อัจฉริยะสมองเพชร 2262-2265

ตอนที่ 2262 ปล่อย…

 

เมื่อรู้แล้วว่าชายหนุ่มเป็นนายแพทย์ผู้ไร้เทียมทาน ฝงจิ่วเกอลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเลและออกหมัดพื้นฐาน


ราวกับมีมังกรตัวมหึมาโผล่พรวดขึ้นจากท้องทะเลเพื่อล่าเหยื่อ หมัดของเขามีแรงกดดันมหาศาลที่บีบบังคับให้คู่ต่อสู้ต้องยอมจำนน เพียงแค่พิจารณาแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังหมัดนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคืออัจฉริยะตัวจริงเรื่องศิลปะการต่อสู้


แต่หลังจากออกหมัดพื้นฐานไปได้เพียงครึ่งทาง ฝงจิ่วเก่อก็หยุดกึก ดูเหมือนเรี่ยวแรงของเขาเหือดหายไปหมด ทำให้ไม่อาจปลดปล่อยพละกำลังที่แท้จริงได้


ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของชายหนุ่มก็ซีดเผือด เสียงครางหลุดรอดจากริมฝีปากของเขา


เมื่อครั้งที่เขายังมีพละกำลังสูงสุด เขาสามารถออกหมัดแบบนี้ได้เป็นร้อยครั้งโดยไม่เหน็ดเหนื่อยสักนิด แต่ตอนนี้ ก็ทำไม่ได้แม้แต่จะออกหมัดสักครั้งโดยไม่ต้องหอบหายใจ


เรื่องนี้ทำให้เขาสิ้นหวังอย่างรุนแรง


ฝงจิ่วเกอรู้สึกราวกับว่าตัวเขาเมื่อ 2 ปีก่อนหายสาบสูญไปแล้ว และไม่มีวันกลับมาอีก การรู้ตัวว่าจะต้องใช้ชีวิตทั้งอย่างนี้ทำให้เขาหวาดหวั่นมาก


ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะมองจางเซวียนอย่างสิ้นหวังและเอ่ยปาก “ขออภัยด้วยเถอะ ผมจะพยายามอีกที…”


“ไม่ต้องหรอก” จางเซวียนขัดขณะเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


เขาประมวลหนังสือเกี่ยวกับสภาวะของชายหนุ่มไว้แล้ว


สถานที่แห่งนี้ดูจะไม่มีอะไรที่สามารถส่งผลกระทบต่อวรยุทธของเขา…จางเซวียนขมวดคิ้ว


หนังสือระบุข้อบกพร่องไว้มากมาย แต่ไม่มีข้อไหนอธิบายเหตุผลเบื้องหลังการถดถอยของวรยุทธของฝงจิ่วเกอ หรือพูดอีกอย่างก็คือ แม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็ไม่อาจบอกเหตุผลที่ทำให้วรยุทธของชายหนุ่มถดถอยได้!


เรื่องนี้น่าสงสัยมาก


ตั้งแต่หอสมุดเทียบฟ้ากลับมาใช้งานได้อีกครั้งในสรวงสวรรค์ จางเซวียนก็มองเห็นปรุโปร่งแม้แต่ข้อบกพร่องของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แล้วทำไมถึงไม่อาจค้นพบเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสภาวะปัจจุบันของฝงจิ่วเกอได้?


“คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขอจับชีพจรสักหน่อย?” จางเซวียนถาม


“ผมรู้สึกสำนึกในบุญคุณมากที่คุณเต็มใจยื่นมือช่วยเหลือ แต่ถ้าคุณแก้ไขไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ ผมชินกับมันแล้ว…”


สายตาเฉียบแหลมของฝงจิ่วเกอมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของจางเซวียนได้ทันที สายตาที่จับจ้องด้วยความคาดหวังของเขาค่อยๆหม่นลง


ก่อนหน้านี้เขาเคยปรึกษานายแพทย์มาแล้วมากมาย ซึ่งบางคนก็เป็นนายแพทย์ชื่อดังที่ผู้คนในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดรู้จักดี แต่ก็โชคร้ายที่ไม่มีใครระบุเหตุผลที่ร่างกายของเขาเกิดสภาวะแบบนี้ได้เลย


เขาไม่กล้าหวัง เพราะเกรงว่าจะต้องผิดหวังอีกครั้ง


“ผมก็แค่ขอดู คุณไม่ได้เสียหายอะไรนี่” จางเซวียนพึมพำ


“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ ถึงอย่างไรผมก็สูญเสียอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้ว…” ฝงจิ่วเกอถอนหายใจเฮือก


เมื่อระดับวรยุทธและสถานภาพเดิมถูกถอนออกไปจากตัวเขา เขารู้สึกราวกับตัวเองอยู่โดดเดี่ยวในโลกใบนี้ เพราะเมื่อเขาตกต่ำ ก็ไม่มีใครเต็มใจยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ฝงจิ่วเกอรู้สึกเหมือนสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไป


อีกอย่าง ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาก็แข็งแกร่งกว่าเขามาก หากอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย เขาก็ปกป้องตัวเองไม่ได้อยู่ดี


ฝงจิ่วเกอจึงยื่นแขนให้จางเซวียน


จางเซวียนทาบนิ้วลงบนชีพจรและแอบถ่ายทอดกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย เขาติดตามการเดินทางของกระแสพลังปราณในทางเดินพลังปราณของฝงจิ่วเกออย่างระมัดระวัง


เมื่อมันไหลผ่านจุดหนึ่ง ก็พลันหยุดกึก


ฟึ่บ!


กระแสพลังปราณเทียบฟ้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน


“ฮะ…”


จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


พลังปราณเทียบฟ้าไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง นับตั้งแต่เขาฝึกฝนเวทนาสวรรค์ ประสิทธิภาพของมันก็ยอดเยี่ยมกว่าเดิม แต่มีบางอย่างในร่างกายของฝงจิ่วเกอที่ทำให้พลังปราณเทียบฟ้าของเขาสลายตัวได้…


มันเกิดอะไรขึ้น?


จางเซวียนขับเคลื่อนกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่จุดเดิมอีกครั้งด้วยความงุนงง


แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว กระแสพลังปราณก็เสื่อมสลายไป ราวกับมีพลังงานแปลกประหลาดบางอย่างฝังอยู่ในร่างของฝงจิ่วเกอ คอยกลืนกินพลังปราณเทียบฟ้าของเขา


ความผิดปกติครั้งนี้ทำให้จางเซวียนหรี่ตา


ต่อให้นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าก็ถูกเขาควบคุมได้หากได้ซึมซับกระแสพลังปราณเทียบฟ้าของเขาเข้าไป แต่บางอย่างในร่างของฝงจิ่วเกอสามารถกลืนกินพลังปราณนั้น


หรือว่าการที่วรยุทธของฝงจิ่วเกอตกฮวบจะเป็นผลจากการที่สิ่งแปลกปลอมบางอย่างในร่างกายกลืนกินพลังปราณของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน?


ขอดูหน่อยเถอะว่าแกจะกินได้สักแค่ไหน!


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนฮึดสู้ เขาปล่อยพลังปราณเข้าสู่ร่างของฝงจิ่วเกออย่างดุเดือด บังคับให้มันไหลเวียนไปตามทางเดินพลังปราณของอีกฝ่าย


ตอนแรก จางเซวียนยังปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าในปริมาณน้อยเพราะเกรงฝงจิ่วเกอจะรู้ตัว แต่คราวนี้เขาใส่ไม่ยั้ง


เขาไม่เชื่อว่าบางอย่างที่อยู่ในร่างของฝงจิ่วเกอจะกลืนกินพลังงานที่เขาส่งเข้าไปได้ทั้งหมด!


ในเวลาเดียวกัน ฝงจิ่วเกอก็นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสพลังปราณปริมาณมหาศาลที่พุ่งพรวดเข้ามา แรงกดดันจากสวรรค์ไหลเวียนอยู่ในร่างของเขาอย่างดุเดือด เขารู้สึกเหมือนกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ


ฝงจิ่วเกอพยายามชักข้อมือกลับ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายหนีบข้อมือของเขาไว้แน่นราวกับเป็นคีมโลหะ ไม่ว่าจะออกแรงดึงแค่ไหนก็ชักมือกลับไม่ได้


“ปล่อย…”


ฝงจิ่วเกออยากตะโกน แต่พลังปราณของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกบีบให้ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง แม้แต่จะเปล่งเสียงก็ทำไม่ได้


ส่วนจางเซวียนก็ไม่ได้ใส่ใจอาการของฝงจิ่วเกอ เขาหลับตาเพื่อเพ่งสมาธิทั้งหมดเข้าสู่การรับมือกับบางอย่างที่อยู่ในร่างของชายหนุ่ม


การพุ่งพรวดของกระแสพลังปราณเทียบฟ้าทำให้สุดท้ายจางเซวียนก็จับได้ว่ามันคืออะไร มันเป็นกลุ่มก้อนพลังงานสีเทาที่รวมตัวกันอยู่ แต่เขาอธิบายรูปร่างที่แน่ชัดของมันไม่ได้


เมื่อจางเซวียนปล่อยกระแสพลังปราณเข้าใส่กลุ่มพลังงานสีเทานั้น มันก็เรืองแสงสีเขียวออกมา


ไม่ใช่สิ มันไม่ได้กลืนกินพลังปราณของเรา…ดูเหมือนพละกำลังสองฝ่ายจะมีฤทธิ์เจือจางซึ่งกันและกันมากกว่า


จางเซวียนกำลังสงสัยว่าพลังงานแบบไหนที่ดูดกลืนพลังปราณเทียบฟ้าของเขาได้ แต่ดูเหมือนจะเข้าใจผิด โดยแท้ที่จริง พลังงานทั้ง 2 แบบต่างออกฤทธิ์เจือจางประสิทธิภาพของกันและกัน


เมื่อพลังปราณเทียบฟ้าของเขาปะทะกับกระแสพลังงานสีเทา มันก็หลอมรวมกันและแปรสภาพเป็นแสงสีเขียวก่อนจะสลายตัวไป


ก็ยังไม่ใช่อยู่ดีนั่นแหละ กลุ่มพลังงานสีเทาไม่น่าจะเจือจางพลังปราณเทียบฟ้าทั้งหมดของเราได้…


พลังปราณเทียบฟ้าของเขาหายวับไปทันทีที่ปะทะกับกลุ่มพลังงานสีเทา แต่ก็น่าประหลาด เพราะแม้จะถูกกลืนกินหายไปเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ก็ยังหลงเหลือเศษเสี้ยวเล็กๆอยู่


หากวัดกันเป็นสัดส่วน จากกระแสพลังปราณ 100 สาย จะต้องมีหนึ่งสายที่หลงเหลือ


เดี๋ยวก่อน! หรือว่านี่คือ…การขัดเกลา? จางเซวียนใจเต้น


เขารู้สึกได้


พลังปราณเทียบฟ้าที่หลงเหลืออยู่มีความบริสุทธิ์มากกว่าเดิมอย่างน้อยก็ 10 เท่า แม้เขาจะบอกไม่ได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าเดิมแค่ไหน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนมันจะสลายพลังปราณเทียบฟ้าของเราด้วย เหลือไว้แค่พลังปราณที่เราได้มาจากการทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์…


ตอนนี้มีกระแสพลังปราณที่แตกต่างกัน 2 รูปแบบผสมผสานกันอยู่ในร่างของจางเซวียน คือพลังปราณเทียบฟ้าที่ได้จากการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า กับพลังปราณเวอร์ชั่นพัฒนาใหม่ที่เขาได้มาหลังจากเริ่มฝึกฝนเวทนาสวรรค์


พลังปราณ 2 รูปแบบนี้ผสมผสานกันจนยากจะแยกออกจากกันได้ จางเซวียนจึงไม่ใส่ใจจะแยกแยะ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะแยกพลังปราณ 2 รูปแบบนี้ออกจากกันได้ด้วยกลุ่มพลังงานสีเทา?


กลุ่มพลังงานสีเทามีฤทธิ์เจือจางพลังปราณเทียบฟ้าของเขา แต่ไม่อาจแตะต้องพลังปราณที่เขาได้มาจากการฝึกฝนเวทนาสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ ผลที่ได้จึงเหมือนกับการขัดเกลา


ฉันไม่คิดว่าแกจะมีประโยชน์ แต่ในเมื่อแกขัดเกลาพลังปราณของฉันได้ ฉันก็จะให้แกอีกหน่อย!


เมื่อคิดได้ จางเซวียนปล่อยกระแสพลังปราณเข้าสู่ร่างของฝงจิ่วเกอมากขึ้นอีก ขณะที่พลังงานทั้งสองฝ่ายปะทะกัน แสงสีเขียวก็เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ


แม้จะมีกลุ่มพลังงานสีเทาอยู่เพียงกลุ่มเดียว แต่ก็บริสุทธิ์มาก จางเซวียนอยู่ตรงนี้นานหลายนาทีแล้ว แต่เพิ่งกำจัดกลุ่มพลังงานสีเทาไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น


ดูเหมือนคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก


จางเซวียนสูดหายใจลึกและตั้งใจจะกำจัดกลุ่มพลังงานสีเทาให้ได้ในรวดเดียว ก็พอดีกับที่รู้สึกว่ามีใครบางคนตบบ่าของเขา


สัญชาตญาณบอกเขาว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่จางเซวียนก็หน้านิ่วคิ้วขมวดที่ถูกรบกวน


เขายังคงถ่ายทอดกระแสพลังปราณเข้าสู่ร่างของฝงจิ่วเกอต่อไป แต่ก็หันไปมองผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะ จากนั้นก็ตัวแข็ง


ผู้คนจำนวนหลายสิบรุมล้อมเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ส่วนใหญ่คือลูกค้าที่ดื่มกินอยู่ที่นั่น รวมถึงชายวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งที่เคยซุบซิบกันเรื่องฝงจิ่วเกอด้วย


ส่วนผู้ที่ตบบ่าของเขาคือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีไม้เท้าอยู่ในมือ


“มีอะไร?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย


“ผมไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของคุณหรอกนะ แต่ถึงอย่างไร พวกเราก็ยังอยู่ในอาณาเขตของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ…”


“…ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่นี่และมีคนรู้ว่าพวกเราเอาแต่เฝ้าดูเงียบๆโดยไม่ช่วยเหลือ เราจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่ การที่คุณจะมีเรื่องกับตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟน่ะไม่เข้าท่าหรอกนะ ตัวผมในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของโรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงจำเป็นต้องเข้ามาขวาง เพราะฉะนั้น ขออภัยด้วยที่ต้องถาม แต่คุณมีความแค้นใดกับฝงจิ่วเกอหรือ?” ผู้อาวุโสตั้งคำถามขณะลูบเครา


น้ำเสียงของเขาแจ่มใสกังวาน เท่าที่ฟังจากการพูดจา น่าจะเป็นผู้มีความรู้คนหนึ่ง


จางเซวียนประหลาดใจกับคำถาม เขาส่ายหน้า “เราสองคนไม่มีความขัดแย้งใดๆต่อกัน”


ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้น คุณยึดข้อมือเขาไว้จนแน่นทำไม?”


จางเซวียนยังงุนงง แต่เมื่อได้ยินคำถามนั้นก็หัวเราะหึๆและตอบว่า “เขาได้รับผลกระทบจากสภาวะผิดปกติบางอย่าง ผมกำลังรักษาเขาโดยใช้ความสามารถของผมในฐานะนายแพทย์”


“อะ-อ้อ อย่างนั้นหรือ? เอาเถอะ ผมไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้ดูไม่หยาบคาย แต่…”


ผู้อาวุโสเบนสายตาไปมองฝงจิ่วเกอ ก่อนจะตั้งคำถามอย่างลังเล “คุณแน่ใจนะว่ากำลังรักษาเขาจริงๆ?”


“ผมแน่ใจหรือเปล่าว่าผมกำลังรักษาเขา?” จางเซวียนยิ่งงงหนัก


เขามองตามสายตาของผู้อาวุโสไปโดยอัตโนมัติ และเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่

 

 

 


ตอนที่ 2263 ปลาปักเป้า

 

ชายหนุ่มที่เขายึดข้อมือไว้แน่นไม่ใช่ฝงจิ่วเกอที่ดูหล่อเหลา กลับกลายเป็นชายร่างกลมดิกที่มีความสูง 2 เมตรและหนักอย่างน้อย 400 จิง* ไม่ต่างอะไรกับปลาปักเป้า


“คุณเป็นใครน่ะ?” จางเซวียนปล่อยข้อมือของอีกฝ่ายทันทีด้วยความตกใจ


ไอ้อ้วนนี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่เขาคว้าข้อมือไว้ได้เปลี่ยนตัวไปแล้ว?


เห็นอาการประหลาดใจจริงจังของจางเซวียน ผู้อาวุโสส่ายหัวและอธิบาย “ผมเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอด บอกคุณได้เลยว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฝงจิ่วเกอ หลังจากคุณคว้าข้อมือเขาไว้ได้ไม่นาน เขาก็เปลี่ยนไปจนอยู่ในสภาพนี้…”


“เขาคือฝงจิ่วเกอหรือ?” จางเซวียนอ้าปากค้าง


เขาแน่ใจว่าเมื่อครู่นี้ฝงจิ่วเกอยังปกติดี ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?


เดี๋ยวก่อน…หรือนี่คือผลจากการที่เราถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน? จางเซวียนหุบปากที่กำลังอ้าค้างด้วยความตกใจ


เขาปล่อยพลังงานไม่น้อยเข้าสู่ร่างของฝงจิ่วเกอ ซึ่งการปะทะกันของพลังงาน 2 รูปแบบทำให้เกิดแสงสีเขียวอันทรงพลัง ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ฝงจิ่วเกอไม่น่าจะต้านทานการก่อตัวสะสมของพลังงานภายในร่างกายได้


ว่าแต่…คนคนหนึ่งจะตัวพองเป็นปลาปักเป้าแบบนี้ก็ได้หรือ?


สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหลวไหลสิ้นดี!


จางเซวียนหลับตาและพยายามนึกภาพว่าเมื่อครู่นี้ฝงจิ่วเกอมีหน้าตาเป็นอย่างไร เขาทำซ้ำๆอยู่ 5 รอบ ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดพลาด ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคือฝงจิ่วเกอจริงๆ


จางเซวียนจนปัญญาจนไม่รู้ว่าควรตอบออกไปอย่างไร ควรกล่าวขอโทษหรือพยายามทำให้เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องตลก?


พูดได้เลยว่าฝงจิ่วเกอมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


หรือนั่นคือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น?


“ในเมื่อคุณไม่มีความขุ่นเคืองใดๆกับเขา ผมก็ขอใช้ความเป็นผู้อาวุโสของที่นี่ให้คำแนะนำคุณสักหน่อย” ผู้อาวุโสโพล่งออกมา “แม้ฝงจิ่วเกอจะเพิ่งถูกขับออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ แต่เขาก็เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น ถ้าคุณสังหารเขาอย่างเงียบๆ คนพวกนั้นอาจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่การกระทำของคุณที่ทรมานและเหยียดหยามเขาต่อหน้าสาธารณชนนั้นทำให้ชื่อเสียงของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟด่างพร้อย พวกเขาไม่มีวันยอมให้ใครลบหลู่ศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์แน่…เพราะฉะนั้น ผมขอให้คุณทบทวนการตัดสินใจของคุณอีกสักครั้ง!”


จางเซวียนนวดหว่างคิ้ว นี่เรากลายเป็นผู้ร้ายไปแล้วหรือ?


สมกับที่เป็นชายชราผู้รอบรู้ เขารู้วิธีที่จะพูดอ้อมค้อมเพื่อให้ได้คำตอบตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ แม้จะทำให้ดูเรื่องมากเกินขนาดก็ตาม


แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนาของเขาผิดไป เพราะเขาตั้งใจช่วยฝงจิ่วเกอจริงๆ ไม่ใช่ทรมานหมอนั่น


รู้ดีว่าผู้อาวุโสให้คำแนะนำด้วยความหวังดี จางเซวียนประสานมือและตอบอย่างสุภาพ “ผมขอขอบคุณในคำแนะนำของคุณและจะจดจำไว้ แต่ก็ขอยืนยันอีกครั้งว่านี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษา”


เมื่อพูดจบ เขาก็หันกลับไปมองฝงจิ่วเกอ


อีกฝ่ายอ้วนกลมไปทั้งตัว ทั้งใบหน้าและร่างกายของเขาดูเหมือนลูกบอลกลมๆลูกหนึ่ง


จางเซวียนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะนำตราหยกอันหนึ่งออกมา เขารีบถ่ายทอดเทคนิควรยุทธเข้าไปในนั้นก่อนจะยื่นให้ฝงจิ่วเกอ “ฝึกฝนเทคนิควรยุทธตามนี้ มันจะช่วยบรรเทาอาการของคุณได้!”


“คุณคิดอะไรอยู่น่ะ?” ฝงจิ่วเกอเพิ่งจะพูดออกหลังจากที่หลุดจากการเกาะกุมของจางเซวียน เขาโมโหเสียจนตัวแทบระเบิด


ตอนที่เขาได้เห็นตราสัญลักษณ์ของชายหนุ่ม ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงช่วยชีวิตเขาได้ ด้วยเหตุนั้นจึงยอมให้จับชีพจร ใครจะไปรู้ว่าหมอนี่จะตั้งหน้าตั้งตาปล่อยกระแสพลังปราณเข้าสู่ร่างของเขาอย่างพรวดพราดจนทำให้เขาลงเอยในสภาพนี้?


“ผม…”


จางเซวียนกำลังจะอธิบายว่าเขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจปิดปากเงียบ


เพราะหากพูดออกไป ตัวเขาจะต้องหมดความน่าเชื่อถือในฐานะนายแพทย์อย่างแน่นอน


จางเซวียนลุกขึ้นยืนและเอาสองมือไพล่หลัง เขาพูดต่อด้วยสีหน้าล้ำลึกเคร่งขรึม “ผมพบวิธีรักษาคุณแล้ว ซึ่งนี่เป็นเพียงขั้นตอนแรก!”


“ขั้นตอนแรก?” ฝงจิ่วเกอถึงกับผงะ


ขั้นแรกของคุณคือเป่าตัวผมให้พองเป็นปลาปักเป้าหรือ?


ผมไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีการรักษาแบบนี้!


“ถ้าคุณอยากหายดีและได้สติปัญญากับพละกำลังกลับคืนมาล่ะก็ จะต้องฟังที่ผมพูดและฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่ผมมอบให้” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


ความจริงจังในน้ำเสียงของเขาทำให้ฝงจิ่วเกอครุ่นคิดหนัก


ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เขาเคยปรึกษานายแพทย์ผู้เก่งกาจมาแล้วมากมาย ซึ่งทุกคนก็บอกเขาว่าไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ อันที่จริง นายแพทย์เหล่านั้นบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้คืออะไร


แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากำลังบอกว่าพบวิธีรักษาตัวเขาแล้ว และขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนแรก


เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?


“ช่างมันเถอะ เป็นไงเป็นกัน!”


ในเวลานี้ เขาไม่มีสิทธิ์แคลงใจในความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย


เขาไม่ใช่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้ปราดเปรื่องของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟที่ใครๆล้วนพยายามเข้าหาและประจบประแจงแล้ว และไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกนอกจากชีวิต


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหาย!


ฝงจิ่วเกอทาบนิ้วลงบนตราหยก เขาเพ่งสมาธิเข้าไปโดยไม่ลังเล เทคนิควรยุทธเทคนิคหนึ่งลอยเข้าสู่หัวสมองของเขา


ด้วยการมองเพียงแวบเดียว ร่างของฝงจิ่วเกอก็สั่นสะท้าน


ในฐานะอดีตสมาชิกสายหลักของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ สายตาของเขาเฉียบแหลมเสมอเมื่อเห็นของคุณภาพดี


แม้เทคนิควรยุทธนี้จะเป็นแค่เคล็ดวิชาธรรมดาๆสำหรับการขัดเกลาและซึมซับพลังงาน แต่ก็ฉลาดล้ำและเหนือชั้นกว่าศาสตร์ลับใดๆที่เขาเคยเห็นมา อันที่จริง แม้แต่ศาสตร์ลับสุดยอดส่วนใหญ่ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็ยังเทียบชั้นไม่ได้


แต่อีกฝ่ายมอบเทคนิควรยุทธระดับนี้ให้เขาโดยไม่ลังเล…


ชายหนุ่มตั้งใจช่วยเหลือเขาจากใจจริงใช่ไหม?


สิ่งนี้จุดประกายความหวังให้ลุกโชนในดวงตาของฝงจิ่วเกออีกครั้ง


เขาตั้งต้นขับเคลื่อนพลังปราณในร่างกายไปตามที่เทคนิควรยุทธกำหนดไว้โดยปราศจากความลังเล


แม้วรยุทธของฝงจิ่วเกอจะถดถอยไปมากตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ความปราดเปรื่องของเขายังคงมีมากกว่านักรบทั่วไป ใช้เวลาไม่นาน ฝงจิ่วเกอก็เชี่ยวชาญในเทคนิควรยุทธที่จางเซวียนถ่ายทอดให้ และสามารถดูดซึมพลังงานที่ทำให้เขาตัวพองเป็นปลาปักเป้าได้อย่างรวดเร็ว


ในแต่ละครั้งที่ฝงจิ่วเกอขับเคลื่อนพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่ว ร่างอ้วนกลมของเขาจะหดลงเล็กน้อย จนเมื่อขับเคลื่อนพลังปราณเป็นรอบที่ 20 ตัวเขาก็กลับสู่สภาพเดิม!


ฝงจิ่วเกอลุกขึ้นยืนขณะพิจารณาตัวเองด้วยสีหน้าฉงน เขาซึมซับพลังงานปริมาณมากขนาดนั้นได้รวดเร็วราวกับปาฏิหาริย์ สิ่งนี้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากกว่าเดิมในตัวชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า


เขาจ้องจางเซวียนอย่างตื่นเต้นและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าขั้นต่อไปคืออะไร?”


ฝงจิ่วเกอดูออกว่ากระบวนการรักษายังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะต่อให้เขาได้รับพลังงานปริมาณมหาศาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ย่อมสูญเสียมันไปอยู่ดี


“ผมต้องทบทวนขั้นตอนเดิมอีกครั้งเพื่อชำระสิ่งปนเปื้อนในร่างกายของคุณให้ออกไปจนหมดจด” จางเซวียนตอบ


ตอนนี้ แทบไม่ต้องสงสัยแล้วว่ากลุ่มพลังงานสีเทาคือสาเหตุที่วรยุทธของฝงจิ่วเกอถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น วิธีเดียวที่จะช่วยอีกฝ่ายได้ก็คือต้องหาทางชำระร่างกายของเขาให้ปลอดจากพลังงานสีเทานั้นเสียก่อน


หากจะพูดในแง่นี้ จางเซวียยก็ไม่ได้โกหกฝงจิ่วเกอ


ส่วนฝงจิ่วเกอก็อ้าปากค้างเมื่อได้ฟังคำตอบ


เขาต้องเจอความยุ่งยากเจ็บปวดแบบเดิมอีกแล้วหรือ?


เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จางเซวียนพึมพำ “ดูเหมือนคุณไม่ค่อยเต็มใจจะไปต่อนะ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องพยายามจนเกินกว่าเหตุ ขอบอกคุณให้รู้สักหน่อยว่าวิธีการรักษาแบบนี้น่ะ นอกจากไม่มีประโยชน์กับผม ยังส่งผลกระทบต่อวรยุทธของผมด้วย คุณคิดว่าการที่ผมถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของคุณน่ะ ผมไม่ต้องเสียอะไรเลยอย่างนั้นสิ?”


ขณะที่พูด จางเซวียนก็ลุกขึ้นยืน ตั้งท่าจะเดินกลับไปยังที่นั่งเดิมของเขา


“พะ-พี่ชาย ผมหมายถึง…ผู้อาวุโส! กรุณารอก่อน!”


ฝงจิ่วเกอไม่มีทางปล่อยให้แสงแห่งความหวังของเขาเดินจากไปแบบนั้น เขารีบเข้าไปรั้งจางเซวียนไว้


ในเมื่อตัวเขาไม่มีอะไร อีกฝ่ายก็ย่อมไม่ได้อะไรจากการช่วยเขาเช่นกัน แต่หากเขาปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป วรยุทธของเขาก็มีแต่จะถดถอยลงเรื่อยๆ ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะต้องถูกศัตรูฆ่าตายเข้าสักวัน


“ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย! ผมยอมทำทุกอย่าง ขอแค่คุณรักษาอาการป่วยของผมได้!” ฝงจิ่วเกอวิงวอน


จางเซวียนหันกลับมามองฝงจิ่วเกอโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะพึมพำอีกครั้ง


“ผมหวังว่าคุณจะสำนึกในการเสียสละที่ผมมอบให้เพื่อช่วยชีวิตคุณ ไม่เพียงแต่เราจะต้องเริ่มกระบวนการเดิมอีกครั้ง ผมยังต้องสอนเทคนิควรยุทธที่สืบทอดกันในตระกูลของผมให้คุณด้วย เทคนิควรยุทธเหล่านี้ถือเป็นความลับสุดยอด เพราะฉะนั้น ผมจะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณยอมรับผมเป็นอาจารย์!”


เท่าที่ดูจากความเร็วของฝงจิ่วเกอในการทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธที่เขาถ่ายทอดไปเมื่อครู่ ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะตัวจริง


ยิ่งไปกว่านั้น ฝงจิ่วเกอยังมีสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟซึ่งกุมความลับใหญ่หลวงไว้ หากเขาได้ฝงจิ่วเกอเป็นศิษย์สายตรง การเสาะหาข้อมูลใดๆจากอีกฝ่ายก็ย่อมง่ายขึ้นมาก แถมยังอาจช่วยเขาให้ได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณด้วย


“ท่านอาจารย์ ผมขอวิงวอนให้คุณช่วยชีวิตผม!”


ฝงจิ่วเกอใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน เขาทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น


เทคนิควรยุทธที่ได้รับการถ่ายทอดเมื่อครู่นี้ทำให้เขาดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นักรบธรรมดา อีกอย่าง การที่ชายหนุ่มมีตราสัญลักษณ์การเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่อยู่ในครอบครองก็บ่งบอกแล้วว่าตัวเขาทั้งแข็งแกร่งและมีทักษะเชี่ยวชาญอย่างไม่ธรรมดาในการรักษาโรค


ในเมื่อตระกูลของเขาทอดทิ้งเขา บีบบังคับให้เขาต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง การจะยอมรับชายหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์ก็ย่อมไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยที่สุด ชายหนุ่มก็ยังช่วยสนับสนุนเขาได้


“ดี!”


จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจกับการตัดสินใจแน่วแน่ของฝงจิ่วเกอ เขาทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งและทาบนิ้วลงไปบนชีพจรของอีกฝ่าย


จางเซวียนไม่รู้ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าเดิมหรือไม่หลังจากขัดเกลาพลังปราณแล้ว เพราะถึงอย่างไร ที่ผ่านมาเขาก็ให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพ แต่ในระยะยาวก็น่าจะมีประโยชน์


 


———————————-


*1 จิง = 0.5 กิโลกรัม

 

 

 


ตอนที่ 2264 หลุมดำใต้เมืองหลวง?

 

เมื่อคิดได้ จางเซวียนถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของชายหนุ่มอีกครั้ง


การถ่ายทอดพลังปราณอย่างดุเดือดของจางเซวียนทำให้ฝงจิ่วเกอตัวพองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จนเมื่อมองไกลๆก็ไม่ต่างอะไรกับลูกบอล


เมื่อเห็นฝงจิ่วเกอใกล้หมดความอดทน จางเซวียนหยุดการถ่ายทอดพลังปราณและสั่งการให้อีกฝ่ายฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่เขาเพิ่งถ่ายทอดให้อีกครั้งเพื่อบรรเทาอาการตัวพอง


วงจรนี้วนไปครั้งแล้วครั้งเล่า


จนเมื่อสิ้นสุดครั้งที่ 4 กลุ่มพลังงานสีเทาในร่างของวงฝงจิ่วเกอก็ถูกชำระล้างออกไปจนหมด จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ตอนนี้คุณน่าจะหายดีแล้วล่ะ ลองดูสิ” จางเซวียนยิ้มให้ฝงจิ่วเกอ


เมื่อกลุ่มพลังงานสีเทาถูกชำระล้างไปหมดแล้ว ฝงจิ่วเกอก็น่าจะเรียกพละกำลังและความปราดเปรื่องอย่างเมื่อก่อนกลับคืนมาได้ แถมยังอาจเก่งกาจกว่าเดิมด้วย!


เพราะฝงจิ่วเกอไม่รู้เรื่องกลุ่มพลังงานสีเทา จึงไม่อาจรับรู้ได้ถึงสภาวะร่างกายของตัวเองที่แตกต่างจากเดิมมากอันเป็นผลจากการรักษาของจางเซวียน เขาทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าที่ยังคงสงสัย จากนั้นก็ตั้งต้นขับเคลื่อนพลังปราณโดยใช้เทคนิควรยุทธของเขา


ไม่ช้าก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง


ก่อนหน้านี้ พลังปราณของเขาจะหายวับไปทันทีตั้งแต่ยังไม่ทันควบคุมให้มันไหลเวียนได้จนทั่วทางเดินพลังปราณ ซึ่งไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน ก็มีแต่จะสูญเสียพลังงานมากกว่าเดิม


แต่คราวนี้ พลังปราณของเขาไม่เหือดหาย ไม่เพียงเท่านั้น จุดตันเถียนที่อ่อนล้ามานานก็ได้รับการบ่มเพาะจากพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม ความกระชุ่มกระชวยลุกโพลงขึ้นในร่างของเขาราวกับภูเขาไฟ


อันที่จริง พลังจิตวิญญาณที่เขาเพียรฝึกฝนมาตลอด 2 ปีนั้นไม่ได้หายไป แต่ถูกกลุ่มพลังงานสีเทาบดบังไว้


และเมื่อแม่น้ำปราศจากเขื่อนปิดกั้น มันก็ทะลักล้นออกมาท่วมทั่วร่างของเขา ราวกับได้เกิดใหม่!


ฟิ้วววว!


วรยุทธของฝงจิ่วเกอที่กำลังจะร่วงหล่นจากการเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างเพิ่มสูงขึ้นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ฝ่าด่านคอขวดด่านแล้วด่านเล่าอย่างไม่ลดละ


เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นกลาง…


เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นสูง…


เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นสูงสุด…


เพียงไม่ถึง 15 นาที เขาก็ก้าวข้ามจุดเดิมไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นสูงสุดได้


“ผม…”


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลภายในร่างกาย ฝงจิ่วเกอนัยน์ตาแดงก่ำ


ตอนนี้ เขารู้ตัวแล้วว่าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนที่ขวางทางเพื่อก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดได้อีกครั้ง ซึ่งเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาทำสำเร็จก็คือชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า


“ท่านอาจารย์!” ฝงจิ่วเกอทรุดตัวลงคุกเข่าและโค้งคำนับ


ก่อนหน้านี้ เขายอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ก็เพราะคิดว่าไม่มีทางเลือกอื่น แต่มาตอนนี้ก็รู้แล้วว่านี่คือการตัดสินใจอันชาญฉลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมาในชีวิต


“ลุกขึ้นเถอะ!” จางเซวียนพูดขณะพยุงฝงจิ่วเกอ


พร้อมกันนั้นเขาก็เพ่งดูหอสมุดเทียบฟ้า และเห็นว่าเกิดหน้าหนังสือสีทองขึ้นหน้าหนึ่งเหมือนเมื่อครั้งเหตุการณ์ของจัวเหยียน


หน้าหนังสือสีทองสองหน้าตั้งเรียงกันอยู่บนชั้นหนังสือ เปล่งประกายเจิดจรัส


“ฝงจิ่วเกอได้วรยุทธของเขากลับคืนมาแล้วหรือ?”


“ไม่เพียงเท่านั้นนะ ยังพัฒนาจนก้าวหน้ากว่าเดิมด้วย!”


“นายแพทย์คนนั้นเป็นใครกัน? น่าทึ่งจริงๆ!”


ฝูงชนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแทบไม่เชื่อสายตา


ผู้อาวุโสคนเมื่อครู่ก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “อะ…อะไรกัน…”


ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มพยายามรักษาฝงจิ่วเกอจริงๆ! แล้วตัวเขาก็พล่ามอะไรตั้งมากมาย เฮ่ออออ!


 


จางเซวียนไม่แยแสความตกตะลึงของฝูงชน เขามองหน้าฝงจิ่วเกอและตั้งคำถาม “เมื่อ 2 ปีก่อนคุณพบอะไร วรยุทธของคุณถึงตกฮวบแบบนี้?”


“ผมปฏิบัติภารกิจที่กำหนดให้ผมต้องเดินทางไปยังหลุมดำที่อยู่ใต้เมืองหลวงแห่งนี้” ฝงจิ่วเกอตอบ “ผมพลัดหลงเข้าไปในมิติที่ซุกซ่อนอยู่แห่งหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็หมดสติ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น…”


“หลุมดำใต้เมืองหลวง?” จางเซวียนทวนคำสำคัญที่อยู่ในคำตอบของฝงจิ่วเกอ


เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็ลอยอยู่เหนือหลุมดำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจริงๆ หรือว่าจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในหลุมดำนั้น?


เห็นจางเซวียนไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ฝงจิ่วเกอตั้งต้นอธิบาย “หลุมดำปรากฏขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งเมืองทรุดตัวลงไปในนั้น สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้ใช้พละกำลังมหาศาลรวมทั้งขนนกของจอมราชันย์อมตะเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดให้กลับมารุ่งเรืองดังเดิม ซึ่งก็เป็นอย่างที่คุณเห็นอยู่ทุกวันนี้…”


ในฐานะอดีตสมาชิกสายหลักของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ เขาพอรู้เรื่องราวที่เป็นความลับสุดยอดของเมืองหลวงอยู่บ้าง


“เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งเมืองทรุดตัวลงไปในหลุมดำ?” จางเซวียนชะงัก


พูดกันตามตรง เขาเองก็สงสัยตั้งแต่ได้เห็นเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นครั้งแรก เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เมืองๆหนึ่งจะต้องถูกสร้างขึ้นเหนือหลุมดำ และไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะต้องลอยได้ ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่าที่มันเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่น


เมืองหลวงของทั้งเก้าน่านฟ้าล้วนตั้งอยู่บริเวณใจกลางดินแดน เพื่อให้เป็นศูนย์รวมความมั่งคั่งและกระแสจิตปรารถนา ดังนั้นจึงไม่อาจเคลื่อนย้ายมันได้ง่ายๆ


ด้วยเหตุนี้ แม้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดจะทรุดตัวเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่มั่นคงใดๆที่อาจเกิดขึ้น พวกเขาจึงเลือกสร้างเมืองใหม่ขึ้นตรงจุดเดิมที่มันทรุดตัวไป


ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเมืองลอยได้


“ถ้าเมืองหลวงทรุดตัวอย่างกะทันหันแบบนั้น แล้วผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไร?” จางเซวียนซักไซ้


“ตอนนั้นผมยังไม่เกิด จึงไม่รู้รายละเอียด แต่เท่าที่ได้ฟังจากเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล ดูเหมือนแม้การทรุดตัวจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งก็ยังหนีเอาตัวรอดได้ด้วยการคุ้มกันของจอมราชันย์อมตะ ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่คือผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าแล้ว”


จากนั้น ฝงจิ่วเกอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเล่าต่อ “แต่ก็อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ ในสรวงสวรรค์มีผู้คนอีกมากที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้า พูดอีกอย่างก็คือ วิกฤตครั้งนั้นคร่าชีวิตประชากรของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดไปเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขายังคงอาศัยอยู่ในหลุมดำหรือเสียชีวิตไปแล้ว หลุมดำนั้นลึกมาก ถึงขนาดที่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟก็ไม่อาจลงไปถึงก้นบึ้งของมัน”


ลำดับขั้นของสิ่งมีชีวิตในสรวงสวรรค์ถูกจัดเรียงกันเป็นรูปพีระมิด


ประชากรส่วนใหญ่คือคนธรรมดา หรือในอีกแง่หนึ่ง คือนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับโอกาสให้ฝึกฝนวรยุทธและพัฒนาตัวเองจนก้าวหน้ากว่าเดิม


“จู่ๆหลุมดำก็ปรากฏ ทำให้ประชากรกว่า 90% ของเมืองหลวงหายวับไป…”


จางเซวียนตัวสั่นขณะที่คำหนึ่งผุดขึ้นในหัว-เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย


ตำนานกล่าวไว้ว่าเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายของมิติเบื้องบนร่วงลงมาจากสรวงสวรรค์ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งปลูกสร้างภายในเมืองนั้นค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นบรรยากาศของการเสื่อมถอยอันเนื่องมาจากการกัดกร่อนของพลังจิตวิญญาณในมิติเบื้องบน ทำให้กลายเป็นดินแดนอันตรายที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน


หรือว่าเรื่องนี้จะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด?


ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ถือว่าไร้เหตุผล เพราะจางเซวียนได้เห็นหลุมศพของจอมราชันย์อมตะที่อยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมาแล้ว!


เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วน เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกับตำหนักคว้าดาวของมิติเบื้องบนมีต้นกำเนิดเดียวกัน และพวกตำหนักคว้าดาวก็มีแท่นบูชาของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย…


เป็นไปได้ไหมว่าเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดร่วงหล่นลงมาทางรอยแยกของปราการแห่งมิติ แล้วตกลงสู่มิติเบื้องบน ผู้คนส่วนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นั่นเอาชีวิตรอดมาได้และก่อร่างสร้างตัวจนเป็นตำหนักคว้าดาวขึ้นมา แต่ก็มีบางส่วนที่ร่วงลงไปจนถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ และสุดท้ายก็เป็นที่รู้จักกันในชื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็หมายความว่าบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นและตำหนักคว้าดาวคือเหล่าเทพเจ้าของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด!


เขาจะต้องศึกษาเรื่องนี้ให้ละเอียด


ถ้ามีอำนาจบางอย่างที่สามารถสังหารจอมราชันย์อมตะและผลักดันผู้คนนับไม่ถ้วนให้ผ่านปราการแห่งมิติลงมายังโลกเบื้องล่างได้ เขาก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะมันอาจเป็นภัยร้ายแรงในอนาคต


การเดินทางผ่านปราการแห่งมิติไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเคยเผชิญกับมันมาแล้ว จึงรู้ดีว่ายากเย็นขนาดไหน ต่อให้เก่งกาจระดับหลัวลั่วชิงก็ยังแทบจะเอาชีวิตไปทิ้ง!


นี่คือเรื่องที่ต้องระวังให้ดี


แต่นั่นแหละ ทุกอย่างล้วนเป็นแค่ข้อสันนิษฐาน บางทีเขาอาจได้รู้ข้อเท็จจริงหลังจากที่พบหลัวลั่วชิงหรือปรมาจารย์ขงแล้ว


“อ้อ! จริงสิ เราถามหมอนั่นได้นี่…ไอ้โหด! มีความเป็นไปได้ไหมที่เหล่าบรรพบุรุษของคุณมีสายเลือดเทพเจ้า?” จางเซวียนถาม


ไอ้โหดที่ถูกกักขังอยู่ในหนังสือเทียบฟ้าได้ติดตามเขามายังสรวงสวรรค์ด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จางเซวียนก็ได้มอบยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าให้อีกฝ่ายเพื่อที่หมอนั่นจะได้ฝึกฝนวรยุทธไปพร้อมๆกับเขา หลายวันมานี้ ไอ้โหดก็ก้าวข้ามด่านคอขวดของวรยุทธระดับเทพเจ้าและได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำแล้ว


“ผมก็ไม่รู้” ไอ้โหดตอบ “แต่หลังจากเข้าสู่สรวงสวรรค์ ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการยกระดับวรยุทธเป็นไปได้รวดเร็วกว่าแต่ก่อน ดูเหมือนทางเดินพลังปราณกับสายเลือดของผมจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้…”


ก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างเครือข่ายทางเดินพลังพลังปราณใหม่ให้จ้าวหย่า จางเซวียนได้ศึกษาเครือข่ายทางเดินพลังปราณหลายรูปแบบ ซึ่งสุดท้ายเขาก็พบว่าเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นมีข้อบกพร่องน้อยมาก


และหลังจากมาถึงสรวงสวรรค์ ก็รู้สึกทันทีว่าทางเดินพลังปราณรูปแบบดังกล่าวคล้ายคลึงกับทางเดินพลังปราณของเทพเจ้า

 

 

 


ตอนที่ 2265 ก่อการกบฏ

 

เครือข่ายทางเดินพลังปราณของเทพเจ้ามีความเชื่อมโยงกลมกลืนกับสรวงสวรรค์และธรรมชาติของโลกนานารูปแบบ ก็เพราะพื้นฐานนี้ที่ทำให้เหล่าเทพเจ้ายกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็วจนเหนือชั้นกว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตในทวีปแห่งปรมาจารย์กับมิติเบื้องบน


และก็เพราะเหตุผลเดียวกันนี้ที่ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจมีสภาวะร่างกายแข็งแกร่งเหนือชั้นแต่กำเนิดแถมมีอายุขัยยืนยาว ทำให้พวกมันได้เปรียบเผ่าพันธ์มนุษย์มาก


ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของปรมาจารย์ขง เหล่านักรบของทวีปแห่งปรมาจารย์ก็คงไม่มีวันขับไล่เผ่าพันธุ์ปีศาจกลับสู่สนามรบของพวกมันได้


จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “ถ้าคุณยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วกว่าเดิมหลังจากมาถึงที่นี่…จะเป็นไปได้ไหมว่าเหล่าบรรพบุรุษของคุณประสบปัญหาเดียวกันกับฝงจิ่วเกอ จึงทำให้ระดับวรยุทธถดถอยลงไปตามกาลเวลา?”


ถ้าวรยุทธของฝงจิ่วเกอถดถอยเพราะเขาได้สัมผัสใกล้ชิดกับบางอย่างในหลุมดำ บางทีประชากรดั้งเดิมของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็อาจประสบปัญหาเดียวกัน วรยุทธของพวกเขาถดถอยลงไปเรื่อยๆ จากนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ พวกเขาร่วงลงไปจนเป็นนักรบอมตะขั้นสูง, อมตะตัวจริง, เสมือนอมตะ, นักปราชญ์โบราณ, นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่, นักรบระดับเซียน…


“เอ่อ…เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ” ไอ้โหดตอบ


“ผมคิดว่าคงต้องหาทางเข้าสู่หลุมดำให้ได้เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้” จางเซวียนพึมพำ


เมื่อตัดสินใจแล้ว เขาเงยหน้ามองฝงจิ่วเกอ “คุณพาผมไปยังสถานที่ที่คุณพูดถึงเมื่อครู่นี้ได้ไหม?”


“ฮะ?” ฝงจิ่วเกอลังเล


ที่นั่นอันตรายมาก ต่อให้ตัวเขามีพละกำลังอย่างที่มีอยู่ในเวลานี้ ก็ยังไม่มั่นใจหากต้องเข้าใกล้หลุมดำ


“อย่าห่วงน่ะ เราถอยได้ทันทีหากพบบางสิ่งที่เป็นอันตราย อีกอย่าง สภาวะของคุณก็ค่อนข้างประหลาด ผมกำจัดบางสิ่งที่อยู่ในร่างกายของคุณออกไปแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้มันดูดกลืนพลังงานของคุณอีก แต่การหวนกลับมาใหม่ก็อาจเป็นไปได้ ถ้าคุณอยากหายขาดจากอาการป่วยนี้ เราต้องเดินทางไปที่นั่น ไปยังจุดเริ่มต้นของมันและขุดรากถอนโคนให้สิ้นซาก” จางเซวียนพูด


เขารู้ดีว่าถึงอย่างไรก็ต้องไปเห็นหลุมดำกับตาให้ได้ แต่ฝงจิ่วเกอยังลังเล จึงแสดงทีท่าแบบนั้นออกมา


ซึ่งหากจะพูดกันตามตรง จางเซวียนก็ไม่ได้โกหก เพราะจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่ากลุ่มพลังงานสีเทานั้นคืออะไร หากยังไม่อาจล้วงลึกถึงก้นบึ้งของปัญหา ก็คงยืนยันไม่ได้ว่ากลุ่มพลังงานสีเทานั้นจะไม่กลับมาสร้างความเดือดร้อนให้ฝงจิ่วเกออีก


“ก็ได้ ผมจะพาคุณไปที่นั่น…” ฝงจิ่วเกอกัดริมฝีปากขณะตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “แต่ในการเข้าสู่หลุมดำ คุณจะต้องมีของบางอย่าง ซึ่งของชิ้นนั้นมีอยู่เฉพาะในตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ผมต้องกลับตระกูลเพื่อไปนำมันมา”


“ของ?” จางเซวียนทวนคำ


“หลุมดำเต็มไปด้วยอันตราย แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ไม่อาจลงไปสำรวจก้นบึ้งของมันได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดต่างๆที่อาจเกิดขึ้น สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจึงทุ่มเทพลังงานมหาศาลเพื่อปิดกั้นเส้นทางไว้ มีแต่ผู้ที่มีตราสัญลักษณ์ของพวกเขาเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้” ฝงจิ่วเกอตอบ “หากไม่มีตราสัญลักษณ์ ต่อให้คุณไปยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าหลุมดำ ก็ไม่มีวันได้เข้าไปในนั้น”


จางเซวียนพยักหน้า


แม้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตัวเขาจะยกระดับวรยุทธได้อีกมาก แต่การจะฝ่าค่ายกลที่เป็นฝีมือของสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ยังคงเป็นเรื่องยาก


แทนที่จะสร้างปัญหา คงจะง่ายกว่ากันเยอะหากเขาตามฝงจิ่วเกอกลับไปที่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ปลอมตัวเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟไปแล้ว คงดูน่าเชื่อถือขึ้นอีกมากหากมีฝงจิ่วเกอไปด้วย


หลังจากตัดสินใจแม่นมั่น ทั้งคู่รีบออกจากโรงเตี๊ยมและเดินกลับไปยังคฤหาสน์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


…..


“คุณยังดื้อด้านไม่ยอมไปอีก? ต้องให้พวกเราเชิญฝงเชากับฝงเชียงออกมาอีกรอบหรือไงถึงจะยอมไป?”


เห็นชายหนุ่มที่เพิ่งถูกขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมากลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง สององครักษ์ที่ยืนอารักขาบริเวณประตูทางเข้าขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด


“คุณก็พูดถูกนะ ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไม่ไปไหน เรียกฝงเชากับฝงเชียงออกมาพบผมด้วย”


ฝงจิ่วเกอตอบอย่างวางมาด ความมั่นใจของเขากลับคืนมาพร้อมกับวรยุทธ


“คุณกำลังทำให้ตัวเองเดือดร้อนนะ” องครักษ์คนหนึ่งคำรามก่อนจะผลุบเข้าไปในคฤหาสน์


ไม่ช้า ฝงเชากับฝงเชียง สองหนุ่มที่เหยียดหยามฝงจิ่วเกอเมื่อครู่ก็เดินออกมา


ฝงเชาคำรามขณะชี้หน้าฝงจิ่วเกอ “กำลังสงสัยอยู่พอดีว่าใครมาขอพบพวกเรา ที่แท้ก็ขยะของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ! ถูกซ้อมเมื่อกี้ยังไม่หนำใจหรือไง? หรืออยากโดนอีก…”


ตั้งแต่วรยุทธของฝงจิ่วเกอเริ่มถดถอย เขาก็กลายเป็นกระสอบทรายให้ฝงเชากับฝงเชียงระบายอารมณ์ได้ตามใจ


พลั่ก!


แต่ยังไม่ทันที่ฝงเชาจะพูดจบ ก็ถูกสอยกระเด็นไปอัดกับประตูคฤหาสน์ แรงกระแทกทำให้เขาหน้าซีดและกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา


“คุณพูดถูก ถูกซ้อมเมื่อกี้น่ะยังไม่หนำใจ แต่คราวนี้เราจะสลับที่กัน!” ฝงจิ่วเกอคำรามขณะพุ่งเข้าใส่ฝงเชียง


“คุณ…”


ฝงเชียงนึกไม่ถึงว่าเจ้าขยะที่ถูกเขากลั่นแกล้งรังแกตลอด 2 ปีที่ผ่านมาจะสอยพี่ชายของเขากระเด็นด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว เมื่อรู้แล้วว่าฝงจิ่วเกอน่าจะได้วรยุทธกลับคืนมาดังเดิม ก็ถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว


แต่น่าเสียดายที่ความเร็วของเขาไม่ใกล้เคียงกับฝงจิ่วเกอ เสียงตบเพียะดังขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้หลบ


เพียะ!


ฝงเชียงผู้โอหังทรุดลงไปกองกับพื้น ฟันร่วงกราว


“ฝงจิ่วเกอ คุณได้พละกำลังกลับคืนมาแล้วหรือ? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้…เดี๋ยวก่อน คุณจะทำอะไรน่ะ?”


ฝงเชาที่เพิ่งได้สติอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อขณะค่อยๆล่าถอยอย่างพรั่นพรึง


เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ชายผู้นี้คือทายาทรุ่นเยาว์ที่ทุกคนให้ความเคารพยกย่อง แต่เมื่อเขาร่วงหล่นจากความรุ่งโรจน์ ผู้ที่เคยอิจฉาเขาก็ถือโอกาสนี้ซ้ำเติมเขาอย่างหนัก แม้แต่ผู้ที่เคยสนิทสนมกับเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


ทุกคนคิดว่ายุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของฝงจิ่วเกอผ่านพ้นไปนานแล้ว และอีกฝ่ายคงไม่มีวันหวนคืนสู่สังเวียนได้อีก ใครจะไปรู้ว่าผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียว ไม่เพียงแต่ฝงจิ่วเกอจะได้วรยุทธกลับคืนมา ยังแถมทรงพลังกว่าเดิมด้วย!


“ผมจะทำอะไรน่ะหรือ? ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เก็บเศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีที่ถูกปล้นไป” ฝงจิ่วเกอตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบขณะมองฝงเชาอย่างอาฆาต


กว่าเขาจะหวนคืนกลับมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นธรรมดาที่สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือเอาคืนผู้ที่เคยย่ำยีเขาอย่างสาสม เขาจะทำให้คนเหล่านั้นรู้ว่าคิดผิดที่มายุ่งกับคนอย่างเขา!


ชายที่เคยถูกทรยศและถูกย่ำยีอย่างโหดร้ายกำลังกลับมาล้างแค้น!


เห็นรังสีของฝงจิ่วเกอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฝงเชียงกัดฟันและตวาดก้อง “คุณ…คุณไม่มีสายเลือดของพวกเราแล้ว แถมยังถูกขับออกจากตระกูล! ถ้าคุณกล้าเล่นงานพวกเราล่ะก็ ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟจะต้องลงโทษคุณอย่างหนักแน่!”


ต่อให้ฝงจิ่วเกอได้วรยุทธของเขาคืนมา ก็แล้วอย่างไร?


เมื่อครู่นี้ ตอนที่พวกเขาตรวจสอบสายเลือดของฝงจิ่วเกอ ก็พบว่ามันเหือดหายไปเกือบหมดแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายได้วรยุทธกลับคืนมา แต่หากปราศจากสายเลือด ก็ไม่มีทางได้การยอมรับให้กลับเข้าสู่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟในฐานะสมาชิกสายหลัก


สิ่งนี้จะทำให้เขาไม่ต่างอะไรกับนักรบพเนจร เมื่อมีทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธในปริมาณจำกัด โอกาสการประสบความสำเร็จในอนาคตก็มีจำกัดตามไปด้วย


วรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้าจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่เขาไม่มีวันก้าวข้ามได้สำเร็จ!


“เอ่อ…”


คำนั้นทำให้ฝงจิ่วเกอยืนอึ้ง


ฝงเชากับฝงเชียงพูดถูก การที่สายเลือดของใครสักคนจะหายวับไปแบบนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน แต่นั่นคือผลการทดสอบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้จริงๆ


เกรงว่าจะทำให้ท่านอาจารย์ของเขาต้องยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ฝงจิ่วเกอหันไปมองจางเซวียนอย่างลังเล เห็นอีกฝ่ายพูดยิ้มๆ


“ในเมื่อคุณได้วรยุทธกลับคืนมาแล้ว สายเลือดก็ย่อมกลับคืนมาเช่นกัน อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมอยู่ตรงนี้”


เท่าที่จางเซวียนรู้ กลุ่มพลังงานสีเทาภายในร่างของฝงจิ่วเกอจะกลืนกินเฉพาะพลังปราณของเขาเท่านั้น ไม่ได้ออกฤทธิ์ปรับเปลี่ยนสายเลือด และเป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ไม่อาจสัมผัสได้ถึงสายเลือดของเขาก็เพราะมันถูกกดข่มไว้


แต่ตอนนี้ เมื่อกลุ่มพลังงานสีเทาสลายตัวไปแล้ว เขาก็น่าจะได้สายเลือดกลับคืนมา ยิ่งไปกว่านั้น ทางเดินพลังปราณของฝงจิ่วเกอยังได้รับการชำระล้างจากพลังปราณเทียบฟ้าด้วย จึงน่าจะบริสุทธิ์กว่าเมื่อก่อนเสียอีก!


“ขอบคุณมาก” ฝงจิ่วเกอพูดอย่างซาบซึ้งก่อนจะหันกลับไปมองคฤหาสน์


เขาไม่แน่ใจว่าสายเลือดของเขากลับคืนมาหรือยัง แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็จะไม่มีวันลืมหนี้บุญคุณที่เขาติดค้างท่านอาจารย์ไว้โดยเด็ดขาด


ฝงจิ่วเกอไม่แยแสฝงเชากับฝงเชียงที่นอนหมดสภาพ ตัวเขากับจางเซวียนเดินผ่านประตูเข้าไปในลานบ้าน ครู่ต่อมา คนกลุ่มหนึ่งก็รี่เข้ามาตีวงล้อมพวกเขา


ดูเหมือนข่าวที่ฝงจิ่วเกอได้วรยุทธกลับคืนมาและทำร้ายสมาชิกในตระกูลจนได้รับบาดเจ็บบริเวณประตูทางเข้าได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งคฤหาสน์แล้ว


ถือว่าตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟไร้เทียมทานมากที่รวบรวมกำลังพลได้มากขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่สิบวินาที สมกับที่เป็นผู้นำของสามตระกูลใหญ่!


“จิ่วเกอ คุณถูกขับออกจากตระกูลแล้ว กล้าดีอย่างไรถึงบุกเข้ามาที่นี่และทำร้ายสมาชิกสายหลักของพวกเราจนได้รับบาดเจ็บ คิดจะก่อการกบฏหรือ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งคำรามกร้าว


ฝงจิ่วเกอในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับคนนอกสำหรับตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ การที่คนนอกรุกล้ำเข้ามาในอาณาบริเวณของพวกเขาถือเป็นความพยายามท้าทายและสบประมาทอำนาจของตระกูล


“แหม! ฝงเจียง คุณก็รีบตั้งข้อหาให้ผมเหลือเกิน! ผมเชื่อว่าการทดสอบสายเลือดเมื่อครู่นี้น่ะไม่แม่นยำ จึงกลับมาที่นี่เพื่อทดสอบอีกครั้ง” ฝงจิ่วเกอตอบหน้าตาเฉย “ขอแค่ผมผ่านการทดสอบ ก็จะยังมีสถานภาพเป็นสมาชิกสายหลักของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟอยู่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น การดวลระหว่างสมาชิกรุ่นเดียวกันย่อมไม่ถือเป็นการก่อการกบฏ ถูกไหม?”


คำพูดนั้นทำให้ฝงเจียงขมวดคิ้ว เขาพินิจพิจารณาฝงจิ่วเกออย่างถี่ถ้วน


ผ่านไปเพียง 1 ชั่วโมง รังสีของอีกฝ่ายแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันดูมั่นคงและไม่อาจถูกทำลายได้โดยง่าย ตอนนี้ฝงจิ่วเกอเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดเหมือนกับตัวเขา


ที่สำคัญกว่านั้น ทีท่าวางมาดและเปี่ยมด้วยความมั่นใจของอีกฝ่ายยังไม่ต่างอะไรกับเมื่อ 2 ปีก่อน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)