อัจฉริยะสมองเพชร 2284-2289

ตอนที่ 2284 เทพธิดาหลิงหลงสติแตก (2)

 

“ศิษย์น้องที่ 4?”


เทพธิดาหลิงหลงถึงกับอึ้ง


เดี๋ยวนะ อะไรกัน?


ชายหนุ่มที่ชื่อเจิ้งหยางคนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทางน่านฟ้าตะวันแผดเผาเพราะวรยุทธอันทรงพลังและศิลปะเพลงหอกที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้อันน่าสะพรึง เขาเอาชนะได้แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่คร่ำหวอดการสู้รบ


แต่ตอนนี้คุณบอกว่าเจิ้งหยางคนนั้น…เป็นศิษย์น้องของคุณ?


“แปลว่าเขาเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่คุณพูดถึงเช่นกันใช่ไหม?” เทพธิดาหลิงหลงตั้งคำถามด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


“ใช่!” หวังหยิ่งพยักหน้า


ท่านอาจารย์ของเธอจัดลำดับอาวุโสไว้ให้ตอนที่รับพวกเธอเป็นศิษย์สายตรงของเขา ซึ่งเจิ้งหยางรั้งอันดับ 4


“….”


เทพธิดาหลิงหลงพูดไม่ออกอยู่นาน คิดไม่ถึงว่าจะได้ฟังอะไรที่น่าตกใจขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาอยู่ภายใต้การชี้แนะของอาจารย์คนเดียวกัน…


เธอเคยคิดว่าแค่นี้ก็อัศจรรย์พออยู่แล้วที่อาจารย์ของหวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียนได้ทั้งคู่เป็นศิษย์สายตรง ใครจะไปรู้ว่าเจิ้งหยางก็เป็นศิษย์สายตรงของเขาด้วย?


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ทั้งคู่ไม่เต็มใจยอมรับเธอเป็นอาจารย์ เพราะดูเหมือนท่านอาจารย์ของพวกเธอก็ไม่เบา


แต่แล้ว…อย่างไรล่ะ?


ถึงอย่างไร เธอก็เป็นถึงจอมราชันย์อยู่ดี!


แต่ในอีกด้านหนึ่ง อาจารย์ของทั้งสองเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าธรรมดา ต่อให้โชคดีขนาดได้ศิษย์ผู้ปราดเปรื่องถึง 3 คน ก็ไม่มีอะไรประชันขันแข่งกับเธอได้!


เทพธิดาหลิงหลงยังคงรู้สึกว่าตัวเธอถือไพ่เหนือกว่า


ไม่ว่าอย่างไร เธอจะต้องหว่านล้อมหวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียนให้เข้าใจให้ได้ว่าตอนนี้กำลังเป็นสถานการณ์คับขัน เพราะถ้าเธอไม่สามารถถ่ายทอดเทคนิควรยุทธขั้นสูงให้ ทั้งสองก็คงไม่อาจรับมือกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของน่านฟ้าอื่นๆได้


เทพธิดาหลิงหลงรีบตั้งสติก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ต่อให้เจิ้งหยางเป็นศิษย์น้องของคุณและเขาออมมือให้ แต่ก็ยังมีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆอีกมากมายที่พวกคุณต้องจับตามองให้ดี อย่างศิษย์สายตรงที่จอมราชันย์ฟู่เหมิงนำตัวไป, จ้าวหย่า ว่ากันว่าความแข็งแกร่งของเธอเทียบเท่ากับเจิ้งหยางเลยทีเดียว น่านฟ้าทองคำแข็งกล้าตั้งอยู่ทางตะวันตกของสรวงสวรรค์ ขณะที่น่านฟ้าหลิงหลงอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ด้วยความใกล้ชิดของดินแดนของพวกเรา จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการปะทะ หากคุณไม่ขัดเกลาทักษะของตัวเองภายใต้คำชี้แนะของฉัน ก็คงรับมือกับเธอได้ยาก…”


“นั่นคือศิษย์พี่ที่ 1 ของฉัน” หวังหยิ่งตอบเรียบๆ


“….”


เทพธิดาหลิงหลงกระพริบตาปริบๆเมื่อได้ยินคำตอบนั้น เธอตั้งคำถามต่อโดยไม่อาจเก็บกิริยาได้อีก “แล้วราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติลู่ชงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนล่ะ เขาคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณนะ ใช่ไหม? เขาเก่งกาจทรงพลังมากทีเดียว…”


“นั่นคือศิษย์น้องที่ 6 ของฉัน”


“….”


สีหน้าของเทพธิดาหลิงหลงเริ่มปั่นป่วนจนเกินบรรยาย “แล้วราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติหลิวหยาง ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจางจิ่วเซี่ยว และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขงซือเหยาของน่านฟ้ามังกรเมฆล่ะ? คุณคงไม่มีทางเกี่ยวข้องกับพวกเขาแน่”


“พวกนั้นคือศิษย์น้องที่ 3, ศิษย์น้องที่ 8 และศิษย์น้องที่ 9 ของฉัน”


หวังหยิ่งโล่งอกไม่น้อยที่ได้รู้ว่าบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเธอประสบความสำเร็จในสรวงสวรรค์


เทพธิดาหลิงหลงดูจะใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที “แล้วราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของน่านฟ้านรกโลกันต์ หยวนเทา ตั้นเฉี่ยวเทียน และไป๋เหรินชิงล่ะ?”


“พวกเขาคือศิษย์น้องที่ 5, ศิษย์น้องที่ 10 และศิษย์น้องที่ 11 ของฉัน”


พลั่ก!


เทพธิดาหลิงหลงทนไม่ไหว เธอกระอักเลือดออกมากองใหญ่


เธอจำได้แม่นว่าเหล่าจอมราชันย์ดีอกดีใจแค่ไหนที่ได้พบผู้สืบทอดของตัวเอง ทุกคนมั่นใจว่าพวกเขาจะได้ทรัพยากรสำหรับรับมือกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณได้มากกว่าน่านฟ้าอื่นๆ แต่ลงท้าย ก็กลับกลายเป็นว่าผู้สืบทอดทุกคนล้วนมีอาจารย์คนเดียวกัน


พวกเขาเป็นศิษย์สายเดียวกัน!


ยังพอมองได้ว่าเป็นความโชคดีหากอาจารย์คนหนึ่งมีโอกาสรับนักรบผู้ปราดเปรื่อง 2 หรือ 3 คนเป็นศิษย์สายตรง แต่มีศิษย์สายตรงผู้ปราดเปรื่องถึง 11 คนแบบนี้…อาศัยดวงดีอย่างเดียวคงไม่ได้!


“ท่านอาจารย์ของคุณเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าจริงๆหรือ?” เทพธิดาหลิงหลงถาม


“ใช่ ตอนที่พวกเราเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง ท่านอาจารย์ยังเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้า…”


นักรบระดับเทพเจ้าโดยทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มากพอ ไม่มีโอกาสใช้กระจกเงาแห่งมิติและเวลาด้วย ดังนั้น เขาคงยังไม่ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างหรอก แต่คนแบบนั้นกลับมีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมากมายเป็นศิษย์สายตรง…


เทพธิดาหลิงหลงแทบรับไม่ได้กับความจริงข้อนี้ หมอนั่นจะน่าสะพรึงไปหน่อยไหม?


ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ในเมื่อท่านอาจารย์ของพวกเขายังไม่ได้เตะตาจอมราชันย์คนไหน ถ้าเธอพบตัวเขาก่อนและหว่านล้อมให้เขายอมจำนนให้เธอได้ ก็น่าจะหมายความว่าเธอสามารถควบคุมราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั้งหมดได้เช่นกัน จริงไหม?


เมื่อคิดได้ เทพธิดาหลิงหลงตาโตขณะถามต่อ “ท่านอาจารย์ของคุณยังอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนหรือเปล่า? มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกคุณไหม?”


หวังหยิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ท่านอาจารย์ของเราเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบอยู่เสมอ ขอแค่พวกเราไปได้ดีและเจริญก้าวหน้า เขาก็พอใจแล้ว ฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้บอกเรื่องความสัมพันธ์นี้กับใคร ส่วนเขาจะยังอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนหรือไม่นั้น พวกเราไม่ได้ติดต่อเขามากว่า 1 เดือนแล้ว จึงระบุแน่ชัดไม่ได้…”


หากจะมีใครรู้จักจางเซวียนดีที่สุด ก็ต้องเป็นบรรดาศิษย์สายตรงของเขา


มีน้ำใจ ถ่อมตัว ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบ-ท่านอาจารย์ของพวกเขาคือบุคคลผู้คู่ควรกับคำเหล่านี้


แม้จะเดินทางมาด้วยกันแล้วถึงสามโลก พวกเขาก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครเหนือชั้นไปกว่าท่านอาจารย์ได้เลย


ถ้าพวกเขาไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ท่านอาจารย์ก็คงไม่ปรากฏตัวต่อหน้าจอมราชันย์คนไหนทั้งนั้น


ในเวลานี้ บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเธอต่างก็ไปได้ดี ทั้งยังได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแล้ว ตามความเข้าใจของเธอที่มีต่อท่านอาจารย์ เขาคงพยายามรักษาระยะห่างเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา


“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี…” เทพธิดาหลิงหลงถอนหายใจอย่างโล่งอก


การที่ตัวตนของผู้นั้นยังไม่ถูกเปิดเผย ย่อมหมายความว่าจอมราชันย์คนอื่นๆยังไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวเขาก่อนหน้าเธอ เทพธิดาหลิงหลงถามต่อขณะพยายามระงับความตื่นเต้น “ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ของพวกคุณชื่ออะไร? และหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร?”


ขั้นแรก เธอจะต้องใช้ชื่อและรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายหาตัวเขาให้พบก่อน แล้วค่อยหาทางสานสัมพันธ์อีกที


“ท่านอาจารย์ของเราเป็นคนนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว เขาคงไม่พอใจแน่หากรู้ว่าพวกเราเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขากับบุคคลอื่น ฝ่าบาท, ฉันขอร้องให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ด้วย” หวังหยิ่งโค้งคำนับอย่างงาม


ในฐานะศิษย์สายตรง เธอให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของท่านอาจารย์เป็นอันดับแรก


“ฉันเข้าใจว่าคุณเป็นห่วง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ความสัมพันธ์ของพวกคุณกับจ้าวหย่า เจิ้งหยาง หยวนเทา และคนอื่นๆแพร่งพรายออกไปจนผู้คนรู้กันทั่ว ก็แน่นอนว่าจะต้องมีคนพยายามสืบเสาะเรื่องนี้ให้ละเอียดกว่าเดิม ต่อให้ท่านอาจารย์ของคุณจะเก็บเนื้อเก็บตัวแค่ไหน ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องมีใครสักคนเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกคุณจนได้ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น เขาอาจต้องเจอปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะจากจอมราชันย์คนอื่นๆ คุณควรจะเข้าใจนะว่าฉันไม่ได้พยายามทำให้คุณหรือท่านอาจารย์ของคุณต้องลำบากกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากช่วยคุณปกป้องท่านอาจารย์ของคุณด้วยซ้ำ เพื่อที่คุณจะได้สบายใจ” เทพธิดาหลิงหลงอธิบาย


หวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียนมองหน้ากันอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร


สิ่งที่เทพธิดาหลิงหลงพูดมาก็มีส่วนจริง


ด้วยชื่อเสียงของพวกเธอที่ขจรขจายไปทั่วสรวงสวรรค์แล้ว จะต้องมีพวกอยากรู้อยากเห็นพยายามขุดคุ้ยภูมิหลังของพวกเธอแน่ แต่ท่านอาจารย์ไม่มีโอกาสได้รับคำชี้แนะของจอมราชันย์ ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากของล้ำค่าที่แสนทรงพลังอย่างกระจกเงาแห่งมิติและเวลา ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธก็ไม่มี หากใครคิดร้ายต่อเขา เขาคงปกป้องตัวเองได้ยาก!


ด้วยเหตุนี้ จึงน่าจะดีหากเทพธิดาหลิงหลงอยากปกป้องท่านอาจารย์ของพวกเธอด้วยความจริงใจ สิ่งนี้จะทำให้พวกเธอสบายใจขึ้นมาก


“วางใจเถอะ ฉันเป็นผู้หญิงที่รักษาคำพูด ฉันอยากรู้ตัวตนของเขาก็เพื่อจะได้ปกป้องเขาเท่านั้น ไม่คิดจะสร้างปัญหาใดๆ ในฐานะจอมราชันย์ ฉันไม่ลดตัวลงไปถึงขนาดจะโกหกพวกคุณหรอก” เทพธิดาหลิงหลงยืนยัน


“ฝ่าบาท พวกเราไว้ใจคุณ”


ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้มีอำนาจและทรงพลังระดับจอมราชันย์จะปั่นหัวพวกเธอ


เมื่อแน่ใจแล้วว่าเทพธิดาหลิงหลงมีเจตนาดี หวังหยิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสริม “ถ้าคุณพบตัวท่านอาจารย์ล่ะก็ หวังว่าคุณจะพาพวกเราไปหาเขาด้วย พวกเราจะได้ไปคารวะ…”


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา” เทพธิดาหลิงหลงตอบ


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แต่ฝ่าบาทคงไม่เคยได้ยินชื่อท่านอาจารย์ของเราหรอก เขาคือนักรบผู้ถ่อมตัวที่ใช้ชื่อว่า ‘จางเซวียน!’


พลั่ก!


เทพธิดาหลิงหลงลื่นไถล เธอทรุดลงไปกองกับพื้น


เทพธิดาหลิงหลงประหลาดใจสุดขีดที่พบว่า ‘จางเซวียน’ ที่พวกเธอกำลังพูดถึงเป็นคนเดียวกันกับ ‘จางเซวียน’ ที่เธอรู้จัก


ตลอดการพูดคุย หวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียนย้ำแล้วย้ำอีกว่าท่านอาจารย์ของพวกเธอเป็นคนนอบน้อมและเก็บเนื้อเก็บตัวขนาดไหน ซึ่งเธอก็เชื่อสนิท แถมเขายังเป็นผู้บ่มเพาะอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมากมายโดยไม่ได้พยายามเปิดเผยตัวให้ใครๆรู้จัก


แต่แล้ว ท่านอาจารย์ของทั้งสองกลับเป็น…จางเซวียน!


คุณบอกว่าเขาเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว?


เก็บเนื้อเก็บตัวกับผีอะไร!


คุณบอกว่าเขาเป็นนักรบระดับเทพเจ้าทั่วไป


‘ทั่วไป’ เขาเป็นแบบนี้กันหรือ?


แทบไม่มีนักรบคนไหนไม่รู้จักชื่อจางเซวียนหลังจากที่เขาเปิดตัวยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน และไม่เพียงเท่านั้น เมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน หมอนั่นยังมาที่น่านฟ้าหลิงหลงและสังหารราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งของเธอไป, กลืนกินเจตจำนงของเธอ, นำเครื่องเก็บงำมิติไปกับเขาด้วย…

 

 

 


ตอนที่ 2285 ใครได้ที่ 1?

 

และราวกับแค่นั้นยังน่าสะพรึงไม่พอ จางเซวียนยังมีผู้นั้นเป็นอสูรของเขา แถมคนรักก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์!


พวกคุณเรียกสิ่งนี้ว่าธรรมดาและเก็บเนื้อเก็บตัวหรือ?


เขาไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำจำกัดความเหล่านั้นสักนิด! ไม่มีนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนไหนจะเหนือชั้นและอวดเนื้ออวดตัวยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว!


ที่สำคัญกว่านั้น…


เหตุผลที่ฉันถามพวกคุณเรื่องชื่อของเขาก็เพื่อจะได้ตามหาตัวและดึงเขามาเป็นสมัครพรรคพวก แต่หลังจากเหตุการณ์ไม่น่าประทับใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ฉันจะทำแบบนั้นได้อย่างไร?


เทพธิดาหลิงหลงตั้งต้นขบคิดไม่หยุดขณะพยายามหาทางออกว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้


ต่อให้เมื่อครู่นี้เราไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ด้วยอสูรและคนรักของเขา การชักนำอีกฝ่ายมาเป็นพรรคพวกก็คงไม่ง่ายอยู่ดี หรือว่า…เราควรมอบตำแหน่งทรงเกียรติให้เขาเพื่อการนี้และปิดข่าวให้เงียบไว้ เพราะหากจอมราชันย์คนอื่นๆรู้เรื่องนี้ คงไม่ดีแน่


…..


จางเซวียนออกจากเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงโดยไม่มีปัญหาใด เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก


โชคดีที่ไก่น้อยเข้ามาคุ้มกันได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น คงตกที่นั่งลำบาก


จางเซวียนไม่ค่อยกังวลว่าจะมีใครเล่นงานเขา โดยเฉพาะหลังจากสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อครู่ก่อน ดังนั้น ระหว่างที่เดินทางไปยังค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ เขาก็ชำเลืองมองสาวน้อยที่อยู่ด้านหลังและตั้งคำถาม “คุณมาถึงที่นี่ได้อย่างไร? แล้วเกิดอะไรขึ้นถึงได้รู้จักเทพธิดาหลิงหลง?”


“หลังจากที่ฉันออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์…”


หลัวฉีฉีตั้งต้นทบทวนเรื่องราวของเธอ


เธอแปรสภาพเป็นเครื่องเก็บงำมิติและฝ่าปราการแห่งมิติออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ด้วยความโชคร้ายที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ลงท้ายเธอก็ติดแหง็กอยู่ภายในคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติ แต่จากนั้น เทพธิดาหลิงหลงก็พบตัวเธอและช่วยชีวิตเธอไว้ แล้วอีกฝ่ายก็นำเธอกลับมายังสรวงสวรรค์


แต่เดิม เครื่องเก็บงำมิติคือของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่อยู่ในสรวงสวรรค์ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ในภายหลังมันร่วงหล่นลงสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้กลับมาที่นี่ วรยุทธของเธอก็พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพียง 1 เดือน เธอก็ยกระดับวรยุทธจนได้เป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด


ซึ่งเมื่อประกอบกับความสามารถของเธอในฐานะผู้เก็บงำมิติ ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติโดยทั่วไปก็รับมือกับเธอได้ยาก


ส่วนจางเซวียนก็คิดไม่ถึงว่าหลัวฉีฉีจะต้องพบเจอความยากลำบากมากมายขนาดนี้ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เล่าให้เธอฟังว่าตระกูลหลัวเป็นอย่างไรบ้างเมื่อตอนที่เขาได้กลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เมื่อไม่นานมานี้


“ฉันทำให้ตระกูลของฉันตกต่ำ…” หลัวฉีฉีพึมพำด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


กระแสกาลเวลาในสรวงสวรรค์ไหลเร็วกว่าในทวีปแห่งปรมาจารย์ถึงหมื่นเท่า, 1 เดือนของที่นี่เท่ากับ 10,000 เดือนของทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งก็หมายความว่าเวลาที่นั่นผ่านไป 800 ปีแล้ว


ป่านนี้ ญาติสนิทมิตรสหายส่วนใหญ่ของเธอคงแก่ตัวกันไปหมด


หลังจากมาถึงที่นี่ หลัวฉีฉีก็รู้ตัวว่าคงไม่อาจฝ่าปราการแห่งมิติได้อย่างง่ายดายเหมือนเดิมอีกแล้ว และบางที ชั่วชีวิตนี้ก็อาจไม่มีโอกาสได้พบสมาชิกในครอบครัวของเธออีก


จางเซวียนลูบหลังของเธอเบาๆเพื่อปลอบใจก่อนจะพูดต่อ “ตอนที่คุณอยู่กับเทพธิดาหลิงหลง ได้พบศิษย์สายตรง 2 คนของผมบ้างไหม? หวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียน?”


“ฉันไม่ได้พบหรอก แต่เท่าที่รู้มา ดูเหมือนพวกเธอจะได้ฝึกฝนวรยุทธภายในกระจกเงาแห่งมิติและเวลาของฝ่าบาท ตอนนี้วรยุทธของทั้งคู่คงไม่อ่อนด้อยกว่าฉันแล้วล่ะ” หลัวฉีฉีตอบ


เมื่อรู้ว่าเทพธิดาหลิงหลงดูแลศิษย์สายตรงของเขาอย่างดี จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


ขณะที่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปอีกเล็กน้อย ทั้งคู่ก็มาถึงค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่


“คุณมีตราสัญลักษณ์เพื่อเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


ตราสัญลักษณ์ของจางเซวียนอนุญาตการทะลุมิติให้เฉพาะตัวเขาและอสูรของเขาเท่านั้น จึงไม่อาจพาหลัวฉีฉีไปด้วยได้ แต่หากทั้งคู่พยายามบินไปยังเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ก็คงกินเวลาหลายปีกว่าจะถึงที่หมาย


หลัวฉีฉีหัวเราะเบาๆและพูดว่า “ฉันไม่ต้องใช้สิ่งนั้นหรอก…”


เดิมที ตราสัญลักษณ์มีไว้เพื่อปกป้องนักรบไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ในฐานะผู้เก็บงำมิติ เธอมีอำนาจควบคุมกฎเกณฑ์ต่างๆของมิติในโลกใบนี้ คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่เกิดขึ้นระหว่างการทะลุมิติจึงทำอันตรายเธอไม่ได้


อันที่จริง เกิดความเสียหายเล็กน้อยระหว่างเดินทาง แต่หลัวฉีฉีก็สามารถฉีกกระชากมิติและเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้โดยอิสระ


ทั้งคู่ตรงเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ เกิดลำแสงเจิดจ้า ร่างของพวกเขาหายวับไปทันที พริบตาต่อมาก็มาอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด


จางเซวียนรีบหันไปมองหลัวฉีฉี ซึ่งก็โชคดีที่เธอไม่ได้รับบาดเจ็บ


ทั้งคู่รีบเข้าสู่เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดและมุ่งหน้าสู่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ


…..


ขณะที่จางเซวียนเดินเข้าประตูคฤหาสน์ ฝงจิ่วเกอที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วและกำลังรอเขาอยู่ก็รีบเข้ามาหา “ท่านอาจารย์!”


“มีอะไร?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ไม่นานหลังจากที่คุณจากไป เราก็ได้รับประกาศที่แจ้งว่าการประลองจะถูกเลื่อนเข้ามาให้เร็วขึ้น ผมส่งข้อความไปที่ตราหยกสื่อสารของคุณหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้รับคำตอบ” ฝงจิ่วเกอรายงานอย่างกระวนกระวาย


แต่เดิม สามตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดกำหนดเวลาเริ่มประลองไว้ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า แต่จากข่าวที่เขาได้มา ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ทำให้มันเรืองแสงและส่องสว่างตลอดเวลา


เพราะมองว่านั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจึงตัดสินใจเร่งการประลองให้เริ่มและจบเร็วกว่าเดิม เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาแก้ไขสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น


พูดอีกอย่างก็คือ…


ในช่วงเวลาที่จางเซวียนไม่อยู่ การคัดเลือกผู้ที่จะได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณนั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว!


เมื่อรู้ว่าการประลองสิ้นสุด จางเซวียนได้แต่ขมวดคิ้ว เขาเองก็รีบมาตลอดทาง แต่สุดท้ายก็สายไป


แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตราหยกสื่อสารที่เขาใช้มีอาณาเขตจำกัด และมันจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อผู้ส่งกับผู้รับอยู่ในน่านฟ้าเดียวกันเท่านั้น ในเมื่อเขาไปไกลถึงน่านฟ้าหลิงหลง ก็ไม่มีทางที่จะได้รับข้อความของฝงจิ่วเกอ


เขาได้แต่หวังว่าศิษย์สายตรงของเขาจะคว้าที่ 1 เพราะหากเป็นอย่างนั้น เขาก็อาจปลอมตัวเป็นฝงจิ่วเกอและแอบเข้าไปที่นั่นได้


จางเซวียนรีบหันไปถามฝงจิ่วเกอ “แล้วคุณได้อันดับที่เท่าไหร่?”


“ผม…” ฝงจิ่วเกอหน้าแดงก่ำ เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับ “ผมทำให้คุณผิดหวัง! ผมได้เพียงอันดับ 2 เท่านั้น…”


ท่านอาจารย์อุตส่าห์ฝ่าฟันปัญหามากมายเพื่อคลี่คลายความลึกลับให้เขา ทำให้เขาเอาชนะค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ได้ แต่ลงท้าย เขาก็ยังถูกนักรบคนอื่นเอาชนะในรอบสุดท้ายจนได้แค่ที่ 2


“คุณได้ที่ 2?” จางเซวียนประหลาดใจ “แล้วใครได้ที่ 1?”


ฝงจิ่วเกอสู้กับบรรดาอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟและเอาชนะคนเหล่านั้นได้สบาย ดังนั้น หากคู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่จางเซวียน เขาก็น่าจะเอาชนะนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนไหนก็ได้


แล้วทำไมถึงลงเอยด้วยการได้ที่ 2?


อีกสองตระกูลที่เหลือมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกหรือ?


“ผมคือผู้รั้งอันดับ 1!”


ยังไม่ทันที่ฝงจิ่วเกอจะได้ตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง จากนั้น ชายหนุ่มหลายคนก็ก้าวยาวๆเข้ามาในลานบ้าน


ผู้ที่เดินนำหน้าดูจะมีอายุราว 30 ปี ดวงตาของเขาเปล่งประกายของอำนาจและความสง่างาม


“ท่านอาจารย์ เขาคือผู้รั้งอันดับ 1, เป็น ผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลนกฟีนิกซ์น้ำแข็ง, ฝงฮั่นชิว”


ฝงจิ่วเกออธิบายให้จางเซวียนฟังผ่านทางโทรจิต


“ฝงฮั่นชิว?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ราชันย์เทพเจ้า?”


เมื่อมองแวบแรก ชายหนุ่มดูจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่หากพิจารณาให้ดี ก็จะรู้ทันทีว่ามีพลังงานปริมาณมหาศาลไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา เหมือนภูเขาหิมะขนาดใหญ่ที่พร้อมจะเกิดหิมะถล่มอันน่าสะพรึงได้ตลอดเวลา


เห็นได้ชัดว่าเขาสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว


ว่าแต่…การประลองมีไว้สำหรับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมีราชันย์เทพเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง?


อีกอย่าง ราชันย์เทพเจ้าจะเข้าไปในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเพื่ออะไร?


“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จขณะที่กำลังสู้กับผม” ฝงจิ่วเกอพูด


ตอนแรก ตัวเขายังถือไพ่เหนือกว่าฝงฮั่นชิว แต่บางที อาจเป็นเพราะแรงกดดันบางอย่างที่ถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด ฝงฮั่นชิวจึงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเดี๋ยวนั้นและกลายเป็นราชันย์เทพเจ้า ส่งผลให้ทั้งคู่มีพละกำลังแตกต่างกันมาก และสุดท้าย ฝงจิ่วเกอก็แพ้


ในที่สุดจางเซวียนก็เข้าใจ


ถึงเขาจะถ่ายทอดทักษะการต่อสู้ให้ฝงจิ่วเกอ แต่อีกฝ่ายยังไม่อาจเข้าถึงหัวใจและแก่นสารของมัน จึงเป็นธรรมดาที่จะสู้กับนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าไม่ได้


“ผมรู้มาว่าคุณคือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักรบรุ่นเยาว์ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ คุณกล้าสู้กับผมไหม?” ฝงฮั่นชิวท้า


แม้เขาจะเอาชนะฝงจิ่วเกอได้ แต่ก็ยังไม่เคยต่อสู้กับอาจารย์ของอีกฝ่าย ดังนั้น อันดับหนึ่งที่เขาได้มาจากการประลองจึงยังไม่ ‘สง่างาม’ เสียทีเดียว


ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่เสร็จสิ้นการประลอง ฝงฮั่นชิวก็เดินทางมาที่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ เฝ้ารอให้ ‘ฝงเซวียน’ กลับมาและจะได้ท้าทายเขา


“ถ้าผมเอาชนะคุณได้ คุณจะมอบโอกาสการเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของคุณให้ผมหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


“ถ้าคุณเอาชนะผมได้ สิทธินั้นย่อมตกเป็นของคุณอยู่แล้ว” ฝงฮั่นชิวตอบ


ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมีของล้ำค่าที่จอมราชันย์อมตะทิ้งไว้ ด้วยการศึกษาบรรดาของล้ำค่าของจอมราชันย์อมตะ นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างจะมีโอกาสของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้าเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


แต่ฝงฮั่นชิวเป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว การที่เขาจะได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่


ในอดีต เมื่อครั้งที่แอ่งลาวาอมตะยังใช้การได้ ฝงฮั่นชิวก็ยังคงสนอกสนใจที่จะได้เข้าไปที่นั่นเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อ และบางทีอาจทำความเข้าใจแก่นสารอมตะได้สำเร็จด้วย แต่ในเมื่อแอ่งลาวาอมตะเหือดแห้งไปแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตารอคอยมันอีก

 

 

 


ตอนที่ 2286 ไม่ต้องมีพิธีรีตอง

 

อีกอย่าง ถ้าชายหนุ่มเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมเป็นเครื่องบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคือผู้ชนะตัวจริงของการประลองครั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆคงไม่มีข้อขัดข้องที่เขาจะมอบตำแหน่งให้ผู้ที่เก่งกว่า


“ค่อยยังชั่ว ถ้างั้นก็เริ่มเลย” จางเซวียนพยักหน้า


“ผมฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้จะทำให้คุณเสียเปรียบ ดังนั้น เพื่อความชอบธรรม ผมจะให้คุณออกตัวก่อน 3 กระบวนท่า” ฝงฮั่นชิวพูด


ราชันย์เทพเจ้ากับเทพเจ้าสวรรค์สร้างเป็นนักรบที่อยู่กันคนละชั้น ถือว่าไม่เหมาะสมหากราชันย์เทพเจ้าอย่างเขาท้าดวลกับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง เขาจึงควรมอบแต้มต่อให้อีกฝ่าย


แต่จางเซวียนกลับส่ายหน้าและปฏิเสธข้อเสนอ “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก”


อีกฝ่ายเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้หมาดๆ ในความเห็นของเขา แต้มต่อไม่ใช่เรื่องจำเป็น


จางเซวียนไม่อยากเสียเวลากับการเจรจาต่อรอง เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ไปปรากฏตัวตรงหน้าฝงฮั่นชิวในชั่วพริบตา ด้วยการโบกมือเบาๆ บรรยากาศทั่วทั้งลานบ้านก็ดูจะแข็งทื่อในทันที


“เขาไร้เทียมทานจริงๆ!”


ฝงฮั่นชิวกำลังคิดจะออมมือให้ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า เขาหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ ไม่กล้าคิดจะออมมืออีก


เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณอย่างดุเดือดขณะตอบโต้ด้วยการใช้หมัด


แต่จางเซวียนดูจะไม่สะทกสะท้านสักนิดกับการตอบโต้ของฝงฮั่นชิว เขาปล่อยพลังฝ่ามือออกไปอย่างสบายๆ แล้วสีหน้าของอีกฝ่ายก็พลันซีดเผือด


พริบตาต่อมา ร่างของเขาถูกสอยกระเด็นไปกระแทกเข้ากับผนังเต็มแรง


ชัยชนะถูกตัดสินแล้วภายในกระบวนท่าเดียว


ทั้งที่เป็นถึงราชันย์เทพเจ้า แต่ฝงฮั่นชิวก็ยังเทียบชั้นกับจางเซวียนไม่ได้


จางเซวียนเดินเข้าหาฝงฮั่นชิวและพูดว่า “มอบโควต้าของคุณให้ผม”


ปริมาณพลังปราณของเขาลดลงมากหลังจากใช้พลังปราณเทียบฟ้าปะทะกับกระแสพลังงานสีเทา แต่ในทางกลับกัน พลังปราณใหม่ที่บริสุทธิ์กว่าเดิมก็ทำให้เขามีพละกำลังสูงขึ้น ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดอย่างฟู่เจียงเฉินก็ไม่อาจรับมือกับตัวเขาในเวลานี้ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงฝงฮั่นชิว


“ขอบคุณที่ปรานีผม” ฝงฮั่นชิวลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่ยังไม่อยากเชื่อ


แม้เขาจะแทบยอมรับไม่ได้ แต่ก็ดูออกว่าอีกฝ่ายออมมือให้เขาในการสำแดงกระบวนท่าเมื่อครู่ก่อน เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ไม่ใช่แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยอย่างที่เป็นอยู่


ฝงฮั่นชิวกระดิกนิ้ว เขายื่นตราหยกอันหนึ่งให้จางเซวียน


มันคือตราหยกที่อนุญาตให้ผู้ครอบครองมันเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้


จางเซวียนรีบรับตราหยกมาอย่างโล่งใจ


ด้วยสิ่งนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณและตามหาหลัวลั่วชิงเสียที


“พี่ฝงเซวียน ไม่ทราบว่าคุณแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรทั้งที่เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง?” ฝงฮั่นชิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย


ตัวเขาเคยรั้งอันดับ 1 ของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด จึงเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของสรวงสวรรค์


แต่แม้เขาจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว ก็ยังสู้ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้


เขาไม่อาจหาเหตุผลได้จริงๆว่านักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร


“ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ขอแค่คุณสั่งสมได้มากพอ สุดท้ายก็จะเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


“สั่งสมได้มากพอ…” ฝงฮั่นชิวทวนคำอย่างงุนงงก่อนจะพยักหน้า “น้องฝงเซวียน คุณกำลังจะบอกว่าผมควรใช้เวลาและความพยายามในการขัดเกลาวรยุทธให้มากกว่านี้เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง แทนที่จะรีบร้อนฝ่าด่านวรยุทธใช่ไหม?”


ฝงฮั่นชิวเคยคิดว่าเขาใช้เวลามากพอแล้วในการสร้างรากฐานวรยุทธจนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง ซึ่งก็เพราะการหมั่นเพียรสะสมความแข็งแกร่งนี้เองที่ทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จในระหว่างการสู้รบ


แต่กลับกลายเป็นว่าเขายังคงอ่อนด้อยอยู่มากหากเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย


รากฐานวรยุทธของเขายังไม่แข็งแกร่งพออีกหรือ?


แต่เขาก็มั่นใจว่าพยายามจนสุดกำลังแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร!


ก็เหมือนกับการเรียงกล่องให้ซ้อนกันเป็นตั้งสูง ซึ่งเมื่อได้ความสูงระดับหนึ่งแล้ว ก็คงไม่อาจสูงกว่านั้นได้อีก


นักรบย่อมมีขีดจำกัดในการขัดเกลาวรยุทธของตัวเอง หากพยายามดันทุรังก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไป ผลที่ได้อาจเป็นไปในทางกลับกัน


“ใช่แล้ว ในบางครั้งน่ะ ถึงคุณจะรู้สึกว่าทุ่มสุดตัวแล้ว แต่ถ้าพยายามมากขึ้นอีกหน่อย ก็จะพบว่ายังพัฒนาได้อีก” จางเซวียนพูด


ก็เหมือนกับการที่เขาเคยคิดว่าพลังปราณเทียบฟ้าคือพลังปราณที่ไร้เทียมทานที่สุดในโลก แต่เมื่อได้มาฝึกฝนเวทนาสวรรค์ ก็รู้ทันทีว่ามันแตกต่างกับสิ่งที่เขาเคยมี ต่างกันเป็นอีกระดับขั้นเลยทีเดียว


“ผมได้ประโยชน์มากจากคำชี้แนะของคุณ!”


ได้ยินคำนั้น ฝงฮั่นชิวก้มศีรษะและกล่าวขอบคุณ เขาซักถามต่อด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกายของความอยากรู้ “น้องฝงเซวียน, คุณคงต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวกว่าจะขัดเกลาวรยุทธมาถึงขั้นนี้ ใช่ไหม?”


“ใช่!”


เมื่อหวนนึกถึงความลำบากลำบนต่างๆนานาที่เขาพบเจอในการฝึกฝนวรยุทธ จางเซวียนรู้สึกว่าเขาคงบ่นเรื่องนี้ได้ทั้งวัน!


“ตั้งแต่ผมสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงเมื่อ 5 วันก่อน ผมก็ฝึกฝนอย่างหนักทุกวันเพื่อขัดเกลาวรยุทธ ไม่ว่าจะมีธุระยุ่งแค่ไหน ก็จะต้องสละเวลาอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงให้กับวรยุทธ บางครั้ง ผมฝึกฝนวรยุทธติดต่อกัน 4 ชั่วโมงโดยไม่ได้พักเลย คุณคงนึกภาพออกนะว่าผมผ่านความยากลำบากแค่ไหนกว่าจะสำเร็จวรยุทธอย่างทุกวันนี้”


“5 วัน?” ฝงฮั่นชิวผงะ “คุณฝึกฝนวรยุทธ 4 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างมาก และเพิ่งทำแบบนั้นมา 5 วันหลังจากสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง?”


หลังจากฟังที่จางเซวียนพูด ฝงฮั่นชิวคิดว่าอีกฝ่ายคงฝึกฝนวรยุทธมาอย่างน้อยก็หลายสิบปีกว่าจะได้แบบนี้…แต่ 5 วันนี่นะ?


ไสหัวไป!


ลำบากลำบนกับผีอะไร! การปลีกวิเวกครั้งเดียวของผมยังยาวนานกว่านั้นอีก!


แถมยังมีบางวันที่คุณฝึกฝนวรยุทธแค่ชั่วโมงเดียวด้วย…


“ก็ใช่น่ะสิ ผ่านมาก็ตั้ง 5 วันแล้ว ผมควรจะฝ่าด่านวรยุทธได้เสียที แต่ก็ยังหาเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมไม่ได้” จางเซวียนพูด “เรื่องนี้ถือว่าแย่ทีเดียว อ้อ ใช่สิ! จิ่วเกอ ทำไมไม่ให้ผมช่วยคุณฝ่าด่านวรยุทธล่ะ?”


ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาต้องรีบเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณให้ได้ จางเซวียนก็คงจะอุทิศเวลาให้กับการค้นหาเวทนาสวรรค์ระดับใหม่ ซึ่งป่านนี้ก็คงฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว


เห็นกันชัดๆว่าเขายังล้าหลัง


แค่คิดว่าตอนนี้บรรดาศิษย์สายตรงของเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ทำให้จางเซวียนออกจะกระวนกระวาย เขาต้องเร่งสปีดแล้ว ไม่อย่างนั้น พบหน้ากันอีกครั้ง คงได้เจื่อนเต็มที


“แปลว่า…ตั้งแต่คุณฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงสุดได้สำเร็จ คุณก็ใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธเพียงไม่ถึง 20 ชั่วโมง ใช่ไหม?” ฝงฮั่นชิวอยากคลุ้มคลั่งเต็มที


“น้องฝงเซวียน ผมไม่ได้จะว่าอย่างนู้นอย่างนี้นะ แต่การได้เป็นราชันย์เทพเจ้าน่ะมีอะไรที่มากกว่าการขัดเกลาวรยุทธ คุณจะต้องเข้าถึงพละกำลังและอำนาจของธรรมชาติให้ได้ ซึ่งนั่นต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามไม่น้อย…”


ยังพูดไม่ทันจบ ฝงฮั่นชิวก็รู้สึกว่าฝงเซวียนไม่ได้ตั้งใจฟังเขาแล้ว คำพูดของเขาค่อยๆจางหายไป


ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ‘ฝงเซวียน’ ก็เดินไปหาฝงจิ่วเกอ ซึ่งฝ่ายหลังก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น


“ในเมื่อยังพอมีเวลา ก็ทำเสียให้เสร็จๆไป!”


จางเซวียนไม่พูดพร่ำทำเพลง เขานำยาเม็ดออกมาเม็ดหนึ่งและโยนใส่ปากของฝงจิ่วเกอ จากนั้นก็ทาบฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายและปล่อยกระแสพลังปราณเข้มข้นเข้าสู่ร่างนั้น


ฝงจิ่วเกอเลิกคิ้วขณะก้าวข้ามขีดจำกัดของวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว พลังงานปริมาณมหาศาลเข้าไปรวมตัวกันอยู่ที่จุดตันเถียนของเขา ก่อนจะระเบิดออกมาในรูปของรังสีทรงพลังที่พวยพุ่งขึ้นสู่หมู่เมฆ


“นี่คือพละกำลังของราชันย์เทพเจ้า…”


ฝงฮั่นชิวกับกลุ่มผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้างๆทึ้งผมด้วยความไม่อยากเชื่อ


“ฝงจิ่วเกอฝ่าด่านวรยุทธได้ง่ายๆแบบนี้หรือ?”


ฝงฮั่นชิวเพิ่งพูดถึงความยากเย็นของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้า แต่เพียงครู่เดียว ‘ฝงเซวียน’ ก็ช่วยศิษย์สายตรงของเขาให้ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ


มีวิธีตบหน้ากันที่เลวร้ายกว่านี้อีกไหม?


ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ที่เขาช่วยให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ก็เป็นที่รู้กันว่ามีวรยุทธถดถอยตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเพราะสภาวะพิเศษบางอย่าง ถึงขนาดที่เพิ่งถูกขับออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้


ในเมื่อฝงจิ่วเกอเพิ่งได้วรยุทธคืนมา เขาก็น่าจะยังอยู่ระหว่างขั้นตอนของการขัดเกลาวรยุทธ


แต่ด้วยยาเพียงเม็ดเดียว อีกฝ่ายก็สำเร็จวรยุทธในขั้นที่ตัวเขาต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะทำได้


ฝงฮั่นชิวอดรู้สึกไม่ได้ว่าโลกทั้งโลกกลับตาลปัตรไปหมด


ราชันย์เทพเจ้าเป็นกันได้ง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


แล้วถ้ามันง่ายขนาดนี้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมา…เขามัวทำอะไรอยู่?


แม้วรยุทธของฝงจิ่วเกอจะถดถอยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ระหว่างนั้น เขาได้บ่มเพาะจิตวิญญาณของตัวเองเป็นอย่างดี


จากสถานภาพสูงส่งแต่ดั้งเดิมในฐานะอัจฉริยะของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ เขาร่วงลงสู่จุดต่ำสุด ได้สัมผัสทั้งความอบอุ่นและความเย็นชาของโลกใบนี้ ประสบการณ์ที่ได้เป็นสิ่งล้ำค่าที่หล่อหลอมให้ตัวเขาเป็นอย่างที่เขาเป็น และนั่นทำให้จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่าที่เคย


ด้วยเหตุนี้ ยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้าจึงส่งผลดีกับเขามาก ทำให้ฝงจิ่วเกอฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ


ถ้าเป็นคนอื่น คงยากที่จะช่วยให้ฝ่าด่านวรยุทธได้ง่ายดายแบบนี้


ยิ่งไปกว่านั้น กายเนื้อของฝงจิ่วเกอยังได้รับการชำระล้างจากพลังปราณของจางเซวียนตอนที่อีกฝ่ายกำลังกำจัดกลุ่มพลังงานสีเทาด้วย ซึ่งนั่นมีส่วนมากในการสร้างรากฐานวรยุทธให้เขา


หลังจากฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จ ฝงจิ่วเกอใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธระยะหนึ่ง สุดท้าย เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์ ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ!”


“ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก” จางเซวียนตอบ “ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?”


ฝงจิ่วเกอลุกขึ้นยืนและสัมผัสพละกำลังที่ได้มาใหม่ครู่หนึ่ง “วรยุทธของพลังปราณของผมเข้าถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าแล้ว แต่ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณยังอ่อนด้อย ผมจะต้องบ่มเพาะมันอีกสักหน่อยเพื่อนำสมดุลกลับคืนสู่ภายในร่างกาย”


ถึงเขาจะพบเจออะไรมามากในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ก็ยังอายุน้อยเกินไป จิตวิญญาณจึงยังคงอ่อนด้อย

 

 

 


ตอนที่ 2287 ขอลองหน่อย…

 

ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกมากหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ แต่เพราะสภาพภายในร่างกายที่ยังคงไม่กลมกลืนสัมพันธ์กัน ฝงจิ่วเกอจึงยังอ่อนแอกว่าราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไป


“วรยุทธของจิตวิญญาณน่ะคือสิ่งที่ฝึกฝนได้ยากที่สุด” ฝงฮั่นชิวตั้งข้อสังเกต


หากนักรบคนหนึ่งอ่อนด้อยเรื่องพลังปราณ ก็ยังมีทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธอีกมากที่บ่มเพาะพลังจิตวิญญาณให้ผู้นั้นได้ แต่หากเป็นการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ ก็มีสิ่งที่ทำได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น


ยกตัวอย่าง แม้ฝงฮั่นชิวจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้แล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากการเข้าถึงอำนาจเต็มพิกัดของราชันย์เทพเจ้า เพราะวรยุทธของจิตวิญญาณของเขายังคงอ่อนแออยู่


“ก็จริง” จางเซวียนพูด “นี่คือปัญหาใหญ่…”


แม้เขาจะสร้างความอึกทึกครึกโครมไว้มากมายจากการเปิดตัวยาเม็ดเพิ่มความงามและยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธ แต่ก็เพิ่งยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปถึงเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงสุดเท่านั้น จากสิ่งนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของนักรบคนหนึ่งเป็นเรื่องยากมาก


หลังจากที่จางเซวียนพูดไปได้เพียงครึ่งทาง ก็พลันรู้สึกถึงกระแสจิตปรารถนาปริมาณมหาศาลที่พวยพุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ทำให้จิตวิญญาณที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว


จางเซวียนชะงัก


คราวนี้ กระแสจิตปรารถนาที่เขาได้รับมีมากกว่าคราวก่อนหลายร้อยเท่า หรืออาจจะเป็นพันเท่าเลยทีเดียว!


มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรตินึกถึงเรา? สิบกว่าคนเลยหรือนี่?


จางเซวียนแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น


กระแสจิตปรารถนาที่มีความบริสุทธิ์อย่างน่าทึ่งพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับมีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกว่าสิบคนตั้งต้นนึกถึงเขา


ฟิ้วววว!


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้พูดอะไร วรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็ก้าวข้ามด่านคอขวด ทำให้รังสีทรงพลังระเบิดออกจากจิตวิญญาณ


ด้วยสิ่งนี้ วรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนก็เข้าถึงขั้นราชันย์เทพเจ้า!


“….” ฝงฮั่นชิวแทบคลุ้มคลั่งอีกครั้ง


การฝึกฝนวรยุทธจะเหมือนเด็กเล่นขายของได้มากกว่านี้อีกไหม?


แม้จะน่าอัศจรรย์ใจที่ได้เห็นฝงจิ่วเกอฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้อย่างฉับพลัน แต่ก็ยังพอมีเหตุมีผลให้รับได้ เพราะตัวเขาก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จในระหว่างการต่อสู้เช่นกัน


แต่การที่ใครคนหนึ่งฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จด้วยความเร็วน่าทึ่งขนาดนี้…


จะบ้าหรือไง!


ถ้าคุณทำได้แบบนี้ตั้งแต่แรก ทำไมถึงเห็นด้วยกับผมตอนที่ผมพูดว่าการฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณเป็นเรื่องยาก?


พยายามจะทำให้ผมเสียสติให้ได้ใช่ไหม?


หยุดได้แล้ว!


ฝงฮั่นชิวเวียนหัวจากการต้องเผชิญกับความตกตะลึงอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างของเขาโงนเงนไปมา


แต่โชคร้ายที่เรื่องเลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง


เมื่อเขาเงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา


แม้อีกฝ่ายจะสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว แต่การเพิ่มขึ้นของวรยุทธก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


ราชันย์เทพเจ้า ขั้นต้น!


ราชันย์เทพเจ้า ขั้นกลาง!


…..


ด้วยความเร็วที่โดดเด่นเห็นชัด ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของอีกฝ่ายพุ่งขึ้นไปจนถึงราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด


ในตอนนั้นเองที่ทุกอย่างค่อยๆสงบลง


“….”


ภาพนี้ทำให้ฝงฮั่นชิวน้ำตาคลอ เขาอยากปล่อยโฮเต็มที


เมื่อกี้นี้เขายังรู้สึกดีกับตัวเองอยู่เลยที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จระหว่างการต่อสู้ คิดว่าในที่สุดช่วงเวลาของเขาก็มาถึงแล้ว และคงได้ฝากตำนานไว้กับโลกใบนี้


ก็เพราะความมั่นอกมั่นใจจากเหตุการณ์นั้นที่ทำให้เขากล้าเดินเข้าสู่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเพื่อท้าทายอัจฉริยะหมายเลข 1 ของที่นี่


แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เขาช้ำใจซ้ำแล้วซ้ำอีก!


การยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณยากกว่าการยกระดับวรยุทธของพลังปราณมาก แต่หมอนั่นก็ฝ่าด่านวรยุทธได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ขึ้นไปจนถึงระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดได้ในรวดเดียว


ทั้งหมดนี้ทำให้ฝงฮั่นชิวช้ำใจจนสุดจะบรรยาย


“น่าเสียดาย เราไม่มีเทคนิควรยุทธที่จะช่วยให้ฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณไปเป็นราชันย์เทพเจ้า” จางเซวียนพึมพำ


ถึงเขาจะไม่รู้ว่าทำไมราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจำนวนมากมายพากันนึกถึงเขา แต่ก็ยิ่งกว่าเต็มใจที่จะยอมรับกระแสจิตปรารถนาเหล่านั้นไว้


จางเซวียนออกจะกังวลใจ เพราะระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาดูจะไม่พัฒนาเลยตลอด 5 วันที่ผ่านมา แต่การฝ่าด่านวรยุทธครั้งนี้จะทำให้เขาไม่ต้องกังวลไปอีกพักใหญ่ มันจะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับวรยุทธของพลังปราณและทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าได้ในอนาคตอันใกล้


“ขอลองหน่อย…”


จางเซวียนรวบรวมพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเข้าด้วยกัน จากนั้นก็รู้สึกได้ทันทีว่ามิติที่อยู่รอบตัวสั่นสะท้านเป็นการตอบสนองพละกำลังของเขา


“นี่คือความแข็งแกร่งของราชันย์เทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนถึงกับอัศจรรย์ใจ


ตอนที่เขาต่อสู้กับเหล่าราชันย์เทพเจ้า ยังเคยคิดว่าพละกำลังของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้น่าทึ่งเท่าไหร่ แต่เมื่อฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วยตัวเอง ก็เห็นทันทีว่ามีช่องว่างมากมายระหว่างนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างกับราชันย์เทพเจ้า


ลำพังแค่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณก็เกินพอที่จะยับยั้งการไหลเวียนพลังปราณของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนไหนก็ได้


ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ตอนนี้ ต่อให้ไม่ต้องใช้หน้าหนังสือสีทองหรือไก่น้อย ก็สามารถต้านทานได้แม้แต่กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอย่างไป๋เย่ฉิงหง


ถึงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าจะได้ชัยชนะ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ


“ถ้าเราฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณได้เมื่อไหร่ คงเอาชนะนักรบที่เก่งกาจระดับไป๋เย่ฉิงหงได้…”


แม้จะยังคงมีช่องว่างห่างไกลระหว่างราชันย์เทพเจ้ากับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แต่ด้วยเวทนาสวรรค์-เทคนิควรยุทธที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์เสียอีก ประกอบกับความแข็งแกร่งเหนือระดับของจิตวิญญาณของเขา จางเซวียนก็มั่นใจว่าจะสู้กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้สบาย และอาจสังหารพวกนั้นได้ด้วยหากเขาสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเต็มขั้น!


ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะเข้าใกล้หลัวลั่วชิงได้อีกก้าวหนึ่ง


หลังจากสำรวจพละกำลังที่ได้มาใหม่ จางเซวียนระบายลมหายใจยาวก่อนจะลืมตาอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืน และขณะที่กำลังจะตรวจสอบว่ามีผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการฝ่าด่านวรยุทธของฝงจิ่วเกอหรือไม่ ก็รู้สึกได้ว่ามีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาในห้องและจ้องหน้าเขาอย่างตื่นเต้น


“คุณเป็นใคร?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ผมคือหัวหน้าตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ” ชายวัยกลางคนตอบ


“หัวหน้าตระกูล?” จางเซวียนชะงัก


เมื่อนึกทบทวน เขาเคยพบผู้อาวุโสที่ 1 กับผู้อาวุโสที่ 2 แล้ว แต่ยังไม่เคยพบหัวหน้าตระกูลสักครั้ง


“ศิษย์น้องฝงเซวียนคารวะหัวหน้าตระกูล!” จางเซวียนประสานมือและโค้งคำนับ


“เอ่อ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นหรอก ถึงคุณจะฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จแทนที่จะเป็นวรยุทธของพลังปราณ แต่ก็เป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าอยู่ดี นั่นทำให้เรามีสถานภาพเท่าเทียมกัน” หัวหน้าตระกูลพูดขณะรีบพยุงจางเซวียนให้ลุกขึ้น


สำหรับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟที่มีผู้เชี่ยวชาญมากมายซึ่งมีอายุขัยยาวนาน ถือเป็นเรื่องวุ่นวายและน่ารำคาญมากหากจะใช้ความสัมพันธ์เป็นเครื่องแยกแยะอาวุโส


ด้วยเหตุนี้ หากสมาชิกในตระกูล 2 คนที่ไม่ใช่ญาติสายตรงมีวรยุทธระดับเดียวกัน ก็ถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่น


เมื่อรู้กฎเกณฑ์นี้ จางเซวียนพยักหน้าและสลัดความเป็นทางการต่างๆทิ้งไป


เขากำลังจะถามเหตุผลที่อีกฝ่ายพรวดพราดเข้ามา แต่ชายวัยกลางคนตั้งต้นพึมพำกับตัวเองอย่างตื่นเต้น “เขายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว ด้วยความปราดเปรื่องของเขา เราคิดว่าเขาน่าจะผ่านการทดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติและก้าวไปสู่ความรุ่งโรจน์กว่านี้ได้…”


จู่ๆ หัวหน้าตระกูลก็เงยหน้าและตั้งคำถามด้วยแววตาเปี่ยมความคาดหวัง “ก่อนจะพูดเรื่องอื่น ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟของผมหรือไม่?”


จางเซวียนส่ายหน้า “ผมคุ้นชินกับชีวิตเรียบง่ายตามใจเสียแล้ว ต้องบอกว่าไม่สะดวกใจที่จะแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบหนักอึ้งแบบนั้น…”


เหตุผลเดียวที่เขาดั้นด้นมาถึงน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดและปลอมตัวเป็นฝงเซวียนก็เพื่อให้ได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ไม่มีทางหาภาระของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟมาใส่ตัวแน่!


นึกไม่ถึงว่า ‘ฝงเซวียน’ จะปฏิเสธข้อเสนอ หัวหน้าตระกูลไม่รู้จะพูดอย่างไร ขณะที่เขากำลังจะถามเหตุผล จางเซวียนก็ตั้งคำถามใหม่ “เมื่อครู่นี้คุณพูดถึงการทดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติ…มีบททดสอบที่ราชันย์เทพเจ้าจะต้องผ่านไปเพื่อให้ได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติด้วยหรือ?”


ที่ผ่านมา เขาคิดว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้รับเลือกจากจอมราชันย์โดยพิจารณาจากความดีความชอบของพวกเขา ซึ่งจากนั้นก็จะได้อำนาจเป็นเครื่องตอบแทนการทำคุณงามความดี จึงออกจะแปลกใจอยู่สักหน่อยที่ได้รู้ว่ามีบททดสอบด้วย


“ตำแหน่งทรงเกียรติคือการที่จอมราชันย์มอบอำนาจการปกครองดินแดนใดดินแดนหนึ่งให้นักรบสักคน ทำให้ผู้นั้นมีสิทธิ์เข้าถึงกระแสจิตปรารถนาของประชากรที่อยู่ในพื้นที่ แต่กระแสจิตปรารถนาคือพลังตามธรรมชาติที่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน ดังนั้น กระแสจิตปรารถนาในดินแดนหนึ่งๆจึงมักจะวุ่นวายปั่นป่วนมาก การจะควบคุมพละกำลังเหล่านั้นต้องใช้จิตวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งมากทีเดียว”


“ด้วยเหตุนี้ เงื่อนไขเบื้องต้นของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็คือวรยุทธของจิตวิญญาณของผู้นั้นจะต้องเข้าถึงระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับความเชื่อของคนทั่วไป แท้ที่จริงแล้ว ระดับวรยุทธของพลังปราณนั้นมีความสำคัญเป็นรอง ซึ่งคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จมากทีเดียวนะ เพราะฉะนั้น อยากลองดูสักหน่อยไหม?” หัวหน้าตระกูลตั้งคำถาม


แต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัว มีความเชื่อ อารมณ์ และความรู้สึกในรูปแบบของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ผสมผสานปนเปกันกลายเป็นกระแสจิตปรารถนา ซึ่งการนำกระแสจิตปรารถนามาใช้ก็หมายถึงการแบกรับความคิดและจิตใจของคนเหล่านั้นด้วย


หากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมีจิตวิญญาณที่ไม่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์พอ ก็อาจถูกอารมณ์และความรู้สึกในแง่ลบที่ได้จากกระแสจิตปรารถนาชักนำไปในทางที่ผิด อาจตกอยู่ในสภาวะของความสับสนได้

 

 

 


ตอนที่ 2288 ไม่ง่ายอย่างที่คิด

 

ด้วยเหตุนี้ ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณจึงสำคัญมากต่อการที่นักรบผู้หนึ่งจะได้รับตำแหน่งทรงเกียรติ


จริงอยู่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง แต่ไม่ช้าไม่นานก็คงได้เป็นราชันย์เทพเจ้าเต็มขั้นหากมีความปราดเปรื่องระดับนี้ ด้วยการฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณของเขา โอกาสที่ในอนาคตอีกฝ่ายจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็มีอย่างน้อย 50% แล้ว!


เหตุผลที่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองมาตลอดก็เพราะบรรพบุรุษเก่าแก่ คือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟ หากมีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติปรากฏตัวในหมู่พวกเขาอีกสักคน ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำแหน่งตระกูลหมายเลข 1 ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด หรือแม้แต่ทั้งสรวงสวรรค์…จะต้องตกเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน!


“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่เห็นความสำคัญของผม แต่เกรงว่าคงต้องปฏิเสธ” จางเซวียนตอบ


เห็นความไม่เต็มใจของอีกฝ่าย หัวหน้าตระกูลรู้ดีว่าคงหว่านล้อมได้ยาก จึงตัดสินใจพักเรื่องนี้ไว้ก่อน “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี ทำไมเราไม่ทำแบบนี้แทนล่ะ? มีประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินอยู่ด้านนอกตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ใช้ควบคุมค่ายกลที่อยู่ภายในตำหนักและทดสอบศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า ต่อให้คุณไม่สนใจ แต่ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหม?”


การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ไม่มีกลุ่มอำนาจไหนที่ไม่อยากเพิ่มจำนวนราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่พวกเขามีอยู่


สำหรับทั่วทั้งน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ถือว่าชายหนุ่มคนนี้เข้าใกล้การได้ตำแหน่งราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมากที่สุด!


ขอแค่เขาพิสูจน์ความปราดเปรื่องของอีกฝ่ายให้อีกสองตระกูลเห็น ก็คงสามารถชักนำให้สองตระกูลนั้นยอมมอบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ เพื่อช่วยให้ชายหนุ่มฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณได้สำเร็จ


ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามนั้น ไม่เพียงแต่พละกำลังของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดจะเพิ่มขึ้น ที่สำคัญกว่าก็คือ ความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟในอีกหนึ่งแสนปีข้างหน้านั้นเป็นอันรับประกันได้!


“ถึงอย่างไรคุณก็ต้องเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอยู่แล้ว เมื่อไปถึงที่นั่น ทำไมไม่ลองดูสักหน่อยล่ะ?” หัวหน้าตระกูลย้ำเจตนารมณ์เดิม


จางเซวียนพยักหน้า “ก็ได้…”


หัวหน้าตระกูลพูดถูก


ลองดูสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหาย โดยเฉพาะเมื่อเขาอยากเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอยู่แล้ว


…..


ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณลอยตัวอยู่เหนือเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด จางเซวียนบินตามหลังหัวหน้าตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ไม่ช้าก็ถึงที่หมาย


มีคนอีก 2 คนยืนรออยู่นอกตำหนัก


ทั้งคู่คือหัวหน้าอีก 2 ตระกูลใหญ่ที่เหลือ


“ฝงหยวนชี คุณบอกว่าระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้วหรือ?”


ทันทีที่ทั้งคู่ร่อนลงพื้น หัวหน้าตระกูลคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา นัยน์ตาของเขาเปล่งรังสีเย็นเยียบของความไม่พอใจ


เขาคือหัวหน้าตระกูลนกฟีนิกซ์น้ำแข็ง, ฝงฮั่นเฉว่


ควรจะเป็นฝงฮั่นชิวจากตระกูลของเขาที่ได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ลงท้ายก็ถูกคนของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟปาดหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็เพิ่งได้ราชันย์เทพเจ้ากับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่งเมื่อ 2-3 ชั่วโมงที่ผ่านมา…


ไม่มีทางที่เขาจะรู้สึกยินดีปรีดากับเรื่องนี้


“ใช่แล้ว” ฝงหยวนชี, หัวหน้าตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟพยักหน้า


ฝงฮั่นเฉว่หันมามองจางเซวียน พบว่าจิตวิญญาณของอีกฝ่ายล้ำลึกเกินหยั่งถึง แม้ตัวเขาจะเป็นราชันย์เทพเจ้า แต่ก็ไม่อาจมองทะลุระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของชายหนุ่มได้


เรื่องนี้ทำให้เขาอึดอัดมากขึ้นอีก แต่จะตีโพยตีพายก็คงไม่เหมาะ จึงโบกมืออย่างหงุดหงิดและพูดต่อ “เริ่มการทดสอบกันเถอะ ผมขอเตือนล่วงหน้านะ การทดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติมีอันตรายมาก ประมาทเลินเล่อเพียงนิดเดียวอาจส่งผลให้จิตวิญญาณของคุณถูกทำลายได้!”


ฝงหยวนชีพยักหน้าก่อนจะหันไปมองจางเซวียนและแอบส่งโทรจิตหาอีกฝ่าย “เป้าหมายของคุณคือทดสอบว่าคุณมีศักยภาพเพียงพอที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติหรือไม่ ซึ่งนั่นจะทำให้เราอยู่ในฐานะได้เปรียบที่จะเรียกร้องทรัพยากรเพิ่มจากอีก 2 ตระกูลที่เหลือ เพราะฉะนั้น ถ้าทำจนสุดกำลังแล้วก็ถอยออกมา อย่าฝืนตัวเอง เข้าใจไหม?”


จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะถามกลับ “การทดสอบเป็นอย่างไร?”


“คุณเห็นประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินที่อยู่ตรงนั้นไหม? ที่ด้านหลังประติมากรรมนั้น คุณจะพบแผนที่กลุ่มดาวของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เมื่อคุณถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ประติมากรรมนกฟีนิกซ์หิน กลุ่มดาวในแผนที่จะเรืองแสงขึ้นมา ซึ่งหากคุณทำให้ดาวดวงหนึ่งเรืองแสงได้ก็แปลว่าคุณมีความสามารถ ซึ่งหากทำให้กลุ่มดาวเรืองแสงได้ร้อยดวง ก็แปลว่าคุณมีโอกาสได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแล้ว” ฝงหยวนชีพูดขณะชี้นิ้วไป


จางเซวียนมองตาม ที่ด้านนอกตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ มีประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินตัวใหญ่อยู่ตรงนั้นจริงๆ ส่วนด้านหลังคือแผนที่กลุ่มดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าประติมากรรมนั้นเสียอีก ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนนั้น น่าจะมีอย่างน้อยหลายหมื่นดวง


เมื่อมองจากระยะไกล ก็เหมือนนกฟีนิกซ์ตัวใหญ่ที่ผงาดเงื้อมอยู่กลางท้องฟ้าไร้ขอบเขต


ต้องทำให้ดวงดาวจำนวน 100 ดวงบนแผนที่กลุ่มดาวเรืองแสงให้ได้เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับการเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ….ง่ายไปหน่อยไหม?


ฝงหยวนชีเดาออกว่าจางเซวียนคิดอะไร เขาอธิบายพร้อมกับหัวเราะเจื่อนๆ “อย่าสบประมาทการทดสอบนี้นะ ประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินได้รับการถ่ายทอดเจตจำนงของฝ่าบาทเข้าไป ดังนั้น คุณจะต้องเจอกับแรงกดดันมหาศาลเมื่อพยายามถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณของคุณเข้าไปในนั้น พูดอีกอย่างก็คือ คุณต้องเอาชนะเจตจำนงของฝ่าบาทให้ได้เพื่อทำให้ดวงดาวเรืองแสง บททดสอบนี้จึงยากมาก ตัวผมกับหัวหน้าตระกูลอีก 2 คนเคยพยายามแล้ว แต่ลงท้าย…พวกเราก็ทำให้ดวงดาวเรืองแสงไม่ได้แม้แต่ดวงเดียว!”


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


การจะเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่อย่างนั้น ทั่วทั้งน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดคงไม่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเพียง 3 คนอย่างทุกวันนี้


หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 หารือเรื่องนี้กันไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง


จางเซวียนเดินเข้าหาประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินและทาบฝ่ามือลงไป


ทันทีที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสกับนกตัวนั้น ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากภายในประติมากรรม จางเซวียนรีบถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณของเขาเข้าสู่ประติมากรรมโดยไม่ลังเล


จิตวิญญาณของจางเซวียนสั่นไหวเล็กน้อย ภายใต้แรงกดดันนั้น เขาเห็นนกฟีนิกซ์ตัวใหญ่ปรากฏตัวอย่างเลือนรางอยู่ตรงหน้า ถ้าจะเปรียบเทียบกับนกฟีนิกซ์ตัวนี้ พลังจิตวิญญาณที่เขามีไม่ต่างอะไรกับฝุ่นหยิบมือหนึ่งในทะเลทราย


เราต้องเอาชนะนกฟีนิกซ์ตัวนี้ให้ได้เพื่อให้ผ่านการทดสอบอย่างนั้นหรือ?


อะไรๆดูจะไม่ง่ายอย่างที่คิด


แรงกดดันจากนกฟีนิกซ์มีมากเกินไป แม้จางเซวียนจะฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว การเอาชนะมันก็ยังไม่ง่าย


แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลอง…


เขามาถึงที่นี่แล้ว ต่อให้ยากเย็นแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องสู้กันสักตั้ง


เหนือกว่าราชันย์เทพเจ้าคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ หากเขาอยากเป็นจอมราชันย์เหมือนปรมาจารย์ขง นี่ก็คือเส้นทางที่ต้องเดินไป ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะวิ่งหนี


จางเซวียนรีบรวบรวมพลังจิตวิญญาณของเขาก่อนจะปล่อยมันเข้าใส่นกฟีนิกซ์ที่อยู่ตรงหน้า


เอ๊ะ? แบบนี้ไม่ใช่แล้ว…


เขารู้สึกทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ


ด้วยแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ จางเซวียนคิดว่าการผลักดันพลังจิตวิญญาณของเขาเข้าไปคงจะทำได้ยากกว่าเดิม แต่ยิ่งเข้าใกล้ประติมากรรมนกฟีนิกซ์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็กลับรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดและคุ้นเคยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


แทนที่จะถูกต่อต้าน เขากลับถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณผ่านนกฟีนิกซ์ไปยังแผนที่กลุ่มดาวได้อย่างง่ายดาย


จางเซวียนไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยินดีปรีดาที่ตอนนี้ผ่านนกฟีนิกซ์ไปได้ เขาปล่อยพลังจิตวิญญาณเข้าใส่ดาวดวงหนึ่ง


วิ้งงงง!


ราวกับมีใครเปิดสวิตช์ ดวงดาวทั้งหมดเรืองแสงเจิดจ้าขึ้นพร้อมกัน


จางเซวียนถึงกับผงะ…ดาวเรืองแสงหมดทุกดวง แบบนี้จะง่ายไปหน่อยไหม?


การทำให้ดาวดวงหนึ่งบนแผนที่กลุ่มดาวเรืองแสงขึ้นมาก็น่าจะยากเอาการไม่ใช่หรือ? ทำไมทุกดวงถึงลุกพรึ่บพร้อมกันทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย?


ขณะที่จางเซวียนกำลังขบคิดถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 คนที่อยู่ด้านหลังก็ขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำอีก เกรงว่าจะตาฝาด


การทำให้ดวงดาวร้อยดวงเรืองแสงได้หมายความว่าผู้นั้นเก่งกาจพอจะได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากจอมราชันย์ แต่หากดวงดาวทั้งหมดเรืองแสงพร้อมกัน นั่นจะหมายความว่า…ต่อให้ตำแหน่งทรงเกียรติก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับผู้นั้นหรือเปล่า?


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”


หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 แทบรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น


เพราะชายหนุ่มไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ดวงดาวทั้งหมดเรืองแสงได้ แต่ยังทำอย่างรวดเร็วด้วย!


เขาเพิ่งสัมผัสประติมากรรมนกฟีนิกซ์ได้เพียงสิบอึดใจเท่านั้น แล้วดาวทุกดวงก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมา ราวกับกำลังประชันขันแข่งกัน


แม้แต่บรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกเขาซึ่งเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเต็มขั้นก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้!


“หรือว่าแผนที่กลุ่มดาวทำงานผิดพลาด?” ฝงฮั่นเฉว่ตั้งข้อสงสัย


“เจตจำนงของฝ่าบาทอยู่ในนั้น จะทำงานผิดพลาดได้อย่างไร?” ฝงหยวนชีปัดความคิดนั้นตกไปทันที


นี่คือแผนที่กลุ่มดาวของดวงดาวทั้งหมดบนน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เจตจำนงของจอมราชันย์อมตะก็ถูกถ่ายทอดไว้ในนั้น การจะคิดว่ามันทำงานผิดพลาดคงเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี!


มีความเป็นไปได้ข้อเดียว ซึ่งแม้จะทำใจให้เชื่อได้ยากเหลือเกิน แต่ความจริงข้อนั้นก็คือชายหนุ่มผ่านการทดสอบได้ด้วยความสามารถที่แท้จริงของเขา


ระหว่างนั้น จางเซวียนประเมินประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน


เมื่อแรงกดดันจากนกฟีนิกซ์สลายตัวไป เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ารังสีที่มันแผ่ออกมาช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ราวกับเขาเคยสัมผัสมันมาแล้วหลายครั้ง


นี่มัน…รังสีของไก่น้อย? จางเซวียนคิดขณะกำหมัดแน่น


หรือว่าสมมติฐานก่อนหน้านี้ของเขาจะถูกต้อง เจ้านั่นคือจอมราชันย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดจริงๆ?

 

 

 


ตอนที่ 2289 คารวะบรรพบุรุษเก่าแก่

 

เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบส่งโทรจิตหาไก่น้อย “นี่ ออกมาดูหน่อยเถอะ แกจำนกฟีนิกซ์ตัวนี้ได้หรือเปล่า…”


ฟึ่บ!


ไก่น้อยปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียน


เมื่อเห็นประติมากรรมนกฟีนิกซ์ มันเอียงคอขณะที่น้ำลายเริ่มไหลย้อยจากมุมปาก ไก่น้อยจ้องนกฟีนิกซ์เขม็ง จากนั้นก็พึมพำ “หิว…”


มันกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ด้วยการงับเพียงครั้งเดียว ไก่น้อยกลืนประติมากรรมนกฟีนิกซ์เข้าไปทั้งตัว


“แก…ทำอะไรน่ะ!” ฝงหยวนชีกับคนอื่นๆถึงกับผงะ


ประติมากรรมนี้มีเจตจำนงของจอมราชันย์ของพวกเขา แต่เจ้าไก่นี่งาบลงไปทั้งตัว


จางเซวียนแสนจะพรั่นพรึง


ฉันเรียกแกให้ออกมาดูว่าพอจะจำอะไรได้บ้างไหม แต่แกก็กลับกลืนมันลงไปทั้งตัว…


แล้วฉันจะอธิบายกับพวกหัวหน้าตระกูลพวกนั้นอย่างไร?


พวกเขาคงหั่นฉันเป็นชิ้นๆแน่!


จางเซวียนค่อยๆหันกลับไปมองด้านหลังอย่างหวาดหวั่น และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ สายตาแผดเผาเชือดเฉือน 3 คู่กำลังจับจ้องมาที่เขา


ประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินคือของสำคัญยิ่งใหญ่ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าประจำชาติเลยทีเดียว การได้เห็นใครคนหนึ่งกลืนมันลงไปต่อหน้าต่อตาก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าพวกเขา


คงไม่มีใครยอมทนกับเรื่องแบบนี้ได้!


“ฝงเซวียน ส่งเจ้าไก่นั่นมาเดี๋ยวนี้!”


“คุณรนหาที่ตายแล้ว…”


หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 ตวาดก้องขณะระเบิดรังสีทรงพลังออกจากร่าง ทุกคนกำลังจะเปิดการโจมตี


แต่ยังไม่ทันจะได้เคลื่อนไหว พื้นดินก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง


ประติมากรรมนกฟีนิกซ์ไฟคือศูนย์กลางของตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ การหายไปของมันจึงส่งผลกระทบอย่างหนัก พลังจิตวิญญาณภายในตำหนักแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ สิ่งปลูกสร้างที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มทรุดตัว


หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 คนใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตั้งตัวได้


ครืนนนน!


ราวกับเกิดแผ่นดินไหวในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ พื้นที่กว่าครึ่งของมันพังทลาย และด้วยการรั่วไหลของพลังจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ดูเหมือนทั้งตำหนักพร้อมจะร่วงลงจากท้องฟ้าได้ทุกเมื่อ


“ฮะ…” จางเซวียนแทบปล่อยโฮขณะเฝ้ามองความพินาศวอดวายที่เกิดขึ้นตรงหน้า


เขารู้จากศิษย์สายตรงบางคนเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งเรียกเขาว่าเทพเจ้าแห่งความวอดวาย


ในครั้งนั้น เขายังออกจะสับสนว่าทำไมคนอื่นๆถึงตั้งสมญานี้ให้เขา เพราะเขาไม่เคยจงใจทำลายอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นความโชคร้ายและความบังเอิญ


จางเซวียนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาลงเอยด้วยการทำลายบ้านช่องของคนรักของตัวเอง


เหมือนกับลูกเขยที่ไปเยี่ยมบ้านพ่อตาเป็นครั้งแรก แต่ยังไม่ทันที่พ่อตาจะเปิดประตู เจ้าลูกเขยตัวดีก็ขว้างระเบิดใส่จนบ้านพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


สวรรค์โปรด…ทำไมถึงกลั่นแกล้งผมแบบนี้?


จางเซวียนอยากจะร่ำร้องออกมาดังๆว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ในเมื่อไก่น้อยเป็นอสูรของเขาและเขาก็เป็นคนเรียกมันออกมาเอง


คงไม่มีทางจะพูดอะไรแบบนั้นออกไปได้!


“ช้าก่อน ผมรู้ว่าพวกคุณทุกคนกำลังร้อนใจ แต่ในฐานะผู้มีอารยธรรม พูดกันดีๆและไม่ใช้ความรุนแรงจะดีกว่า คุณก็เห็นแล้วนี่ ผมไม่ได้คิดเลยว่าเจ้าไก่ตัวนั้นจะทำแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลดีๆสิน่ะ ฟังผมอธิบายก่อนดีไหม?” จางเซวียนพูดขณะสร้างปราการปิดกั้นตัวเขาไว้ เผื่อหัวหน้าตระกูลทั้ง 3 นึกอยากจะเล่นงานเขาอีก


เขาไม่ได้สร้างปราการเพื่อป้องกันการถูกโจมตี แต่เพื่อปกป้องคนเหล่านั้นไม่ให้ถูกไก่น้อยทำร้ายต่างหาก


ถึงไก่น้อยจะดูน่ารักน่าชัง แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นสัตว์อันตรายที่พร้อมจะงาบทุกคนได้โดยไม่ลังเล


ถ้าไก่น้อยกินหัวหน้าทั้ง 3 ตระกูลเข้าไปด้วย เขาคงตกที่นั่งลำบากแน่


“ฮึ่มมม! ให้พวกเราจัดการคุณก่อน แล้วคุณค่อยอธิบายเหตุผลก็ได้”


ทั้งสามตวาดก้องขณะรวบรวมพละกำลังเพื่อฉีกกระชากปราการของจางเซวียน


ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ


“เกิดอะไรขึ้น?”


3 ร่างปรากฏตรงหน้า ทุกคนมีนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ


“คารวะบรรพบุรุษเก่าแก่…”


หัวหน้าตระกูลทั้ง 3 รีบโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อร่างทั้งสาม


พวกเขาคือสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด…ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟ, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกน้ำแข็ง และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกพายุ!


สามบรรพบุรุษเก่าแก่รู้สึกได้ถึงความไม่เสถียรที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ จึงพากันปรากฏตัว


“พยุงตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณให้มั่นคงก่อนเถอะ แล้วค่อยจัดการเรื่องนี้…”


ส่วนหนึ่งของตำหนักพังทลายไปแล้ว และค่ายกลที่เสริมกำลังอยู่ก็กำลังสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว


สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติรีบรวบรวมพลังงานของพวกเขาเข้าด้วยกันอย่างไม่ลังเล พลังงานนั้นก่อตัวเป็นลูกทรงกลมขนาดใหญ่ที่โอบล้อมตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไว้ การพังทลายค่อยๆสงบลง และพลังจิตวิญญาณที่กำลังรั่วไหลก็ถูกกักเก็บไว้ภายในลูกทรงกลมนั้น


บริเวณที่พังเสียหายยังไม่ได้รับการซ่อมแซม แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ป้องกันสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นไว้ได้


เมื่อเสร็จเรียบร้อย ทั้ง 3 หันกลับมามองบรรดาหัวหน้าตระกูล ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟสั่งการ “อธิบายมา”


“บรรพบุรุษเก่าแก่ ฝงเซวียนคนนี้น่ะคืออัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลของเรา…” ฝงหยวนชีรีบอธิบายที่มาที่ไป


เขาพูดถึงการที่จางเซวียนยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดได้อย่างรวดเร็วทั้งที่อายุยังน้อย การที่จางเซวียนทำให้ดวงดาวทั้งหมดในแผนที่กลุ่มดาวเรืองแสงได้ รวมถึงการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของไก่น้อยที่กลืนกินประติมากรรมของจอมราชันย์เข้าไปทั้งตัว


“คุณทำให้ดวงดาวทั้งหมดบนแผนที่กลุ่มดาวเรืองแสงได้?”


สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมองจางเซวียนอย่างไม่อยากเชื่อ


แม้แต่พวกเขาก็ยังทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย!


“ผมบังเอิญโชคดีน่ะ” จางเซวียนประสานมือ “ไก่น้อยเป็นอสูรของผม และมันไม่ได้ตั้งใจกลืนกินประติมากรรมของจอมราชันย์เข้าไปหรอก ผมขอให้คุณอภัยให้มันด้วย…”


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟคำรามขณะจับจ้องไก่น้อยด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ “ทำแบบนี้ถือเป็นการลบหลู่ศักดิ์ศรีของประติมากรรมของฝ่าบาท ทั้งยังไม่ให้ความเคารพต่อน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ต้องรับโทษถึงตายเท่านั้น!”


ราชันย์เทพเจ้าขนนกน้ำแข็งมองจางเซวียนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงคุณจะไม่ได้จงใจให้เกิดเหตุแบบนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไก่นั่นเป็นอสูรของคุณ คุณต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดของมัน…”


“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย จัดการเถอะ” ราชันย์เทพเจ้าขนนกพายุพูด


สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยกมือขึ้น โลกทั้งใบสั่นสะเทือนอย่างหนัก ราวกับวันสิ้นโลกกำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาพวกเขา


ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ด้านหลัง ทำให้โลกดูจะมืดมิดลงไปอีก


“พวกคุณทั้งสามจะฆ่าผมหรือ? กล้าดีอย่างไร!”


ร่างมหึมาของนกฟีนิกซ์สีดำปรากฏขึ้นด้านหลังไก่น้อยสีเหลืองตัวเล็กจ้อย มันกางปีกที่ใหญ่โตจนแทบจะมีขนาดพอๆกับตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ไม่มีผู้พบเห็นคนไหนที่จะไม่รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของมัน


“จอมราชันย์…”


3 ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกลืนน้ำลายด้วยความอัศจรรย์ใจ พวกเขารีบทรุดตัวลงคุกเข่า


นกฟีนิกซ์สีดำโบยบินออกจากตัวไก่น้อยและผงาดเงื้อมอยู่เหนือศีรษะของทุกคน แม้ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ดูจะเล็กไปถนัดตา


“นั่นคือ…จอมราชันย์อมตะ?” จางเซวียนตัวสั่นขณะมองไก่น้อยด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก


เขาเคยคิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นไปได้ แต่ก็ตกตะลึงอยู่ดีเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า


ไม่แปลกใจแล้วที่เจ้าไก่น้อยพูดซ้ำซากมาตลอดว่าตัวมันคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน มันพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นน้ำเต้า ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเจ้านี่แค่คุยโม้ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันคือ 1 ใน 9 จอมราชันย์จริงๆ!


จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยเมื่อเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย แถมบรรยากาศของการเสื่อมถอยก็ทำอะไรมันไม่ได้ ลงท้าย เมืองนั้นก็คือเมืองของไก่น้อยนี่เอง!


เขามีจอมราชันย์เป็นอสูรของตัวเอง…


ไม่ใช่สิ แบบนี้ไม่ถูก…


ในตอนนั้น จางเซวียนพลันเกิดความคิดใหม่ที่ทำให้ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ


ไก่น้อยคือเจตจำนงใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากความตายของจอมราชันย์อมตะ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้มันยอมจำนนให้เราอย่างง่ายดาย ส่วนนกฟีนิกซ์สีดำที่อยู่กลางอากาศนั้นมาจากจอมราชันย์อมตะคนก่อน ซึ่งหากจอมราชันย์ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับไก่น้อย เราคงตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง…


จางเซวียนยังไม่เคยค้นหาความลับที่อยู่เบื้องหลังการฟื้นคืนชีพของจอมราชันย์อมตะ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือความทรงจำของไก่น้อยถูกปิดกั้นไว้ ทำให้มันไม่รู้อะไรเลย


จากมุมมองของนกฟีนิกซ์สีดำ คงดูเหมือนเขาหาประโยชน์จากจุดอ่อนของมันและบังคับอีกฝ่ายให้เป็นอสูรของตัวเอง ซึ่งหากนกฟีนิกซ์สีดำคิดแบบนี้…มันจะโกรธเกรี้ยวหรือเปล่า?


และราวกับความกังวลในเรื่องเลวร้ายที่สุดของจางเซวียนกำลังจะเป็นจริง นกฟีนิกซ์สีดำตัวใหญ่ที่อยู่กลางอากาศตวัดสายตาคมกริบมาที่เขา


ถึงมันจะไม่ได้พุ่งเข้าโจมตี แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ราวกับท้องฟ้าโถมน้ำหนักเข้าใส่ร่างของเขาจนหมด


ถึงจางเซวียนจะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณมาได้หมาดๆ แต่ก็จนปัญญาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันระดับนี้ ร่างของเขาถูกบีบอัดเข้าหากันอย่างช้าๆ มันสั่นเทาอย่างอ่อนแรงด้วยอำนาจของแรงกดดัน


ไม่นะ…


จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อต้านทานแรงกดดันนั้น ร่างงองุ้มของเขาค่อยๆตั้งตรงขึ้นทีละน้อย


“สมญาจอมราชันย์อมตะของผมไม่ได้หมายความว่าผมอยู่เหนือความตายอย่างแท้จริง จิตวิญญาณของผมยังคงเสื่อมสลาย ร่างกายอาจสูญสิ้นสภาพเดิมได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็สามารถฟื้นคืนจากเถ้าถ่านและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” นกฟีนิกซ์สีดำพูดด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความรู้สึก


“เพื่อปกป้องตัวผมในระหว่างกระบวนการฟื้นคืนชีพ ร่างกายของผมจึงปิดกั้นความทรงจำของมันไว้จนกว่าวรยุทธจะกลับสู่ระดับเดิม แต่คุณใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของผม เปลี่ยนผมให้กลายเป็นอสูรที่คุณสามารถบังคับได้…มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โอหังและโง่เง่าเสียจริงๆ…ในโลกนี้น่ะ ไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่คู่ควรกับการเป็นเจ้านายของจอมราชันย์อมตะ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)