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว!”
ชาร์คจึงพูดว่า “พวกคุณแน่ใจเหรอว่าพวกคุณอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว? พวกคุณมาตกปลาทูน่าครีบดำกันใช่ไหม? ตามกฎหมายแล้วปลาชนิดนี้อนุญาตให้จับได้เฉพาะในเดือนสิงหาคมเท่านั้น หรือว่าปฏิทินของฉันจะมีอะไรผิดพลาดกันนะ? ฉันจำได้ว่าตอนนี้ยังไม่ผ่านอาทิตย์แรกของเดือนสิงหาคมเลยด้วยซ้ำ”
คนอเมริกันคนนั้นพูดกลับอย่างหงุดหงิดว่า “แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็มาถึงที่นี่ก่อน เพราะฉะนั้นพวกคุณไปซะ โอเค๊?”
ฉินสือโอวเดินออกมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ชาร์คจึงบอกว่าคนอเมริกันคนนี้อยากให้พวกเราออกไปจากตรงนี้ ฉินสือโอวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คนอเมริกันพวกนี้เผด็จการเกินไปรึเปล่า? ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ฉันอยากจะรู้ว่าถ้าพวกเราไม่ไป พวกเขาจะทำยังไงกับพวกเรา”
ซีมอนสเตอร์อธิบายขึ้นมาว่า “การตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็เป็นอย่างนี้แหละ พวกชาวประมงจะมีจุดที่ตัวเองชอบ พวกเขาเชื่อว่าที่ตรงนั้นมีโอกาสสูงที่จะเจอปลา เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากให้ใครเข้าใกล้บริเวณที่พวกเขาอยู่”
ฉินสือโอวยักไหล่ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนยังคงว่ายไปมาอยู่ในน้ำ ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าทางเหนือของท้องทะเลแห่งนี้มีปลาตัวใหญ่ผิวเรียบเนียนสองตัวกำลังไล่ล่าปลาแฮร์ริ่งเพื่อกินเป็นอาหาร
เมื่อเห็นปลาสองตัวนั้นเขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที เขาอยู่กับเจ้าน้ำเงินใหญ่น้ำเงินเล็กมาตั้งนาน ทำไมถึงจะไม่รู้ว่าปลาสองตัวนั้นคือปลาทูน่าครีบน้ำเงิน
ขนาดของปลาสองตัวนี้นั้นไม่สั้นไม่ยาว ตัวหนึ่งยาวประมาณเมตรครึ่ง อีกตัวยาวกว่าหน่อย ซึ่งสามารถตกขึ้นมาได้อย่างไม่มีปัญหา
แคนาดาและสหรัฐอเมริกาสองประเทศมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับขนาดของปลาทูน่าครีบน้ำเงินว่าปลาทูน่าครีบน้ำเงินต้องมีความยาวมากกว่า 73 เซนติเมตรเท่านั้นถึงจะสามารถนำไปขายได้ ถ้าความยาวไม่ถึงทำได้เพียงเอากลับบ้านไปกินเองเท่านั้น และถ้าหากแอบเอาไปขายแล้วมีคนแจ้ง ชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้รับใบอนุญาตจับปลาเศรษฐกิจหายากอีกเป็นครั้งที่สอง
จะว่าไปแล้วกฎหมายของแคนาดาและสหรัฐอเมริกานั้นมีคุณภาพมาก ประชาชนก็เคารพกฎหมายมากพอสมควรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่อเมริกาเหนือตัดสินใจคุ้มครองสัตว์ป่าชนิดใดก็มักจะประสบความสำเร็จทันที
เมื่อได้เห็นปลาทูน่าครีบน้ำเงินสองตัวนี้ฉินสือโอวก็ไม่ลังเลที่จะนำจิตสำนึกของตัวเองเข้าไปในทันที นี่เป็นเหมือนการตีตราจอง หลังจากนี้เขาก็จะสามารถควบคุมปลาสองตัวนี้เมื่อไหร่ก็ได้
เขาไม่ได้เข้าไปควบคุมให้พวกมันว่าน้ำมาหา แต่บอกให้ซีมอนสเตอร์ขับเรือไปหาพวกมันแทน
ได้ยินดังนั้นชาร์คจึงหยุดโยนเหยื่อ ฉินสือโอวก็เลยพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหยุดหรอกเพื่อน โยนเหยื่อต่อไป ฉันมีลางสังหรณ์ว่าแถวนี้มีปลาใหญ่อยู่และลางสังหรณ์ของฉันมักจะไม่ผิด”
ชาร์คยักไหล่แล้วโยนเหยื่อลงทะเลต่อไป เขาโยนเป็นจังหวะดีมาก แค่มองก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาคือมืออาชีพ
จู่ๆ คันเบ็ดที่อยู่ข้างฉินสือโอวคันหนึ่งก็งอลงเล็กน้อย เมื่อเห็นอย่างนั้นฉินสือโอวก็รีบจับคันเบ็ดแล้วเริ่มออกแรงสาวรอกทันที
การตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินนั้นไม่เหมือนกับการตกปลาทั่วไป เนื่องจากปลาชนิดนี้เป็นปลาขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก เพราะฉะนั้นคันเบ็ดจึงไม่ได้อยู่ในมือแต่ติดอยู่กับเรือ เมื่อมีปลาติดเบ็ด สิ่งที่เราต้องทำก็คือหมุนรอกเพื่อดึงปลาเข้ามา
ฉินสือโอวรู้ได้ทันทีเมื่อหมุนรอกว่านี่ไม่ใช่ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน เนื่องจากแรงสู้ของมันน้อยมาก เขาหมุนรอกดึงปลาที่ตกได้ขึ้นมาอย่างสบายๆ มันคือปลาแอนโชวี่แอตแลนติก
ปลาแอนโชวี่แอตแลนติกเป็นสายพันธุ์ของตระกูลปลากะตักที่มีรูปร่างคล้ายปลาเฮอริ่ง พวกมันกระจายตัวอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนกลางและแอตแลนติกตะวันตก อาศัยอยู่ในระดับความลึกได้สูงสุดถึง 50 เมตร มักอยู่เป็นฝูงตามแนวชายฝั่ง กินแพลงก์ตอนเป็นอาหารและสามารถใช้เป็นอาหารปลาหรือเหยื่อตกปลาได้
ปลาแอนโชวี่ตัวนี้ถือว่าตัวใหญ่แล้ว ความยาวของมันประมาณสิบเซนติเมตร ฉินสือโอวจับมันขึ้นมาเตรียมจะโยนลงถังพักปลาเพื่อเอาไปทำเป็นเหยื่อตกปลาในภายหลัง
แต่ชาร์คก็มาเอาปลาแอนโชวี่ตัวนี้ไปเสียก่อน เขาแล่เอาหัวใจที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ของปลาออกมาแล้วส่งให้ฉินสือโอวพร้อมพูดว่า “บอสกินนี่สิ”
ซีมอนสเตอร์โผล่หัวออกมาจากห้องบังคับเรือก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่ บอสต้องกินนะ มันเป็นธรรมเนียมของพวกเราชาวนิวฟันด์แลนด์เลย เพื่อที่จะได้โชคดี ทุกครั้งที่ออกเรือกัปตันเรือจะต้องกินหัวใจของปลาตัวแรกที่ตกได้และต้องกินดิบๆ ด้วย”
ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วพูดว่า “แล้วถ้าตัวแรกที่จับได้เป็นวาฬล่ะ?”
ชาร์คตอบว่า “ถ้าคุณตกมันขึ้นมาได้ คุณก็ต้องกินหัวใจมัน เพราะฉะนั้นเมื่อกัปตันที่ฉลาดออกทะเล พวกเขามักจะคาดเดาขนาดของปลาจากแรงที่มันดึงสู้ ถ้าเป็นปลาใหญ่เขาจะปล่อยไป และถ้าเป็นปลาเล็กเขาถึงจะตกมันขึ้นมา”
ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันเคารพธรรมเนียมของพวกนายนะ แต่เรื่องนี้ฉันทำไม่ได้จริงๆ มันน่าสะอิดสะเอียนเกินไป ดูสิหัวใจของมันยังเต้นอยู่เลย!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ก็แกล้งทำเป็นเสียใจ ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “โอเคๆ เอาละเพื่อน พวกนายนี่ทำฉันลำบากใจจริงๆ”
เขาพูดพลางหยิบหัวใจปลาโยนเข้าไปในปากแล้วกลืนลงท้องไป
ซีมอนสเตอร์หัวเราะพลางส่งเหล้าให้เขาแก้วหนึ่ง ทันทีที่เขาก้าวขาออกมาจากห้องบังคับเรือเครื่องโซนาร์สำหรับค้นหาปลาก็ส่งเสียง ‘ติ๊ดๆ’ ที่ดังฟังชัดขึ้นมา!
พอได้ยินเสียง ซีมอนสเตอร์ก็ทิ้งแก้วเหล้าในมือทันที เขาพุ่งไปที่หน้าจอแสดงผลการค้นหาปลาแล้วหันกลับมาตะโกนบอกชาร์คว่า “รีบโยนเหยื่อ! โยนเหยื่อสดนะ! มีปลาตัวใหญ่สองตัวกำลังมาทางนี้ ตัวหนึ่งอยู่ทางหัวเรือลึกลงไปประมาณสี่สิบเมตร ส่วนอีกตัวหนึ่ง…ฉิบหาย เร็วเข้าๆ! มันต้องเป็นปลาทูน่าครีบน้ำเงินแน่ๆ!”
ชาร์คโยนเหยื่อมือเป็นระวิงจากนั้นก็นำมีดที่คมกริบสับปลาแอนโชวี่ที่เพิ่งฆ่าไปเป็นสองท่อนแล้วโยนลงไปในน้ำ จากนั้นก็นำปลาแฮร์ริ่งสดจากถังไปแขวนไว้ที่ตะขอก่อนจะโยนลงน้ำไปเช่นกัน
ชาร์คทำงานไปพูดไปอย่างตื่นเต้นไปว่า “เห็นแล้วใช่ไหมบอส นี่แหละพลังของขนบธรรมเนียมที่ทำต่อๆ กันมา! คุณเพิ่งกินหัวใจของปลาไป โชคดีก็เริ่มมาแล้วเห็นไหม! ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสองตัวนี้ อย่างน้อยพวกเราก็ต้องจับได้สักตัวหนึ่งแหละ!”
ฉินสือโอวกลอกตาแล้วบ่นอุบอิบว่ามันเกี่ยวกับการกินหัวใจปลายังไงเนี่ย? ทั้งๆ ที่หาปลาเจอได้เพราะจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแท้ๆ
แต่ที่ชาร์คพูดก็ถูก ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสองตัวพวกเขาต้องตกขึ้นมาให้ได้อย่างน้อยหนึ่งตัว ฉินสือโอวเตรียมที่จะจับปลาตัวใหญ่ ส่วนตัวที่เล็กกว่าจะเก็บไว้ใช้ในภายหลัง
น่าเสียดายที่เป็นปลาตัวผู้ทั้งสองตัว ไม่อย่างนั้นฉินสือโอวก็อยากจะพามันกลับไปผสมพันธุ์กับเจ้าน้ำเงินใหญ่ที่ฟาร์มปลา
ให้ปลาไม่สู้สอนตกปลา ฉินสือโอวเข้าใจคำนี้ดี
ความมั่นใจของชาร์คนั่นมีเหตุผล ปลาทูน่าครีบน้ำเงินนั้นตะกละ พวกมันมักว่ายน้ำอยู่ใต้น้ำ มันจะว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำก็ต่อเมื่อพวกมันเห็นเหยื่อ และปลาแฮร์ริ่งที่ชาร์คโยนลงไปนั้นก็สามารถล่อพวกมันมาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินนั้นเป็นปลาที่ใช้พลังงานจำนวนมากเนื่องจากพวกมันว่ายน้ำอยู่ตลอดเวลา และในทะเลก็ไม่ได้อุดมสมบูรณ์ขนาดที่จะมีปลาอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะฉะนั้นพวกมันจึงไม่เคยปล่อยให้อาหารหลุดมือไปเลยสักครั้ง และนี้ก็คือเหตุผลเดียวกับที่ทำให้ชาวประมงสามารถใช้เบ็ดตกมันขึ้นมาได้
…………………………………………………
บทที่ 231 ค่ำคืนริมฝั่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจ้าปลาทูน่าครีบน้ำเงินว่ายตามเหยื่อขึ้นมาอย่างตะกละโดยไม่ต้องให้ฉินสือโอวเข้าควบคุม
เครื่องโซนาร์สำหรับค้นหาปลาในเรือส่งเสียงแหลมออกมา ฉินสือโอวเดินเข้าไปดูที่จอก่อนที่ซีมอนสเตอร์จะชี้ให้เขาดูแล้วพูดว่า
“ดูนี่ รูปสีเขียวนี่คือภาพสะท้อนจากโซนาร์ ส่วนเส้นที่อยู่ข้างล่างคือใต้พื้นทะเล รูปทรงโค้งๆ แบบนี้มันคือปลาทูน่า!”
“อาจจะเป็นฉลามก็ได้” ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดขึ้นมา
ซีมอนสเตอร์ส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า “มือสมัครเล่นจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างฉลามกับปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ แต่มืออาชีพมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันที ดูจากท่าทางการว่ายน้ำและความเร็วในการว่ายแล้ว ฉลามไม่ว่ายส่ายไปมาแบบนี้ ถ้าเป็นฉลามพวกมันจะพุ่งไปกินเหยื่อเลยทันที และฉลามก็ไม่ว่ายน้ำเร็วแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ว่ายน้ำได้เร็วขนาดนี้ต้องเป็นปลาทูน่าแน่!”
ชาร์คเกี่ยวเหยื่อที่ยังมีชีวิตไว้กับเบ็ดก่อนจะโยนลงไป ส่วนปากก็พึมพำว่า “มาเลยเพื่อน รีบขึ้นมาบนเรือของพวกเราเร็วเข้า พวกเราซื้อตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นไว้ให้แล้ว ขอให้แกเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ!”
เหยื่อที่ยังมีชีวิตนั้นดึงดูดปลาทูน่าได้มากกว่า เมื่อเห็นปลาแฮร์ริ่งแอตแลนติกกำลังดิ้นรนอยู่ในทะเล ปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวนี้ก็ไม่รอช้าอีกต่อไป มันพุ่งขึ้นมาราวกับลูกธนูก่อนจะอ้าปากของมันแล้วกลืนปลาแฮร์ริ่งเข้าไป
เหยื่อเข้าไปในปากใหญ่ของปลาทูน่าครีบน้ำเงินพร้อมกับตะขอ ดังนั้นเมื่อปลาตัวใหญ่ว่ายไปมาตะขอจึงหลุดจากปากปลาแฮร์ริ่งแล้วไปติดอยู่ในปากปลาทูน่าและในที่สุดปลาก็ติดเบ็ด!
รอกที่ติดอยู่กับเบ็ดตกปลาเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว เส้นเอ็นที่มีความหนาประมาณครึ่งหนึ่งของตะเกียบถูกดึงออกไป คันเบ็ดจึงงอตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชาร์คกดรอกที่คันเบ็ดไว้แล้วหันไปโฟกัสที่ผืนทะเลพร้อมตะโกนว่า “ซีมอนสเตอร์! หยิบฉมวกแล้วรีบออกมาได้แล้ว! บอสคุณไปขับเรือ ฟังผมนะ คุณต้องถอยเรือ…”
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินกำลังดิ้นอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวดอยู่ใต้น้ำเนื่องจากเบ็ดเกี่ยวเข้ากับเหงือกของมัน ซีมอนสเตอร์ถือฉมวกรออยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะอธิบายให้ฉินสือโอวฟังไปด้วย “ถ้ายังไม่สามารถเอาปลาที่ติดเบ็ดขึ้นมาบนเรือได้ ทุกอย่างที่ทำไปก็ไร้ความหมาย เพราะต่อให้ปลากินเบ็ดของเราแล้ว แต่โอกาสที่มันจะหลุดมีถึง 60%”
ชาร์คเป็นชาวประมงมืออาชีพไม่มีทางทำเรื่องเล็กน้อยผิดพลาดแน่ เขาหมุนรอกให้เส้นเอ็นตึงพอดีและคอยบอกให้ฉินสือโอวขับเรือไปข้างหน้าหรือถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างเรือกับปลาทูน่าให้พอดีเบ็ดจะได้ไม่หลุด
ใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าที่ปลาทูน่าจะหมดแรง แต่มันก็ฮึดสู้อีกครั้งด้วยการว่ายเข้าไปใต้ท้องเรือ
ทันใดนั้นหู่จือกับเป้าจือที่รออยู่ข้างเรือก็กระโดดลงไปในน้ำแถวใต้ท้องเรือพอดี
ปลาทูน่าเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงรีบถอย ชาร์คร้องลั่นแล้วหมุนรอกเพื่อเก็บเส้นเอ็นตกปลาอย่างบ้าคลั่งเป็นผลให้ปลาทูน่าถูกถึงไปด้านข้างของเรืออย่างรวดเร็ว
ซีมอนสเตอร์ส่งเสียงเรียกเจ้านายของตัวเอง “บอส ตอนนี้เป็นการทดสอบครั้งที่สอง ดูปืนยิงปลาของผม…”
กล้ามเนื้อแขนขวาของเขาหดตัวขึ้นมาเป็นก้อนราวกับก้อนหิน เขาคำรามแล้วยิงหอกไปที่ตำแหน่งเหงือกของปลาทูน่า ทันใดนั้นเลือดสีแดงสดก็พุ่งออกมา การถูกโจมตีอย่างรุนแรงทำให้พลังของปลาทูน่าครีบน้ำเงินลดลงอย่างรวดเร็ว ปลายหอกอีกด้านนั้นมีเชือกผูกอยู่ ซีมอนสเตอร์รีบดึงเชือกแล้วนำตัวปลาทูน่าขึ้นมา
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมีนิสัยอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกมันถูกจับได้ง่าย นั่นก็คือนิสัยการสะบัดหางเมื่อขึ้นจากน้ำ มันตั้งใจจะสะบัดหางเพื่อโจมตีศัตรู แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่เราจะใช้บ่วงมัดหางมันไว้เช่นกัน
ตอนที่ซีมอนสเตอร์ใช้ปืนยิงปลายิงไปที่ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ชาร์คก็ปล่อยมือจากเบ็ดแล้วไปหยิบบ่วงที่วางอยู่ข้างเรือมาเตรียมตัว ทันทีที่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินยกหางของมันขึ้นเขาก็สวมบ่วงเข้าไปเท่านี้ปลาตัวนี้ก็เสร็จเขาแล้ว
และตอนที่ชาร์คสวมบ่วงเข้าไปที่หางปลา ซีมอนสเตอร์ก็วางปืนยิงปลาลงแล้วไปเปิดประตูท้ายเรือ เขากับชาร์คช่วยกันลากปลาทูน่าขึ้นมา
ทั้งสองร่วมมือกันอย่างชำนาญ เป็นการเปิดประสบการณ์โชว์ทักษะการตกปลาที่น่าทึ่งให้กับฉินสือโอวเลยทีเดียว
ฉินสือโอวเดินออกมาดูปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่รูปร่างราวกับกระสวย ตัวของมันกลม หลังโค้งสวยงามเหมือนหยดน้ำ ครีบของมันมีสีน้ำเงินเข้ม ตั้งแต่ส่วนหลังถึงส่วนท้องเป็นสีเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่ามันคือปลาทูน่าครีบน้ำเงินแอตแลนติก
หลังจากจับปลาได้ ชาร์คก็มัดหางของมันเข้ากับเครนไปพลาง ร้องเพลงอย่างร่าเริงไปพลาง
“พวกเขาบอกว่าคุณกำลังจะจากหมู่บ้านนี้ไป ฉันคงจะคิดถึงดวงตาสดใสและรอยยิ้มแสนหวานของคุณน่าดู…”
แล้วซีมอนสเตอร์ก็ร่วมร้องเพลงกับชาร์คขึ้นมา “พวกเขาบอกว่าเหมือนคุณเอาพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างให้พวกเราไปด้วย…”
ฉินสือโอวฟังสองคนนั้นร้องเพลงแล้วยิ้มออกมา เขารู้จักเพลงนี้เป็นอย่างดี เกือบจะพูดได้ว่านี่เป็นเพลงพื้นบ้านของแคนาดาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ชื่อของมันก็คือ “เพลงหุบเขาแม่น้ำแดง”
เพลงนี้แสดงให้เห็นว่าผู้อพยพได้ทำการบุกเบิกพื้นที่รกร้างทางตอนเหนือของแม่น้ำแดง พวกเขาก่อสร้างอาคารบ้านเรือนและพัฒนาเมือง ในที่สุดก็เปลี่ยนที่รกร้างว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยควายให้กลายเป็นบ้านที่สวยงาม เพลงนี้สรรเสริญความขยันหมั่นเพียรของเหล่าแรงงานที่เพียรพยายามจะสร้างบ้าน โดยทั่วไปมักจะร้องตอนที่ชาวประมงจับปลาได้หรือไม่ก็ตอนที่เกษตรกรกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิต
“บอสมากินด้วยกันสิ!” ชาร์คพูดอย่างมีความสุข
อีวิลสันใช้มือดึงเชือกเพื่อแขวนปลาโดยไม่ต้องเปิดเครน ชาร์คตัดเหงือกปลาด้วยมีด ส่วนซีมอนสเตอร์ตัดหางปลาแล้วปล่อยให้เลือดไหลออกมา
ปลาเป็นสัตว์เลือดเย็นซึ่งไม่ได้หมายความว่าเลือดของพวกมันมีอุณหภูมิต่ำ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกมันพยายามจะหนีอุณหภูมิเลือดของพวกมันจะพุ่งสูงขึ้น ตอนนี้เนื้อปลาเริ่มเย็นลงหลังจากที่มันตาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเลือดจะผลิตกรดแลคติค ออกมาทำลายเนื้อปลา ทำให้เนื้อปลามีรสชาติที่ไม่ดี
เมื่อจัดการกับเลือดของปลาเรียบร้อยแล้ว ชาร์คก็วัดความยาวของปลาก่อนจะหัวเราะเสียงดังออกมาแล้วพูดว่า “สุดยอด 168 เซนติเมตร ตัวใหญ่ใช้ได้ ฉันว่าถ้าปลาตัวนี้เนื้อมีคุณภาพหน่อยละก็ขายสองหมื่นดอลลาร์ได้สบายเลย”
“ฉันอยากให้มันถูกเอาไปประมูลที่โตเกียว ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องราคาคงไม่ต้องพูดถึงกันเลย” ซีมอนสเตอร์พูดยิ้มๆ
ชาร์คดูเนื้อปลาก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดว่า “คุณภาพเนื้อปลาตัวนี้อยู่ในระดับกลางๆ นะฉันว่า”
คนจำนวนหนึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์ปลาตัวนี้อยู่บนเรืออเมริกันที่จอดอยู่ห่างออกไป พวกเขาถือกล้องส่องทางไกลส่องไปที่ฉินสือโอวแล้วสาปแช่งไม่หยุด
“ให้ตายสิ เศรษฐีชาวแคนาดาคนนั้นโชคดีชะมัด เพิ่งมาถึงก็ได้ปลาเลย”
“ฟัค! แม้แต่พระเจ้าก็ชอบคนรวยงั้นเหรอ? ฉันอยู่ที่นี่มาเป็นวันแล้ว ยังตกไม่ได้สักตัวเลย!”
“ปลานั่นไม่ใช่ตัวเล็กๆ ซะด้วยสิ คงจะดีกว่านี้ถ้ามันเป็นของฉัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคืนนี้ฉันคงไปหาสาวสวยควงเล่นที่เมืองกลอสเตอร์สักสองคนแล้ว”
ส่วนคนอีกกลุ่มก็ทำการถ่ายภาพคู่กับปลาที่ตกได้ ตอนที่อีวิลสันเข้าไปถ่ายรูปเขาอุ้มมันด้วยใบหน้าที่มีความสุข เขาคงคิดว่าปลาตัวนี้ต้องเป็นอาหารค่ำของคืนนี้แน่ แต่น่าเสียดายที่มันคงไม่เป็นอย่างที่เขาคิด
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมีค่ามาก เนื่องจากเป็นปลาหายาก หลังจากฉินสือโอวและพรรคพวกของเขาจับปลาตัวนี้ได้พวกเขาก็ไม่เจอปลาตัวอื่นอีกเลย
แน่นอนว่าฉินสือโอวควบคุมปลาทูน่าตัวใหญ่อยู่ ตอนนี้มันกำลังว่ายไปมาอยู่ที่ก้นทะเลและได้เจอกับพวกเดียวกันประมาณสิบตัวเห็นจะได้ แต่เจ้าพวกนั้นตัวค่อนข้างเล็ก ยาวประมาณเมตรกว่าๆ ฉินสือโอวไม่อยากจับเจ้าพวกตัวเล็กนี่ขึ้นมา
อีกอย่างถ้าหากคุณจับปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้เยอะเกินไปมันก็มันก็จะดูผิดปกติ ครั้งแรกเอาแค่นี้ก่อนดีกว่า
สี่โมงเย็น พระอาทิตย์ยังคงเฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้า ฉินสือโอวกับคนของเขาเก็บเบ็ดเตรียมตัวจะกลับ
ตอนนี้พวกเราอยู่ค่อนข้างไกลจากฝั่ง ต้องใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงในการขับเรือกลับเข้าฝั่งเพราะฉะนั้นจึงควรรีบกลับได้แล้ว
ขณะเดียวกัน เจ้าของเรือลำอื่นๆ ก็เตรียมกลับกันแล้วเหมือนกัน พวกเขาไม่ค้างคืนในทะเลเนื่องจากเรือพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเรือประมงธรรมดา น้ำแข็งที่เตรียมไว้ไม่สามารถเก็บได้เกินสองวัน
และเนื่องจากเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ คุณต้องรีบเอาเลือดของมันออกแล้วช็อกมันด้วยน้ำแข็ง ด้วยเหตุนี้เองพวกชาวประมงจึงต้องกลับฝั่งเพื่อไปเติมน้ำมันและน้ำแข็ง
เขาไปทางเดียวกับเรือประมงเหล่านี้ จุดหมายปลายทางของฉินสือโอวก็คือท่าเรือกลอสเตอร์ของประเทศอเมริกาเช่นกัน เนื่องจากคาบสมุทรโนวาสโกเชียของแคนาดานั้นไกลกว่าประมาณหกสิบกว่ากิโลเมตร หรือต้องใช้เวลาเดินเรือหนึ่งชั่วโมง ซึ่งมันทั้งเสียเวลาและเปลืองน้ำมัน
เรือยอชต์อวนลากนั้นแรงม้าสูง ตัวถังก็แข็งแรงจึงแล่นได้เร็วกว่า ด้วยเหตุนี้แม้ว่าฉินสือโอวและลูกเรือของเขาจะกลับเข้าฝั่งเป็นลำสุดท้ายแต่ก็เข้าเทียบท่าในเวลาไล่เลี่ยกันกับเรือที่กลับมาก่อน
ตอนนี้ท่าเรือกลอสเตอร์เป็นโลกของเรือตกปลา เรืออวนลากกับเรืออวนล้อมนั้นไม่ค่อยเห็น เรือตกปลาลำน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วท่าเรือเต็มไปหมด
พวกชาวประมงนั้นสนิทสนมคุ้นเคยกันและพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวเมืองกลอสเตอร์กันทั้งนั้น ดังนั้นหลังจากกลับเข้าฝั่ง คนเหล่านี้ก็มักจะทักทายถามไถ่กับเกี่ยวกับการตกปลา
……………………………………………
บทที่ 232 หาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อขับเรือยอชต์นางนวลเข้ามา เหล่าชาวประมงก็พากันมองอย่างสงสัย เมืองกลอสเตอร์นั้นยังเป็นเมืองท่าสำหรับท่องเที่ยวอีกด้วย เนื่องจากมีอ่าวที่สวยงามและชายหาดที่ขาวสะอาด เรือยอชต์ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ของที่นี่แต่เรือยอชต์ที่มีชื่อภาษาจีนนั้นพบเห็นได้น้อยมาก
เหล่าชาวประมงคิดว่าฉินสือโอวมาเที่ยวเล่นแถวนี้ แต่หลังจากรอให้เรือเข้าเทียบท่า เรือกลับไม่หยุดที่ท่าเรือ แต่กลับแล่นไปยังบริษัทประมงแทน
นี่เป็นบริษัทประมงที่สองแล้วที่ฉินสือโอวเคยไป ซึ่งมันแตกต่างจากครั้งแรกที่เซนต์จอห์นอยู่ไม่น้อย ชาวประมงที่นี่ไม่ได้ต่อต้าน เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นไม่ก็มองพวกเขาด้วยสายตาเบื่อหน่าย
ชาร์คเริ่มอธิบายให้ฉินสือโอวฟัง “ชาวประมงในเมืองกลอสเตอร์นั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่ละปีพวกเขามีเวลาในการจับปลาทูน่าประมาณสิบอาทิตย์ รายได้ของพวกเขาก็หลายแสนเลยล่ะ นอกจากนี้พวกเขาก็ยังจับปลาในช่วงเวลาปกติด้วย ถือได้ว่าพวกเขาเป็นชนชั้นกลางของอเมริกาเลย ซึ่งแตกต่างกับชาวประมงในเซนต์จอห์นที่เกือบจะล้มละลาย ดังนั้นถ้าจะให้พูดล่ะก็ ชาวประมงที่นี่นิสัยดีกว่านิดหน่อยและความรู้สึกเกลียดชังคนรวยก็น้อยกว่าด้วย”
ฉินสือโอวเพิ่งจะเข้าใจตรรกะนี้ เขานึกว่าชาวอเมริกันจะแย่กว่าชาวแคนาดาซะอีก
ฉินสือโอวไม่คุ้นเคยและไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์การประมงของที่นี่ ดังนั้นเขาจึงเลือกบริษัทประมงที่มีเรือจอดอยู่เยอะที่สุดที่ชื่อว่า ‘บริษัทไทรเด้นท์ฟิชชิ่ง’
เมื่อเปรียบเทียบกับเซนต์จอห์น เมืองกลอสเตอร์นั้นมีขนาดเล็กกว่ามาก มีพื้นที่ไม่ถึง 4,000 เฮกตาร์และมีประชากรอาศัยอยู่เพียงพันกว่าคน
แต่บริษัทประมงที่ท่าเรือแห่งนี้กลับมากกว่า มองคร่าวๆ ด้วยสายตาก็มีไม่ต่ำกว่าสิบบริษัท ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเปิดไฟสว่างไสวรอรับซื้อปลา
เมื่อเรือของฉินสือโอวเข้าเทียบท่า ชาวประมงรอบๆ คิดว่าเขาจอดผิดที่จึงรวมตัวกันอยู่ข้างๆ รอจะหัวเราะเยาะ
พอบริษัทไทรเด้นท์ฟิชชิ่งโยนตะขอให้ฉินสือโอวนำตะขอไปเกี่ยวกับหางปลาและยกปลาทูน่าขนาดใหญ่ขึ้นมา
ชาวประมงที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงฮือฮากัน ฉินสือโอวชอบความรู้สึกของการได้ตีแสกหน้าคนแบบนี้
“เนื้อปลาเกรดเอ ราคา 14 ดอลลาร์ต่อปอนด์ น้ำหนักรวม 559 ปอนด์หักน้ำหนักของเชือกออก 4 ปอนด์ เหลือ 555 ปอนด์”จากนั้นชายชราผิวขาวตัวอวบอ้วนก็หันมาพูดกับฉินสือโอวว่า “ขอดูใบอนุญาตตกปลาของคุณหน่อย ราคานี้คุณตกลงไหม?”
ชาร์คยื่นใบอนุญาตยกปลาและหนังสือเดินทางให้ชายชรา เขาตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เวลานั้นเองหญิงสาวผู้มีตาสีเขียวที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็ถามขึ้นมาว่า “ให้เราจ่ายเป็นเช็คหรือให้โอนเงินเข้าบัญชีดีคะ?”
ฉินสือโอวตอบว่า “ขอเป็นเช็คก็แล้วกันครับ”
เขายังไม่ได้เปิดบัญชีที่อเมริกาเลย แล้วถ้าจะให้โอนเงินข้ามประเทศจะยุ่งยากอีก
ชายชราคืนใบอนุญาตตกปลาและหนังสือเดินทางให้ชาร์คพร้อมพูดว่า “แอนเฟอร์นีคิดน้ำหนักให้เขาไป 560 ปอนด์เลยก็แล้วกัน”
ฉินสือโอวจับมือกับชายชราอย่างน้อบน้อมเพื่อขอบคุณ ชายชรายิ้มและแสดงความยินดีกับเขาที่จับปลาตัวใหญ่ได้และยังให้นามบัตรของตัวเองแก่ฉินสือโอวอีกด้วย ชายชราผู้นี้มีชื่อว่าเจมส์ ลูวิส เป็นผู้ดูแลบริษัทไทรเด้นท์ฟิชชิ่งเมืองกลอสเตอร์
กลุ่มชาวประมงจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก คนที่จับปลาทูน่าที่นี่ทุกปีก็มีกันอยู่เท่านี้และดูเหมือนว่าชาวประมงแต่ละคนก็มีบริษัทประมงเจ้าประจำของตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการหาลูกค้าจึงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับบริษัทประมงทุกบริษัท พอมีหน้าใหม่เข้ามาบริษัทประมงก็จะรีบคว้าโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้ทันที
หน้าใหม่จะจับปลาได้ไม่ได้ไม่สำคัญ อย่างมากก็เสียแค่นามบัตรใบเดียวใช่ไหมล่ะ?
ปลาตัวนี้ทำให้ฉินสือโอวมีเงินเข้าบัญชีอีกเกือบแปดพันดอลลาร์สหรัฐซึ่งเมื่อแปลงเป็นดอลลาร์แคนนาดาแล้วก็เกือบหมื่นเลยทีเดียว
ราคานี้ต่างกับราคาที่ชาร์คบอกว่าควรจะได้สองหมื่นดอลลาร์ แต่บริษัทประมงเกือบทั้งหมดก็รับซื้อกันอยู่ที่ครึ่งราคาอยู่แล้ว เพราะการขนส่งทางอากาศจากสหรัฐอเมริกาไปยังโตเกียวรวมถึงการชำระภาษีนั้นยังต้องใช้เงินอีกจำนวนหนึ่ง
ฉินสือโอวสะบัดเช็คที่ได้รับมา แล้วพาอีวิลสันกับพรรคพวกขึ้นฝั่ง ส่วนชาร์คคอยดูแลฉงต้ากับพวกหู่จืออยู่บนเรือ พวกมันไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ ยิ่งไปกว่านั้นห้ามให้ใครเห็นด้วย
สำหรับคนแล้วแค่มีหนังสือเดินทางก็สามารถเดินทางเข้าออกระหว่างอเมริกากับสหรัฐได้อย่างไม่มีปัญหา แต่กับสัตว์นั้นไม่เหมือนกัน
หลังจากที่ฉินสือโอวกับพรรคพวกขึ้นฝั่งก็มีคนเดินตามพวกเขา ชายหนุ่มผมบลอนด์ช่างพูดคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาทักทายพวกเขา “เฮ้เพื่อน คนแคนาดาเหรอ? สวัสดี ฉันวิสเติล เป็นคนพื้นเมืองที่นี่”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘คนพื้นเมือง’ ฉินสือโอวก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “สวัสดีเพื่อน พวกเรามาจากแลบราดอร์และนิวฟันด์แลนด์ ตั้งใจมาตกปลาโดยเฉพาะและไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองนี้เท่าไร ช่วยแนะนำบาร์ดีๆ ให้เราหน่อยได้ไหม?”
วิสเติลโบกมือแล้วพูดว่า “เดี๋ยวฉันจัดการให้ ตามฉันมาสิ ฉันจะทำให้พวกนายกินอิ่ม นอนหลับอย่างสุขสบายโดยเสียเงินไม่เท่าไร”
เขาคนนั้นขับรถกระบะจีเอ็มซี ส่วนฉินสือโอวเรียกแท็กซี่ พวกเขามุ่งหน้าไปที่เขตเล็กๆ เขตหนึ่งของเมืองที่อยู่ไม่ไกล
ระหว่างทาง วิสเติลเผยความตั้งใจที่แท้จริงของเขาแล้วพูดตรงๆ เรื่องการตกปลา “พวกนายสุดยอดไปเลย มาปุ๊บก็จับได้ปลาตัวใหญ่ ฉันล่ะอิจฉาจริงๆ จริงสิเพื่อน พวกนายใช้เบ็ดกับเส้นเอ็นยี่ห้ออะไรเหรอ? ใช้เหยื่ออะไร? ปลาแฮร์ริ่ง ปลาหมึก ปลาแมกเคอเรลหรือว่าปลาแอนโชวี่?”
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความลับอะไร ฉินสือโอวจึงบอกเขาไปทีละอย่าง หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าจะทำให้หนุ่มหล่อแห่งอเมริกาคนนี้ผิดหวังไม่ได้จึงบอก ‘ความลับ’ ไปอีกนิดหน่อย “เหยื่อที่พวกเราใช้ไม่ใช่ปลาธรรมดาๆ นะเพื่อน ไม่ธรรมดาเลย”
ซีมอนสเตอร์กับนีลเซ็นหัวเราะเบาๆ เพราะรู้ว่าเจ้านายของพวกเขากำลังจะเริ่มเล่นละครแล้ว
วิสเติลได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นและถามว่า “มีเคล็ดลับอะไรเหรอ?””
ฉินสือโอวตอบว่า “นายจะต้องหยดเลือดแกะเล็กน้อยลงบนเหยื่อที่ถูกแช่แข็งไว้ จำไว้นะว่าใช้เลือดวัวหรือเลือดหมูก็ไม่ได้ ต้องเป็นเลือดแกะเท่านั้น แน่นอนว่าต้องใส่น้ำมันงาในปริมาณที่เหมาะสมอีกด้วย เหยื่อแบบนี้เป็นเหยื่อที่ปลาทูน่าชอบ”
ที่เขาพูดแบบนี้เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งหนุ่มหล่อคนนี้ แม้ว่าปลาทูน่าจะไม่กระหายเลือดเหมือนฉลาม แต่พวกมันก็ไวต่อกลิ่นเลือดเหมือนกัน ชาวประมงหลายคนก็ใส่เลือดสัตว์ลงไปในเหยื่อเพื่อดึงดูดปลาทูน่ากันทั้งนั้น
วิสเติลรับฟังแล้วพูดว่า “แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ฉันว่าที่นายพูดก็มีเหตุผล คนเอเชียอย่างพวกนายเก่งเรื่องลี้ลับ เรื่องแบบนี้ต้องยกให้พวกนายเลย”
เขตเล็กๆ ของเมืองนี้ใหญ่ราวกับตำบล หลังจากเลี้ยวไปสองสามทีก็มาหยุดที่อาคารสามชั้นแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นวิสเติลก็ช่วยฉินสือโอวยกกระเป๋าแล้วพูดว่า “โอเค ถึงแล้วเพื่อน บ้านของวิสเติล ฉันพนันได้เลยว่าพวกนายจะต้องชอบที่นี่”
ให้ตายสิ ฉินสือโอวไม่รู้ว่าจะดีใจหรือว่าเสียใจดี ใครจะไปคิดว่าครอบครัวของวิสเติลทำธุรกิจโรงแรม แบบนี้เรียกว่าเนื้อเข้าปากเสือได้รึเปล่า?
อาคารทั้งหมดถูกสร้างด้วยหินภูเขาและไม้เมเปิลขนาดไม่ใหญ่มาก ลักษณะภายนอกนั้นเรียบง่ายพอเข้าประตูไปก็พบว่าบ้านได้รับการทำความสะอาดอย่างดี
นำห้องรับแขกมาทำเป็นร้านอาหารที่มีโต๊ะอยู่เจ็ดแปดตัว มีบาร์เล็กๆ อยู่ที่มุมฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ และมีทีวีแขวนอยู่เครื่องหนึ่ง ชั้นสองและชั้นสามเป็นห้องนอนให้เช่า มีตั้งแต่ห้องเตียงเดี่ยวไปจนถึงห้องที่นอนได้สามคน ราคาถูกมาก ห้องเตียงเดี่ยวที่หรูหราที่สุดแค่คืนละ 45 ดอลลาร์แถมยังมีอาหารเช้าให้อีกด้วย
ฉินสือโอวเห็นว่าห้องพักและผ้าปูที่นอนสะอาดดีก็รีบทำการจ่ายค่าที่พักล่วงหน้าไว้หนึ่งอาทิตย์ทันที เขาให้วิสเติลเพิ่มอีกสองร้อยดอลลาร์เพื่อเตรียมพวกพิซซ่าและขนมปังสำหรับอาหารเย็นด้วย
พอได้เงิน วิสเติลก็ยิ่งกระตือรือร้นเข้าไปใหญ่ ก่อนจากไปเข้าพูดว่า “ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ารีบพักผ่อนซะแล้วพรุ่งรีบออกจากท่าตั้งแต่เช้ามืด ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้นายจะไม่สามารถตกปลาได้อย่างสงบสุขแน่”
“หมายความว่ายังไง?” ฉินสือโอวถาม
วิสเติลหยักไหล่แล้วพูดว่า “เชื่อฉันเถอะถ้านายไม่อยากถูกงับหาง รีบนอนรีบ รีบตื่นและรีบออกไปหาปลาตัวใหญ่ซะ”
………………………………………………..
บทที่ 233 วิวยามเช้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
บ้านของวิสเติลเป็นโรงแรมที่ไม่เลวเลย เนื่องจากอยู่ไกลจากท่าเรือพอสมควรจึงค่อนข้างเงียบสงบ และเมืองเล็กๆ นี้ก็ไม่ค่อยมีรถวิ่งในเวลากลางคืนเท่าไร เพราะฉะนั้นหลังจากที่ปิดประตูหน้าต่างก็จะกลายเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบทันที
หลังจากที่ฉินสือโอวเอนตัวลงเขาก็นำจิตสำนึกไปที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จทันที ปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่เขาควบคุมกำลังมองหาอาหารอยู่ ตอนกลางวันมันไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไร ตอนนี้มันคงหิวน่าดู
จักรพรรดิย่อมไม่ปล่อยให้พลทหารหิวโหย ฉินสือโอวเป็นคนใจกว้างต่อคนของเขาเสมอ เมื่อเขาป้อนพลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้กับปลาตัวนี้ มันก็เหมือนกับการนำเครื่องยนต์วีแปดไปใส่ในรถตู้ ปลาทูน่าที่เหนื่อยล้ากลับกลายเป็นมีพลังขึ้นมาทันทีและความเร็วในการว่ายน้ำก็เพิ่มขึ้นด้วย
เขาสัมผัสได้ว่ามีฝูงปลาแฮร์ริ่งฝูงหนึ่งอยู่ใกล้ๆ จึงควบคุมฝูงปลาเหล่านี้ให้อยู่นิ่งๆ ปลาทูน่าพุ่งเข้าไปเพียงสองสามครั้งปลาปลาแฮร์ริ่งก็เข้าไปอยู่ในท้องของมันเกือบครึ่ง
ตอนนั้นเองมีปลาใหญ่อีกตัวก็พุ่งเข้ามา มันอ้าปากกว้างและฉวยโอกาสกินปลาแฮร์ริ่งที่ฉินสือโอวบังคับให้อยู่นิ่งๆ ไป
เมื่อฉินสือโอวเห็นปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวใหญ่ตัวนี้ เขาก็รู้สึกประหลาดใจ นี่มันปลาทูน่าครีบน้ำเงินอีกตัวหนึ่งนี่และเป็นปลาตัวเมียที่ไม่ได้เจอตอนกลางวันด้วย
แต่ปลาตัวนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มากเท่าไร ขนาดประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้ ท้องสีเงินเรียบเนียนเป็นประกาย ดวงตาสุกใสกลมโต รูปร่างดีใช่เล่น
ไร้ที่ติจริงๆ ควบคุมตัวนี้ด้วยเลยก็แล้วกัน ฉินสือโอวไม่มองหาเรืออับปางอีกต่อไป เขาควบคุมปลาสองตัวนี้ว่ายไปยังฟาร์มปลาของตัวเองทันที
ความเร็วในการว่ายน้ำของปลาทูน่านั้นไม่ต้องพูดถึง แล้วยิ่งมีพลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนคอยสนับสนุนอยู่เรื่อยๆ ด้วยแล้ว ปลาสองตัวว่ายน้ำแข่งกันเหมือนเรือสปีดโบ๊ทมุ่งหน้าไปยังฟาร์มต้าฉิน
น่าเสียดายที่พวกมันไม่สามารถว่ายเป็นระยะทาง 1,500 กิโลเมตรได้ในคืนเดียว ฉินสือโอวจึงส่งพวกมันไปแถวๆ เกาะเซเบิลและปล่อยให้พัก
ประตูห้องถูกเคาะในเวลาตีห้าครึ่ง หลังจากฉินสือโอวเดินสะลึมสะลือไปเปิดประตู ก็เห็นใบหน้าเป็นกังวลของวิสเติล
หนุ่มหล่อคนนี้เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ดูท่าแล้วเมื่อคืนเขาคงไม่ได้นอนแน่ๆ คงจะอยู่ที่บาร์ทั้งคืนแล้วเพิ่งจะกลับมาตอนนี้
พอฉินสือโอวเปิดประตู วิสเติลก็รีบพุูดว่า “ทำไมยังนอนอยู่อีกล่ะเพื่อน? พระเจ้าช่วย พวกนายเป็นมือใหม่เหรอเนี่ย? ไม่รู้เหรอว่าหลังจากที่จับปลาได้ ต้องออกจากท่าเรือเช้าหน่อยน่ะ?”
“ทำไมล่ะ?” ฉินสือโอวถาม
วิสเติลกางมือของเขาออกด้วยท่าทีเบื่อหน่ายแล้วพูดว่า “ทำไมงั้นเหรอ? นายล้อฉันเล่นเหรอเพื่อน? นายถามฉันว่าทำไมเนี่ยนะ! แน่นอนว่าเพราะใครบางคนอาจจะอิจฉาพวกนายไง พวกเขาจะขับตามเรือของนายไป ถึงตอนนั้นไม่ว่านายจะไปตกปลาที่ไหนพวกเขาก็จะจอดที่นั่นด้วย และวิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้นก็คือ นายต้องออกเรือไปตั้งแต่กลางคืนโดยไม่ให้คนอื่นรู้ยังไงล่ะ!”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เห็นเป็นไรเลย สบายๆ พวกเรามาตกปลาที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จ วันนี้จะไปไหนได้อีกล่ะ เพราะฉะนั้นถ้ามีคนตามพวกเรา พวกเขาจะต้องผิดหวังแน่”
วิสเติลส่ายหัว เมื่อเห็นท่าว่าอธิบายให้ฉินสือโอวฟังไปก็เท่านั้น เขาจึงเดินกลับห้องตัวเองไปนอนดีกว่า
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันฉินสือโอวก็เดินลงไปข้างล่าง แม่ของวิสเติลที่กำลังปัดกวาดทำความสะอาดอยู่เห็นเขาจึงยิ้มให้แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “พ่อหนุ่มฉันขอถามคุณสักคำถามสิ คุณเป็นคนเอเชียเหรอ? คนจีน? หรือว่าคนญี่ปุ่นล่ะ?”
“คนจีนครับ” ฉินสือโอวยิ้มให้เล็กน้อย
เถ้าแก่เนี้ยอธิบายต่อว่า “อย่าหาว่าฉันซอกแซกเลยนะ ที่ถามเพราะอยากจะทำอาหารให้ออกมารสชาติถูกปากน่ะ ในเมื่อคุณเป็นคนจีนฉันก็จะไม่ทำซาชิมิกับข้าวปั้น ถ้าเป็นข้าวผัดไข่พวกคุณน่าจะชอบใช่ไหม?”
ฉินสือโอวพยักหน้า วิสเติลพูดไม่ผิดเลยที่บอกว่าถ้าพักที่บ้านเขาแล้วจะไม่ผิดหวัง แม่ของเขาแม่ครัวยอดฝีมือสามารถทำหมูสามชั้นผัดซอสแดงที่เป็นอาหารจีนได้ด้วย แม้ว่ารสชาติจะไม่เหมือนต้นตำรับเพราะหวานเกินไปก็ตาม
หลังจากทานอาหารเช้า ฉินสือโอวก็พาซีมอนสเตอร์กับคนอื่นๆ เดินไปตามทางอย่างไม่เร่งรีบ เขามองดูท่าเรือประมงที่สไตล์แสนจะอเมริกาเหนือ ถ่ายรูปบางเป็นบางครั้ง ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนกับนักท่องเที่ยว
ฉินสือโอวพอจะเข้าใจเมืองกลอสเตอร์ขึ้นบ้างแล้ว สถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็คือประภาคารแห่งเกาะสิบปอนด์ซึ่งสูงใหญ่จนสามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง
ประภาคารนี้มีความแข็งแกร่ง มั่นคง และสงบ แม้คลื่นทะเลจะซัดสาดเข้ามาไม่หยุด แม้สายลมทะเลโหมพัดกระหน่ำ แต่ประภาคารนี้ก็ไม่ขยับเขยื้อน แสดงถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น
เมืองกลอสเตอร์เป็นเมืองที่เล็กมาก โดยเฉพาะตอนที่เดินอยู่ข้างในยิ่งรู้สึกว่าแค่นี้เองเหรอ
บ้านของวิสเติลตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ต้องผ่านเมืองเล็กๆ นี้เพื่อไปยังท่าเรือ เดินได้ไม่เท่าไรทะเลก็ปรากฏสู่สายตาของฉินสือโอว
ไม่ไกลจากชายทะเลมีจัตุรัสอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีกลุ่มชายผิวขาวและนกพิราบกำลังหาอาหาร ฉินสือโอวควักเงินสองดอลลาร์ซื้อเมล็ดข้าวโพดโยนให้นกพิราบกิน ในไม่ช้านกตัวเล็กๆ เหล่านี้ก็บินไปหาเขาเพื่อขออาหารอย่างไม่เกรงกลัวเขาอีกต่อไป
จู่ๆ ก็มีเสียงนกดังขึ้น เหล่านกพิราบตกใจจนพากันบินหนีไป ฉินสือโอวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่ต้องมองก็รู้ว่านิมิตส์หาเขาเจอและบินมาหาเขาแล้ว
จริงอย่างที่คาด สองวินาทีหลังจากนั้น นิมิตส์ก็บินวนอยู่เหนือหัวฉินสือโอว ก่อนจะเก็บปีกแล้วบินร่อนลงมายังไหล่ของฉินสือโอว มันจะยื่นจะงอยปากมาจัดทรงผมให้ฉินสือโอวด้วย
คราวนี้ก็ถึงตาผู้อยู่อาศัยที่เดินอยู่แถวจัตุรัสถ่ายรูปแล้ว ฉินสือโอวไม่อยากเป็นที่รู้จักจึงโยนเม็ดข้าวโพดลงพื้นแล้วพานิมิตส์ออกมา
เดินไปข้างหน้าอีกหน่อยก็จะเป็นรูปปั้นชาวประมงประจำเมืองกลอสเตอร์ รูปปั้นทองสัมฤทธิ์นี้หล่อขึ้นตามสัดส่วนคนจริง มันคือรูปปั้นชาวประมงสวมหมวกที่กำลังถือพังงา*อยู่ (*พังงา=พวงมาลัยเรือ)
ฉินสือโอวเซลฟีกับรูปปั้นสองสามรูป จากนั้นเขาก็เดินไปที่ท่าเรือช้าๆ เมื่อกลุ่มชาวประมงเห็นเขาเดินมา พวกเขาก็พากันถอนหายใจกันอย่างโล่งอก
บางคนก็ด่าเขาว่า “แม่งเอ๊ย พระเจ้าจะต้องลงโทษไอ้หมอนี่ให้ฉัน ฉันรอมันอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตีสอง เพื่อจะได้รู้ว่าไอ้แคนาดานี่นอนหลับสบายจนป่านนี้งั้นเหรอ?”
“โดรอย่าบ่นไปเลยน่า ฮ่าๆ ๆ เจ้าลิซท์นี่อับโชคจริงๆ มันคิดว่าเขาเปลี่ยนเรือแล้วออกจากฝั่งไปแล้ว มันก็เลยเพิ่งออกเรือไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเอง” แล้วคนอื่นก็พากันหัวเราะอย่างมีความสุข
พอฉินสือโอวไปที่ท่าเรือก็บังเอิญเจอกับผู้ดูแลบริษัทไทรเด้นท์ฟิชชิ่งอย่างเจมส์ ลูวิสเข้า
ชายชรามองฉินสือโอวด้วยตาแปลกๆ แล้วพูดว่า “เฮ้เพื่อน นี่นายมาตกปลาทูน่าจริงๆ เหรอ?”
ฉินสือโอวสะบัดแขนให้นิมิตส์บินออกไปก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า “จริงครับ แล้วก็มาพักผ่อนด้วย ยังไงปลาทูน่าก็อยู่ในทะเล พวกมันหนีไปดาวอังคารไม่ได้อยู่แล้ว แต่เวลาของมนุษย์อย่างพวกเรามีน้อย ซึ่งก็หมายความว่าเวลาแห่งความสุขก็น้อยด้วยเช่นกัน คุณว่าจริงไหม?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ชายชราก็ยิ้มและพยักหน้าแล้วพูดว่า “นายนี่แตกต่างจากพวกชาวจีนโพ้นทะเลเหลือเกิน ฉันรู้จักชาวจีนโพ้นทะเลอยู่ไม่น้อย พวกเขายุ่งเกินไปไม่ว่าจะเป็นชาวประมงหรือประธานาธิบดี ชีวิตของพวกเขาดูเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา ใช่แล้ว… นายพูดถูก เวลาแห่งความสุขนั้นสำคัญกว่าปลาทูน่า มีคนไม่มากนักที่เข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
ชาวประมงที่รออยู่ที่ท่าเรือมาเนิ่นนานพูดอย่างหงุดหงิดว่า “เขาเสพสุขได้แน่นอนอยู่แล้ว ก็ดูสิว่าเขาขับอะไรมาน่ะ? เรือยอชต์เลยนะ! ขับเรือยอชต์ราคาตั้งหลายล้านจากนิวฟันด์แลนด์มาเมืองกลอสเตอร์ เขามาเพื่อพักร้อนชัดๆ!”
“ชาร์ลี อย่าพูดมาก นายจะไปสนว่าเขามาพักร้อนหรือมาตกปลาทำไม? ในเมื่อเขามาเมื่อวานวันเดียวก็ตกปลาได้แล้ว นายล่ะตกได้กี่ตัวแล้ว?” ชายชราตอกกลับอย่างรวดเร็ว
ชาวประมงวัยกลางคนทำเป็นมองไปทางอื่นแล้วพึมพำว่า “สองวันมานี้ฉันดวงไม่ค่อยดีเท่าไร ให้ตายสิ หวังว่าวันนี้จะโชคดีนะ”
ฉินสือโอวขึ้นเรือคราวนี้ไม่ต้องใช้เรือนกนางนวล ใช้แค่เรือบอลหิมะก็พอ
ทันทีที่บอลหิมะออกจากท่าเรือสี่ห้าลำก็ตามมาข้างหลังอย่างกับหมาป่า คนพวกนี้ต้องการตามเขาไปตกปลาอย่างไม่ต้องสงสัย
………………………………………………..
บทที่ 234 เกิดเรื่องไม่หยุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
สมรรถนะของเรือบอลหิมะจัดว่าเป็นเรือระดับสูงที่สุดในบรรดาเรือประมงที่ท่าเรือกลอสเตอร์ โดยดูได้จากความเร็วที่เริ่มเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดหวูดออกท่าเรือได้สูงสุดแทบทะลุสามสิบนอต
ออกเรือไปได้สักพัก เสียงวิทยุก็ดังขึ้น ฉินสือโอวรับสาย เป็นเสียงหยาบกระด้างกล่าวว่า “บอลหิมะ บอลหิมะ นี่คือเรือแห่งชีวิต ผมคือกัปตันชาลส์ ชาลส์ เนท”
เงียบไปครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นต่อ “คืออย่างนี้ ผมต้องเตือนหน่อย พวกคุณได้เติมน้ำแข็งมาหรือเปล่า? “
ฉินสือโอวค่อนข้างประทับใจกับเสียงนั้น เขาอาจเป็นคนที่ถูกตาแก่เจมส์ตำหนิว่าตกปลาไม่ได้ตอนอยู่ท่าเรือก็ได้ อีกฝ่ายอุตส่าห์เตือนตนด้วยความหวังดี เขาคงต้องขอบคุณเสียหน่อย ไม่ว่าเจตนาฝ่ายนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
ดังนั้น เขาจึงกระแอมทีหนึ่งและตอบว่า “สวัสดีกัปตันเนท ผมกัปตันฉินเรือบอลหิมะ ถังน้ำแข็งของเราใช้วัสดุโพลี่ยูริเทนโฟมแบบแข็ง เลยไม่จำเป็นต้องเติมน้ำแข็งทุกวันครับ แค่เปลี่ยนสี่ห้าก้อนต่อครั้งก็พอ”
อธิบายเสร็จฉินสือโอวก็วางสายแล้วช่วยชาร์คเตรียมเหยื่อปลา
ทางเขาเงียบไปแล้ว จู่ๆ วิทยุของเรือประมงอีกสี่ห้าลำด้านหลังก็วุ่นวายขึ้นมา มีคนติดต่อหาชาลส์ไม่หยุด ถามว่า “พวก นายเพิ่งคุยอะไรกับพวกเขาน่ะ?”
“อ้อ ฉันเตือนไปว่าเขาเติมน้ำแข็งมาหรือยัง”
“ฮ่าๆ นายนี่เป็นคนดีเสียจริง ไม่งั้นพวกเขาคงลืมเติมน้ำแข็งที่ชายฝั่งไปแล้ว ดูคนแคนาดาสมัยนี้สิเขาตกปลายังไงกัน”
“เจ้าโง่ พวกเขาตกปลาได้อยู่แล้ว รู้ไหมว่าถังน้ำแข็งพวกเขาทำมาจากอะไร? ฉนวนโพลี่ยูริเทนโฟมไงเล่า!”
“บ้าน่า ใช้โพลี่ยูริเทนโฟมแบบแข็งทำถังน้ำแข็ง? วัสดุนั้นสำหรับทำตู้อบแพงๆ ไม่ใช่เหรอ? นายนั่นเอามาใช้ทำถังน้ำแข็งเนี่ยนะ? ให้ตาย เขารวยขนาดนั้นแล้วยังจะมาแข่งหาทูน่ากับพวกเราเพื่ออะไร?!”
ลมทะเลพัดผ่าน ฉินสือโอวหยอกล้อกับเจ้าพวกฉงต้าและหู่จือ จนสามชั่วโมงกว่าจึงมาถึงน่านน้ำชายหาดจอร์จ
เวลานี้ชายหาดจอร์จมีคนมาตกปลาก่อนแล้ว มีเรือประมงแยกกระจัดกระจายเหมือนเมื่อวาน แน่นอนว่าเรือประมงเหล่านั้นอยู่ห่างออกไปมาก พอมองจากฝั่งฉินสือโอว จึงเห็นเพียงแค่จุดขาวเล็กๆ
เพราะส่งทูน่าครีบน้ำเงินกลับไปหมดแล้ว ฉินสือโอวเลยจำต้องพึ่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนที่ค้นหาในน่านน้ำได้ช้า เมื่อเทียบกับตอนอาศัยร่างทูน่า ความเร็วของตัวจิตสำนึกเพียงอย่างเดียว ถือว่าค่อนข้างช้ามาก
ฉินสือโอวพิงรั้วมองหาเงาปลาทูน่า รวมถึงดูว่ามีซากเรืออับปางตรงก้นทะเลบ้างไหม ผลที่ได้ไม่ราบรื่นนัก ไม่มีทูน่าผ่านมาเลย และเรืออับปางก็หาไม่เจอ
ตอนนั้นเองวิทยุของเรือประมงก็ส่งเสียงขึ้น ฉินสือโอวรับสาย ปลายสายยังคงเป็นเสียงชาลส์จากเรือแห่งชีวิต “พวก ลองไปหาตำแหน่งเรือลักกี้สตาร์ดูสิ เอ่อ อยู่ตรงทิศใต้ของเรือคุณน่ะ ถ้ามองทางนั้นพวกคุณน่าจะหาปลาตัวใหญ่เจอได้”
“ต้องการอะไรจากพวกผมกันแน่ครับ?” ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจ
ชาลส์สำลักไปเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างจำใจ “นายต้องมีแรงผลักดัน เจ้าหนุ่ม นายต้องมีแรงผลักดันเข้าไว้ ถ้าตกปลาใหญ่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่านายก็อยากรีบกลับไปตกปลาที่เดิมเมื่อวานอีกเหรอ?”
ฉินสือโอวพลันกระจ่าง อ้อ ที่แท้ก็ช่วยเขาเพื่อให้พาไปน่านน้ำเมื่อวานแล้วตัวเองค่อยตามไปนั่นเอง
เรื่องนี้มีส่วนมาจากพฤติกรรมของปลาทูน่าด้วย แม้พวกมันจะเดินทางโยกย้ายในทะเลตลอด กล่าวได้ว่าไม่ต่างจากปลาชนิดอื่นๆ และชอบอยู่รวมเป็นกลุ่ม ปกติถ้าตกปลาได้ที่ไหน ก็จะมีโอกาสพบปลาเป็นฝูงอยู่แถวนั้นด้วย
แน่นอนว่าไม่มีอะไรยืนยันได้ อย่างเมื่อวานที่ฉินสือโอวหาทูน่าครีบน้ำเงินได้สองที่ กลับมีแค่พวกมันอยู่ตามลำพัง ไม่ใช่ว่าไม่มีฝูงปลาแต่ส่วนใหญ่เป็นปลาตัวเล็ก ที่ไม่คุ้มค่า
ทว่าอุตส่าห์มีคนตกปลาได้ทั้งที ฉินสือโอวจึงคิดไปดูเสียหน่อย
จิตสำนึกโพไซดอนเริ่มเคลื่อนไหว มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ห่างจากใต้ท้องเรือยี่สิบกว่าเมตรอยู่จริงๆ และยังเป็นทูน่าครีบน้ำเงินด้วย ตัวประมาณหนึ่งจุดสองเมตรได้ เป็นตัวเมีย
ถ้าเกิดปลาตัวนี้ถูกคนในเรือลักกี้สตาร์ตกได้ หรือเป็นตัวผู้ ฉินสือโอวก็จะไม่จับ เขามีขอบเขตของตัวเอง คือไม่ฉวยโอกาสใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแย่งตกปลาของคนอื่น
แต่ตอนนี้ปลามันยังไม่กินเบ็ดแถมเป็นตัวเมีย ฉินสือโอวจึงไม่เกรงใจ เข้าควบคุมพามาทันที
บนเรือลักกี้สตาร์ กัปตันเฟล็ปส์กำลังจ้องเขม็งไปยังผิวน้ำอย่างเคร่งเครียด โดยมีผู้ช่วยเขากับหลานชายเคอร์ริสคอยโยนเหยื่อลงไปในน้ำ พร้อมเร่งเฟล็ปส์ว่า “เร็ว กินเหยื่อสิ ลุงครับ เร็วเข้า เจ้าตัวพันดอลลาร์อเมริกากำลังมาให้เราจับแล้ว”
เฟล็ปส์ตอบนิ่งๆ “ใจเย็น ใจเย็น เคอร์ริส ปกติลุงสอนเธอว่ายังไง? ปลาตัวนี้มันยังหยั่งเชิงอยู่ อีกเดี๋ยวค่อย…”
เขายังสอนไม่ทันจบ เครื่องโซนาร์หาปลาก็หยุดส่งเสียง เฟล็ปส์งุนงงจึงหันกลับไปดูในห้องบังคับการ แล้วพบว่าสัญญาณของปลาทูน่าในเครื่องหาปลาได้หายไปแล้ว
“บัดซบเอ้ย!” เขาคำราม
ทูน่าไม่เหมาะสำหรับการตกเท่าไร และความสนใจของฉินสือโอวไม่ได้อยู่ที่ทูน่า หลังเขาควบคุมปลาได้ก็เริ่มทำการค้นหาใต้ทะเลต่อ เพื่อมองหาร่องรอยของเรืออับปาง
ปลาทูน่าตัวหนึ่งอย่างมากก็ขายได้หมื่นสองหมื่น ซึ่งที่ชายน้ำตื้นนี้มีปลาตัวใหญ่ไม่มาก แต่เรืออับปางอย่างต่ำก็มีมูลค่ายี่สิบล้านดอลลาร์อเมริกาแล้ว ต้องทำธุรกิจอย่างไรเขารู้ดี
ขณะที่เป้าหมายของเขาคือเรือ พวกชาวประมงที่มาตกปลาทูน่า ก็ตามฉินสือโอวไปเพื่อหวังจะเจอแหล่งชุกชุมปลา
แต่เหล่าชาวประมงก็ไม่ได้ถึงขั้นหน้าไม่อาย พอตามฉินสือโอวถึงน่านน้ำนี้ต่างก็แยกย้ายกัน พวกกัปตันใช้ประสบการณ์ของตัวเองค้นหาตามหาสถานที่ที่มีโอกาสจะเจอแหล่งอาศัยของทูน่า
มีเพียงเรือลำเดียวที่ยังคงตามเรือบอลหิมะตลอด โดยรักษาระยะห่างในหนึ่งไมล์ทะเลไว้ ชาร์คทนไม่ไหวเลยติดต่อผ่านวิทยุไปยังเรือลำนั้นว่า “เฮ้ย เรือแห่งชีวิต พวกนายช่วยห่างกว่าอีกหน่อยโอเคไหม? ใกล้ไปแล้ว ระยะห่างพวกเราเสี่ยงเกินไป เดี๋ยวก็เกิดเรื่องยุ่งเข้าหรอก”
บนเรือแห่งชีวิต ชาลส์ทำหน้าทะเล้นตอบว่า “พวกเราอยู่ห่างกันตั้งเยอะ ไม่มีปัญหาอะไรน่า พวกนายรีบตกปลาเถอะ”
ชาร์คเริ่มโมโห ฉินสือโอวโบกมือบอกให้เขาใจเย็น ถึงอย่างไรบริเวณนี้ก็มีแค่ทูน่าที่เขาควบคุมอยู่ตัวเดียว ให้พวกเขาตามไปเถอะ
ดังคาด จนเวลาเที่ยงแล้ว ยังไม่มีใครจับปลาทูน่าได้สักคน แต่เป็นเรือชื่อ ‘คอนสแตนติน’ ลำหนึ่งที่ตกปลาฉลามหางยาวได้ ทำคนบนเรือดีใจกันถ้วนหน้า
ทว่าช่วงเที่ยง สถานการณ์กลับเลวร้ายลง เมื่อเรือ ประมงอวนลากประมาณสี่ห้าตันปรากฏขึ้นบนน่านน้ำ
ซึ่งเรือ ประมงอวนลากไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้จับปลาทูน่าครีบน้ำเงิน แต่ที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จไม่ได้มีแค่ปลาชนิดเดียว ยังมีปลาค็อด ปลาแซลมอนแปซิฟิก ปลาแฮร์ริ่ง ปลาทะเลตัวแบน ปลากะพงทะเล ฯลฯ อีกจำนวนมาก เป้าหมายของพวกเขาคือปลาพวกนี้ ถ้าจับได้จำนวนมากพอก็แทบขายได้ราคาดีพอกัน
เดิมชายหาดน้ำตื้นจอร์จก็มีพื้นที่ไม่น้อย ไม่เกิดการขวางทางระหว่างเรือประมงกับเรือตกปลาอย่างใด แต่พอหลังเรือ ประมงอวนลากแล่นเข้ามา การตกปลาก็พาลต้องหยุดชะงักลง
ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกอะไร ระยะระหว่างกันยังห่างอยู่ จึงมองคนทั้งสองบนท้ายเรือตกปลาเล็กที่เริ่มตะโกนใส่เรือประมง
เนื่องจากอยู่ไกลเกินไป เขาเลยฟังไม่ชัดว่าตะโกนอะไรกัน แต่ดูค่อนข้างร้อนรน เพราะสองคนนั้นไม่เพียงตะโกนยังกระโดดไปมาอีกด้วย
ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
ชาร์คตอบอย่างร้อนใจ “ให้ตาย กัปตันเรือประมงนั่นบ้าไปแล้ว! คืออย่างนี้ครับ เรือ ประมงอวนลากมีอวนลากอยู่ใต้ทะเล แต่สมอของเรือตกปลาก็อยู่ด้านล่างนั่นเหมือนกัน บอสก็รู้ว่าสมอเวลาอยู่ในน้ำมันจะเอนลง แบบนี้ต่อให้เรือประมงกับเรือตกปลาไม่ได้อยู่ใกล้กัน มันก็จะถูกอวนเกี่ยวเชือกสมอไปด้วย”
“แล้วยิ่งเป็นอวนขนาดใหญ่ไปเกี่ยวสมอเข้า เรือก็จะโดนลากตามไป ยิ่งสมอที่อยู่ข้างเรือประมงที่ขับด้วยความเร็ว ถ้าตะขอหลุดเมื่อไรเรือก็จะเสียสมดุลแล้วจมในที่สุดครับ”
ได้ฟังชาร์คอธิบายดังนั้น ฉินสือโอวจึงกระจ่างทันทีว่าเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด
เรือจมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคนโดนดึงจมไปด้วย ยิ่งแย่กว่าเดิมแน่ เพราะถ้าคนบนเรือกระโดดลงน้ำก่อนไม่ทันจนเรือพลิกขึ้นมาก็แทบหมดทางหนี!
เรือตกปลาลำอื่นๆ อยู่ไกลเกินไป ถึงอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ แถมยังลงสมอไว้แล้ว ซึ่งตอนนี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือเรือบอลหิมะของฉินสือโอวนั่นเอง
………………………………………………
บทที่ 235 อัศวินนิมิตส์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าบริเวณน่านน้ำนี้มีปลาทูน่าอยู่ เรือบอลหิมะจึงไม่ได้ลงสมอไว้ เพียงแต่ยังไม่ทันออกเรือ ก็ค่อยๆ ถูกซัดตามคลื่นไป
เมื่อเห็นเรือแห่งชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย ฉินสือโอวก็พูดอย่างไม่ลังเล “รีบสตาร์ทเรือเร็ว ไปดูว่าพอจะช่วยตัดหรือปลดสมอพวกเขาได้บ้างไหม!”
นีลเซ็นรีบหมุนหางเสือ เครื่องยนต์เรือบอลหิมะสองเครื่องคำรามพุ่งฝ่าคลื่นไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันปัญหาทางฝั่งเรือแห่งชีวิตก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น เรือตกปลาโดนลากไปด้วยแล้ว แสดงว่าสมอถูกอวนของเรือประมงเกี่ยวเข้าแล้วแน่นอน
เรือบอลหิมะเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว ชาลส์ที่อยู่บนเรือแห่งชีวิตตะโกนว่า “พวก ขอบใจมาก ขอบใจจริงๆ! แต่พวกนายรีบหนีไปเสีย! ให้ไวเลย! บ้าเอ้ย พวกเราใช้เชือกสมอเหล็กเบอร์สิบสองเชียวนะ!”
เพราะเรือตกปลาไม่ได้มีขนาดใหญ่ และระบายน้ำออกได้น้อย จึงใช้เชือกสมอเรือที่เป็นลวดเหล็กถักทั้งหมด มีทั้งแบบหนาแบบบาง ตั้งแต่เบอร์สองถึงเบอร์ยี่สิบสี่
ซึ่งเหล็กเบอร์สิบสองมีความหนาเท่ากับนิ้วหัวแม่มือของชายหนุ่มทีเดียว ขนาดเรือยอชต์อวนลากนางนวลของฉินสือโอวยังใช้เหล็กแค่เบอร์สิบสี่ ไม่รู้ทำไมเรือแห่งชีวิตต้องใช้สมอหนาขนาดนั้น การจะตัดเชือกสมอจึงแทบเป็นไปไม่ได้
เดิมฉินสือโอวคิดจะใช้เรือบอลหิมะเชื่อมกับเรือแห่งชีวิต แล้วขับออกไปพร้อมกันเพื่อให้เชือกสมอแบบธรรมดาขาด ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาทั่วไปเวลาเรือตกปลาโดนเรือประมงเกี่ยวสมอ
ทว่าดูท่าตอนนี้ วิธีนั้นคงใช้ไม่ได้ผลแล้ว เหล็กเบอร์สิบสองไม่ใช่จะตัดได้ง่ายๆ มีแต่จะลากเรือบอลหิมะลงน้ำไปด้วยกัน!
ฉินสือโอวไม่สามารถทนมองความตายโดยไม่ช่วยไม่ได้ ชาร์คและนีลเซ็นเองก็ร้อนรนไม่ต่างกัน คนที่ใช้ชีวิตในทะเลก็อย่างนี้ แม้พวกชาวประมงจะทะเลาะกันเพราะเรื่องจับปลาอยู่บ่อยๆ
แต่ในยามคับขัน เหล่าชาวประมงก็ไม่อาจทนมองอย่างเลือดเย็นได้ หากช่วยอะไรได้ก็จะพยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่
เพราะการออกทะเลก็เสี่ยงมากพอแล้ว โดยเฉพาะการกู้ภัยน้ำลึก หรือตกปลาแทบเหมือนการเสี่ยงตาย ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะประสบเคราะห์ในน้ำเมื่อไร
พวกเขาต่างมีครอบครัว ล้วนเข้าใจความรู้สึกของการรอคนที่รักกลับบ้านอย่างปลอดภัยทั้งนั้น ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ แต่เวลาช่วยชีวิตก็ไม่มีใครลังเล
เรือประมงลำนั้นยังคงแล่นไปตามปกติ ไม่มีทีท่าจะชะลอลง นอกจากนี้การจะชะลอกลางทะเลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะแรงเสียดทานบนน้ำน้อยเกินไป ถ้าจะเบรกเรือประมงยักษ์พันตันให้หยุดภายในสามสี่พันเมตรคงเป็นไปไม่ได้
ตอนนี้ปัญหาคือ กัปตันเรือลำนั้นดูเหมือนจงใจเข้ามาทางเรือแห่งชีวิต เว้นแต่ว่าทางนั้นจะไม่สามารถทิ้งสมอได้
ฉินสือโอวกัดฟัน เอ่ยน้ำเสียงเด็ดขาด “นีลเซ็น พุ่งเข้าไปเลย ช่วยฉันหยุดไอ้เรือบ้านั่นที!”
แล้วหันไปหาชาลส์บนเรือแห่งชีวิตกล่าวว่า “เร่งความเร็วสูงสุด รักษาระยะไว้!”
เรือบอลหิมะยังคงเร่งความเร็ว ตรงไปยังเรือประมง จนเข้าใกล้แล้วซีมอนสเตอร์จึงลั่นแตรบนดาดฟ้าให้เรือหยุด แต่คนบนเรือไม่สนใจ ยังคงแล่นต่อ
“บ้าเอ้ย!” นีลเซ็นเริ่มโมโหกับความเลือดเย็นและโหดเหี้ยมต่อชีวิตของคนบนเรือนั้น เขาดึงกล่องเก็บของข้างสะพานออกมาหยิบปืนลูกซองเรมิงตันแล้วเตรียมวิ่งออกไป
แต่ฉินสือโอวห้ามเขาอย่างใจเย็น เขาเงยหน้าผิวปาก พร้อมนิมิตส์ที่หุบปีกดิ่งลงมากลางอากาศทันที
เขาเหยียดแขนให้นิมิตส์เกาะ ฉินสือโอวหยิบก้อนน้ำแข็งเท่าลูกบอล ที่นีลเซ็นใช้มีดทหารเจาะเป็นรูไว้สำหรับกรงเล็บของนิมิตส์ออกมา
รอจนมันจับไว้ ฉินสือโอวจึงชี้ไปที่กระจกหน้าต่างหน้าห้องบังคับการของเรือประมงพร้อมตะโกนว่า “โยนใส่เลย โอเคไหม? โยนแรงๆ ให้แตกไปเลย! นิมิตส์เป็นเด็กฉลาด นิมิตส์ทำได้แน่นอน โอเคนะ?”
นิมิตส์อ้าปากร้องแกว๊กๆ เหมือนตอบรับสายตาฉินสือโอว
เห็นดังนั้นฉินสือโอวก็ยิ้ม เขายกนิมิตส์ขึ้นเหนือหัวแล้วโยนส่งมัน
ไม่เสียทีที่นกฟรีเกตได้รับขนานนามว่าเป็นราชาแห่งท้องฟ้าของอเมริกาเหนือ มันคว้าก้อนน้ำแข็งห้าหกกิโลกรัม กางปีกทะยานขึ้นไปและพุ่งใส่เรือประมงอย่างบ้าคลั่ง
ความหวังอยู่ที่ตัวนิมิตส์แล้ว ฉินสือโอวหัวใจเต้นรัว พวกนีลเซ็นก็มองอย่างกังวล
นิมิตส์บินขึ้นสู่ความสูงยี่สิบกว่าเมตร ก่อนจะพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว นีลเซ็นเห็นดังนั้นก็ตะโกนว่า “ดูสิ นิมิตส์เหมือน B-17 ที่กำลังจะโจมตีเลย เล่นมันเลยเพื่อน ลุย!”
B-17 ก็คือหนึ่งในเครื่องบินทิ้งระเบิดแสนยิ่งใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง คนอเมริกันตั้งชื่อเล่นให้มันว่าฟลายอิงฟอร์เทรส มันยิงระเบิดใส่อย่างสง่างาม จนถูกเรียกว่า ‘อัศวินชั้นสูงผู้หยิ่งทระนง’
‘ปัง เคล้ง…’
นิมิตส์โยนก้อนน้ำแข็งไปยังห้องบังคับการ ด้วยการโจมตีของนกฟรีเกตก่อให้เกิดพลังงานจลน์รุนแรง ทำให้กระจกหน้าต่างแตกทันที!
เพียงพริบตา กระจกหนาก็ถูกชนจนแตกละเอียด
ลูกเรือที่กำลังสวมหูฟังฟังเพลงสะดุ้งร้องด้วยความตกใจ เขามองนกฟรีเกตที่บินไปไกลอย่างหวาดๆ ไม่นานถึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาวิ่งไปหยิบปืนไรเฟิลในห้องโดยสารมา ตะโกนว่า “เวรเอ้ย ฉันจะฆ่าแกไอ้นกบ้า”
ชาวประมงบางส่วนที่ล็อกประตูห้องเล่นพนันกันต่างตกใจนายคนขับเรือ พอสอบถามเรื่องราวจนเข้าใจ ถึงรู้ว่ากระจกหน้าเรือประมงตัวเองโดนนกฟรีเกตยักษ์ตัวหนึ่งขว้างของใส่จนแตก จึงเดือดดาลเร่งรุดไปยังดาดฟ้าเรือกัน
เมื่อพวกเขาออกมาก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เรือตกปลาลำหนึ่งขับมาขวางหน้าเรือประมงพวกเขาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจวนจะชนกันอยู่รอมร่อแล้ว
“เฮ้ย พวกนายบ้าไปแล้วหรือไง?” กัปตันเรือประมงตวาด
พอเห็นคนร้ายเริ่มกล่าวหาเหยื่อ ฉินสือโอวก็เค้นหัวเราะ เขาชี้ไปยังเรือแห่งชีวิตที่โดนลากจนโคลงเคลงอยู่ด้านหลัง แล้วคำราม “หยุดเรือสิ! พวกนายคิดจะฆาตกรรมหรือไง? พวกนายคิดจะฆ่าคนกันใช่ไหม?”
คนบนเรือหันมองตามถึงได้เห็นสภาพน่าสยดสยองของเรือแห่งชีวิตเต็มตา มันดูน่าหวาดหวั่นมาก เรือตกปลาจะตามความเร็วของเรือประมงทันได้อย่างไรกัน? ตัวเรือแห่งชีวิตโงนเงนเสียจนเหมือนจะจมน้ำได้ทุกเมื่อ
ทันใดนั้น บนเรือประมงก็เกิดความวุ่นวายขึ้น ทั้งผู้คนที่รีบทิ้งสมอลงเบรกเรือ และคนขับที่เข้าไปดับเครื่องยนต์
ใบพัดจึงค่อยๆหยุดหมุนพร้อมกับสมอเรือใต้ทะเลที่ช่วยดึงไว้ ทำให้ความเร็วเริ่มลดลง
ในที่สุดเรือแห่งชีวิตที่โดนลากแทบพลิกคว่ำก็หยุดตาม
ชาลส์โกรธมาก ตาสองข้างเขาแดงก่ำ ในมือถือปืนยิงปลา ผู้หญิงคนหนึ่งบนเรือกำลังพยายามห้ามเขาไว้
รอจนเรือเข้ามาใกล้ ชาลส์กัดฟันเอ่ยกับพวกคนบนเรือประมงว่า “ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้! ไอ้พวกระยำเอ้ย! ถ้าวันนี้ฉันเอาวินเชสเตอร์ เอ็ม1887 ที่พ่อส่งต่อให้ฉันมาด้วยล่ะก็ ฉันได้เป่าหัวพวกแกกระจายแน่…”
คนบนเรือต่างอับอายและหวาดกลัว จนกัปตันที่พิงอยู่ท้ายเรือต้องอธิบาย “พวกเราไม่ได้ตั้งใจนี่นา ก็ได้ ผมขอโทษ แต่พวกเราเล่นไพ่กันอยู่ คุณก็รู้ว่าเวลาเล่นมันต้องจดจ่อแค่ไหน พวกเราไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้เสียหน่อย”
“ต้องจดจ่อบ้านแกสิ! ฉันสาบานเลย ขึ้นฝั่งเมื่อไรฉันจะฟ้องพวกแกข้อหาพยายามฆาตกรรมโดยเจตนา!” ชาลส์คำรามอย่างเกรี้ยวกราด
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันเลวร้ายจริงๆ หากไม่ได้ฉินสือโอวช่วยเหลือ ถึงเขากับภรรยาไม่ตายแต่ก็ต้องเสียเรือลำนี้ไปอยู่ดี
เมื่อคนบนเรือเก็บอวนขึ้นมาพันเข้ากับสมอและโยนลงน้ำเรียบร้อย กัปตันก็รีบสั่งออกเรือหนีอย่างไม่ลังเลโดยทิ้งไว้เพียงควันสีเทาคลุ้ง
…………………………………………………
บทที่ 236 ร่องรอยของฝูงปลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชาลส์ดูทั้งเสียขวัญทั้งโมโห เขากระทืบเท้าด่าทอใส่เรือประมงกระทั่งลับสายตาไป จึงนั่งถอนหายใจแรงตรงท้ายเรือ
เรือฉินสือโอวจอดอยู่ห่างไปไม่กี่กิโลเมตร นิมิตส์ร่อนลงมาเกาะราวพลางเพลิดเพลินกับสัมผัสของฉินสือโอว มันส่งเสียง ‘กรู้กรู้ กรู้กรู้’ ในลำคอ
พอเห็นชาลส์ใจเย็นลงแล้ว เขาก็ยกลำโพงขึ้นตะโกนเรียก “เฮ้ เฮ้ พวก เป็นยังไงบ้าง?”
ชาลส์เก็บสมอเรือขึ้นและขับเข้ามา แน่นอนว่าเขาเอาหัวเรือเข้าประชิดกับท้ายเรือบอลหิมะ
ในทะเล เรือสองลำไม่สามารถเข้าประชิดจากด้านข้างได้ นี่ถือเป็นความรู้ทั่วไปเลย
เพราะตอนที่เรือกำลังแล่น ถ้ามีเรืออีกลำเข้ามาใกล้มากๆ ความเร็วในการไหลของน้ำระหว่างเรือทั้งสองจะรุนแรงกว่าน้ำด้านนอก บริเวณที่ไหลเร็วแรงดันจะหนาแน่นน้อยกว่า และบริเวณที่ไหลช้าแรงดันจะหนาแน่นมากกว่า ดังนั้นแรงดันน้ำด้านในที่น้อยกว่าแรงดันน้ำด้านนอก ส่งผลให้เกิดแรงผลักระหว่างกันได้นั่นเอง
แต่ถ้าเป็นส่วนหัวท้ายเรือก็ไม่มีปัญหาอะไร แค่มาชนท้ายกันก็ได้แล้ว
เมื่อถึงหน้าเรือ ชาลส์ก็เข้ามาโค้งฉินสือโอวทั้งหน้าแดง กล่าวขอบคุณว่า “ขอบใจนายมาก พวก ฉันไม่รู้จะแสดงความขอบคุณกับนายยังไงจริงๆ “
ฉินสือโอวโบกมือปฏิเสธ กล่าวยิ้มๆ “ปลอดภัยก็ดีแล้ว ผมแค่ทำสิ่งที่ชาวประมงควรทำก็เท่านั้น”
ชาลส์เป็นคนรูปร่างปานกลาง หัวล้าน ไว้หนวดข้างแก้ม ผิวเป็นสีแดงจากแดดเผากลางแจ้ง ถึงมองเผินๆ จะเหมือนอันธพาลข้างถนน แต่ความจริงนิสัยและบุคลิกของเขาไม่เลวทีเดียว ไม่งั้นตอนเพิ่งออกทะเลเขาคงไม่เตือนฉินสือโอวเรื่องเติมน้ำแข็งหรอก
พอเห็นผิวไหม้แดดสีแดงของชาลส์ ฉินสือโอวก็แอบสงสัย ชาวคอเคเซียนเวลาโดนแดดเผาผิวจะเป็นสีดำ ส่วนคนขาวผิวกลับเป็นแค่สีแดง ช่างน่าประหลาดเสียจริง
ชาลส์ลูบหัวโล่งเตียนตัวเองแล้วหัวเราะ “ถึงตอนนี้ฉันยังไม่มีอะไรจะพูด แต่ว่านะเพื่อน ไว้ขึ้นฝั่งเมื่อไรฉันจะตอบแทนนายอย่างดีเลย แล้วก็ ที่ฉันตามนายก่อนหน้านี้ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ดีเอง”
ฉินสือโอวบอกว่าไม่เป็นไร หลังชาลส์ขอบคุณเสร็จก็ขอตัว เพราะเรือไม่สามารถจอดชิดไว้นานได้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาตกปลากัน อย่างที่เขาบอก เรื่องตอบแทนหลังขึ้นฝั่งค่อยว่ากันอีกที
หลังแยกย้าย ชาลส์ก็ออกห่างจากฉินสือโอวไม่ได้ตามต่อ
ความจริงฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจเท่าไร เพราะจิตสำนึกโพไซดอนแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีปลาทูน่าครีบน้ำเงินอยู่ที่นี่ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
เพราะปลาทูน่าครีบน้ำเงินต้องว่ายในทะเลอย่างรวดเร็วตลอด ชายหาดน้ำตื้นจอร์จเป็นแค่สถานที่ที่พวกมันชอบมาหาอาหารเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามันจะยอมอยู่ให้โดนตกกัน ปลาพวกนี้มักเดินทางไกลเสมอ
ไม่ไกลนั้นมีเรือชื่อ ‘นักท่องอ่าว’ ลำหนึ่งตกปลาตัวใหญ่ได้ ฉินสือโอวจึงใช้จิตสำนึกโพไซดอนเข้าไปดู ปลาตัวนี้มีขนาดสองเมตรกว่า หนักไม่ต่ำกว่าแปดร้อยปอนด์ได้ เจ้าของฟาร์มปลาเห็นดังนั้นก็ดีใจ
พวกเขายังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง ช่วงบ่ายสองครึ่งรอกระทั่งแสงอาทิตย์ร้อนน้อยลงกว่านี้ ฉินสือโอวถึงตั้งเตาเล็กย่างไส้กรอกกับแฮมเบอร์เกอร์กิน
ซีมอนสเตอร์และชาร์คดูไม่ค่อยกระตือรือร้นกับการกินเท่าไร พวกเขาเคี้ยวอาหารอย่างไม่ใส่ใจ สายตาไล่มองสำรวจแถวชายหาดน้ำตื้นจอร์จ
แม้จะเป็นชาวประมงเก่า แต่ทั้งสองไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการตกปลาทูน่านัก
งานนี้ต้องใช้ความเป็นมืออาชีพสูงมาก แค่ตกปลาน่ะง่าย แต่ที่ยากคือจะหาร่องรอยของปลาอย่างไรต่างหาก ทั้งสองเคยแค่ตามเรือประมงอื่นไปไม่กี่ครั้ง จึงไม่ค่อยเข้าใจวิธีหาปลาเท่าไร
จู่ๆ เครื่องโซนาร์หาปลาก็ส่งเสียงแหลมขึ้น ชาร์คผุดลุกไปดูด้วยความตื่นเต้น แล้วก็ห่อเหี่ยวกลับมา “บ้าเอ้ย ก็แค่ฉลามสีน้ำเงินตัวหนึ่ง ถึงอย่างไรก็พวกเราก็ต้องเก็บเบ็ดตกปลากันก่อน”
การตกฉลามถือเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มมาก เสียเหยื่อไม่เท่าไร แต่ตอนดึงขึ้นมาคันเบ็ดกับตะขอจะเสียหายง่ายมาก
อย่าดูถูกว่าแค่คันเบ็ดอันเดียวเชียว เพราะอุปกรณ์ตกปลาทั้งหมดยังต้องใช้ถึงสองร้อยกว่าดอลลาร์
ฉินสือโอวทำท่าให้ทุกคนใจเย็นๆ เขาหยิบไส้กรอกให้ฉงต้ากินพร้อมเอ่ยว่า “เอาน่า ใจเย็นก่อน พวกเราเพิ่งมาที่นี่ได้สองวันเอง ไม่ต้องรีบตกปลาขนาดนั้นก็ได้? ดูทะเลสิก็สวยดีออก?”
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ยักไหล่ พูดอย่างจนใจ “ช่างเถอะ บอส พวกเราไม่ได้มีอารมณ์เดียวกับคุณ สำหรับพวกเราการทุ่มทุนเงินขนาดนี้ ให้ได้มาตกปลาตัวใหญ่ที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จก็เพื่อจะทำเงินเท่านั้น”
ทั้งสองสำรวจแผนที่ทะเลสักพัก พอตัดสินใจเลือกบริเวณที่น่าจะมีโอกาสจับปลาได้สูง ก็ทิ้งสมอเรือแล้วเริ่มโปรยเหยื่อปลา
ฉินสือโอวส่ายหัวยิ้มๆ พวกเขาใจร้อนเกินไปแล้ว คิดจะเชื่อตามแผนที่ทะเลห้าดอลลาร์อเมริกานี่จริงๆ หรือ? ถ้ามันใช้ได้จริง งั้นทำไมน่านน้ำนี้ถึงไม่มีใครมาตกปลาเลยล่ะ? ชัดเจนว่ามันก็แค่ของหลอกต่างชาติดีๆ นั่นเอง
เมื่ออากาศเย็นลง นกทะเลก็เยอะขึ้น ที่ชายหาดจอร์จมีปลาอยู่เยอะเพราะเป็นเขตน้ำตื้น ทำให้นกนางนวลจำนวนมากในระยะไม่กี่ร้อยไมล์มาล่าเหยื่อกัน
นางนวลไม่เพียงสามารถล่าปลาเป็นๆ ในน้ำได้ พวกมันถึงขั้นไปคาบปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะที่พวกชาวประมงโยนลงน้ำได้อีก และยังกินอย่างรวดเร็วคราวละเกือบเจ็ดแปดตัว แทบจะมากกว่าครึ่งที่โดนพวกมันคาบไป
ฉินสือโอวตบมือ นิมิตส์ตวัดตามองหงุดหงิด มันกระพือปีกบินขึ้น แสดงตัวตนที่แท้จริงให้เห็นกลางอากาศ ทั้งผลักทั้งแย่งอาหารจนนางนวลที่อยู่รอบ ๆ ต้องเผ่นหนีไป
ปรากฏจากนั้นไม่นาน พวกนางนวลก็กลับมา พร้อมนกฟรีเกตยักษ์อีกจำนวนหนึ่ง
วิธีเดิมของนิมิตส์คงใช้ไม่ได้ผลแล้ว เพราะนกพวกนี้มาเพื่อล้างแค้นโดยเฉพาะ ถือเป็นการรวมพลครั้งประวัติการณ์ พวกมันตรงเข้ารุมจิกนิมิตส์จนวุ่นวาย
นิมิตส์ที่เคยถูกพลังโพไซดอนวิวัฒนาการมาแล้ว จึงรวบรวมกำลังบินฝ่าออกไปอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสหนีไปบนเรือประมงด้วยเกรงว่าจะถูกไล่ต้อนจนลงน้ำ
นิมิตส์ไม่พอใจมาก ปากทำเสียงกริ๊กกริ๊ก กระโดดไปมาอยู่บนเรือ ดูเหมือนหญิงปากร้ายที่กำลังกระทืบเท้าด่าทอ แต่มันไม่สามารถบินไปไหนได้แล้ว พวกนกทะเลเข้าล้อมสี่ด้านแฝงเจตนาร้าย
เห็นดังนั้นฉินสือโอวก็กลุ้มใจ บ้าจริง ถ้าพวกนกทะเลยังอยู่แถวนี้ก็โปรยเหยื่อไม่ได้ แล้วจะตกปลาได้อย่างไร? แม้จิตสำนึกโพไซดอนสามารถควบคุมให้พวกทูน่ามารอบๆ ได้ แต่ถ้าไม่มีเหยื่อล่อก็ตกพวกมันไม่ได้อยู่ดี
ฉินสือโอวทดลองอยู่หลายครั้ง ก็พบว่าจิตสำนึกโพไซดอนไม่ได้ควบคุมปลาทะเลได้ทุกอย่าง ถ้าควบคุมแค่การเคลื่อนไหวของปลา ก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่หากควบคุมให้พวกมันมาโดนตกหรือเข้าไปในอวน ฯลฯ พลังจะลดลงไวมาก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าหัวใจโพไซดอนไม่ได้มีไว้เพื่อทำร้ายพวกปลา ถ้ายังใช้จิตสำนึกควบคุมพวกมันมาทำร้ายเช่นนี้อีก พลังจะอ่อนแอลง
เขาไม่เคยตระหนักเรื่องนี้มาก่อนเลย ตอนนี้การจะใช้จิตสำนึกโพไซดอนควบคุมปลาขนาดใหญ่ที่มีพลังชีวิตและสติปัญญาดูจะเป็นปัญหาเสียแล้ว
สักพักเรือแห่งชีวิตก็เปิดหวูดขับเข้ามาหา ชาลส์เอ่ยยิ้มๆ ผ่านวิทยุกับฉินสือโอวว่า “พวก ดูเหมือนนายจะเจอปัญหาอยู่ใช่ไหม? ท่าทางมีพวกน่ารำคาญมาพัวพันกับนายเข้าสินะ?”
ฉินสือโอวตอบอย่างจนใจ “ใช่เพื่อน เจ้าพวกนางนวล กับเหยี่ยวออสเปรนี่มันสลัดไม่หลุดจริงๆ “
ชาวประมงต่างจนปัญญากับนกทะเลไม่น้อย เพราะถึงนางนวลจะไม่ได้จัดอยู่ในกฎหมายคุ้มครองนก แต่ทางรัฐบาลแคนาดาและอเมริกานั้นเข้มงวดเรื่องการฆ่านกทะเลแบบผิดกฎหมายมาก หากถูกคนถ่ายรูปไปแจ้งขึ้นมา อย่าหวังว่าจะได้ออกทะเลตกปลาอีกเลย
ชาลส์เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้แก้ไม่ยาก ฉันพอมีจรวดโพแทสเซียมเล็กๆ อยู่บ้าง นายมีถังเหล็กหรือเปล่า? ถ้ามีก็มาเอาไปเลย อย่าดูถูกของเล็กๆ พวกนี้เชียว มันใช้จัดการนกทะเลได้มีประสิทธิภาพมาก”
…………………………………………………
บทที่ 237 เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชาลส์ทำการห่อจรวดโพแทสเซียมขนาดเล็กใส่ห่อพลาสติกให้ ฉินสือโอวสั่งให้นิมิตส์บินไปรับกลับมา
สิ่งที่เรียกว่าจรวดโพแทสเซียม ความจริงก็คือดอกไม้ไฟจำพวกบั้งไฟ หรือแบบที่ทางใต้เรียกว่าพลุนั่นเอง มันไม่ค่อยแพร่หลายในอเมริกาเหนือเท่าไร เพราะดอกไม้ไฟพวกนี้ต้องใช้โพแทสเซียมคลอเรตและโพแทสเซียมไฮโดรเจนทาเลทซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตสูง เลยรู้จักกันในชื่อจรวดโพแทสเซียม
ไม่จำเป็นต้องให้ชาลส์สอนวิธีใช้ ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ที่มีประสบการณ์ก็เอามาใช้อย่างคล่องแคล่ว
หลังนิมิตส์โดนฝูงนกรุมดักโจมตีกลางอากาศ มันก็บินหนีกลับมาอย่างยากลำบาก ขนตามตัวถูกดึงหลุดไปหลายส่วน มันท่าทางโกรธมาก
ฉินสือโอวคอยปลอบนิมิตส์ ส่วนชาร์คดูในถังเหล็กใบเล็กแล้วหยิบบั้งไฟลูกหนึ่งขึ้นมาจุด
บั้งไฟส่งเสียงแล้วลอยพุ่งออกไปทำพวกนกแตกตื่นก่อนจะระเบิดกลางอากาศ ยิ่งข่มขวัญพวกมันได้เป็นอย่างดี
นอกจากบั้งไฟยังมีประทัดธรรมดา โดยจุดแล้วโยนลงไปในถังเหล็กให้เกิดเสียง ‘เปรี๊ยะเปรี๊ยะ’ ดังลั่น ซึ่งใช้ในการไล่นกทะเลได้เช่นกัน
พวกนกทะเลทนไม่ไหว พากันกระพือปีกบินจากไปไกล เมื่อได้โอกาส ชาร์คและซีมอนสเตอร์ก็เริ่มโปรยเหยื่อต่อ
ฉินสือโอวเห็นดังนั้นก็หลุดหัวเราะเสียงดัง พลันเสียงวิทยุดังขึ้นอีกครั้ง ชาลส์อุทาน “พวก นกยักษ์ของนายนั่นมันอะไรกัน? พระเจ้า มันฉลาดเกินไปแล้ว ดูมีสติปัญญามาก ฉันไม่เคยเห็นนกฟรีเกตแบบนี้มาก่อนเลย!”
นิมิตส์ร้องแกว๊กๆ ไม่รู้ว่ามันเข้าใจคำชมของชาลส์หรือดีใจที่เห็นพวกนกคู่กรณีที่รังแกมันหนีเตลิดไป
ฉินสือโอวลูบๆ ขนมันเหมือนจะบอกว่า ‘อย่าเพิ่งเหลิงไป’ แล้วไปตกปลาต่อ
สุดท้ายบ่ายนั้น เรือนางนวลก็จับอะไรไม่ได้เลย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ การตกปลาทูน่าจำเป็นต้องพึ่งปาฏิหาริย์มากกว่า วันหนึ่งถ้าชาวประมงจับปลาได้สองสามตัวก็พอทำเงินได้หมื่นสองหมื่นดอลลาร์อเมริกา แต่ส่วนใหญ่ออกทะเลมามักได้มือเปล่ากัน
พอสี่โมงตรง ก็ได้เวลากลับท่าเรือ ฉินสือโอวนั่งอยู่หัวเรือพลางถอนหายใจ จิตสำนึกโพไซดอนเข้าควบคุมปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวเดิม
ที่ยังควบคุมปลาตัวเมียตัวนี้ เพราะฉินสือโอวตั้งใจจะใช้ค้นหาซากเรืออับปางใต้ทะเลต่อ ปรากฏว่าทันทีที่จิตสำนึกโพไซดอนหลอมรวมกับร่างของมัน ก็ดันพบว่าเจ้าตัวนี้อยู่ในฝูงทูน่าครีบน้ำเงินพอดี!
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นปลาประเภทที่อยู่รวมกันเป็นฝูง เมื่อก่อนในอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ พวกชาวประมงที่ดำน้ำมักได้ภาพเห็นปลาใหญ่นับร้อยตัวกำลังแหวกว่ายด้วยกันอย่างน่าอัศจรรย์
น่าเสียดายช่วงหลังเริ่มมีการเจาะตลาดของซาชิมิญี่ปุ่น ทำให้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินต้องประสบกับการถูกตามล่าจำนวนมาก ทิวทัศน์เช่นนี้จึงยากจะได้เห็นอีกครั้ง สองปีมานี้ ทั้งในแคนาดาและอเมริกาก็ไม่พบฝูงทูน่าครีบน้ำเงินที่มีมากกว่าห้าตัวอีกเลย
ทว่าฝูงทูน่าที่เจอในตอนนี้ มีถึงสิบห้าสิบหกตัว แถมตัวใหญ่ด้านหน้าสุดก็มีขนาดตั้งสามเมตรกว่า ขนาดเจ้าน้ำเงินใหญ่ที่ได้รับพลังโพไซดอนไปแล้วยังเทียบไม่ติด!
การค้นพบนี้ทำฉินสือโอวดีใจมาก หลังเขาช่วยปลาตัวนี้ไปเมื่อเช้าก็ไม่ได้ควบคุมมันเลย ปล่อยให้ออกไปหาอาหารกินเอง ไม่นึกว่าพอมาเจออีกครั้ง เจ้าตัวนี้จะนำเซอร์ไพรส์มาให้เขาเสียอย่างนั้น!
เขายิ่งนับก็ยิ่งดีใจ ปลาฝูงนี้มีทั้งหมด 22 ตัว ปลาตัวใหญ่ที่สุดคือตัวหัวแถวซึ่งมีขนาดสามเมตรกว่า ส่วนตัวเล็กที่สุดมีขนาดสามสิบกว่าเซนติเมตร และปลาขนาดกลางส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณครึ่งเมตรถึงหนึ่งเมตร
ทีแรกนับพลาดเพราะฝูงปลาอยู่ห่างไปไกลมาก และด้านหลังยังมีปลาตัวเล็กอีกห้าตัวขนาดสามสิบสี่สิบเซนติเมตรว่ายตามด้วย
จากขนาดของฝูงปลา น้ำหนักรวมกันอย่างต่ำคงได้เจ็ดแปดพันปอนด์ ยิ่งถ้าคุณภาพเนื้อไม่เลว คงได้มากกว่าสองแสนดอลลาร์อเมริกาทีเดียว ตามกฎหมาย ปลาใหญ่สองเมตรขึ้นไปสามารถนำไปประมูลได้ เรื่องกำไรจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีโอกาสถึงหลักล้านดอลลาร์แน่นอน
หาฝูงปลาเจอทั้งที ฉินสือโอวย่อมไม่ปล่อยไป จิตสำนึกโพไซดอนเข้าล้อมรอบแต่ขอบเขตควบคุมในทะเลของมันเล็กเกินไป พวกปลาพากันว่ายกระจัดกระจาย พี่ใหญ่หน้าแถวและปลาเล็กท้ายแถวอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตร
ฉินสือโอวจึงควบคุมแค่พี่ใหญ่หัวแถวให้ลดความเร็วลง รอจนปลาที่ตามหลังเข้ามาใกล้ แล้วกางอาณาเขตควบคุมทีเดียว
เขาสั่งการฝูงปลาให้ว่ายมาทางเรือบอลหิมะ พร้อมรีบตะโกนว่า “นีลเซ็น ขับช้าลงก่อน! ชาร์ค ซีมอนสเตอร์ อีวิลสัน โยนเหยื่อปลาทั้งหมดลงไปในน้ำเลย”
ปลาเหล่านี้ต่างหิวโหยและกำลังหาอาหาร เขาจึงเตรียมเหยื่อล่ออย่างปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะมากมายจากฟาร์มปลาต้าฉินซึ่งไม่ต้องเสียเงิน เขารีบนำมาถังน้ำแข็งมาครึ่งหนึ่ง
ชาร์คยักไหล่เพื่อสื่อว่าเขาไม่เข้าใจเจตนาของฉินสือโอว แต่ฉินสือโอวตอบว่า “โยนเหยื่อลงไปก่อน อย่าเพิ่งถามเหตุผล โยนลงไปเลย”
มิน่าพวกฉินสือโอวอยู่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จทั้งวันถึงจับอะไรไม่ได้ พวกปลาไม่ได้ไปหาอาหารบริเวณนั้น แต่อยู่ห่างจากชายหาดจอร์จไปหลายกิโลเมตรแทน เลยไม่โดนจับ
น่าจะเป็นฝีมือการนำของตัวใหญ่ ดูจากรูปร่างแล้วมันน่าจะอยู่มาหลายปี การที่ปลาสามารถมีชีวิตนานขนาดนี้ได้ ไม่ใช่เพราะโชค บางครั้งทุกหนึ่งหรือสองปีทูน่ามักจะเปลี่ยนสถานที่หาอาหาร ทำให้ชาวประมงหรือฉลามตามล่าพวกมันได้ยากนั่นเอง
แม้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินจะเคลื่อนที่รวดเร็วมากจนติดอันดับหนึ่งในสามของทะเล แต่หากมีกับดักและการวางแผนที่ดีการจะจับพวกมันก็ไม่ใช่ปัญหา
ด้วยการหลอกล่อของพลังโพไซดอน และฝูงปลาที่ว่ายอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาล้อมรอบเรือประมง ฉินสือโอวแอบปิดเครื่องโซนาร์หาปลา พวกปลาที่อยู่ใต้เรือจะได้ไม่รู้ตัวว่าโดนเจอเข้าแล้ว
ปลาแฮร์ริ่ง กับปลาซาบะของฟาร์มปลาต้าฉินต่างจากปลาทั่วไป เพราะพวกมันได้กินทั้งหญ้าทะเล แพลงก์ตอนที่ถูกวิวัฒนาการโดยพลังโพไซดอนมาแล้ว ทำให้คุณภาพเนื้อเพิ่มขึ้นตามและรสชาติดีกว่า
ดูได้จากความเร็วและอารมณ์ของฝูงทูน่าครีบน้ำเงินพวกนี้ มันกลืนปลาที่เรือบอลหิมะโยนให้ด้วยท่าทางพึงพอใจมาก ต่างแย่งกันกินอย่างแข็งขันเหมือนติดใจรสชาติ
หลังกินอิ่มจนพอใจ ฉินสือโอวก็ควบคุมฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังฟาร์มปลาต้าฉินแทน แค่ส่งไปอยู่ฟาร์มปลา เจ้าพวกนี้คงหนีไปไหนไม่ได้แล้ว อีกอย่างอาณาเขตฟาร์มปลาของเขากว้างใหญ่ ถึงพวกมันจะว่ายน้ำเล่นในนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร
แล้วไม่กังวลว่าพวกมันจะหนีไปจากฟาร์มปลาเหรอ? ไม่เลย ฉินสือโอวไม่กังวลแม้แต่น้อย มีเนื้อปลาค็อด ปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะที่ผ่านการพัฒนามาอย่างดีเป็นอาหารให้ พวกมันจะอยากไปไหนกัน?
ตกค่ำ เรือบอลหิมะก็เข้าเทียบท่าเรือกลอสเตอร์ มีคนคอยรอล้อพวกฉินสือโอวอยู่ พวกเขาโผล่หน้ามา คนตัวใหญ่สวมผ้าพันคอกล่าวขึ้นว่า “พวกแคนาดา พวกนายตกปลาได้กี่ตัวกันน่ะ?”
ฉินสือโอวยิ้มตอบ “ได้ยี่สิบกว่าตัวน่ะครับ”
ชาวประมงกลุ่มนั้นหัวเราะเสียงดัง มีคนเอ่ยขึ้นว่า “แหม พระเจ้าอวยพรเหลือเกิน สงสัยนายคงเป็นลูกนอกสมรสพระเจ้าแน่เลย ไม่งั้นคงไม่มาพูดจาเพ้อเจ้อแบบนี้ได้หรอก?”
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดังตาม ไม่ใส่ใจคำล้อเลียนของคนพวกนั้น
แต่ดันมีคนโกรธขึ้นมา เรือแห่งชีวิตที่กลับถึงท่าเรือก่อนหน้า พอชาลส์เห็นเรือบอลหิมะเข้าเทียบท่าแล้วจึงเดินไปหา ก็พอดีกับที่ได้ยินคนกลุ่มนั้นกำลังล้อเลียนฉินสือโอว เขาพูดอย่างโมโห “ไสหัวไป ไอ้พวกโง่! ไม่ต้องมาทำตัวเจ๊าะแจ๊ะแบบพวกผู้หญิงแถวนี้เลย ไม่งั้นเจอฉันต่อยจมูกแน่!”
เห็นชาลส์โกรธดังนั้น บรรดาชาวประมงที่คุ้นเคยกับเขาก็ไม่พอใจกัน เอ่ยว่า “ชาลส์ เป็นอะไรของนายเนี่ย? นายจะประจบไอ้เศรษฐีแคนาดานี่หรือไง? ถ้านายอยากเลียแข้งเลียขาเขาก็ตามสบายเถอะ พวกเราไม่หัวเราะนายหรอก”
ภรรยาของชาลส์ เซรีน่า เนทเอ่ยด้วยความรำคาญ “ระวังปากพวกนายไว้หน่อย วันนี้ฉินช่วยชีวิตฉันกับชาลส์เอาไว้นะ ถ้าไม่ได้เขาช่วย ป่านนี้พวกเราไม่ใช่แค่เสียเรือไป ชีวิตก็คงเสียตามไปด้วย!”
ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็ตกใจ รีบถามไถ่เรื่องราวทันที
……………………………………………………………..
บทที่ 238 สมาคมลูกผู้ชาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เซรีน่าอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย โดยมีพวกเฟล็ปส์เรือลักกี้สตาร์ที่อยู่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จเหมือนกันช่วยยืนยันคำพูดของเธอ
พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว วัยรุ่นคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นว่า “นั่นมันเรือนักล่าวาฬฟลอริดา! ต้องเป็นไอ้บ้านั่นแน่ๆ ! บนเรือก็มีแต่พวกบ้า มิน่าเมื่อบ่ายนี้ตอนกลับท่าเรือมาพวกเขาเติมน้ำมันกับน้ำเสร็จก็หายไปเลย ที่แท้ไปก่อเรื่องร้ายกาจมานี่เอง”
ชาลส์โมโหทันที พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไอ้เวรพวกนั้นมันแอบหนีไปแล้วเหรอ? ฉันตั้งใจจะมาจัดการพวกนั้นหลังกลับมาตอนเย็นเนี่ย! บ้าเอ้ย ถือว่ามันโชคดีไป ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่!”
“พวกเขาไปอ่าวเคปค้อดแล้ว น้องชายฉันเคลลิสตอนนี้อยู่ที่นั่นพอดี ชาลส์ อยากให้ฉันเรียกเคลลิสไปเพิ่มสีสันให้พวกมันหน่อยไหม?” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำใจ
นี่ถือเป็นข้อดีของเมืองเล็ก คนน้อย คุ้นหน้ากัน เส้นสายอยู่ใกล้ ไม่ว่าในทะเลจะบาดหมางอะไรมา แต่บนฝั่งทุกคนก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน
เรื่องที่ชาลส์และเซรีน่าประสบทำทุกคนหวาดผวามาก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในทะเลไม่ใช่คลื่นที่โหมกระหน่ำ หรือไม่มีปลาให้จับ แต่เป็นการตายแบบผิดธรรมชาติ
หลังได้ฟังเซรีน่าเล่าจบ ก็ไม่มีใครล้อฉินสือโอวอีกเลย ตาแก่เจมส์ยังกอดฉินสือโอวทีหนึ่ง แล้วหันมาพูดว่า “ฉินเป็นคนดี จากนี้ไปปลาทุกปอนด์ของเขาฉันจะเพิ่มเงินให้อีกหนึ่งดอลลาร์ ในฐานะที่เขาชนะใจทำให้ฉันนับถือได้!”
ถึงรู้ว่าปลาทูน่าครีบน้ำเงินของฉินสือโอวจะได้ราคาสูงกว่าตัวเอง ก็ไม่มีใครพูดจาเหน็บแนมเขา แต่ละคนเพียงต่อยเขาเบาๆ แทน
ฉินสือโอวไม่คิดว่าตัวเองจะทำความดีจนชนะใจมิตรภาพของชาวประมงหยาบคายพวกนี้ได้ เขานึกว่าแค่สร้างความประทับใจให้ชาลส์ได้เท่านั้น ความจริงกลับผิดคาดกว่านั้นมาก
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนขี้เหนียว และไม่ได้เหลิงกับความดีความชอบของตัวเอง เขายืนตรงหัวเรือตะโกนเสียงดังว่า “ทุกคน ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับมิตรภาพอันแสนมีค่านี้จากพวกคุณนะครับ แล้วก็ แด่ชาลส์และเซรีน่าที่วันนี้ต้องพบกับเรื่องน่าสะเทือนใจ พวกเราไปบาร์เพื่อปลอบประโลมพวกเขาจากโชคร้ายกัน เดี๋ยวผมเลี้ยงเหล้าเองครับ!”
กัปตันเรือลักกี้สตาร์เฟล็ปส์ตอบว่า “จะให้นายเลี้ยงได้ยังไง วันนี้นายเป็นแขกวีไอพีของเรานะ พวกเราต้องเลี้ยงเหล้านายสิ”
ฉินสือโอวไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงิน ชาวประมงที่นี่อย่างมากก็มีห้าสิบกว่าคน ราคาของในบาร์ท่าเรือเล็กๆ คงราคาไม่เท่าไร สู้ใช้ไม่กี่พันดอลลาร์แก้ปัญหา และยังสร้างชื่อเสียงด้านคุณธรรม ความมีน้ำใจของตัวเอง จะไม่คุ้มกว่าหรือ?
และการมีชื่อเสียงก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉินสือโอวจำเป็นต้องใช้ข้อมูลของชาวประมงท้องถิ่นด้วย
ฉินสือโอวยืนกรานที่จะเลี้ยงเอง พวกชาร์คก็แนะนำว่าบอสพวกเขาเป็นคนชอบผูกมิตรให้ทุกคนรับขอเสนอไว้เถอะ ด้วยเหตุนี้เหล่าชาวประมงจึงไม่คัดค้าน พากันเก็บของแล้วนัดหมายไปยังบาร์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งชื่อร้าน ‘สมาคมลูกผู้ชาย’
ชาลส์ขับรถกระบะตัวเองพาพวกฉินสือโอวไป ส่วนเซรีน่าไม่ได้มาด้วย เพียงมองส่งสามีตัวเองแล้วไปจัดการเรือตกปลาต่อ ฉินสือโอวคิดว่าเธออาจตามมาทีหลัง แต่เมื่อมาถึงสมาคมก็เข้าใจ ที่นี่คงไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงเท่าไร
ระหว่างทางชาลส์อธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่า ‘สมาคมลูกผู้ชาย’ เป็นหนึ่งในบาร์ที่มีประวัติยาวนานที่สุดของท่าเรือกลอสเตอร์ ก่อตั้งเมื่อปี 1990 มีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพคุ้มราคาและการบริการดี
ความจริงแล้วบาร์นี้เป็นบาร์เถื่อน โดยใช้ชื่อบาร์เจ้าดังแห่งหนึ่งในฮิวสตันมาตั้ง ช่วงแรกยังมีการตกแต่งและสไตล์เดียวกับร้านจริงที่ฮิวสตันอีกด้วย
พอได้ยินชื่อฮิวสตัน ฉินสือโอวก็รู้สึกไม่ถูกชะตานัก อยู่ที่อเมริกาเหนือมาครึ่งปี เขาทั้งเมินเฉยและรับรู้ว่าฮิวสตันเป็นแหล่งรวมผับเปลื้องผ้าที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ
การเดินทางในเมืองเล็กค่อนข้างสะดวก ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีจากท่าเรือก็มองเห็นบ้านชั้นเดียวตั้งโดดเดี่ยวอยู่ตรงหน้า บ้านหลังนี้มีเนื้อที่กำลังดีประมาณหนึ่งพันกว่าตารางเมตร หน้าประตูมีป้ายร้านเป็นหลอดไฟนีออนขนาดใหญ่ ด้านบนมีคำว่า ‘สมาคมลูกผู้ชาย’ กะพริบอยู่
ตรงลานจอดรถหน้าบ้าน พวกฉินสือโอวเดินไปถึงหน้าประตูก็เจอชายร่างยักษ์สวมชุดรัดรูปไม่มีแขนเสื้อสองคนนั่งอยู่สองข้างของประตู ท่าทางเหมือนนักเลง
ชาลส์รู้จักกับสองคนนั้น พอเจอกันก็ทักทาย
เมื่อเห็นชาลส์พาคนมาด้วย ชายสองคนก็ทำหน้ายิ้มแย้มดูเจ้าเล่ห์ ถ้าไม่ได้ช่วยชีวิตชาลส์ไว้ ฉินสือโอวคงคิดว่าหมอนี่พาเขามาขายซ่องลับเสียแล้ว
“ชาลส์ วันนี้ตกได้ปลาตัวใหญ่มาเหรอ? ไม่คิดว่าจะพาเพื่อนมาเที่ยวด้วย หายากนะเนี่ย” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้มในลำคอ
ชาลส์หยอกล้อกับสองคนนั้นแล้วจึงแนะนำฉินสือโอว ฉินสือโอวพยักหน้า ก่อนโยนธนบัตรสีเขียวที่เตรียมไว้ใบหนึ่งให้ชายร่างใหญ่ พร้อมเอ่ยว่า “ด้านหลังเป็นเพื่อนผมเอง ให้พวกเขาเข้ามาด้วย”
ชายร่างยักษ์คว้าธนบัตรมาชั่งน้ำหนักดู เขาผิวปาก “ว้าว แฟรงคลิน ชาลส์นายไปรู้จักเพื่อนเศรษฐีแบบนี้ได้ยังไงกัน? เข้าไปสิพวก สนุกให้เต็มที่เลย”
ฉินสือโอวเดาจากสภาพของบาร์นี้แล้วเตรียมธนบัตรเผื่อไว้ เพราะรู้ว่าที่อเมริกาเหนือ บาร์ผู้ใหญ่มักจะมีการเก็บค่าเข้ากัน เขาไม่รู้ว่าค่าเข้า ‘สมาคมลูกผู้ชาย’ เท่าไร แต่หนึ่งพันดอลลาร์ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ทันทีที่เข้าบาร์มา ก็เห็นว่ามีโต๊ะเหล้าหลายตัวตั้งล้อมฟลอร์เต้นรำตรงกลาง และเวทีบนกลางฟลอร์ก็มีสาววัยรุ่นในชุดสายเดี่ยวสีดำสีขาวสวมส้นสูงหลายคนหมุนรอบเสา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือผับเปลื้องผ้า
ในอเมริกามีการตรวจสอบเรื่องการค้าประเวณีเข้มงวดมาก แต่ไม่ได้ใส่ใจผับเปลื้องผ้าเท่าไร จึงมีหลายที่อย่างแคลิฟอร์เนีย เท็กซัส และแมสซาชูเซตส์ที่วัฒนธรรมแบบผู้ใหญ่นี้พัฒนาไปไกล หลังเลิกงานพวกคนแรงงานมักมาเที่ยวที่นี่กัน รวมถึงลูกค้าขาประจำที่ขาดไม่ได้อย่างพวกตำรวจข้าราชการ
ทว่าบาร์แห่งนี้ไม่ใช่ซ่อง คนอเมริกันล้วนชินชากับเรื่องพวกนี้และมากันอย่างเปิดเผย ตอนพวกฉินสือโอวเดินเข้ามา ก็พบว่าด้านในมีคนอยู่แล้วห้าสิบหกสิบคน คนพวกนี้พิงโต๊ะเหล้ารอบเวทีมองสาวๆ ที่เต้นบนฟลอร์พลางพูดคุยกันเงียบๆ
นีลเซ็นท่าทางคุ้นชินกับเรื่องนี้ทีเดียว ชายหนุ่มไม่มีแฟน ด้วยเงินเดือนที่ฉินสือโอวจ่ายให้เขาสูง เขาจึงไปเซนต์จอห์นแทบทุกอาทิตย์ ซึ่งไปทำอะไรนั้นฉินสือโอวรู้ดี
ทันทีที่ถึงฟลอร์เต้นรำ นีลเซ็นก็เข้าไปสั่งพวกเครื่องดื่มราคาแพง บาร์เทนเดอร์รีบเชิญเขาไปยังโต๊ะเหล้าที่ใกล้เวทีที่สุดอย่างนอบน้อม ซึ่งเป็นมุมที่ดีที่สุด
ฉินสือโอวเพิ่งเคยมาครั้งแรกเลยค่อนข้างรู้สึกแปลกๆ เขามองสาวๆ ที่กำลังเต้น ในใจแอบตะลึง เพราะพวกเธอดูอายุน้อยมาก ทั้งรูปร่างสูงเซ็กซี่ หน้าตาสะสวย มีเด็กสาวผมยาวสีแดงกุหลาบท่าทางไม่เลวคนหนึ่ง สวมกระโปรงยาวเหมาะเป็นสาวงามประจำโรงเรียน
พอเห็นฉินสือโอวกำลังมองมาที่ตน สาวผมกุหลาบงามก็หมุนควงเสารอบหนึ่งพร้อมส่งจูบให้
ชาลส์หลุดหัวเราะ หยิบสองดอลลาร์มาม้วนแล้ววางไว้บนเวทีตรงหน้า เด็กสาวก้าวเข้ามาแบบนางแบบก้มลงหยิบเงิน แสดงให้เห็นถึงความน่าทึ่งของธุรกิจต่อหน้าฉินสือโอวในระยะประชิด
นีลเซ็นกระซิบอธิบายให้ฉินสือโอวฟัง “พวกสาวนักเต้นจะคอยทำท่ายั่วเย้าไปรอบๆ เวลาชี้ไปที่ใครปกติคนนั้นต้องจ่ายทิปให้ จะหนึ่งหรือสองดอลลาร์ก็ได้ แน่นอนว่ายิ่งเยอะพวกเธอยิ่งชอบ ถ้าคุณยื่นพันดอลลาร์ให้ คืนนี้บอกได้เลยว่าเธอยินดีไปกับคุณแน่”
ฉินสือโอวตอบเสียงเบา “แบบนั้นไม่เรียกว่าซื้อกินหรือ?”
นีลเซ็นหัวเราะหึหึตอบว่า “ไม่ๆๆ จะเป็นการซื้อกินได้ยังไง? คุณจ่ายทิป เธอก็ตามคุณไปเพราะคาดหวังคุณ เซ็กซ์เป็นเรื่องอิสระ เหมือนอดัมกับอีฟนั่นแหละ”
ต่อมาเริ่มมีชาวประมงคนอื่นทยอยเข้ามาเรื่อยๆ คนเยอะขึ้น บรรยากาศก็ครึกครื้นตาม ฉินสือโอวรู้สึกว่าคงได้เวลาถามข้อมูลที่ตัวเองต้องการรู้เสียที
………………………………………………………….
บทที่ 239 เรืออับปางอยู่ที่ไหน
โดย
Ink Stone_Fantasy
นีลเซ็นสั่งไวน์แดงชาทู อู อวียอนปี 1996 ให้ฉินสือโอวขวดหนึ่ง ซึ่งไวน์ขวดหนึ่งราคา 866 ดอลลาร์อเมริกา แทบเป็นของแพงที่สุดในบาร์ เลยได้เปลี่ยนมาที่นั่งชั้นหนึ่งของร้านนั่นเอง
ชาลส์ไม่เอาไวน์แดง เขาเลือกเบียร์กระป๋องบลูริบบ้อนโหลหนึ่ง กระป๋องหนึ่งแค่ 3.2 ดอลลาร์อเมริกา เรียกได้ว่าราคาถูกกำลังดี ชาวประมงคนอื่นๆ ที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็กินเบียร์แบบเดียวกัน
ฉินสือโอวไม่รู้เรื่องไวน์แดงนัก นีลเซ็นจึงอธิบายว่าชาทู อู อวียอนเป็นหนึ่งในห้าโรงงานผลิตไวน์ชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส แม้จะเล็กที่สุด แต่ก็เป็นเจ้าแรกที่เป็นที่รู้จักในยุโรป ด้วยพื้นที่อันน่าภูมิใจของกราฟส์ได้ให้กำเนิดไวน์องุ่นชื่อดังที่ได้น้อยแต่คุณภาพดี
ไวน์ที่ดีรสชาติก็ดีจริงๆ ฉินสือโอวลองชิม มันมีกลิ่นหอมของดอกไม้และผลไม้อ่อนๆ ไม่ต่างจากไวน์แดงปกติที่เขาเคยกินนัก แต่เพราะความต่างเพียงเล็กน้อยนี้เองที่สุดท้ายก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกแตกต่างกัน
คุยกับชาลส์สักพัก ฉินสือโอวก็ตรงเข้าประเด็น เอ่ยว่า “คุณรู้จัก สมบัติเหรียญทองคำอีเกิ้ล 1915 กับเรือแฟรงเกนสไตน์ไหมครับ? พอจะประมาณตำแหน่งที่อยู่ของมันได้ไหม?”
ชาลส์กระจ่างทันที “เข้าใจล่ะ นายมาที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จเพื่อมาหาสมบัติที่สาบสูญสินะ?”
ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ฉินสือโอวยักไหล่ตอบ “แล้วก็มาตกปลาด้วยครับ”
ชาลส์เอ่ยยิ้มๆ “เมื่อกลางวัน ตอนพวกเรารอนายก็สงสัยและคุยกันอยู่ นายจะขับเรือยอชต์ลากเรือตกปลามาหลายพันไมล์เพื่อตกปลาที่นี่ทำไมกัน? เปลืองเงินไปตั้งกี่หมื่นดอลลาร์ ต้องตกปลากี่ตัวถึงจะได้กำไร ที่แท้ก็มาเพื่อสมบัติที่สาบสูญนี่เอง ไม่แปลกใจเท่าไร”
กล่าวจบ ชาลส์ก็กวักมือเรียกบาร์เทนเดอร์ขอแผนที่ทะเล ดูไม่ต่างจากอันที่ชาร์คซื้อมาเท่าไรแต่ละเอียดกว่า จากท่าทางบาร์เทนเดอร์แผนที่นี้คงไม่มีค่าอะไร พอโยนมาให้ก็ไม่ได้กำชับว่าต้องเอามาคืนเขา เหมือนไม่ต้องการแล้ว
พอรู้อย่างนั้น ก็มั่นใจว่าชาร์คคงโดนโกงแน่นอน แต่ชาร์คไม่ใส่ใจ เจ้าตัวกับซีมอนสเตอร์ นีลเซ็นต่างกำลังเพลิดเพลินกับสาวๆ ที่ Table Dance อยู่ ดูจะสนุกเกินไปด้วยซ้ำ
คำว่า Table Dance ถ้าให้อธิบายก็คือการเต้นบนโต๊ะ แต่ความจริงหมายถึงสาวๆ ไปนั่งเต้นนัวเนียอยู่บนตัวแขกต่างหาก ปกติจะนัวเนียแค่ไม่กี่วินาที แขกต้องให้ทิปเพิ่มสองดอลลาร์เหมือนเดิมถึงจะเต้นต่อ
เส้นลองจิจูดละติจูดในแผนที่ทะเลละเอียดมาก ชาลส์ให้ฉินสือโอวเปิดจีพีเอสยืนยันตำแหน่ง เขาเรียกชาวประมงบางส่วนมาช่วยกันปรึกษาเรื่องสมบัติที่สาบสูญ กระทั่งเจอจุดเล็กๆ ที่ยื่นออกมาในแผนที่ทะเล เขาเอ่ยว่า “นี่คือแนวปะการังแฮช เป็นแนวปะการังที่เรือรบของทหารเรือเคยชน…”
เขาว่าพลางขีดเส้น อธิบายต่อ “ตามธรรมเนียมเก่าแก่เรา เรือสำปั้นของเรือรบจะเดินทางไปทางใต้กัน เพราะเป็นเวลาเดียวกับที่มีลมใต้ลมเหนือพัด ถึงระยะทางไกลกว่า แต่ก็ปลอดภัยมากกว่า”
“เรือสำปั้นเริ่มล่มตรงไหนก็บอกได้ยาก แต่นายดูตรงนี้สิ” เขาขีดเส้นอีก “ตรงนี้มันมีคลื่นใต้น้ำอยู่ ซึ่งกระแสน้ำจะไหลเร็วมากและมีทรายใต้ทะเลเยอะ พวกเราก็เลยเดาว่าเหรียญทองคำอีเกิ้ลน่าจะจมอยู่ที่นี่ แค่โดนน้ำพัดทรายมาทับถมเท่านั้น อีกเดี๋ยวก็คงถูกค้นพบแล้ว”
ชาวประมงร่างท้วมคนหนึ่งเอ่ยว่า “ฉิน หาเรืออับปางสองลำนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หลายปีมานี้มีคนมากมายที่คาดหวังจะรวยข้ามคืนด้วยพวกมัน แต่ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จเลย”
“ใช่ หาเรือที่จมใต้ทะเลน่ะไม่ยาก แต่เรือกับขุมทรัพย์ที่โดนทรายทับถมแล้วน่ะจะหาได้ยังไงกัน?” ชาลส์ถอนหายใจ
ฉินสือโอวยิ้มพลางเก็บแผนที่ ไม่ได้บอกว่าตัวเองจะยืนกรานหรือล้มเลิก เขายกขวดไวน์ขึ้นกล่าวว่า “มาเถอะพวก มาอวยพรให้ฤดูหาปลาปีนี้พวกเราเก็บเกี่ยวได้ราบรื่นกัน”
“ขอบใจสำหรับคำอวยพรฉิน! แด่ความอุดมสมบูรณ์!” ชาลส์ตะโกนเสียงดัง พร้อมกลุ่มชาวประมงช่วยเสริม ยกเบียร์กระป๋องขึ้นเอ่ยว่า “ขอบคุณคำอวยพรของฉิน แด่ความอุดมสมบูรณ์!”
หลังอยู่ในบาร์ไปได้หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ฉินสือโอวก็พาพวกชาร์คกลับบ้านวิสเติล ทีแรกชาลส์อยากเชิญพวกเขาไปอยู่บ้านตัวเอง แต่พอรู้ว่าพวกเขาอยู่บ้านวิสเติลก็หัวเราะ “ที่นั่นไม่เลวนะ สามีภรรยาวิสเติลก็เป็นคนดี”
ขึ้นฝั่งมาครั้งนี้ฉินสือโอวที่พาหู่จือ เป้าจือและฉงต้ามาด้วย ไม่ต้องกังวลหน่วยลาดตระเวนที่มาตรวจสอบ เพราะชาลส์ช่วยออกหน้ารับรองให้พวกมัน
ตอนเห็นฉงต้าครั้งแรกชาลส์ตกใจมาก ไม่คิดว่าฉินสือโอวจะรวยถึงขั้นเลี้ยงหมีสีน้ำตาลได้สบายๆ แต่ขนาดไทสันยังเลี้ยงเสือเลย เขาจึงไม่พูดอะไร
ฉินสือโอวกำหนดเส้นทางคร่าวๆ แล้วใช้พลังโพไซดอนสั่งให้ฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินเคลื่อนที่เต็มกำลัง ไปทางน่านน้ำเซนต์จอห์นอย่างบ้าคลั่ง
ตกกลางคืนพอถึงทะเลแถวเกาะเซเบิลก็เข้าร่วมกับปลาทูน่าอีกสองตัว มุ่งสู่ฟาร์มปลาต้าฉินอันกว้างใหญ่
จิตสำนึกโพไซดอนของฉินสือโอวมีนั้นประโยชน์ แต่ไม่สามารถแยกใช้สองอย่างในทีเดียวได้ เช่นเขาสามารถควบคุมพวกปลาในทะเลให้ทำอะไรพร้อมกันก็ได้ แต่ไม่สามารถควบคุมปลาสองตัวให้แยกไปทำอะไรคนละอย่างได้
ถ้าให้อธิบายละเอียดขึ้นมาหน่อย คือครั้งนี้เขาต้องควบคุมทูน่าครีบน้ำเงินถึงสองกลุ่ม เขาไม่สามารถควบคุมปลาสองตัวของเมื่อวานพร้อมกับฝูงปลาของวันนี้ให้ต่างฝ่ายต่างไปที่ฟาร์มปลา จึงจำเป็นต้องรอจนทั้งสองมาอยู่ด้วยกันแล้วค่อยเดินทางไปพร้อมกันนั่นเอง
คราวนี้ฉินสือโอวตื่นเช้าแล้วไปที่ท่าเรือ ไม่มีใครอยู่รอเขาที่นั่น เพราะทุกคนรู้หมดแล้วว่าฉินสือโอวมาเพื่อตามหาสมบัติไม่ใช่มาตกปลา จึงไม่จำเป็นต้องไปกับเขา
พอให้อาหารนกพิราบที่ลานกว้างตามปกติแล้ว ฉินสือโอวก็เดินอย่างอารมณ์ดีไปท่าเรือ ปรากฏเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันที่มุมหนึ่งในท่าเรือ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวคุยบางอย่าง
ฉินสือโอวไม่ได้รีบร้อนจะไปจับปลาหรืออะไร ได้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมาฝูงหนึ่งแล้วด้วย ในเมื่อทำเรื่องสำคัญเสร็จเรียบร้อย การสนุกกับชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กัน
เขาเดินทอดน่องเข้าไปถาม “เฮ้ เด็กๆ พวกเธอทำอะไรกันอยู่เหรอ?”
พวกเด็กๆ หันมามองเขาเป็นตาเดียว ไม่มีใครตอบเขา แต่หันไปสนใจหู่จือ เป้าจือที่ดูร่าเริงกับฉงต้าที่ดูน่ารักซื่อบื้อแทน โดยเฉพาะฉงต้า ท่าทางเด็กพวกนี้จะเพิ่งเคยเห็นหมีครั้งแรก รีบเข้าไปมุงดูกัน ตาเล็กๆ กวาดมองไปมา
เมื่อเด็กๆ แหวกทางให้ ฉินสือโอวถึงเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น มีเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายบนพื้นหญ้า และนกพิราบสีเทาตัวเล็กที่นอนหายใจรวยริน
ที่จริงตัวนกพิราบไม่ได้เล็กเลย แต่พอมันนอนบนพื้นหญ้าก็ทำให้รู้สึกว่ามันดูเล็กลง เพราะมันยังมีขนน้อย จะงอยปากก็ยังเป็นสีชมพู ดิ้น ไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ดูเปราะบางมาก
ตาแก่เจมส์มาออกกำลังกายช่วงเช้า เขาทักทายฉินสือโอว กะจะมาเล่นกับฉงต้าเสียหน่อย แต่พอเห็นฉินสือโอวมองนกน้อยอย่างแปลกใจ ก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “น่าเสียดาย ดูท่าปีนี้คงมีอินทรีแค่ตัวเดียวที่รอด”
ฉินสือโอวถามขึ้น “อินทรี คุณบอกว่าเจ้านี่คืออินทรีงั้นเหรอ?”
เจ้านกน้อยตัวนี้ดูไม่เหมือนสักนิด ในใจฉินสือโอวคิดว่าอินทรีต้องเหมือนกับอินทรีทองตัวนั้นที่เคยเกือบทำนิมิตส์ตาย ทั้งเย็นชา น่าเกรงขาม และเป็นอันธพาลสิ ทว่าเจ้าตัวนี้ไม่ใกล้เคียงกับลักษณะนั้นแม้แต่น้อย ออกจะเสียชื่ออินทรีด้วยซ้ำ
ประโยคต่อไปของตาแก่เจมส์แทบทำฉินสือโอวตะลึง “มันไม่ได้เป็นอินทรีทั่วไปด้วยนะ แต่เป็นอินทรีหัวขาว เจ้าแห่งทะเลและอากาศของทวีปอเมริกา!”
“ไม่อยากเชื่อ ไม่จริงน่า อินทรีหัวขาวเนี่ยนะ?!”
…………………………………………..
บทที่ 240 เจ้าบุช
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถ้าเกิดไม่ใช่ว่าฉินสือโอวเคยรับมือกับตาแก่เจมส์มาก่อนและรู้ว่าเขาเป็นคนจริงจัง ก็คงคิดว่าตาแก่นี่กำลังล้อเขาเล่นแน่
เนี่ยนะอินทรีหัวขาว? เจ้าตัวที่ขนสีเทายังกับนกพิราบนี้คือนกประจำชาติชื่อดังของอเมริกา?
ฉินสือโอวไม่ค่อยรู้เรื่องนกทะเลนัก พอได้ยินที่ตาแก่เจมส์บอก เขาก็ทำหน้าเหลอหลา
เจมส์เองก็งุนงง ถามกลับว่า “นายมองไม่ออกเหรอ? นี่คือลูกนกอินทรีไง เจ้าเพื่อนตัวน้อยนี่แหละ”
ฉินสือโอวรู้สึกละอายกับความรู้งูๆ ปลาๆ ของตัวเอง เขาพูดอ้ำอึ้งว่า “ก็อินทรีหัวขาวไม่ใช่ว่าหัวต้องสีขาวเหรอครับ? จะงอยปากมันต้องเป็นสีทองไม่ใช่เหรอ? งั้นทำไม…อึก ทำไมถึงเป็นนกหน้าตาแบบนี้ได้?”
ได้ฟังดังนั้น เจมส์ก็หัวเราะเสียงดัง อธิบายว่า “เพื่อนตะวันออกของฉันเอ้ย นายยังรู้จักอินทรีหัวขาวไม่พอ ที่เจ้านกหน้าตาเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ ก็เพราะตอนเด็กขนของมันยังเป็นสีน้ำตาลเข้ม ดูน่าเกลียด แต่พอมันโตเมื่อไร ก็จะเกิดใหม่กลายเป็นอินทรีผู้องอาจสง่างามไงล่ะ!”
ฉินสือโอวเข้าใจในที่สุด เมื่อก่อนเขาไม่ได้สนใจพวกเทพนกแห่งนักล่าที่ชนพื้นเมืองอเมริกาเหนือนับถือเท่าไร
เจมส์ชี้ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างให้ฉินสือโอวดู เป็นสนเรดวูดอเมริกาเหนือต้นใหญ่ต้นหนึ่ง สูงสามสิบกว่าเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสองเมตร ลำต้นตรงดิ่งขึ้นฟ้า ดูเย่อหยิ่งน่าเกรงขาม ต้นไม้ต้นนี้เปรียบเสมือนประภาคารจุดเด่นของท่าเรือกลอสเตอร์
ต้นสนเรดวูดอเมริกาเหนือยังเป็นหนึ่งในสี่ต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย ถิ่นดั้งเดิมในแคลิฟอร์เนียสามารถสูงได้ถึงหนึ่งร้อยกว่าเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางแปดเมตรกว่า ควรค่าแก่การเรียกว่าดินแดนยักษ์ใหญ่
บนยอดกิ่งของต้นสนมีรังนกอยู่ สร้างจากกิ่งไม้ต่างๆ ขนาดค่อนข้างใหญ่ แม้มองจากระยะสามสิบกว่าเมตรฉินสือโอวก็ยังสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน
ตาแก่เจมส์ชี้ไปยังรังนกนั้นพลางอธิบายว่า “สองสามีภรรยาบุชกับบาบาร่าอาศัยอยู่ในนั้น พวกมันเป็นอินทรีหัวขาวเพียงคู่เดียวของท่าเรือเรา นายรู้ไหมฉิน ตอนนี้นกพวกนี้พบเห็นได้น้อยแล้วนะ พวกเรารุกรานถิ่นของมันไม่หยุด และพวกมันยังโดนยาฆ่าแมลงดีดีทีจนไม่สามารถกลับมาวางไข่ได้ปกติ ทำให้จำนวนลดลงเรื่อยๆ”
“และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพการขยายพันธุ์ของพวกมันด้อยลง หลังอินทรีหัวขาวตัวเมียออกไข่ฟองแรกก็จะเริ่มกกทันที และช่วงแรกของการฟักก็จะออกไข่ฟองที่สองตามมา ทำให้วันที่ลูกนกออกจากไข่ไม่ตรงกัน เพราะลูกนกที่เกิดก่อนจะตัวใหญ่กว่าตัวที่เกิดทีหลัง”
“ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนอาหาร ลูกนกที่เกิดก่อนอาจจับลูกนกที่เกิดทีหลังกินเป็นอาหารได้!”
ฉินสือโอวเหยียดยิ้ม ขนาดแม่เสือมันยังไม่กินลูกตัวเองเลย นกอินทรีหัวขาวมันต้องโหดเหี้ยมขนาดไหน พี่ชายพี่สาวถึงจับน้องสาวน้องชายมาเป็นอาหารได้?
แต่มาคิดดูก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ยิ่งนกที่กล้าหาญสู้เก่ง จะสามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายได้ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขัดเกลานิสัยให้เข้มแข็งขึ้น
อย่างสุนัขมาสทิฟฟ์ที่ฉินสือโอวเคยเลี้ยงที่บ้านเกิด ครอกหนึ่งมีลูกหมาเกิดมาเก้าตัว รอจนฟันน้ำนมพวกมันเริ่มขึ้น แล้วจับเอาไปขังห้องใต้ดินให้พวกมันฆ่ากันเอง ตัวที่เหลือรอดตัวสุดท้ายจะกลายเป็นมาสทิฟฟ์ที่แข็งแกร่งพอไปเฝ้าภูเขาได้
ตาแก่เจมส์ย่อตัวลงไปขยับตัวลูกนก พูดอย่างเสียใจว่า “ทุกปีบาบาร่าจะให้กำเนิดลูกนกสองตัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลูกของมันกับบุชถึงชอบทะเลาะกัน ลูกนกตัวใหญ่จิกตัวเล็กจนตาย เจ้านกน้อยนี่คงโดนพี่ใหญ่โจมตีจนตกลงมาจากรัง น่าเศร้าที่ปีกของมันยังโตไม่เต็มที่ เลยบินไม่ได้ ได้แค่กางออกเท่านั้น…”
เจมส์เอ่ยพลางส่ายหัวอย่างหดหู่
ฉินสือโอวมองนกน้อยที่ยังขยับอย่างอ่อนแรง “มันยังไม่ตาย ถ้าตอนนี้พามันไปให้หมอดูก่อน ก็น่าจะช่วยชีวิตได้ไม่ใช่เหรอครับ?”
ตาแก่เจมส์พูดด้วยความจนใจ “ถึงพลังชีวิตของอินทรีหัวขาวจะแข็งแกร่ง ต่อให้ถูกตัดหัวหลุดก็ยังบินไปได้หลายกิโลเมตร แต่เจ้าตัวนี้คงไม่รอดแล้ว เพื่อนเอ๊ย ตกลงมาจากความสูงสามสิบเมตรต่อให้กางปีกไว้ เครื่องในมันก็คงแตกหมดแล้ว ตอนนี้มันแค่อยู่ในช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นใจเท่านั้น”
พอนึกถึงความน่าประทับใจของอินทรีหัวขาวที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือภาพยนตร์แล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ เขาถามขึ้นว่า “พวก ผมขอเอานกตัวนี้ไปได้ไหม?”
ตาแก่เจมส์ยักไหล่ตอบ “ตามสบายเลย แต่ฉันขอแนะนำว่านายอย่าเสียเวลาดีกว่า เจ้าตัวนี้มันถูกลิขิตให้ไปพบพระเจ้าแล้ว”
ฉินสือโอวถือนกน้อยในมืออย่างระวัง แล้วรีบวิ่งไปยังเรือยอชต์ เจมส์ตะโกนไล่หลังเขาว่า “อย่าทิ้งซากลูกนกลงทะเลล่ะ ระวังเจอเรื่องยุ่งเข้า! หน่วยลาดตระเวนคงไม่ฟังคำอธิบายนายหรอก!”
กฎหมายคุ้มครองนกป่าอเมริกาเหนือมีกฎว่าชาวประมงที่ออกทะเลไม่มีสิทธิ์ฆ่านก นอกจากนี้อินทรีหัวขาวยังได้รับการคุ้มครองระดับหนึ่งจาก ‘อนุสัญญากรุงวอชิงตัน’ ใน CITES[1] การขายหรือฆ่านกอินทรีถือว่าผิดกฎหมายทั้งสิ้น
ซีมอนสเตอร์กับชาร์คกำลังซื้อของ ทั้งเพิ่มเหยื่อปลาและอุปกรณ์อื่นๆ พอเห็นฉินสือโอวรีบวิ่งไปทางเรือยอชต์ทั้งสองก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินสือโอวไม่มีเวลาตอบทั้งคู่ รีบเข้าไปหาอ่างน้ำบนเรือยอชต์แล้ววางนกน้อยลงในน้ำ
เพราะถูกเขาโยนแบบนี้ เจ้าอินทรีน้อยที่เดิมเกือบถึงจุดจบของชีวิตอยู่รอมร่อ ก็กระอักเลือดเต็มปาก
หลังวางลงน้ำแล้ว ฉินสือโอวก็ส่งพลังโพไซดอนเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง อินทรีน้อยนอนอยู่ในน้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง ดวงตาปิดสนิท ไม่ไหวติง
“เวรเอ้ย! บ้าจริง!” ฉินสือโอวเตะอ่างเจ็บใจ อ่างน้ำไหวกระเพื่อม ทันใดนกอินทรีน้อยก็เริ่มกระพือปีก ดวงตาลืมขึ้นอย่างอ่อนแรง มองฉินสือโอวตื่นๆ
เมื่อเห็นนกน้อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง ฉินสือโอวก็กู่ร้องดีใจ รีบส่งพลังโพไซดอนใส่ร่างอินทรีน้อยต่อ ตราบใดที่มันยังหายใจ เขาเชื่อว่าตัวเองยังพอมีทางช่วยมันได้
ต่อมาพวกชาร์คก็ลนลานขึ้นเรือยอชต์มาถามอย่างร้อนใจว่า “บอสเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อครู่มีแค่ฉินสือโอวที่ไปดูพวกเด็กๆ ชาร์คและพวกซีมอนสเตอร์ไม่มีอารมณ์เอ้อระเหย จึงไม่รู้เรื่องลูกนกอินทรีหัวขาว
ฉินสือโอวยกนิ้วขึ้นทำเสียงชู่ แสร้งมองรอบๆ ก่อนหยิบอินทรีน้อยเปียกโชกออกมาจากด้านหลัง
“พระเจ้า อินทรีหัวขาว!” ซีมอนสเตอร์อุทาน
ชาร์คเอามือป้องปาก ถามฉินสือโอวอย่างระวัง “เฮ้ บอส คุณไปได้มาจากไหนกันน่ะ?”
ไม่ว่าที่อเมริกาหรือแคนาดาอินทรีหัวขาวเป็นสายพันธุ์ที่ห้ามซื้อขายหรือขโมยเป็นอันขาด เทียบกับนกเรียดาร์วิน ไก่ฟ้าปากแหลม นกหัวขวานอิมพีเรียล เหยี่ยวคิวบาปากตะขอแล้ว ถือว่ามีการคุ้มครองที่มากกว่าในฐานะนกประจำชาติ
ฉินสือโอวยักไหล่ ตอบว่า “เก็บได้ เด็กพวกนั้นเจอมันตกลงมาจากต้นไม้แล้วนึกว่ามันตายแล้ว ฉันก็เลยเก็บกลับมา”
พลังโพไซดอนไม่ได้เห็นผลการฟื้นฟูในทันตา นกน้อยยังคงนอนเปื่อยอย่างอ่อนแรงในมือฉินสือโอว อ่อนแอเสียจนแค่ลืมตาได้ก็เต็มกลืนแล้ว
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์มองหน้ากัน กำลังจะพูดบางอย่าง ฉินสือโอวก็โบกมือ “ไม่ต้องแนะนำให้ฉันเอาไปให้ใครหรอก เจ้าตัวนี้เป็นของฉันแล้ว ฉันจะเอามันกลับเกาะแฟร์เวลด้วย”
“งั้นก็เอากลับไปเถอะ ถ้าเกิดออกจากอเมริกาได้โดยสวัสดิภาพน่ะนะ” ชาร์คเอ่ย ถึงอย่างไรมันก็เป็นนกของอเมริกา เอาไปที่แคนาดาน่าจะดีกว่า
ฉินสือโอวใช้เศษไม้มาทำรังไว้ตรงมุมเรือยอชต์ แล้ววางเจ้าอินทรีหน้าตาน่าเกลียด
เจ้านกน้อยดูหมดสภาพ มันมองฉินสือโอวด้วยตาที่เปิดครึ่งเดียว ก่อนซุกหัวในปีกนอนหลับไป
ฉินสือโอวมองท่าทางที่ขี้เกียจและน่าเกลียดของมัน ทีแรกอยากตั้งชื่อมันว่าโช่โช่ เจ้าไข่ขี้เกียจ ฯลฯ สุดท้ายก็นึกถึงพ่อของมันที่ชื่อบุช เขาลูบหัวเล็กๆ นั้นพลางเอ่ยว่า “เอาล่ะ แกชื่อบุชก็แล้วกัน”
เหตุผลจริงๆ ก็คือชื่อบุชเทียบกับโช่โช่หรือไข่ขี้เกียจแล้วฟังดูดีกว่าเยอะ หู่จือกับเป้าจืองึมงำในลำคอ เหมือนสองพี่น้องนี้พยายามจะบอกว่า พ่อนี่ชอบมีปัญหากับชื่อตลอดเลย
…………………………………
[1] อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชที่ใกล้สูญพันธุ์
บทที่ 241 พี่เลี้ยงนิมิตส์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพราะใช้เวลาช่วยบุชไปพอสมควร จึงทำให้ออกทะเลช้า ทว่าฉินสือโอวยังไม่วางใจอาการเจ้าตัวนี้ วันนั้นเขาเลยไม่ออกทะเล ให้ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และอีวิลสันไปกันเองสามคน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคอยดูเลยบุชอยู่ที่เรือยอชต์ ในส่วนของฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ส่งไปยังฟาร์มปลาต้าฉิน
เขาคาดว่า พอพวกปลาทูน่าครีบน้ำเงินไปถึงฟาร์มปลาก็น่าจะยังรู้สึกแปลกที่อยู่ แต่เมื่อไรที่เริ่มท้องร้องพวกมันก็จะล่าปลาค็อดกับปลาแฮร์ริ่ง กุ้งแดงมากิน เท่านี้มันคงแทบตกหลุมรักที่นั่นทันที
กุ้งปลาที่ผ่านการวิวัฒนาการจากพลังโพไซดอน รสชาติจึงคนละเรื่องกับกุ้งปลาทั่วไปมาก ฟาร์มปลามีอาหารการกินสมบูรณ์ อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเอาตัวรอด
ขนาดนี้แล้ว ฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินจะไปจากฟาร์มปลาได้ยังไง?
ฉินสือโอวคอยส่งพลังโพไซดอนให้บุชเรื่อยๆ เมื่ออินทรีหัวขาวน้อยได้พักฟื้นวันหนึ่งแล้ว มันก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้น
แน่นอนว่าไม่ได้ถึงขั้นแข็งแรงกระฉับกระเฉง แต่มันก็พอจะกินเนื้อปลาฉีกเองไหวแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสามารถอยู่รอดได้
ช่วงบ่าย ฉินสือโอวเห็นว่าอาการบุชค่อยๆ ดีขึ้นก็เตรียมเข้าฝั่งไปเดินเล่น และเจอตาแก่เจมส์ที่กำลังซ่อมเรือเล็กพอดี
พอรู้ว่าฉินสือโอวอยากเดินเที่ยวในเมืองท่าเล็กๆ เจมส์ก็กระตือรือร้นอยากเป็นไกด์ให้เขามาก
ระหว่างทาง ตาแก่เจมส์ก็เริ่มแนะนำเมืองกลอสเตอร์ก่อน “เมืองเล็กๆ นี้อยู่มาจะสี่ร้อยปีแล้ว ทั้งพื้นที่ในเมืองและประชากรแทบไม่เคยเปลี่ยน การประมงเคยเป็น และยังคงเป็นอุตสาหกรรมหลักของที่นี่ นี่คือเมืองที่เวลาถูกหยุดไว้นั่นเอง”
ประโยคสุดท้ายของเจมส์คือคำขวัญของเมืองกลอสเตอร์ ฉินสือโอวเคยเห็นประโยคนี้บนป้ายหลายแห่งเขียนว่า ‘Where the Past is Present’ แปลว่า ‘เวลาหยุดลงที่นี่’
ท่าประมงไม่มีวิวอะไรให้ดู ตาเฒ่าเจมส์เน้นให้ดูรูปปั้นที่ฉินสือโอวเคยเห็นมาแล้วเมื่อวาน…รูปปั้นคนข้างพวงมาลัย รูปปั้นนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1923 เพื่อฉลองวันครบรอบ 300 ปีที่ก่อตั้งเมืองกลอสเตอร์ เป็นรูปปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดและยังถือเป็นจุดเด่นอีกแห่ง
ข้างรูปปั้นติดกับราวกั้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีแผ่นหินมากมายตั้งอยู่ มันแกะสลักไว้เหมือนกับอนุสาวรีย์สงครามเวียดนามที่วอชิงตัน เบื้องหลังชื่อทั้งหมดนั้นคือชีวิตของชาวประมงเมืองกลอสเตอร์ที่ถูกฝังในทะเล
เมื่อมองแผ่นหินเหล่านี้ เจมส์ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฉิน คนรวยอย่างพวกนายอาจคิดว่าทะเลเป็นที่สำหรับพักผ่อนและแหล่งผลิตอาหารทะเลอร่อยๆ แต่สำหรับพวกเรา ทะเลนั้นเป็นเหมือนพ่อที่น่ายำเกรงมากกว่าแม่ผู้เมตตา”
ฉินสือโอวมองดูแผ่นหิน แผ่นที่ตั้งเตะตาที่สุดสร้างขึ้นเมื่อปี 1879 ในปีนั้นเกิดพายุขึ้น มีชาวประมง 249 คนและเรือ 29 ลำหายสาบสูญไป
ผละจากแผ่นหินพวกนั้นมาเดินเลียบชายฝั่ง ก็จะเห็นรูปปั้นที่เป็นจุดเด่นอีกแห่งของเมือง ‘อนุสรณ์สถานของภรรยาชาวประมง’ ซึ่งรูปปั้นนี้กับ ‘คนข้างพวงมาลัย’ สะท้อนความหมายอันล้ำลึกต่อกัน
ขณะกำลังเดินทาง เหมาเหว่ยหลงก็โทรหาฉินสือโอว บอกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาสังเกตการณ์เมืองแฟร์เวลกลับมาแล้ว แล้วประเมินให้เกาะแฟร์เวลสูงมาก ถึงขั้นระดับ 5A ของจุดท่องเที่ยวนานาชาติเลย เชื่อว่าอีกไม่กี่วันนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกคงออกเดินทางแล้ว ให้ดีเขาควรมาทำความรู้จักพวกเขาไว้ดีกว่า มีสาวงามหลายคนด้วย
ฉินสือโอวบอกฉันยังกลับไปพบพี่น้องร่วมชาติไม่ได้ ตอนนี้ฉันอยู่ตกปลาที่อเมริกา อย่างน้อยสิบวันไม่ก็ครึ่งเดือนถึงจะกลับได้
หลังคุยเสร็จ ตาแก่เจมส์ก็พาฉินสือโอวไปดูจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้คือหาดฮาร์ฟมูนนั่นเอง
เนื้อที่ชายหาดนี้ไม่ได้ใหญ่มาก ความยาวชายฝั่งดูไม่ถึงกิโลเมตรด้วยซ้ำ แต่บรรยากาศสวยงามทีเดียว
ต้นไม้สีเขียวฟ้าสีคราม ทะเลสีฟ้าหาดสีทอง ทรายสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ล้อมรอบด้วยอ่าวเล็กๆ น้ำทะเลซัดสาดขึ้นลงไปมา สวยงามยิ่งกว่าหาดบาหลี ฮาวายเสียอีก
แค่เห็นหาดนี้แวบแรก ฉินสือโอวก็ตกหลุมรักทันที เขาไม่ได้คอยตามตาเฒ่าเจมส์มีเดินทอดน่องเองบ้าง เขาเดินเท้าเปล่าบนหาดไปจนเจอโขดหินโสโครก แล้วนั่งอย่างสงบอยู่ตรงนั้นตลอดบ่าย
ตกเย็น ฉินสือโอวซื้อพวกอาหารเนื้อทอด ปลาย่างจากร้านอาหารจานด่วนบนชายฝั่ง เมื่อกลับมาถึงเรือนางนวล ก็เห็นนกฟรีเกตยักษ์นิมิตส์บินเข้าไปในห้องโดยสารพอดี
เขาค่อนข้างกังวลจึงรีบตามเข้าไป เพราะนิมิตส์เคยถูกอินทรีทองทำร้ายมาก่อน มันน่าจะไม่ถูกกับนกจำพวกอินทรีเท่าไร
ตอนกลางวันฉินสือโอวก็รับรู้ได้ถึงสายตาคมกริบที่จ้องบุชไม่หยุด แต่เพราะฉินสือโอวยังอยู่ด้วย นิมิตส์เลยไม่กล้าลงมือ
พอวิ่งมาถึงหน้าประตู ฉินสือโอวเห็นนิมิตส์ดูอยากปะทะกับเจ้าบุชมาก ขนบนตัวมันพองออก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเตรียมตัวจู่โจม
หู่จือกับเป้าจือนอนขี้เกียจอยู่บนโซฟา กระดิกหางมองอย่างตื่นเต้น พวกมันก็ไม่พอใจบุชเหมือนกัน ฉินสือโอวไม่ยอมเล่นกับพวกมันทั้งวัน มันเลยโทษว่าเป็นเพราะบุช
ด้านบุชยังนั่งแกร่วอยู่ในเศษไม้ มันเบิกตาเอียงคอมองนิมิตส์ สองตาหรี่ลงมองอีกฝ่าย ตาดำเล็กๆ นั้นคล้ายกำลังสับสน
ว่าไป ตอนนี้ขนสีน้ำตาลเข้มของบุชยังไม่เหมือนอินทรีหัวขาวเสียทีเดียว แต่กลับดูเหมือนลูกนกฟรีเกตแบบนิมิตส์มากกว่า…ฟรีเกตตัวเมียเสียด้วย ซึ่งขนของนิมิตส์ไม่ได้เป็นสีดำล้วน แค่ออกสนิมน้ำตาล
นิมิตส์ร้อง ‘แกว๊กแกว๊ก’ กางปีกเตรียมโจมตี บุชได้ยินเสียงก็ร้อง ‘แกว๊กแกว๊ก’ ตาม แล้วลุกขึ้นวิ่งไปหานิมิตส์
ฉินสือโอวเกือบจะห้าม ปรากฏนิมิตส์ไม่ได้โจมตี มันมองบุชที่ตรงเข้ามาหามัน แล้วรีบกระโดดถอยห่าง
แต่ด้วยกรงเล็บที่ไม่ค่อยแข็งแรงของนกฟรีเกต ทำให้สภาพตอนมันกระโดดถึงพื้นแล้วซวนเซเกือบล้มดูน่าอนาถทีเดียว เสียหน้าเข้าให้แล้ว
นิมิตส์พยายามกระพือปีกทรงตัว บุชพุ่งเข้าไปพร้อมส่งเสียง ‘แกว๊กแกว๊ก’ หัวเล็กๆ มุดเข้าหาอ้อมกอดนิมิตส์
นิมิตส์งงไปหมด เดิมมันตั้งใจจะฆ่าอินทรีน้อย แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงติดหนึบกับตัวเองขนาดนี้?
นิมิตส์กางปีกโก่งคอและร้อง ‘แกว๊กแกว๊ก’ แสดงความน่าเกรงขาม บุชร้อง ‘แกว๊กแกว๊ก’ ตอบ ยังคงถูไถกับนิมิตส์ที่ยังงุนงง
ฉินสือโอวหลุดหัวเราะ บุชยังเด็กเกินไป เลยค่อนข้างซื่อบื้อ คงเห็นนิมิตส์กลายเป็นแม่ตัวเองไปแล้ว เพราะท่าทางแบบนี้คือปฏิกิริยาลูกนกเจอแม่นกชัดๆ
นิมิตส์หมุนตัวหนีบุชที่ตามคลอเคลีย ตอนนี้ถึงมันอยากหนีก็หนีไม่พ้น ห้องโดยสายเล็กเกินกว่าจะกางปีกบิน ถ้าจะวิ่ง ด้วยขาที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพกับขนาดตัวที่ใหญ่ของนกฟรีเกตก็คงหนีจากลูกนกอินทรีหัวขาวไม่พ้นอยู่ดี…
กรงเล็บของนกอินทรีหัวขาวนั้นมีพละกำลังมาก ฝ่าเท้าที่หยาบเหมือนกระดาษทรายของพวกมัน สามารถจับปลาหนักหลายกิโลกรัมในน้ำได้ และยังสามารถวิ่งกระโดดไล่ตามกระรอกในป่าได้อีกด้วย
ดังนั้นถึงบุชจะยังเป็นแค่ลูกนกอินทรี แต่มันไล่ตามนิมิตส์ได้แน่นอน
นิมิส์หนีไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องยอมหยุดอย่างไม่ยินดีนัก บุชเข้าซุกใต้ปีกมันพลางร้อง ‘กรู๊กรู๊’ พอมุดเข้าไปแล้วก็ไม่ออกมาอีก รังเศษไม้ที่ฉินสือโอวทำให้ช่างเสียเปล่าจริงๆ
หู่จือกับเป้าจือพอเห็นว่าไม่ได้สู้กันก็เริ่มเบื่อ หันไปใช้ลิ้นเลียขนบนหัวให้กันและกัน อย่าคิดว่าพวกมันรักสะอาดเชียว นี่คือการที่แลบราดอร์ใช้น้ำลายเลียให้ขนชุ่มชื้นเพื่อลดความร้อนเท่านั้น
ฉินสือโอวยิ้มเข้าไปลูบๆ เจ้าพวกนี้ทีละตัว รวมถึงดึงปีกนิมิตส์ออกเพื่อลูบบุชด้วย ปรากฏบุชกลับไม่ยอม มุดเข้าใต้ปีกยิ่งกว่าเดิม
นิมิตส์ก็ดูจะยอมรับชะตากรรมแล้ว มันหน้ามุ่ยคอตกกับพื้น ไม่ได้ปฏิเสธบุชที่เข้ามาใกล้ชิด
ตอนค่ำ พวกชาลส์มาหาฉินสือโอว ถามเขาว่าทำไมวันนี้เขาไม่ไปจับปลา ฉินสือโอวตอบผมอยากจะพักเสียหน่อย มีแค่พวกชาร์คไปก็พอแล้ว
พวกชาลส์อิจฉามาก พวกเขาออกทะเลจับปลาเพื่อมีชีวิตรอด แต่เป็นแค่ความสนุกสำหรับฉินสือโอว ช่องว่างทางสังคมนี้ช่างกว้างนัก
ก่อนแยกย้ายพวกชาลส์บอกฉินสือโอวว่าพรุ่งนี้เขาต้องไปทะเลนะ ฉินสือโอวไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงตอบว่าเขาไปที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จได้อยู่
ได้รับคำตอบเช่นนั้น ชาลส์และชาวประมงคนอื่นๆ ก็คาดหวังอยากขอยืมใช้ถังน้ำแข็งเรือสโนว์บอลเสียหน่อย เพราะเรือประมงพวกเขาไม่สามารถเก็บน้ำแข็งได้เกินสองวันสองคืน ทำให้ต้องคอยกลับมาที่ท่าเรือ ซึ่งเปลืองค่าน้ำมันมาก ค่าน้ำมันดีเซลไปกลับทั้งหมดก็สี่ร้อยดอลลาร์แล้ว
แต่เรือสโนว์บอลไม่เหมือนกัน ถังน้ำแข็งทำจากโพลี่ยูริเทนโฟมแบบแข็ง ทำให้สามารถเก็บน้ำแข็งได้ประมาณห้าวัน
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเติมน้ำแข็งจากเรือสโนว์บอลได้ พวกชาลส์ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปมาทุกวัน
สักพัก พวกชาร์คก็กลับมา
……………………………………………………….
บทที่ 242 ชาวตะวันออกผู้โชคดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชาร์คขับเรือบอลหิมะกลับมาที่ท่า ฉินสือโอวได้รับโทรศัพท์จึงออกไปรับ ปรากฏชาร์คให้เขาขึ้นเรือ แล้วขับไปยังท่าเรือของบริษัทไทรเด้นท์ฟิชชิ่งอย่างกระตือรือร้น
“พวกนายตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้เหรอ?” ฉินสือโอวตื่นเต้น
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์พยักหน้าภูมิใจ อีวิลสันเอ่ยด้วยความดีใจ “ผมเป็นคนดึงขึ้นเองแหละบอส อีวิลสันดึงมันขึ้นมาได้! ปลาเกือบจะหนีไป แต่อีวิลสันคว้ามันไว้ได้”
ฉินสือโอวกับอีวิลสันชนหมัดกัน แล้วพยักหน้าชมเชย “ทำได้ดีมาก อีวิลสัน นายเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่งเลย! ยิ่งกว่าชาร์คกับซีมอนสเตอร์อีก!”
ชาร์กับซีมอนสเตอร์หลุดหัวเราะ อธิบายเสียงเบาว่า “พวกเราเป็นคนหาสถานที่เจอ เป็นที่ที่มีฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินรวมตัวอยู่แน่นอน ตอนบ่ายพวกเราเจอปลาตัวใหญ่สี่ตัว แต่จับได้แค่ตัวเดียว”
ซีมอนสเตอร์เสริมว่า “แต่หมอนี่บ้าระห่ำมาก ตอนสุดท้ายผมใช้ปืนยิงปลาแต่มันเกือบหนีไปได้ ดีที่พ่อคนกล้าหาญอีวิลสันเตรียมเชือกมัดที่หางมันก่อน”
เมื่อมาถึงท่าเรือ ตาแก่เจมส์เห็นเรือฉินสือโอวก็เอ่ยยิ้มๆ “โอ้โห โอ้โห ชาวตะวันออกผู้โชคดี พวกนายจับปลาใหญ่มาได้อีกแล้วเหรอ?”
ฉินสือโอวตอบ “คนที่โชคดีไม่ใช่ผม แต่เป็นเพื่อนผมต่างหาก เป็นพวกเขาที่ตกปลาได้ วันนี้ผมคงต้องให้โบนัสพวกเขาแล้ว”
ทูน่าครีบน้ำเงินตัวยักษ์ที่แขวนไว้ถูกดึงออกมา ตัวใหญ่กว่าปลาตัวครั้งก่อนเล็กน้อย น้ำหนักสุทธิ 625 ปอนด์
ตาเฒ่าเจมส์ประเมินคุณภาพเนื้อ ก็ได้ระดับ A และยังเพิ่มให้อีกหนึ่งดอลลาร์…ซึ่งสำหรับบริษัทฟิชชิ่งถือว่าเป็นการเพิ่มที่ใจกว้างมาก เพราะปลาตัวหนึ่งก็ได้ไปหกร้อยกว่าดอลลาร์แล้ว
ดังนั้นวันนี้ฉินสือโอวที่ยังไม่ได้ทำอะไรก็ได้เงินไปถึงหมื่นดอลลาร์ โดยเขาให้โบนัสชาร์คกับซีมอนสเตอร์คนละห้าร้อยดอลลาร์ตามเครดิต
ถ้าว่ากันตามปกติ หนึ่งหมื่นดอลลาร์นี้ควรเป็นของพวกชาร์คทั้งหมดที่ทำกำไรให้เขา เขาควรให้โบนัสเยอะๆ ด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นจะได้ลูกจ้างที่ทำงานถวายชีวิตให้คุณได้ยังไง?
แต่นี่เป็นวิธีคิดแบบอเมริกา ธุรกิจย่อมเป็นธุรกิจ ถึงอย่างไรฉินสือโอวก็เป็นหัวหน้า ชาร์คและซีมอนสเตอร์เป็นลูกจ้างไม่ใช่คู่ค้าธุรกิจของเขาหรือกะลาสีเรือที่จ้างมาโดยเฉพาะ แบบแรกต้องแบ่งเงินให้เท่ากัน แบบหลังคือตามค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ ถ้าได้กำไรถึงหมื่นดอลลาร์ กัปตันต้องให้เงินกะลาสีรับจ้างอย่างต่ำยี่สิบเปอร์เซ็นต์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้เงินจำนวนน้อยในรูปแบบโบนัสกับทั้งสองคนแทน ไม่งั้นเขาก็เป็นแค่คนโง่ที่ใช้เงินไม่คิดเท่านั้น
พอตกปลาได้ ชาร์คและซีมอนสเตอร์ยิ่งฮึกเหิมกัน หลังกลับมาพักผ่อนหกชั่วโมง คราวนี้ย่ำรุ่งตีสี่พวกเขาก็ออกมาท่าเรือเตรียมเดินทางแล้ว
แต่พวกชาลส์มาเช้ากว่า ตอนฉินสือโอวมาถึงท่าเรือพวกเขาก็พร้อมจะไปแล้ว
พอเห็นพวกฉินสือโอวตื่นแต่เช้าขนาดนี้ต่างก็หัวเราะ เอ่ยว่า “ดูเหมือนพวกนายจะได้สัมผัสความสนุกในการตกปลาแล้วสินะ ถึงจะโชคดี แต่พูดจริงๆ นะพวก การตกปลาทูน่ามันก็เหมือนการเสพติดนั่นแหละ!”
ฉินสือโอวพยักหน้าตอบรับ ก็จริงรายได้หมื่นดอลลาร์เทียบกับทรัพย์สินวงศ์ตระกูลเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่การได้เห็นการลงทุนของตัวเองเป็นผลสำเร็จ แถมยังกลายเป็นตั๋วเช็คให้เลยอีกต่างหาก ความรู้สึกนั้นมันสุดยอดมาก
ฟ้ายังมืดอยู่ พวกเขาจึงขับเรือตกปลาออกจากท่าอย่างระมัดระวัง พอเข้าสู่ทะเลก็เร่งความเร็ว พุ่งตรงไปยังชายหาดน้ำตื้นจอร์จ
เมื่อคืนชาร์คเล่าว่าสถานที่ที่พวกเขาหาเจอไม่ได้อยู่ในน่านน้ำชายหาดจอร์จแต่เป็นทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากชายหาดไปสามสิบสี่สิบไมล์ทะเล เป็นโซนน้ำลึกห้าร้อยกว่าเมตร
พอมาถึงสถานที่ดังกล่าว รอบด้านกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแต่ไม่มีเรือตกปลาสักลำ ดูเหมือนสถานที่ตกปลาทูน่านี้ยังไม่ได้รับการพัฒนา
ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกโพไซดอนลงไปดู ไม่เจอปลาทูน่าครีบน้ำเงินทว่ามีปลาแฮร์ริ่งแอตแลนติกหลายฝูงว่ายผ่านไป มิน่าถึงตกทูน่าครีบน้ำเงินได้ ที่นี่เป็นที่หาอาหารของพวกมันนั่นเอง
หลังโยนสมอ ชาร์คก็เริ่มโปรยเหยื่อ นี่ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ การจะทำให้ทูน่ามาติดเบ็ดได้ขึ้นอยู่กับของพวกนี้
น่าจะเป็นเพราะเหยื่อที่พวกเขาใช้คือปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะจากฟาร์มปลาต้าฉินที่ผ่านการวิวัฒนาการจากพลังโพไซดอนแล้ว เลยดึงดูดทูน่าครีบน้ำเงินได้ดีมาก ลงสมอไปไม่ทันสี่สิบนาที เครื่องโซนาร์หาปลาก็ส่งเสียงแหลม
นีลเซ็นโผล่หัวไปดู ตะโกนว่า “มีปลาสองตัว ไปกันเร็วพวก!”
โชคลับๆ ของฉินสือโอวยังดีอยู่ ต้องรอสักพักถึงจะล่อปลาให้เข้ามาได้ จิตสำนึกโพไซดอนลงไปดู แต่เขาก็ต้องผิดหวังเล็กน้อย ปลาสองตัวนี้ขนาดไม่ถึงหนึ่งจุดสองเมตรเลย นับเป็นแค่ขนาดกลางเท่านั้น
ทว่าขนาดประมาณนี้ยังถือว่าตกได้ ถ้าเขาไม่จับก็โดนชาวประมงคนอื่นจับไปแทน
อย่าประมาทว่าทะเลกว้างเชียว ในช่วงฤดูตกปลาของทุกปีชาวประมงแทบบ้าคลั่ง เขาจะสำรวจทั่วทั้งทะเลไม่ปล่อยปลาทูน่าที่หาเจอไปแม้แต่ตัวเดียว
เนื่องจากเขารู้ว่าไม่สามารถใช้จิตสำนึกโพไซดอนควบคุมให้ปลาใหญ่มาสู่ความตายได้ ฉินสือโอวจำต้องพึ่งความสามารถที่แท้จริงของตัวเองแล้ว
เขาแรงเยอะและประสาทสัมผัสไว จึงบังคับคันเบ็ดด้วยตัวเอง ชาร์ครับผิดชอบคอยสังเกตสถานการณ์ ซีมอนสเตอร์รอยิงปืนปลา ส่วนอีวิลสันเตรียมดึงปลา องค์ประกอบของกลุ่มจับปลาก็เป็นดังนี้
ชาร์คคว้าปลาแฮร์ริ่งเป็นๆ ตัวหนึ่งส่งให้ฉินสือโอว และโยนปลาลงไปในน้ำอีก ปากพึมพำว่า “เฮ้ ที่รัก กินเบ็ดเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ ที่รัก กินอย่างวางใจซะนะ นี่คือเอาของอร่อยจากนิวฟันด์แลนด์มาให้พวกเธอเชียวนะ…”
ไม่จำเป็นต้องพึมพำต่อ ไม่นานทูน่าครีบน้ำเงินตัวหนึ่งก็เข้ามากินเหยื่อ พวกมันชอบกินเหยื่อที่ยังเป็นๆ มากกว่าเหยื่อที่ตายแล้ว
เมื่อกลืนเหยื่อลงไปมันก็ติดเบ็ด สายเบ็ดลาก ‘กึกกึก’ ยาวไปด้านนอก จนมันไปไกลสิบกว่าเมตร ทำให้รู้ว่าปลาตัวนี้มีแรงเยอะทีเดียว!
ฉินสือโอวดึงรอกอย่างใจเย็น ชาร์คมองพื้นน้ำแล้วคำราม “นีลเซ็น ถอยหลัง ดึงค้างไว้ เร่งความเร็วหน่อย อย่างนั้นแหละ…โอเค พวก ช้าลงหน่อย บอส ประลองกำลังกับมันเลย…”
ด้วยการสั่งการของชาร์ค ฉินสือโอวทำตามขั้นตอนทั้งปล่อยทั้งลากสายเบ็ด สิบกว่านาทีต่อมา ทูน่าครีบน้ำเงินตัวนั้นก็ยอมแพ้ ฉินสือโอวรีบลากมันไปยังข้างเรือประมง
ยังเหลืออีกเจ็ดแปดเมตร เริ่มมองเห็นหลังของมันแล้ว ทันใดมันก็เร่งความเร็วด้วยแรงเฮือกสุดท้ายไปยังใต้ท้องเรือประมงทันที
เมื่อใดที่ทูน่าเข้าไปใต้ท้องเรือก็จะจัดการไม่ง่ายแล้ว เพราะสายเบ็ดอาจหลุดแล้วทำคันเบ็ดหักได้
ฉินสือโอวยอมเสี่ยงกระชากสายเบ็ดอย่างรวดเร็ว ทำให้ปลาทูน่ากระเด็นตามด้วยความตั้งตัวไม่ทันกลับมายังข้างเรือ
ซีมอนสเตอร์ที่รออยู่แล้วลั่นปืนยิงปลาหยุดตัวมันไว้
เสียง ‘ฉัวะ’ ดังลั่น พร้อมร่างปลาที่เริ่มเลือดไหล
เห็นดังนั้นซีมอนสเตอร์ก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้น “สวยงามมาก ดูสิ ดูสิ นี่ถ้าฉันเกิดในช่วงยุคโรมันล่ะก็ ต้องเป็นนักขว้างหอกชื่อดังแน่เลย”
ซีมอนสเตอร์กู่ร้องพลางดึงเชือกปืนปลาขึ้นจนหางปลาโผล่ อีวิลสันจึงเข้ามาผูกเชือกกับหางปลาทูน่า แล้วใช้กล้ามเนื้ออันองอาจนั้นลากปลาใหญ่ที่ยังดิ้นพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
รีดเลือด ขอดเกล็ด ยัดน้ำแข็งไว้ในหัวปลาและห่อพลาสติกโยนไปในถังน้ำแข็ง เป็นอันเสร็จสิ้น
ปลาอีกตัวหนีไปแล้ว ฉินสือโอวไม่ได้ไล่ตาม ไม่จำเป็น เพราะที่ฟาร์มก็มีฝูงทูน่าครีบน้ำเงินอยู่แล้ว แค่ควบคุมการขยายพันธุ์ดีๆ คอยคุ้มครองปลาตัวเมียตอนวางไข่ เท่านี้เรือประมงเขาก็จะมีปลาทูน่าครีบน้ำเงินเมื่อไรก็ได้
เมื่อถึงตอนนั้น ฉินสือโอวจะถล่มกระเป๋าเงินคนญี่ปุ่นแน่นอน พวกนายชอบกินซาชิมิกับชิ้นเนื้อปลานักใช่ไหม? ได้ กินเข้าไปให้พอ!
…………………………………………
บทที่ 243 โชคลาภยังไม่หมด
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอตกปลาได้แล้ว นีลเซ็นก็ดึงสมอเรือขึ้นขับไปอีกสองกิโลเมตรแล้วลงสมอใหม่เพื่อตกปลาต่อ
ไม่รู้ว่าเพราะที่นี่มีปลาทูน่าครีบน้ำเงินเยอะหรือเหยื่อมันดึงดูดได้ดี ถึงจับได้อีกตัวแล้ว
ขณะฉินสือโอวดึงสายเบ็ด ก็รู้สึกว่าปลาตัวนี้มันแรงน้อยๆ จึงคาดว่าตัวน่าจะไม่ใหญ่นัก เขาใช้จิตสำนึกโพไซดอนลงไปดู ดังคาด ปลาตัวนี้มีขนาดไม่ถึงเจ็ดสิบเซนติเมตรเลย ไม่สามารถจับได้
ดังนั้น เขาจึงปล่อยให้มันลากสายเบ็ดไปในทะเล ส่ายหัว “ไม่ตรงตามมาตรฐาน ตัดสายปล่อยมันเถอะ”
พวกชาร์คได้รับบทเรียนเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์มาแล้ว จึงไม่คัดค้าน เขาตัดสายเบ็ดปล่อยเจ้าทูน่าดวงดีไป
เวลาเที่ยง ชาลส์เรือแห่งชีวิตโผล่มาจากไกลๆ เขาติดต่อทางวิทยุมาถามว่า “พวก วันนี้สถานการณ์พวกนายเป็นยังไงบ้าง?”
ฉินสือโอวเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เลว ตกได้สองตัว จับหนึ่งปล่อยหนึ่ง”
ชาลส์อุทาน “พระเจ้า! พวกนายมันโชคดีไม่หยุดจริงๆ หรือพระเจ้าจะโปรดคนแคนาดาเสียแล้ว? เอาเถอะ ฉันล้อเล่นน่า วันนี้พวกเรายังจับไม่ได้สักตัวเลย โชคร้ายจริงๆ เฟล็ปส์เรือลักกี้ก็ไม่เลว เขาจับได้หนึ่งตัวแล้ว”
ฉินสือโอวรู้ว่าสำหรับชาวประมงที่ปากท้องขึ้นอยู่กับการตกปลาทูน่านั้น ถ้ายังจับปลาไม่ได้หลายวันติดต่อกัน ย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง
คนอเมริกันไม่ถนัดเรื่องการเก็บเงินเท่าไร พวกเขาไม่ได้ยึดถืออุดมการณ์อะไรในการใช้จ่าย ทำให้ทุกฤดูตกปลาพวกเขามักออกทะเลไปพร้อมกับหนี้สิน ถ้าตกปลาไม่ได้ ก็จะถูกธนาคารยึดเรือยึดบ้านซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
ด้วยเหตุนี้ ฉินสือโอวจึงช่วยชี้บอกทาง “ชาลส์ ไม่ต้องอยู่ตรงนั้นหรอก ลองไปทางเหนือดู ผมเพิ่งตกปลาได้ตัวหนึ่งตรงนั้น ผมคิดว่าถ้าโชคคุณยังไม่หมดก็น่าจะได้อะไรบ้างนะ”
ต่อมา เครื่องหาปลาก็ส่งเสียงติ๊ดติ๊ดขึ้นอีก นีลเซ็นเอ่ยว่า “มีปลาอีกแล้ว ท่าทางจะไม่ใช่ตัวเล็ก ผมกล้าพนันเลยว่าถ้าไม่ใช่ฉลาม ก็เป็นตัวหนักเจ็ดแปดร้อยปอนด์แน่”
ตัวนีลเซ็นยังมีประสบการณ์ไม่มากนัก ชาร์คเข้าไปดูในห้องบังคับการครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้ากล่าวว่า “วันนี้พวกเราโชคดีจริงๆ เป็นทูน่าครีบน้ำเงินอีกแล้ว ลุยมันเลย!”
พวกฉินสือโอวเตรียมเข้าสู่สนามรบอย่างฮึกเหิม ทางด้านเรือแห่งชีวิตก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว ชาลส์กับภรรยาเขาเซรีน่ากำลังขับเรือไปด้วยความเร็ว และเหมือนจะเจอปลาทูน่าครีบน้ำเงินแล้ว
เมื่อเปลี่ยนเหยื่อเรียบร้อย ฉินสือโอวก็รออย่างใจเย็น ปลาคราวนี้ค่อนข้างระวังตัวมาก ซึ่งถ้ามันโตมาได้ขนาดนี้ย่อมไม่ธรรมดา
ชาร์คอธิบายให้เขาฟังว่า “ที่จริงในทะเล จะมีปลาฉลาดบางตัวที่มองสายเบ็ดออก มันต้องผ่านประสบการณ์การเห็นพวกพ้องที่โดนสายเบ็ดเกี่ยวไปนับครั้งไม่ถ้วน เพราะงั้นเวลามันเห็นสายเบ็ดก็จะหนีกัน”
ทว่าแม้แต่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่นักล่าเก่า ชาร์คทำการวางคันเบ็ดที่มีปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะและปลาหมึกเป็นๆ ไว้เพื่อล่อมัน
มันว่ายอย่างระแวงอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ทนความอยากไม่ไหว อ้าปากกลืนซาบะไป
สมบูรณ์แบบ ตกได้แล้ว!
ฉินสือโอวปล่อยให้มันลากห่างไปเล็กน้อย จนสุดสายเบ็ดแล้วจึงเริ่มหมุนรอกแข่งกับปลาใหญ่
อย่างที่นีลเซ็นพูด ปลาตัวนี้แรงเยอะมาก กระทั่งสายเบ็ดเริ่มตึง ฉินสือโอวจึงจำต้องปล่อยอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้สายเบ็ดขาด
นีลเซ็นขับเรือไปตามที่ชาร์คสั่ง จู่ๆ น้ำเสียงตื่นเต้นของชาลส์ก็ดังขึ้นผ่านวิทยุ นีลเซ็นตะโกนใส่ว่า ‘ยุ่งอยู่’ แล้วปิดไป
ฉินสือโอวเดี๋ยวดึงเดี๋ยวปล่อยสายเบ็ด ประสานจังหวะการต่อสู้กับปลาใหญ่ ทันใดเขาก็เปลี่ยนจังหวะกะทันหัน ทำให้ปลามีแรงเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น
กระทั่งตอนเที่ยง มันถึงหมดแรงในที่สุด พยายามดิ้นไปมาอย่างไร้ประโยชน์เมื่อโดนซีมอนสเตอร์ยิงใส่ตำแหน่งเหงือกหลังหัวของมัน
พอดึงเชือกจับปลาขึ้นมาได้แล้ว ฉินสือโอวก็ลูบตัวของมัน พลางกล่าวชมว่า “พระเจ้าประทานของขวัญให้พวกเราชัดๆ ดูสิ ดูสิ จะยังมีปลาที่สวยกว่านี้อีกไหม? รูปร่างมันเหมือนหยาดฝนที่ตกจากฟ้าเลย!”
ปลาตัวนี้ใหญ่กว่าตัวที่ฉินสือโอวเลี้ยงไว้ ไม่ต่ำกว่าสามเมตรได้ น้ำหนักประมาณเจ็ดแปดร้อยปอนด์
ฉินสือโอวให้ชาร์คและอีวิลสันจัดการปลา ส่วนเขาไปวิทยุตอบชาลส์ว่า “พวกเราเพิ่งจับได้อีกตัวแล้ว ทางคุณล่ะเพื่อน?”
ชาลส์ตะโกนอย่างตื่นเต้น “พวกเราก็จับได้ตัวหนึ่งเหมือนกัน วันนี้รายได้ทะลุหลักหมื่นแล้วแหละ เมื่อครู่เซรีน่าดูแล้วบอกว่าคุณภาพเนื้อดีมาก ขอบคุณนายมาก ฉิน ขอบคุณสำหรับของขวัญของนายนะ”
ถ้าว่ากันตามปกติ คนตกปลาทูน่ามักจะเห็นแก่ตัว เพราะเป็นปลาประเภทที่ราคาสูง จนถูกเรียกว่าทองแห่งทะเล ถึงแม้เบื้องหน้าจะคอยบอกข้อมูลกัน แต่ความจริงถ้ามีใครเจอจุดตกปลาดีๆ เข้าล่ะก็ ให้ตายก็ไม่มีทางหลุดจากปากแน่นอน
การบอกข้อมูลเรื่องปลาทูน่าของฉินสือโอว จึงถือเป็นการกระทำที่ใจกว้างสำหรับนักตกทูน่ามาก
ชาลส์ยิ่งประทับใจฉินสือโอว แม้ฉินสือโอวจะไม่ใส่ใจ อาจเป็นเพราะความต่างของฐานะทางสังคม ที่สำหรับชาวประมงการตกปลาคือการทำงานเพื่อเอาตัวรอด ขณะที่ในสายตาฉินสือโอวมันเป็นแค่ความบันเทิงเท่านั้น
หลังตกปลาใหญ่ตัวนี้ พวกฉินสือโอวก็ได้กินข้าว
ชาลส์ยืนกรานอยากจะส่งเบียร์กระป๋องกับบรรดาคุกกี้เนยที่เขาอบมาเองให้ ฉินสือโอวจึงลองชิมดู อืม ก็รสชาติไม่เลว
น่านน้ำนี้ช่างอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาทูน่า กินข้าวเที่ยงเสร็จ ด้านพวกชาลส์ก็ยุ่งอีกครั้ง หลังพยายามอยู่ครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็จับทูน่าครีบน้ำเงินได้อีก ตัวยาวสองเมตรกว่า สามารถนำไปขายได้สี่ห้าพันดอลลาร์
ส่วนฉินสือโอวเริ่มง่วง จึงแอบเข้าไปในห้องบังคับการเตรียมจะนอน ปรากฏคันเบ็ดหลายอันก็พากันกระตุก ชาร์คกับซีมอนสเตอร์วิ่งวุ่นจากหัวเรือท้ายเรือไปมา ทั้งห้าคนเข้าสู่สนามรบ รับผิดชอบเบ็ดตกปลาคนละอัน เหลือแค่อันเดียวที่ไม่มีใครสนใจเลย
ฉินสือโอวประหลาดใจ วันนี้ตัวเองจะโชคดีอะไรขนาดนั้น? ปลาทูน่าครีบน้ำเงินหกตัวกินเบ็ดพร้อมกัน? นี่มันสร้างเป็นสถิติโลกได้เลยนะเนี่ย!
ดังคาด ในสงครามชักเย่อนี้มีบางอย่างแปลกไป อีวิลสันลากมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย มันคือปลาอินทรีบั้งขนาดสี่สิบเซนติเมตรนั่นเอง
ฉินสือโอวดึงมาดู เหมือนปลาอินทรีบั้งที่เขากินบ่อยๆ ที่เมืองไหเต่าเลย แต่บริเวณจากหัวถึงหางกลับมีลายแบบปลาทูน่า ชาร์คหลุดหัวเราะ กล่าวว่า “มันก็เป็นทูน่าแหละ แต่เป็นญาติห่างๆ กับทูน่าครีบน้ำเงิน มันคือปลาอินทรีบั้งสีทอง”
ระหว่างรีดเลือดไปแช่เย็น ชาร์คบอกว่า “ปลาตัวนี้ไม่ค่อยได้ราคาเท่าไร หนึ่งปอนด์ก็ประมาณสองดอลลาร์เอง เดี๋ยวเย็นนี้พวกเราเอาไปแกงกินกัน รสชาติไม่เลวเลย ถ้าหนามน้อยๆ เนื้อจะนุ่มมาก”
ฉินสือโอวไปดูในทะเล ไม่รู้ว่าเป็นเวลาที่ฝูงปลาอินทรีบั้งว่ายผ่านหรืออย่างไร ถึงมาติดเบ็ดพร้อมกันทีเดียวหกตัว
เมื่อมองไกลออกไป คู่สามีภรรยาชาลส์ก็ดูกำลังยุ่งอยู่เหมือนกัน แต่พอวิทยุไปหาพวกเขากลับดีใจมาก “พวกเรารู้ว่ามันไม่ใช่ทูน่าครีบน้ำเงิน เพราะความเร็วตอนดึงเบ็ดช้ามันเกินไป แต่ยังไงก็เป็นปลาที่จับได้ ใช่ไหมล่ะ? ก็พอเอาไปขายได้สักสองพันแหละ”
“ปลานี่มันแพงขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉินสือโอวมองชาร์ค อีกฝ่ายยักไหล่ ดูงุนงงไม่ต่างกัน
ในวิทยุเซรีน่าขัดขึ้นว่า “พวกเราเอาแหมาด้วย ถ้าทอดลงไปเสียหน่อยคงได้มาเพียบ แต่น่าเสียดายถังน้ำแข็งเราเล็กเกินไป ไม่งั้นเราคงทำเงินได้จากปลาอินทรีบั้งไปแล้ว”
………………………………………………..
บทที่ 244 ฮาล์ฟมูนเบย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนบ่าย ทางฉินสือโอวก็ตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้อีก วันนี้ก็ถือว่าเป็นการทุบสถิติที่ตกได้ถึงสามตัว
เขาควบคุมจิตสำนึกโพไซดอนไปสำรวจอยู่พักหนึ่งก็ยังไม่เจอกับฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินเลย จะมีก็แต่ปลาใหญ่ว่ายมาหาอาหารอยู่เรื่อยๆ พวกมันดูเหมือนจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษและว่ายไปมาอย่างว่องไวอยู่ตลอด
ฉินสือโอวรีบฉวยโอกาสควบคุมปลาตัวเมียยาวกว่าสามเมตรกว่าตัวหนึ่ง ปลาตัวนี้สามารถเอากลับไปที่ฟาร์มได้
ไปๆ มาๆ ฉินสือโอวกับชาลส์ก็โทรคุยกัน อุปกรณ์หาปลาของทั้งสองฝ่ายตรวจจับทูน่าครีบน้ำเงินได้ทั้งหมดแปดตัว ไม่รู้ว่ามีนับซ้ำหรือเปล่า แต่นี่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก
แต่ดูเหมือนเหล่าทูน่าจะไม่สนใจเหยื่อล่อของพวกเขาแล้ว เพราะใต้ทะเลมีปลาแมคเคอเรลทองฝูงหนึ่ง เมื่อเทียบกับแมคเคอเรลยักษ์ เหยื่อล่อปลาตัวน้อยๆ ก็ดูไม่น่าสนใจเลยสักนิด
คุยกันเสร็จ ชาลส์ก็ไม่ค่อยสบอารมณ์จึงพูดขึ้นมาด้วยความกลุ้มใจ “ดูท่าแล้วรายงานพยากรณ์อากาศคงไม่แม่นยำเท่าไร ฉิน รีบกลับกันเถอะ ฝูงปลาหาอาหารผิดปกติ ฉันกล้าพนันได้เลยว่าความกดอากาศที่ผิวทะเลคงจะมีปัญหา เพราะงั้นคืนนี้หรือพรุ่งนี้ต้องมีพายุเข้าแน่!”
ฉินสือโอวพูด “นายแน่ใจเหรอ? เมื่อคืนนี้ฉันตรวจสอบพยากรณ์อากาศแล้ว กรมอุตุนิยมวิทยาแมสซาชูเซตบอกว่าช่วงนี้ในทะเลจะมีอากาศจะดีนี่นา”
ชาลส์ทำหน้ามุ่ยแล้วพูดขึ้น “เชื่อคำพูดโง่ๆ พวกนั้น นายก็แพ้แล้วล่ะ ฉันเชื่อประสบการณ์ของตัวเองมากกว่า น่าเสียดายจริงๆ นายเอาน้ำแข็งมาเยอะไหม? ตอนแรกฉันกะจะอยู่ในทะเลหลายวันหน่อย โดยเฉพาะที่ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์อย่างที่นี่”
ที่จริงในคลังเย็นของฉินสือโอวมีแต่ก้อนน้ำเกลือแข็งอันแน่นอยู่เต็มไปหมด ทั้งหมดนั่นต้องใช้เงินถึงแปดร้อยกว่าดอลลาร์เชียวนะ พวกมันล้วนเป็นของที่พวกชาวประมงมาขอให้เขาเก็บให้
ชาลส์ทำงานโฆษณาที่ช่องสาธารณะ เขาจึงวิทยุไปหาพวกเพื่อนๆ แล้วเล่าการคาดเดาของตัวเองไป ส่วนชาวประมงคนอื่นๆ ก็คาดเดาคล้ายๆ กับเขาเหมือนกัน
ต่อให้สภาพอากาศยังพอโอเค พวกชาวประมงก็พากันกลับฝั่งกันอย่างว่าง่าย ไม่มีใครที่จะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง คนอเมริกันอาจมีความกระหายการผจญภัย แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต จริงๆ แล้วพวกเขาต่างหากที่เป็นชนชาติที่รักชีวิตที่สุด
มีเพียงชาวประมงที่ออกทะเลบ่อยๆ ถึงจะรู้ว่าท้องทะเลแปรปรวนมากเพียงใด และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นถึงจะรู้ว่าหากทะเลคลั่งขึ้นมาจะน่ากลัวเพียงไร
เพราะกลับเร็วขึ้นหน่อย เมื่อกลับมาถึงฝั่งพระอาทิตย์จึงเพิ่งจะตกดินเท่านั้น พอเรือหาปลาของฉินสือโอวเทียบท่าก็มีคนพุ่งเข้ามาถามเขาทันที “ชาวตะวันออกผู้โชคดี พวกนายตกปลาได้อีกแล้วเหรอ?”
ชาลส์ที่เดินตามอยู่ข้างหลังพูดขึ้นอย่างภูมิใจ “ฉินไม่ได้โชคดี แต่เป็นความสามารถล้วนๆ ถ้าเขามาเป็นชาวประมงมืออาชีพล่ะก็ จะต้องกลายเป็นตำนานแห่งชายฝั่งทะเลตะวันออกแน่ๆ ! รู้ไหมว่าวันนี้เขาตกปลาได้กี่ตัว?”
“สองตัว? สามตัว?”
“ไม่ ห้าตัว! ใช่ ห้าตัว!”
ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “ชาลส์ อย่าโม้แทนฉันเลย ฉันตกได้แค่สามตัวแท้ๆ ”
“แต่ฉันก็ตกได้สองตัว ถ้าไม่ได้นายช่วย ฉันคงตกไม่ได้สักตัว ฉะนั้นปลาห้าตัวนี้นับเป็นของนายได้ทั้งนั้นแหละ”ชาลส์พูดพลางหัวเราะ
แม้ว่าปากจะพูดอย่างเกรงใจ แต่สีหน้าเขากลับดูภูมิอกภูมิใจอย่างมาก วันหนึ่งตกปลาได้สองตัว แค่นี้ก็พอให้เอาไปคุยโวในบาร์ได้ทั้งคืนแล้ว
พ่อลูกเฟล็ปส์แห่งเรือลักกี้ก็กลับมาแล้ว ทั้งสองก็มีใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นกัน ดูท่าคงได้อะไรดีๆ กลับมาเหมือนกัน
ฉินสือโอวชั่งน้ำหนักปลาของเขาก่อน สามตัวทั้งหมดก็ 1755 ปอนด์
ระดับคุณภาพเนื้อแตกต่างกันไป ตัวที่ใหญ่สุดได้ 902 ปอนด์ คุณภาพเนื้อก็ดีที่สุด ตาแก่เจมส์ให้คะแนน 2A ปลาตัวนี้ทำเงินให้เขาได้ถึงหมื่นแปดเลยทีเดียว และรายได้ทั้งหมดก็รวมเป็นสามหมื่นดอลลาร์!
ส่วนปลาสองตัวของชาลส์ก็ได้น้ำหนัก 820 และ 410 ปอนด์ คุณภาพเนื้อปลาของตัวใหญ่ได้ 2A เหมือนกัน ส่วนปลาตัวเล็กก็ได้ A มันสามารถทำเงินได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นแปดพันห้าร้อย นอกนั้นเขายังเอาปลาแมคเคอเรลทองส่วนหนึ่งมาด้วยและขายได้ไปอีกพันสองร้อย รวมทั้งหมดก็ได้เงินมาประมาณสองหมื่นดอลลาร์
หลังจากได้เช็คมา ชาลส์ก็โอบเซรีน่ามาประกบปากจูบฟอดใหญ่แล้วพูดขึ้น “เยี่ยมมาก ปีนี้เริ่มต้นได้ดี ได้เงินมาตั้งเกือบสองหมื่นห้า!”
เมื่อคำสั่งห้ามทำการประมงสิ้นสุดลงในวันที่ 1 สิงหาคมเขาก็ตกปลาได้อีกหนึ่งตัว เพียงแต่มันมีคุณภาพธรรมดา จึงขายได้แค่สามพันนิดๆ เท่านั้น
สุดท้ายก็คือเรือลักกี้ เฟล็ปส์ทำสีหน้าภูมิอกภูมิใจ เขาดึงผ้ากันแดดที่ข้างเรือออกและเผยให้เห็นปลาตัวใหญ่ยาว!
ปลาของฉินสือโอวยาวเกือบสามเมตร พอมาวัดจริงๆ แล้วก็ยาวถึงสองเมตรแปด ส่วนปลาของเฟล็ปส์นั้นยาวถึงสามเมตรจริงๆ พอๆ กับเจ๊ทูน่าหัวโจกฝูงในเรือเขาเลย
พอเห็นปลาตัวนั้น เหล่าชาวประมงที่มุงดูอยู่ต่างพากันอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ ตาแก่เจมส์เองก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “เฟล็ปส์ นายนี่มันสมเป็นมือหาปลาตัวยงจริงๆ นะ ปลาตัวนี้คงจะทุบสถิติของฤดูหาปลาที่แล้วได้เลยล่ะมั้ง? มา ขึ้นตาชั่งเลย!”
เครื่องยกทำงาน และน้ำหนักที่ออกมาก็คือ 1050 ปอนด์ หนักกว่าปลาของฉือสือโอวร้อยกว่าปอนด์เลยทีเดียว
แต่เฟล็ปส์กลับดูเศร้าอยู่เล็กน้อย ชาลส์เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็หันไปพูดกับฉินสือโอวอย่างอารมณ์ดี “สถิติปลาทูน่าในฤดูหาปลาที่แล้วคือโชแปงเจ้าของฟลาวเวอร์แคนนอนที่ครองน้ำหนัก 1075 ปอนด์ เฟล็ปส์แพ้ไปแค่ 25 ปอนด์เอง เขาต้องไม่ชอบใจแน่อยู่แล้ว”
พูดไปเขาก็ตบบ่าของฉินสือโอวแล้วพูดพลางยิ้มร้ายขึ้นมา “แต่ฉันชอบใจสุดๆ ไปเลย!”
เมื่อคืนวานฉินสือโอวได้ยินมาจากที่บาร์แล้ว ที่เรือหาปลาของเฟล็ปส์มีชื่อว่าเรือลักกี้ก็เพราะว่ามันเป็นตัวฉกาดในการหาปลา ในปีก่อนๆ คนที่จับทูน่าได้มากที่สุดก็เป็นเขานี่แหละ ดังนั้นเหล่าชาวประมงทั้งหลายจึงอิจฉาเขาไม่น้อย
พอได้เงิน ฉินสือโอวก็ออกมาทันที ตอนนี้ยังไม่ตกเย็น ชาลส์คงต้องเชิญให้ฉินสือโอวไปเป็นแขกที่บ้านแน่ๆ
ฉินสือโอวคิดๆ ดูแล้วพูดขึ้น “เราไปปิ้งบาร์บีคิวริมหาดฮาล์ฟมูนเบย์กันไหม?”
หาดของฮาล์ฟมูนเบย์สวยจริงๆ ถ้าตกกลางคืนแล้วไปฟังเสียงคลื่น รับลมทะเล และกินบาร์บีคิวที่นั่น รับรองว่าต้องสุขจนตัวลอยแน่
เซรีน่ายิ้มแล้วพูดออกมา “ไม่มีปัญหา ดูท่าเศรษฐีน้อยของเราจะหลงใหลฮาล์ฟมูนเบย์ซะแล้ว แน่นอน ครั้งแรกที่เห็นมันใครจะไม่หลงบ้างล่ะ?”
ชาลส์ทำท่าทำทางเหมือนจะอ้วกก่อนจะพูดออกมาอย่างเกินจริง “หลงใหลเหรอ ฉันล่ะจะอ้วก! แต่ถ้าฉินชอบ ฉันก็ชอบด้วย ฮ่ะๆ ”
ฉินสือโอวยิ้มออกมา เจ้านี่เป็นพวกพูดตรงๆ จึงได้รับความเอ็นดูจากคนอื่นอย่างง่ายดาย อีกอย่างต้องพูดว่าเงินต่างหากที่เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุด ถ้าวันนี้เขาไม่ได้ทำให้ชาลส์ได้เงินไปสองหมื่น ชาลส์ก็คงไม่ซึ้งอกซึ้งใจขนาดนี้
พอทางนี้บอกว่าจะไปปิ้งบาร์บีคิวที่ฮาล์ฟมูนเบย์ก็มีคนสมัครเข้าร่วมกลุ่มด้วย ฉินสือโอวไม่ได้คิดอะไร ปาร์ตี้ต้องคนเยอะสิถึงจะสนุก
แต่เซรีน่ากลับอธิบายให้เขาฟังเสียงเบาว่าพวกเขาไม่ได้ไปเพื่อกินบาร์บีคิวชมหาดทรายหรอก พวกเขาก็เห็นฮาล์ฟมูนเบย์จนเอียนเหมือนกับชาลส์นั่นแหละ แต่สาเหตุที่พวกเขาตามฉินสือโอวมาก็เพราะอยากจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับจุดตกปลาต่างหาก
ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ ว่างั้นก็ให้พวกเขามาเถอะ เขาจะให้เจ้าพวกนี้ได้เห็นว่าปากคนจีนปิดสนิทขนาดไหน
ฮาล์ฟมูนเบย์สวยงามมากกว่าเดิมในยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดส่องลงมายังหาดทราย คลื่นทะเลม้วนตัวซัดสาดส่งเสียงรื่นหู เงาพระจันทร์ดวงกลมสะท้อนไปบนระลอกคลื่นน้ำ แต่เพราะคลื่นทะเลเคลื่อนที่อยู่ตลอด ดังนั้นจึงเห็นพระจันทร์บนระลอกคลื่นได้เพียงครึ่งเสี้ยว
“นี่คือที่มาที่แท้จริงของชื่อฮาล์ฟมูนเบย์” วิสเติลพูดยิ้มๆ ชาลส์จ้างเขาแล้ว คืนนี้ให้เขาสองร้อยในการรับผิดชอบอุปกรณ์เครื่องเสียง
วิสเติลจากกลอสเตอร์คล้ายกับฮิวจ์คนน้องจากเมืองแฟร์เวล พวกเขาล้วนเป็นคนหนุ่มที่ชอบเที่ยวเล่น แถมยังโดดเด่นด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกีฬาหรือดีเจ แต่ละอย่างจึงล้วนทำได้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่ชอบหางานเป็นหลักเป็นแหล่งทำ
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น