กระบี่จงมา 227.1-229.1
บทที่ 227.1 ออกกระบี่แล้ว
โดย
ProjectZyphon
เทพอภิบาลเมืองที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองของแยนจือมีชื่อว่าเสิ่นเวิน ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นผู้ตรวจารแคว้นไฉ่อี มีชื่อเสียงด้านความมั่นคงซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอใครจนเลื่องลือไปทั้งราชสำนัก ทิ้งคำกล่าวว่า ‘มีชีวิตอยู่เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ตายไปเป็นผีผู้ซื่อตรง’ เอาไว้ ตลอดระยะเวลาสามร้อยปี ควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้จึงรุ่งโรจน์มาโดยตลอด
เพราะก่อนหน้านี้เคยมาที่ศาลเทพอภิบาลเมืองพร้อมกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงไปแล้วรอบหนึ่ง เฉินผิงอันจึงคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี
ศาลเทพอภิบาลเมืองแยนจือแบ่งออกเป็นสี่ตำหนัก รูปปั้นดินหลากสีของเทพสวรรค์ซึ่งเดิมทีเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีตั้งอยู่หน้าประตูหลักชั้นที่สองของศาล เพียงแต่ว่าตอนนี้สภาพของเทวรูปทั้งสองน่าอนาถจนแทบทนมองไม่ได้ เพราะมีทั้งงูเลื้อยยั้วเยี้ยและหนูวิ่งกันให้พล่าน
เฉินผิงอันเดินเลียบกำแพงที่ล้อมเป็นวงกลมไปได้หลายสิบก้าว ลานกว้างของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ยังไม่มีสิ่งชั่วร้ายปรากฏตัวขึ้น เขาจึงเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ซุกซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อออกมา
กระดาษยันต์สีเหลืองลอยห่างไปเบื้องหน้าเฉินผิงอันประมาณหนึ่งช่วงแขน มันส่ายไหวเล็กน้อย พอเฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว มันก็ค่อยๆ ลอยไปทางประตูหลักด้วยตัวเอง เฉินผิงอันมั่นใจขึ้นมาทันที
แม้ว่าศาลเทพอภิบาลเมืองจะเจอกับหายนะ สภาพของลานกว้างเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งปลูกสร้างด้านหลังศาลเทพอภิบาลเมืองต้องยังมีปราณวิญญาณหลงเหลืออยู่อีกแน่นอน ไม่อย่างนั้นยันต์ปราณหยางส่องไฟก็คงไม่มีทางเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ต้องถอยหนีไปทางกำแพงสูงที่อยู่ด้านหลังแทน
ยันต์ปราณหยางส่องไฟปล่อยแสงสีเหลืองสลัวอ่อนจาง รัศมีแสงสะอาดบริสุทธิ์ปกคลุมไปทั่วร่างของเฉินผิงอัน ทุกที่ที่เท้าทั้งสองข้างของเขาก้าวผ่าน พวกสัตว์พิษทั้งห้าอย่างแมงป่อง ตะขาบที่เดินยุบยับอยู่บนพื้นต่างก็พากันหลีกลี้หนีห่าง
ตอนที่เดินผ่านประตูหลัก คงเป็นเพราะถูกริ้วคลื่นเส้นแสงของยันต์ปราณหยางส่องไฟส่องไปโดน งู หนูและแมงป่องที่อยู่บนร่างของรูปปั้นขุนนางสวรรค์ทั้งสองจึงพากันอ้อมจากด้านหน้าหลบไปอยู่ด้านหลัง บ้างก็ผลุบเข้าไปซ่อนตัวในช่องท้องที่เป็นรูโหว่
เฉินผิงอันทำสมาธิเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ด้านหลังประตูหลักก็คือห้องโถงใหญ่ เหนือประตูแขวนกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ไม่ใช่เทพอภิบาลเมือง แต่เป็นรูปปั้นในท่านั่งของขุนพลฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้นไฉ่อีคนหนึ่ง ฝั่งซ้ายและขวาของเขาคือขุนนางผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นและบู๊ รวมไปถึงขุนนางใต้บังคับบัญชารวมทั้งสิ้นแปดคน กรอบป้ายที่อดีตฮ่องเต้ของแคว้นไฉ่อีเป็นผู้ทรงพระอักษรด้วยตัวเอง ตอนนี้สีทองหลุดลอกไปเกินครึ่ง มีงูดำตัวใหญ่เท่าปากชามตัวหนึ่งนอนขดอยู่ด้านบน ลำตัวของมันห้อยลงมาเบื้องล่าง ยื่นหัวมาแลบลิ้นขู่ใส่เฉินผิงอันเสียงดังฟ่อๆ คล้ายกำลังสำแดงบารมีและเอ่ยตักเตือน
เมื่อเฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป งูดำก็ฉกพรวดเข้ามา มันอ้าปากสีแดงฉานออกกว้าง เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เพียงแค่เบี่ยงเอว ใช้นิ้วทั้งห้ากำศีรษะของงูดำเอาไว้ ขยับข้อมือเบาๆ สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ก็ร่างอ่อนยวบเหมือนไร้กระดูก ตอนที่มันถูกขว้างลงไปกระแทกพื้นหนักๆ ก็สิ้นลมหายใจตายไปนานแล้ว
เฉินผิงอันเดินไปด้านหน้าตามหลังยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ขยับส่ายอยู่กลางอากาศอีกครั้ง เมื่อผ่านห้องโถงใหญ่มาก็เจอกับลานกว้างอีกแห่งหนึ่ง
เพียงแต่ว่าพื้นที่ค่อนข้างเล็ก มีต้นไม้โบราณเขียวขจีตั้งตระหง่าน มีแผ่นศิลาจารึกสลักพระราชโองการคำแต่งตั้งที่ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีมอบให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทพอภิบาลเมืองทั่วแคว้นตั้งวางอยู่แผ่นหนึ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันยังมายืนมองอยู่หน้าป้ายศิลานี้พักใหญ่ สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ตัวอักษรที่เขียนพรรณนาธรรมดาอย่างมาก ถึงขั้นสู้ตัวอักษรของเด็กหนุ่มชุยฉานไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วก็โชคดีที่ราชครูต้าหลีซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซานไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงโมโหไม่น้อย
ฝั่งซ้ายและขวาของลานกว้างมีตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักเทพไท่สุ้ยอยู่คนละฝั่ง ตำหนักหนึ่งเพื่อให้คนมาจุดธูปขอความเจริญร่ำรวย ก้าวหน้ารุ่งเรือง อีกตำหนักหนึ่งไว้กราบไหว้เทพแห่งชะตาชีวิต หวังให้มีชีวิตราบรื่น ไร้อุปสรรค
ดังนั้นเวลาที่พวกชาวบ้านมาจุดธูปกราบไหว้ในสองตำหนักนี้จึงเหมือนจะจริงใจกว่าเวลากราบไหว้ในตำหนักใหญ่เสียอีก
ยันต์ปราณหยางส่องไฟพุ่งตรงไปด้านหน้า เฉินผิงอันไม่กล้าชักช้า ตามหลังไปติดๆ
แต่แล้วเฉินผิงอันก็หันขวับกลับไปมองด้านหลังเพราะรู้สึกเหมือนว่ามีเงาร่างสีขาวเงาหนึ่งวูบผ่านไปตรงป้ายหินสูงใหญ่ไต้ต้นสนโบราณ
อีกทั้งในตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักไท่สุ้ยยังมีเสียงพลิ้วหวานของหญิงสาวดังมาให้ได้ยินแว่วๆ เป็นเสียงที่เบามาก คล้ายเสียงคนกำลังพูดคุยหยอกล้อกัน ทว่าเบื้องหลังความไพเราะเพราะพริ้งกลับซุกซ่อนความเยียบเย็นเอาไว้ ราวกับว่าผีสาวในโลกวิญญาณกำลังส่งเสียงมาถึงโลกมนุษย์ เสียงหัวเราะนั้นค่อยๆ แทรกซึมผ่านเส้นแบ่งเขตระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย อาศัยว่ามีร่มเงาต้นไม้โบราณช่วยบดบัง ลอดผ่านหน้าต่างของสองตำหนักเข้ามายังลานกว้าง เพียงแต่ว่าเมื่อถูกแสงอาทิตย์บางเบาสาดส่องก็เหมือนหิมะที่หลอมละลาย ทำให้ระดับความดังลดน้อยลงไปมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังดังมาเข้าหูเฉินผิงอันอยู่ดี
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแล้วหันกลับเดินหน้าต่อ
เดินไปอีกแค่สิบกว่าก้าวก็จะเข้าไปในตำหนักหลักซึ่งตั้งรูปปั้นบูชาเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวิน อดีตผู้ตรวจการของศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว
นอกจากกระบี่สองเล่มในกล่องไม้ที่มีไว้เป็นเครื่องประดับชั่วคราว กระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็คือกำลังหลักนอกเหนือจากวิชาหมัดของเขา
แต่นอกจากสิ่งของนอกกายเหล่านี้แล้ว เฉินผิงอันยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเขียนลงบนกระดาษสีทองอีกสองแผ่นซึ่งมาจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ตำราโบราณที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้
เพราะหลังจากที่ทำลายวัตถุชั่วร้ายซึ่งเป็นเหรียญทองแดงในร่มกระดาษน้ำมันที่อยู่บ้านโบราณไปได้แล้ว เฉินผิงอันกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดถึงได้วาดยันต์ขึ้นมาทันที ภายหลังตอนที่ต่อสู้กับปีศาจต้นไม้แซ่ฉู่ของแคว้นกู่อวี๋ ไม่ทันได้เอาออกมาใช้ ปีศาจตนนั้นก็ถูกสองกระบี่ชูอีสืออู่ทยอยกันสังหารให้กลายร่างเป็นต้นอวี๋โบราณไปแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมียันต์ปราณหยางส่องไฟหนึ่งแผ่นและยันต์ย่อพื้นที่อีกสามแผ่น ฝ่ายหลังหลักๆ แล้วนำมาใช้ร่วมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า แน่นอนว่าหากคิดจะนำมาใช้หนีเอาชีวิตรอดก็ไม่เป็นรองยันต์เทพเดินทางที่นักพรตจางซานเฟิงให้เขายืมใช้เลย
วินาทีที่เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปนั้นเอง
บนแท่นศิลาก็มีหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัว นางนั่งอยู่บนยอดของป้ายศิลา ผมสีดำสนิทที่ยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้าของนางจนมองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริง
แต่นิ้วมือข้างหนึ่งที่นางยื่นออกมาเหลือแค่กระดูกขาวโพลนไร้เลือดเนื้อ นิ้วกระดูกเคาะลงบนยอดบนของป้ายศิลาเบาๆ ทันใดนั้นน้ำพุเลือดสดก็ปรากฏขึ้นมาแล้วไหลลงสู่ด้านล่าง เพียงไม่นานตัวอักษรโบราณเรียบง่ายพันกว่าตัวที่อยู่บนแผ่นหินก็เหมือนกลายมาเป็นหนังสือเลือดสีแดงฉาน
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ชุดสีขาวของหญิงสาวกลับยังคงสะอาดเอี่ยม ไม่มีเลือดกระเด็นมาเปื้อนแม้แต่หยดเดียว
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ยังคงมีเส้นผมสีนิลปิดหน้า แต่นางกลับเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงที่มีท่วงทำนองอือๆ อาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพลงพื้นบ้านโบราณที่หายสาบสูญไปนานแล้วของแคว้นไฉ่อีหรือไม่
สตรีชุดขาวร้องเพลงเบาๆ พลางชูมือขึ้น ยื่นนิ้วที่มีแต่กระดูกขาวสองนิ้วออกมาคีบเส้นผมสีดำปอยหนึ่งแล้วส่ายเบาๆ สองเท้าที่ไม่สวมรองเท้าซึ่งดูมีเลือดเนื้อมากกว่านิ้วมือแกว่งไกวเบาๆ ยามที่เนื้อกับกระดูกเท้ากระแทกเข้ากับป้ายหินก็ทำให้เลือดสดที่หลั่งทะลักลงมาสาดกระเซ็น
เมื่อเทียบกับเสียงพูดคุยกลั้วเสียงหัวเราะที่ดังอยู่ในตำหนักสองฝั่งซ้ายขวาแล้ว เสียงร้องเพลงของสตรีชุดขาวได้ยินชัดเจนยิ่งกว่า ต้นสนโบราณที่สูงเหนือศีรษะของนางส่ายสะบัดไปตามลมคล้ายกำลังร้องประสานไปกับนาง
ดูเหมือนหญิงสาวจะร้องเพลงมาถึงจุดที่ตัวเองชื่นชอบจึงยกฝ่ามือที่เหลือแต่กระดูกข้างหนึ่งขึ้นตั้งแล้วพลิกกลับไปกลับมาอย่างนุ่มนวล
ประตูที่ปิดแน่นสนิทของสองตำหนักซ้ายขวากระแทกเปิดดังปัง ก่อนที่บุรุษคนหนึ่งจะเดินออกมาจากประตูแต่ละฝั่ง บุรุษที่เดินออกมาจาตำหนักเทพไฉเสินอายุยังน้อย แขนข้างหนึ่งถูกตัดขาดเสมอไหล่ ไม่รู้ว่าแขนข้างนั้นหายไปไหน แต่เลือดหยุดไหลแล้ว แขนที่เหลืออีกข้างหนึ่งลากกระบี่เล่มยาวกลับหัวกลับหาง สีหน้าของเขาซีดขาว ดวงตาทั้งคู่ไร้แววชีวิตชีวา
ทางฝ่ายของตำหนักไท่สุ้ยมีบุรุษชุดดำวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา ศีรษะของเขาลู่ลง เดินกะเผลกข้ามธรณีประตู ถ้ามองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเหนือลำคอของคนผู้นี้ถูกตัดขาดด้วยอาวุธแหลมคม อาศัยผิวเนื้อน้อยนิดที่เชื่อมติดกันเท่านั้น หัวของเขาถึงได้ไม่หลุดออกจากตัว
เมื่อข้อมือของหญิงสาวชุดขาวพลิกหมุน บุรุษสองคนที่เดินโซเซก็พลันเคลื่อนไหวปราดเปรียว เริ่มร่ายรำอยู่บนลานกว้าง ที่แท้บนปลายนิ้วกระดูกของสตรีชุดขาวก็มีเส้นแสงที่โปร่งใสแขวนค้างอยู่กลางอากาศ คล้ายเส้นใยแมงมุมสีหิมะหลายเส้น เส้นใยแมงมุมเหล่านั้นรัดพันอยู่บนแขนขาทั้งสี่ของบุรุษสองคนที่ตายไปแล้ว ควบคุมทุกๆ การกระทำของพวกเขาเอาไว้
ในตำหนักใหญ่สองแห่งที่ประตูถูกเปิดอ้ามีสตรีชุดขาวที่ลากควันดำเป็นกลุ่มๆ ตามมาด้านหลังกำลังล่องลอยไปมาอย่างรวดเร็วอยู่ใกล้กับประตู ลักษณะคล้ายกำลังมองมาทางบุรุษทั้งสอง เสียงหัวเราะเบาๆ ของพวกนางเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันและความแค้นเคือง
เพียงแต่ว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่นอกประตูเป็นเหมือนปราการทางธรรมชาติที่ทำให้พวกนางไม่กล้าเดินข้ามออกจากประตูมาง่ายๆ แต่ก็ยังมีสตรีชุดขาวสี่ห้าคนที่อดรนทนไม่ไหวพาควันดำเป็นระลอกพุ่งออกมาบินล้อมศพของบุรุษทั้งสอง ใช้นิ้วจิ้มไปบนใบหน้าซีดขาวของบุรุษ บ้างก็บินอ้อมไปทางด้านหลัง บ้างก็บินลอดจากใต้รักแร้ของพวกเขาขึ้นไปด้านบน แต่พวกนางก็เล่นสนุกได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อแสงแดดส่องมาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่ร่างแหลกสลายหายไป
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกธรณีประตูของตำหนักหลัก ยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นคล้ายชนกับกำแพง เด้งกลับออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ขยับไปด้านหน้าต่อไม่ได้อีก
ปราณหยางที่ซุกซ่อนอยู่ในยันต์ส่องไฟเริ่มหดหายไปทีละน้อย
เฉินผิงอันยื่นมือออกไป บนมือก็คล้ายสัมผัสกับผิวน้ำของแม่น้ำที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว เขาเพิ่มแรงเข้าไปอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายมันออกได้
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันกับที่หมุนตัวกลับก็บิดข้อมือ ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เหลือลมปราณอีกไม่นานบินพรวดไปที่ลานกว้างอย่างรวดเร็ว บินวนเหนือศีรษะของศพทั้งสองที่กลายมาเป็นหุ่นเชิดหนึ่งรอบ เสียงตุ้บดังขึ้น ร่างของบุรุษทั้งสองล้มหน้าคว่ำกระแทกพื้นอย่างแรง เส้นแสงทุกเส้นที่เชื่อมติดกับร่างถูกตัดขาด หลังจากที่ศพร่วงลงพื้น เลือดสดก็ไหลนองเป็นสาย
สตรีชุดขาวหดมือกลับมา ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยว กลับเป็นพวกหญิงสาวที่อยู่ในตำหนักทั้งสองเสียอีกที่แยกเขี้ยวกางเล็บ ดวงตาที่มองมาทางเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาต
ขอแค่ตกอับกลายมาเป็นผีร้าย ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่เจ้าจะเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้คำว่าเดิมนั้นมนุษย์มีสันดานที่ดีงามตามคำกล่าวของรองอริยะลัทธิขงจื๊อได้อีก ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ สุดท้ายก็ไม่เหลือน้ำสักหยด
นี่ก็คือเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น
เฉินผิงอันมองไปยังแผ่นหลังของสตรีที่นั่งอยู่บนป้ายศิลา เอ่ยเบาๆ ว่า “คุณหนูท่านนี้ คนตายควรได้รับความเคารพมากที่สุด ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่พวกเจ้ามีความแค้นใดต่อกันก็ให้มันจบลงเพียงเท่านี้ดีกว่ากระมัง?”
สตรีชุดขาวทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงร้องเพลงต่อไป คราวนี้นางร้องด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป เฉินผิงอันจึงฟังเข้าใจ
“รูปลักษณ์เป็นดั่งกระดูกแห้งเหี่ยว หัวใจเป็นดั่งขี้เถ้ามอด…นี่คือความจริง ไม่ใช้สิ่งนี้มาควบคุมตน มึนงงสงสัย ไร้ใจก็ไร้ความสามารถ ไร้แผนการ แล้วนั่นจะเป็นคนแบบใด…”
น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความสงบสุขเสี้ยวหนึ่ง ฟังไม่ออกถึงความเจ็บแค้นโกรธเคืองแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันฟังความหมายของตัวอักษรได้คร่าวๆ แต่กลับไม่เข้าใจความหมายลึกล้ำที่ซุกซ่อนอยู่
และเฉินผิงอันก็ไม่มีอารมณ์ให้ใคร่ครวญเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เทพอภิบาลเมืองน่าจะถูกเวทลับบางอย่างที่อยู่ในตำหนักหลักและด้านนอกของศาลเทพอภิบาลเมืองพันธนาการเอาไว้ จึงไม่อาจออกไปสำรวจเมือง ช่วยเหลือเมืองแยนจือให้ผ่านพ้นจากหายนะที่กำลังจะมาถึงในครั้งนี้ได้
—–
บทที่ 227.2 ออกกระบี่แล้ว
โดย
ProjectZyphon
ด้านในตำหนักใหญ่ที่เฉินผิงอันยืนหันหลังให้ก็คือตำหนักอภิบาลเมืองที่บูชาเทวรูปสามองค์ซึ่งรวมถึงเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินไว้ด้วย เทวรูปเสิ่นเวินสูงสามจั้งกว่า คนที่มาจุดธูปกราบไหว้จำเป็นต้องเงยหน้ามอง เทวรูปบุ๋นบู๊ที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาก็สูงสองจั้ง องค์หนึ่งถือคทาเหล็ก อีกองค์หนึ่งถือตราประทับทางการ
เล่าลือกันว่าเมื่อสองร้อยปีก่อนมีนักพรตแซ่จางจากต่างทวีปคนหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่แห่งนี้ ด้วยความประทับใจต่อประเพณีนิยมของชาวเมืองแยนจือ หลังกลับไปถึงบ้านเกิดเขาได้เป็นเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ และไม่นานก็มอบ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋อภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ มาให้ชิ้นหนึ่ง
และในเวลานั้นผู้คนถึงได้รู้ว่าที่แท้นักพรตหนุ่มเป็นถึงชนชั้นสูงหวงจื่อแห่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ เรื่องเล่าที่งดงามเรื่องนี้คนรู้กันครึ่งทวีป ในกลุ่มชาวบ้านก็มีการเล่าลือต่อๆ กันไป และตราประทับเนื้อทองที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ชิ้นนั้นก็ถูกฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีเก็บรักษาอยู่ในคลังสมบัติแห่งชาติไปนานแล้ว
ด้านในตำหนักเทพอภิบาลเมืองยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ยักษ์ บนภาพมีสาวงามที่สวมเสื้อแขนกว้างกำลังร่ายระบำเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดคน
ถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่า ‘หมึกสีมีชีวิต เป่าลมใส่มีชีวา’
เฉินผิงอันเห็นว่าสตรีชุดขาวผู้นั้นไม่สะทกสะท้านก็ไม่พูดอะไรมากอีก เขาแอบตบไปยังน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวเบาๆ
พอหมุนตัวกลับมาก็ปล่อยหมัดต่อยลงไปบน ‘ผิวน้ำแข็ง’ นั่นหนึ่งครั้ง เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เทวรูปสามองค์ที่อยู่ด้านในถึงกับโยกคลอนตามไปด้วย
เฉินผิงอันเดินช้าๆ ด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว ปล่อยหมัดต่อยลงบนชั้นน้ำแข็งครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
แน่นอนว่ายังต้องป้องกันเผื่อสตรีที่อยู่ตรงป้ายหินจะแว้งมาทำร้ายด้วย
เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังมาจากด้านบนของต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เป็นเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่ง
“เจ้าโง่ นั่นคือค่ายกลที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตห้าสองคนร่ายไว้เองกับมือ ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าก็ยังต้องจนปัญญาไปชั่วขณะ ไม่อย่างนั้นทำไมท่านเทพอภิบาลเมืองถึงออกมาไม่ได้เล่า เจ้าแค่เป็นวรยุทธ์งูๆ ปลาๆ ก็คิดจะทำลายมันให้ได้อย่างนั้นหรือ? เก็บแรงไว้เถอะ ฉวยโอกาสที่ผีสาวตนนั้นยังไม่คิดจะฆ่าเจ้า รีบออกไปจากที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นคราวหน้าหากมีคนโง่บุกเข้ามาอีกครั้ง หุ่นเชิดที่ถูกชักใยให้ร่ายรำตัวต่อไปก็จะเป็นเจ้าแล้ว”
อาจจะเป็นเพราะหมัดของเฉินผิงอันต่อยอย่าง ‘ตามใจปรารถนาเกินไป’ ดังนั้นจึงมองไม่ออกถึงพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่แม้แต่น้อย
นี่ทำให้เด็กสาวนิสัยประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้เกิดใจดูแคลน
หลังจากที่ต่อสู้กับหม่าขู่เสวียนไปบนถนนเส้นเล็ก ปณิธานหมัดของเฉินผิงอันในเวลานี้จึงยิ่งเก็บอำพรางได้ลึกล้ำมากขึ้น ท่าเดินนิ่งที่ใช้ในเวลาฝึกหมัดยามปกติยิ่งช้ามากขึ้นและยิ่งสอดคล้องกับคำว่า ‘บำรุงด้วยความอบอุ่น’ มากขึ้น โดยทั่วไปแล้วทักษะด้านวรยุทธ์ขั้นต่ำในยุทธภพ การที่หมัดนอกตำราสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ ‘เรียกผีร้ายเข้าตัว’ ก็เพราะใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้เข้าสำนักที่ได้มาตรฐาน เป็นเหตุให้ยิ่งปล่อยหมัดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งทำลายร่างกายและจิตวิญญาณมากเท่านั้น
ถึงแม้ว่าการเดินนิ่งของเฉินผิงอันจะเชื่องช้า แต่ความเร็วในการโคจรลมปราณตอนฝึกเดินนิ่งเจี้ยนหลูกลับเร็วกว่านับเท่าไม่ถ้วน หากเปรียบเทียบว่าก่อนหน้านี้คือการส่งข่าวตามจุดพักม้าที่ต้องใช้ม้าเร็ว ตอนนี้ก็คือสามารถควบม้าเร็วได้แปดร้อยลี้ในวันเดียว
สภาพการณ์มหัศจรรย์อย่างการ ‘เก็บซ่อนอำพราง’ นี้ หากไม่ใช่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกหรือเจ็ดย่อมไม่สามารถมองตื้นลึกหนาบางออก
สตรีชุดขาวพลันหยุดร้องเพลง หันหน้ามาจ้องหมัดที่สิบแปดของเฉินผิงอันเขม็ง
หนึ่งหมัดต่อยไป ประหนึ่งระฆังใบใหญ่ที่ถูกตีดังกังวาน ลมปราณของตลอดทั้งลานกว้างสะเทือนเลือนลั่น ป้ายศิลาที่อาบไปด้วยเลือดสดปริแตกเป็นรอยร้าวเสียงดังสนั่น
นางกรีดร้องเสียงแหลมบาดแก้วหูเหมือนแม่ทัพที่ออกคำสั่ง เหล่าหญิงสาวที่อยู่ในสองตำหนักจึงกลายร่างมาเป็นควันเข้มข้นที่กลิ้งหลุนๆ สองเส้น เส้นหนึ่งหลอมรวมเข้ากับพื้นผิวน้ำแข็งชั้นนั้น ใช้จิตวิญญาณวัตถุหยินที่หลงเหลืออยู่ของพวกนางมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลสกปรกแห่งนั้น ควันดำอีกเส้นหนึ่งกระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน พยายามที่จะทำลายปณิธานหมัดที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นสายของเขา ไม่ให้เขาปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเป็นหมัดที่สิบเก้าได้
“จะถูกคนมุทะลุอย่างเจ้านำหายนะมาให้แล้ว! หากวันนี้ข้าตายอยู่ที่นี่ ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนเดินบนเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองด้วยกัน คอยดูเถอะข้าจะด่าเจ้าให้ตายไปเลย…ตายซ้ำตายซ้อนเข้าไปอีก…ข้ายังไม่ทันได้ตายก็จะหงุดหงิดตายไปก่อนแล้ว!”
บนยอดต้นไม้โบราณ เด็กสาวบ่นจบก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เรือนกายอรชรของนางพุ่งพรวดออกมาก่อให้เกิดเสียงกระพรวนกรุ๊งกริ๊งใสกังวาน เมื่อเสียงนั้นล้อมวนไปรอบกายนางก็มีดอกไม้สีทองอ่อนจางเป็นวงๆ ผุดลอยขึ้นมา เมื่อบวกเข้ากับร่างสะโอดสะองของนางจึงเรียกได้ว่างดงามเจริญหูเจริญตา
มุมปากบนใบหน้าที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ม่านผมหนาดกของสตรีชุดขาวกระดกโค้ง ดวงตามีแววเย้ยหยันเย็นชา
นางยื่นมือกระดูกสองข้างออกมาตบเบาๆ
จากนั้นเทวรูปบุ๋นบู๊ที่ตั้งขนาบอยู่สองฝั่งซ้ายขวาของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ส่งเสียงออดแอดคล้ายมีชีวิต สะเก็ดฝุ่นจำนวนมหาศาลร่วงกราวฟุ้งไปทั่ว พวกเขาเดินออกมาจากแท่นบูชาในเวลาเดียวกัน เหยียบลงบนแผ่นกระดานสีดำในตำหนักหลักเสียงดังครืนครั่น
จากนั้นเทวรูปดินเผาสูงสองจั้งทั้งสององค์ก็เดินพรวดออกมาจากในตำหนักหลัก รูปปั้นที่ถือคทาเหล็กไว้ในมือใช้คทาต้านรับหมัดที่พุ่งเข้ามาแสกหน้าของเด็กหนุ่ม ส่วนเทวรูปขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ถือตราประทับไว้ในมือ พอเดินข้ามธรณีประตูออกมาได้ก็ใช้ตราประทับเหล็กขนาดใหญ่ยักษ์ตบใส่เด็กสาว
เดิมทีเมื่อค่ายกลถูกทำลายก็จะสามารถทำให้เทพอภิบาลเมืองกลับคืนมาเป็นอิสระได้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นการดำเนินไปของสถานการณ์ที่สมเหตุสมผล ไหนเลยจะคิดว่ากระบวนท่าสังหารที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ลานกว้างนอกศาล ไม่ได้อยู่ที่สตรีชุดขาว แต่อยู่ในตำหนักของเทพอภิบาลเมืองที่ฝากความหวังเอาไว้? ถ้าอย่างนั้นเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองที่ควรได้ครอบครองร่างทองขององค์เทพไปอยู่ที่ไหนกันแน่?
ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองที่ตั้งอยู่ตรงกลาง สูงใหญ่และเปี่ยมบารมีอำนาจมากที่สุดซึ่งเดิมทีควรมีร่างสีทองเปล่งประกาย เวลานี้กลับหม่นหมองไร้แสง ท่ามกลางเศษชิ้นส่วนสีทองที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นมีเพียงในดวงตาเท่านั้นที่เหลือประกายแสงสีทองริบหรี่ ไม่ว่าคนเมืองแยนจือคนไหนมาเห็นก็คงไม่กล้าเชื่อว่านี่คือ ‘เทพอภิบาลเมืองร่างทอง’ ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของพวกเขา
เพราะตามบันทึกในอักขรานุกรมของเมืองแยนจือ เทวรูปรูปนี้ถูกแปะด้วยทองคำเปลวจากทองเกือบหนึ่งร้อยตำลึง ด้วยเรื่องนี้เจ้าเมืองของรุ่นนั้นยังขอรับบริจาคจากเหล่านายท่านนายหญิงที่เป็นพ่อค้าหรือไม่ก็เศรษฐีที่ร่ำรวยในเมือง เมื่อบริจาคสำเร็จยังตั้งใจสร้างป้ายผู้อนุโมทนาบุญสลักชื่อแซ่วงศ์ตระกูลของคนที่ออกเงินทุนทุกคนลงไป
เทวรูปหลักที่บนร่างไม่เหลือทองคำเปลวแม้แต่ชิ้นเดียวเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก น้ำเสียงที่แหบพร่าดังมาถึงธรณีประตู “พวกเจ้าสองคนรีบหนีไป พวกนอกรีตไม่รู้ที่มาเหล่านั้นมีจำนวนมากเกินไป สถานที่แห่งนี้มีแค่ผีชุดขาวตนเดียวเท่านั้น หากพวกเจ้าหนีไปได้ต้องนำข่าวไปแจ้งเซียนซือของสำนักโองการเทพ หรือไม่ก็เหล่าปราชญ์วิญญูชนแห่งสำนักศึกษากวานหู บอกพวกเขาว่าแคว้นไฉ่อีประสบหายนะครั้งใหญ่ หากแคว้นต้องล่มสลาย อีกหกแคว้นโดยรอบซึ่งรวมถึงแคว้นกู่อวี๋ก็ไม่มีหวังว่าจะรอดพ้นไปได้!”
ที่แท้เทพอภิบาลเมืองซึ่งเดิมทีควรปกป้องชาวบ้านในเมืองก็กลายมาเป็นเหมือนรูปปั้นพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำที่แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด
นอกธรณีประตูของตำหนักหลัก
ก่อนหน้านี้เด็กสาวที่ทั้งข้อมือข้อเท้าต่างก็รัดกระพรวนสีเงินได้ช่วยเฉินผิงอันสกัดควันดำเส้นนั้นเอาไว้ได้ ทุกที่ที่เสียงกระพรวนสี่ลูกดังขึ้นจะต้องมีดอกไม้สีทองอ่อนจางจำนวนนับไม่ถ้วนผลิบาน มองแล้วละลานตา ควันดำที่เดิมทีพุ่งเข้ามาอย่างดุดันถูกฟาดฟันจนแหลกกระจาย แต่เด็กสาวเองก็ถูกควันดำที่กระจายตัวเป็นสายเล็กๆ รัดพันไปตามจุดต่างๆ ของร่างกายจนนางกระอักเลือด แต่ก็ยังยืนหยัดไม่ยอมถอยหนี ยืนอยู่ใกล้กับเจ้าคนมุทะลุผู้นั้น ข้อมือส่ายสะบัด เสียงกระพรวนดังเป็นระลอก กลีบดอกไม้สีทองค่อยๆ สลายควันดำที่ปะปนมากับเสียงร้องโหยหวนให้หายไปทีละนิด
ส่วนเฉินผิงอันจึงต่อยหมัดที่สิบเก้าออกไปอย่างผ่อนคลาย
จากนั้นควันดำอีกเส้นหนึ่งที่เหลืออยู่ก็พุ่งเข้าไปผสานรวมใน ‘ผิวน้ำแข็ง’ ที่กั้นขวางระหว่างภายในกับภายนอกของตำหนักหลัก ช่วยค่ายกลลดทอนอานุภาพทบทวีของหมัดที่สิบเก้ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
จากนั้นก็เป็นเทวรูปดินเผาที่ ‘ทรยศ’ ทั้งสอง ตนหนึ่งโบกคทาแทงเข้าไปที่ศีรษะของเฉินผิงอัน อีกตนหนึ่งถือตราประทับเหล็กตบเข้าที่ท้ายทอยของเด็กสาว
สีหน้าของเฉินผิงอันยังคงเป็นปกติ เขาปล่อยหมัดที่ยี่สิบออกไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ ต่อยจนค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้ว่าจะยังไม่ปริแตก แต่ก็คลอนแคลนเต็มที อย่างมากที่สุดอีกแค่ก้าวเดียวก็คงทำลายได้
แต่เฉินผิงอันก็จนใจยิ่งนัก เพราะเขาไม่อาจทนมองเด็กสาวคนนั้นถูกเทวรูปขุนนางฝ่ายบุ๋นที่พุ่งตัวออกมาจากตำหนักตบตายด้วยตราประทับ หมัดที่ยี่สิบเอ็ดของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าจึงปล่อยใส่ค่ายกลไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็มีโอกาสที่จะปล่อยหมัดสุดท้ายออกไป
พื้นหินใต้เท้าของเฉินผิงอันปริแตก ร่างทั้งร่างหายวับไป หลบพ้นคทาที่พุ่งเข้าแสกหน้าของเทวรูปฝ่ายบู๊ตนนั้นมาได้ มาหยุดอยู่ด้านข้างเทวรูปฝ่ายบุ๋นในเสี้ยววินาที ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบต่อยเข้าที่หน้าท้องของเทวรูป
นี่เป็นหมัดช่วยชีวิต ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่กล้ากักเก็บพลังเอาไว้ เป็นเหตุให้ตอนที่ออกหมัด รอบแขนของเขาถูกล้อมวนไปด้วยปณิธานแห่งหมัดสีขาว ประหนึ่งพายุลมกรดซึ่งมาพร้อมกับเสียงฟ้าคำราม
เทวรูปดินเผาสูงสองจั้งถูกเฉินผิงอันต่อยจนไถลออกไป เท้าสองของรูปปั้นใหญ่ยักษ์ไถคราดจนบนพื้นเกิดร่องลึก
เด็กสาวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันหน้ามามอง นั่นถึงพอจะทำให้นางคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้ เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้หน้าตาไม่สะดุดตาอีกครั้ง สายตาของนางจึงฉายแววทึ่มทื่ออย่างห้ามไม่ได้
เฉินผิงอันไม่สนว่าเด็กสาวจะคิดอย่างไร มือสองข้างของเขาหยุดค้างคล้ายจะออกหมัด แต่อันที่จริงในชายแขนเสื้อทั้งสองกลับมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเนื้อกระดาษสีทองกลิ้งออกมาแนบอยู่กับใจกลางฝ่ามือ หลังจากที่คทาของเทวรูปฝ่ายบู๊วืดลงกลางความว่างเปล่าก็กระแทกลงบนพื้นจนก้อนอิฐระเบิดแตก พอยืดเอวขึ้นตรงก็หันกลับไปฟาดคทาใส่เฉินผิงอันอีกครั้ง
การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ของเฉินผิงอัน แม้ว่าจะฝึกท่าหมัดอย่างเชื่องช้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อเขาต้องการจะเร็ว
ก็เร็วได้จริงๆ!
คทายังคงพลาดเป้า ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันมาอยู่ด้านหน้าเทวรูปแม่ทัพฝ่ายบู๊ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาแตะปลายเท้าเบาๆ ร่างก็พุ่งทะยานขึ้นสูง ฟาดฝ่ามือตบลงบนหน้าผากของรูปปั้นอย่างแรง
แสงสีทองเจิดจ้าสว่างไสว!
รอบกายเทวรูปดินเผาแม่ทัพบู๊มีเจดีย์สีทองที่สูงกว่าใหญ่กว่าร่างเขาเล็กน้อยปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า สายฟ้าแลบแปลบปลาบดุจมังกรว่ายวน
และเทวรูปก็เหมือนถูก ‘ตั้งบูชา’ อยู่ในเจดีย์วิเศษแห่งนี้
ทว่าแท้จริงแล้วมันต้องลิ้มชิมรสชาติเช่นไร ดูจากที่ร่างใหญ่ยักษ์ปริแตกไปทีละชุ่นก็พอจะมองออก ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร จะฟาดคทาเหล็กเคาะ ทุบ ตีหรือกระแทกอย่างไร ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจก็กักตัวมันไว้ข้างในอย่างแน่นหนา
หลังจากเรียกใช้ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองแผ่นที่หนึ่งไปแล้ว เฉินผิงอันก็ถีบสองเท้าเข้าที่หน้าอกของเทวรูปแม่ทัพ อาศัยแรงสะท้อนดีดตัวออก แล้วก็หายวูบไปอีกครั้ง ใช้ความเร็วที่มากว่าเดิมมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทวรูปฝ่ายบุ๋นที่กำลังพุ่งเข้าหาเด็กสาวอย่างว่องไวแล้วตบยันต์ลงไปอีกครั้ง คราวนี้ยันต์สีทองแปะลงบนตราประทับเหล็กพอดี
เทวรูปสูงใหญ่เหมือนถูกขุนเขากดทับลงมา เข่าสองข้างงอลง ตรงหัวเข่ามีเศษผงหลุดร่วงระนาว เกือบจะล้มหงายหลัง
เท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันยังไม่ได้สัมผัสพื้น หลังจากเรียกใช้ยันต์ที่เปล่งแสงสีทองไปแล้ว ร่างก็ไต่ขึ้นสูงต่อเนื่อง ขึ้นไปยืนเหยียบอยู่บนศีรษะของเทวรูป มองไปยังสตรีชุดขาวที่อยู่บนยอดของป้ายศิลา สองฝ่ายต่างคุมเชิงกันและกัน
เฉินผิงอันไม่ได้หยุดชะงัก เขาพุ่งตัวเข้าหาป้ายหินใต้ต้นสนโบราณราวกับบินทะยานอยู่กลางสายลม ยื่นมือตบลงไปบนกล่องกระบี่ เอ่ยเบาๆ ว่า “ปราบมาร!”
กระบี่ไม้ไหวดีดตัวออกจากฝัก และถูกเฉินผิงอันคว้าจับไว้ด้วยมือข้างเดียว
หนึ่งกระบี่พุ่งทะยาน
รวดเร็วว่องไว ดูไปแล้วสง่างามไม่น้อย
—–
บทที่ 228.1 ชูอี สืออู ตามข้ามาปราบมาร
โดย
ProjectZyphon
ในมือเฉินผิงอันถือกระบี่ไม้ไหวฟาดฟันเข้าใส่สตรีชุดขาวที่นั่งอยู่บนป้ายศิลา
ไม่ได้มีกระบวนท่าใดๆ และบนกระบี่ไม้ก็ไม่มีแสงวิเศษเข้มข้นที่สามารถสยบวัตถุหยินได้
มุมปากของสตรีชุดขาวกระตุกขึ้น แม้ในใจจะรู้สึกดูแคลน แต่ในเมื่อเด็กหนุ่มสามารถสยบเทวรูปสององค์ได้สำเร็จ นางก็ไม่อยากจะประมาทเกินไป เล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรสถานที่อย่างศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ หากรักษาไว้ได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าจะทิ้งไปก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรเดี๋ยวก็มียอดฝีมือที่เก่งกว่านางแย่งชิงกลับมาอยู่ดี
เห็นเพียงว่านางยกมือปาดไปตรงช่วงเอวอย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ตัวกระบี่เป็นสีแดงสด เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้คนสะอิดสะเอียน ซึ่งก่อนหน้านี้นางน่าจะใช้เวทอำพรางตาเอาไว้ทำให้มองไม่เห็น
ตอนที่มือกระดูกของนางปาดผ่านกระบี่เล่มยาว สัมผัสเข้ากับคมกระบี่ก็เกิดประกายไฟแลบเป็นทอดๆ ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีกำไลมรกตวงหนึ่งกลิ้งออกมาจากข้อมือของนางแล้วหมุนติ้วๆ รอบกายนางอย่างรวดเร็วจนไม่อาจจับร่องรอยของมันได้ ความเร็วนั้นมากอย่างถึงที่สุดเป็นเหตุให้เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็มองไม่เห็นกำไล เห็นเป็นเพียงวงแสงสีเขียวมรกตเท่านั้น
สำหรับผู้ฝึกลมปราณบนโลก แน่นอนว่ายิ่งมีสมบัติอาคมก็ยิ่งดี นี่คือหลักการเดียวกับข้อที่ว่าพวกชาวบ้านไม่มีใครรังเกียจเงินที่หนักมือ แต่ถึงอย่างไรอาวุธวิเศษและอาวุธอาคมที่สมชื่อก็หายากและล้ำค่ามากเกินไป หากโชคดีได้ครอบครองสองชิ้น โดยทั่วไปแล้วจะพยายามให้เป็นอาวุธที่เอามาใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน หนึ่งชิ้นใช้รุกสังหารให้ศัตรูล่าถอย อีกหนึ่งชิ้นใช้ป้องกันรักษาชีวิตของตัวเอง รุกสามารถต้านรับ ถอยสามารถปกปักษ์ มั่นใจเต็มร้อยว่าจะไม่มีวันพลาด
ยกตัวอย่างเช่นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารของปีศาจแซ่ฉู่ที่บ้านโบราณซึ่งสามารถกลายมาเป็นเสื้อเกราะกวางหมิงที่ถือเป็นของที่ดีที่สุดในบรรดาอาวุธวิเศษที่ใช้ในการป้องกันตัว
กระบี่พกสีแดงฉาน รวมไปถึงกำไลข้อมือสีมรกตของสตรีชุดขาว หนึ่งรุกหนึ่งป้องกัน ก็คือหลักการเดียวกันนี้
นับตั้งแต่เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นที่สะพายกล่องกระบี่ไว้ด้านหลังกับยันต์ประหลาดที่ระดับสูงมากของเขาบังคับสยบเทวรูปของขุนนางบุ๋นบู๊เอาไว้ได้ จนถึงตอนที่เขาเหยียบขึ้นไปบนหัวของรูปปั้น ถือกระบี่ไม้ไว้ในมือแล้วกระโจนเข้ามาเข่นฆ่า อันที่จริงเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
เพียงเสี้ยววินาทีกระบี่ไม้ไหวก็พุ่งมาถึง
สตรีชุดขาวยกกระบี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่วาดกระบี่ในแนวขวางง่ายๆ หนึ่งที เหนือศีรษะของนางก็มีปราณกระบี่สีแดงสดปรากฏขึ้นหนึ่งเส้น หากเด็กหนุ่มหลบไม่ทันก็จะถูกปราณกระบี่นั้นตัดเอวให้ร่างขาดครึ่งท่อน
แต่จู่ๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็หายตัวไป
ยันต์ย่อพื้นที่!
สตรีชุดขาวรู้ทันทีว่าท่าไม่ดีแล้ว
เคร้ง!
เสียงเหมือนโลหะกระทบดังขึ้นบนลานกว้างอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หลังจากนั้นก็เป็นเสียงเคาะตีที่ดังรัวติดต่อกัน ถี่กระชั้นเร่งร้อนเหมือนเสียงหยดฝนตกกระหน่ำที่กระแทกลงบนหลังคาบ้าน
สีหน้าของสตรีชุดขาวแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางบิดเอวพุ่งตัวออกมาจากยอดบนสุดของป้ายหินอย่างรวดเร็ว ชุดขาวกระบี่แดง หนึ่งแดงหนึ่งขาวบินวนรอบต้นสนโบราณที่เป็นสีเขียวขจีขึ้นสู่เบื้องบนคล้ายกำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง สตรีจงใจทิ้งระยะห่างกับกำไลสีเขียวมรกตประมาณสองจั้ง ทั้งสามารถบังคับควบคุมมันได้ตามใจชอบ แล้วก็สามารถหลบเลี่ยงไม่ให้ตัวเองติดร่างแหไปด้วย
นั่นมันกระบี่บิน!
ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถบังคับกระบี่บินให้สังหารศัตรู!
กระบี่ไม้ปราบมารอะไรนั่น ที่แท้เป็นแค่ตัวหลอกที่ทำให้คนหลงเข้าใจผิด! กระบวนท่าสังหารที่แท้จริงก็คือกระบี่บินที่ยังไม่เผยโฉมแท้จริงเล่มนั้น
อายุน้อยๆ แต่กลับมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้! มิน่าเล่าถึงกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ฝึกตนได้สำเร็จยากที่สุดในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ
ฟังจากเสียงที่ดังรัวไม่หยุดนั้น สตรีชุดขาวก็ให้เสียดายอย่างสุดซึ้ง ต่อให้กำไลมรกตจะมีสติปัญญามากแค่ไหนก็ไม่สามารถทนรับการรังแกจากกระบี่บินแบบนี้ได้ เพราะไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ต่างจากการขยี้บุปผางามด้วยฝ่าเท้า
กำไลมรกตที่มีชื่อว่า ‘ปิงนั่ว (ข้าวเหนียวน้ำแข็ง)’ คืออาวุธวิเศษชั้นเยี่ยมที่บุรพาจารย์มอบให้นางเองกับมือ ไม่ได้มีดีที่ความทนทานแข็งแกร่ง แต่หลักๆ แล้วเอามาใช้ต้านทานท่าไม้ตายอย่างกะทันหันจากพวกเซียนซือทั้งหลาย เพราะถึงอย่างไรบุรพาจารย์ก็พอจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่า การช่วงชิงสมบัติสยบแคว้นของแคว้นไฉ่อีอย่างลับๆ ในครั้งนี้ต้องเป็นสงครามนองเลือดที่ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันมหาศาลอย่างแน่นอน ผู้ฝึกลมปราณที่มาจากตระกูลเซียนมีชื่อเสียงไม่ได้มีความกล้าในการเข่นฆ่าหรือต่อสู้สุดชีวิตเท่าใดนัก แต่เวทลับวิชาอนิหารที่ลึกลับและสมบัติอาคมที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นกลับมีให้ใช้ไม่หวาดไม่ไหว อย่างไรก็จำต้องป้องกันตัวเอาไว้ก่อน
ตอนนี้สตรีชุดขาวยังไม่สามารถจับทิศทางการโคจรของกระบี่บินเล่มนั้นได้ แล้วก็ไม่กล้าเก็บกำไลหยกกลับมา นี่ทำให้นางโมโหสุดขีด เป็นครั้งแรกที่ไฟโทสะพุ่งท่วมเทียมฟ้า หากกำไลหยกต้องแตกสลายไปทั้งอย่างนี้ ถ้าเช่นนั้นการเดินทางมาเยือนแคว้นไฉ่อีในครั้งนี้ของนาง ไม่พูดถึงพันธมิตรคนอื่น เอาแค่ตัวนางเองก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสียแล้ว ต่อให้สุดท้ายจะประสบความสำเร็จ ถึงเวลาแบ่งของรางวัลกัน ของที่ตกมาถึงมือของนางก็คงมีค่าเทียบเท่ากำไลชิ้นนี้ไม่ได้
เส้นผมสีนิลของสตรีชุดขาวร่ายระบำอย่างบ้าคลั่ง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
นางก็คือสตรีสวมชุดสีสันสดใสที่ขึ้นเวทีแสดงก่อนใครบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบก่อนหน้านี้ นางในเวลานั้นไม่รู้ว่าทำให้บุรุษในเมืองแยนจือตั้งกี่คนเห็นเป็นเทพธิดา ได้แต่เจ็บใจตัวเองที่ไม่อาจโอบนางมารักใคร่อยู่ในอ้อมกอด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าที่มองดูแล้วมีกลิ่นอายของความเป็นเซียนเปี่ยมล้นผู้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นหนึ่งในผู้บงการ
แต่คนกลุ่มนี้ทำตัวผยองพองขนขนาดนี้ ผู้ฝึกลมปราณในแคว้นไฉ่อีจะไม่มีใครมองความจริงออกเลยหรือไง?
เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนลานกว้างอึ้งตะลึง หัวใจหนักอึ้งโดยพลัน เก็บกระบี่ไม้ไหวกลับลงไปในกล่องกระบี่ ปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าด้วยความเคยชิน
เห็นว่าเด็กหนุ่มยังมีอารมณ์ดื่มเหล้า สตรีชุดขาวก็โมโหจัดจนขำ อาภรณ์ที่ล่องลอยเผยให้เห็นข้อมือและข้อเท้าที่ล้วนเป็นกระดูกสีขาว คิดดูแล้ว ‘เรือนกายอรชร’ ที่อยู่เบื้องใต้ชุดสีขาวก็น่าจะมีสภาพเดียวกันนี้
มีเพียงใบหน้าของนางที่เลือดและเนื้อยังอยู่ครบ อีกทั้งยังงดงามสะคราญโฉมอย่างยิ่ง
ที่แท้ก็เป็นสาวงามโครงกระดูก ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเป็นผีงามโครงกระดูกถึงจะถูก
เมื่อพอจะมั่นใจได้แล้วว่ากระบี่บินไม่สามารถทำลายกำไลข้อมือได้ ได้แค่ต่อสู้ประชิดตัวกับตน ในใจของสตรีชุดขาวก็พอจะแน่ใจได้คร่าวๆ ถ้าอย่างนั้นจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจรก่อน สังหารเด็กหนุ่มให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน เขารนหาที่ตายเองก็โทษคนอื่นไม่ได้ เดิมทียังคิดจะเล่นสนุกกับเขาสักพักหนึ่ง ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะเป็นเด็กหัวรั้นที่รับมือได้ยากขนาดนี้
เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วอย่างไร ขอแค่ไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นดั่งภาพมายาล่องลอย ต่อให้เป็นเซียนกระบี่เล็กขอบเขตห้ากลางค่อนไปทางบน เมื่อมาอยู่ในเมืองแยนจือแห่งนี้ ขอแค่กล้าเสนอหน้าก็ต้องตายทั้งหมด!
บนลานกว้างเล็กๆ หน้าตำหนักศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้แบ่งออกเป็นพื้นที่การต่อสู้สามส่วนโดยที่มองไม่เห็น ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองสองแผ่นกำลังเผาผลาญปราณปีศาจของเทวรูปดินเผาทั้งสองไปอย่างช้าๆ ดินเผาบนร่างรูปปั้นแตกกระจายปลิวว่อนไปทั่วสี่ทิศ เสียงปริแตกดังขึ้นไม่ขาดสาย ไม่ว่ารูปปั้นทั้งสองจะร้องคำรามอย่างไร เจดีย์วิเศษที่จำแลงมาจากยันต์สยบปีศาจก็ยังมีสายฟ้าถักทอ ประหนึ่งองค์เทพสายฟ้าถือแส้ฟาดโบยกำจัดความชั่วร้าย กำราบพวกมันไว้อย่างอยู่หมัด
ต่อมาก็เป็นกระบี่บินชูอีที่เฉินผิงอันเรียกตัวออกมา คราวนี้มันไม่มีการเกริ่นนำก่อนออกจากน้ำเต้าแล้ว แต่บินพรวดออกไปอย่างเงียบเชียบโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น น่าเสียดายก็แต่สตรีชุดขาวมีกำไลปกป้องกาย ช่วยให้นางรอดพ้นหายนะจากการถูกกระบี่บินทะลุศีรษะมาได้ ไม่รู้ว่าชูอีโมโหจริงๆ หรือด้วยนิสัยเกเรซุกซนเหมือนเด็กน้อยถึงได้หาเรื่องสนุกเล่น จึงไม่สนใจความคิดของเฉินผิงอันอีกต่อไป ตั้งอกตั้งใจโรมรันอยู่กับกำไลมรกตวงนั้นอย่างเดียว มันกระแทกลงไปบนกำไลครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนตีเหล็ก กระบี่บินยังจงใจชะลอความเร็วลง และทุกครั้งจะต้องชักนำขอบเขตการโคจรของกำไล
สนามต่อสู้สุดท้ายย่อมต้องเป็นทางฝั่งของสตรีชุดขาวที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร นางตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะต้องจัดการกับ ‘เซียนกระบี่’ อย่างเฉินผิงอันเสียก่อน
นางถือกระบี่ยาวสีแดงสดที่เหมือนกับจะเค้นหยดเลือดออกมาได้เล่มนั้นไว้ในมือ ภายใต้การกระโจนเข้ามาสังหารของนาง เสียงคำรามกร้าวเดือดดาลดังมาจากสองตำหนักที่ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายขวา ผีสาววัตถุหยินที่งุ่นง่านอยากลงไม้ลงมือเต็มแก่พากันกรูออกมา พริบตาเดียวควันดำที่กลิ้งหลุนๆ ก็บดบังมืดฟ้ามัวดิน กรากเข้าหาเฉินผิงอันที่ยืนตระหง่านกลางลานกว้างเพียงลำพัง เดิมทีเด็กสาวที่ทั้งข้อมือและข้อเท้ารัดกระพรวนเอาไว้คิดจะเข้ามาช่วย แต่เฉินผิงอันกลับใช้สายตาบอกเตือนนางว่าอย่าเข้ามายุ่ง
เด็กสาวไม่ได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ จึงยืนอยู่ในสนามรบส่วนแรกแต่โดยดี เพียงแต่ว่ามือเท้าของนางขยับไม่หยุด ทำให้เกิดเสียงกระพรวนใสกังวานเป็นระลอก พยายามจะให้ดอกไม้สีทองบินออกไปจากชายคาของตำหนักใหญ่ ต่อให้สีหน้าของนางจะไร้สีเลือดแล้ว แต่ก็ยังยืนกรานจะช่วยเฉินผิงอันกำจัดผีสาวทั้งหลายให้ได้มากที่สุด
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว การที่เด็กสาวทำอย่างนี้ได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เฉินผิงอันเหวี่ยงมือทั้งสองข้างออกไปอย่างรวดเร็ว พายุหมัดไหลกรากทะลักออกไปพร้อมประกายแสงส่องสว่าง นี่ก็คือกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้กับเขา พริบตานั้นลมปราณที่เปี่ยมล้นก็แผ่ออกไปข้างนอก กระเทือนพื้นที่รอบด้าน ผีสาวดุร้ายสิบกว่าตนที่พุ่งออกมาจากตำหนักด้านข้างถูกกวาดเรียบไม่มีเหลือ เดิมทีพวกนางก็ถูกดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะเผาไหม้อย่างรุนแรงอยู่ก่อนแล้ว พอมาเจอหมัดนี้ที่เฉินผิงอันเลือกใช้วิธีเสี่ยงอันตรายอย่างจองหอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายิ่งเหมือนเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ เล็บแหลมคมที่ยาวพอๆ กับนิ้วมือของพวกนางไม่อาจเข้าใกล้เฉินผิงอันในระยะหนึ่งจั้งได้เลย
เฉินผิงอันไม่ได้มีความสามารถแค่วิชาหมัดอย่างเดียวเท่านั้น เขาเอนตัวไปด้านหลัง แตะปลายเท้าเบาๆ ทันใดนั้นก็ไถลออกไปด้านหลังหลายจั้ง หลบพ้นกระบี่ที่ฟาดลงมาของผีงามชุดขาวตนนั้นได้ ปลายเท้าของผีงามโครงกระดูกยังไม่ทันได้แตะพื้น ร่างก็พุ่งมาด้านหน้า ไล่ตามเฉินผิงอัน แทงกระบี่ใส่เขามาติดๆ เหมือนโรคร้ายที่แทรกซอนเข้าถึงกระดูก
ทว่าช่วงเวลาที่นางทำทุกอย่างนี้ เฉินผิงอันได้เหวี่ยงหมัดออกไปทั้งสองข้าง ตั้งท่าหมัดที่มีกลิ่นอายเก่าแก่อย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง เพียงพริบตาเดียวก็ต่อยให้ผีร้ายวัตถุหยินอีกหลายสิบตัวที่กรูกันเข้ามาพัวพันยุ่งเหยิงให้จิตวิญญาณแตกสลายไปเป็นครั้งที่สอง
ผีชุดขาวที่เส้นผมสีนิลโบกสะบัดยุ่งเหยิงตวาดกร้าวเสียงเฉียบ เท้าสองข้างก้าวเดินกลางอากาศ ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว “เจ้ามันสมควรตายจริงๆ!”
ขาดอีกแค่ไม่กี่ชุ่นกระบี่ยาวในมือของนางก็จะแทงเข้าหัวใจของเฉินผิงอันอยู่แล้ว
เฉินผิงอันบิดปลายเท้าเล็กน้อยเลียนแบบท่าทางของหม่าขู่เสวียนตอนที่ต่อสู้กันอยู่บนถนนเส้นเล็ก ร่างของเขาจึงเหมือนลูกข่างที่หมุนติ้วๆ ไม่เพียงแต่หลบพ้นกระบี่นั้นมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แถมยังฉวยโอกาสขยับเข้าใกล้ ปล่อยหมัดต่อยซีกหน้าของผีงามโครงกระดูก ฝ่ายหลังกลับสามารถสลายตัวกลายเป็นไอหมอกสีขาวที่กระจายไปสี่ทิศ ไปปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง นิ้วทั้งห้ากระชากดึงหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวสีแดงสดที่ไม่ได้หายตัวมาพร้อมกับนางก็หมุนตัวกลับครึ่งรอบ ปาดคมกระบี่บาดแขนของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันใช้ยันต์ย่อพื้นที่แผ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่อย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ข้างกายผีงามอีกครั้ง พายุหมัดรุนแรงดุจตะวันแผดเผาที่มีอยู่ทั่วทุกอณูกายของเขาทำให้ผีงามโครงกระดูกกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่สนใจจะบังคับกระบี่ยาวที่อยู่ห่างไปไกลอีกแล้ว นางใช้วิธีเดิมโดยการสลายร่างเป็นไอหมอกสีขาวหายตัวไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เฉินผิงอันสีหน้าสุขุมเด็ดเดี่ยว เรียกในใจว่า “ชูอี!”
แม้ว่าจะไม่ใคร่เต็มใจเท่าใดนัก แต่กระบี่บินชูอีก็ยังยอมออกมาจากสนามต่อสู้ก่อนหน้านี้ มันพุ่งแหวกอากาศเข้ามาเป็นเส้นสายสีขาว แทงตรงไปยังผีงามโครงกระดูกที่เพิ่งจะคืนร่างเดิม วินาทีที่นางหายตัวไปเป็นครั้งที่สอง กำไลมรกตและกระบี่ยาวสีแดงสดก็หยุดชะงักไปเสี้ยวขณะหนึ่งอย่างที่แทบจะสังเกตไม่เห็น เหมือนกับว่าเมื่อขาดการเชื่อมโยงทางจิตกับเจ้านายเลยเกิดลังเลตัดสินใจไม่ได้
เมื่อกระบี่บินชูอีแทงเข้าไปที่กลางหว่างคิ้วของนาง ในที่สุดผีงามก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก นางยกสองมือปิดบังใบหน้า เส้นผมสีนิลที่สยายแผ่ม้วนตลบกลับมาปกปิดใบหน้าของนาง
กระบี่บินขนาดเล็กสีหิมะเล่มนั้นหยุดลอยอยู่ตรงหน้านางอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้พุ่งไปด้านหน้าต่อ
แต่ว่า
นางรู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอยด้านหลัง
—–
บทที่ 228.2 ชูอี สืออู ตามข้ามาปราบมาร
โดย
ProjectZyphon
ผีงามโครงกระดูกเหมือนถูกเซียนร่ายเวทกักร่างจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กระดุกกระดิก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ นางหันหน้ากลับมาเหม่อมองเด็กหนุ่มอย่างแข็งทื่อ เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยังพอว่า แต่เหตุใดถึงมีกระบี่บินตั้งสองเล่ม? ทำไมต้องแกล้งทำเป็นว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว?
หลบพ้นชูอีมาได้ แต่หลบไม่พ้นสืออู่!
แต่ว่าต่อให้นางจะถูกกระบี่บินสืออู่แทงทะลุมาจากด้านหลัง เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจพวกวัตถุหยินที่ตามตอแยหมายเล่นงานเขาอีกต่อไป ปล่อยให้พวกนางขยับเข้ามาใกล้ลงไม้ลงมือกับตนโดยไม่สนใจ เฉินผิงอันเพียงแค่ใช้ความเร็วที่มากที่สุดขยับเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าผีงามโครงกระดูก ตัดสินใจใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าอย่างเฉียบขาด หมัดหนึ่งปล่อยไปแล้วก็ตามด้วยหมัดแล้วหมัดเล่า จนกระทั่งถึงหมัดที่ยี่สิบ โครงกระดูกที่อยู่ภายใต้ชุดขาวก็แหลกสลายกลายเป็นผง
สุดท้ายร่างของผีสาวโครงกระดูกก็ระเบิดไปพร้อมกับชุดสีขาว จากนั้นกลางอากาศก็มียันต์ที่วาดเป็นรูปเรือนกายของหญิงสาวปลิวร่วงลงมา
เมื่อนางตาย วัตถุหยินเหล่านั้นก็พลันสูญเสียแกนกลางสำคัญ รีบพากันหลบเข้าไปในตำหนักด้านข้างทั้งสอง ส่วนหนึ่งที่หนีกลับเข้าไปไม่ทันก็ถูกแสงแดดสาดส่องให้สลายไป คราวนี้ด้านในตำหนักไม่มีเสียงหัวร่อต่อกระซิกอีกแล้ว แทนที่มาด้วยเสียงสะอื้นคร่ำครวญ
กระบี่ยาวสีแดงสดร่วงลงพื้น กำไลมรกตเล่มนั้นเหมือนคนที่หลงทาง หมุนติ้วๆ ไม่หยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่ผีงามโครงกระดูกหายไป
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้รีบร้อนไล่ตามไปจับกำไลมรกต แล้วก็ไม่ได้ยื่นมือไปรับยันต์สีเหลืองแผ่นนั้น
กวาดตามองไปรอบด้านแล้วไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ เฉินผิงอันก็ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ทั้งชูอีและสืออูจึงบินพรวดหายเข้าไปข้างใน
จากนั้นเฉินผิงอันก็ย่อตัวลงนั่งยองจ้องนิ่งไปที่ยันต์เหลืองแผ่นนั้น
เฉินผิงอันคีบยันต์ลมร้ายจุดไฟอีกแผ่นหนึ่งที่จางซานเฟิงมอบให้ออกมา วางไว้ใกล้กับแผ่นยันต์สีเหลืองที่อยู่บนพื้น ขยับส่ายมันเบาๆ ไม่ใช่ว่ายันต์จุดไฟจะไม่มีความเคลื่อนไหว แต่ความเคลื่อนไหวนั้นเล็กน้อยมาก มีเพียงมุมหนึ่งของแผ่นยันต์เท่านั้นที่ติดไฟ ไม่ได้ลามไปทั่วทั้งแผ่น
เฉินผิงอันถึงได้คีบยันต์เหลืองแผ่นนั้นขึ้นมา เมื่อคีบมาอยู่ในมือจริงๆ เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่ายันแผ่นนี้ไม่ใช่กระดาษเหลืองธรรมดา เนื้อกระดาษละเอียดนุ่มลื่นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังยืดหยุ่นมาก เกรงว่าต่อให้บุรุษฉกรรจ์ออกแรงฉีกเต็มที่ก็ยังไม่กลัวว่าจะขาด
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เก็บแผ่นยันต์เข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ แต่อันที่จริงแล้วเขาซ่อนมันไว้ในวัตถุฟางชุ่น
เหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากซึ่งทำให้วัตถุฟางชุ่นล้ำค่ามากเป็นพิเศษก็คือ สามารถสกัดกั้นการรับสัมผัสกับภายนอก แม้จะบอกว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่แน่นอน แต่หลักๆ แล้วกฎเกณฑ์เป็นเช่นนี้
ตอนที่เฉินผิงอันหยิบยันต์เหลืองขึ้นมา กำไลมรกตชิ้นนั้นก็เป็นฝ่ายตามติดมาด้วยตัวเอง ยันต์จุดไฟที่อยู่ในมือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันไม่มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น เขาจึงรับมาแล้วเก็บไปไว้ด้วยกัน เพียงแต่ว่าพอเขาจะไปเก็บกระบี่ยาวสีแดงสดเล่มนั้น แค่ยันต์จุดไฟขยับเข้าไปใกล้ก็ลุกไหม้เผาตัวเองอย่างรุนแรง เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย กระบี่เล่มนี้ต้องขายได้ราคาดีไม่น้อย เพียงแต่เขากังวลว่าหากบุ่มบ่ามเก็บมันเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นจะส่งผลกระทบต่อกระบี่บินสืออู่หรือไม่
สุดท้ายเฉินผิงอันเก็บกระบี่ขึ้นมา มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้ามองไปทางต้นสนโบราณที่ตั้งอยู่ข้างป้ายศิลา เขาวิ่งเหยาะๆ ออกตัวก่อนจะเพิ่มความเร็ว แล้วดีดปลายเท้ากระโดดผลุงขึ้นไปบนต้นสน เก็บซ่อนกระบี่ยาวไว้ในพุ่มใบครึ้มดกบนกิ่งสูงชั่วคราว
เด็กสาวตะโกนเรียกอย่างขลาดๆ “เทพเซียนท่านนี้…”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองนาง เด็กสาวชี้ไปยังพื้นที่อยู่ข้างเท้า รูปปั้นดินเผาล้มครืนแตกกระจายกองกันเป็นเนินดินปลายแหลมขนาดย่อมหนึ่งกอง มีเศษสีเงินหลายชิ้นที่ส่องประกายแสงวิบวับอยู่ท่ามกลางเนินดิน สะดุดตามากเป็นพิเศษ ที่อยู่เหนือการคาดการณ์ไปมากกว่านั้นก็คือ ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่งลอยตัวนิ่งๆ อยู่ด้านข้างเนินดิน นอกจากประกายแสงสีทองที่หม่นหมองลงเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีความเสียหายอย่างอื่นอีกแม้แต่นิดเดียว
เนินดินอีกเนินหนึ่งก็มีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ทว่าที่ไม่เหมือนก็คือคทาเหล็กในมือขุนพลฝ่ายบู๊ซึ่งเจอกับสายฟ้าได้หลอมละลายไปจนหมดสิ้น ทางฝ่ายของขุนพลฝ่ายบุ๋นที่นอกจากยันต์สยบปีศาจสีทองและเศษชิ้นส่วนสีเงินแล้ว แม้ตราประทับเหล็กสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะไม่เหลืออยู่แล้ว แต่กลับมีกล่องไม้สีเขียวโบราณเรียบง่ายขนาดเล็กซึ่งนิ้วทั้งห้าของเด็กสามารถกุมได้พอดีเพิ่มขึ้นมาหนึ่งกล่อง
ในใจของเฉินผิงอันทั้งตะลึงทั้งดีใจ รีบทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว เขาเก็บยันต์สีทองและเศษชิ้นส่วนสีเงินซึ่งรวมกันแล้วได้หกชิ้นไปไว้ในวัตถฟางชุ่นก่อน สุดท้ายจึงหยิบกล่องไม้สีเขียวที่แผ่กลิ่นอายอบอุ่นชิ้นนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ต่อให้แค่กุมไว้เบาๆ เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกสงบใจได้อย่างน่าประหลาด
เก็บกล่องไม้ใบเล็กที่ไม่รู้ว่าคืออะไรไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่ได้ใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่น เฉินผิงอันถึงพอจะโล่งใจได้บ้าง
เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เบิกตากว้างมอง ‘เซียนกระบี่’ ที่กำจัดปีศาจปราบมาร มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่อยู่เต็มกายผู้นี้
อาจารย์ที่สอนคาถาเซียนให้นางอย่างลับๆ เคยบอกว่า บนโลกมีเทพเซียนผู้เฒ่าหลายคนที่ฝึกตนจนประความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่กลับมีใบหน้าเหมือนเด็ก นั่นต่างหากถึงจะเป็นเทพเซียนที่มีอิสระเสรี ไม่ต้องถูกฟ้าดินพันธนาการอย่างแท้จริง
วันนี้นางได้เห็นเรื่องประหลาดมามากมาย แต่บนร่างของเทพเซียนที่มองดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้นี้นี่แหละที่มีเรื่องประหลาดมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้านี้ยังจะมีใครเก็บยันต์ที่ใช้แล้วกลับคืนไปบ้าง?
แม้ว่าอาจารย์จะเป็นคนในยุทธภพเกินครึ่งตัว นับเป็นเทพเซียนบนภูเขาได้เล็กน้อย แต่ก็เคยเล่าเรื่องราวทั้งบนภูเขาและด้านล่างภูเขามามากมาย แต่นางก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนจริงๆ
เฉินผิงอันรู้สึกดีกับเด็กสาวไม่น้อย เขาที่เดินไปทางประตูหลักของตำหนักเทพอภิบาลเมือง หมายใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าทำลายอาคมตราผนึกหันมาถามนางเบาๆ ว่า “ที่นี่อันตรายมาก ก่อนหน้านี้ทำไมเจ้าถึงเข้ามาที่นี่?”
ว้าว เทพเซียนพูดกับข้าด้วยล่ะ!
ประเด็นสำคัญคือน้ำเสียงยังเป็นมิตรมากด้วย
เด็กสาวดีใจอย่างถึงที่สุด นางเขย่าข้อมือเบาๆ เสียงกระพรวนก็ดังขึ้นตามมา “ท่านผู้เฒ่าเทพเซียน กระพรวนทั้งสี่ชิ้นบนร่างข้านี้สามารถคุ้มครองข้าได้ ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ต่อให้เทพเซียนขอบเขตถ้ำสถิตคิดจะสังหารข้า ข้าก็ยังประคับประคองตัวเองได้พักใหญ่ แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ…”
“เรื่องที่เกี่ยวพันกับความลับของสมบัติอาคมเช่นนี้ อย่าได้บอกให้คนอื่นรู้” เฉินผิงอันรีบโบกมือตัดบทคำพูดโง่ๆ ของเด็กสาว เอ่ยเตือนว่า “สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน เจ้ารีบไปซะเถอะ ทางที่ดีที่สุดคือออกจากเมืองไปเลย”
เด็กสาวส่ายหน้า “บิดาข้าอยู่ในเมือง ข้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ในเมื่อข้าเรียนเวทคาถาเซียนแล้วก็ต้องปกป้องพวกเขา”
เฉินผิงอันจึงได้แต่เงียบเสียงลง ไม่บังคับอีกฝ่ายอีก เพียงแค่บอกให้เด็กสาวหลบไปให้ไกลสักหน่อย หลังจากนั้นก็เริ่มปล่อยหมัดดุดันใส่ตราผนึกเวทลับนั้น
หลังจากปล่อยไปได้ยี่สิบเอ็ดหมัด ‘ผิวน้ำแข็ง’ ก็ระเบิดดังปัง ควันดำซัดตลบอบอวล มาพร้อมด้วยเสียงร้องโหยหวน เสียงด่าท่อ อารมณ์โกรธแค้นและอาฆาตนับไม่ถ้วน เฉินผิงอันใช้พายุหมัดกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่กวาดทำลายจนเกลี้ยง บางส่วนที่เป็นเหมือนปลาเล็ดรอดออกจากตาข่ายก็ถูกเด็กสาวสวมกระพรวนที่อยู่ด้านหลังช่วยสังหารให้
เฉินผิงอันพลันหันขวับไปมองทางกำแพงเมืองทิศตะวันออก แม้จะมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ทางฝั่งนั้น แต่ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากทางด้านนั้นได้ในทันที
น่าจะเป็นเพราะค่ายกลของที่แห่งนี้ถูกทำลาย กระตุกผมเส้นหนึ่งก็ขยับไปทั้งตัว ปีศาจใหญ่บางตนที่บงการอยู่เบื้องหลังจึงค้นพบการดำรงอยู่ของตน
เพื่อความปลอดภัย ก่อนจะข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป เฉินผิงอันจึงเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมา เฉินผิงอันเพิ่งจะยกเท้าขึ้นก็สังเกตเห็นว่าเด็กสาวทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงจำต้องหันไปถาม “มีอะไร เจ้ารู้ว่าด้านในมีเรื่องประหลาดงั้นหรือ?”
เด็กสาวลำบากใจเล็กน้อย ราวกับรู้สึกว่าตัวเองอ่อนหัดเกินไป แต่ในเมื่อท่านผู้เฒ่าเทพเซียนถามแล้วก็ได้แต่แข็งใจตอบอย่างกลัดกลุ้ม “พ่อแม่ข้าเคยบอกว่า เวลาเดินเข้าวัดไปจุดธูปกราบไหว้ บุรุษซ้ายสตรีขวา พวกท่านที่เป็นบุรุษต้องก้าวเท้าซ้ายข้ามธรณีประตู ของพวกเราคือเท้าขวา”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ตกลง ขอบใจนะ”
แล้วเขาก็ก้าวเท้าซ้ายผ่านธรณีประตู ติดตามยันต์ส่องไฟที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศเข้าไป เดินไปหยุดอยู่เบื้องล่างเทวรูปเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวิน เพียงแต่ว่าไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปาก เทพอภิบาลเมืองก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามซึ่งทำให้เด็กสาวเดือดดาลขึ้นมาทันใด ทว่าเพราะยำเกรงในบารมีที่ท่านผู้เฒ่าเทพอภิบาลเมืองสั่งสมมาหลายร้อยปี เด็กสาวจึงได้แต่กล้าโกรธไม่กล้าพูด แค่นินทาอยู่ในใจไม่หยุดเท่านั้น
ประโยคแรกของเทพอภิบาลเมืองผู้นี้ไม่เกรงใจกันอย่างยิ่ง “เจ้าหนุ่ม รีบมอบตราประทับเหล็กกล้าชิ้นนั้นมาให้ข้า!”
เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบ เตรียมจะหยิบกล่องไม้สีเขียวที่เกิดจากตราประทับเหล็กกล้าที่ถูกหล่อหลอมตอนอยู่ด้านนอกออกมาพลางอธิบายว่า “ตราประทับทางการชิ้นนั้นถูกยันต์ของข้าหลอมละลาย…”
เฉินผิงอันกล่าวได้แค่ครึ่งประโยค
“อย่ามาพูดจาเหลวไหล!”
เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองสั่นสะเทือนรุนแรงอย่างเกรี้ยวกราด เศษฝุ่นทั่วร่างกระจายคลุ้งเป็นระลอก เมื่อเศษส่วนสีทองที่ร่วงอยู่บนพื้นลอยขึ้นมาประกบติดจนแทบจะสมบูรณ์ดังเดิม สีทองตลอดร่างของเทวรูปก็สมกับคำขนานนามจากหลายแคว้นว่า ‘เทพอภิบาลเมืองร่างทอง’ อย่างแท้จริง เห็นเพียงว่าเท้าข้างหนึ่งของเทวรูปยกขึ้นสูง เขาตวาดเสียงเฉียบก้าวร้าว “นึกจริงๆ หรือว่าจัดการกับพวกกระจอกไม่กี่ตนแล้วจะมาทำตัวจองหองต่อหน้าข้าได้?! หากไม่เป็นเพราะสามฝ่ายร่วมมือกัน บวกกับผู้ใต้บังคับบัญชาทรยศ ในนอกประสาน ถึงพันธนาการข้าให้อยู่ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง ไม่อย่างนั้นมีหรือที่พวกเขาจะมีโอกาสกำเริบเสิบสาน รีบมอบตราประทับเหล็กมา อย่าให้เสียเวลา ตอนนี้สถานการณ์คับขัน ข้ายังต้องไปกำราบพวกปีศาจที่อยู่ในเมืองอีก!”
ก่อนหน้าที่ค่ายกลจะถูกทำลาย เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองพยายามรักษาสติแห่งองค์เทพเอาไว้ไม่ให้ดับลง อีกทั้งเมื่อเวทลับที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความสกปรกแผ่อยู่เต็มตำหนักเทพอภิบาลเมืองจึงทำให้ไม่อาจรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก ในสายตาของเขา เมื่อปีศาจและมารร้ายใหญ่สามตัวจากไปแล้ว อีกฝ่ายไม่รู้ความลี้ลับที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้ย่อมไม่มีทางอยู่ต่อเพื่อเปิดศึกสำคัญ ดังนั้นเรื่องเดียวที่ทำให้เทพอภิบาลเมืองแปลกใจก็คือ เด็กหนุ่มสะพายกล่องกระบี่ทำลายค่ายกลอย่างไร หรือว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ย (ประกอบด้วย 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นฉีเหมินกับส่วนที่เป็นตุ้นเจี่ย ฉีเหมินเป็นส่วนหยางของวิชา เอาไว้กระทำการต่าง ๆ หรือกิจกรรมที่เป็นกายภาพ เช่น การรบ การต่อรอง ตุ้นเจี่ย เป็นส่วนหยินของวิชา เอาไว้ป้องกัน หลบหนี หรือกิจกรรมที่เป็นจิตภาพ เช่น การใช้วิชาฉีเหมินในส่วนของเต๋า ฉีเหมินเวทย์มนต์) และค่ายกลของตระกูลเซียน?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผืนแผ่นดินของแคว้นไฉ่อี ความเป็นความตายของชาวบ้านหลายแสนคนในเมืองแยนจือก็เกี่ยวพันกับของชิ้นนั้นที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้อย่างใกล้ชิด จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
เทวรูปใหญ่ยักษ์ก้าวหนักๆ ออกมาจากแท่นบูชา เหยียบบนพื้นอยู่ห่างจากเบื้องหน้าเฉินผิงอันไปหนึ่งจั้ง พื้นกระดานสีดำปริแตกไม่เหลือชิ้นดี เขาก้มตัวลงมายื่นมือให้เฉินผิงอัน “รีบส่งตราประทับทางการชิ้นนั้นมา!”
เฉินผิงอันไม่ขยับเขยื้อน เขาเอ่ยถามว่า “คนอื่นช่วยเหลือเจ้า ไม่รู้จักพูดว่าขอบคุณหรือไง?”
เทวรูปอึ้งตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด นิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจ พยักหน้ากล่าวว่า “เป็นข้าที่ร้อนใจเกินไป เลยทำไม่ถูก เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ”
เฉินผิงอันควักกล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นออกมา “ตราประทับเหล็กหลอมละลาย ผสานรวมกับดินที่ใช้ปั้นเทวรูปไปแล้ว แต่มีกล่องไม้เล็กๆ ใบนี้โผล่ออกมา ไม่รู้ว่าใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรือไม่?”
เทวรูปพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันขว้างกล้องไม้ขึ้นสูง เทวรูปเทพอภิบาลเมืองตนนั้นรับมาไว้ในมือแล้วยิ้มบางๆ “คือของสิ่งนี้แหละ”
เฉินผิงอันหมุนตัวเดินจากไป เด็กสาวรีบตามไปติดๆ
ด้านหลังมีเสียงลมพัดวูบเข้ามา เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดีจึงรีบโคจรลมปราณ ปราณที่แท้จริงเป็นดั่งมังกรไฟที่ไหลเวียนผ่านระยะทางหนึ่งร้อยลี้ ผ่านทุกช่องโพรงลมปราณในรวดเดียว
เด็กสาวที่เพิ่งเดินไปเกือบถึงธรณีประตูอึ้งงันเป็นไก่ไม้
หันหน้ากลับไปมองก็เห็นเพียงว่าเท้าใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งของเทพอภิบาลเมืองเหยียบลงบนไหล่ของเซียนกระบี่สะพายกล่องไม้ผู้นั้นอย่างแรง เด็กหนุ่มถูกเหยียบจนเอวโค้งงอลงเกือบจะนั่งคุกเข่า เพราะแข็งใจอดทนเอาไว้ได้ถึงไม่ถูกเทวรูปสูงสามจั้งเหยียบให้จมลงไปในพื้นดิน
เฉินผิงอันใบหน้าแดงก่ำ พูดเสียงสั่น “เจ้าหนีไปก่อน!”
เด็กสาวไม่กล้าลังเลอีกต่อไป นางรีบพุ่งตัวออกจากประตู แล่นไปถึงลานกว้าง พอหันหน้ากลับมาก็เห็นเพียงว่ารอบกายเทพอภิบาลเมืองถูกโอบล้อมไปด้วยควันดำเข้มสีดุจน้ำหมึกหลายเส้น พวกมันมุดเข้ามุดออกทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าของเทพอภิบาลเมือง และดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เปลี่ยนมาสีทองหม่นมัวแปลกประหลาด
เด็กสาวกรีดร้องด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “ระวัง เทพอภิบาลเมืองถูกธาตุมารเข้าแทรกแล้ว!”
เข่าสองข้างของเฉินผิงอันงอลงเล็กน้อย เขากัดฟันยืนค้อมเอว บนสันหลังคือเท้ายักษ์ของเทวรูปที่เพิ่มน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เขาค่อยๆ หยัดเอวขึ้นตรงทีละนิด ยื่นมือไปตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันในชายแขนเสื้อก็มียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองสองแผ่นกลิ้งออกมา แยกกันคีบอยู่ระหว่างร่องนิ้ว เพราะก้มหน้าลงจึงมองไปเห็นรองเท้าเตะของตัวเองโดยบังเอิญ เฉินผิงอันพลันรู้สึกสาแก่ใจ ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ในโลกครั้งนี้ช่างวิเศษจริงๆ เขาจึงหัวเราะเสียงดัง “ชูอี สืออู่ ตามข้ามาปราบมาร!”
—–
บทที่ 229.1 ขับไล่อธรรม
โดย
ProjectZyphon
ตอนที่เฉินผิงอันไปตรวจสอบเรื่องจริงเท็จที่ศาลเทพอภิบาลเมือง สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงก็ต้องไปที่จวนเจ้าเมือง คนทั้งสองต่างก็เตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะต้องไปชนตอ
ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้รับการชักจูงจากบุตรชายหลิวเกาหวา เจ้าเมืองหลิวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลก็มารับรองชายฉกรรจ์เคราดกกับนักพรตหนุ่มที่ห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ออกคำสั่งไล่แขก ถึงขั้นไม่ได้ขอร้องให้สวีหย่วนเสียแสดงวิชาดาบอันเผด็จการ แล้วก็ได้ไม่ขอให้จางซานเฟิงบังคับกระบี่บินให้บินว่อนไปทั่วลานบ้าน เมื่อได้ยินว่าคนทั้งสองนำข่าวมาบอก เขาก็มีท่าทางลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะบอกให้คนทั้งสองตามเขาไปที่เรือนหลัก คนทั้งสองตกใจอย่างหนักเพราะในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วเจ็ดแปดคน มีทั้งคนฝึกยุทธ์สวมเสื้อเกราะที่นั่งจับดาบ มีขุนนางฝ่ายบุ๋นอายุมากที่กำลังชี้ไม้ชี้มือไปตามจุดต่างๆ ของแผนที่เมือง แล้วก็มีชายหนุ่มหญิงสาวที่หน้าตาท่าทางอิ่มเอิบ เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกตน หากไม่ได้จงใจอำพรางลมปราณและการหายใจเอาไว้ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามขอบเขตสี่
เจ้าเมืองหลิวแนะนำคนทั้งหมดคร่าวๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือของเมืองแยนจือ แล้วก็มีคนต่างถิ่นที่มาเยือนเพราะได้ข่าว ไม่ต่างจากสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงสักเท่าไหร่
สวีหย่วนเสียมองประเมินชายฉกรรจ์ท่าทางธรรมดาซ้ำอีกรอบหนึ่ง ลักษณะท่าทางหนักแน่น น่าจะเป็นยอดฝีมือที่เมื่อไม่ลงมือก็ไม่โดดเด่น แต่หากลงมือต้องน่าตะลึงดุจสายฟ้าหมื่นชั่งอย่างแน่นอน
ส่วนจางซานเฟิงก็มอง ‘นักพรตท่าทางน่าเลื่อมใส’ คนหนึ่งอยู่หลายครั้ง นักพรตเฒ่ากำลังดื่มชาด้วยท่าทางเนิบช้าสบายใจ ด้านหลังคือมัลละร่างทองเหลืองสูงจั้งกว่าสองตน ‘มัลละ’ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีสติปัญญา ได้แต่ฟังคำสั่งที่ง่ายดายที่สุดของเจ้านาย ยกตัวอย่างเช่นการสังหารศัตรู มัลละร่างทองเหลืองที่ระดับขั้นสูง พลังการต่อสู้สามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ไม่อาจดูแคลน ไม่สามารถมองเป็นหุ่นเชิดที่โง่เขลาชั้นเลวได้แน่นอน
เจ้าเมืองหลิวอธิบายสถานการณ์ล่าสุดให้สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงฟังคร่าวๆ จากนั้นก็ทอดถอนใจ กุมมือคารวะเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “ขอบคุณผู้ผดุงธรรมทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ หากสามารถผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย จะต้องตั้งป้ายขอบคุณทุกท่าน นำชื่อของพวกท่านเขียนลงในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ของท้องที่อย่างแน่นอน”
ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็ลุกขึ้นมาคารวะกลับคืนพลางเอ่ยด้วยถ้อยคำตามมารยาท
เจ้าเมืองหลิวเดินไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ด้านบนวางแผนที่ไว้สองแผ่น แผ่นหนึ่งคือแผนที่สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองแยนจือ อีกแผ่นหนึ่งคือแผนที่หกเมืองของแคว้นไฉ่อีซึ่งรวมถึงเมืองแยนจือด้วย เจ้าเมืองหลิวยื่นนิ้วชี้ไปยังตำแหน่งระหว่างเมืองแยนจือกับเมืองอีกแห่งหนึ่ง “เมื่อครู่นี้ได้ข่าวดีมาเรื่องหนึ่ง แม่ทัพหม่ากับเทพเซียนเฒ่าต่างก็เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นั่นด้วยตัวเอง ทหารม้าหกร้อยนายออกจากฐานทัพกำลังเร่งเดินทางมาที่เมืองของพวกเรา ช้าสุดคือยามซวี (ช่วงหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) ของคืนนี้ก็สามารถเข้าเมืองมารอฟังคำสั่งได้แล้ว พลทหารเดินเท้าสองพันนายกว่าจะมาถึงนอกเมืองก็เป็นช่วงยามจื่อ” (ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง)
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเมืองหลิวต้องจัดการกับเรื่องแบบนี้ เขาร้อนใจจนดวงตาแทบจะพ่นไฟได้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว อกสั่นขวัญผวาอยู่ตลอดทั้งวัน ตอนนี้เวลาพูดน้ำเสียงจึงแหบพร่า รีบรับถ้วยชาร้อนๆ ที่กุนซือเฒ่าผู้ช่วยส่งมาให้
กุนซือเฒ่าที่ช่วยเจ้าเมืองหลิววางแผนมานานหลายปีรับหน้าที่แทนเจ้าเมืองหลิว ชี้ไปตามจุดต่างๆ บนแผนที่พลางอธิบายไปด้วย “ศาลเทพอภิบาลเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรอกซิ่วฮวาของทิศเหนือ สะพานหม่าโถวทางทิศใต้ เจดีย์ชุยถงทางตะวันตก จวนจ้าวที่อยู่ใจกลางของเมือง ตอนนี้ค้นพบว่าสถานที่ทั้งหกนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ศาลเทพอภิบาลเมืองถูกปิดตายแล้ว เซียนซือสองคนที่แอบแฝงตัวเข้าไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับออกมา ที่ตรอกซิ่วฮวามีคนตายเฉียบพลันหกคน ชาวบ้านสามสิบสองตระกูลซึ่งเป็นคนในพื้นที่ได้พากันย้ายออกไปหมดแล้ว ด้านใต้สะพานหม่าโถวมีปีศาจน้ำกินคนปรากฎกาย ไม่รู้ว่าตอนนี้ลอยตามกระแสน้ำไปสร้างความวุ่นวายยังจุดอื่นของเมืองแล้วหรือไม่ เจดีย์ชุยถงที่เดิมทีใช้แจ้งเตือนตระกูลเซียนบนภูเขา ตอนนี้พังถล่มลงมาแล้ว ผู้เฒ่าที่เฝ้าเจดีย์ก็ตายไปอย่างฉับพลัน ส่วนในจวนจ้าวก็มีคนเป็นบ้าไปสิบกว่าคน อยู่ดีไม่ว่าดีอาการก็กำเริบราวกับเป็นโรคระบาด แม้แต่เจ้าหน้าที่ของที่ว่าการที่ไปตรวจสอบดูสถานการณ์ก็ยังเป็นบ้าไปถึงสองคน เป็นเหตุให้พวกเรา…”
กล่าวมาถึงตรงนี้เจ้าเมืองหลวก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที กุนซือเฒ่าจึงไม่พูดต่อ
พูดออกไปแล้วก็ไม่น่าฟัง อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงสะอาดไร้มลทินของใต้เท้าท่านเจ้าเมืองได้
เพราะจวนจ้าวเป็นเหมือนศาลเทพอภิบาลเมืองที่ทางการส่งคนไปปิดทุกทางเข้าออก ไม่อนุญาตให้คนในออก คนนอกเข้าแล้ว
นักพรตเฒ่าที่มีฉายาทางเต๋าว่าจงเมี่ยว (ผู้ที่น่าเลื่อมใสและดีงาม) วางถ้วยชาลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ทุกการกระทำของใต้เท้าหลิวถือว่ากล้าหาญอย่างมาก เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของประชาชนนับหมื่น เชื่อว่าหลังจากจบเหตุการณ์ครั้งนี้ คนที่มีมโนธรรมสักหน่อยต้องรู้สึกขอบคุณการตัดสินใจของใต้เท้าหลิวเกี่ยวกับเรื่องตระกูลจ้าวในวันนี้แน่นอน”
ขุนพลสวมเสื้อเกราะท่าทางองอาจผ่าเผยซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ปรายหางตามองนักพรตจงเมี่ยว แล้วกระตุกมุมปากยกยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
เจ้าเมืองหลิวรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องขอบคุณ แค่สามารถให้อภัยได้ ข้าผู้เป็นขุนนางก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว”
แล้วเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “โชคดีที่เทพเซียนเฒ่าผ่านเมืองของพวกเรามาพอดี เขาตรวจสอบดูภาพบรรยากาศยามค่ำคืนจึงสังเกตเห็นว่าเหนือเมืองของเรามีปราณหยางอบอวลไปทั่ว ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงยังถูกปิดหูปิดตา ถึงเวลานั้นหากเกิดเรื่อง ถูกปีศาจกลุ่มนั้นเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัว ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายจนไม่กล้าคิด เลยร้ายจนไม่กล้าคิด!”
สวีหย่วนเสียเอ่ยถาม “เจดีย์ชุยถงแห่งนั้นทำหน้าที่เหมือนปล่องส่งสัญญาณไฟที่ริมชายแดน สามารถส่งข่าวให้กับตระกูลเซียนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้หรือไม่?”
ใบหน้าของขุนพลเสื้อเกราะอึมครึม พยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้จริง เพียงแต่ว่าพวกปีศาจเจ้าเล่ห์และอำมหิตยิ่งนัก พวกเขาลงมืออย่างเหี้ยมโหด ทำให้ทางเมืองกับตระกูลเซียนพรรคหลิงซี (ในสมัยโบราณหมายถึงนอแรดศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันเปรียบเปรยถึงความรู้ใจ ความรู้สึกที่มีร่วมกัน) ขาดการติดต่อกัน เดิมทีเจดีย์ชุยถงมีเวทลับส่งสารที่มหัศจรรย์มาก อย่างมากสุดหนึ่งก้านธูปก็สามารถทำให้พรรคหลิงซีรู้ข่าว ตอนนี้ให้กระบี่บินไปส่งข่าว เฮอๆ ความเร็วใช้ได้ แต่ราคาแพงไปหน่อย”
ขุนพลบู๊สวมเสื้อเกราะชำเลืองตามองนักพรตจงเมี่ยวที่ท่าทางภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ว่ามองอย่างไรท่าทางนั้นก็น่าเตะ
ใช้กระบี่บินที่ธรรมดาที่สุดส่งข่าวครั้งหนึ่งกลับเปิดปากตั้งราคาถึงหนึ่งแสนตำลึงเงิน คิดว่าตนไม่รู้ราคาการทำธุรกิจของจุดพักม้าบนภูเขาจริงๆ หรือไง?
คาดว่ามัลละร่างทองเหลืองสองตนที่เชิญมาก็คงต้องให้เจ้าเมืองหลิวควักเงินส่วนตัวจ่ายไปไม่น้อย
ขุนพลคนนี้ก็คือผู้ช่วยของแม่ทัพหม่า บุกตะลุยอยู่ในสนามรบที่ชายแดนร่วมกันมานานหลายปี แม้ว่าในอดีตเขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าหนอนหนังสืออย่างเจ้าเมืองหลิวคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เมื่อหายนะใหญ่มาเยือน เห็นว่าคนที่มีชื่อเสียงด้านฝีมือการเขียนบทความของแคว้นไฉ่อียุ่งวุ่นวายจนหัวหมุน ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจเอาแต่หลบอยู่ใต้เตียง ยังพยายามประคับประคองสถานการณ์อย่างสุดกำลัง นี่ทำให้ทัศนคติของเขาที่มีต่อขุนนางฝ่ายบุ๋นคนนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย กลับเป็นนักพรตเฒ่าที่ช่วยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ต่างหากที่เขาเกลียดขี้หน้าอย่างถึงที่สุด เจ้าที่เป็นเพียงนักพรตนอกรีตซึ่งมีรากฐานอยู่ในเมืองแยนจือ มีสิทธิ์อะไรมาโก่งราคา? ต่อให้เมืองถูกทำลายแล้วเจ้านักพรตจงเมี่ยวหนีรอดไปได้ ต่อให้เจ้าจะสะบัดมือไม่สนใจลูกหลานในครอบครัวและกิจการของบรรพบุรุษ แต่ไม่กลัวบ้างหรือว่าสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นคนที่ไม่เหลืออะไรเลย?
สวีหย่วนเสียเอ่ยถาม “เจ้าเมืองหลิว ไม่ทราบว่าเซียนซือของพรรคหลิงซีจะมาถึงเมืองแยนจือเมื่อไหร่? แล้วจะมากันประมาณกี่คน?”
ใต้เท้าเจ้าเมืองคลี่ยิ้ม “โชคดีที่ในพรรคหลิงซีมีนกหลวนหลากสีซึ่งมีอายุสูงถึงหนึ่งพันปีอยู่ตัวหนึ่ง มันเคยเป็นพาหนะให้กับบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของพรรคหลิงซี หลังจากที่บรรพบุรุษจากโลกนี้ไป นกหลวนตัวนั้นก็ไม่เคยออกจากภูเขา เจ้าสำนักทุกรุ่นสามารถขอให้มันช่วยได้ บนหลังของนกหลวนหลากสีมีพื้นที่กว้างพอให้พาเซียนซือห้าหกท่านโดยสารมา หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับกระบี่บิน เชื่อว่าประมาณเที่ยงวันของวันพรุ่งนี้คนของพรรคหลิงซีก็น่าจะมาถึงกลางอากาศเหนือเมืองแยนจือ”
ใต้เท้าหลิวถอนหายใจ แล้วก็พลันเพิ่มระดับน้ำเสียงเอ่ยให้กำลังใจทุกคน “ดังนั้นหวังว่าทุกท่านที่มาร่วมศึกจะสามารถช่วยให้เมืองประคับประคองตัวเองไปได้จนกว่าเซียนซือพรรคหลิงซีจะมาถึง อย่างน้อยยืนหยัดให้ได้ถึงเที่ยงของวันพรุ่งนี้!”
สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากัน สีหน้าไม่ถือว่าผ่อนคลายเท่าใดนัก
จางซานเฟิงยิ่งเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเฉินผิงอันที่เดินทางไปยังศาลเทพอภิบาลเมืองหรือไม่
……
ประตูตะวันออกของเมืองแยนจือมีหอเรือนสูงสองชั้น หลังคาปั้นหยาหักมุข มีหน้าจั่ว ลักษณะคล้ายมังกรขดพยัคฆ์หมอบ
เสื้อเกราะที่สวมอยู่บนร่างแม่ทัพหม่าไม่ใช่เสื้อตัวใหม่ กลับกันคือเก่าแก่มาก ด้านบนเต็มไปด้วยรอยดาบและรอยกระบี่กรีดผ่าน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นของรักของแม่ทัพแห่งชายแดนแคว้นไฉ่อี เกือบร้อยปีมานี้ชายแดนแคว้นไฉ่อีมีสงครามเกิดขึ้นไม่มาก เพียงแต่ว่ามักจะมีการปะทะกับแคว้นกู่อวี๋ที่อยู่ทางเหนืออยู่เป็นระยะ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในสนามรบจึงให้ความสำคัญกับคุณความชอบในการรบอย่างมาก เพราะมันมักจะเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่การเลื่อนขั้นในกองทัพและในราชสำนัก หากไม่เป็นเพราะไม่มีคนช่วยพูดให้แม่ทัพหม่าในราชสำนัก เกรงว่าเขาก็คงกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งกรมกลาโหมที่มีอายุน้อยไปนานแล้ว
ชั้นบนสุดของหอเรือน แม่ทัพหม่าพลันหันมองไปยังทิศทางของศาลเทพอภิบาลเมืองที่เทพเซียนเฒ่าจ้องมองอยู่นาน นึกว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นกะทันหัน จึงเอ่ยถามว่า “หวงเหล่า ปีศาจที่อยู่ด้านในเริ่มเผยร่างก่อกวนแล้วใช่หรือไม่?”
เทพเซียนเฒ่าที่ชายแขนเสื้อกว้างโบกสะบัดไปตามลมลูบเครา เอ่ยยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ข้าย่อมต้องมีวิธีกำราบอยู่แล้ว สถานที่ที่พวกเราต้องเฝ้าสังเกตการณ์อย่างแท้จริงยังคงเป็นจวนจ้าวที่อยู่ใจกลางเมือง สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับจวนเจ้าเมืองมากเกินไป หากเกิดเรื่องขึ้นมา ผลลัพธ์ย่อมรุนแรงมาก ยังดีที่การเดินทางลงใต้ของข้าในครั้งนี้ได้พบกับสหายรู้ใจสองคน พวกเขาต่างก็เป็นผู้นำแห่งตระกูลเซียนบนภูเขาตัวจริง เดิมทีพวกเขาจะเดินทางไปสำนักศึกษากวานหูเพื่อพูดคุยถกปัญหากับเหล่าปราชญ์เมธี แต่ตอนนี้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเร่งด่วน พวกเขาก็ไม่มีเวลามาสนแล้วว่าการเดินทางจะถูกถ่วงให้ล่าช้าหรือไม่ ข้าส่งข่าวไปให้พวกเขาสองคนแล้ว บอกให้พวกเขารีบมาช่วยเหลือโดยเร็ว คาดว่าอีกไม่นานพวกเขาก็คงทะยานลมมาถึง ตอนนี้ข้ากับแม่ทัพหม่าร่วมมือกันปกป้องประตูตะวันออก หนึ่งในสองของสหายเฒ่าจับตามองจวนจ้าว ก็จะถือโอกาสคุ้มครองจวนเจ้าเมืองไปด้วยเลย อีกคนหนึ่งไปเฝ้าพิทักษ์ทางเมืองทิศตะวันตก รวมกับผู้ฝึกลมปราณและจอมยุทธ์ในจวนเจ้าเมือง เชื่อว่าการสร้างความวุ่นวายของเหล่าปีศาจในครั้งนี้อาจไม่ถึงขั้นทำให้เมืองเละเทะเสียหายมากนัก”
แม่ทัพหม่ากุมมือคารวะ เอ่ยขอบคุณ “หากไม่เป็นเพราะหวงเหล่าค้นพบเบาะแสแต่เนิ่นๆ แล้วรีบเอามาบอกพวกเรา ครั้งนี้ชาวบ้านในเมืองก็คงต้องเจอหายนะครั้งใหญ่ อีกทั้งหวงเหล่ายังเต็มใจพาตัวเข้ามาเสี่ยง ยอมออกหน้าช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม ข้าผู้แซ่หม่าเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่รู้จักคำพูดสวยหรู แต่จะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
เทพเซียนเฒ่าส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “หากเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วคิดแต่จะบินทะยานให้สูง ไม่สนใจความทุกข์ยากของปวงประชา ถ้าอย่างนั้นจะยังฝึกตนเป็นเทพเซียนไปเพื่ออะไร? จะต้องการชีวิตอมตะไปทำไม?”
แม่ทัพหม่าใช้หมัดทุบอกที่มีเสื้อเกราะปิดทับ จากนั้นก็ยกนิ้วโป้ง กล่าวอย่างนับถือจากใจจริง “หวงเหล่า ลำพังเพียงแค่ประโยคนี้ เจ้าก็คือผู้ฝึกบำเพ็ญตนอย่างแท้จริงแล้ว!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ แม่ทัพวัยกลางคนผู้นี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ส่วนพวกเซียนซือที่มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมบางคนของแคว้นไฉ่อี โดยเฉพาะพวกคนที่อยู่เมืองหลวงกลุ่มนั้น หึ ช่างไร้ยางอายซะจริง วันๆ ดีแต่จะแบมือขอเงินจากทางราชสำนัก สร้างศาลาเซียนก่อหอสูง เดือดร้อนชาวบ้านทำลายทรัพย์สิน…เฮ้อ ไม่พูดดีกว่า ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห!”
เทพเซียนเฒ่ายืนสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แม่น้ำสายไหนในใต้หล้าที่ไม่มีดินโคลนตกตะกอนอยู่ข้างใต้? แม่ทัพหม่าไม่จำเป็นต้องโกรธเคือง ในเมื่อเรื่องราวทางโลกเป็นเช่นนี้ เราทำตัวเองให้ดีก่อนก็พอแล้ว”
แม่ทัพฝ่ายบู๊พยักหน้ารับเห็นด้วย ในใจยิ่งรู้สึกเคารพเลื่อมใสเทพเซียนเฒ่าที่มีตบะลึกล้ำ อีกทั้งยังมีความเจ็บแค้นในความยุติธรรมเหมือนกับตนผู้นี้มากยิ่งขึ้น
เทพเซียนไม่ได้มีอยู่แค่ในถ้ำสถิตบนภูเขาเท่านั้น แต่ด้านล่างภูเขาก็มีเหมือนกัน
เทพเซียนเฒ่าร่ายใช้เวทอภินิหารอีกครั้ง เขาหรี่ตาพยายามมองไปทางศาลเทพอภิบาลเมือง เนื่องจากอยู่ห่างกันเกินไป เขาจึงมองเห็นภาพเหตุการณ์ไม่ชัดเจนนัก หากมารเฒ่าหมี่อยู่ด้วยก็คงดี เพราะเขาพอจะมองภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือได้อย่างถูไถ ระยะห่างเพียงเท่านี้ก็น่าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะสัมผัสได้ว่าค่ายกลของศาลเทพอภิบาลเมืองถูกทำลาย แน่ใจว่าไม่ผิดพลาด แสดงว่าต้องมีคนที่ไม่เจียมตัวกำลังทำตัวอวดเก่งเป็นวีรบุรุษ ไม่เป็นไร เขาเตรียมแผนรับมือไว้ที่นั่นนานแล้ว เทพอภิบาลเมืองร่างทองและเทวรูปบุ๋นบู๊สององค์ที่อยู่ด้านข้างต่างก็ถูกมารเฒ่าหมี่แอบเล่นตุกติกอย่างลับๆ เขายอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อประคับประคองควันธูปพิเศษเป็นเวลายาวนานถึงยี่สิบปีกว่า ให้พวกเขาจมสู่วิถีมารโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้มารเฒ่าหมี่ยังทำหน้าหนารีดไถอาวุธวิเศษสามชิ้นมาจากพวกเขาถึงจะยอมเลิกรา
ดังนั้นกระแสคลื่นเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมืองจึงไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการไหลไปของแม่น้ำสายใหญ่
แผนการลับที่วางมานานสามสิบปี เรื่องที่สี่ฝ่ายร่วมมือประสานงานกัน จะปล่อยให้สิ่งที่ทำมาเสียเปล่าไปได้อย่างไร?
เว้นเสียแต่ว่ามีเทพเซียนพสุธาขอบเขตสิบท่านหนึ่งเยื้องกรายลงมาจากฟ้า แล้วจู่ๆ บอกว่าต้องการปกป้องเมืองแยนจือ พวกเขาถึงจะอาจหยุดมือ
แต่พวกเขาต่างก็รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของสำนักโองการเทพ สำนักศึกษากวานหูและตระกูลเซียนใหญ่ๆ หลายแห่งมานานแล้ว แน่ใจว่าไม่มีทางมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้อาวุโสใหญ่ที่เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดเป็นเหมือนมังกรเทพที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหางมาโดยตลอด พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือ หากเจอกับสถานการณ์นี้เข้าจริงๆ ขอแค่ไม่ใช่บุรพาจารย์จากสำนักที่ถูกทำนองคลองธรรม อีกทั้งยังต้องเป็นบุรพาจารย์ผู้มีความเที่ยงธรรมเต็มหัวใจ จะยอมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ก็ยังไม่แน่
แนวโน้มของสถานการณ์แน่นอนแล้ว สถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดมาแล้ว!
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น