อัจฉริยะสมองเพชร 2266-2269

ตอนที่ 2266 พวกเขาตายหมดหรือ?

 

2 ปีที่แล้ว…ฝงจิ่วเกอคืออัจฉริยะชั้นนำในหมู่สมาชิกรุ่นเยาว์ คือผู้ที่ถูกมองว่ามีศักยภาพมากพอที่จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าในอนาคต จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา แม้แต่ฝงเจียงเองก็ยังต้องก้มหัวให้เมื่อเผชิญหน้ากับฝงจิ่วเกอ ไม่กล้าแสดงความกระด้างกระเดื่อง


ฝงเจียงไม่คิดว่าเจ้าขยะที่แสนจะไร้ค่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมาจะกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง เขาแทบไม่อาจยอมรับสถานการณ์แบบนี้ได้


“คุณอยากตรวจสอบสายเลือดอีกครั้ง?” ฝงเจียงหัวเราะลั่น “คิดว่าการตรวจสอบสายเลือดของพวกเราเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไง? ใครหน้าไหนจะมาทดสอบก็ได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ อย่างนั้นหรือ?”


การทดสอบสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟไม่ใช่ของราคาถูก สมาชิกสายตรงส่วนใหญ่มีโอกาสเข้ารับการทดสอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชั่วชีวิตของพวกเขา ซึ่งก็เป็นเพราะเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับฝงจิ่วเกอที่ทำให้เขาได้รับการทดสอบถึง 2 ครั้ง แต่ถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังอยากจะเข้ารับการทดสอบอีก


เขาคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับเมื่อ 2 ปีก่อนหรือไง ที่นึกอยากทำอะไรก็ทำได้ตามใจ?


“ผมมีเงินจ่าย!” ฝงจิ่วเกอตอบอย่างเย็นชา


แม้วรยุทธของเขาจะถดถอยอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ชื่อเสียงที่มีมาแต่เดิมก็ทำให้เขามีเงินเก็บไม่น้อย ถึงจะไม่มากนักหากเปรียบเทียบกับจางเซวียน แต่ก็มากพอจะจ่ายค่าทดสอบ


“คุณจะควักเนื้อจ่ายเอง?” ฝงเจียงคำรามขณะพยายามเค้นหัวสมองเพื่อหาเหตุผลยับยั้งฝงจิ่วเกอ เขารู้สึกสังหรณ์ใจว่าเรื่องแปลกๆจะต้องเกิดขึ้นแน่หากปล่อยให้ฝงจิ่วเกอทำตามต้องการ


ในตอนนั้นเอง ฝงเจียงพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาเหยียดริมฝีปากเยาะ “เอาเถอะ ถึงอย่างไรคุณก็เคยเป็นสมาชิกสายหลักของตระกูลของเรา พวกเราควรให้โอกาส ผ่านค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ไปให้ได้เสียก่อนสิ ถ้าคุณผ่านมันไปได้ พวกเราจะยอมให้คุณกลับเข้าตระกูลและเข้ารับการทดสอบ แต่ถ้าไม่…ผมก็เกรงว่าพวกเราคงช่วยอะไรไม่ได้!”


“ใช่ แบบนั้นน่ะถูกแล้ว! ผ่านค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ให้ได้เสียก่อน แล้วพวกเราจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง!”


“คุณก็ได้พละกำลังกลับคืนมาแล้วไม่ใช่หรือ? พิสูจน์สิ ขอแค่คุณผ่านค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ไปได้ พวกเราก็จะยอมรับคุณ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ โทษตัวเองก็แล้วกันที่ไม่เอาไหน!”


ฝูงชนที่ออกันอยู่ตรงนั้นพากันหัวเราะลั่นขณะเฝ้าดูฝงจิ่วเกอถูกเย้ยหยัน


“ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์…” ฝงจิ่วเกอหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น


“แหม! ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ? ไม่มั่นใจว่าจะฝ่าค่ายกลได้หรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ พวกเราจะถือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความพยายามลบหลู่เกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟนะ พวกเรา! จับเขาไว้และนำตัวไปที่หอสอบสวน เราจะต้องค้นหาแรงจูงใจที่แท้จริงของเขาให้ได้!” ฝงเจียงออกคำสั่งพร้อมกับโบกมืออย่างวางมาด


“ได้!” ชายหนุ่ม 4 คน ก้าวออกมาจากฝูงชนทันที


“ไปกันเถอะ นายน้อยจิ่วเกอที่รัก!”


“ต่อให้คุณได้วรยุทธกลับคืนมา แต่หากไม่มีสายเลือดของพวกเรา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบพเนจร คิดว่าทุกอย่างจะหวนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อนเพียงเพราะคุณได้วรยุทธกลับคืนมาหรือไง?”


ฝงจิ่วเกอไม่ใช่คนจิตใจชั่วร้าย แต่เพราะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย จึงเป็นธรรมดาที่จะหลงตัวเองและเย่อหยิ่ง อีกทั้งยังไม่มีใครกล้าติติงหรือพูดกับเขาตรงๆ สิ่งนี้ทำให้เขาดูถูกดูหมิ่นเพื่อนรุ่นเดียวกันมาตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับคนอื่นๆในตระกูลจึงไม่ดีนัก


“ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์คืออะไร?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ท่านอาจารย์ ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์เป็นหนทางเดียวที่เหล่าสมาชิกที่ถูกขับออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟไปแล้วจะได้การยอมรับกลับเข้าสู่ตระกูลอีกครั้ง มันคือค่ายกลที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของ 9 ผู้เชี่ยวชาญในตระกูลของเรา ผู้เข้าท้าทายค่ายกลจะต้องเอาชนะทั้ง 9 คนให้ได้เพื่อให้ผ่านการทดสอบ” ฝงจิ่วเกอตอบด้วยสีหน้าที่ออกจะซีดเซียว


“ตลอดสามพันปีของประวัติศาสตร์ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟของเรา ในบรรดาสมาชิกที่ถูกขับออกจากตระกูลไปแล้ว มี 317 คนกลับมาท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ แต่ลงท้าย ก็ผ่านการทดสอบไปได้เพียง 3 คนเท่านั้น ส่วนที่เหลือ…เสียชีวิต!”


“พวกเขาตายหมดหรือ?” จางเซวียนผงะ


จาก 300 คน มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบไปได้ นั่นเท่ากับมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จเพียง 1%


แม้สมาชิกเหล่านั้นจะถูกขับออกจากตระกูลแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีสายเลือดเดียวกันกับสมาชิกคนอื่นๆ ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องโหดร้ายถึงขนาดนั้น


“โดยส่วนใหญ่ ผู้ที่ถูกขับออกจากตระกูลมักทำความผิดร้ายแรงที่สมควรแก่การถูกลงโทษ แทบไม่มีใครได้การต้อนรับเมื่อกลับมา ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์จึงมักถูกมองอย่างเป็นปฏิปักษ์ การทดสอบเป็นไปอย่างรุนแรง ไม่มีการยั้งมือ ซึ่งพวกเขาก็ใช้วิธีการตอบโต้อย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ลังเลเช่นกัน…”


“ถ้าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์อันตรายขนาดนั้น แถมยังไม่มีใครในตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเต็มใจต้อนรับเมื่อพวกเขากลับมา…ทำไมถึงยังมีคนยอมเข้าท้าทายทั้งๆที่แสนจะเสี่ยง?” จางเซวียนถาม


ในความเห็นของเขา ช่างเลวร้ายสิ้นดีที่ผู้กล้าเผชิญอันตรายระดับนั้นจะกลายเป็นคนที่ใครๆในตระกูลพากันรังเกียจเดียดฉันท์


หากไม่มีใครเต็มใจยอมรับ การใช้ชีวิตในโลกภายนอกก็น่าจะง่ายกว่ามาก ซึ่งหากคนเหล่านั้นเก่งกาจพอจะผ่านค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ไปได้ อยู่ที่ไหนก็คงสบายได้ไม่ต่างกัน


ฝงจิ่วเกอส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ การท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์มีเหตุผลล้ำลึกกว่านั้น สำหรับผู้เข้าท้าทาย ไม่ว่าพวกเขาจะผ่านการทดสอบหรือไม่ ศพของพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ฝังไว้ในหลุมศพบรรพบุรุษ เรื่องนี้อาจดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่นั่นหมายความว่าเหล่าทายาทของเขาจะมีโอกาสกลับคืนสู่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟด้วย พูดอีกอย่างก็คือ หากพวกเขาไม่พยายามเข้ารับการทดสอบ ก็หมายความว่าจะถูกตัดออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟไปตลอดกาล!”


ได้ฟังคำนั้น จางเซวียนพยักหน้า


ใบไม้ใบหนึ่งร่วงลงสู่พื้น


ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาจะกลับคืนสู่รากเหง้าของตัวเองหลังจากความตาย อีกทั้งเรื่องนี้ยังหมายถึงอนาคตของเหล่าทายาทของพวกเขาด้วย


“ด้วยเหตุนี้ ผู้เข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ส่วนใหญ่จึงมักเป็นผู้ที่ใกล้สิ้นสุดอายุขัยแล้ว พูดง่ายๆก็คือ พวกเขายินยอมพร้อมใจที่จะตายในการทดสอบ ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์จึงมีอีกชื่อหนึ่งที่เรียกขานกัน มันคือค่ายกลฆ่าตัวตาย!”


ฝงจิ่วเกอมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งขรึม “การยื่นเงื่อนไขให้ผมเข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งผมไปตาย”


เขาอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น ยังมีชีวิตยาวไกลรออยู่ข้างหน้า ถือว่าไม่เหมาะสมเลยหากจะเข้าท้าทายค่ายกลในสภาวะแบบนี้


“คู่ต่อสู้ที่เราจะต้องเจอมีความแข็งแกร่งขนาดไหน?” จางเซวียนถาม


“ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ประกอบด้วยนักรบ 9 คน ถึงค่ายกลจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าก็คือพละกำลังของนักรบทั้ง 9”


“พวกเขาจะมีวรยุทธระดับเดียวกันกับผู้เข้าท้าทาย เป็นการต่อสู้แบบเก้ารุมหนึ่ง เรามีสายเลือดเดียวกันก็จริง แต่พวกเขาได้รับการเสริมกำลังจากค่ายกล แล้วผู้เข้าท้าทายจะผ่านการทดสอบได้อย่างไร?” ฝงจิ่วเกอร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง


ส่วนจางเซวียนกลับหัวเราะลั่น


เขากำลังสงสัยอยู่ว่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์จะน่าสะพรึงขนาดไหน แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง


ขนาดค่ายกลประตูมังกรที่เจิ้งหยางต้องผ่านไปให้ได้เพื่อให้ได้รับตำแหน่งยอดขุนพลก็ยังยากเย็นกว่านี้หลายเท่า!


ค่ายกลประตูมังกรที่เจิ้งหยางเคยผ่านประกอบด้วยส่วนหาง ส่วนลำตัว และส่วนหัวของมังกร ซึ่งในแต่ละขั้นตอนของการทดสอบ เจิ้งหยางจะต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


ซึ่งเขาต้องเอาชนะทุกคนให้ได้เพื่อให้ผ่านบททดสอบ


เห็นได้ชัดว่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ยังอ่อนด้อยกว่ามาก


แน่นอนว่าลำพังตัวค่ายกลก็รับมือได้ยากอยู่แล้ว แต่หากผู้เข้าท้าทายใช้ค่ายกลเป็นเครื่องเสริมกำลังให้ตัวเองได้ การต่อสู้ก็จะง่ายขึ้นอีกมาก


ค่ายกลทุกอันมีจุดอ่อนของมัน แค่หาให้พบและเล่นงานได้ตรงจุด ก็จะกลายเป็นเครื่องเสริมพละกำลังได้อย่างดี ยิ่งค่ายกลมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ การเล่นงานจุดอ่อนต่างๆของมันก็จะยิ่งได้ผลกว่าเดิม


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝงเจียงจะต้องมีส่วนร่วมในค่ายกลด้วย เมื่อ 2 ปีก่อน แม้จะยังมีช่องว่างในประสิทธิภาพการต่อสู้ของเราสองคนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากเกินไป ซึ่งระหว่างที่วรยุทธของผมถดถอย ตัวเขาฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่ทางตระกูลมอบให้อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด ด้วยเหตุนี้ การที่ผมจะเอาชนะเขาได้ในการต่อสู้แบบทั่วไปก็ยากพออยู่แล้ว นับประสาอะไรกับการเผชิญหน้ากับค่ายกลที่มีตัวเขากับคู่ต่อสู้อีก 8 คนที่แข็งแกร่งพอๆกัน…” น้ำเสียงของฝงจิ่วเกอแสนจะสิ้นหวัง


เขาไม่คิดว่าจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้


ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธใดๆจากทางตระกูลเลย ด้วยเหตุนี้ แม้ตอนนี้จะได้วรยุทธกลับคืนมาแล้ว แต่ความก้าวหน้าของเขาก็ย่อมช้ากว่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน


 


แถมฝงเจียงก็ยังไม่ใช่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับขั้นของพวกเขาด้วย


บอกได้เลยว่ารับประกันความตายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หากเขาตอบรับการเข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์


เห็นความหวั่นไหวของฝงจิ่วเกอ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่าย “จิ่วเกอ คุณไว้ใจผมไหม?”


“แน่นอน!” ฝงจิ่วเกอพยักหน้า


ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ เขาคงต้องจมอยู่กับความหดหู่และสิ้นหวัง ท่านอาจารย์คือผู้มอบความหวังและชีวิตใหม่ให้เขา หากไม่ไว้ใจท่านอาจารย์ แล้วจะไว้ใจใคร?


“ถ้าคุณไว้ใจผม ตอบรับคำท้าของพวกเขาและเข้าไปเผชิญหน้ากับค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์เสีย” จางเซวียนพูด


“เราจะตอบตกลงเข้ารับการทดสอบหรือ?” ฝงจิ่วเกอผงะ “แต่นั่น…”


“วางใจน่ะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหรอก” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ


“ก็ได้…”


ฝงจิ่วเกอไม่ค่อยแน่ใจว่าเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร แต่เห็นความมั่นอกมั่นใจของท่านอาจารย์ ลงท้ายเขาก็พยักหน้า


ฝงจิ่วเกอโบกมือเพื่อยับยั้งชายหนุ่มสองคนที่กำลังเดินตรงเข้าหา “ผมตกลง ผมจะท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์!”


“คุณจะท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์?”


คำพูดนี้ทำให้ทุกคนอึ้งไปครู่หนึ่ง


แม้แต่ฝงเจียงก็ยังคิดว่าตัวเองหูฝาด “คุณแน่ใจนะ?”


เขาคือผู้ยื่นข้อเสนอ แต่ไม่เคยคิดว่าฝงจิ่วเกอจะยอมรับเงื่อนไขเหลวไหลแบบนี้

 

 

 


ตอนที่ 2267 ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!

 

เพราะค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์เป็นของอันตรายที่มีแต่ผู้เข้าใกล้ความตายเต็มทีแล้วเท่านั้นที่คิดจะพยายามเผชิญหน้ากับมัน ในฐานะผู้ที่ได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ ฝงจิ่วเกอยังมีชีวิตยืนยาวรออยู่เบื้องหน้า และเขาก็มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แม้จะอยู่นอกชายคาของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ


มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรนหาที่ตายแบบนั้น?


“ใช่!” ฝงจิ่วเกอรับคำหนักแน่น


“คุณคงจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมากสินะหลังจากที่ได้วรยุทธกลับคืนมา ก็ได้ ขอผมดูหน่อยว่าคุณจะเก่งสักแค่ไหน!” ฝงเจียงคำราม


เขากระทืบเท้าและพุ่งเข้าใส่ฝงจิ่วเกอโดยไม่ลังเล


ในฐานะนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุด ฝงเจียงคือนักรบผู้เก่งกาจสุดยอดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าระดับราชันย์เทพเจ้า การเคลื่อนไหวของเขาทำให้บรรยากาศในลานบ้านหนักอึ้งขึ้นมาทันที พละกำลังจากสภาพแวดล้อมพุ่งเข้าหาตัวเขาด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


ดูเหมือนหมอนี่จะได้ทำความเข้าใจความลับบางอย่างของราชันย์เทพเจ้าแล้ว สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ จางเซวียนคิด


ในแง่ของพละกำลัง ฝงเจียงยังคงเป็นรองอ้าวหัวแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ แต่เท่าที่ดูจากการที่เขาใช้พละกำลังของธรรมชาติได้อย่างง่ายดาย ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มเข้าถึงอำนาจบางอย่างของราชันย์เทพเจ้าแล้ว


หากปะทะกันตรงๆ คงเอาชนะเขาได้ยาก


ฝงจิ่วเกอเหงื่อแตกเมื่อถูกฝงเจียงเล่นงาน


แม้เขาจะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาหมาดๆ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอยู่ในสภาวะที่ไร้สมรรถภาพมาถึง 2 ปี แถมยังใช้พละกำลังที่ได้มาใหม่เมื่อครู่นี้ไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย ความสามารถในการใช้อำนาจของธรรมชาติก็ยังอ่อนด้อยกว่าฝงเจียงหลายเท่า


โอกาสที่เขาจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้นั้นแสนจะริบหรี่เต็มที


ผ่านไป 3 กระบวนท่า ฝงจิ่วเกอถูกบีบให้ถอยไป 7 ก้าว แม้จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใครแข็งแกร่งกว่า


“คุณสู้ไม่ได้แม้แต่กับผม แต่ยังอยากท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์?” ฝงเจียงคำราม “ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!”


“ผม…” ฝงจิ่วเกอกัดฟันด้วยความโกรธเกรี้ยว


เขาหันไปมองจางเซวียนอย่างหงุดหงิด


เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่ตัวเขามีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุด ก็ยังสู้กับค่ายกลนี้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับในสภาพนี้…เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงบอกให้เขาตอบตกลงเข้ารับการทดสอบ


จางเซวียนส่ายหน้า เขาหันไปยิ้มให้ฝงเจียง “จิ่วเกออาจเอาชนะค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ในสภาพแบบนี้ไม่ได้ แต่คุณจะให้เวลาเราเตรียมตัวสัก 2 ชั่วโมงได้ไหม? เพียงเท่านั้นก็เกินพอจะทำให้เขาฝ่าค่ายกลของคุณได้สบายแล้ว”


“คุณเป็นใคร?” ฝงเจียงย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


เพราะจางเซวียนยืนอยู่ด้านหลังฝงจิ่วเกอมาตลอด ฝงเจียงจึงคิดว่าชายหนุ่มเป็นบริวารของอีกฝ่าย แต่เท่าที่ฟัง ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิด


“ผมคือ…ฝงเซวียน! เป็นสมาชิกคนหนึ่งจากครอบครัวสาขาที่กลับมาเพื่อการประลอง” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม


“ฝงเซวียน?” ฝงเจียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะคำรามเยาะ “กะอีแค่สมาชิกของครอบครัวสาขา แต่กล้าอวดอ้างคำโตขนาดนั้น?”


ความแตกต่างข้อสำคัญระหว่างสมาชิกครอบครัวหลักกับครอบครัวสาขาก็คือความบริสุทธิ์ของสายเลือด


แม้พวกเขาจะมีวรยุทธระดับเดียวกัน แต่ด้วยความแตกต่างของสายเลือด สมาชิกจากครอบครัวสาขาจึงไม่มีทางเทียบชั้นกับสมาชิกจากครอบครัวหลักได้


ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีที่สมาชิกครอบครัวสาขาคนหนึ่งจะโอ้อวดคำโตแบบนี้ น่าสงสัยเหลือเกินว่าใครทำให้เขามั่นใจถึงขนาดกล้าพูดออกมา?


“ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดนี่ ไม่มีเหตุผลที่สมาชิกจากครอบครัวสาขาจะต้องอ่อนด้อยกว่าสมาชิกจากครอบครัวหลักเสมอไป” จางเซวียนตรงเข้าประเด็นพร้อมกับยิ้มกว้าง


“บังอาจ! พวกเรา เล่นงานเจ้าหนุ่มอวดดีนั่น!” ฝงเจียงคำราม


ชายหนุ่มสองคนเมื่อครู่ก้าวเข้ามาอีกครั้งเพื่อจะรวบตัวจางเซวียน แต่ยังไม่ทันได้แตะต้องเขา จางเซวียนก็สะบัดหัวไหล่ 2 ครั้ง


ตุ้บ! ตุ้บ!


เกิดเสียงตุ้บหนักๆติดกัน ชายหนุ่มทั้งสองถูกสอยกระเด็นไปอัดกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ เท่าที่ดูจากสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวและการกุมหน้าอกไว้แน่น ก็ดูเหมือนทั้งคู่จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย


“อะไรกัน?” ฝงเจียงหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ


เขาเองก็รับมือกับการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้ง่ายดายและลื่นไหลเหมือนกับอีกฝ่าย


หรือว่าชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีกทั้งที่มาจากครอบครัวสาขา?


“ก็ไม่แปลกใจนะที่คุณกล้าคุยโวโอ้อววดขนาดนี้ ดูเหมือนคุณจะไม่ได้เหยาะแหยะอย่างที่ผมคิด ก็ดี…มาดูกันว่าคุณทำอะไรได้บ้าง!”


ฝงเจียงคำราม จากนั้นก็ปล่อยรังสีเข้มข้นอันน่าสะพรึงออกมาขณะที่พุ่งเข้าใส่จางเซวียน


เขาใช้กระบวนท่าเดียวกันกับที่ใช้เล่นงานฝงจิ่วเกอ ซึ่งเท่าที่ดูจากแรงกดดันมหาศาลที่เขาปล่อยออกมา ก็ดูเหมือนฝงเจียงจะตัดสินใจใช้กำลังเต็มที่โดยไม่ยั้ง


“นี่คือโอกาสดีนะ จิ่วเกอ จับตาดูไว้อย่าให้คลาดสายตา คงจะยากกว่านี้หากต้องถ่ายทอดทฤษฎีเหล่านี้ให้คุณโดยไม่ได้เห็นการปฏิบัติจริง…”


แม้ในช่วงเวลาคับขัน จางเซวียนก็ยังหันไปพูดกับฝงจิวเก่อด้วยน้ำเสียงสุขุมราบเรียบ “ในเมื่อเขาใช้กระบวนท่าเดียวกันเพื่อเล่นงานผม ผมก็จะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะรับมือกับการโจมตีของเขาด้วยพละกำลังที่มีอยู่ได้อย่างไร”


ขณะที่พูด จางเซวียนก็เดินออกไปแล้วไปหยุดอยู่ห่างจากฝงเจียงราว 5 เมตร


ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง การหยุดกึกอยู่กับที่นั้นดูจะรบกวนการโจมตีของฝงเจียง เห็นได้ชัดว่าแรงโถมในการโจมตีของฝงเจียงขาดช่วงไป ราวกับมีใครสักคนบั่นทอนกระแสพลังงานของเขา


ความแตกต่างข้อใหญ่ระหว่างฝงเจียงกับฝงจิ่วเกอคือความสามารถในการเข้าถึงพลังงานของสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่อยู่โดยรอบ ซึ่งจุดที่จางเซวียนเดินเข้าไปคือจุดเป็นจุดตายของเทคนิคนั้น


จางเซวียนบั่นทอนกระแสพลังงานของฝงเจียงด้วยการยืนนิ่งอยู่กับที่ ทำให้อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอาศัยเฉพาะวรยุทธของตัวเอง


แต่ฝงเจียงก็ไม่ใช่นักรบที่อ่อนแอ เขามองเจตนาของจางเซวียนออก จึงขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัดทันทีและเพิ่มพละกำลังของการโจมตีเพื่อไม่ให้สูญเสียความรุนแรงไปอีก ด้วยเหตุนี้ ฝงเจียงจึงรักษาน้ำหนักในการโจมตีของเขาไว้ได้


ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ฝงเจียงขัดเกลาวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยใช้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธคุณภาพดีที่มีอยู่ในตระกูล แม้เขาจะยังห่างไกลจากการได้เป็นราชันย์เทพเจ้า แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตัวเขาแข็งแกร่งกว่านักรบรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่


อันที่จริง ก็ยังน่าสงสัยอยู่ว่าอัจฉริยะของตระกูลฉี, ฉีเยว่ จะเทียบชั้นกับเขาได้หรือเปล่า


แม้จะถูกฝงเจียงเล่นงาน จางเซวียนก็ไม่มีทีท่าจะหลบ เขายืนเอาสองมือไพล่หลังราวกับพร้อมรับการโจมตีเต็มพิกัดจากฝงเจียง


และขณะที่การโจมตีนั้นกำลังจะถึงตัว จางเซวียนก็ทำปากยื่นและพ่นลมหายใจเบาๆ


ฟู่!


ลมหายใจของเขาแปรสภาพเป็นกระแสดาบฉี แหลมคมราวกับเข็มที่ทิ่มแทงบอลลูน พละกำลังดุเดือดเกรี้ยวกราดของฝงเจียงหายวับไปทันที ทำให้พลังงานของเขาเสื่อมสลายไปในพื้นที่โดยรอบ


มันคือกระบวนท่าที่ดูน่าฉงนจนแทบจะขัดกับสามัญสำนึก


ฝงเจียงสำแดงอีกหลายกระบวนท่าตามไปติดๆ แต่เหตุการณ์แบบเดิมก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนฝนที่ตกใส่ร่ม ไม่ว่าฝงเจียงจะพยายามเล่นงานสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีการโจมตีครั้งไหนถึงเป้าหมายเลย


การเสื่อมสลายของพลังงานจากการโจมตีของเขาทำให้เกิดหลุมยุบทุกหนแห่งในรัศมี 2 เมตรจากจุดที่จางเซวียนยืน


จางเซวียนออกเดินหน้าอย่างเงียบๆ ฝ่าการโจมตีของฝงเจียงไป ใช้ลมหายใจของเขาปัดป้องได้ทุกกระบวนท่า


ราวกับเขาเป็นเสือร้ายที่เหยาะย่างอยู่ท่ามกลางฝูงแพะ เห็นได้ชัดว่าใครคือผู้ล่าและใครคือเหยื่อ


จางเซวียนชำเลืองมองฝงจิ่วเกอและถ่ายทอดคำสอนแรกของเขาในวันนั้น “ไม่ว่าการโจมตีจะทรงพลังสักแค่ไหน ขอแค่คุณหาจุดอ่อนให้เจอ ก็จะเอาชนะได้สบาย หลักการนี้ใช้ได้กับทุกอย่าง โดยทั่วไป คู่ต่อสู้ของคุณไม่ได้น่าสะพรึงอย่างที่คุณคิดหรอก”


จากนั้น จางเซวียนก็ก้าวข้ามพื้นที่ตะปุ่มตะป่ำไปปรากฏตัวห่างจากฝงเจียงราวครึ่งเมตรในชั่วพริบตา


ส่วนฝงเจียงก็กำลังตื่นตระหนกอย่างหนัก เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังถึงขนาดที่แม้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็ทำอะไรไม่ได้


เห็นจางเซวียนเข้าประชิดตัวเขาได้ง่ายดายขนาดนั้น ฝงเจียงที่กำลังปั่นป่วนก็กระโจนถอยหลังไปทันทีเพื่อรักษาระยะห่างกับอีกฝ่าย แต่ระหว่างนั้น ขาของเขาดูเหมือนจะสะดุดเข้ากับบางอย่าง


พลั่ก!


ฝงเจียงล้มกลิ้งไปกับพื้น เนื้อตัวเปื้อนฝุ่น


บริเวณนั้นเงียบกริบ


ฝูงชนได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนกับตา ฝงเจียงล้มเพราะชายหนุ่มยืดขาข้างหนึ่งออกมาขัดไว้


นี่คือการเคลื่อนไหวขั้นต่ำที่ใช้กันในการทะเลาะเบาะแว้งของผู้คนทั่วไป ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็นกระบวนท่านี้ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้ระหว่างนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง 2 คน และไม่คิดว่าจะได้ผลดีขนาดนี้ด้วย


รู้ดีว่าทุกคนกำลังคิดอะไร จางเซวียนหัวเราะหึๆ “การจัดระดับขั้นของกระบวนท่าต่างๆราวกับพวกมันมีระบบอาวุโสน่ะไม่ใช่เรื่องฉลาดนะ อะไรที่ได้ผล มันก็คือได้ผล”


ในสถานการณ์ปกติ กระบวนท่าง่ายๆแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลแม้แต่กับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ยังไม่ต้องพูดถึงฝงเจียง แต่ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เห็น มันกลับกลายเป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังเกินกว่าใครๆจะคาดถึง


ไม่ใช่ว่าขาของจางเซวียนมีเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้ขัดขวางใครก็ได้ตามแต่เขาต้องการ แต่มันคือกระบวนท่าที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในสภาวะแบบนั้น


การโจมตีของฝงเจียงถูกเขาทำลายไปแล้ว และสภาวะจิตของอีกฝ่ายก็กำลังปั่นป่วน จึงไม่อยู่ในสภาพที่จะระแวดระวังสิ่งรอบตัว แถมทั้งคู่ยังอยู่ใกล้กันมาก


เงื่อนไขทั้งหมดนี้ทำให้กระบวนท่าง่ายๆของจางเซวียนได้ผลอย่างเหลือเชื่อ


การดวลไม่ใช่แค่การวัดว่าใครแข็งแกร่งกว่าหรือเร็วกว่า เพราะไม่อย่างนั้นก็คงเป็นแค่การนำตัวเลขมาประชันกัน


“คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างไหม?” จางเซวียนถามขณะเดินกลับไปยืนข้างฝงจิ่วเกอ


จากที่เขาเห็น เหล่านักรบในสรวงสวรรค์มักจะพึ่งพาวรยุทธ สายเลือด และเทคนิคการต่อสู้ของพวกเขามากเกินไป คนเหล่านั้นจะปลดปล่อยพลังปราณจนสุดตัวในการต่อสู้


จริงอยู่ว่าการทำแบบนั้นย่อมทำให้คู่ต่อสู้เสียขวัญ แต่กุญแจของการได้ชัยชนะในการสู้รบไม่ใช่แค่ความลื่นไหลของกระบวนท่า มันคือความสามารถในการหยิบเอาทุกสิ่งที่มีมาใช้ให้เป็นประโยชน์และตอบโต้ได้อย่างเหมาะสม

 

 

 


ตอนที่ 2268 เริ่มการฝึกฝน

 

นักรบคนหนึ่งอาจปล่อยหมัดได้เป็นร้อยหมัดใน 1 วินาที แต่หากไม่มีหมัดไหนเข้าเป้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการแสดง อันที่จริง ปัจจัยที่จะทำให้ได้ชัยชนะก็อาจอยู่ที่หมัดเจ๋งๆเพียงหมัดเดียวเท่านั้น


ฝงจิ่วเกอปากสั่น เขาพยักหน้าด้วยอาการจังงังขณะพึมพำ “ผมคิดว่าผมเข้าใจนะ…”


เขารู้ว่าท่านอาจารย์น่าจะติดโผ 30 อันดับแรกของการจัดอันดับศักยภาพราชันเทพเจ้า ถึงได้สิทธิ์การใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่มา เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์คงเอาชนะฝงเจียงได้ไม่ยาก


แต่ก็ไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะทรงพลังขนาดนี้!


แต่ก็นั่นแหละ การมีพละกำลังมากก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การจะทำให้ใครสักคนมีพละกำลังมากก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน เขาคิดไม่ออกจริงๆว่าท่านอาจารย์จะทำอะไรที่ทำให้เขาฝ่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง


“อย่างนั้นหรือ? แล้วคุณเข้าใจอะไรบ้าง?” จางเซวียนถาม


ฝงจิ่วเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง “การเคลื่อนไหวจะมีอานุภาพแข็งแกร่งก็ต่อเมื่อเข้าถึงคู่ต่อสู้เท่านั้น ไม่อย่างนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการแสดง”


“ถูกต้อง ความเข้าใจของคุณถือว่าตรงประเด็น” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


เขารู้สึกได้ว่าฝงจิ่วเกอคือคนฉลาดที่จับประเด็นได้รวดเร็วเมื่อมีใครทิ้งเงื่อนงำไว้ให้


ซึ่งก็น่าเสียดายที่ส่งฝงจิ่วเกอสูญเสียเวลาตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้ไป แต่จางเซวียนก็มั่นใจว่าชายหนุ่มจะถีบตัวเองจนเหนือชั้นกว่าคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่ได้รับคำชี้แนะที่เหมาะสมถูกต้อง


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้จางเซวียนกล้าประกาศว่าเขาจะทำให้ฝงจิ่วเกอแข็งแกร่งพอจะผ่านการทดสอบได้ภายใน 2 ชั่วโมง


อันที่จริง ไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นด้วยซ้ำ!


ขณะที่จางเซวียนกำลังคุยกับฝงจิ่วเกอ ฝงเจียงก็ลุกขึ้นยืนและถามด้วยความสงสัย “คุณเป็นสมาชิกจากครอบครัวสาขาจริงๆหรือ?”


แม้เขาจะรู้สึกเสียหน้าจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่ก็สูดหายใจลึกเพื่อระงับความขุ่นเคืองไว้


“ใช่!” จางเซวียนพยักหน้า “ถ้าคุณไม่เชื่อ ตรวจสอบสายเลือดของผมได้เสมอ!”


เขามีเครื่องรางแห่งการปลอมตัวอยู่ในมือ มั่นใจว่าจะผ่านการตรวจสอบทุกชนิดได้อย่างง่ายดาย


ฝงเจียงประเมินจางเซวียนครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไป “รออยู่ตรงนั้นแหละ ผมจะรายงานเรื่องนี้และสั่งการให้จัดเตรียมค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ ฝงจิ่วเกอถูกขับออกจากตระกูลแล้ว เขาต้องผ่านการทดสอบถึงจะกลับมาได้ ส่วนคุณ..คุณเป็นสมาชิกของครอบครัวสาขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบ…”


ทันทีที่สมาชิกจากครอบครัวสาขาสำเร็จวรยุทธถึงระดับหนึ่ง ก็จะได้รับโอกาสให้ตรวจสอบสายเลือดของตัวเอง


ในเมื่อแม้ตัวเขาก็ยังเอาชนะชายหนุ่มไม่ได้ ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงบรรลุเงื่อนไขขั้นต่ำแล้ว


จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปสนใจศิษย์สายตรงของเขา “เอาล่ะ เริ่มการฝึกฝนกัน”


โดยปกติ การเตรียมค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ให้พร้อมจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แม้จะใช้ประสิทธิภาพในระดับของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็ตาม ซึ่งนั่นจะนานพอสำหรับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการต่อสู้ให้ศิษย์สายตรงคนใหม่ของเขา


จางเซวียนเปิดใช้งานการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ จากนั้นก็ตั้งต้นบรรยาย


ตอนแรก ฝงจิ่วเกอยังรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจ แต่ทันทีที่ได้ฟังคำแรก ความกังวลในหัวใจของเขาก็หายวับไปหมด เขาดื่มด่ำอยู่กับการบรรยายอย่างเต็มที่


ความรู้ที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้เขาล้ำลึกกว่าความรู้ใดๆที่เขาเคยร่ำเรียนมา ยิ่งได้ฟังมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ตัวว่าความเข้าใจเรื่องการต่อสู้ที่เขาเคยมีนั้นแสนจะตื้นเขิน


เมื่อฝงเจียงกลับมาอีกครั้ง ฝงจิ่วเกอจึงได้สติ ตอนนี้ ความกังวลในหัวใจของเขาถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง เขากำลังเฝ้ารอเวลาที่จะได้ทดสอบสิ่งที่เพิ่งร่ำเรียนมา


ผ่านไปยังไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ความเข้าใจในเทคนิคการต่อสู้ของเขาก็ก้าวขึ้นสู่ระดับใหม่ อันที่จริง เมื่อมองย้อนกลับไป เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยโง่เง่าขนาดนั้น


พูดกันตามตรง ด้วยสภาวะนี้ เขายังไม่แน่ใจว่าจะฝ่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ได้หรือไม่ แต่รู้สึกว่าอย่างน้อยที่สุดก็ยังมีโอกาส


“ขอบคุณท่านอาจารย์!” ฝงจิ่วเกอทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นอีกครั้งและโค้งคำนับ


เขาไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาขอบคุณท่านอาจารย์ของเขาได้อีก


ฝงจิ่วเกอรู้สึกว่าความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่เขาผ่านมาช่างคุ้มค่า มันทำให้เขาได้พบท่านอาจารย์ และนั่นคือสิ่งสำคัญ


ในแง่ของความเข้าใจเรื่องการต่อสู้ เขารู้สึกว่าคนเดียวที่น่าจะเทียบชั้นกับท่านอาจารย์ของเขาได้ก็คือบรรพบุรุษเก่าแก่เท่านั้น


ในเวลาเดียวกัน ฝงเจียงก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อเห็นฝงจิ่วเกอ, อดีตอัจฉริยะผู้ทรงเกียรติของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟกำลังคุกเข่าและโค้งคำนับให้สมาชิกจากครอบครัวสาขา แต่ลงท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร


เขาคำรามและส่งสัญญาณให้ทั้งคู่ตามเขาไป


จางเซวียนกับฝงจิ่วเกอเดินตามฝงเจียงไปติดๆ ไม่ช้าก็ถึงที่หมาย


ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือสังเวียนประลองที่มีรูปปั้นนกฟีนิกซ์ขนาดใหญ่หลายสิบตัวกั้นไว้


ฝงเจียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งออกมา “นี่คือสนามฝึกฝนของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟของเรา ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ได้รับการจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าคุณอยากถอนตัว…ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ เพราะถ้าการทดสอบเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ จะหันหลังกลับไม่ได้อีก!”


ถึงเขาจะมีความแค้นฝังหุ่นกับฝงจิ่วเกอ แต่ก็ไม่ได้เกลียดชังถึงขั้นที่อยากให้อีกฝ่ายตาย


“ไม่เป็นไร ผมมาไกลขนาดนี้แล้ว ไม่คิดจะถอยอย่างแน่นอน” ฝงจิ่วเกอตอบ


“ถ้าคุณตัดสินใจแล้ว ก็เริ่มเลย!”


ฝงเจียงเดินตรงไปยังใจกลางสังเวียนประลองโดยไม่ลังเล


เกิดเสียงหึ่งเบาๆ หมอกที่ปกคลุมสังเวียนประลองค่อยๆสลายตัวไป เผยให้เห็นนักรบอีก 8 คน


“ฝงชู่ ฝงหยวนเจิง ฝงชิงเหยียน…”


ฝงจิ่วเกอกำหมัดแน่นเมื่อจำทุกคนที่อยู่ในสังเวียนประลองได้


เขาเคยคิดว่าคงต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีความเก่งกาจระดับเดียวกันกับฝงเจียง แต่ดูเหมือนจะประเมินการทดสอบครั้งนี้ต่ำไป


เท่าที่กวาดสายตาดู ก็มีนักรบอย่างน้อย 5 คนแล้วที่แข็งแกร่งกว่าฝงเจียง!


แล้วเขาจะเอาชนะได้อย่างไร?


โดยเฉพาะฝงชู่


ตัวเขาได้ชื่อว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าระดับราชันย์เทพเจ้าของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ แถมยังรั้งอันดับ 3 ของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดด้วย!


ที่ผ่านมา เหตุผลที่ฝงจิ่วเกอได้รับการยกย่องอย่างสูงในตระกูลก็เพราะสติปัญญาและความปราดเปรื่องของเขา ไม่ใช่ประสิทธิภาพการต่อสู้


ฝงชู่อายุกว่า 600 ปีแล้ว ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่เขาจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้านั้นมีน้อยมาก ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ทางตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟให้ความสำคัญกับฝงจิ่วเกอมากกว่า แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของฝงชู่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ


ลำพังแค่การรั้งอันดับ 3 ของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าก็เกินพอจะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่อับจนหนทางแล้ว


“คุณกลัวหรือ?” จู่ๆ จางเซวียนก็โพล่งออกมา


“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ผมแค่…ไม่มั่นใจ” ฝงจิ่วเกอตอบ


แม้การบรรยายเมื่อครู่นี้จะเปิดหูเปิดตาให้เขาได้ความรู้ใหม่ๆ แต่เขาก็ยังไม่มีเวลากลั่นกรองความรู้เหล่านั้นเพื่อนำมาฝึกฝนและปฏิบัติจริง ดังนั้นจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทำได้สักแค่ไหนกับความรู้ที่เพิ่งได้ซึมซับมา


ถ้าเขาพลาดพลั้งระหว่างการต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังจำนวนมากขนาดนั้น คงได้เอาชีวิตไปทิ้งแน่


“ขอแค่คุณนำสิ่งที่ผมชี้แนะไปปฏิบัติจริง ก็จะฝ่าค่ายกลไปได้สบาย” จางเซวียนยืนยันอย่างสุขุมหนักแน่นเพื่อให้ฝงจิ่วเกอมั่นใจ


“ผมเข้าใจแล้ว!” ฝงจิ่วเกอพยักหน้า


เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็โยนความระแวงแคลงใจทั้งหมดทิ้งไปและกระโจนขึ้นสู่สังเวียน


ทันทีที่ฝงจิ่วเกอขึ้นไปบนสังเวียนประลอง คู่ต่อสู้ทั้ง 9 คนที่เขาจะต้องรับมือด้วยก็หายวับไปทันที ค่ายกลปกปิดตัวเองไว้ ทำให้ฝงจิ่วเกอไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน


เขาก้าวออกไปทีละก้าวอย่างหวาดระแวง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่อยู่ด้านหลัง


ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าสถานการณ์แบบนี้มักเป็นการล่อลวง ถ้าเราหันกลับไป ก็ไม่ต่างอะไรกับกระโจนเข้าใส่กับดักของศัตรู มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกนั้นจะปล่อยมาตรการตอบโต้ทันทีที่เราพุ่งเข้าใส่และพยายามฝ่าวงล้อมของพวกเขา สิ่งเดียวที่เราจะทำได้ในตอนนี้คือกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมของเราขณะปล่อยการโจมตีไปพลางๆ…


ฝงจิ่วเกอถอยหลังกลับไปยังจุดที่เขาเคยยืนอยู่โดยไม่ลังเล


อันตรายมากที่จะต้องล่าถอยเมื่อรู้ว่ามีใครคนหนึ่งพร้อมจะพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง หากผิดพลาดเพียงครั้งเดียว เขาอาจถูกศัตรูใช้อาวุธเล่นงานก็ได้ แต่ฝงจิ่วเกอก็ไม่มีทางเลือกอื่นในสถานการณ์แบบนี้


ดังนั้น ทันทีที่เท้าของเขาแตะพื้น เขาก็ตวัดขาอีกข้างหนึ่งขึ้นมา แล้วเตะพรวดออกไปตรงหน้า


พลั่ก!


ฝงจิ่วเกอรู้สึกได้ว่าขาของเขาปะทะกับบางอย่าง ดูเหมือนจะมีใครคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ


ฮะ…ฝงจิ่วเกอตาโตด้วยความตื่นเต้น


พูดกันตามตรง เขายังอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังพยายามทดสอบว่าทฤษฎีเหล่านั้นจะใช้งานได้จริงหรือไม่ จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย โดยเฉพาะเมื่อเห็นๆกันอยู่ว่าเขาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ


ด้วยเหตุนี้ จึงแสนจะประหลาดใจและยินดีที่พบว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล


ท่านอาจารย์บอกไว้ว่า ถ้าการโจมตีของเราตรงเป้า…เพื่อป้องกันไม่ให้เราเล่นงานซ้ำ ศัตรูที่อยู่อีกฟากหนึ่งจะต้องใช้โอกาสนี้ตอบโต้กลับ และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องถอย หรือหลบ หรือวิ่งหนี ทั้งหมดที่ต้องทำก็คือกลับไปยืนที่จุดเดิมก่อนที่เราจะก้าวออกมา…


ฝงจิ่วเกอทบทวนคำสอนของจางเซวียน


การที่เมื่อครู่นี้ไม่มีใครโจมตีเขาสักคนตอนที่เขาก้าวออกไป ก็หมายความว่าตรงนั้นไม่มีศัตรูอยู่ เขาใช้จุดนี้เป็นข้อได้เปรียบได้


ฝงจิ่วเกอจึงก้าวออกไปอีกครั้ง รู้สึกได้ทันทีถึงพละกำลัง 2 สายที่ปะทะกันอยู่ด้านหลังตัวเขา


มันได้ผลจริงๆด้วย!


เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านอาจารย์พูดไว้ อย่างกับอีกฝ่ายคาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้า ฝงจิ่วเกอตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่ได้ปล่อยให้ความตื่นเต้นมาครอบงำ เขาตัดสินใจบิดร่างเป็นมุม 90 องศา ก่อนจะปล่อยลูกเตะอย่างจังเข้าใส่ที่จุดๆหนึ่ง


พลั่ก!


เกิดเสียงพลั่กหนักๆอีกครั้ง


คู่ต่อสู้อีกคนที่พยายามลอบโจมตีเขาลงเอยด้วยการถูกเตะอย่างจังเข้าที่หน้าอกก่อนที่จะทันได้ทำอะไร

 

 

 


ตอนที่ 2269 หยุดค่ายกล!

 

เมื่อทุกอย่างดำเนินไปตามที่ท่านอาจารย์ของเขาวางแผนไว้ ในที่สุดฝงจิ่วเกอก็สลัดความหวาดกลัวทั้งหมดทิ้งไปและทุ่มเทพละกำลังที่เขามีอยู่ให้กับการต่อสู้


…..


ระหว่างนั้น นอกสังเวียนประลอง…


ที่อีกฟากหนึ่งของสังเวียนประลอง ห่างจากจุดที่จางเซวียนยืนอยู่ มีหอคอยสูงเสียดเมฆ ผู้อาวุโสหลายคนกำลังเฝ้ามองจากหน้าต่างของหอคอยนั้น


“ฝงจิ่วเกอได้วรยุทธกลับคืนมาแล้วจริงๆ และยินยอมพร้อมใจเข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ด้วย ผมต้องบอกเลยว่าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะพัฒนาตัวเองได้ขนาดนี้” ผู้อาวุโสเคราสีเทาพูด


เขาคือผู้อาวุโสที่ 1 ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ, ฝงตั้นชิง


ก่อนหน้านี้ เขามีความคาดหวังสูงในตัวฝงจิ่วเกอ เคยคิดว่าชายหนุ่มคงจะเหมือนกับหัวหน้าตระกูล ที่สุดท้ายก็จะก้าวขึ้นไปจนมีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าและขยายอาณาเขตอิทธิพลของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟให้กว้างไกลออกไปอีก


ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจู่ๆ ศักยภาพทั้งหมดของชายหนุ่มก็จะหายวับไปแบบนั้น


ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เขาเรียกตัวและขอคำปรึกษาจากเพื่อนสนิทมากมายที่เป็นนายแพทย์ แต่ไม่มีใครรักษาอาการของฝงจิ่วเกอได้ เพราะไม่มีทางเลือก จึงต้องขับไล่อีกฝ่ายออกไป


เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นผู้อาวุโสที่ 1 มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบสมาชิกที่เหลือทุกคนในตระกูล


แต่ใครจะไปรู้ว่าฝงจิ่วเกอจะกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ได้ภายในเวลาไม่นานหลังจากที่ถูกขับออกจากตระกูล ไม่เพียงเท่านั้น ยังเข้าท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์อย่างมั่นใจด้วย


ภายในเวลาชั่วโมงเดียวที่ฝงจิ่วเกอหายไป เขาไปพบอะไรมา?


“ผมส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ดูเหมือนทันทีที่เขาออกจากตระกูล ก็ได้พบกับทายาทคนหนึ่งของตระกูลของเราที่ข้างนอกนั่น อีกฝ่ายรักษาอาการป่วยให้เขาและช่วยให้เขาฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ” ชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างฝงตั้นชิงตอบ


เขาคือผู้อาวุโสที่ 2, ฝงเทียนอวิ๋น


“ผมได้ยินว่าทายาทคนนั้นเอาชนะฝงเจียงในการต่อสู้ได้ด้วยหรือ?” ฝงตั้นชิงถาม


“ใช่ ผมได้ยินมาแบบนั้นแหละ ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนธรรมดา” ฝงเทียนอวิ๋นตั้งข้อสังเกต


“ฝงจิ่วเกอดูจะเปลี่ยนไปมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา โชคร้ายที่วรยุทธของเขาถดถอยลงเรื่อยๆโดยไม่มีสาเหตุ แต่นั่นก็ช่วยให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ต่อให้เขาฝ่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ไม่สำเร็จ เขาก็ยังมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้กลับสู่ตระกูลของเราอยู่ดี” ฝงตั้นชิงลูบเคราขณะออกความเห็น


ฝงเทียนอวิ๋นก็พยักหน้า


ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ พวกเขาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตระกูลเหนือสิ่งอื่นใด จึงเป็นธรรมดาที่จะยินดีหากจะได้ฝงจิ่วเกอที่มีวรยุทธสมบูรณ์แบบแล้วกลับมา


เพียงแต่การถูกขับออกจากตระกูลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากมองในแง่เกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูล พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ใครเข้าและออกจากตระกูลได้ตามอำเภอใจเช่นกัน


ด้วยเหตุนี้ การทดสอบจึงต้องดำเนินต่อไป


แต่พวกเขาก็แอบคาดการณ์ไว้ว่าใครน่าจะชนะ


ฝงตั้นชิงรีบนับเวลาตั้งแต่ที่ฝงจิ่วเกอเข้าสู่ค่ายกลก่อนจะสั่งการ “การที่ฝงจิ่วเกอจะต้องเจอกับความยากลำบากสักหน่อยในการทดสอบก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่บอกฝงชู่กับคนอื่นๆด้วยว่าเล่นงานเขาแค่เบาะๆ ให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็พอ อย่าทำอะไรที่เป็นการทำลายรากฐานและอาจส่งผลกระทบต่อวรยุทธของเขาในอนาคต!”


ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์คือค่ายกลที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลของพวกเขา ถึงขนาดที่แม้แต่ฝงตั้นชิงกับฝงเทียนอวิ๋นก็ไม่อาจแอบดูผ่านม่านหมอกเพื่อสอดส่องสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในได้


ค่ายกลอนุญาตให้ฝงชู่ ฝงหยวนเจิง ฝงชิงเหยียนและคนอื่นๆผนึกพละกำลังกันได้ ดังนั้น ต่อให้ฝงจิ่วเกอแข็งแกร่งกว่าเดิมอีก 3 เท่า ก็ไม่น่าจะมีโอกาส


เหตุผลเดียวที่ฝงตั้นชิงปล่อยให้การทดสอบดำเนินต่อไปก็เพื่อขัดเกลาบุคลิกและนิสัยของฝงจิ่วเกอ หวังว่าเขาจะละทิ้งความโอหังของตัวเองและมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักต่อไปในอนาคต


“ได้ ผมจะส่งข้อความไปเดี๋ยวนี้…” ฝงเทียนอวิ๋นพยักหน้า


ครู่ต่อมาก็ขมวดคิ้ว “พวกนั้นไม่ตอบ หรือว่า…ฝงจิ่วเกออ่อนแอเสียจนไม่อาจเอาตัวรอดผ่านขั้นตอนแรกของการทดสอบไปได้?”


ต่อให้พวกเขาอยากบ่มเพาะใครสักคน อย่างน้อยที่สุด ผู้นั้นก็จะต้องแข็งแกร่งพอที่จะอดทนรับการบ่มเพาะไหว ถ้าฝงจิ่วเกออ่อนแอเสียจนหมดสภาพตั้งแต่ยังไม่มีใครทันได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด ก็คงต้องโทษตัวเขาเองที่ไม่เอาไหน


“ถูกฆ่าหรือ?” ฝงตั้นชิงขมวดคิ้ว เขารีบสั่งการ “หยุดค่ายกล!”


“ขอรับ!”


ฝงเทียนอวิ๋นกระดิกนิ้วและปล่อยกระแสพลังงานสายหนึ่งเข้าสู่ม่านหมอก


แม้ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์จะดูเหมือนถูกนักรบทั้ง 9 ที่อยู่ด้านในควบคุมอยู่ แต่อันที่จริง กุญแจหลักอยู่ในมือของพวกเขา เหล่าผู้อาวุโสสามารถหยุดค่ายกลได้เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว


ครืนนนน!


บรรยากาศในสังเวียนประลองสั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนที่ม่านหมอกจะหายไป


“ถ้าฝงจิ่วเกอทนไม่ไหวแม้เพียง 3 นาที ผมก็คงต้องบอกว่า…ต่อให้เขาตายในการทดสอบก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่…” ฝงเทียนอวิ๋นพึมพำ


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ สถานการณ์บนสังเวียนประลองก็ทำให้เขายืนตัวแข็ง


นัยน์ตาของฝงตั้นชิงแทบทะลุออกจากเบ้า


บนสังเวียนประลอง ฝงจิ่วเกอ…คนที่พวกเขาคิดว่าอาจเสียชีวิตไปแล้วกำลังไล่ล่าคู่ต่อสู้คนอื่นๆอย่างไม่ลดละ ขณะที่ฝงชู่กับคนอื่นๆที่เหลือได้แต่ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวขณะถอยกรูดครั้งแล้วครั้งเล่า…


“เป็นไปได้อย่างไร?” ฝงเทียนอวิ๋นพูดไม่ออก


ขนาดตัวเขาก็ยังมีพละกำลังไม่มากพอที่จะรับมือกับฝงชู่และคนอื่นๆ อันที่จริง ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็คงลำบากไม่น้อยหากจะต้องเอาชนะนักรบจำนวนมากขนาดนี้…


แล้วฝงจิ่วเกอใช้เวลานานแค่ไหนกัน?


5 นาที?


เพียงไม่ถึง 5 นาที นักรบทั้ง 9 ก็ถูกซ้อมยับถึงขนาดหวาดกลัวฝงจิ่วเกอและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน…


เกิดอะไรผิดปกติขึ้นที่นี่หรือเปล่า?


ฝงตั้นชิงก็งุนงงกับภาพที่เห็นตรงหน้า


เขาแอบลงความเห็นในใจแล้วว่าฝงจิ่วเกอจะต้องพ่ายแพ้ยับเยินในการทดสอบครั้งนี้ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อมองสังเวียนประลอง ก็กลับกลายเป็นคู่ต่อสู้ของฝงจิ่วเกอที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนราวกับอีกฝ่ายคือปีศาจ


“พวกคุณทุกคน นั่งลงกับพื้น เงยหน้า และประกาศว่าพวกคุณพ่ายแพ้การต่อสู้แล้ว!”


“พวกเราแพ้แล้ว…”


ฝงชู่ ฝงเจียงกับคนอื่นๆที่ยังตัวสั่นลนลานทำตามคำสั่งทันที ใบหน้าของพวกเขาถูกชกจนบวมเป่ง แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร


“ต้องแบบนั้นสิ!” ฝงจิ่วเกอพยักหน้าอย่างพอใจ


จากนั้น เขาก็กระโดดลงจากสังเวียนประลองและเดินไปหาจางเซวียนก่อนจะโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์ ผมผ่านการทดสอบแล้ว…”


ไม่มีคำไหนจะบรรยายความเคารพในตัวท่านอาจารย์ที่ฝงจิ่วเกอรู้สึกในเวลานั้นได้


เพราะการถ่ายทอดความรู้ของท่านอาจารย์ ตัวเขาจึงทำนายการโจมตีครั้งต่อไปที่จะเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังจับจุดอ่อนของค่ายกลได้ด้วย


ด้วยการเล่นงานจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ เขาก็เอาชนะพวกนั้นได้สบายเหมือนอย่างที่อาจารย์บอกไว้


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากระยะไกล “ขอแสดงความยินดีด้วย, จิ่วเกอ คุณผ่านการทดสอบค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์แล้ว ผมขอต้อนรับคุณกลับเข้าสู่ตระกูลของเรา!”


จากนั้น ผู้อาวุโสที่ 1, ฝงตั้นชิง กับผู้อาวุโสที่ 2, ฝงเทียนอวิ๋นก็เดินเข้ามา


ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ฝงจิ่วเกอเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ


“ผู้อาวุโสที่ 1! ผู้อาวุโสที่ 2!” ฝงจิ่วเกอรีบประสานมือเพื่อทักทาย 2 ผู้อาวุโส


ทั้งคู่พยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองจางเซวียน “ผมได้ยินว่าคุณเป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลของเรา” ฝงตั้นชิงพูด


จางเซวียนประสานมือ “ใช่ ผมคือฝงเซวียน”


“ดี มาทดสอบสายเลือดของคุณพร้อมกับจิ่วเกอก็แล้วกัน ขอแค่ความบริสุทธิ์ของสายเลือดของคุณเข้าถึงระดับที่กำหนดไว้ของสมาชิกสายนอก ผมก็จะมอบสิทธิพิเศษของสมาชิกสายหลักให้คุณทันที” ฝงตั้นชิงพูดต่อ


เท่าที่พวกเขารู้มา การเปลี่ยนแปลงของฝงจิ่วเกอจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับจางเซวียนคนนี้ อีกอย่าง ความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าฝงจิ่วเกอเลย


หากชายผู้นี้มีสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟจริงๆ พวกเขาก็คงโง่เง่าเต็มทีหากไม่คิดจะดูแลอัจฉริยะที่มีความปราดเปรื่องระดับเขา


หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสที่ 1 สะบัดข้อมือและนำหินก้อนกลมออกมาก้อนหนึ่ง


“เราเรียกของล้ำค่าชิ้นนี้ว่าหินสะท้อนฟีนิกซ์ ทดสอบสายเลือดได้แม่นยำยิ่งกว่าคลังสำรองเลือดเสียอีก” ฝงตั้นชิงอธิบาย “หากผู้ที่มีสายเลือดตระกูลนกฟีนิกซ์หยดเลือดของเขาลงไปบนหินก้อนนี้ นกฟีนิกซ์ไฟจะปรากฏบนผิวหน้าของมัน ยิ่งปรากฏชัดขึ้นเท่าไหร่ ก็แปลว่าสายเลือดของผู้นั้นมีความบริสุทธิ์มากขึ้นตามไปด้วย!”


“ผมเข้าใจ” ฝงจิ่วเกอพยักหน้าขณะรับหินสะท้อนฟีนิกซ์จากมือของผู้อาวุโสที่ 1


ในการทดสอบครั้งล่าสุด เขาพบว่าสายเลือดของเขาเหือดแห้งไปหมดแล้ว จึงถูกขับออกจากตระกูล ซึ่งก็อดกังวลไม่ได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น


ฝงจิ่วเกอสูดหายใจลึกเพื่อระงับสติอารมณ์ ก่อนจะกัดนิ้วแล้วหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนหินสะท้อนฟีนิกซ์


วิ้งงงง!


เสียงกู่ร้องสดใสของนกฟีนิกซ์ไฟดังก้องไปทั่ว โครงร่างของนกฟีนิกซ์ไฟตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนก้อนหินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคมชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ทุกคนก็เห็นมันกระพือปีกขณะบินไปรอบๆผิวหน้าของหินก้อนนั้น มันดูสมจริงเสียจนดูพร้อมจะโผขึ้นสู่กลางอากาศได้ทุกขณะ


“ค่ายกลฟีนิกซ์, การหลอมรวมของเปลวไฟ…ความบริสุทธิ์ของสายเลือดของคุณอยู่ในระดับ 8! ไม่เพียงแต่คุณจะได้สายเลือดกลับคืนมา ยังบริสุทธิ์กว่าเดิมด้วย!” ฝงตั้นชิงตกตะลึง


โดยรวมแล้ว สายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟมีทั้งหมด 10 ระดับ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา สายเลือดของพวกเขาเบาบางลงเรื่อยๆจนถึงขนาดที่แม้ผู้ที่มีสายเลือดเข้มข้นระดับ 3 ก็ถือว่าได้การยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลสายหลักแล้ว


ส่วนตระกูลสาขา เพราะการแต่งงานข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับอสูรเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ จึงมีสมาชิกตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟบางส่วนที่อยากจะใช้หินสะท้อนฟีนิกซ์ตรวจสอบสภาวะของพวกเขา


ฝงจิ่วเกอได้รับการทดสอบสายเลือดครั้งแรกตั้งแต่เขาถือกำเนิดได้ไม่นาน ในครั้งนั้น ความบริสุทธิ์ของสายเลือดของเขาอยู่ในระดับ 6 ซึ่งนั่นก็เกินพอจะทำให้เขากลายเป็นสมาชิกแถวหน้าของตระกูลแล้ว


ใครจะไปรู้ว่าเขาจะทำลายสถิติทั้งหมดที่ผ่านมา และพุ่งพรวดไปได้ถึงระดับ 8?


ด้วยความบริสุทธิ์ระดับนี้ ถือว่าเขาคือผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นราชันย์เทพเจ้าในอนาคต!


“คือ…” ฝงจิ่วเกอก็ตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่ได้


สายเลือดของเขาบริสุทธิ์กว่าเดิมเสียอีกหลังจากที่เขาได้มันกลับมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)