อัจฉริยะสมองเพชร 2270-2275

ตอนที่ 2270 ไม่เกิดอะไรขึ้น

 

เขาหันไปมองท่านอาจารย์อีกครั้ง ซึ่งถ้าอารมณ์ความรู้สึกของเขาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ จางเซวียนคงจมดิ่งอยู่ในมหาสมุทรแห่งความยกย่องชื่นชมไปแล้ว


ฝงจิ่วเกอรู้ดีว่านี่คือผลงานของท่านอาจารย์ ไม่มีทางที่จู่ๆสายเลือดของเขาจะบริสุทธิ์ขึ้นได้เอง ความสำเร็จในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้นี้แปลว่าความเก่งกาจของท่านอาจารย์ของเขาน่าจะอยู่ในระดับที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง


ฝงตั้นชิงหันไปพูดกับจางเซวียน “ถึงตาคุณแล้ว”


อันที่จริง เขาก็อยากรู้ว่าผลการทดสอบสายเลือดของ ‘ฝงเซวียน’ คนนี้จะออกมาอย่างไร


แม้จะปราศจากการสนับสนุนของตระกูล เขาก็ยังได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นไปได้ไหมว่าสายเลือดของเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าฝงจิ่วเกอ?


จางเซวียนรับก้อนหินจากมือของฝงตั้นชิง แต่ไม่ได้กัดนิ้วเพื่อนำหยดเลือดมาทำการทดสอบ เขาหันไปสนใจอย่างอื่นแทน


เครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้เริ่มสร้างความมหัศจรรย์ มันเปลี่ยนสายเลือดของเขาให้กลายเป็นสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ


เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว จางเซวียนนำดาบราชันย์เทพเจ้าออกมาและกรีดรอยแผลเล็กๆที่ปลายนิ้วของเขา


เขาทำการปกปิดดาบราชันย์เทพเจ้าให้มันดูไม่ต่างอะไรกับดาบทั่วไปเพื่อไม่ให้ใครๆแตกตื่น หากเขาไม่ใช้มันเพื่อการต่อสู้ ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าก็ดูไม่ออกว่าดาบนี้มีความพิเศษ


เลือดหยดหนึ่งถูกหยดลงบนหินสะท้อนฟีนิกซ์


ไม่เกิดอะไรขึ้น


ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีนกฟีนิกซ์ไฟหรือสิ่งอื่น


ดูเหมือนหยดเลือดของจางเซวียนจะไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง


“คุณแน่ใจนะว่าคุณมาจากตระกูลของเรา?” ฝงตั้นชิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ฝงเทียนอวิ๋นก็ไม่เข้าใจ


หากใครสักคนไม่ได้มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าตัวเขามาจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ก็คงไม่กล้าเดินดุ่มๆเข้ามาในบ้านของคนอื่นและอ้างว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา!


จางเซวียนก็ยืนอึ้ง ถ้าใครอ่านใจเขาออก ก็จะเห็นเครื่องหมายคำถามมากมายกองซ้อนกันเป็นภูเขาเลากา


หรือว่าสายเลือดตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเหนือชั้นเสียจนแม้แต่เครื่องรางแห่งการปลอมตัวของลั่วชิงก็ปกปิดสภาวะที่แท้จริงของเขาไม่ได้?


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ช่างประหลาดเสียจริง, ใช่ไหม? ขอผมลองอีกทีก็แล้วกัน”


ถ้าเขาไม่ได้การยอมรับจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ก็คงไม่มีทางได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และถ้าไม่ได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ จะมีโอกาสที่ไหนได้พบหลัวลั่วชิง?


“คุณทดสอบสายเลือดได้เพียงครั้งเดียวนะ…”


ฝงตั้นชิงพูดยังไม่ทันจบประโยค หินที่อยู่ในมือของจางเซวียนก็สั่นสะท้านเล็กน้อยขณะนกฟีนิกซ์เจิดจ้าปรากฏขึ้นบนผิวหน้า


ร่างของมันไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟ และไม่ได้กำลังพุ่งทะยานอย่างอิสระเสรี ดูเหมือนกำลังแหวกว่ายอย่างอ่อนแรงอยู่บนผิวหน้าของก้อนหินมากกว่า…


“ฟีนิกซ์สว่างวาบ พลังถดถอย…นี่คือสายเลือดระดับ 3, คุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นสมาชิกสายหลักแล้ว!” ฝงตั้นชิงประกาศขณะยกมือขึ้นทาบอกอย่างโล่งใจ


แม้ผลที่ออกมาจะไม่ได้น่าทึ่งอย่างที่หวังไว้ แต่สายเลือดระดับ 3 ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว เพราะแม้ตัวฝงตั้นชิงเองก็มีสายเลือดระดับ 4 เท่านั้น


“ขอแสดงความยินดีด้วย ฝงเซวียน, คุณได้กลับสู่ตระกูลของเราแล้ว นับจากวันนี้ไป คุณจะเป็นสมาชิกสายหลักคนหนึ่ง มีสิทธิพิเศษเหมือนสมาชิกสายหลักทุกประการ!” ฝงเทียนอวิ๋นประกาศลั่น


จากนั้นเขาก็ยื่นตราหยกอันหนึ่งให้จางเซวียน “นี่คือตราสัญลักษณ์แทนตัวตนของคุณ ด้วยสิ่งนี้ คุณจะได้รับทรัพยากรและหนังสือเทคนิควรยุทธจากทางตระกูลทุกเดือน!”


“ขอบคุณ!” จางเซวียนรับตราสัญลักษณ์มา


แม้ผลที่ได้จะไม่น่าทึ่งเหมือนเมื่อครั้งที่เขาปลอมตัวเป็นหลัวเทียนหยา แต่ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ เครื่องรางแห่งการปลอมตัวคงสัมผัสได้ถึงความนอบน้อมและนิสัยเก็บเนื้อเก็บตัวโดยธรรมชาติของเขา จึงปรับเปลี่ยนผลลัพธ์ให้ดูไม่โดดเด่นเกินไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้เข้าร่วมกับตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ


ถึงอย่างไร สิ่งสำคัญก็คือในที่สุดเขาก็ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว เฮ่ออออ!


ในช่วงเวลาของความชื่นชมยินดีนั้น ไม่มีใครทันสังเกตว่านกฟีนิกซ์ไฟที่เพิ่งโผบินไปมาอย่างอิสระอยู่รอบๆก้อนหินได้ร่วงลงจากท้องฟ้าและลงไปกองอยู่กับพื้น


มันสูญเสียพละกำลังทั้งหมดไป


ในเวลาเดียวกัน บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟ ก็ลืมตา


การทดสอบสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบความเหมือนระหว่างสายเลือดของทายาทกับสายเลือดของจอมราชันย์ผู้ทรงเกียรติขนนกไฟ ซึ่งหินสะท้อนฟีนิกซ์ก็เป็นของล้ำค่าที่สร้างขึ้นจากสายเลือดของเขา


โดยทั่วไป การทดสอบสายเลือดของเหล่าทายาทไม่เคยทำให้เขารู้สึกอะไร แต่คราวนี้ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง หัวใจของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟเต้นตึกตักด้วยความร้อนรน


ราวกับมีบางอย่างบีบรัดหัวใจของเขาไว้แน่น ทำให้หายใจหายคอไม่ออก


“ฝ่าบาท?”


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟถึงกับตาโต


ตัวเขาคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ซึ่งในโลกนี้ ก็มีบุคคลจำพวกเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้


แต่…


จอมราชันย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็เสียชีวิตไปแล้ว ทำไมเขาถึงยังรับรู้ได้ถึงรังสีของอีกฝ่าย?


“เราคงคิดมากไป…ต่อให้จอมราชันย์ของเราฟื้นคืนชีพ ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นรวดเร็วแบบนี้…”


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟส่ายหัวขณะหวนนึกถึงคำพูดที่จอมราชันย์สั่งเสียไว้กับเขาในครั้งนั้น


“แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตรวจสอบดูสักหน่อย…”


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟหลับตาและเพ่งสมาธิให้กับสิ่งที่เขาเพิ่งรู้สึกเมื่อครู่


ความรู้สึกนี้หายวับไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่มันปรากฏ เขาพยายามคว้ามันไว้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง กลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขัดขวาง…บางสิ่งที่เป็นตัวแทนของสรวงสวรรค์


แม้ด้วยพละกำลังของเขา ก็ไม่อาจแกะร่องรอยที่มาของความรู้สึกนั้นได้


สุดท้าย ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟก็ได้แต่ส่ายหน้าและล้มเลิกความคิด


ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้เขาพยายามต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เอาเวลาไปใช้เพื่อการยกระดับวรยุทธจะดีกว่า


สรวงสวรรค์กำลังอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยมีมาก่อน มันคือยุคที่แม้แต่จอมราชันย์ก็เสียชีวิตได้หากประมาทเลินเล่อ


ถ้าตัวเขาในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไม่พยายามยกระดับวรยุทธอย่างเต็มที่ ก็อาจเสียชีวิตได้เมื่อการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งต่อไปมาถึง…


สรวงสวรรค์แต่ดั้งเดิมนั้นเงียบสงบเหมือนทะเลสาบน้ำนิ่ง ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอย่างผาสุกจนกระทั่งสิ้นสุดอายุขัย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะเป็นการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ กระแสการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ หรือการปรากฏตัวของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์…


สรวงสวรรค์ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอีกต่อไป


ด้วยเหตุนี้ ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่จึงอุทิศเวลาให้กับการฝึกฝนวรยุทธหากไม่มีกิจธุระอื่น ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็คือพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งพอที่จะเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์ต่างๆ รวมทั้งปกป้องตระกูลของพวกเขาด้วย


…..


เพราะได้การยอมรับอย่างเป็นทางการจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ จางเซวียนจึงได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมการคัดเลือกภายในเพื่อเฟ้นหาตัวแทนสำหรับการประลอง


การคัดเลือกภายในกินเวลาทั้งหมด 3 วัน ซึ่งผลการคัดเลือกก็พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่ต้น ไม่มีใครในตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเทียบชั้นกับจางเซวียนได้ เขาจึงคว้าอันดับ 1 อย่างง่ายดาย ส่วนฝงจิ่วเกอก็แน่นอนว่าจะต้องคว้าอันดับ 2


เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าผู้รั้งอันดับ 1 ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟคือนักรบนิรนามคนหนึ่งที่เพิ่งหวนคืนสู่ตระกูล ส่วนผู้รั้งอันดับ 2 คือชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยถูกขับออกจากตระกูล เรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด


ม้ามืดทั้งสองจะต้องเป็นคู่แข่งที่น่าสะพรึงไม่เบาสำหรับการประลองที่กำลังจะมาถึง


จางเซวียนเคาะประตูห้องของฝงจิ่วเกอและพูดว่า “การประลองระหว่าง 3 ตระกูลใหญ่จะจัดขึ้นมะรืนนี้ ซึ่งในเมื่อวันนี้ไม่มีกิจธุระอื่น ผมก็หวังว่าคุณจะพาผมไปยังหลุมดำ สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น”


ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟกำหนดให้การคัดเลือกภายในจบลงใน 2 วันก่อนหน้าการประลองอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เหล่าตัวแทนมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 1 วัน ซึ่งในเมื่อตอนนี้ว่างแล้ว จางเซวียนก็อยากเห็นหลุมดำเพื่อจะได้ค้นหาความลึกลับที่อยู่เบื้องหลังพลังงานสีเทาแปลกประหลาดในร่างของฝงจิ่วเกอ


ฝงจิ่วเกอไม่อยากไปเยือนหลุมดำเป็นครั้งที่ 2 แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ว่าพลังงานนั้นอาจหวนคืนกลับมาใหม่ ก็รวบรวมความกล้าและพยักหน้า


กว่าเขาจะได้สายเลือดและวรยุทธกลับคืนมาก็ไม่ง่าย จึงไม่อยากสูญเสียมันไปอีก


ทั้งคู่คือสมาชิกสายหลักของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการคัดเลือกภายใน ชื่อเสียงและเกียรติยศของพวกเขาก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด ในแง่ของสถานภาพภายในตระกูล ทั้งคู่อาจสูงส่งกว่าเหล่าผู้อาวุโสด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านการที่ทั้งสองจะออกจากตระกูล


จางเซวียนกับฝงจิ่วเกอขึ้นขี่หลังอสูรสวรรค์สร้างบินได้ ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็มายืนอยู่ใต้เมืองลอยได้


เมืองลอยได้ที่ดูจะบดบังท้องฟ้าทั้งหมดไว้ถูกพยุงไว้ด้วยขนนกเพียงอันเดียว ขนนกอันนี้เรืองแสงสีทองออกมา ดูคล้ายกับแสงอาทิตย์


ด้วยความอยากรู้ จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อตรวจสอบขนนกอย่างถี่ถ้วน และพบว่า มันดูคุ้นตาอย่างประหลาด เขาพยายามเค้นหัวสมองเพื่อค้นหาความทรงจำ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นมันที่ไหน


สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าและเก็บเรื่องนั้นไว้ในใจ


สิ่งที่อยู่ใต้เมืองลอยได้คือหลุมดำมืดมิดซึ่งดูเหมือนจะลึกลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกราวกับถูกห้อมล้อมด้วยความมืดมนอนธการอันน่าสะพรึง


“ท่านอาจารย์ ตอนนั้นผมก็ลงไปจากจุดนี้นี่แหละ” ฝงจิ่วเกอพูดขณะชี้ไปที่หน้าผาซึ่งอยู่ด้านข้าง


จางเซวียนมองตาม เห็นเส้นทางขนาดเล็กซึ่งเป็นฝีมือมนุษย์ทอดยาวสู่หน้าผา มันโอบล้อมผนังของหลุมดำที่อยู่เบื้องล่าง


“ลงไปดูกันเถอะ”


จางเซวียนสั่งการอสูรสวรรค์สร้างบินได้ให้รออยู่ตรงนั้นก่อนจะออกเดิน


ทางเดินนั้นแคบพอให้เดินได้แค่ทีละคน ส่วนด้านข้างก็เป็นหลุมดำที่ลึกจนเกินหยั่งถึง หากก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ก็จะร่วงลงสู่ความมืดมิดอันไม่มีที่สิ้นสุด


จางเซวียนตามฝงจิ่วเกอไปติดๆ ทั้งคู่ค่อยๆมุ่งหน้าลงสู่หลุมดำ

 

 

 


ตอนที่ 2271 เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าอะไร?

 

หลุมดำนี้ปล่อยพลังงานที่อาจกดข่มได้แม้พลังปราณเทียบฟ้า ทำให้การขับเคลื่อนวรยุทธเป็นไปได้ยาก แต่ก็โชคดีที่เวทนาสวรรค์ที่จางเซวียนฝึกฝนไว้ดูจะไม่กระทบกระเทือน


ทั้งคู่เดินลงไปอีกราว 2 ชั่วโมงท่ามกลางความเงียบงันที่ชวนสั่นประสาท แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลงไปถึงก้นบึ้ง


จู่ๆจางเซวียนก็เลิกคิ้ว เขานำจี้ที่ห้อยอยู่รอบลำคอออกมา เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากจี้นั้นก็พึมพำ “ลั่วชิงคงเคยมาที่นี่เหมือนกัน…”


ทั้งสองเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง แล้วฝงจิ่วเกอก็หยุด เขามองไปด้านหลังและพูดว่า “ท่านอาจารย์ เราเดินมาสุดทางแล้ว คราวก่อนผมก็มาถึงตรงนี้ก่อนจะตกลงไปยังพื้นที่ประหลาด ในตอนนั้นแหละที่วรยุทธของผมตกฮวบ!”


ครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่ ก็เกือบจะสูญเสียทุกอย่างไป เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก


ได้ยินแบบนั้น จางเซวียนมองตรงไปข้างหน้าและเห็นว่าทางเดินแคบๆหายไปแล้ว เป็นไปได้ว่านักรบผู้สร้างทางเดินนี้อาจเสียชีวิตที่นี่ หรือไม่ก็เดินกลับไป


“ดูเหมือนตรงนี้จะไม่มีอะไรพิเศษนะ ว่าแต่…ภารกิจอะไรที่ทำให้คุณต้องมาถึงที่นี่?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้


ก็เหมือนกับ 6 สํานักใหญ่ของมิติเบื้องบน ตระกูลต่างๆในสรวงสวรรค์มักส่งสมาชิกในตระกูลของพวกเขาออกมาปฏิบัติภารกิจเพื่อบ่มเพาะความแข็งแกร่งและขัดเกลานิสัยใจคอ พร้อมกับหาทางรวบรวมทรัพยากรกลับตระกูลให้ได้มากขึ้น


แต่หลุมดำแห่งนี้แห้งแล้งมาก ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากความมืดมนอนธการไม่มีที่สิ้นสุดที่ติดตามพวกเขาไปทุกแห่ง ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟจะต้องเดินทางมาปฏิบัติภารกิจที่นี่


“มีตำนานกล่าวไว้ว่าในหลุมดำมีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ช่วยให้นักรบกลายเป็นราชันย์เทพเจ้า มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘หญ้าราชันย์เทพเจ้า’” ฝงจิ่วเกออธิบายด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ผมคิดว่าเรื่องเล่าลือนั้นน่าจะเป็นความจริง ก็เลยมาที่นี่…”


“หญ้าราชันย์เทพเจ้า?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า


ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งนี้จะมีจริงหรือไม่ เพราะต่อให้มันมีจริง ก็คงไม่ง่ายดายขนาดที่เพียงกินมันเข้าไปแล้วจะทำให้ใครสักคนกลายเป็นราชันย์เทพเจ้า


ผู้ที่จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าจะต้องมีความสามารถในการเข้าถึงอำนาจและพละกำลังของธรรมชาติ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่สมุนไพรทั่วไปจะช่วยได้


แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้หญ้าราชันย์เทพเจ้าทำได้แค่เพิ่มโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธ ก็ล้ำค่าเกินพอที่จะดึงดูดนักรบมากมายนับไม่ถ้วนให้มาเสี่ยงโชค


การได้เป็นราชันย์เทพเจ้าถือเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่สำหรับนักรบในสรวงสวรรค์ เพราะทั่วทั้งสรวงสวรรค์มีราชันย์เทพเจ้าเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ความเย้ายวนใจของการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะต้านทานได้


“รออยู่ตรงนี้นะ ผมจะลงไปดู ถ้าภายใน 4 ชั่วโมงผมยังไม่กลับมา ผมอยากให้คุณกลับไปเลยโดยไม่ต้องรอผม และไม่ต้องพยายามลงไปตามหาผมด้วย” จางเซวียนสั่งการอย่างเคร่งเครียด


ถ้าฝงจิ่วเกอลงไปกับเขา ก็มีโอกาสที่วรยุทธของอีกฝ่ายจะถูกพลังงานสีเทาเข้าครอบงำอีก ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาลงไปคนเดียวดีกว่า


“ท่านอาจารย์…คุณจะต้องปลอดภัยกลับมานะ!”


เห็นท่านอาจารย์ของเขาจะลงไปสำรวจโดยไม่หวาดกลัวสักนิด หวังจะไขความซับซ้อนของสภาวะร่างกายของเขาให้ได้ทั้งที่มีอันตรายรออยู่ นัยน์ตาของฝงจิ่วเกอแดงก่ำด้วยความสำนึกในบุญคุณ


ตัวเขาเป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านอาจารย์เต็มใจทำเพื่อประโยชน์ของเขาขนาดนี้


ในหลุมดำนั่นมีบางอย่างที่อาจทำให้วรยุทธของคนคนหนึ่งสูญสลาย แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ลังเลสักนิด มีอาจารย์แบบนี้แล้ว…ชั่วชีวิตนี้เขาจะยังต้องการอะไรอีก?


จางเซวียนมองหน้าฝงจิ่วเกออย่างงุนงง


เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมองเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ดูใส่อารมณ์เสียจนทำให้เขาขนลุกขนชันไปทั้งตัว


เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าอะไร?


เราก็แค่จะลงไปดู หากเจออันตรายก็จะรีบกลับขึ้นมาทันที จำเป็นต้องประทับใจอะไรขนาดนั้น? พอเถอะ! อย่าดราม่าแถวนี้ เราไม่ได้กำลังแสดงละครน้ำเน่านะ!


จางเซวียนเกาะหน้าผาไว้แน่น เขาค่อยๆไต่ลึกลงไปในหลุมดำ


มีแรงกดดันจากส่วนลึกของหลุมดำที่ชวนเขย่าขวัญสั่นประสาท ดูเหมือนพร้อมจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว จางเซวียนจึงไม่กล้าปล่อยให้การ์ดตก


เขาไต่ลึกลงไปเรื่อยๆ จี้ที่อยู่รอบลำคอก็ค่อยๆอุ่นขึ้นจนถึงจุดที่จางเซวียนรู้สึกว่ามันเกือบจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับตัวเขา แถมยังทำให้การขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเป็นไปอย่างยากลำบาก


หลุมดำนี้คืออุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการสำแดงเทคนิควรยุทธของเขา


“เวทนาสวรรค์!”


สุดท้ายก็มาถึงจุดที่จางเซวียนถูกบีบให้ต้องขับเคลื่อนพลังปราณของเทคนิคเวทนาสวรรค์ซึ่งมีความบริสุทธิ์มากกว่า แล้วแรงกดดันก็หายวับไป เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะไต่ลึกลงไปอีก


ฟึ่บ!


หลังจากเดินหน้าไปได้อีกหน่อย ก็พลันรู้สึกถึงกระแสพลังงานสีเทาที่ค่อยๆซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย


“มันมาจากตรงนี้นี่เอง…”


เพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุแบบนี้ จางเซวียนจึงยังคงความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ เขารีบปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าเข้าใส่พลังงานสีเทานั้น การปะทะกันของพลังงานทั้งคู่ทำให้เกิดแสงสีเขียวเจิดจ้าภายในร่างของเขา


จางเซวียนที่เรืองแสงอยู่ท่ามกลางหลุมดำอันแสนมืดมิดทำให้เขาดูราวกับเทพเจ้าที่ร่อนลงมายังดินแดนมิคสัญญี


 


เมื่อไต่ลึกลงไปอีก กระแสพลังงานสีเทาก็ถาโถมหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่จางเซวียนต้องปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าในปริมาณสูงสุด มิติที่อยู่โดยรอบเริ่มออกอาการของความไม่เสถียร มันสั่นสะท้านไปทุกหนแห่ง


“อันตรายแน่ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้…” ในที่สุดจางเซวียนก็หยุดกึก


เขาบินได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะร่วงลงไปในหลุมดำ


สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือความไม่เสถียรของมิติในหลุมดำแห่งนี้ โดยหากไต่ลึกลงไปอีก ก็อาจต้องจมปลักอยู่ในพลังงานวนและคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ


ด้วยระดับวรยุทธของเขาในเวลานี้ การต้านทานพลังพิเศษของธรรมชาติยังคงเป็นเรื่องยาก


“เราจะหยุดอยู่ที่นี่สักครู่หนึ่ง และขัดเกลาพลังปราณเทียบฟ้าให้กลายเป็นพลังปราณของเวทนาสวรรค์ก่อน…”


หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ จางเซวียนก็นำดาบราชันย์เทพเจ้าออกมาแล้วเจาะหน้าผาให้เป็นถ้ำเล็กๆ ก่อนจะนั่งลงที่นั่น


เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะลงมาถึงตรงนี้ จึงยังไม่อยากกลับไปโดยที่ยังไม่ได้ค้นพบอะไร ในเมื่อกระแสพลังงานสีเทาสามารถเจือจางพลังปราณเทียบฟ้าได้ มันก็น่าจะเหมาะกับการขัดเกลาพลังปราณของเขา ซึ่งในท้ายที่สุด จะมีแต่พลังปราณของเวทนาสวรรค์เท่านั้นที่หลงเหลืออยู่


จางเซวียนตั้งต้นดึงกระแสพลังงานสีเทาเข้าสู่ร่างกายและปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าออกมาปะทะกับมัน รวมแล้วก็ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงกว่าจะปลดปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าออกมาได้หมดและหลงเหลือไว้เฉพาะพลังปราณเทียบฟ้าของเวทนาสวรรค์


“ตอนนี้เราเหลือพลังปราณไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของที่เคยมี…”


ก่อนหน้านี้ ตอนที่พลังงาน 2 รูปแบบหลอมรวมเข้าด้วยกัน มันก็ก่อเกิดเป็นมหาสมุทรขนาดใหญ่ภายในจุดตันเถียนของเขา เป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ไม่มีวันหมด แต่เมื่อพลังปราณเทียบฟ้าทั้งหมดถูกเจือจางไป ปริมาณพลังงานที่หลงเหลืออยู่ในมหาสมุทรนี้ก็เหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของที่เคยมี


จางเซวียนไม่รู้ว่ามันดีต่อเขาหรือเปล่าที่ขัดเกลาพลังปราณอย่างรวดเร็วแบบนี้


แต่เมื่อพลังปราณเทียบฟ้าของเขาหายไป แรงกดดันจากกระแสพลังงานสีเทาก็หายวับไปด้วย จึงดูเหมือนจะยังเป็นผลดีกับเขาอยู่


จางเซวียนเดินออกมาที่ปากถ้ำและมองลึกลงไปขณะครุ่นคิด เขาใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตัดสินใจได้และไต่ลึกลงไปอีก


ไม่ช้าก็มาถึงคลื่นพลังงานวนของมิติ


นี่คืออาณาบริเวณที่มิติไหลเวียนไปมาได้อย่างง่ายดายราวกับของเหลว ทำให้แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าก็ไม่อาจผ่านไปได้ จางเซวียนนำของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงออกมาแล้วยื่นมันออกไปเผชิญหน้ากับคลื่นพลังงานวน


ดาบเริ่มโค้งงอไปตามกระแสของมิติ ราวกับหลุดเข้าไปในกระจกเงาที่บิดเบี้ยว


จางเซวียนรีบชักดาบออกมาด้วยความตกใจ เมื่อพิจารณาสภาพของดาบ ก็รู้ทันทีว่าอาการคดงอนั้นรุนแรงจนไม่อาจซ่อมแซมได้ แถมจิตวิญญาณที่อยู่ภายในดาบก็ถูกทำลายด้วย


“ความเสถียรของมิติคือหนึ่งในเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้ แม้จะเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตอาจปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ก็จะบิดเบี้ยวจนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสภาพเดิมที่เคยเป็น…”


จางเซวียนรู้ดีว่าตัวเขาต้องลงเอยเหมือนดาบเล่มนี้แน่หากหลุดเข้าไปในคลื่นพลังงานวนของมิติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างจนปัญญาและกำลังจะปีนกลับขึ้นไป ก็พอดีกับที่เห็นบางอย่างเดือดเป็นฟองฟอดอยู่ในคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ เกิดแรงกระเพื่อมที่แผ่กระจายออกไปโดยรอบ


จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน


ภายในคลื่นพลังงานวนของมิติ มีพืชหน้าตาน่าสงสัยจำนวนหนึ่งอยู่บนหน้าผา มันเคลื่อนไหวไปมาตามกระแสคลื่นพลังงานวนนั้น


“สิ่งมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ก็ได้หรือ?” จางเซวียนตกใจ


คลื่นพลังงานวนของมิติมีกระแสพลังงานที่แตกต่างกันมากมายซึ่งไหลออกไปคนละทิศละทาง สิ่งมีชีวิตชนิดใดก็ตามที่เข้าไปอยู่ในอาณาบริเวณของมันจะถูกดึงออกไปในทิศต่างๆ ทำให้รูปร่างของมันบิดเบี้ยว


แม้ด้วยวรยุทธของเขาในเวลานี้ จางเซวียนก็ไม่มั่นใจว่าจะปัดป้องพละกำลังของคลื่นพลังงานวนนั้นได้ แต่พืชเหล่านี้กลับเอาตัวรอด ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?


“หรือว่า…พืชที่ขึ้นอยู่ตรงนั้นคือหญ้าราชันย์เทพเจ้า? จะใช่มันหรือเปล่า?”


ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาได้ฟังเรื่องสมุนไพรชนิดหนึ่งจากฝงจิ่วเกอ ก็คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ก็พอจะเห็นวี่แวว


หนึ่งในลักษณะพิเศษของราชันย์เทพเจ้าก็คือความเข้าใจที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งมิติ ซึ่งข้อเท็จจริงที่หญ้าชนิดนี้เอาชีวิตรอดอยู่ได้ท่ามกลางคลื่นพลังงานวนของมิติก็บ่งบอกชัดว่ามันสามารถปรับตัวเข้ากับความบิดเบี้ยวของกฎเกณฑ์แห่งมิติได้


ถ้าใครสามารถหลอมหญ้านี้ให้เป็นยาเม็ดและกินมันเข้าไป ก็น่าจะเพิ่มโอกาสของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้าให้มีมากขึ้นได้จริงๆ


“ปัญหาเดียวก็คือเราจะนำมันมาได้อย่างไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


หญ้าเหล่านี้อยู่ลึกเข้าไปในคลื่นพลังงานวนไม่มากนัก แต่ปัญหาก็คือแม้แต่เขาจะเข้าใกล้มันก็ยังไม่ได้ แล้วจะเก็บหญ้ามาได้อย่างไร?


หากไม่ได้มันมา ต่อให้หญ้าพวกนี้จะล้ำค่าแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!


“ไก่น้อย ฉันมีเรื่องอยากให้แกช่วย!” จางเซวียนตั้งต้นสื่อสารกับไก่สีเหลืองตัวจ้อยที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขา

 

 

 


ตอนที่ 2272 หญ้าราชันย์เทพเจ้า

 

เจ้านั่นสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว และมีร่างกายที่แข็งแกร่งไม่มีวันตาย น่าจะเก็บหญ้าพวกนั้นให้เขาได้


“ผมหลับอยู่!” ไก่น้อยฟึดฟัดก่อนจะออกมาจากจุดตันเถียนของจางเซวียน มันมองภาพที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็หรี่ตาที่กลมดำเหมือนลูกปัดด้วยความสงสัย “ที่นี่…ดูเหมือนผมจะเคยมาที่นี่นะ…”


“แกเคยมาที่นี่หรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “แล้วจำอะไรได้บ้างไหม?”


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไก่น้อยพูดเสมอว่ามันคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจทั่วดินแดน แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วมันเป็นตัวอะไร แม้หลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จ ก็ยังจดจำอะไรที่เกี่ยวกับมรดกตกทอดของมันไม่ได้เลย


หรือว่าคลื่นพลังงานวนแห่งมิติจะเป็นกุญแจที่ฟื้นคืนความทรงจำของมันได้?


“ก็ไม่เชิงหรอก ผมแค่รู้สึกว่าที่นี่ดูคุ้นตา…” ไก่น้อยหันซ้ายหันขวาและยืดคอมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ สุดท้ายก็กระพือปีกเล็กจ้อยไปมาและคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง “ผมจำอะไรไม่ได้เลย! ช่างมันเถอะ ก็ไม่ควรจะไปนึกถึงมันอีก ได้วรยุทธกลับคืนมาเมื่อไหร่ก็คงจดจำทุกอย่างได้เอง อ้อ! ใช่สิ…แล้วคุณเรียกผมออกมาทำไม?”


ถ้าไม่มีอะไร เจ้านายของมันแทบไม่เคยรบกวนมันเลย


“ฉันสงสัยว่าพืชที่ขึ้นอยู่ในคลื่นพลังงานวนแห่งมิตินั่นคือหญ้าราชันย์เทพเจ้า มันเป็นสมุนไพรที่ช่วยให้นักรบฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จ แต่ด้วยวรยุทธของฉันในเวลานี้ ฉันเก็บมันไม่ได้ อยากรู้ว่าแกพอจะเก็บมันได้หรือเปล่า”


“พืชที่อยู่ตรงนั้นหรือ?” ไก่น้อยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ก็น่าจะเป็นไปได้อยู่นะ พืชนั่นดูประหลาดไม่เบา…”


“ตกลงแกเก็บมันได้ใช่ไหม?” จางเซวียนถาม “ฉันต้องการให้แกเก็บนะ ไม่ใช่กินมันเข้าไป”


ไก่น้อยขึ้นชื่อเรื่องความตะกละขั้นสุดเมื่อเป็นเรื่องอาหาร ถ้ามันรี่เข้าไปแล้วกินหญ้าทั้งหมดล่ะก็…เอาเถอะ เขาคงไม่ง้างปากมันเพื่อล้วงหญ้าพวกนั้นออกมาหรอก!


ขอเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างไปชั่วชีวิตดีกว่าถ้าจะต้องทำเรื่องน่าขยะแขยงแบบนั้น…


ไก่น้อยมองหน้าจางเซวียนและรับคำหนักแน่น “ได้อยู่แล้วล่ะน่ะ ผมเป็นราชันย์เทพเจ้าแล้วนะ คุณก็รู้ หญ้านั่นน่ะไม่มีประโยชน์กับผมแล้ว ไม่ต้องห่วง…ผมไม่กินมันแน่ ก็แค่จะลองเล็มสักใบหนึ่งเพื่อดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร ถ้าไม่อร่อยก็จะไม่กินมันอีก…ทำไมคุณถึงมองผมแบบนั้น? หญ้านั่นมีมากกว่า 1 ใบนี่นา?”


จางเซวียนพูดไม่ออกขณะมองหน้าไก่น้อย สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจนปัญญา “เอาเถอะ แกจะทำอะไรก็ทำ แต่คลื่นพลังงานวนแห่งมิตินั่นดูจะไม่ธรรมดานะ ถ้ารู้สึกว่ามีอันตราย ให้รีบถอยออกมาทันที”


หญ้าราชันย์เทพเจ้าไม่ได้มีค่าอะไรเลยหากเทียบกับไก่น้อย ถ้าการเก็บหญ้าราชันย์เทพเจ้าจะทำให้ไก่น้อยต้องตกอยู่ในอันตราย เขาก็ไม่อยากได้มันแม้แต่นิดเดียว


“เฮ่อออ ผมน่ะอยากตายมานานแล้ว ถ้าสิ่งนี้ฆ่าผมได้ ผมก็ยิ่งกว่ายินดีที่จะทำ” ไก่น้อยพูดขณะกระพือปีก


ครั้งล่าสุดที่มันแปลงร่าง ก็ยังคงหลงเหลือหัวไก่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ถ้าคลื่นพลังงานวนแห่งมิติสังหารมันได้ คราวนี้ก็น่าจะแปลงร่างได้อย่างสมบูรณ์แบบเสียที


“อือ…” จางเซวียนพยักหน้า


คงเป็นการโกหกหากจะบอกว่าเขาไม่กังวล แต่เมื่อหวนนึกถึงการที่ไก่น้อยฟื้นคืนชีพได้แม้ร่างกายจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ก็ตัดสินใจปล่อยให้เป็นไปตามนั้น


พั่บ!


ไก่น้อยกระพือปีกเล็กจ้อยของมัน จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าสู่คลื่นพลังงานวนแห่งมิติ ในชั่วพริบตา ร่างของมันก็บิดเบี้ยวราวกับภาพสะท้อนจากกระจกเงาที่เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ร่างเล็กสีทองพองตัวขึ้นจนดูคล้ายกับนกฟีนิกซ์ไฟที่จางเซวียนได้เห็นบนหินสะท้อนฟีนิกซ์


“เดี๋ยวก่อน หรือว่า…ไก่น้อยมาจากเผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์?”


จางเซวียนเกิดความคิดขึ้นมาทันที


ในโลกนี้มีอสูรในตำนานอยู่ไม่กี่ชนิด และยิ่งมีน้อยลงไปอีกที่สายเลือดของมันทรงพลังถึงขนาดที่ไม่อาจแปลงร่างอย่างสมบูรณ์ได้แม้จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริง ไก่น้อยจะเป็นอสูรที่ทรงพลังขนาดไหน?


มันคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ…หรือจอมราชันย์?


คงไม่ใช่ว่าแท้ที่จริงแล้วไก่น้อยคือจอมราชันย์อมตะหรอกนะ? จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ


มันดูประหลาดตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่จอมราชันย์อมตะซึ่งน่าจะไม่มีวันตายกลับเสียชีวิตไปแบบนั้น


จางเซวียนนึกถึงครั้งแรกที่เขาพบไก่น้อย ตอนนั้นเขายังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ และไก่น้อยเป็นแค่น้ำเต้าลูกหนึ่ง มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการซึมซับพลังปราณเทียบฟ้าของเขา


ตอนที่อยู่ในมิติเบื้องบน ขณะที่ทั้งคู่อยู่ตรงหน้าหลุมศพจอมราชันย์อมตะ ไก่น้อยเคยพูดว่ามันอยากกินโครงกระดูกที่อารักขาหลุมศพนั้น


แถมตอนที่มันฟื้นคืนชีพหลังจากถูกตัวโคลนของปรมาจารย์ขงสังหาร บรรยากาศของการเสื่อมถอยก็ถูกปล่อยออกมาจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายอย่างกะทันหันเพื่อช่วยเสริมการเติบโตของมัน ซึ่งมันก็ซึมซับบรรยากาศของการเสื่อมถอยอันเข้มข้นนั้นได้อย่างง่ายดาย…


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความรู้สึกคุ้นตาที่จางเซวียนรู้สึกได้เมื่อเห็นขนนกขนาดใหญ่แบกรับเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดไว้ เช่นเดียวกับที่ไก่น้อยบอกว่ามันรู้สึกคุ้นตากับหลุมดำแห่งนี้


และที่สำคัญที่สุด ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติฉีเหมิงเคยเรียกเขาว่าจอมราชันย์เมื่อครั้งที่อยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง เป็นไปได้ว่านั่นเป็นเพราะมีเลือดของไก่น้อยปะปนอยู่ในทะเลสาบ


ด้วยการซึมซับเลือดของไก่น้อย ร่างกายของเขาจึงได้รับองค์ประกอบที่เป็นอมตะส่วนหนึ่งของจอมราชันย์อมตะมา ทำให้เยียวยาตัวเองให้หายจากอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว


“นี่เราเอาจอมราชันย์มาเป็นอสูรของตัวเองหรือ?”


ยิ่งครุ่นคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ หน้าตาของจางเซวียนก็ยิ่งเหยเกด้วยความพรั่นพรึง


ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ในสรวงสวรรค์ เขาได้เรียนรู้ว่าจอมราชันย์ได้รับความเคารพยกย่องมากแค่ไหน แม้แต่ปรมาจารย์ขงก็ยังต้องได้การยอมรับจากเก้าจอมราชันย์เสียก่อนถึงจะเป็นจอมราชันย์อีกคนหนึ่งได้


แต่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงผู้ต่ำต้อยอย่างเขามีอสูรในครอบครองเป็นจอมราชันย์ ซึ่งตอนนี้ไก่น้อยยังไม่ได้ความทรงจำกลับคืนมา มันจึงไม่อาจพูดอะไร แต่ทันทีที่จดจำอดีตได้ มันจะพยายามฆ่าเขาเพื่อลบประวัติศาสตร์อันน่าอับอายนี้หรือเปล่า?


“แต่ก็ไม่น่าจะใช่ ลั่วชิงซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นน่าจะเป็นทายาทของจอมราชันย์อมตะ ซึ่งเธอก็เคยพบไก่น้อยในสภาพน้ำเต้าตงฉู่ตอนที่เรายังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เธอน่าจะจำมันได้และแสดงทีท่าอะไรออกมาบ้าง…”


เท่าที่เขารู้ นี่เป็นครั้งแรกที่จอมราชันย์คนหนึ่งเสียชีวิต จึงเป็นเรื่องพอเข้าใจได้ที่ไม่มีใครแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจอมราชันย์อมตะ แต่ในฐานะทายาทของจอมราชันย์อมตะ หลัวลั่วชิงน่าจะจดจำอีกฝ่ายได้แม้จะอยู่ในสภาพที่แตกต่างไปจากเดิม


แต่ก็แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของเขา ยังระบุอะไรชัดเจนไม่ได้


แม้จะเป็นถึงจอมราชันย์ แต่คนเหล่านั้นก็มีศัตรู ถ้าใครสักคนรู้ว่าจอมราชันย์อมตะอยู่ในสภาพที่แสนอ่อนแอแบบนี้ ก็มีโอกาสที่จะถูกสังหารเสียก่อนที่จะได้พละกำลังสูงสุดกลับคืนมา


หลัวลั่วชิงอาจเลือกทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อปกปิดเรื่องนี้จากสายตาของคนอื่น


“ช่างมันเถอะ มัวคิดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร?” จางเซวียนพึมพำกับตัวเอง “ความลึกลับต่างๆคงคลี่คลายไปเองเมื่อเราได้พบลั่วชิงที่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณในวันพรุ่งนี้…”


จางเซวียนสลัดความคิดต่างๆนานาออกไป เขาหันกลับไปมองคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ เห็นไก่น้อยกำลังต่อสู้กับหญ้าราชันย์เทพเจ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย


สมุนไพรที่มีชีวิตรอดอยู่ได้ในคลื่นพลังงานวนแห่งมิติและมีอานุภาพช่วยนักรบให้สำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าย่อมไม่อ่อนแออย่างแน่นอน แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันจะยังไม่ถึงขั้นราชันย์เทพเจ้า แต่ก็คงไม่ฉลาดนักหากประเมินความสามารถของมันต่ำไป


โชคร้ายที่ไก่น้อยเป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว แถมยังทรงพลังไม่เบา ไม่ช้ามันก็เอาชนะหญ้าราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จ มันใช้จะงอยปากคาบหญ้าไว้แล้วบินกลับมายังจุดที่จางเซวียนยืนอยู่


ร่างของมันยังคงบิดเบี้ยวแม้จะออกจากคลื่นพลังงานวนมาแล้ว แต่ความบอบช้ำเพียงเท่านี้ไม่รุนแรงพอจะทำอันตรายมันได้ ไก่น้อยยื่นสมุนไพรให้จางเซวียนก่อนจะผลุบเข้าไปในจุดตันเถียนและหลับไป


รวมแล้ว มีหญ้าทั้งหมด 4 ต้น


ที่จริงควรจะมี 5 ต้น แต่ไก่น้อยกินไปต้นหนึ่งระหว่างสู้รบ ซึ่งมันพบว่ารสชาติแสนจะแย่ จึงเก็บที่เหลือไว้ให้จางเซวียน


จางเซวียนนำกล่องหยกออกมาเก็บหญ้าราชันย์เทพเจ้าก่อนจะใช้พลังปราณปิดกล่องไว้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็บินกลับขึ้นมาที่ปากหลุมดำ


เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบสมุนไพรชนิดนี้แล้วตั้งแต่ได้มันมา ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิด มันคือหญ้าราชันย์เทพเจ้าจริงๆ และมีอานุภาพในการเพิ่มโอกาสการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์


ยิ่งไปกว่านั้น อานุภาพของมันจะเข้มข้นขึ้นอีกหากได้ผสมผสานกับสมุนไพรชนิดอื่นๆที่มีคุณสมบัติทางยา


ด้วยสิ่งนี้ ทันทีที่จางเซวียนเข้าถึงเทคนิควรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าที่เหมาะสมกับเวทนาสวรรค์ของเขา เขาก็จะฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างง่ายดาย


“ท่านอาจารย์ คุณเป็นอะไรไหม?”


เมื่อกลับมาถึงจุดที่เขาแยกกันกับฝงจิ่วเกอ จางเซวียนเห็นชายหนุ่มมองมาอย่างเป็นห่วง เขาพยักหน้า “กลับก่อนเถอะ แล้วค่อยพูดกัน”


ทั้งคู่รุดหน้าไปอย่างช้าๆเผื่อว่าจะพบบางอย่างที่เป็นอันตราย แต่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็กลับขึ้นมาถึงพื้นดิน


จางเซวียนเรียกอสูรสวรรค์สร้างบินได้มา แล้วทั้งคู่ก็กลับตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ


“ผมเจอสาเหตุที่ทำให้วรยุทธของคุณตกฮวบแล้ว คุณวางใจได้เลยว่าต่อไปจะไม่เจอปัญหาแบบนี้อีก” จางเซวียนพูดยิ้มๆ “แล้วผมก็พบหญ้าราชันย์เทพเจ้าที่คุณพูดถึงด้วย ผมจะหลอมมันให้เป็นยาเม็ดและมอบให้คุณเม็ดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ตั้งใจหมั่นเพียรฝึกฝนให้ดีล่ะ จะได้สำเร็จวรยุทธเป็นราชันย์เทพเจ้าเร็วๆ!”


“คุณพบหญ้าราชันย์เทพเจ้า?” ฝงจิ่วเกออุทานอย่างตกตะลึง


เขาออกจะสงสัยว่าหญ้าราชันย์เทพเจ้ามีจริงหรือไม่ตอนที่ลงไปยังหลุมดำแห่งนั้น แต่ใครจะไปคิดว่ามันมีอยู่จริง และท่านอาจารย์ของเขาก็เก็บมันมาได้!


ไม่เพียงเท่านั้น ยังจะมอบบางส่วนให้เขาด้วย…

 

 

 


ตอนที่ 2273 น่านฟ้าหลิงหลง

 

ฝงจิ่วเกอนัยน์ตาแดงก่ำอีกครั้งขณะมองจางเซวียนอย่างสำนึกในบุญคุณ


จางเซวียนตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นฝงจิ่วเกอมองเขาด้วยนัยน์ตาเป็นประกายอีกรอบ เขารีบหันไปทางอื่นขณะพูดว่า “สำหรับเวลาที่เหลือในวันนี้ คุณควรตั้งใจฝึกฝนวรยุทธให้ดี ผมจะออกไปข้างนอกสักครู่ แล้วจะกลับมาให้ทันการประลองวันพรุ่งนี้”


ยังเหลือเวลาอีกครึ่งวันก่อนจะถึงการประลอง ซึ่งก็เกินพอสำหรับการหลอมหญ้าราชันย์เทพเจ้าให้เป็นยาเม็ด ด้วยยาเม็ดเหล่านี้ จางเซวียนจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทันทีที่เขาได้เทคนิควรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้ามา


แน่นอนว่าปัญหาก็คือยาเม็ดที่ช่วยเพิ่มโอกาสการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้านั้นไม่ใช่จะหลอมกันง่ายๆ มันคือบททดสอบที่แสนจะท้าทายของนักปรุงยา ซึ่งคนแรกที่จางเซวียนนึกถึงก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก…ฟู่เจียงเฉิน!


ฟู่เจียงเฉินมีชื่อเสียงในฐานะนักปรุงยาหมายเลข 1 ของสรวงสวรรค์ แถมเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงพลังด้วย คงจะปลอดภัยหากไว้วางใจมอบหญ้าราชันย์เทพเจ้าให้อยู่ในมือเขา


ที่สำคัญกว่านั้น จางเซวียนเคยพูดคุยกับฟู่เจียงเฉินแล้ว และรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนไว้ใจได้


เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าข่าวคราวเรื่องหญ้าราชันย์เทพเจ้ารั่วไหลออกไป จะต้องเกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ยิ่งกว่าเมื่อครั้งยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธเสียอีก เพราะถึงอย่างไร ราชันย์เทพเจ้าแต่ละคนก็ถือเป็นทรัพยากรแสนล้ำค่าสำหรับทุกตระกูลในสรวงสวรรค์ ไม่เว้นแม้แต่ตระกูลที่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ


เขาคงต้องเจอกับการลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าหากข่าวรั่ว


“ท่านอาจารย์ ระวังตัวด้วยนะ…” ฝงจิ่วเกอประสานมือ


จางเซวียนพยักหน้า เขากำชับฝงจิ่วเกอไม่ให้บอกใครเรื่องหญ้าราชันย์เทพเจ้า ก่อนจะขึ้นขี่อสูรสวรรค์สร้างบินได้อีกครั้งและมุ่งหน้าสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่


ด้วยการเดินทางที่สะดวกสบายแบบนี้ เขามีเวลาถึงครึ่งวัน ซึ่งเกินพอที่จะมุ่งหน้าสู่น่านฟ้าหลิงหลงเพื่อตามหาฟู่เจียงเฉิน จัดการให้อีกฝ่ายหลอมยา และกลับมาที่นี่


การเดินทางสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีราชันย์เทพเจ้ามาเป็นอาหารเย็นของไก่น้อยและทำให้จางเซวียนได้อาวุธกับยาเม็ดมาฟรีๆอีก


พูดกันตามตรง จางเซวียนออกจะผิดหวัง


ราว 1 ชั่วโมงให้หลัง เขาก็มาถึงเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าหลิงหลง


น่านฟ้าหลิงหลงได้ชื่อมาจากวลี ‘หัวใจหลิงหลงของ 7 จุดชีพจร’* มันตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสรวงสวรรค์ มีดินแดนเป็นรูปเจ็ดเหลี่ยม จอมราชันย์ของที่นี่เป็นสุภาพสตรี-เทพธิดาหลิงหลง


เทพธิดาหลิงหลงขึ้นชื่อเรื่องความงดงามอย่างไม่มีใครเทียบ วรยุทธของเธอก็สูงส่งจนน่าทึ่ง ไม่ได้เป็นรองจอมราชันย์มังกรเมฆผู้ทรงพลังหรือจอมราชันย์อมตะเลย


2 ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่อยู่ใต้อาณัติของเธอ, ชางกวนหยุนหวันกับไป๋เย่ฉิงหง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามอย่างหาตัวจับยาก ว่ากันว่ามีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติและราชันย์เทพเจ้ามากมาย แสดงความคลั่งไคล้ต่อเธอทั้งคู่ แต่ก็ถูกปฏิเสธ


ซึ่งก็น่าแปลกที่ฟู่เจียงเฉินซึ่งดูเป็นคนหนักแน่นน่าเชื่อถือก็เป็นแฟนตัวยงของทั้งคู่เช่นกัน สองราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติผู้เลอโฉมคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาเลือกตั้งรกรากที่น่านฟ้าหลิงหลง เพราะอันที่จริง ด้วยทักษะการปรุงยาชั้นยอดของฟู่เจียงเฉิน ไม่ว่าจะไปไหนก็ย่อมมีชีวิตสุขสบาย


ดอกไม้ร่วงหล่นลงจากต้นเพราะการเสียสละของมัน แต่แล้วก็ถูกพัดพาไปโดยแม่น้ำที่ไร้หัวใจ


ก็เหมือนกับจอมราชันย์ของพวกเธอ ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั้งสองไม่แยแสการสานสัมพันธ์กับชายใด ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครเคียงข้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ ก็ไม่เคยปรากฏว่าพวกเธอใกล้ชิดกับบุรุษคนไหน


จางเซวียนรู้ดีว่าเขาเหลือเวลาเพียงครึ่งวันและไม่อาจปล่อยให้อะไรๆยืดเยื้อ จึงรีบเข้าสู่เมืองหลวงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงและส่งข้อความหาฟู่เจียงเฉิน ไม่ช้าก็ได้รับการตอบกลับ


จางเซวียนรออยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง แล้วนักปรุงยาหมายเลข 1 ของสรวงสวรรค์ก็บินลงมาหาเขา


“สหายของผม, จางเซวียน! ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาหาผมเร็วขนาดนี้!” ฟู่เจียงเฉินลูบเคราพร้อมกับยิ้มให้


ตั้งแต่ทั้งคู่แยกจากกันที่เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ก็แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันมาตลอด และจางเซวียนก็ให้สัญญาว่าจะแวะมาน่านฟ้าหลิงหลงเมื่อเขามีเวลา เพียงแต่ฟู่เจียงเฉินไม่คิดว่า จะได้พบชายหนุ่มรวดเร็วขนาดนี้


เขาทำการตรวจสอบยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งพิจารณายาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งประทับใจกับอานุภาพของมันมากขึ้นเท่านั้น


ทักษะการหลอมยาของเขาเป็นเลิศในสรวงสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจระบุสูตรยาของยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธได้ ไม่ว่าจะตรวจสอบถี่ถ้วนแค่ไหน มันก็ไม่ต่างอะไรกับยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางโดยทั่วไป


อันที่จริง บางเวลาเขายังแอบสงสัยด้วยซ้ำว่าจางเซวียนอาจให้ยาผิดเม็ด


แต่เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของยา ก็พบว่ามันช่วยรักษาอาการบอบช้ำภายในของนักรบและทำให้พวกเขาฝ่าด่านคอขวดที่สกัดกั้นวรยุทธได้จริง


ลงท้าย ฟู่เจียงเฉินก็สรุปว่าความเชี่ยวชาญด้านการหลอมยาของชายหนุ่มเหนือชั้นกว่าเขามาก


ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบจางเซวียนอีกครั้ง


“บอกคุณตามตรงก็แล้วกัน ผมมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ” จางเซวียนพูดขณะประสานมือ


“อย่างนั้นหรือ?” ฟู่เจียงเฉินออกจะประหลาดใจ “ไม่ต้องมีพิธีรีตองกับผมหรอก ผมยินดีช่วยคุณในทุกปัญหา!”


“ผมขอขอบคุณล่วงหน้าเลยนะ พี่ฟู่!”


ในเมื่อฟู่เจียงเฉินเรียกขานเขาเป็นมิตรสหาย ก็คงจะดูเป็นทางการเกินไปหากเขายังคงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘นักปรุงยาฟู่’


จางเซวียนเปลี่ยนไปใช้โทรจิต เขาบอกฟู่เจียงเฉิน “เอาตรงๆเลยนะ ผมอยากให้คุณหลอมยาให้ผมหน่อย”


“หลอมยา?” ฟู่เจียงเฉินแปลกใจที่เห็นจางเซวียนทำท่ามีลับลมคมใน


ครู่ต่อมา เขาก็คิดได้ ฟู่เจียงเฉินพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจขณะส่งโทรจิตตอบ “ทักษะการหลอมยาของคุณน่ะเหนือชั้นกว่าผมมาก ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือจากผมล่ะก็…แปลว่าคุณกำลังจะหลอมยาเม็ดขั้นราชันย์เทพเจ้าใช่ไหม?”


ในฐานะนักปรุงยาที่หลอมยาอันแสนน่าทึ่งอย่างยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธและยาเม็ดเพิ่มความงามได้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความเข้าใจเรื่องการหลอมยาของอีกฝ่ายจะต้องเหนือชั้นกว่าเขามาก


แต่จางเซวียนก็ลงทุนเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อขอความช่วยเหลือ นั่นหมายความว่ายาเม็ดที่อีกฝ่ายต้องการจะต้องเหนือชั้นกว่าความสามารถที่ตัวเขามี


“ใช่ มันเป็นอย่างนั้นแหละ” จางเซวียนตอบตามตรง


ถ้าจะระบุให้ชัดเจน ยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธที่หลอมจากหญ้าราชันย์เทพเจ้าไม่น่าจะเข้าถึงระดับขั้นของราชันย์เทพเจ้า แต่มูลค่าของมันคงไม่เป็นรองยาเม็ดขั้นราชันย์เทพเจ้าขนานอื่นๆแน่


“มาเถอะ ไปที่บ้านของผมก่อน แล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน!”


รู้ดีว่ายานี้อาจดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆอย่างที่พวกเขาไม่ต้องการ ฟู่เจียงเฉินจึงใช้พลังปราณห่อหุ้มร่างของจางเซวียนไว้ แล้วทั้งคู่ก็บินไปยังคฤหาสน์ของเขา


ฟู่เจียงเฉินได้ชื่อว่าเป็นนักปรุงยาชั้นยอดของสรวงสวรรค์ มีสถานภาพสูงส่งมากในน่านฟ้าหลิงหลง แม้จะเป็นแค่ราชันย์เทพเจ้า แต่คฤหาสน์ของเขาก็ใหญ่โตพอๆกับคฤหาสน์ตระกูลฉีเลยทีเดียว


เพราะมีศิษย์สายตรงอยู่มากมาย ฟู่เจียงเฉินจึงมีตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักด้วย


ฟู่เจียงเฉินนำจางเซวียนไปยังห้องส่วนตัวของเขาในคฤหาสน์ก่อนจะสร้างปราการปิดกั้นพื้นที่ เมื่อเสร็จเรียบร้อย ก็หันมาพูดกับจางเซวียน “น้องจาง บอกคุณตามตรงนะ ระดับวรยุทธของผมน่ะยังจำกัด ตอนนี้ผมสามารถหลอมยาเม็ดขั้นราชันย์เทพเจ้าได้เพียง 8 ขนานเท่านั้น ถ้ายาเม็ดที่คุณต้องการไม่ได้อยู่ใน 8 ขนานนี้ล่ะก็ เกรงว่าผมจะช่วยอะไรคุณไม่ได้”


โดยธรรมชาติของยาเม็ดขั้นราชันย์เทพเจ้า โอกาสที่การหลอมยาจะประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมพลังธรรมชาติและความเข้าใจในวรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้าของนักปรุงยาผู้นั้น ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาล้วนมีอิทธิพลมาก


แน่นอนว่าฟู่เจียงเฉินเป็นนักปรุงยาผู้ปราดเปรื่อง แต่วรยุทธของเขาไม่ได้โดดเด่นกว่านักรบระดับราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไป ด้วยเหตุนี้ ยาเม็ดขั้นราชันย์เทพเจ้าที่เขาหลอมได้จึงมีเพียง 8 ขนาน


“8 ขนาน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาไม่รู้ว่าในสรวงสวรรค์มียาเม็ดขั้นราชันย์เทพเจ้าอยู่กี่ขนาน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือจะต้องมีมากกว่า 8, แต่ตอนนี้ก็สายไปแล้วที่จะเสาะหานักปรุงยาคนอื่น จางเซวียนจึงตรงเข้าประเด็น


“ยาเม็ดที่ผมต้องการหลอมคือยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้า ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินชื่อยาขนานนี้ไหม, พี่ฟู่?”


“ยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้า?” ฟู่เจียงเฉินชะงัก “มียาชนิดนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?”


แม้เขาจะมีความรู้กว้างขวางเรื่องการหลอมยา แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามียาชนิดไหนที่ช่วยให้นักรบฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้


“ผมเพิ่งได้สูตรยาเมื่อไม่นานมานี้ และยังไม่มีโอกาสทดสอบ” จางเซวียนตอบ


ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการหลอมยาของเขาในเวลานี้ เขาสามารถเปลี่ยนแปลงสูตรยาให้ตรงตามความต้องการของตัวเองได้


ซึ่งตลอดการเดินทาง จางเซวียนได้ศึกษาองค์ประกอบและศักยภาพของหญ้าราชันย์เทพเจ้า จากนั้นก็ปรับปรุงให้เป็นสูตรยาที่ดึงเอาคุณสมบัติทางยาของหญ้าราชันย์เทพเจ้าออกมาได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด แต่ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่มีโอกาสปฏิบัติจริง


แต่นั่นแหละ เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าประมวลความเป็นไปได้ของมันแล้ว ซึ่งก็ไม่มีข้อผิดพลาดใด ขอแค่ทำการหลอมยาตามสูตรของเขาอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ต้นจนจบ ยาที่หลอมได้ก็น่าจะมีอานุภาพช่วยนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงให้กลายเป็นราชันย์เทพเจ้า


“คุณได้สูตรยามาแล้ว?”


ฟู่เจียงเฉินมองจางเซวียนขณะอ้าปากค้างอยู่นาน


เขาคิดว่าเพียงเท่านี้ก็น่าทึ่งพออยู่แล้วที่ชายหนุ่มสามารถหลอมยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธที่ทำให้นักรบฝ่าด่านคอขวดในวรยุทธขั้นต้นได้ ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะไปไกลถึงขนาดมีสูตรยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้า…


 


—–


*หัวใจหลิงหลงของ 7 จุดชีพจรคือหัวใจลึกลับที่มีจุดชีพจร 7 จุด กันว่าใครก็ตามที่มีหัวใจแบบนี้จะมีลักษณะของความไร้เดียงสาแต่กำเนิด ทั้งยังมีความสามารถพิเศษในการได้ยินเสียงของธรรมชาติและสื่อสารกับมันได้

 

 

 


ตอนที่ 2274 สำนึกในบุญคุณ

 

ความเก่งกาจของเขาช่างน่าสะพรึงเสียจริง!


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า “แต่ตอนนี้วรยุทธของผมยังอ่อนด้อย ไม่อาจหลอมยาได้ ผมจึงมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณ ขอแค่คุณช่วยผมหลอมยาจนสำเร็จ ผมก็พร้อมจะตอบแทนคุณอย่างเต็มที่!”


“คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไป เป็นเกียรติสูงสุดสำหรับนักปรุงยาอย่างผมแล้วล่ะที่ได้เห็นการถือกำเนิดของยาเม็ดที่แสนจะน่าทึ่งขนาดนี้!” ฟู่เจียงเฉินตอบอย่างตื่นเต้น “คุณจะโชว์สูตรยาให้ผมดูก่อนได้ไหม? ผมไม่เคยหลอมอะไรแบบนี้มาก่อน จึงอยากเห็นสูตรยาเพื่อดูว่าอยู่ในวิสัยที่ผมพอจะทำได้หรือเปล่า”


“ได้เลย!”


ในเมื่อจางเซวียนมาขอความช่วยเหลือจากฟู่เจียงเฉินถึงที่นี่ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบัง เขานำตราหยกอันหนึ่งออกมาแล้วถ่ายทอดสูตรยาที่อยู่ในหัวสมองลงไปก่อนจะยื่นตราหยกให้ฟู่เจียงเฉิน


อีกฝ่ายรับตราหยกมาและรีบตรวจสอบรายละเอียดภายใน เขาตาโตเมื่อเห็นสูตรยาทั้งหมด จากนั้นก็หันกลับมาถามจางเซวียนด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ “คุณแน่ใจหรือว่าสูตรยานี้ใช้การได้?”


สูตรยาที่ปรากฏต่อสายตาฟู่เจียงเฉินนั้นน่าสะพรึงมาก แม้จะเป็นนักปรุงยาชั้นยอดของสรวงสวรรค์ แต่หัวใจของเขาก็ยังแทบจะกระโดดออกมาเมื่อนึกถึงมัน เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะมีใครอาจหาญนำส่วนผสมทางยาเหล่านี้มาหลอมเข้าด้วยกัน


ส่วนผสมหลักของสูตรยา, คือหญ้าราชันย์เทพเจ้านั้นเป็นสมุนไพรที่เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินชื่อของมันมาก่อน แต่สมุนไพรชนิดอื่นๆที่เหลือก็ล้วนแต่ทำให้เย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง


ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่สมุนไพรชนิดที่ 6, หญ้ามังกรอสรพิษ ก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในยาพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงที่สุดในสรวงสวรรค์แล้ว แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าก็ไม่อาจเอาชนะพิษของมันได้ แล้วกล้าใช้ของแบบนี้มาหลอมยา…


ฟู่เจียงเฉินตั้งต้นคิดคำนวณถึงโอกาสที่นักรบคนหนึ่งจะเอาชีวิตรอดมาได้หากกินยานี้เข้าไป!


สำหรับสมุนไพรชนิดที่ 14, ดอกร้อยใบสีม่วง แม้จะไม่มีพิษ แต่ก็มีอานุภาพสกัดกั้นพลังปราณให้แข็งทื่อ ทำให้นักรบไม่อาจสำแดงวรยุทธของพวกเขาได้


ยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธควรจะมีองค์ประกอบที่เปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณ เพื่อให้นักรบรวบรวมพลังงานได้มากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไม่ใช่หรือ? แต่สมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีอานุภาพสกัดกั้นพลังปราณ กินเข้าไปแล้วจะฝึกฝนวรยุทธได้อย่างไร?


และสมุนไพรชนิดที่ 21, หยดเลือดของมังกรเลือดบริสุทธิ์…


นี่คือสิ่งที่นักรบทั่วไปต้านทานได้หรือ? อย่าว่าแต่หยดเดียวเลย แค่ครึ่งหยดก็เกินพอจะทำให้ร่างระเบิดแล้ว!


ด้วยประสบการณ์นานปีด้านการหลอมยา ข้อสรุปที่ฟู่เจียงเฉินได้ก็คือนี่ไม่ใช่สูตรยา แต่เป็นหม้อไฟที่เต็มไปด้วยส่วนผสมอันคลุมเครือและน่าสะพรึง!


ก็เหมือนกับการที่พ่อครัวมักใส่พริกไทย หอมใหญ่ ขิง และลูกผักชีลงไปในเนื้อเพื่อเสริมกลิ่นและรสชาติของมัน แต่หากเขาใส่ขี้เถ้า 1 ช้อนชา, ฝุ่นหยิบมือหนึ่ง และขี้เลื่อยอีก 3 ช้อนโต๊ะลงไปในอาหารที่เขาปรุงล่ะ มันจะกินได้ไหม?


นี่คือตรรกะเดียวกันกับสูตรยาที่ปรากฏตรงหน้าฟู่เจียงเฉิน


“ผมทบทวนทั้งหมดรอบหนึ่งแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรนี่” จางเซวียนตอบ


“คุณทบทวนรอบหนึ่งแล้ว?” ฟู่เจียงเฉินแทบอยากจะทึ้งผมตัวเอง


ชายหนุ่มมั่นใจเอาจริงๆ หรือเข้าใจผิดเรื่องการหลอมยากันแน่?


ขนาดนักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดที่ฟู่เจียงเฉินรู้จักก็ยังทบทวนสูตรยาของพวกเขาหลายสิบครั้งกว่าจะพยายามหลอมเป็นยาเม็ดจริงๆ จะได้ไม่สูญเสียสมุนไพรไปเปล่าๆ อันที่จริง บางคนลงทุนถึงขนาดสร้างสถานการณ์จำลองของกระบวนการหลอมยาซ้ำๆหลายร้อยครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าปราศจากข้อบกพร่องโดยสิ้นเชิงก่อนจะเข้าสู่กระบวนการหลอมยาจริงๆ


แต่คุณเพิ่งทบทวนมันเพียงรอบเดียว…แน่ใจหรือว่าทำแบบนี้ก็ได้?


ดูเหมือนคุณจะเห็นทุกอย่างง่ายดายไปเสียหมด!


“วางใจเถอะ ผมมั่นใจในสูตรยา เราหลอมมันได้แน่” จางเซวียนตอบขณะหัวเราะหึๆให้กับความหวาดหวั่นของฟู่เจียงเฉิน


ขนาดหอสมุดเทียบฟ้ายังให้ไฟเขียวแล้ว ดังนั้นย่อมไม่มีปัญหาใดๆแน่!


เห็นความมั่นใจของจางเซวียน ฟู่เจียงเฉินรู้ดีว่าคงพูดอะไรไม่ได้ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาเถอะ ในเมื่อคุณนำมันมาแล้ว ก็คงต้องลองดู แต่ผมต้องออกตัวล่วงหน้านะว่าผมไม่เคยหลอมยาเม็ดแบบนี้มาก่อน เพราะฉะนั้น ก็มีโอกาสที่สมุนไพรทั้งหมดจะลงเอยด้วยการเสียเปล่า”


ถ้ากระบวนการหลอมยาครั้งนี้ล้มเหลว มันย่อมส่งผลให้สมุนไพรทั้งหมดเสียหายด้วย ซึ่งสมุนไพรที่ใช้หลอมยาที่มีอานุภาพระดับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธของราชันย์เทพเจ้าย่อมมีมูลค่ามาก


แม้ฟู่เจียงเฉินจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ก็คงต้องเสียเงินก้อนใหญ่หากสมุนไพรล้ำค่าเหล่านี้เสียหายไปเปล่าๆ


“อย่าห่วงน่ะ มันไม่เสียหายหรอก!” จางเซวียนยิ้ม “พี่ฟู่ ขอแค่คุณทำตามที่ผมสั่งอย่างเคร่งครัด รับรองว่าไม่มีปัญหาแน่”


“อย่างนั้นก็ได้” ฟู่เจียงเฉินพยักหน้า


เห็นๆกันอยู่ว่าความเชี่ยวชาญด้านการหลอมยาของอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าเขา จึงเป็นไปได้ที่ชายหนุ่มอาจมองทุกอย่างแตกต่างจากเขามาก แถมชายหนุ่มก็ยังคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ


“เราจะเริ่มกันได้หรือยัง?” จางเซวียนถาม


เขามีเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น ซึ่งก็ผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง หากไม่รีบ อาจกลับไปไม่ทันการประลอง


“ได้!”


ฟู่เจียงเฉินสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำหม้อหลอมยาใบหนึ่งออกมา เขาโบกมือ แล้วเปลวไฟก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ตรงเข้าโอบรอบหม้อหลอมยาไว้ ทำให้มันสุกสว่าง


หม้อต้มยาที่เขาใช้สำหรับการหลอมยาโดยเฉพาะเป็นของล้ำค่าระดับราชันย์เทพเจ้า และเปลวไฟที่เขาใช้ก็เป็นเปลวไฟสวรรค์สร้าง ด้วยสิ่งนี้ ฟู่เจียงเฉินจะสามารถขัดเกลาได้แม้แต่สมุนไพรระดับราชันย์เทพเจ้า


“คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผม!”


เห็นฟู่เจียงเฉินมีอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการหลอมยา จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาไม่มี


จางเซวียนโบกมือ แล้วสมุนไพรกองใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า มันลอยอยู่กลางอากาศ


เมื่อตอนที่อยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน จางเซวียนเสาะหาสมุนไพรไว้ได้หลายชนิดผ่านทางฉีหลิงเอ๋อ และขณะที่เขาเรียบเรียงสูตรยา ก็ได้ปรับเปลี่ยนมันให้เข้ากับสมุนไพรที่เขามีอยู่ในมือ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสาะหาเพิ่มเติม


ฟู่เจียงเฉินมองสมุนไพรที่ลอยอยู่รอบห้องก่อนจะตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว “น้องจาง…คุณเตรียมสมุนไพรมาเพียงชุดเดียวหรือ?”


เป็นเรื่องปกติที่เหล่านักปรุงยาจะเตรียมสมุนไพรไว้ 3 ชุด ก่อนจะตั้งต้นหลอมยาชนิดใดๆก็ตาม เพราะวิธีนี้จะทำให้พวกเขาปรับเปลี่ยนแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันที


แต่หากมีสมุนไพรเพียงชุดเดียว และบังเอิญเกิดปัญหาขึ้นมาระหว่างกระบวนการขัดเกลาสมุนไพร พวกเขาย่อมไม่อาจแก้ปัญหาได้ และนั่นจะทำให้สมุนไพรทั้งหม้อต้องเสียไปเปล่าๆ


“ชุดเดียวก็พอแล้ว บอกคุณตามตรงนะ ผมกำลังรีบ จึงจะดำเนินกระบวนการหลอมยาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” จางเซวียนตอบ


“คุณกำลังรีบ?” ฟู่เจียงเฉินพูดไม่ออก


นั่นแหละคือข้อห้ามข้อใหญ่ของการหลอมยา โดยเฉพาะสำหรับยาเม็ดที่มีระดับขั้นสูง


คุณให้สูตรยาที่แสนจะยุ่งเหยิงกับผม แถมยังผ่านการทบทวนเพียงรอบเดียว เตรียมสมุนไพรมาก็แค่ 1 ชุด และรีบร้อนตั้งแต่การหลอมยายังไม่ทันเริ่ม…


แน่ใจนะว่ามาที่นี่เพื่อขอร้องให้ผมหลอมยาเม็ดให้?


ฟู่เจียงเฉินเพิ่งรู้สึกประทับใจในตัวจางเซวียนอยู่หยกๆ คิดกระทั่งว่าอีกฝ่ายอาจเป็นนักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดในสรวงสวรรค์ คงเป็นรองแค่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เท่านั้น แต่เมื่อดูตอนนี้…


นักปรุงยาจะหลุกหลิกลุกลี้ลุกลนขนาดนี้ได้อย่างไร?


“เริ่มเลยเถอะ!”


ขณะที่จางเซวียนพูด ฟู่เจียงเฉินก็เห็นอีกฝ่ายหยิบสมุนไพรชนิดหนึ่งขึ้นมาและโยนลงไปในหม้อหลอมยาของเขา


แวบหนึ่งของความคิด ฟู่เจียงเฉินเกือบจะคว่ำหม้อต้มยาใบนั้น และเขาคงทำไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะกำลังอยู่ในคฤหาสน์ของตัวเอง


หม้อใบนั้นยังร้อนไม่ได้ที่ แต่คุณก็โยนสมุนไพรลงไปเสียแล้ว…แถมวิธีการของคุณก็แสนจะดูเป็นมือสมัครเล่น ราวกับไม่เคยหลอมยามาก่อนเลย…


ฟู่เจียงเฉินไม่เคยรู้สึกว่าความมั่นใจของเขาถดถอยขนาดนี้มาก่อน


“ผมจะส่งต่อหน้าที่ให้คุณละนะ ทำตามคำสั่งของผมอย่างเคร่งครัดด้วย เอาล่ะ…”


จางเซวียนเกือบจะมือพองจากการโยนสมุนไพรลงไปในหม้อ เขารีบถอยมาตั้งหลักและระงับความต้องการที่จะโยนสมุนไพรชนิดอื่นๆตามไป


ฟู่เจียงเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หม้อยังร้อนไม่ได้ที่เลย…”


“มีสมุนไพรบางชนิดที่ไม่ควรใส่ลงไปเมื่อหม้อร้อนได้ที่ เพราะหากอุณหภูมิสูงเกินไป ผลที่ได้จะกลับตรงกันข้าม” จางเซวียนรีบอธิบายก่อนจะออกคำสั่งอีกชุดหนึ่ง “ภายใน 2 อึดใจนี้ ใส่หญ้าใบไม้และใบละมั่งสีทองลงไป เพิ่มอุณหภูมิของเปลวไฟให้ร้อนขึ้น 7% หลังจากนั้น ใช้เทคนิคการหลอมยาแบบฟื้นคืนจิตวิญญาณธาตุไม้เพื่อใส่หญ้าใบเดี่ยวลงไป…”


กระบวนการหลอมยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้านั้นซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง มีรายละเอียดที่ต้องจดจำให้ขึ้นใจอยู่มากมาย เพื่อให้แน่ใจว่าจะออกคำสั่งได้ทันเวลา จางเซวียนจึงใช้การส่งโทรจิตพลังปราณสำหรับการมอบคำสั่งให้ฟู่เจียงเฉิน


“คุณรู้จักเทคนิคการหลอมยาแบบฟื้นคืนจิตวิญญาณธาตุไม้ด้วยหรือ?”


ฟู่เจียงเฉินกำลังรู้สึกไม่มั่นใจ ก็พอดีกับที่ได้ยินประโยคนี้ของจางเซวียน หัวใจของเขาเต้นตึกตัก


เทคนิคการการหลอมยาแบบฟื้นคืนจิตวิญญาณธาตุไม้เป็นเทคนิคที่ลึกซึ้งและคลุมเครือมาก ตัวเขาใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด


แต่หลังจากได้เรียนรู้มัน ก็พบว่าความคลุมเครือนั้นทำให้แทบไม่มีสูตรยาชนิดไหนเลยที่จำเป็นต้องใช้วิธีการหลอมยาแบบนี้ เขาจึงไม่สนใจมันอีก เวลาผ่านไปเนิ่นนานนับจากวันนั้น และเขาก็เกือบลืมมันไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจางเซวียนจะรู้จัก!


แต่ฟู่เจียงเฉินก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาตั้งคำถาม เขาไม่รอช้า รีบใช้มือขวาทำตามคำสั่งของจางเซวียน โยนสมุนไพรต้นแล้วต้นเล่าลงไปในหม้อด้วยกระบวนท่าอันแม่นยำและตรงตามเวลาที่เหมาะสม


ส่วนมือซ้ายของเขาก็วุ่นอยู่กับการถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณเข้าไปในหม้อหลอมยาเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของเปลวไฟ


ขณะที่ใส่สมุนไพรลงไปตามคำสั่งของจางเซวียน ฟู่เจียงเฉินอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นว่าแม้สมุนไพรเหล่านั้นจะดูเหมือนพร้อมมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านได้ทุกขณะ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง มันหลอมรวมเข้าด้วยกันในช่วงเวลาที่เหมาะเหม็งและผสมผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดี


หรือว่านี่คือ…เทคนิคการหลอมยาอันสมบูรณ์แบบ? ฟู่เจียงเฉินคิดอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

 


ตอนที่ 2275 ช่างหัวมันเถอะ!

 

เหตุผลที่เปลวไฟมีส่วนสำคัญในกระบวนการหลอมยาก็เพื่อทำให้สมุนไพรแต่ละชนิดสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ แต่ด้วยคุณสมบัติที่ตรงข้ามกันของเปลวไฟกับเทคนิคการหลอมยา การผสมผสานสมุนไพรแต่ละชนิดเข้าด้วยกันจึงเป็นเรื่องยาก


สำหรับนักปรุงยาส่วนใหญ่ ขอแค่พวกเขาผสมสมุนไพร 2 ชนิดเข้าด้วยกันได้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แต่ด้วยการทำตามเทคนิคการหลอมยาและช่วงเวลาที่ชายหนุ่มกำหนด เขาสามารถทำให้สมุนไพรทุกชนิดหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ในระดับที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ!


นี่คือเทคนิคการหลอมยาอันสมบูรณ์แบบ!


สิ่งนี้คือวีรกรรมในตำนานที่แม้แต่จอมราชันย์ยังทำได้ยาก…แต่มันกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา ด้วยคำสั่งของชายหนุ่มคนหนึ่ง!


ในฐานะนักปรุงยาหมายเลข 1, ทักษะของฟู่เจียงเฉินในการควบคุมเปลวไฟและความเข้าใจในคุณสมบัติทางยานั้นถือเป็นเลิศ ทั้งหมดที่จางเซวียนต้องทำคือกำหนดขั้นตอนและระบุเวลาที่ชัดเจนเท่านั้น ซึ่งฟู่เจียงเฉินก็ทำตามได้ด้วยความแม่นยำในระดับที่เรียกว่าน่าทึ่ง


ไม่ช้า สมุนไพรกว่า 100 ชนิดก็ถูกโยนลงไปในหม้อหลอมยา แต่ละชนิดหลอมรวมเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เกิดเป็นของเหลวที่ก่อตัวเป็นรูปทรงกลมซึ่งมีขนาดราวกำปั้น


ตั้งแต่แรก ฟู่เจียงเฉินตกตะลึงทุกครั้งที่เห็นสมุนไพรซึ่งน่าจะผสมผสานกันได้ยากสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ลงท้ายก็มาถึงจุดที่เขาชินชาไปเอง


เขารู้สึกเหมือนกับว่าตราบใดที่ทำตามคำสั่งของจางเซวียนอย่างเคร่งครัด ต่อให้ต้องหลอมรวมสวรรค์กับโลกเข้าด้วยกัน ก็คงทำได้โดยปราศจากที่ติ


เขาเคยสงสัยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็พอจะเข้าใจว่าความสามารถเรื่องการทำความเข้าใจสมุนไพรของชายหนุ่มเข้าถึงระดับที่รู้จักและเข้าถึงพวกมันทุกชนิด


ยกตัวอย่าง เขาสงสัยมาตั้งแต่แรกว่าการใส่หญ้ามังกรอสรพิษลงไปในส่วนผสมของยาจะเกิดอะไรขึ้น เพราะสมุนไพรชนิดนี้ขึ้นชื่อเรื่องการออกฤทธิ์รุนแรง แต่เมื่อเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นถึง 1,300 ดีกรีภายในอึดใจเดียว พิษนั้นก็สลายตัวไปชั่วคราวเป็นเวลาครึ่งอึดใจ ขอแค่เขาใส่ดอกแมกไม้เข้าไปในระหว่างนั้นได้ทันเวลา ไม่เพียงแต่พิษนั้นจะไม่กลับมาอีก ยังส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อการเร่งการทำงานของเซลล์ในร่างกายด้วย


เช่นเดียวกับดอกไม้ใบสีม่วง มันขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการสกัดกั้นพลังปราณให้แข็งทื่อ แต่ด้วยการผสมผสานมันเข้ากับสมุนไพรบางชนิดในอุณหภูมิที่เหมาะสม มันจะออกฤทธิ์ฟื้นฟูทางเดินพลังปราณของนักรบแทน ทำให้นักรบขับเคลื่อนพลังปราณของพวกเขาได้อย่างเข้มข้นและกระชุ่มกระชวยกว่าที่เคย


ชายหนุ่มดึงเอาคุณสมบัติทางยาที่เป็นประโยชน์จากสมุนไพรเหล่านี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ทำให้สิ่งใดสูญเปล่า


ฟู่เจียงเฉินเคยคิดว่าตัวเขาใกล้ถึงความเป็นเลิศด้านการหลอมยาแล้ว แต่ในวันนี้ก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ เขารู้สึกว่าเพดานที่อยู่เหนือตัวเขาแตกซ่านไปหมด เผยให้เห็นท้องฟ้าผืนใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


“รอเดี๋ยวนะ แบบนี้ไม่ถูก…”


ขณะที่ฟู่เจียงเฉินกำลังจะถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็พลันนึกอะไรได้บางอย่าง เขารีบหันไปพูดกับจางเซวียนอย่างร้อนใจ “ผมขัดเกลาและหลอมรวมสมุนไพร 107 ชนิดเข้าด้วยกันแล้ว แต่ทำไมเราถึงยังไม่ใส่ส่วนผสมหลักล่ะ?”


เขามัวยุ่งอยู่กับกระบวนการหลอมยาจนไม่ได้สังเกตเรื่องนั้น แต่เมื่อภาระหนักอึ้งเริ่มเบาลง ก็พลันนึกได้


ตามสูตรยาที่ปรากฏ มีสมุนไพรทั้งหมด 108 ชนิด และเขาก็ใส่ลงไป 107 ชนิดแล้ว ทำไมส่วนผสมหลักถึงยังไม่ปรากฏ?


โดยทั่วไป ส่วนผสมหลักคือหัวใจของการหลอมยา ก็เหมือนกับรากฐานตึก มันคือโครงสร้างที่ทำให้ผลผลิตขั้นสุดท้ายก่อตัวขึ้นได้


สำหรับยาเม็ดส่วนใหญ่ ส่วนผสมหลักคือองค์ประกอบแรกที่จะต้องใส่ลงไปในหม้อ ส่วนสมุนไพรชนิดอื่นจะต้องถูกใส่ตามไปเพื่อเป็นตัวทำละลายและหลอมรวมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แต่ก็น่าแปลกที่เขาหลอมสมุนไพรถึง 107 ชนิดแล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่ส่วนผสมรอง…


คุณแน่ใจหรือว่าแบบนี้ใช้การได้?


ก็เหมือนกับการทำข้าวผัดที่พร้อมเสิร์ฟแล้ว แต่ในชามมีแค่หัวหอม ขิง พริกไทย และเครื่องเทศอีกราว 13 ชนิด ไม่มีส่วนผสมหลักให้เห็น!


ชายหนุ่มแกล้งเขาหรือเปล่า?


“ไม่ต้องห่วง เร่งความร้อนของหม้อให้ร้อนขึ้นอีก” จางเซวียนตอบขณะนัยน์ตายังคงจับจ้องที่หม้อหลอมยา


“ได้…”


ฟู่เจียงเฉินงุนงง แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งของจางเซวียน เพราะเกรงว่าความผิดพลาดของเขาจะทำให้กระบวนการหลอมยาล้มเหลว จึงถ่ายทอดพลังปราณเข้าไปในหม้อหลอมยาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นอีก


อุณหภูมิในหม้อหลอมยาสูงขึ้นจนถึงระดับที่น่าสะพรึง


ไม่ช้า ของเหลวในนั้นก็เริ่มเดือดพล่าน แต่จางเซวียนก็ยังไม่ออกคำสั่งให้เขาหยุด สุดท้าย มันก็ดูเหมือนถึงจุดที่ใกล้ระเบิด


ฟู่เจียงเฉินหันไปถามจางเซวียนอย่างร้อนใจ “เท่านี้พอหรือยัง?”


สมุนไพรก็หลอมรวมเข้าด้วยกันได้อย่างดีแล้ว ไม่น่าจะต้องใช้เปลวไฟอีก และหากพวกเขาเร่งอุณหภูมิ จะต้องเกิดการระเบิดแน่


ซึ่งนั่นจะทำให้ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้สูญเปล่า


“ยังไม่พอ เร่งความร้อนขึ้นอีก” จางเซวียนสั่งการ


ฟู่เจียงเฉินกัดฟันขณะถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่หม้อหลอมยาอย่างดุเดือด ทำให้เปลวไฟในหม้อลุกโชนขึ้นอีกครั้ง


“ผมเพิ่มอุณหภูมิจนใกล้สุดความสามารถของผมแล้ว….”


ผ่านไปเพียง 5 วินาที แต่นักปรุงยาหมายเลข 1 ของสรวงสวรรค์ก็ถึงกับเหงื่อตก


ด้วยระดับวรยุทธที่ยังจำกัดของเขา เขาเร่งอุณหภูมิของเปลวไฟในหม้อได้ถึงระดับนี้เท่านั้น หากโหมแรงหนักขึ้นอีก พลังปราณจะต้องหมดตัวแน่ ซึ่งนั่นจะเป็นปัญหา เขาอาจสูญเสียการควบคุมเปลวเพลิงและทำให้เกิดการระเบิดได้


“อุณหภูมิยังต่ำไปหน่อย…” จางเซวียนขมวดคิ้ว


หญ้าราชันย์เทพเจ้าคือสมุนไพรที่ต้านทานได้แม้แต่คลื่นพลังงานวนแห่งมิติ ดังนั้น อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการขัดเกลามันจึงจำเป็นต้องสูงมาก แม้ฟู่เจียงเฉินจะเพิ่มอุณหภูมิขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ


“ผมทำได้ไม่มากกว่านี้แล้วล่ะ” ฟู่เจียงเฉินพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด “อีกอย่าง ผมเหลือพลังงานเพียงพอหล่อเลี้ยงเปลวไฟอีกแค่ 30 วินาทีเท่านั้น ถ้านานกว่านั้นล่ะก็ พลังปราณของผมจะเหือดแห้ง…”


เขาถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่หม้อหลอมในปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว จึงแน่นอนว่าพลังปราณและจิตวิญญาณจะต้องเหือดแห้งไปมาก จากการคาดการณ์ของเขา 30 วินาทีน่าจะเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดเท่าที่เขาทนได้


หากพลังงานของเขาหมดไปเมื่อไหร่ การทุ่มเทก่อนหน้านี้ก็ย่อมเสียเปล่า


จางเซวียนกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำนั้น


แม้จะวางแผนมาอย่างดี แต่เขาก็ไม่ทันคิดหาวิธีจัดการกับปริมาณพลังปราณที่ยังอ่อนด้อยของฟู่เจียงเฉิน…


อีกอย่าง ถ้าอุณหภูมิยังสูงไม่ถึงขั้นที่ต้องการ ต่อให้อีกฝ่ายใช้พลังปราณยื้อได้อีก 30 นาที ก็เปล่าประโยชน์!


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ…”


จางเซวียนหน้าตาเคร่งเครียด เขาหันไปมองฟู่เจียงเฉินและโพล่งออกมา “ตอนนี้คุณเป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงและอยู่ในช่วงที่ใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว…ถึงมันจะไม่ช่วยเพิ่มปริมาณพลังปราณของคุณสักเท่าไหร่ แต่ก็คงจะทำให้พลังปราณบริสุทธิ์ขึ้นมาก ซึ่งนั่นจะทำให้ คุณเพิ่มอุณหภูมิของเปลวเพลิงในหม้อให้ถึงระดับที่ต้องการได้”


นี่คือสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก


เท่าที่เห็น มีเพียงวิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้กระบวนการหลอมยาล้มเหลว ซึ่งนั่นก็คือฟู่เจียงเฉินต้องฝ่าด่านวรยุทธให้ได้!


ขอแค่อีกฝ่ายสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด ก็จะเพิ่มอุณหภูมิในหม้อหลอมยาได้สูงขึ้นกว่านี้ ซึ่งนั่นจะทำให้เขาขัดเกลาหญ้าราชันย์เทพเจ้าและหลอมยาเม็ดได้สำเร็จ


ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างที่พวกเขาลงทุนลงแรงมาจะไม่เหลืออะไรเลย!


“ฝ่าด่านวรยุทธ?” ฟู่เจียงเฉินพูดไม่ออกหลังจากได้ฟังจางเซวียน “นี่ไม่ใช่เวลาพูดเล่นนะ”


เขารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี หากการฝ่าด่านวรยุทธเป็นไปได้จริง เขาคงทำเสียนานแล้ว คงไม่ต้องรอคอยจนเวลาล่วงเลยมาขนาดนี้


อีกอย่าง ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างกระบวนการหลอมยา ถึงจะต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาเปลวไฟในหม้อหลอมไว้ให้ได้ แต่เขาจำเป็นต้องฝ่าด่านวรยุทธในสถานการณ์แบบนี้ด้วยหรือ?


“ผมไม่ได้พูดเล่นกับคุณนะ นี่คือวิธีเดียวที่เราจะทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้การหลอมยาล้มเหลว” จางเซวียนพูด “เหตุผลที่วรยุทธของคุณชะงักงันมานานก็เพราะคุณอาศัยยามากเกินไป นั่นส่งผลให้พิษยาเกิดการสะสมตกค้างในร่างกายของคุณ ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไร คุณก็เลิกใช้มันไม่ได้…”


อย่างที่ใครๆพูดกันว่า ‘ไม่มียาชนิดไหนปราศจากพิษ’ ต่อให้ยาเม็ดขนานที่ดีที่สุดก็ย่อมทิ้งสารพิษตกค้างไว้ในร่างกายของผู้ที่กินเข้าไป ซึ่งในระยะสั้นอาจไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไร แต่เมื่อวรยุทธของผู้นั้นสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง อีกทั้งมีความบริสุทธิ์ของพลังปราณในระดับสูงขึ้น ต่อให้พิษตกค้างแม้เพียงเสี้ยวเดียวก็จะทำให้ทุกอย่างแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง


ในฐานะนักปรุงยาชั้นยอดของสรวงสวรรค์ แน่นอนว่าฟู่เจียงเฉินเข้าถึงทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธได้มากกว่าราชันย์เทพเจ้าคนอื่นๆ อันที่จริง การที่เขาสำเร็จวรยุทธระดับนี้ได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะยาเม็ดขนานต่างๆที่เขากินเข้าไป


จึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พิษยาปริมาณมหาศาลย่อมตกค้างอยู่ในร่างกายของเขา


“ผมจะช่วยคุณกำจัดสารพิษตกค้างเดี๋ยวนี้แหละ คุณไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากการยกระดับวรยุทธ” จางเซวียนพูด


เข็มเงินหลายสิบเล่มปรากฏด้วยการสะบัดข้อมือ


ฟิ้วววว!


เกิดลมหอบใหญ่ แล้วเข็มทุกเล่มก็พุ่งตรงเข้าปักจุดชีพจรของฟู่เจียงเฉิน


ตอนแรก ฟู่เจียงเฉินถึงกับอึ้ง สัญชาตญาณแรกบอกให้เขาต่อต้านเข็มเหล่านั้น แต่แล้วก็พลันเปลี่ยนใจ เขาหลับตา “ช่างหัวมันเถอะ!”


แล้วเข็มเงินก็ปักเข้าสู่ร่างของเขา


นับจากวินาทีที่ทั้งคู่ตั้งต้นหลอมยา ความเคารพยกย่องที่ฟู่เจียงเฉินมีให้จางเซวียนก็เพิ่มขึ้นอีกมาก เขาคิดไม่ออกว่าจะมีเหตุผลใดที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญการหลอมยาระดับนี้คิดจะทำร้ายเขา


เงินทอง? ชื่อเสียง?


ชายหนุ่มจะมีทุกอย่าง เพียงแค่เปิดเผยทักษะที่แท้จริงของเขาสักเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น!


ดังนั้น ฟู่เจียงเฉินจึงยั้งใจไว้และปล่อยให้เข็มเงินตรงเข้าปักร่างของเขา


เขารู้ดีว่ากำลังเสี่ยง แต่รู้สึกว่าการเสี่ยงครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์


ฟิ้วววว!


กระแสพลังปราณไหลเข้าสู่ร่างของเขาผ่านทางเข็มเงิน ภายใต้กระแสพวยพุ่งของพลังงานนั้น ทางเดินพลังปราณที่อุดตันเพราะการสะสมของสารพิษในยาก็ระเบิดออกครั้งแล้วครั้งเล่า


ด้วยสิ่งนี้ พลังปราณที่ถูกปิดกั้นอยู่ในร่างกายของเขาก็ไหลพล่าน เหมือนน้ำที่ไหลบ่าท่วมเขื่อนซึ่งพังทลาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)