ข้ามกาลบันดาลรัก 227.1-228.1
ตอนที่ 227-1 คัดค้าน
“แม่นางเมิ่งเป็นคนยึดถือมิตรภาพไม่เห็นแก่ตัว หากท่านดึงดันจะไม่รับเงิน เป็นไปได้ว่าครั้งหน้านางจะไม่มาซื้อสารส้มกับพวกเราอีก หากเป็นเช่นนั้น สู้พวกเราขายสารส้มให้นางในราคาทุน ให้ภายหน้านางวางใจมาซื้อกับพวกเราอีก ทั้งพวกเราก็ได้ลอบช่วยนางอีกแรง” หมอชราตอบ
เหวินซื่อกล่าวชม “ท่านคิดรอบคอบเสมอ ถึงว่าเมื่อครู่ท่านไม่พูดจำนวนเงินออกมา แต่พอคิดเสร็จกลับยื่นให้นางดูเอง กลัวพนักงานจะพลั้งปากพูดสินะ”
หมอชราผงกศีรษะ
วันนี้เมิ่งชื่อไม่ได้ไปโรงงานแต่ซักผ้าอยู่ที่บ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนไม่เพียงกลับมาเร็ว ด้านหลังยังมีรถม้าตามมาอีกคัน ให้นึกประหลาดใจ วางเสื้อผ้าในมือลง ลุกขึ้นเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนรอบเอว เดินมาหน้าประตู ถามอย่างไม่เข้าใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าซื้อสิ่งใดกลับมา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้หารือกับเมิ่งเสียนระหว่างทางกลับมาแล้ว เรื่องนี้จะยังไม่ให้คนในบ้านรู้ จึงพูดสิ่งที่ทั้งสองคนเตรียมเอาไว้ “อ่อ พวกนี้เป็นสมุนไพรที่ซื้อมาจากร้านยาเต๋อเหรินเจ้าค่ะ ข้าอยากจะปรุงยาจำนวนหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้วิชาการแพทย์ เมิ่งชื่อทราบดี นึกว่านางคงเป็นเหมือนหมอทั่วไป ยามว่างก็จะปรุงยาเก็บไว้ พอคนในบ้านปวดหัวตัวร้อนจะได้มีใช้สะดวก จึงไม่ได้คิดเป็นอื่น เข้าไปช่วยทั้งสองคนขนสมุนไพรเข้าไปเก็บในห้องฝั่งตะวันตก
ขนถ่ายสมุนไพรเสร็จ พนักงานบังคับรถม้ากลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พักผ่อนแล้ว เข้าไปหยิบมันฝรั่งจำนวนหนึ่งออกมาจากในครัว หลังจากชั่งน้ำหนักเสร็จ เมิ่งชื่อเข้ามาช่วยปอกและล้างน้ำจนสะอาด ถึงให้เมิ่งเสียนมาช่วยบดให้เป็นผง ตากจนแห้ง
ไม่มีเครื่องมือผ่อนแรง เมิ่งเสียนต้องใช้แรงไปไม่น้อยถึงทำเสร็จ
เมิ่งเชี่ยนโยวสกัดสารส้มออกมาเป็นก้อนเล็ก นำไปชั่งน้ำหนักเช่นกัน แล้ววางเตรียมเอาไว้
เมิ่งชื่อรู้สึกแปลกประหลาด ไม่ซักเสื้อผ้าแล้ว เข้ามาช่วยเป็นลูกมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งชื่อไปต้มน้ำร้อนหนึ่งกระทะ ส่วนตัวเองเข้ามาหากะละมังกลมในครัวหนึ่งใบ ล้างให้สะอาด ผสมมันฝรั่งที่บดแห้งเป็นผงกับสารส้มและน้ำในปริมาณที่กำหนด โดยแกว่งสารส้มไปมาบนผิวน้ำไม่หยุด กระทั่งผงแป้งขุ่นจับตัวเป็นแผ่นแป้ง จึงวางกะละมังให้จมลงในน้ำทั้งใบ หลังจากแผ่นแป้ง กลายเป็นสีโปร่งใส ถึงตักออกมาวางไว้อีกด้าน ให้เมิ่งเสียนที่เตรียมน้ำเย็นไว้ก่อนแล้ว
เมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนมองทั้งหมดนี้อย่างตะลึงลาน
หลังจากหล่อเย็นเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวใช้กะละมังตักออกมา ควบคุมน้ำจนสะอาดแล้ว ถึงลอกแผ่นแป้งออกอย่างระวัง
เมิ่งชื่อเห็นแผ่นแป้งโปร่งแสงจุดเล็กจุดน้อย ถามอย่างยินดี “นี่ก็คือแป้งมันฝรั่งหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ฉีกแผ่นแป้งออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ วางใส่ปากละเมียดชิม เพิ่งจะกัดหนึ่งคำก็บ้วนออกมาทันที ย่นหัวคิ้วพูดว่า “ใส่สารส้มมากเกินไป” พูดจบ แลบลิ้น เดินหาชาม กลั้วคอด้วยน้ำเย็น ถึงรู้สึกว่ารสชาติในปากไม่แย่เท่าเมื่อครู่แล้ว
เมิ่งชื่อเห็นท่าทีของนาง รู้ว่าจะต้องทำไม่สำเร็จ แต่ก็ใคร่รู้เลียนแบบท่าทางของนางฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่เข้าปาก แล้วหัวคิ้วก็ยู่ย่นเหมือนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ผิดเพี้ยน
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบยื่นชามในมือไปตรงหน้านาง
เมิ่งชื่อกลั้วคอบ้วนทิ้งหลายครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูปริมาณและอัตราส่วนที่จดไว้เมื่อครู่ ลดทอนสัดส่วนของสารส้มออกไป ทำซ้ำอีกครั้ง สุดท้ายทำออกมาได้ไม่ต่างจากเมื่อครู่
ทำซ้ำไปมาหลายครั้ง ก็ยังทำเส้นแป้งมันฝรั่งออกมาไม่ได้
เมิ่งชื่อมองดูมันฝรั่งต้องสูญเปล่าไปมากมาย ให้ปวดใจพูดเกลี้ยกล่อมนาง “โยวเอ๋อร์ ไม่ได้ก็อย่าทำเลย พวกเราขายมันฝรั่งอย่างเดียวก็ดีมากแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านแม่ ต่อไปจะไม่ได้มีแค่บ้านเราที่ปลูกมันฝรั่ง หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด พรุ่งนี้จะต้องมีคนมาขอวิธีการปลูกมันฝรั่ง ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าพวกเราจะปฏิเสธได้หรือไม่ ดังนั้นพอมีคนปลูกมันฝรั่งในปริมาณที่มากขึ้น อย่างมากไม่เกินสามปี ราคามันฝรั่งก็จะไม่แตกต่างจากพืชผักชนิดอื่น หนึ่งจินไม่กี่สิบอีแปะกระทั่งไม่กี่อีแปะก็ได้ แต่เส้นแป้งมันฝรั่งไม่เหมือนกัน ทุกคนรู้ว่านี่เป็นสูตรเฉพาะที่ครอบครัวเราคิดค้นออกมา ไม่มีใครกล้ามาร้องขอ ดังนั้น หากคิดจะทำกำไรระยะยาว จะต้องพึ่งพาเส้นแป้งมันฝรั่งนี้”
เมิ่งชื่อไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน ได้ฟังก็พูดว่า “พวกเขามาร้องขอพวกเราก็ต้องให้หรือ? พวกเราไม่ให้ พวกเขาจะแย่งชิงหรือไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจอธิบายให้นางฟัง “พวกเราไม่ให้ พวกเขาก็แย่งชิงไปไม่ได้ แต่ครอบครัวเราจะต้องผิดใจกับคนทั้งหมู่บ้าน โดยเฉพาะหัวหน้าสกุลอาวุโสเหล่านั้น พวกเขามีคุณธรรมบารมีสูงส่ง ลูกหลานในสกุลต่างเชื่อฟังพวกเขา หากพวกเขามีอคติกับครอบครัวพวกเรา ภายหน้าครอบครัวพวกเราคงมีชีวิตในหมู่บ้านอย่างยากลำบาก ทั้งยังต้องคอยระแวดระวังคนวางแผนกลั่นแกล้ง อีกอย่าง ท่านลุงใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน หากเรื่องนี้ยังทำไม่ได้ ข่าวลือโคมลอยจะต้องมีออกมาไม่หยุด หากเป็นเช่นนี้ สู้พวกเราหาโอกาสเหมาะ บอกวิธีการเพาะปลูกมันฝรั่ง นอกจากจะได้รับคำชื่นชม ยังสร้างความน่าเกรงขามให้ท่านลุงใหญ่ได้อีกด้วย ต่อไปครอบครัวพวกเรากระทำการใดในหมู่บ้านก็จะยิ่งสะดวกสบาย”
เมิ่งชื่อฟังจบ แม้จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็รู้ว่าเป็นจริงอย่างที่บุตรสาวกล่าวมา จึงไม่คัดค้าน หันไปต้มน้ำเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีก
เมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนำอัตราส่วนแตกต่างกันที่จดบันทึกไว้เมื่อครู่ มาหารือกันอย่างละเอียด แล้วทำใหม่อีกครั้ง กระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนของพวกซุนเหลียงไฉ ก็ยังทำไม่สำเร็จ
เมิ่งเสียนเริ่มท้อแท้ใจ
เมิ่งชื่อกลับไปวุ่นวายกับการทำอาหารเที่ยง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หมดกำลังใจ ตั้งใจวิเคราะห์อัตราส่วนต่อไป
ซุนเหลียงไฉและเมิ่งเจี๋ยเมิ่งชิงเลิกเรียนกลับมา เห็นแป้งมันฝรั่งโปร่งแสงเป็นแผ่นๆ ให้สนใจใคร่รู้ ร้องถามว่ากินได้หรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดอยากจะแกล้งพวกเขา พูดล่อหลอก “อร่อยยิ่งนัก เมื่อครู่ข้ากับพี่ใหญ่กินกันไปไม่น้อย”
เมิ่งเสียนเห็นท่าทีแก่นแก้วของนาง ยิ้มส่ายหน้าไปมา
ทั้งสามคนได้ยินดังนั้น ถามนางอย่างคาดหวัง “พวกเรากินบ้างได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ ใช้มือฉีกกินก็ได้แล้ว”
สิ้นเสียงนาง ทั้งสามก็ยื่นมือออกมาอย่างอดใจรอไม่ไหว ฉีกกันคนละชิ้นใส่เข้าปาก เคี้ยวหนุบหนับ เพิ่งจะเคี้ยวได้สองคำ ซุนเหลียงไฉก็บ้วนแป้งมันฝรั่งในปากออกมาทันที แลบลิ้นพูดว่า “นี่คืออะไรไม่อร่อยสักนิด?”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงก็รีบบ้วนแป้งมันฝรั่งในปากออก ย่นหัวคิ้วกระทืบเท้าพูด “ไม่อร่อยเลย ท่านพี่หลอกพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวร่องอหาย
เมิ่งชื่อยิ้มอ่อนมองทั้งหมดนี้
ผ่านไปอีกหลายวัน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออกจากบ้านเลย เอาแต่ลากเมิ่งเสียนและเมิ่งชื่อมาช่วยทำเส้นแป้งมันฝรั่ง สิ่งที่ทำออกมาได้รสชาติแย่แตกต่างกันไป เมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนที่คอยช่วยชิมต่างคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ลิ้นตัวเองจะต้องตายด้าน กลัวว่าต่อไปจะรับรสใดๆ ไม่ได้อีก
คนในครอบครัวก็ไม่มีใครสนใจใคร่รู้อีก โดยเฉพาะพวกซุนเหลียงไฉสามคนที่ถูกหลอกครั้งก่อน ทุกครั้งจะหลบลี้ห่างออกมา กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะลากพวกเขาไปช่วยชิมรส มีเพียงเมิ่งอี้เซวียนที่พอกลับมาจากเลิกเรียน จะมาช่วยชิมรสชาติทุกครั้ง ทั้งเสนอคำชี้แนะ จากนั้นร่วมถกปัญหาอัตราส่วนกับเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียน
วันนี้ เมิ่งชื่อทนต่อไปไม่ไหวแล้ว พูดว่า “หากโยวเอ๋อร์ทำออกมาไม่ได้ก็อย่าทำอีกเลย เจ้าดูสิ่งที่พวกเราทำออกมาหลายวันนี้ แม้แต่ไก่บ้านป้าหวังก็ไม่ยอมกินแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร จับจ้องครุ่นคิดอัตราส่วนตัวเลขที่บันทึกไว้
เมิ่งเสียนส่งสัญญาณบอกเมิ่งชื่ออย่าไปรบกวนนาง แล้วแยกตัวไปบดเป็นผงอีกครั้ง
เมิ่งชื่อไม่พูดอะไรอีก เดินมาข้างเตาเตรียมจะต้มน้ำอีกครั้ง
จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้องตะโกนขึ้น “สำเร็จแล้ว ครั้งนี้ไม่มีปัญหาแล้ว”
เมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนหยุดงานในมือ ยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาถามไถ่ “เจ้าคำนวณได้แล้วหรือ? ทำได้แล้วจริงๆ หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ให้เมิ่งเสียนเอาผงมันฝรั่งชุดใหม่เข้ามา ชั่งน้ำหนัก ทำตามอัตราส่วนที่ตนเองคำนวณ ใส่สารส้มและน้ำลงไป ทำตามกรรมวิธีใหม่ หลังจากได้แป้งมันฝรั่งแล้ว วางลงหล่อเย็นในน้ำ
หลังจากหล่อเย็นเสร็จ ก็ฉีกชิ้นเล็กๆ ออกมาใส่ปากด้วยความมั่นใจ เคี้ยวหนุบหนับ พยักหน้าพึงพอใจ “รสชาตินี้ล่ะ”
เมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนได้แต่มองนางอย่างคาดหวัง เห็นนางพยักหน้า รู้ว่าทำสำเร็จแล้ว ดีใจกินหนึ่งคำ อร่อยนุ่มละมุนลิ้น ไม่มีรสแปลกประหลาดอีก
เมิ่งชื่อทั้งดีใจและโล่งใจไปพร้อมๆ กัน “ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดเจ้าก็ทำสำเร็จ แม่รู้สึกว่าหลายวันมานี้ลิ้นแทบใช้การไม่ได้แล้ว”
ทำแป้งมันฝรั่งสำเร็จ หมายความว่าโรงงานเส้นแป้งมันฝรั่งสามารถดำเนินการได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเป็นอย่างมาก ใช้มือเปียกชื้นคว้าแขนเมิ่งชื่อหมับ พูดอย่างซุกซนรักใคร่ “ท่านแม่สูงวัยที่รักของข้า เพื่อชดเชยลิ้นที่ได้รับความทุกข์ทรมานตลอดหลายวันที่ผ่านมาของท่าน ข้าตัดสินใจจะทำก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่งต้มยำหนึ่งชามให้ท่านกิน”
เมิ่งชื่อคุ้นชินที่เมิ่งเชี่ยนโยวมักจะโพล่งวิธีพูดแปลกประหลาดออกมาเสียแล้ว ทว่ายังแสร้งชักสีหน้า “แม่ยังอ่อนเยาว์ สูงวัยที่ไหนกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดเอาใจ “ใช่ๆๆ ท่านแม่ของข้ายังสาวยังสวย เปล่งปลั่งดั่งดอกไม้แรกแย้ม”
เมิ่งชื่อโมโหจนขำ แสร้งทำมือจะตีนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยแขนนางวิ่งหนีไปไกลแล้ว
เมิ่งชื่อไม่ได้เห็นบุตรสาวมีความสุขเช่นนี้มานาน ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งเสียนไปเอาน้ำมันพริกขวดเล็กมา ส่วนตัวเองหั่นแผ่นแป้งมันฝรั่งเป็นเส้นเรียวยาว จากนั้นเข้าไปหยิบผักสดในครัวออกมา บรรจงล้างจนสะอาด หั่นเป็นท่อนๆ วางรอไว้
เมิ่งชื่อจุดไฟตามที่นางบอก เมิ่งเชี่ยนโยวเทน้ำมันลงไป รอจนน้ำมันร้อน เทต้นหอมลงไปผัดด้วยไฟแรงก่อน ถึงเทน้ำมันพริกลงไป ใส่เครื่องปรุง กระทั่งมีกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ถึงใส่น้ำในปริมาณพอเหมาะ เทเส้นแป้งมันฝรั่งลงไปในกระทะ รอประเดี๋ยวหนึ่ง ใช้ตะเกียบคีบขึ้นมา รู้สึกว่าเกือบสุกแล้ว ถึงเทผักที่ล้างเตรียมไว้แล้วลงกระทะ บอกเมิ่งชื่อว่า “ใส่ผักสดได้ตามใจชอบ ชอบกินอะไรก็ใส่อย่างนั้นเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อถูกดึงดูดจากกลิ่นหอมในกระทะ พยักหน้าหงึกหงัก
พอผักสุก ก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่งก็เสร็จพร้อมรับประทาน
เมิ่งเชี่ยนโยวตักให้เมิ่งชื่อก่อนหนึ่งชาม “ท่านแม่ ท่านชิมดูก่อนว่าอร่อยหรือไม่?”
เมิ่งชื่อวางชามลงบนโต๊ะ ลากเก้าอี้เตี้ยข้างๆ มานั่ง ถึงคีบเส้นแป้งมันฝรั่งจำนวนหนึ่งเข้าปาก เคี้ยวหงุบๆ แล้วร้องอุทาน “อร่อยยิ่งนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตักให้เมิ่งเสียนหนึ่งชาม “พี่ใหญ่ ท่านก็ลองชิมดูเถิด”
สุดท้ายถึงตักให้ตัวเอง ทั้งสามคนนั่งล้อมวงกินอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนที่ 227-2 คัดค้าน
อาหารหนึ่งชาม ทำเหงื่อซึมชโลมกาย เมิ่งชื่อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพูดว่า “ไม่เคยเลยว่าก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่งจะอร่อยเช่นนี้”
เมิ่งเสียนก็กินจนเหงื่อผุดซึมเต็มปลายจมูก พยักหน้ารับหงึกหงัก “อร่อยมากจริงๆ หากฤดูหนาวได้กินก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่งเช่นนี้สักชาม จะต้องยิ่งสบายตัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดปากเสร็จ ถามปัญหาให้ตะลึงค้างอีกครั้ง “ท่านแม่ พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเราเข้าไปเปิดร้านขายอาหารในเมือง เพื่อขายก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่งโดยเฉพาะเป็นอย่างไร?”
เมิ่งชื่อถลึงตาโต ตกใจถาม “เปิดร้าน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับ “ข้าคิดดีแล้ว พอโรงงานเส้นแป้งมันฝรั่งของพวกเราเปิดดำเนินการ ข้าจะเข้าไปหาร้านเล็กๆ สักแห่งในเมือง เพื่อขายก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่งรสชาติต่างๆ โดยเฉพาะ”
เมิ่งชื่อโบกมือพัลวัน “ไม่ได้ๆ ครอบครัวพวกเราไม่เคยมีใครเปิดร้านค้ามาก่อน ไม่มีประสบการณ์ จะต้องทำไม่ได้”
“ท่านแม่ ท่านลืมแล้วหรือ พี่เมิ่งอี้เคยทำงานในภัตตาคารมาก่อน เขาจะต้องมีประสบการณ์ต้อนรับลูกค้าไม่น้อย ถึงตอนนั้นเราให้เขาเป็นคนดูแลการค้าในร้านก็ได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งเสียนพยักหน้า “มอบให้พี่เมิ่งอี้นับได้ว่าเหมาะสม แต่เกรงว่าความคิดนี้ของเจ้าจะเป็นจริงไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด?”
เมิ่งเสียนแจกแจงให้นางฟัง “มันฝรั่งของพวกเราในตอนนี้มีราคาจินละครึ่งตำลึง มันฝรั่งหนึ่งจินทำแป้งมันฝรั่งออกมาได้ไม่กี่มากน้อย แต่หากพวกเรากำหนดราคาสูงเกินไป ก็จะมีคนมากินไม่กี่คน…”
ยังพูดไม่จบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดแทรกตัดบท “มันก็ไม่แน่หรอก ราคาอาหารของเหลาจวี้เสียนสูงกว่าที่อื่นมาก ยังมีคนมากมายเข้ามากินทุกวัน ขอเพียงพวกเราทำออกมามีรสชาติดี คนที่มากินจะต้องมีไม่น้อย อีกทั้ง มีแต่ร้านพวกเราที่ขายก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่ง ต่อให้เป็นการลิ้มรสของแปลกใหม่ ก็จะต้องซื้อกินสักชาม ข้าคิดว่าการค้าของร้านจะต้องดังระเบิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวใบหน้ามุ่งมั่น เมิ่งเสียนพูดตัดกำลังใจนางอีกไม่ลง คิดว่าเปิดร้านเล็กๆ สักห้องใช้เงินไม่กี่มากน้อย จึงไม่คัดค้านอีก
พวกซุนเหลียงไฉสามคนเลิกเรียนกลับมา เตรียมกลับเข้าไปทำการบ้านที่อาจารย์ให้ในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหน้าประตูครัว ส่งยิ้มกวักมือให้พวกเขา
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งหน้าบานเข้ามา แหงนหน้าถาม “ท่านพี่ มีเรื่องอันใดหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะของเด็กน้อยทั้งสอง โน้มตัวถามพวกเขา “พี่สาวทำของอร่อยไว้ให้พวกเจ้า พวกเจ้าอยากกินหรือไม่?”
เด็กน้อยทั้งสองผงกศีรษะราวโขลกกระเทียม “กินๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพาพวกเขาเข้ามาในครัว ซุนเหลียงไฉข้องใจเดินตามหลังเข้ามา พอเห็นว่าเป็นเส้นแป้งมันฝรั่ง ตกใจหันหลังเดินออกไปทันที
เด็กน้อยทั้งสองก็ขมวดคิ้วยู่ย่น
เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมาจากในครัว “เส้นแป้งมันฝรั่งของพี่สาวทำสำเร็จแล้ว ท่านแม่และพี่ใหญ่ต่างก็ได้กินแล้ว อร่อยเลิศรสนัก พวกเจ้าอยากลองชิมหรือไม่?”
ซุนเหลียงไฉหยุดชะงักเท้าที่เดินพ้นครัวออกมาแล้ว
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเอียงคอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงตัดสินใจพูดว่า “พวกเรากินขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท่าทีสับสนลังเลของเด็กทั้งสอง ให้หัวเราะขบขัน
เมิ่งชื่อที่กำลังทำกับข้าวอยู่อีกด้านก็ขบขันไปด้วย ยกยิ้มพูดว่า “กินเถอะ วันนี้เส้นแป้งมันฝรั่งของพี่สาวพวกเจ้าอร่อยยิ่งนัก”
สิ้นเสียง ซุนเหลียงไฉมุดพรวดกลับเข้ามา แววตามองซอกแซกไปทั่ว “อยู่ที่ไหน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเปิดฝากระทะใบน้อยออก กลิ่นหอมอบอวลลอยมาแตะจมูกพลัน
ซุนเหลียงไฉรีบไปหยิบชามตะเกียบ ตักออกมาหนึ่งชามอย่างระวัง วางลงบนโต๊ะ จับตะเกียบกำลังคีบใส่ปาก พลันนึกอะไรขึ้นได้ ลุกขึ้นไปตักอีกชามออกมา วางตะเกียบแยกไว้อย่างดี พูดกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงว่า “พวกเจ้าสองคนกินก่อนเถอะ ข้าค่อยไปตักมาใหม่อีกชาม”
“ขอบคุณพี่เหลียงไฉ” เด็กน้อยทั้งสองกล่าวขอบคุณ เดินอย่างเบิกบานไปนั่งบนเก้าอี้เตี้ยข้างโต๊ะ หยิบตะเกียบขึ้นบรรจงกินช้าๆ
ซุนเหลียงไฉตักชามสุดท้ายเข้ามา มองพวกเขาแวบหนึ่ง นั่งลงกินคำโต
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งชื่อหันสบตากัน เมิ่งชื่อพยักหน้าปลาบปลื้มใจ นิสัยเสียของซุนเหลียงไฉน้อยลงไปทุกที ทั้งยังรู้จักดูแลคนอื่น นับได้ว่าตนเองมีคำตอบที่ดีให้ซุนซ่านเหรินได้แล้ว
ทั้งสามคนก็กินกันจนเหงื่อท่วม ซุนเหลียงไฉเอาแต่ร้องถูกอกถูกใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าบรรจงเช็ดหน้าผากให้เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง กำชับพวกเขารอให้เหงื่อบนตัวแห้งก่อนค่อยเข้าไปทำการบ้าน
เด็กน้อยทั้งสองยังกินไม่หายอยาก ใช้ดวงตากลมโตระยิบระยับเว้าวอนเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านแม่ทำอาหารเสร็จแล้ว พออี้เซวียนกลับมาก็ถึงเวลาอาหารค่ำพอดี พวกเจ้าจะกินอีกไม่ได้แล้ว”
เด็กน้อยทั้งสองว่านอนสอนง่าย ด้านหนึ่งนั่งบนเก้าอี้เตี้ยรอให้เหงื่อบนตัวแห้ง อีกด้านพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟัง “ท่านพี่ เมื่อตอนเช้าท่านอาจารย์ชมเชยหนิวตั้นด้วย บอกว่าเขามีพรสวรรค์ อนาคตข้างหน้าไม่แน่จะเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่น เพียงแต่ชื่อเรียกไม่น่าฟัง ให้เขากลับไปบอกให้บิดามารดาตั้งให้ใหม่”
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเมิ่งเจี๋ยเล่าเรื่องภายในโรงเรียนให้ฟัง จึงนั่งบนเก้าอี้เตี้ยข้างๆ เขา ถามความกลับ “กลับไปแล้วบิดามารดาของเขาได้ตั้งให้หรือไม่?”
เมิ่งเจี๋ยป้องปากขบขัน
เมิ่งชิงจึงตอบแทน “ไม่เลย ตอนบ่ายที่บิดาพาหนิวตั้นกลับมาส่งบอกท่านอาจารย์ว่า หนิวตั้น เป็นเหมือนไข่ล้ำค่าในหินของพวกเขา ชื่อนี้พวกเขาพอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เปลี่ยน”
พูดจบ ก็หัวเราะก๊ากพร้อมเมิ่งเจี๋ย
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเหลียงไฉรวมถึงเมิ่งชื่อก็หัวเราะครื้นเครง
เมิ่งอี้เซวียนเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน เดินตามเสียงหัวเราะเข้ามาในครัว
เมิ่งเจี๋ยพูดกับเขาอย่างสุขใจ “พี่อี้เซวียน พวกเราเพิ่งจะกินก๋วยเตี๋ยวเส้นแป้งมันฝรั่งเข้าไป อร่อยยิ่งนัก”
“ทำสำเร็จแล้ว?” อี้เอ๋อร์ถามด้วยความยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพยักหน้า พูดว่า “เจ้าพักสักครู่เถอะ ข้าจะทำให้พวกเจ้าชิมอีกหน่อย” พูดจบ ล้างกระทะบนเตาจนสะอาดเอี่ยม ลงมือทำเพิ่ม
เมิ่งอี้เซวียนกลับเข้ามาในห้องตัวเอง วางกระเป๋านักเรียนลง ล้างคราบหมึกบนมือ เดินออกมาด้านนอก เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งฉีก็กลับมาพอดี
หลังจากทั้งสามคนได้กินก็กล่าวชมไม่ขาดปาก
เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงกับพูดว่าครั้งนี้ครอบครัวตัวเองจะร่ำรวยใหญ่แล้ว
ทั้งครอบครัวกินอาหารค่ำอย่างมีความสุข พวกเมิ่งอี้เซวียนสี่คนกลับเข้าไปทำการบ้านในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยว ท่านพ่อท่านแม่รวมถึงเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีหารือกันเรื่องเปิดโรงงานเส้นแป้งมันฝรั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแผนที่ตัวเองคิดไว้ “ช่วงที่ผ่านมาพี่รองได้รับการฝึกฝน จนสามารถฉายเดียวได้แล้ว ข้าคิดจะมอบโรงงานเส้นแป้งมันฝรั่งให้เขาทำ”
เมิ่งฉีคิดจะปฏิเสธ เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งเขา พูดต่อว่า “การค้าของครอบครัวมีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างมีงานของตัวเอง ดังนั้นโรงงานเส้นแป้งมันฝรั่งจึงต้องมอบให้พี่รองแล้ว”
เมิ่งฉีโบกมือ “ข้าทำไม่ได้จริงๆ เจ้ามอบให้พี่ใหญ่เถอะ ข้าเป็นลูกมือเขาก็พอ”
“อีกไม่นาน โรงงานกุนเชียงและโรงงานน้ำมันพริกก็จะเปิดดำเนินการอีกครั้ง ข้ายังให้พี่ใหญ่ดูแลเรื่องการขายมันฝรั่งอีก เขายุ่งมากพอแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งฉีปฏิเสธไม่ออก ได้แต่ขยี้ศีรษะตัวเอง พูดว่า “เช่นนั้นข้าจะลองดู ถ้าทำไม่ดีพวกเจ้าอย่าตำหนิข้าก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เป็นการเปิดโรงงานช่วงแรกเท่านั้น พี่รองเริ่มจากหาคนงานก่อนก็ได้ ฉวยโอกาสที่ตอนนี้พี่ใหญ่และข้ายังว่าง ยังพอจะช่วยท่านห่างๆ ได้ กระทั่งท่านคล่องมือแล้ว พวกเราก็คงจะยุ่งมากเช่นกัน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นสนับสนุน “ฉีเอ๋อร์ อายุเจ้าก็ไม่ใช่น้อยแล้ว สมควรช่วยพี่ใหญ่แบ่งเบาภาระได้แล้ว โรงงานนี้ให้เจ้าเป็นคนดูแล หากเจ้าเจอปัญหาอะไรก็พูดออกมา พวกเราจะได้ช่วยเหลือกัน”
เมิ่งชื่อก็เห็นด้วย
หลายวันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวคิดค้นวิธีการทำเส้นแป้งมันฝรั่งออกมาอีก ทั้งบอกกรรมวิธีการทำทั้งหมดแก่เมิ่งฉี บอกเขาว่ากระบวนการผลิตที่สำคัญที่สุดก็คืออัตราส่วน นี่เป็นหัวใจของสูตรการปรุง ดังนั้นเขาจะต้องควบคุมให้ดี ลงมือทำเอง ห้ามให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด
เมิ่งฉีจดจำไว้ขึ้นใจ เริ่มเตรียมงานการเปิดโรงงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มอบหมายงานให้เมิ่งซานถงและภรรยาเลย เพราะพอเปิดโรงงานเส้นแป้งมันฝรั่ง จะได้ให้พวกเขามาช่วย ดังนั้นนางจึงให้เมิ่งฉีไปหาพวกเขาก่อน ส่วนที่เหลือก็คือสร้างอุปกรณ์ปฏิบัติการ
อุปกรณ์ที่ว่านั้นง่ายมาก ก็คือสร้างกระทะขนาดใหญ่หลายใบ และสิ่งที่ทำให้แป้งออกมาเป็นเส้นได้อย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้หาได้ยากเกินความสามารถเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ ไม่นานก็สร้างไว้ในโรงงานที่เลือกเอาไว้แล้วสำเร็จ
เรื่องที่บ้านเมิ่งจะเปิดโรงงานอีกแห่ง แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว คนจำนวนมากเข้ามาหาถึงหน้าบ้าน
เมิ่งฉีทำตามขอเรียกร้องของเมิ่งเชี่ยนโยว เลือกคนยี่สิบกว่าคนในนั้นออกมาก่อน แม้คนที่เหลือจะผิดหวัง แต่พอได้ยินว่าเมื่อหมดฤดูเก็บเกี่ยว โรงงานกุนเชียงและโรงงานน้ำมันพริกก็จะเปิดดำเนินการ จึงสงบใจกลับไปรอที่บ้าน
มีเพียงเมิ่งอี้ที่เดินหน้าแดงมาหาเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างเก้อเขินว่าตัวเองมาทำงานในโรงงานได้หรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าปฏิเสธ เมิ่งอี้ผิดหวังหน้าจ๋อย ทว่าก็ไม่ได้ร้องคร่ำครวญ ได้แต่ลอบมองเข้าไปในโรงงานกระเป๋านักเรียนไม่วางตา
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพูดกระเซ้า “พี่เมิ่งอี้ ต่อให้ท่านมาทำงานในโรงงาน ก็มิใช่จะเจอแม่นางโจวได้ทุกเมื่อ”
เมิ่งอี้หน้าแดงวาบ ร้อนตัว พูดกลบเกลื่อน “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าพูดสิ่งใด? ที่ข้าอยากมาทำงานในโรงงานเพราะแปลงดินไม่มีงานอะไรให้ทำแล้ว ข้าอยู่บ้านว่างๆ ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวทอดเสียงยาว ถามอย่างมีเลศนัยแฝง “งั้นหรือ?”
เมิ่งอี้ยิ่งให้หน้าแดงเรื่อ หลังจากบอกลาเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบแผ่นแนบจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มมองแผ่นหลังเขา มุมปากเผยรอยยิ้มที่มิอาจคาดเดา
หลังกินอาหารค่ำ ล้างจานเสร็จเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดึงเมิ่งชื่อเข้ามาในห้องตัวเอง พูดกระซิบกระซาบครู่ใหญ่ เสียงร้องยินดีของเมิ่งชื่อก็ดังลอยออกมา “ที่เจ้าพูดเป็นความจริง?”
น้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเจือแววปิติ “ย่อมต้องเป็นความจริง ข้าสังเกตเห็นมานานแล้ว ทว่าหลายวันมานี้ยุ่งมาก ไม่ได้สนใจ วันนี้พี่เมิ่งอี้เข้ามาบอกว่าจะมาทำงานในโรงงาน ดวงตากลับเอาแต่เหล่มองไปทางโรงงานกระเป๋านักเรียน”
“เช่นนั้นก็ดีนัก เมิ่งอี้โตกว่าพี่ใหญ่เจ้าหนึ่งปี ท่านป้าใหญ่เอาแต่กลัดกลุ้ม ฝากคนคอยสอบถามหาผู้หญิงที่เหมาะสม ครานี้ดีแล้ว เขามีผู้หญิงที่ชอบพอ ท่านป้าใหญ่เจ้ารู้จะต้องดีใจเป็นหนักหนา” น้ำเสียงปลื้มปิติดังออกมาต่อเนื่อง
เมิ่งเอ้ออิ๋นในอีกห้องหนึ่งได้ยินคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของเมิ่งอี้ คิดจะออกไปถาม เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกมาจากในห้องแล้ว
ตอนที่ 227-3 คัดค้าน
เมิ่งชื่อไม่เข้าไปในห้อง ตะโกนบอกเข้าไปในห้อง “พ่อเอ๊ย ข้ากับโยวเอ๋อร์จะไปบ้านพี่สะใภ้ใหญ่นะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นยังไม่ทันขานรับคำ สองแม่ลูกก็เดินฉับๆ ออกไปแล้ว ให้นึกกังขา เมิ่งอี้ไปพึงใจหญิงสาวบ้านไหนเข้า ทำเอาสองแม่ลูกทนไม่ไหวต้องรีบไปหารือกับพี่สะใภ้ใหญ่
สองผู้เฒ่าเมิ่งและครอบครัวเมิ่งต้าจินก็เพิ่งกินอาหารค่ำเก็บล้างถ้วยชามในครัวเสร็จแล้ว กำลังเดินออกมา เห็นสองแม่ลูกเมิ่งเดินเข้ามา ร้องทักอย่างสนิทสนม “น้องสะใภ้และโยวเอ๋อร์มาแล้ว รีบเข้ามานั่งในบ้าน”
เมิ่งชื่อยิ้มเดินเข้ามาในบ้าน ร้องเรียกสองผู้เฒ่าเมิ่ง แล้วดึงนางเข้าไปในห้องสะใภ้เมิ่งต้าจิน เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปห้องท่านย่า
เมิ่งชื่อพูดเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าเมิ่งอี้พึงใจโจวอิ๋งให้สะใภ้เมิ่งต้าจินฟัง
สะใภ้เมิ่งต้าจินได้ฟังร้องอุทานลั่น “น้องสะใภ้ ที่เจ้าพูดเป็นความจริง?”
เมิ่งชื่อยิ้มพยักหน้า
หญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงนางร้องลั่น แย้มยิ้มถามเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่เจ้าพูดเรื่องอันใดกับป้าใหญ่เจ้า นางถึงเสียอาการเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะกรุ้มกริ่ม “เป็นเรื่องดีเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวท่านย่าก็ทราบเอง”
หญิงชราเมิ่งยิ้มตีนางแปะๆ “เจ้าเด็กคนนี้ รู้จักจะพูดโยกโย้กับย่าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มไม่พูดอะไร
สะใภ้เมิ่งต้าจินมิได้แย้มยิ้มยินดีเหมือนที่เมิ่งชื่อคิดไว้ แต่ขมวดคิ้วยับย่น
เมิ่งชื่อไม่เข้าใจ “พี่สะใภ้มิได้กลัดกลุ้มเรื่องการแต่งงานของอี้เอ๋อร์มาตลอดหรือ? ตอนนี้เขามีคนที่พึงใจแล้ว เหตุใดท่านดูไม่ดีใจเลยเล่า?”
สะใภ้เมิ่งต้าจินถอนใจ “น้องสะใภ้ แม่นางโจวอิ๋งใช้ชีวิตในเมืองหลวงแต่เยาว์ มีการศึกษามีชาติตระกูล เป็นคุณหนูสูงศักดิ์โดยแท้ มิใช่คนที่พวกเราจะอาจเอื้อมได้ เกรงว่าเรื่องนี้อี้เอ๋อร์คงต้องดีใจเก้อแล้ว”
เมิ่งชื่อไม่รู้สถานะของท่านอาจารย์โจว นึกว่าเป็นบัณฑิตที่พอจะมีฐานะในเมืองหลวงบ้าง ได้ยินสะใภ้เมิ่งต้าจินกล่าวเช่นนี้ จึงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ไม่แน่หรอก โยวเอ๋อร์บอกเองว่าหากพวกเขาไม่มาสอนอี้เซวียน ก็คงกลับบ้านเกิดไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ แม่นางโจวอิ๋งก็ต้องหาสามีที่บ้านเกิด บ้านเกิดพวกเขากับพวกเราต่างกันตรงไหนเล่า? ข้าว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหา”
ได้ฟังนางกล่าวเช่นนี้ สะใภ้เมิ่งต้าจินก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ให้เกิดความหวังขึ้นในใจ “ไม่เช่นนั้น พวกเราเรียกอี้เอ๋อร์มาถามความดู หากเรื่องนี้เป็นความจริง ข้าจะยอมแบกหน้าไปพูดทาบทามด้วยตัวเอง”
เมิ่งชื่อพยักหน้า
สะใภ้เมิ่งต้าจินตะโกนไปทางห้องอีกด้านหนึ่ง “อี้เอ๋อร์ เจ้ามาหาแม่หน่อย แม่มีเรื่องจะถามเจ้า”
เมิ่งอี้ขานรับคำ เดินออกมาจากห้องตัวเอง เข้ามาในห้องสะใภ้เมิ่งต้าจิน เห็นว่าเมิ่งชื่อก็อยู่ด้วย ร้องเรียกทักทาย แล้วถามขึ้น “ท่านแม่ มีเรื่องอันใด?”
สะใภ้เมิ่งต้าจินมองเมิ่งชื่อแวบหนึ่ง
เมิ่งชื่อพยักหน้า
สะใภ้เมิ่งต้าจินไม่ลังเลอีก เอ่ยปากถามตามตรง “อี้เอ๋อร์ เจ้าบอกแม่มา เจ้าพึงพอใจแม่นางโจวอิ๋งใช่หรือไม่?”
เมิ่งอี้ตะลึงลานมองนางแวบหนึ่ง คิดจะปฏิเสธ แต่พอเห็นรอยยิ้มมั่นใจของเมิ่งชื่อ ใบหน้าแดงเรื่อ ก้มศีรษะ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เห็นสภาพของเขา สะใภ้เมิ่งต้าจินก็พอจะเข้าใจมากขึ้น ถามความ “เจ้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับแม่นางโจวอิ๋งตอนไหน เหตุใดแม่ถึงไม่รู้?”
เมิ่งอี้เงยหน้าโบกมืออุตลุด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแม่นางโจว ท่านอย่าพูดเช่นนี้เด็ดขาด หากแพร่งพรายออกไป จะทำให้แม่นางโจวเสียชื่อเสียงได้”
สะใภ้เมิ่งต้าจินยิ่งให้กังขา “เจ้าไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแม่นางโจว เช่นนั้นเจ้าพึงพอใจนางได้อย่างไร?”
เมิ่งอี้ขยี้ศีรษะ หน้าแดงพูดอึกๆ อักๆ “ก็ครั้งนั้น ที่ป้ารองเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง พวกเขาทั้งครอบครัวเข้ามาช่วยด้วย แล้วนางเกิดสะดุดล้ม ข้าเข้าไปประคองนาง และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นับแต่นั้นมาข้าก็เอาแต่คิดถึงนาง”
สะใภ้เมิ่งต้าจินมองเขาอย่างไม่เชื่อ ครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “เจ้าลูกโง่ของแม่ จะให้แม่พูดกับเจ้าอย่างไรดี? เรื่องใหญ่ของชีวิตเหตุใดถึงมักง่ายเช่นนี้?”
เมิ่งอี้พูดสวนทันควัน “ข้ามิได้มักง่าย ต่อมาข้าคอยลอบสังเกตแม่นางโจวหลายครั้ง ยิ่งพิจก็ยิ่งนิยมชมชอบ ทำใจไม่ได้ ถึงควบคุมตัวเองไม่อยู่ ต้องคอยไปเฝ้าดูหน้านางหลังโรงงานเลิกทุกวัน”
“เจ้ามิได้มักง่าย เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า พวกเราและครอบครัวแม่นางโจวไม่เหมาะสมกัน?” สะใภ้เมิ่งต้าจินย้อนถามเขา
รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งอี้เลือนหาย แก้มแดงเรื่อกลืนหาย สีหน้าอึมขรึมลง “ข้าทราบดี อย่าว่าแต่ครอบครัวไม่เหมาะสมเลย แค่ความเป็นคนมีการศึกษาของแม่นางโจว ข้าก็ไม่คู่ควรแล้ว”
เห็นสภาพของบุตรชาย สะใภ้เมิ่งต้าจินให้ปวดใจไม่น้อย ความจริงคุณสมบัติของบุตรชายรองของตนเองหาได้ย่ำแย่ไม่ เพียงแค่ในอดีตครอบครัวยากแค้น เมิ่งต้าจินก็เอาแต่เกียจคร้าน ไม่ทำการทำงาน บวกกับที่เมิ่งเหรินมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงฝากความหวังไว้ที่บุตรชายคนโต ละเลยบุตรชายคนเล็กไป เมิ่งอี้ก็ไม่เคยโอดครวญ คอยทำงานตามกำลังที่ตัวเองพอจะทำได้ หลายปีก่อนก็เข้าไปเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในภัตตาคารตั้งแต่อายุยังน้อย เหนื่อยยากลำบากอย่างไรไม่เคยพูดให้ฟัง เงินที่หาได้ก็อดออมไม่กล้าใช้ ส่งกลับบ้านทั้งหมด
ยิ่งคิดสะใภ้เมิ่งต้าจินก็ยิ่งให้ปวดใจ กัดฟันตัดสินใจพูดว่า “แม่จะไปปรึกษากับท่านปู่ท่านย่าเจ้า ให้หาคนไปบ้านแม่นางโจวพูดทาบทามให้เจ้า”
เมิ่งอี้โบกมือเป็นพัลวัน “ท่านแม่ ไม่เอา ข้าไม่เคยคิดจะแต่งแม่นางโจวเป็นภรรยา ข้าเพียงได้มองนางไกลๆ ก็พอแล้ว”
“จะพอได้อย่างไร?” เมิ่งชื่อพูด “เจ้าไปรอคนหน้าประตูโรงงานทุกวัน หากมีวันใดถูกคนคิดไม่ซื่อเห็นเข้านำไปพูดต่อ จะไม่ดีต่อทั้งชื่อเสียงของเจ้าและแม่นางโจว”
เมิ่งอี้ลนลานพูด “ข้าทราบ ดังนั้นข้าถึงคิดอยากไปทำงานที่โรงงาน ทุกวันเวลาเลิกงานได้มองนางสักหน่อยก็พอแล้ว”
เมิ่งชื่ออ้าปากค้าง ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้นะ จะให้ป้ารองพูดกับเจ้าอย่างไรดี หากไม่เพราะโยวเอ๋อร์พบเข้า แล้วมาบอกพวกเรา เจ้าคิดจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปหรือ?”
เมิ่งอี้ก้มหน้า พูดเสียงแผ่ว “ครอบครัวแม่นางโจวจะอยู่ที่นี่สองปีมิใช่หรือ? สองปีให้หลัง พอพวกเขาจากไป ข้าก็จะตัดใจได้เอง”
เมิ่งชื่อพูดอย่างไม่พอใจ “สองปีให้หลังเจ้าอายุเท่าใดแล้ว เจ้าอยากจะให้พ่อแม่เจ้ากลัดกลุ้มใจตายเรอะ?”
เมิ่งอี้ให้ละอายใจนัก “ขอโทษท่านแม่ ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้แล้ว”
เมิ่งชื่อไม่คิดอะไรมากแล้ว พูดไปตามตรง “ต่อไปเจ้าย่อมจะไม่ทำเช่นนี้อีก จะมองก็ต้องมองอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง ข้าและท่านแม่เจ้าจะไปหารือกับท่านปู่ท่านย่าเจ้าเรื่องทาบทามสู่ขอ”
เมิ่งอี้เงยหน้า ดวงตาสะท้อนแวววาดหวัง ริมฝีปากสั่นระริก กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
สะใภ้เมิ่งต้าจินมองปฏิกิริยาของเมิ่งอี้ไว้เต็มสองตา คิดในใจว่าต่อให้ต้องคุกเข่าขอร้องก็ต้องจัดการงานแต่งครั้งนี้ของบุตรชายรองให้สำเร็จจงได้
ช่วงนี้เมิ่งจงจวี่สุขสบายยิ่งนัก วันๆ ฝึกเขียนอักษรอยู่ในบ้าน มีชีวิตที่แสนสบายใจ ทั้งมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉง ดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่าเมิ่งอี้เซวียนร่ำเรียนวิชาได้เป็นอย่างดี ยิ่งให้อารมณ์เบิกบาน ลูบเคราตัวเองพูดว่า “หากปีหน้าอี้เซวียนสอบซิ่วไฉได้ เขาก็จะเป็นซิ่วไฉที่อายุน้อยที่สุดของตำบลชิงซี ถึงตอนนั้นสกุลเมิ่งของพวกเราก็จะไม่มีใครไม่รู้จักอีกต่อไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านปู่ ไม่ต้องรอให้อี้เซวียนสอบซิ่วไฉได้ ตอนนี้ครอบครัวพวกเราก็มีชื่อเสียงในตำบลชิงซีแล้ว ไม่เชื่อท่านลองไปสืบถามดู ต่อไปเดินออกไปไกลยี่สิบลี้ เพียงแค่เอ่ยถึงบ้านเมิ่งหมู่บ้านหวง ก็จะไม่มีใครไม่รู้จัก”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้ายินดี “วันก่อนปู่ไปเยี่ยมท่านหัวหน้าสกุล เขาพูดกับปู่แล้ว บอกว่าครานี้ครอบครัวเราทำให้ทั้งสกุลเมิ่งมีหน้ามีตาไปด้วย ในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ ได้เห็นสกุลเมิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็พึงพอใจมากแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ครั้งหน้าท่านไปพบท่านปู่หัวหน้าสกุลอีก ท่านบอกเขาว่า นี่ยังไม่เท่าไหร่ ผ่านไปอีกไม่กี่ปี ไม่แน่ว่าครึ่งค่อนแคว้นอู่จะต้องรู้จักสกุลเมิ่งของพวกเรา”
วาจานี้พูดแทงเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเมิ่งจงจวี่ เมิ่งจงจวี่ลูบเคราพยักหน้า หัวเราะร่วนพูดว่า “ดีๆๆ อีกไม่กี่วันปู่ไปพบเขาใหม่ ปู่จะบอกเขาเอง”
สะใภ้เมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อเดินเข้ามา
สะใภ้เมิ่งต้าจินพูดกับสองผู้เฒ่าชรา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”
เมิ่งจงจวี่กำลังมีความสุขเต็มล้น ในน้ำเสียงเจือแววเบิกบานใจ “พูดเถอะ มีเรื่องอะไร?”
“เกี่ยวกับการแต่งงานของอี้เอ๋อร์เจ้าค่ะ” สะใภ้เมิ่งต้าจินตอบ
หญิงชราเมิ่งได้ฟังหน้าตาตื่น รบเร้าถาม “มีคนมาพูดทาบทามให้อี้เอ๋อร์หรือ?”
สะใภ้เมิ่งต้าจินส่ายหน้า “มิใช่เจ้าค่ะ อี้เอ๋อร์เกิดไปพึงใจหญิงสาวนางหนึ่งเข้า”
เมิ่งชื่อใจร้อนพูดว่า “พี่สะใภ้ ทำไมท่านถึงพูดอะไรครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ ท่านบอกท่านพ่อแม่ไปตามตรงว่า อี้เอ๋อร์พึงใจแม่นางสกุลโจวก็จบเรื่องแล้ว”
หญิงชราเมิ่งพลันชะงักงัน พูดอย่างยินดี “อี้เอ๋อร์มีหญิงสาวที่พึงใจแล้ว?”
สะใภ้เมิ่งต้าจินพยักหน้า
อี้เอ๋อร์มีหญิงสาวที่พึงใจเป็นเรื่องดี สะใภ้เมิ่งต้าจินไม่เพียงไม่มีอาการยินดี กลับแสดงท่าทีกลัดกลุ้มกังวล เมิ่งจงจวี่ให้กังขาถามขึ้น “แม่นางสกุลโจวบ้านไหนรึ”
ไม่รอให้สะใภ้เมิ่งต้าจินตอบ เมิ่งชื่อชิงตอบก่อน “ก็บ้านท่านอาจารย์โจวที่พวกเราเชิญมาอย่างไรเจ้าคะ”
เมิ่งจงจวี่ตกใจเกือบจะลุกขึ้นยืน ฝืนควบคุมตัวเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “การแต่งงานนี้ไม่มีทางเป็นไปได้”
หญิงชราเมิ่งก็ไม่รู้สถานะของท่านอาจารย์โจว ได้ฟังถามขึ้น “พวกเขาชายยังไม่แต่ง หญิงยังเป็นโสด เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้เล่า?”
เมิ่งจงจวี่อธิบายไม่ออก ทำได้เพียงพูดเสียงแข็ง “ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการแต่งงานของเมิ่งอี้ หญิงชราเมิ่งเริ่มเดือดเนื้อร้อนใจ “การแต่งงานของเด็กๆ เป็นเรื่องที่พวกเราผู้หญิงต้องทุกข์กังวล ท่านไม่ต้องมายุ่ง”
เมิ่งจงจวี่โมโหจนหนวดกระตุก “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าในอดีตท่านอาจารย์โจวมีสถานะเช่นไร? คิดว่าหลานสาวของเขาจะขอแต่งงานได้ง่ายๆ เรอะ?”
หญิงชราเมิ่งพูดอย่างไม่แยแส “ไยต้องสนใจสถานะในอดีตของเขา ตอนนี้เขาหาได้ต่างจากพวกเราไม่ อี้เอ๋อร์ของพวกเราจับคู่กับหลานสาวของเขาหาได้ลดเกียรติของเขาเสียเมื่อไร”
เมิ่งจงจวี่ยิ่งให้โกรธเกรี้ยว กำลังจะตำหนิหญิงชราเมิ่งอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวเขาจะโมโหจนพลั้งปากพูด รีบแย้มยิ้มพูดหว่านล้อม “ท่านปู่ มีคำกล่าวว่าเรือนมีบุตรสาวร้อยบ้านสู่ขอ ไม่ว่าเขาจะมีสถานะใด พวกเราเข้าไปเจรจาสู่ขอก็ไม่ผิดอันใด”
เมิ่งจงจวี่ถลึงตาโต “โยวเอ๋อร์ พวกนางไม่รู้สถานะของท่านอาจารย์โจว เจ้าก็ไม่รู้หรือ? ยังจะพูดเหลวไหลตามไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านปู่ พี่เมิ่งอี้อุตส่าห์มีหญิงสาวที่พึงใจ พวกเราไม่ลองก็ไม่รู้หรอก”
เมิ่งจงจวี่โบกมือ “ไม่ต้องลอง ไม่ได้แน่นอน”
หญิงชราเมิ่งเดือดดาลแล้ว “ตาเฒ่าวันนี้เจ้าเป็นอะไรของเจ้า เอาแต่ขัดขวาง พวกเราไม่เชื่อเจ้าเสียอย่าง พรุ่งนี้จะให้คนไปพูดสู่ขอ”
เมิ่งต้าจินออกไปจัดการเรื่องในหมู่บ้าน เพิ่งจะก้าวพ้นประตูเข้ามา ได้ยินเสียงร้องโวยวายของหญิงชราเมิ่ง เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในบ้าน เห็นทุกคนต่างอยู่ในบ้าน นึกว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ร้อนใจถามความ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
หญิงชราเมิ่งตอบอย่างเคืองขุ่น “อี้เอ๋อร์พึงใจหญิงสาวนางหนึ่งเข้า พ่อเจ้าได้ฟังเอาแต่คัดค้านการแต่งงานนี้”
เมิ่งต้าจินรู้ว่าบิดาตนเองมิใช่คนไม่มีเหตุผล หากเขาคัดค้านจะต้องมีสาเหตุ จึงถามขึ้น “อี้เอ๋อร์พึงใจหญิงสาวบ้านใด?”
สะใภ้เมิ่งต้าจินตอบกลับ “หลานสาวของท่านอาจารย์โจว โจวอิ๋ง”
เมิ่งต้าจินตกตะลึงจังงัง ครู่ใหญ่ถึงมองเมิ่งอี้อย่างไม่เชื่อ
เมิ่งอี้เห็นสองผู้เฒ่าทะเลาะกัน ก็เสียใจมากพอแล้ว ตอนนี้เห็นเมิ่งต้าจินใช้สายตาเช่นนี้มองตนเอง ลนลานพูดว่า “ท่านพ่อ เป็นเพียงรักข้างเดียวของข้า แม่นางโจวไม่รู้เรื่องด้วย ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ พวกท่านอย่าได้ลำบากอีกเลย ข้าจะค่อยๆ ตัดใจของข้าเอง”
เมิ่งต้าจินเผยอปาก กลับไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโน้วน้าว “ท่านปู่ ท่านลุงใหญ่ พวกท่านคิดมากเกินไปแล้ว ความปรารถนาของท่านอาจารย์โจวก็คือพาคนทั้งครอบครัวกลับไปใช้ชีวิตในชนบท เช่นนั้นแม่นางโจวก็อาจจะต้องแต่งงานกับครอบครัวชาวนาที่มีฐานะค่อนข้างดี ครอบครัวของพวกเราเข้ากับเงื่อนไขของพวกเขาพอดี การแต่งงานนี้อาจจะสำเร็จก็ได้”
เมิ่งต้าจินถึงส่งเสียงพูดว่า “จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่อี้เอ๋อร์และแม่นางโจว ไม่ว่าจะในด้านใดก็แตกต่างกันเกินไป พวกเขาไม่มีทางเป็นไปได้เลย”
ตอนที่ 228-1 ผิดจากที่คาดไว้
“มีคนไม่น้อยที่แต่งงานโดยไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ก็อยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิตได้ ขอเพียงแม่นางโจวอิ๋งก็พึงใจพี่เมิ่งอี้ ความรู้ ชาติตระกูลก็ไม่ใช่ปัญหา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งจงจวี่ขมวดคิ้วมุ่น “ปัญหาก็คือพวกเราไม่รู้เลยว่าแม่นางโจวคิดอย่างไรกันแน่ หากเป็นอี้เอ๋อร์คิดไปเองฝ่ายเดียว พวกเราบุ่มบ่ามเข้าไปสู่ขอ ผิดใจกับท่านอาจารย์โจว เขาโมโหไม่ยอมสอนอี้เซวียน พาคนทั้งครอบครัวกลับบ้านไปจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าเชื่อมั่น “แม่นางโจวอิ๋งก็ถึงวัยต้องแต่งงานแล้ว พวกเราเข้าไปสู่ขอก็มิใช่เรื่องไม่ดี แม้ท่านอาจารย์โจวไม่ตอบตกลงก็คงไม่โกรธเคือง”
เมิ่งจงจวี่ยังคงเป็นห่วง “หากเขาคิดว่าพวกเราเป็นพวกฉวยโอกาสจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “หญิงสาวจิตใจดีรูปงาม เหมาะเป็นคู่ชีวิตในอุดมคติของชายหนุ่ม ท่านอาจารย์โจวเป็นผู้คงแก่เรียน น่าจะทราบในจุดนี้ดี หากพวกท่านเป็นห่วงจริงๆ พวกเราจะยังไม่ให้คนไปพูดทาบทามสู่ขอ แต่ให้คนกันเองไปพูดหยั่งเชิงดู หากว่าสำเร็จ พวกเราก็ดีใจ หากไม่สำเร็จ ก็ไม่มีใครนำไปพูดต่อ ให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของแม่นางโจว”
อี้เอ๋อร์พอได้ยินว่ามีความหวัง ดวงตาฉายแวววาดหวัง มองเมิ่งต้าจินอย่างวิงวอน
เมิ่งต้าจินเองก็ละอายใจต่อบุตรชายคนนี้ยิ่งนัก เห็นท่าทีเต็มไปด้วยความหวังของเขา ถอนหายใจยาว พูดขอร้องอีกแรง “ท่านพ่อ ลองดูก่อนเถิด หากไม่ได้จริงๆ ต่อไปอี้เอ๋อร์จะได้ตัดใจเสียที”
เมิ่งอี้พยักหน้ารับประกัน “หากไม่สำเร็จ ข้าจะไม่ตอแยแม่นางโจว เรื่องการแต่งงานก็จะให้เป็นไปตามที่ท่านพ่อท่านแม่จัดหา”
แม้เมิ่งจงจวี่จะเป็นกังวล แต่พอเห็นคนในครอบครัวต่างเห็นด้วย จึงยอมเห็นด้วย ทว่า ยังกำชับทุกคนว่า “หากไม่สำเร็จ ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ภายหน้าข้าคงไม่มีหน้าพบหน้าท่านอาจารย์อีก”
ทุกคนพยักหน้ารับ พูดรับรองพร้อมกันว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป
เรื่องการขอแต่งงานถูกกำหนดแล้ว ใครจะเป็นคนไปหยั่งท่าทีก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา
หญิงชราเมิ่งและลูกสะใภ้ทั้งสองคนไม่รู้จักมักจี่กับท่านอาจารย์โจว ย่อมไปไม่ได้ เมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินเป็นผู้ชาย ยิ่งไม่สมควรพูดเรื่องเจรจาสู่ขอ ทุกคนหารือกันเป็นนาน สุดท้ายมติเป็นเอกฉันท์ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนไป
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับงานนี้อย่างเบิกบาน บอกว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะเข้าไปบ้านท่านอาจารย์โจว
หญิงชราเมิ่งและสะใภ้เมิ่งต้าจินต่างดีอกดีใจ เมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินกลับกลัดกลุ้มใจจนนอนไม่หลับ
เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้าน เมิ่งเอ้ออิ๋นถามเมิ่งชื่อว่าไปหาพี่สะใภ้ทำอะไร
เมิ่งชื่อบอกเขาว่าไปเรื่องงานแต่งงานของเมิ่งอี้ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
นี่เป็นเรื่องที่ผู้หญิงต้องทุกข์กังวล เมิ่งเอ้ออิ๋นจึงไม่ถามมากความ ทั้งไม่เก็บมาใส่ใจ
วันถัดมาหลังกินอาหารเช้า เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงบ้านท่านอาจารย์เร็วกว่าเมิ่งอี้เซวียนสองเค่อ พูดกับคนเฝ้าประตูอย่างสุภาพ “รบกวนท่านช่วยไปเรียนรายงาน บอกว่าข้ามีเรื่องขอพบท่านอาจารย์”
ครั้งก่อนท่านอาจารย์โมโหโกรธเกรี้ยว ได้เมิ่งเชี่ยนโยวมาพูดให้อ่อนลงได้อย่างง่ายดาย ทุกคนต่างเลื่อมใสในตัวนางมาก บ่าวรับใช้ยิ่งให้เคารพนับถือ ได้ฟังดังนั้นรีบพูดว่า “แม่นางรอสักครู่ ข้าจะไปเรียนรายงานเดี๋ยวนี้” พูดจบวิ่งตรงเข้าไปรายงาน บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวขอเข้าพบ
ท่านอาจารย์กำลังเตรียมสอนวิชาของเมิ่งอี้เซวียน ได้ยินบ่าวเข้ามารายงาน พลันนึกว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งอี้เซวียน ลุกลนพูดว่า “รีบไปเชิญนางเข้ามา”
บ่าวรับคำ วิ่งเหยาะกลับมา เชิญเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาอย่างอ่อนน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้อง ท่านอาจารย์โบกมือไล่บ่าวออกไป ให้พวกเขาไปรอนอกลาน หากตนเองมิได้ร้องเรียกห้ามเข้ามาในลานเรือนโดยพลการ
บ่าวขานรับคำ ถอยออกไปทั้งหมด
ท่านอาจารย์เชิญเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ ถามความ “แม่นางเมิ่ง เข้ามาหาข้าแต่เช้าตรู่ หรือจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอี้เซวียน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “ท่านอาจารย์เดาผิดแล้วเจ้าค่ะ ไม่ใช่เรื่องของอี้เซวียน แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่นางโจว”
ไม่ใช่เรื่องของเมิ่งอี้เซวียน ท่านอาจารย์ก็ให้โล่งใจ พลันถามอย่างกังขา “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอิ๋งเอ๋อร์?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “แม่นางโจวมาจากตระกูลบัณฑิต มีการศึกษาดีพร้อม จิตใจผุดผ่อง มีคุณธรรมจรรยา หญิงสาวที่ดีเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายสกุลไหนจะมีโชคดีได้แต่งงานกับนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเค้นพลังสมองทั้งหมดที่มี เทน้ำหมึกในท้องออกมาจนเกลี้ยง เพื่อกล่าวชื่นชมแม่นางโจว
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเองว่าถ้อยคำเหล่านี้น่าจะพอสู้กับแม่สื่อได้แล้ว
ท่านอาจารย์ผงะอึ้ง แล้วส่งเสียงหัวเราะลั่น พูดว่า “แม่นางเมิ่ง มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่านอาจารย์กล่าววาจาไม่มีช่องโหว่ ไม่อาจสืบความใดๆ ได้ จึงตัดสินใจทุ่มสุดตัว พูดว่า “ที่ข้าเข้ามาแต่เช้า เพราะอยากใช้โอกาสที่พวกท่านอาจารย์และฮูหยินยังอยู่บ้านพูดทาบทามสู่ขอแม่นางโจว”
ท่านอาจารย์พินิจมองนาง ลูบเคราแย้มยิ้มอ่อน “ตัวเจ้ายังเป็นเพียงเด็กสาว มาพูดสู่ขอให้คนอื่นแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก คนในครอบครัวต่างไม่กล้ามา ข้าจำต้องออกหน้าเอง หวังว่าท่านอาจารย์อย่าคิดว่าพวกเราไม่มีความจริงใจพอ”
ท่านอาจารย์จับใจความสำคัญได้ “คนในครอบครัว? จากที่ข้าทราบ พี่ใหญ่ของแม่นางหมั้นหมายแล้ว พี่รองยังเยาว์วัย ไม่ทราบว่าคนในครอบครัวของเจ้าคือคนไหน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตคำพูดและสีหน้า เห็นท่านอาจารย์ไม่มีท่าทีเคืองขุ่น เริ่มมีความกล้ามากขึ้น ยิ้มตอบกลับ “เป็นบุตรชายคนรองของท่านลุงใหญ่ข้าเจ้าค่ะ ชื่อเมิ่งอี้ แม่นางโจวเป็นรักแรกพบของเขา ดังนั้นข้าจึงจำต้องแบกหน้ามาช่วยเขาพูดสู่ขอ”
ท่านอาจารย์ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเมิ่งอี้เลย ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขบคิดเป็นนาน แต่ก็คิดไม่ออกว่าเป็นคนไหน
เห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น เมิ่งเชี่ยนโยวให้หัวใจกระสับกระส่าย พูดต่อว่า “พี่เมิ่งอี้เก็บงำเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอด หากไม่เพราะข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ เกรงว่าเขาคงไม่มีวันพูดออกมา คนในครอบครัวทราบเรื่องก็คัดค้านรุนแรง คิดว่าพวกเราสองครอบครัวไม่เหมาะสมกัน แต่ข้าคิดว่าหญิงสาวจิตใจดีรูปงาม เหมาะเป็นคู่ชีวิตในอุดมคติของชายหนุ่ม พวกเรามาเจรจาทาบทามมิใช่เรื่องผิด ถึงหน้าด้านหน้าทนเข้ามาเช่นนี้”
“พี่รองของเจ้าคนนี้เป็นคนเยี่ยงไร?” ท่านอาจารย์ไม่ตอบตกลงหรือไม่ตกลง เพียงลูบเคราถามอย่างสงบนิ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสได้ว่าในใจของท่านอาจารย์มิได้คัดค้านเรื่องนี้ จึงตอบไปตามจริง “ซื่อสัตย์ มุ่งมั่น ทุ่มเทลับหลัง ไม่เคยพร่ำบ่น ข้อเสียเดียวก็คือการศึกษาต่ำไปบ้าง”
“ท่านปู่เจ้าเป็นซิ่วไฉที่มีชื่อเสียงในละแวกนี้ เหตุใดพี่รองเจ้าถึงมีการศึกษาต่ำได้?” ท่านอาจารย์ประหลาดใจถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง พูดเรื่องในอดีตที่เมิ่งต้าจินเป็นคนเกียจคร้าน ไม่เอาการเอางาน ถอนใจพูดว่า “แม้จะมีเงินค่าสอนของท่านปู่ ความเป็นอยู่ของครอบครัวก็ยังอัตคัดลำบาก เพื่อให้พี่ใหญ่เข้าสอบขุนนาง พี่รองจึงไปทำงานที่ภัตตาคารตั้งแต่หลายปีก่อน ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีการศึกษาต่ำ”
ท่านอาจารย์ผงกศีรษะเข้าใจ “เช่นนี้พี่รองคนนี้ของเจ้ายังนับว่าใช้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่ใช่ใช้ได้ แต่ดีมากต่างหากเจ้าค่ะ หากไม่เพราะเขาพึงใจแม่นางโจว หญิงสาวในรอบละแวกนี้เขาสามารถเลือกได้ตามใจชอบ”
ท่านอาจารย์แย้มยิ้มขบขัน “แม่นางกล่าวเกินไปแล้วกระมัง? พี่รองของเจ้าดีเช่นนั้นจริงรึ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหงึกหงัก “ไม่ว่าจะด้านใด พี่รองก็คือคนที่ฝากชีวิตไว้ได้ ดังนั้นข้าหวังว่าท่านอาจารย์จะพิจารณาการแต่งงานครั้งนี้อย่างถี่ถ้วน แม้พวกเราจะอาจเอื้อม แต่สำหรับแม่นางโจวแล้วก็มิใช่เรื่องไม่ดี และข้าขอรับประกันกับท่าน ขอเพียงท่านรับปากการแต่งงานนี้ ชีวิตของพี่รองข้าจะมีแม่นางโจวเป็นภรรยาเพียงคนเดียว ไม่นอกใจเด็ดขาด”
คล้ายว่าท่านอาจารย์เริ่มจะหวั่นไหว ลูบเครานิ่งเงียบครู่หนึ่ง พูดว่า “การแต่งงานนี้ข้าต้องคิดทบทวนให้ดี เชิญแม่นางกลับไปรอฟังข่าว ไม่เกินสามวัน ข้าจะต้องมีคำตอบให้แม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดอะไรอีก ยิ้มแล้วลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอฟังข่าวดีจากท่านอาจารย์”
ท่านอาจารย์ผงกศีรษะ เปล่งเสียงตะโกนเรียนบ่าว ให้เขาพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปส่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวจากไปแล้ว ท่านอาจารย์สั่งบ่าวอีกคนไปเรียกโจวเสี้ยวและโจวหลี่เข้ามา
โจวเสี้ยวและโจวหลี่กำลังเตรียมจะไปสอนหนังสือ ได้ยินบ่าวเข้ามาแจ้ง ก็ตรงเข้ามาที่เรือนท่านอาจารย์ ถามขึ้นพร้อมกัน “ท่านพ่อ ท่านเรียกพวกเรามาด้วยเรื่องอันใด?”
ท่านอาจารย์ให้ทั้งสองคนนั่งลง แล้วพูดว่า “เมื่อครู่แม่นางเมิ่งมาพูดทาบทามสู่ขออิ๋งเอ๋อร์ ให้บุตรชายคนรองของลุงใหญ่นาง”
โจวเสี้ยวผงะเล็กน้อย ถามขึ้น “ท่านพ่อหมายความว่า?”
ท่านอาจารย์ตอบด้วยสีหน้าขึงขัง “เมื่อครู่ข้าคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้”
โจวอิ๋งเป็นบุตรสาวคนโตของตนเอง เป็นเด็กน่ารักมีไหวพริบ เป็นดั่งมุกในกำมือของตนเองและภรรยา ปกติก็เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของฮูหยินโจวและพวกเขา หากไม่เพราะท่านอาจารย์โจวขอลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด การจะให้บุตรสาวหาคู่แต่งงานกับบุรุษรูปงามนามทรัพย์ในเมือง ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก โจวเสี้ยวไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์จะตบปากรับคำการแต่งงานนี้ พลันรับไม่ได้ นั่งตะลึงค้างบนเก้าอี้
ท่านอาจารย์โจวเห็นปฏิกิริยาเขา รู้ว่าเขาไม่ยินดี ถอนหายใจยาวพูดว่า “ทุกวันนี้พวกเราไม่เหมือนดั่งก่อนแล้ว หากไม่เพราะมาที่นี่ ตอนนี้พวกเราคงอยู่บ้านเกิดแล้ว อย่างไรอิ๋งเอ๋อร์ก็ต้องแต่งงานอยู่ชนบท สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมได้ก็คืออยู่ไม่ห่างจากพวกเรานัก แต่ตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนแล้ว เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านแม่ทัพใหญ่ ข้ารับปากมาสอนอี้เซวียนที่นี่ แต่ข้าก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเด็กที่หายสาบสูญไปหลายปีก่อนของท่านอ๋องฉี เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวจึงอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเรา ความปรารถนาเดิมที่ข้าคิดจะพาพวกเจ้าออกห่างจากราชสำนัก กลับไปอยู่บ้านนอกกลับต้องสูญเปล่า วันใดที่อี้เซวียนได้กลับคืนสู่ฐานันดร อาจจะเป็นวันที่พวกเราทั้งครอบครัวต้องกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง เดิมทีเพื่อหลบลี้การแก่งแย่งชิงดีภายในราชสำนัก ข้าถึงขอเกษียณกลับบ้านเกิด หากต้องกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะมีดวงตาอีกมากน้อยจับจ้องพวกเรา หากมีสิ่งใดผิดพลาด ชีวิตของพวกเราทั้งครอบครัวก็คงยากจะอยู่รอดปลอดภัย ให้อิ๋งเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะมีชีวิตเช่นไรก็ยังคุ้มครองชีวิตนางไว้ได้ ที่นี่มีแม่นางเมิ่งอยู่ อิ๋งเอ๋อร์จะไม่มีทางถูกรังแก เมื่อครู่แม่นางเมิ่งรับประกันกับพ่อแล้ว หากพวกเราตกลงการแต่งงานนี้ พี่รองของเขาไม่ว่าภายหน้าจะร่ำรวยเช่นไร ก็จะมีอิ๋งเอ๋อร์เป็นภรรยาเพียงคนเดียว”
โจวเสี้ยวถึงเข้าใจความหวังดีของท่านอาจารย์ ใบหน้าละอายใจ “ท่านพ่อคิดรอบคอบเสมอ”
ท่านอาจารย์โจวโบกมือ “ที่พ่อทำเช่นนี้เพราะความเห็นแก่ตัวอีกข้อ ก็คืออยากร้องขอการคุ้มกันจากแม่นางเมิ่ง”
โจวเสี้ยว โจวหลี่มองท่านอาจารย์โจวอย่างไม่เข้าใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น