กระบี่จงมา 226.1-226.2
บทที่ 226.1 ในกล่องมีกระบี่สองเล่ม กำจัดปีศาจปราบมาร
โดย
ProjectZyphon
ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมเงียบสงบตลอดทั้งคืน
เฉินผิงอันอาศัยอยู่ในห้องสุดปลายระเบียงเพียงลำพัง ก่อนจะเข้านอนเขาฝึกท่าเดินนิ่งหกเก้าและท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอย่างละหนึ่งชั่วยาม สุดท้ายหยิบถ้วยกระเบื้องที่วาดภาพของห้าขุนเขา รวมไปถึงไม้สีดำเหมือนถ่านชิ้นนั้นออกมาพลิกดู ตั้งใจศึกษาอย่างละเอียดอยู่นานก็ยังมองสายสนกลในอะไรไม่ออก
หวังว่าของทั้งสองชิ้นนี้จะมูลค่ามากถึงหนึ่งหรือสองร้อยเงินเกล็ดหิมะ เฉินผิงอันเก็บไม้สีดำที่หนักอึ้งลงไป รินเหล้าต้มพื้นเมืองรสร้อนแรงจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงไปในถ้วยขาวใบเล็ก จากนั้นก็พลิกเปิดตำราท่องเที่ยวสองเล่มที่หลิวเกาหวามอบให้อ่านอยู่ใต้แสงไฟ คอยจิบเหล้าคำเล็กๆ เป็นระยะ ดื่มได้อย่างมีรสมีชาติ
หลังจากดับไฟขึ้นเตียง เฉินผิงอันหลับตาลงแล้วเริ่มหวนนึกถึงการต่อสู้บนถนนเส้นเล็กกับหม่าขู่เสวียน ทบทวนประโยชน์และผลเสียของทุกหมัดที่ตัวเองปล่อยไป กระบวนท่าหมัดทั้งหลายที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้าถ่ายทอดให้ ตอนนั้นเฉินผิงอันมีหรือจะกล้ากั๊กเอาไว้ ท่ามกลางการต่อสู้ที่เอาจริงเอาจัง ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกเมื่อ เขาก็ได้แต่ปล่อยฝีมือทั้งหมดออกไป และเมื่อปล่อยหมัดที่อยู่ในกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบออกไปหลายครั้งก็ทำให้ตระหนักได้ถึงสัจธรรมของหมัดที่ลึกล้ำไปอีกระดับหนึ่ง ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าไปได้แค่สิบห้าหมัดเท่านั้น ลางสังหรณ์บอกกับเฉินผิงอันว่าหากตนสามารถปล่อยหมัดได้ยี่สิบหมัดในรวดเดียว ก็จะเหมือนกับตอนที่เล่นงานบัณฑิตปีศาจต้นไม้สวมเสื้อเกราะกวางหมิงในบ้านโบราณซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าหม่าขู่เสวียนจะต้องยอมแพ้ตั้งแต่เนิ่นๆ
แต่ว่าเฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ากระบวนท่าที่ทำให้หม่าขู่เสวียนเข้าใจว่าตัวเองจะเอาชนะได้อย่างหวุดหวิดก็คือการเลือกที่ดีที่สุดในเวลานั้น
เพียงแต่การที่เขาพอจะสู้กับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของภูเขาเจินอู่ผู้นี้ได้อย่างสูสี อันที่จริงแล้วเฉินผิงอันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนอกเหนือไปจากรู้ว่าแพ้หรือชนะ หนึ่งเพราะเขาไม่รู้ถึงความหมายของการที่หม่าขู่เสวียนฝ่าขอบเขตได้สามขั้นในเวลาเพียงแค่หนึ่งปี สองเพราะหม่าขู่เสวียนเกลียดชังเฉินผิงอันจากตรอกหนีผิง แล้วเฉินผิงอันจะไม่รำคาญคนวัยเดียวกันจากตรอกซิ่งฮวาคนนี้ได้อย่างไร
ระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั้น โชควาสนาเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างแท้จริง คนบางคนแค่มองไปก็เกิดความรู้สึกอันดีได้ เหมือนเขาเป็นแสงอาทิตย์ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ยกตัวอย่างเช่นคนอย่างอาจารย์ฉี หลี่ซีเซิ่งและจางซานเฟิง คนบางคนแค่มองไปกลับเหมือนดวงตะวันในฤดูร้อนแผดเผา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แสบตา ก็เหมือนกับหม่าขู่เสวียน ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า สตรีแต่งงานแล้วแซ่สวี่แห่งนครลมเย็น
ความคิดสุดท้ายก่อนที่เฉินผิงอันจะหลับไปก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้น่าจะเป็นกระบวนท่าหมัดที่เป็นดั่งสมบัติใต้กรุของตนในเวลานี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากสามารถต่อยได้ห้าสิบหมัดหรือหนึ่งร้อยหมัดในรวดเดียว จะสามารถต่อยแม่น้ำสายใหญ่ให้ขาดครึ่งท่อน บุกเบิกให้เกิดเส้นทางสายหนึ่งได้หรือเปล่า? ภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งจะถูกผ่าจนเกิดเป็นหุบแคบๆ แห่งหนึ่งหรือเปล่า?
ฟ้าเริ่มสว่าง เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นมาฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้อง ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็ได้ยินว่ามีเสียงคนท่องหนังสือดังมาจากในลานบ้านที่มีภูเขาจำลองและต้นไม้เขียวขจี เป็นเสียงของบัณฑิตแซ่หลิ่วคนนั้น ฟังดูแล้วมีท่วงทำนองของคนที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างยากลำบาก น้ำเสียงเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำเสนาะหู เนื้อหาที่อ่านล้วนเป็นคำสอนของอริยะ
เฉินผิงอันฝึกหมัดของตัวเองต่อไป แล้วก็เป็นดังคาด เพียงไม่นานก็มีคนที่มาเข้าพักในห้องต่างๆ ของโรงเตี๊ยมเริ่มสบถด่าเสียงดัง จอมยุทธ์ที่นิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหบางคนลงจากเตียงทั้งที่ร่างเปลือยเปล่า หยิบจอกเหล้าหรือไม่ก็ถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นได้ก็ผลักหน้าต่างเปิดอ้าแล้วขว้างลงไป ไก่บินหมากระโดดโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด บัณฑิตแซ่หลิ่วคนนั้นก็เริ่มโมโหแล้วเหมือนกัน เขากระโดดหลบไปทั่วสี่ทิศ เสียงที่อ่านคัมภีร์ของนักปราชญ์ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ยิ่งทำให้ผู้คนเดือดดาล แขกบางคนที่ใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะก็แล้วแต่ยังไม่มีประโยชน์ต่างก็ลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าพลางด่าทอไปด้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นมาทักทายกับบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของบัณฑิตแซ่หลิ่วตรงข้างหน้าต่าง
บัณฑิตหนุ่มง่วนอยู่กับการหลบอาวุธลับ แต่ปากก็ยังไม่ลืมด่ากลับไปด้วย เป็นภาพที่อลหม่านเละเทะ หมดสิ้นซึ่งภาพลักษณ์ของสุภาพชน
หนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันกับชายฉกรรจ์เคราดกก็มานั่งอยู่ในห้องของจางซานเฟิง นักพรตหนุ่มกำลังช่วยทำแผลที่ศีรษะให้กับบัณฑิตแซ่หลิ่ว
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเพิ่งเดินหน้าดำคร่ำเครียดออกไป เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห มาเจอกับแขกสารเลวที่แยกแยะถูกผิดไม่ออกเช่นนี้ แถมจะตีจะด่าก็ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นแขกผู้มีเกียรติที่บุตรชายของเจ้าเมืองเป็นคนพามา คนใบ้กินหวงเหลียน (หวงเหลียนคือสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีนที่ขมมาก คนใบ้กินหวงเหลียนจึงเปรียบเปรยถึงว่าขมก็พูดไม่ออก มีความทุกข์ใจก็ยากจะบอกแก่ผู้อื่น) มันช่างน่าอัดอั้นตันใจจริงๆ ปัญหาก็คือคนที่มาพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต่างก็มีฐานะไม่ธรรมดา หากไม่ใช่พ่อค้าของแต่ละพื้นที่ที่ตรงเอวรัดเงินหมื่นกว้าน ก็เป็นพวกจอมยุทธ์ที่ท่องอยู่ในยุทธภพ ทุกคนล้วนเป็นมังกรข้ามแม่น้ำที่ไม่อาจดูถูกได้ พวกเขาต้องมาถูกบัณฑิตผู้นี้ก่อกวนตั้งแต่เช้า วันหน้าตนจะยังทำอาชีพนี้ต่อได้อย่างไร? พวกเขาจะกลับมาเป็นลูกค้าประจำของตนอีกหรือไม่?
บัณฑิตแซ่หลิ่วมีชื่อว่าหลิ่วชื่อเฉิง เป็นคนจากแคว้นป๋ายซาน ตอนที่บัณฑิตแนะนำบ้านเกิดของตัวเอง เขาเน้นย้ำคำว่า ‘อยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหู’ ราวกับว่าเป็นคำกล่าวที่มีเกียรติยิ่งกว่าชื่อต่อท้ายของสกุลเฉินแห่งหลงเหว่ยซีซะอีก
หลังจากนั้นพวกเขาที่อยู่ในโรงเตี๊ยมก็ว่างงานไม่มีอะไรทำ หลิ่วชื่อเฉิงยังแอบออกไปข้างนอก ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต้องแอบไปพลอดรักกับพี่สาวของหลิวเกาหวา ชายฉกรรจ์เคราดกพาเฉินผิงอันกับจางซานเฟิงไปยังโบราณสถานที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ ในเมือง ศาลบุ๋นบู๊คือสถานที่ที่ต้องไปอย่างแน่นอน จุดศูนย์รวมอย่างศาลเทพอภิบาลเมืองก็ยิ่งต้องไป ระหว่างทางที่กลับมาสีหน้าของสวีหย่วนเสียอึมครึม จางซานเฟิงถามว่าเป็นอะไร เขาก็ตอบแค่ว่าเหนื่อยกับการเดินทาง
การลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนเพื่อเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ นักพรตจางซานเฟิงต้องการเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่า จึงเดินทางร่วมกับเฉินผิงอัน ส่วนชายฉกรรจ์เคราดกต้องการเดินทางไปแคว้นชิงหลวนที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ บอกว่าจะนำของชิ้นหนึ่งไปส่งให้กับสหาย สหายคนนั้นเขารู้จักในยุทธภพ ถูกชะตากันมาก เลยร่วมเดินทางกับพวกเขาสองคนชั่วคราว ส่วนข้อที่ว่าทั้งสองฝ่ายจะแยกย้ายกันตอนไหนก็ต้องดูที่ทิศทางการมุ่งไปของเรือซึ่งจะจอดตรงท่าเรือของตระกูลเซียน
อยู่ในเมืองแยนจือสามวันเต็มก็ยังไม่เจอกับเซียนซือแก่และเด็กของสำนักโองการเทพที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ กลับกลายเป็นว่าเจอกับหญิงชราของบ้านโบราณแทน นางตามหาจวนเจ้าเมืองมาตลอดทางจนกระทั่งได้เจอกับหลิวเกาหวา จากนั้นหลิวเกาหวาก็พามาที่โรงเตี๊ยม นางนำข่าวดีมาบอกกับทุกคน ที่แท้ไม่รู้ว่าทำไมโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำที่อยู่รอบบ้านโบราณถึงเหมือนฟ้าดินพลิกตลบ เหมือนโลกหมุนกลับ ปราณสกปรกขุ่นมัวกลายเป็นปราณที่ใสสะอาด ตอนนี้ไม่เพียงแต่นายหญิงของบ้านที่ไม่ต้องกังวลกับโรคร้ายซึ่งจะตามมาภายหลัง ไม่ต้องกังวลว่าจะกลายไปเป็นผีร้าย กล้ามเนื้อทั่วร่างกายก็เริ่มหายดี และหลังจากร่างของผีชางหยางหว่างได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงไปด้วย จิตวิญญาณของเจ้าบ้านฝ่ายชายก็เริ่มดีขึ้น ขอบเขตค่อยๆ ไต่ทะยานขึ้นสูง ถึงขั้นมีความหวังว่าจะฝ่าห้าขอบเขตกลางไปได้ เรียกได้ว่ามีแต่เรื่องดีๆ มาเยือน
ส่วนต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ หญิงชราได้แต่เดาเอาว่าเป็นบุรพาจารย์บางท่านของสำนักโองการเทพลงมือช่วยเหลืออย่างลับๆ
เฉินผิงอันรับฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะตะลึงพรึงเพริดอย่างหนัก แต่สีหน้ากลับเป็นปกติ
ก่อนที่หญิงชราจะจากไปได้บอกว่าตัวเองนำเหล้าดีๆ ไหหนึ่งที่ซื้อระหว่างทางมาฝากเฉินผิงอันด้วย คนทั้งสองจึงพากันกลับไปที่ห้องของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันเพิ่งจะปิดประตูลง หญิงชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นก็เตรียมจะคุกเข่า ทำเอาเฉินผิงอันตกใจรีบเข้าไปประคองนาง ให้ตายก็ไม่ยอมรับการคารวะใหญ่นี้ เพราะครั้งที่เฉินผิงอันกรอกเหล้าใส่น้ำเต้าตอนอยู่ในห้องครัว เขาจงใจเปิดเผยความลับบางอย่าง หญิงชราจึงพอจะรู้ความนัยของเหตุการณ์ในครั้งนี้ และการที่นางคาดเดาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หญิงชราไม่ได้ถามอะไรมาก เฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เพียงแต่ว่าก่อนจะจากไป หญิงชราควักของสิ่งหนึ่งที่ใช้ผ้าไหมห่อออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังพลางอธิบายเบาๆ ว่า “ร่างทองของเทพภูเขาเถื่อนแซ่ฉินแหลกสลาย นับแต่นี้ไปบนโลกไม่มีองค์เทพที่ทำลายชะตาของภูเขาและแม่น้ำในแถบหนึ่งผู้นี้อีกแล้ว แน่นอนว่านี่คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ตอนนั้นพอนายท่านของข้าได้ยินข่าวก็รีบไปที่ศาลทันที เขาแอบขโมยเศษชิ้นส่วนทองคำส่วนใหญ่ของเทพภูเขาแซ่ฉินมาก่อนที่เซียนซือจากสำนักโองการเทพกลุ่มนั้นจะไปถึง นับรวมๆ กันแล้วได้ประมาณแปดชิ้น ตามคำบอกของนายท่าน ชิ้นส่วนที่เหลือจากร่างของของเทพภูเขาเถื่อนไม่ควรมีมากขนาดนี้ คิดดูแล้วคงเป็นเพราะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่คนแซ่ฉินได้รับโชควาสนาบางอย่างที่แปลกประหลาด ไม่ว่าอย่างไร เศษชิ้นส่วนร่างทองเหล่านี้ล้วนถือเป็นของดี ได้แค่ปรารถนาแต่ไม่อาจได้มาครอบครอง ต่อให้เป็นในคลังสมบัติลับของราชวงศ์แห่งหนึ่งก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีสะสมไว้มากขนาดนี้ คุณชายเฉินแค่เก็บเอาไว้ก็พอ ถือว่านี่เป็นการตอบแทนจากพวกข้านายบ่าวสามคน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หญิงชราก็ตาแดงก่ำอีกครั้ง “อันที่จริงพระคุณยิ่งใหญ่ของคุณชาย เศษชิ้นส่วนร่างทองไม่กี่ชิ้นนี้จะตอบแทนพอได้อย่างไร เพียงแต่ว่าตอนนี้บ้านโบราณไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเหลือแล้ว ฮูหยินของข้าจึงตั้งป้ายบูชาให้กับคุณชายที่ยังมีชีวิตอยู่ วันหน้าหากคุณชายเดินทางผ่านแคว้นไฉ่อี ได้โปรดแวะไปที่บ้านให้ได้…”
เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ
สุดท้ายหญิงชรากระซิบว่า “ตอนนี้ฮูหยินเท่ากับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นทางการ นางมองภาพปรากฎการณ์ของเมืองแยนจืออยู่ไกลๆ พบว่าสองวันมานี้มักจะมีปราณสกปรกเป็นกลุ่มๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ นี่ทำให้จิตใจของฮูหยินไม่เป็นสุข หวังว่าคุณชายจะรีบออกไปจากเมืองในเร็ววัน ไม่ว่าคุณชายจะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่นายท่านมักจะพูดเป็นประจำว่า บนเส้นทางของการฝึกตน หากระมัดระวังก็ขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยทุกเรื่อง ต่อให้ในแต่ละครั้งจะแค่น่าตกใจ ทว่าไร้อันตราย แต่นั่นย่อมถ่วงเวลาของการฝึกตนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ดี…”
เฉินผิงอันรับปากอย่างไม่ลังเล
จากนั้นเขาก็เดินมาส่งหญิงชราที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม หญิงชราเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ขอให้คุณชายชายเดินทางไกลได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย”
ตั้งแต่ต้นจนถึงจบ หญิงชราไม่มองน้ำเต้าสีชาดตรงเอวของเฉินผิงอันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เฉินผิงอันมองเงาร่างของหญิงชราที่หายไปท่ามกลางฝูงชน ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ กลับไปที่ห้องของชายฉกรรจ์เคราดก ตะโกนเรียกจางซานเฟิงมาด้วย จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องเหตุการณ์ประหลาดในเมืองแยนจือที่หญิงชราค้นพบให้คนทั้งสองฟังคร่าวๆ ชายฉกรรจ์จับด้ามดาบที่ห้อยเอว พยักหน้ากล่าวว่า “นี่ก็เป็นจุดที่ข้ากังวลมากที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกพวกเจ้าก็เพราะกลัวว่าคนหนุ่มอย่างพวกเจ้าจะหัวร้อน รั้นจะเหยียบลงไปในบ่อน้ำขุ่นบ่อนี้ให้ได้ หากเป็นฝีมือของภูตผีปีศาจที่มาก่อกวน ในเมื่อกล้ากระทำการชั่วร้ายในเมืองโดยไม่เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามท่านในศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลเจ้าบุ๋นบู๊อยู่ในสายตา แสดงว่าต้องเป็นปีศาจใหญ่ที่ร้ายกาจมาก ด้วยตบะของพวกเจ้าและข้าสามคน คาดว่าคงไม่พอจะยัดร่องฟันของคนอื่นเขาด้วยซ้ำ แต่ว่าในเมืองที่มีพื้นที่กว้างขวางขนาดนี้มักจะเป็นพื้นที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบเสมอ อีกทั้งยังต้องมียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์ หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ อาศัยชัยภูมิที่เป็นดั่งฟ้าอำนวยดินอวยพร ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่ชนะ จะว่าไปแล้วก็ยังต้องดูว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับบนภูเขาของแคว้นไฉ่อีเป็นอย่างไร”
เฉินผิงอันถาม “เทพวารีและเทพขุนเขาที่อยู่ใกล้กับเมืองแยนจือมากที่สุดอยู่ห่างออกไปเท่าไหร่? หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ พวกเขาจะสามารถมาถึงได้ทันเวลาหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ใช้เวลาในการคิดคำนวณอยู่ชั่วขณะ “เทพแม่น้ำอยู่ห่างจากที่นี่สามร้อยลี้ องค์เทพขุนเขาใต้ห่างไปประมาณเจ็ดร้อยลี้ เพียงแต่ว่าเทพภูเขาของแคว้นไฉ่อีมีตบะไม่สูงมากนัก ถึงอย่างไรขอบเขตพื้นที่ก็เล็กเกินไป เทียบกับราชวงศ์ที่มีพื้นที่กว้างขวางไม่ติด เกรงว่าอย่างมากที่สุดก็เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตในห้าขอบเขตกลางเท่านั้น”
จางซานเฟิงขมวดคิ้ว “ถ้าหากออกมาจากขอบเขตขุนเขาของตัวเอง พลังการต่อสู้ก็ไม่ลดลงมาจนเหลือเท่ากับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่ห้าเท่านั้นหรอกหรือ?”
สวีหย่วนเสียกล่าวอย่างจนใจ “กฎเกณฑ์ของฟ้าดินเป็นแบบนี้ ช่วยไม่ได้”
จางซานเฟิงเอ่ยถาม “บอกบิดาของหลิวเกาหวาสักคำได้หรือไม่ จะดีจะชั่วเขาก็เป็นเจ้าเมือง แม่ทัพหม่าที่มาปักหลักอยู่ใกล้กับเมืองก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนคนที่ฝึกตน หากมีการเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ภูตผีปีศาจที่แฝงตัวมาก่อความวุ่นวายอย่างลับๆ ยอมถอยออกไปเมื่อรู้ว่าอาจต้องเจอกับความยากลำบาก”
สวีหย่วนเสียถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าข่มขู่พวกเจ้า แล้วก็ไม่ใช่ว่าข้าผู้แซ่สวีรักตัวกลัวตาย เรื่องนี้รับมือได้ยากมาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนของเมืองจะเชื่อหรือไม่ ต่อให้เจ้าเมืองและแม่ทัพต่างก็เชื่อ ยินดีเสี่ยงให้หมวกขุนนางหลุดออกจากหัวเพราะรายงานข่าวเท็จ นำข่าวนี้ไปแจ้งทางราชสำนักอย่างเร่งด่วน ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ส่งข่าวจากเมืองนี้ไปยังเมืองหลวงแคว้นไฉ่อี ไปถึงการตรวจสอบของที่ว่าการหกกรม กว่าจะนำไปปรึกษาและตัดสินใจในห้องทรงพระอักษร สุดท้ายกว่าทางราชสำนักจะออกพระราชโองการ ออกคำสั่งลับให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและขุนเขามาให้ความช่วยเหลือ ระหว่างนี้ต้องเสียเวลาไปมากเท่าไหร่? ถอยไปพูดอีกก้าว เมื่อมีพระราชโองการออกมา ผู้ฝึกลมปราณที่อยู่ใกล้เคียง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและขุนเขาต่างก็ออกจากพื้นที่ของตัวเอง หากข่าวนี้แพร่งพรายออกไป คนที่อยู่ในเมืองลงมือเล่นงานภูตผีปีศาจที่มีตบะลึกล้ำก่อนกำหนด สร้างความแตกตื่นตกใจให้ผู้คนเสร็จแล้วก็จากไป ถ้าอย่างนั้นพอถึงท้ายที่สุด ได้เวลาคิดบัญชีแก้แค้น ใครที่ต้องเป็นคนจ่ายหนี้?”
สวีหย่วนเสียชี้ไปยังนักพรตหนุ่มและเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ถึงเวลานั้นพวกเราสามคนจะต้องถูกมองเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับปีศาจ? บุคคลที่จะร้องเรียนพวกเรา หากไม่ใช่เจ้าเมืองหลิวก็ต้องเป็นแม่ทัพหม่าผู้นั้น ผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือปีศาจตนนั้นมีแผนการอย่างอื่นมาตั้งแต่แรกแล้ว คิดอยากจะล่อเสือออกจากถ้ำ ถึงเวลานั้นทางฝ่ายของพวกเราคลื่นลมสงบ แต่ตระกูลเซียนบางแห่งหรือไม่ก็เมืองใหญ่ของเขตการปกครองแห่งอื่นอาจจะพลิกแผ่นดินตามหาตัวพวกเรา เกรงว่าพวกเราสามคนไม่ต้องรอให้คนอื่นเปิดโปงก็กลายมาเป็นโจรร้ายที่ต้องฆ่าสถานเดียวของแคว้นไฉ่อีไปแล้ว”
นักพรตจางซานเฟิงสีหน้าอึ้งงัน รู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
สวีหย่วนเสียรินเหล้าหนึ่งจอก กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “อย่าได้รู้สึกว่าข้ากำลังแสร้งข่มขู่ให้พวกเจ้าหวาดกลัว เรื่องที่ทำให้คนอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตาแบบนี้ ข้าไม่เพียงแต่เคยเห็นมากับตาตัวเอง แต่ยังเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาก่อน เพื่อนของข้าหลายคนต้องตายก็เพราะคำว่า ‘หวังดี’ …”
สวีหย่วนเสียชี้ไปยังห่อสัมภาระที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “รายละเอียดข้าคงไม่พูดถึงแล้ว เอาเป็นว่าเพื่อนสี่คน สุดท้ายเหลือแค่ข้าสวีหย่วนเสีย คนหนึ่งในนั้นแม้แต่ศพก็หาไม่พบ คนที่เหลืออีกสองคนอย่างน้อยก็ให้ข้าช่วยเก็บศพได้ โกศสองใบ ใบหนึ่งส่งให้กับคนในครอบครัวเขาไปแล้ว เหลืออีกใบหนึ่งก็คือสาเหตุที่ข้าเดินทางไปแคว้นชิงหลวนในครั้งนี้”
มิน่าล่ะตอนนั้นที่อยู่ในบ้านโบราณ ชายฉกรรจ์เคราดกถึงได้บอกให้จางซานเฟิงและเฉินผิงอันรีบจากไปถึงสองครั้ง
————————–
สวัสดีค่ะ
ขอขอบคุณสำหรับฟีดแบ็กเรื่องความยาวตอนและราคา และทีมงานขออนุญาตชี้แจงดังนี้ค่ะ
การตั้งราคานิยายแปลในแต่ละตอนจะถูกพิจารณาจากจำนวนตัวอักษรภาษาจีนตามเงื่อนไขของสัญญา ซึ่งหากแต่ละตอนมีจำนวนตัวอักษรมาก ราคาตอนนั้นก็จะสูงมากตามไปด้วย (ในกรณีนิยายเรื่อง ‘กระบี่จงมา!’ ในบางบทอาจมีราคาสูงถึง 15 เหรียญทอง ตามต้นฉบับ) ทางเราจึงแบ่ง 1 บท ออกเป็นตอนย่อย และตั้งราคาให้ไม่สูงมากจนเกินไปและเหมาะสมกับเนื้อเรื่องในตอนนั้นๆ ค่ะ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในตอนที่ 389 และ 399 (‘บทที่ 225.1 ถนนยามค่ำคืน’ และ ‘บทที่ 225.2 ถนนยามค่ำคืน’) ที่คุณนักอ่านได้แจ้งเรื่องเข้ามา ทางทีมงานได้ตรวจสอบและพบว่าด้วยความยาวและราคาอาจไม่เหมาะสมเหมือนกับตอนอื่นจริงๆ
จึงได้ปรับราคาเป็น 3 เหรียญทองในตอนดังกล่าวเรียบร้อยแล้วค่ะ
ทางทีมงานต้องขออภัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ค่ะ
และเราจะนำข้อเสนอแนะของคุณนักอ่านทุกอ่านไปพัฒนาและปรับปรุง เพื่อประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้นต่อไปอีก
ขอบคุณและขออภัยในความไม่สะดวกอีกครั้งด้วยนะคะ
ทีมงานนิยายแปล Fictionlog
บทที่ 226.2 ในกล่องมีกระบี่สองเล่ม กำจัดปีศาจปราบมาร
โดย
ProjectZyphon
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามคำถามหนึ่ง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี เจ้าเสียใจกับการเลือกครั้งนั้นไหม?”
ชายฉกรรจ์ก้มหน้าดื่มเหล้าเงียบๆ หลังจากเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็กระตุกมุมปาก “คนที่ตายไปแล้ว ข้าไม่รู้ แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่เสียใจทีหลังแทบตายอยู่แล้ว”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มือดาบผู้มีความห้าวหาญเต็มอ้อมอกไม่ห้าวหาญเหมือนที่เคย
เฉินผิงอันไม่ได้พูดว่าจะอยู่ต่อหรือจากไปโดยตรง
ตอนนั้นที่พวกพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไกลไปศึกษาต่อที่ต้าสุย ทุกเรื่องต้องให้เฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจก็เพราะเขาจำเป็นต้องทำอย่างนั้น ไม่มีพื้นที่เหลือให้เขาแสดงความขลาดกลัวและลังเล
ตอนนี้เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง เฉินผิงอันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นเสมอไปอีกแล้ว
ส่วนจางซานเฟิงนั้นทำอะไรไม่ถูก เขาเหลียวซ้ายแลขวา เอ่ยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร?”
สวีหย่วนเสียจมอยู่ในภวังค์ของความเงียบ ยกเหล้าขึ้นดื่มคำแล้วคำเล่าไม่หยุด
เฉินผิงอันถามอีกครั้งว่า “หากอยู่ต่อแล้วเกิดเรื่อง พวกเราสามคนถูกบีบให้ต้องออกหน้า จะมีความเป็นไปได้มากหรือไม่ว่าแม้แต่ตัวเองก็อาจจะยังเอาตัวไม่รอด?”
สวีหย่วนเสียใคร่ครวญหาคำพูดอย่างระมัดระวัง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “กลัวก็แต่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีในนอกประสาน ใช้ความตั้งใจเอาชนะความไม่ตั้งใจ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า จะต้องคิดหาวิธีกำราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสองศาลเจ้าบุ๋นบู๊เสียก่อน แล้วนับประสาอะไรกับที่ดูท่าแล้วตอนนี้เทพบุ๋นบู๊ต่างก็ได้รับผลกระทบจากค่ายกลของบ้านโบราณและเทพภูเขาเถื่อน ศักยภาพจึงไม่เหมือนเดิมนานแล้ว ทำให้เกิดช่องโหว่ได้ง่าย ยังดีที่ก่อนหน้านี้ข้าเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมือง ดูจากควันธูป รูปแบบของสิ่งปลูกสร้างและภาพปรากฏการณ์แล้วเหมือนว่าจะไม่แย่…”
เฉินผิงอันถาม “พวกเราสามารถไปหาเทพอภิบาลเมืองท่านนี้โดยตรงได้เลยหรือไม่? เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างชัดเจน? เจ้าเมืองกับแม่ทัพไม่เข้าใจความร้ายกาจของภูตผีปีศาจพวกนี้ อีกทั้งหากเจอเรื่องเข้าจริง เกรงว่าก็คงดีแต่จะใช้คำพูดเดิมๆ ในวงการขุนนางมาผลักภาระความรับผิดชอบ ทว่าเทพอภิบาลเมืองท่านนี้มีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเมืองอย่างใกล้ชิด ถ้าพูดไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้าเมืองหลิวสามารถหลบเลี่ยงได้ แม่ทัพหม่าสามารถไม่เคลื่อนทัพให้ความช่วยเหลือ แต่เทพอภิบาลเมืองไม่มีทางหนีพ้นแน่นอน อีกอย่างหากภูตผีปีศาจมีวัตถุประสงค์บางอย่างจริงๆ ก็ต้องลงมือกับเทพอภิบาลเมืองในท้องที่ก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นเทพอภิบาลเมืองต้องใส่ใจมากกว่าพวกขุนนางในพื้นที่แน่ๆ”
ดวงตาของชายฉกรรจ์เคราดกเป็นประกาย ตบขาตัวเองฉาดใหญ่ กล่าวเสียงหนักว่า “ใช้ได้!”
นักพรตจางซานเฟิงหันมายิ้มและยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน
และเวลานี้เองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หลังจากเดินไปเปิดประตูเฉินผิงอันก็เห็นว่าบัณฑิตแซ่หลิ่วและคู่พี่น้องหลิวเกาหวาสามคนมีสีหน้าหวั่นวิตก หลิวเกาหวาพอนั่งแปะลงบนเก้าอี้ได้ก็เทเหล้าให้ตัวเองเต็มจอก “พวกเจ้าว่าแปลกหรือไม่ เมื่อครู่นี้รูปปั้นเทพสวรรค์ในศาลเทพอภิบาลเมืองปริร้าวไปเกินครึ่งร่าง แถมยังมีเลือดสดปริ่มออกมาไหลนองเต็มพื้น ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ด้านในศาลเทพอภิบาลเมืองยังมีแต่พวกงู หนู แมงป่องเต็มไปหมด น่าขยะแขยงยิ่งนัก ตอนนี้บิดาข้าได้ส่งคนให้ไปปิดประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองเอาไว้แล้ว พวกชาวบ้านจะได้ไม่ต้องตกอกตกใจ”
ชายฉกรรจ์เคราดกสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาหันไปมองสบตากับเฉินผิงอันและจางซานเฟิงโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เฉินผิงอันถามว่า “ศาลบุ๋นบู๊สองแห่งมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไหม?”
หลิวเกาหวาอึ้งตะลึง ก่อนส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้อนี้ข้าไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่มีอะไรน่าดู พวกเราคนในพื้นที่จึงไม่ค่อยชอบไปสถานที่สองแห่งนั้นเท่าไหร่”
เผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน หญิงสาวยังค่อนข้างกระอักกระอ่วน ได้แต่นั่งอยู่ข้างหลิ่วหลางซึ่งนั่งห่างจากเฉินผิงอันไกลที่สุด นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มีครั้งหนึ่งตอนที่ยกน้ำชาไปส่ง บังเอิญได้ยินท่านพ่อคุยกับนักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่มาเป็นแขกในจวน บอกว่าถึงแม้ศาลเจ้าทั้งสองแห่งจะมีควันธูปเฟื่องฟู แต่กลับถือว่ามีแค่คนบูชาแต่ไม่มีคนนับถือ นักพรตเฒ่าเองก็จนใจไม่น้อย บอกว่าทางราชสำนักก็ทำอะไรไม่ได้ แคว้นไฉ่อีมีพื้นที่เพียงเท่านี้ ไม่มีทางที่จะมีเทพแห่งขุนเขาอีกองค์หนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ แถมยังบอกด้วยว่าหากในเมืองแยนจือมีเมล็ดพันธ์บัณฑิตถือกำเนิดขึ้นสักคน และสามารถเข้าไปอยู่ในสำนักศึกษากวานหูได้ ไม่แน่ว่าฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ท่านพ่อข้าได้แต่ถอนหายใจส่ายหน้า พูดไปตามตรงว่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างที่ว่านี้จะมีในแคว้นไฉ่อีได้อย่างไร”
หลิ่วชื่อเฉิงสีหน้าฉงน กล่าวอย่างสงสัย “พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรกัน? ศาลเจ้าบุ๋นบู๊ องค์เทพแห่งขุนเขาอะไรกัน? สำนักกวานหูข้าพอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะตั้งอยู่ริมชายแดนของแคว้นป๋ายซานพวกเรา ข้ายังเคยเข้าไปเที่ยวเล่นอยู่หลายครั้ง ถ้าอย่างนั้นข้าพอจะถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตได้สักครึ่งตัวหรือไม่? แม่นางหลิว เจ้าวางใจเถอะ ทุกปีสำนักศึกษากวานหูจะรับสมัครบัณฑิตจากแคว้นป๋ายซานหนึ่งคน ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติพิเศษที่มีต่อแคว้นป๋ายซาน ไม่แน่ว่าวันใดข้าหลิ่วชื่อเฉิงอาจจะสามารถ…”
หลิวเกาหวากลอกตา “เจ้าอาจจะไม่ได้รับเลือกเสียมากกว่า ความรู้นิดๆ หน่อยๆ ในหัวของเจ้าไม่ได้มากไปกว่าข้าสักเท่าไหร่หรอก”
หลิ่วชื่อเฉิงขัดเคืองจึงไม่พูดอะไรอีก
ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผสมปนเปกันมั่วซั่วของเขา เอามาใช้กับสตรีได้ แต่ใช้กับบัณฑิตไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
พูดคุยกันอีกพักหนึ่ง สองพี่น้องก็จากไป ก่อนจะจากไป หลิวเกาหวานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเตือนว่า “ด้วยเรื่องศาลเทพอภิบาลเมือง ฟังจากความหมายของท่านพ่อข้า นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเมืองแยนจือก็จะเริ่มมีการใช้กฎที่เข้มงวดแล้ว ออกจากเมืองง่าย เข้ามาในเมืองยาก แต่ไม่แน่ว่าวันมะรืนหากคิดจะออกจากเมืองก็ยังเป็นเรื่องยากไปด้วย ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงจึงคิดจะจากไปวันนี้ พวกเจ้าสามคนล่ะ? บอกไว้ก่อนว่าหากมีการใช้กฎเข้มงวดจริงๆ แม่ทัพหม่าต้องยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ด้วยตัวเองเป็นแน่ ถึงเวลานั้นบุตรชายเจ้าเมืองอย่างข้าคงไม่มีความสามารถช่วยขอร้องแทนพวกเจ้าได้ หากจะไป อย่างช้าที่สุดก็คือวันพรุ่งนี้”
หลิ่วชื่อเฉิงพาพี่สาวของหลิวเกาหวาออกไปจากห้องแล้ว กำลังบอกลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ในห้องของจางซานเฟิง ยังดีที่หลิวเกาหวารออยู่ด้านข้าง คู่รักหนุ่มสาวจึงไม่กล้าแนบชิดคลอเคลียกันสักเท่าไหร่
หลังจากที่สวีหย่วนเสียปิดประตูลงก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ “มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าศาลเทพอภิบาลเมืองจะเกิดเรื่องแล้ว ดูท่าปีศาจนอกรีตกลุ่มนี้คงวางแผนไว้ใหญ่มากทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือจะตบะลดระดับลง ถูกคนใช้วิธีการต่ำช้าพันธนาการอยู่ในศาล หรือว่าถูกฆ่าตายไปแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะปรากฏอย่างเด่นชัด จวนเจ้าเมืองและฐานทัพที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงน่าจะเริ่มระแวดระวังกันแล้ว หากพวกเรานำข่าวไปบอกในเวลานี้ ระดับความน่าเชื่อถือจะเพิ่มขึ้นสูงมาก”
นักพรตหนุ่มมองมาทางเฉินผิงอัน ถามหยั่งเชิงว่า “ไม่อย่างนั้นพวกเราเอาข่าวไปบอกจวนเจ้าเมืองแล้วออกจากเมืองกันดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าและจอมยุทธ์ใหญ่สวีตามพวกหลิวเกาหวาไป ไปที่บ้านของข้า ข้าจะไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ยิ่งรู้ความจริงเร็วเท่าไหร่ ต่อให้จะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจของพวกเรา”
จางซานเฟิงไม่สงสัยว่าทำไมถึงต้องแยกย้ายกันไป แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ไปสถานที่อันตรายอย่างศาลเทพอภิบาลเมืองแทนเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันอธิบายยิ้มๆ “เจ้ากับจอมยุทธ์ใหญ่สวี คนหนึ่งต้องชักดาบ ซึ่งทางที่ดีต้องรวดเร็วปานลมกรดเพื่อแสดงให้เห็นถึงมาดปรมาจารย์ของตน ส่วนอีกคนหนึ่งต้องบังคับให้กระบี่ไม้ท้อบินทะยานไปทั่ว เพื่อให้แสดงให้เห็นว่าตัวเองคือจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่เชี่ยวชาญด้านการปราบปีศาจกำจัดมารมากที่สุด ข้าจะไปทำอะไร? ไปรำหมัดให้ใต้เท้าเจ้าเมืองดูหรือไง?”
ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จางซานเฟิงคิดตามก็เข้าใจได้ จึงบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องไปหยิบยันต์สามแผ่นออกมาจากในห่อสัมภาระ สองแผ่นคือยันต์ลมร้ายจุดไฟที่มีระดับต่ำที่สุด แต่ใช้ได้ผลมากที่สุด หากมีลมปราณความชั่วร้ายหรือสิ่งสกปรกปรากฏขึ้น กระดาษยันต์สีเหลืองจะเผาไหม้ตัวเอง แผ่นที่อยู่ด้านล่างสุดคือยันต์เทพเดินทางที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์ม้าเกราะ หากกรอกปราณวิญญาณหรือลมปราณที่แท้จริงเข้าไป ภายในหนึ่งก้านธูปจะสามารถห้อตะบึงได้เร็วเหมือนม้า เหมือนบินทะยานอยู่กลางสายลมโดยที่ไม่เปลืองแรงกายเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ เก็บยันต์ทั้งสามแผ่นไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยหยอกว่า “ไม่กลัวว่าข้าจะหนีไปดื้อๆ หรือ?”
นักพรตหนุ่มถลึงตาใส่เขา “เฉินผิงอัน เจ้าห้ามหนีเด็ดขาดเลยนะ!”
เฉินผิงอันรีบโบกมือเป็นพัลวัน
จางซานเฟิงหัวเราะชอบใจ
ถ้าเฉินผิงอันต้องแยกตัวไปคนเดียว ใช่ว่าจางซานเฟิงจะไม่เสียดายยันต์เทพเดินทางที่มีราคาสูงลิ่วชิ้นนั้น แต่สิ่งที่เขาเสียดายมากที่สุดคือต้องเสียเพื่อนดีๆ ไปคนหนึ่ง
คนทั้งสามแยกกันตรงประตูหน้าโรงเตี๊ยม สวีหย่วนเสียพาจางซานเฟิงไล่ตามหลิวเกาหวาไปที่จวนเจ้าเมืองซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
เฉินผิงอันไปทางเดียวกับบัณฑิตหลิ่วที่ต้องออกจากเมืองทางทิศตะวันออกพอดี เพียงแต่ว่าคนหนึ่งตรงไปที่ประตูตะวันออก อีกคนหนึ่งมุ่งหน้าไปทางศาลเทพอภิบาลเมืองที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ไม่มีแม่นางหลิวอยู่ด้วย บัณฑิตหลิ่วก็ไม่เหลือภาระทางจิตใจของความเป็นบัณฑิตอีกต่อไป เขาก้มหัวค้อมเอวติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “คุณชายเฉินฺ? เจ้าใช่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ในตำนานหรือไม่? แม้ว่าจะอายุยังน้อย เพิ่งออกจากบ้านมาหาประสบการณ์ แต่เพราะพรสวรรค์ดีเกินไป มีชาติกำเนิดจากตระกูลที่มีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นแท้จริงแล้วเจ้าก็คือยอดฝีมือที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในยุทธภพ? ฝ่ามือที่ตบมาในคืนนั้นถึงได้ดูเป็นมายาล่องลอย ทำให้ข้ามองไม่เห็นว่าเจ้าลงมืออย่างไร ไม่มีแม้แต่สายลมพัดโชย ถือว่าอยู่ในขอบเขตที่มหัศจรรย์แล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ขอแค่เป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์ ต่อยเจ้าหนึ่งหมัด เจ้าก็มองไม่เห็นหรอกว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างไร”
บัณฑิตหลิ่วรู้สึกเหมือนได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง “เป็นไปไม่ได้! คุณชายเฉิน เจ้าต้องเป็นปรมาจารย์แห่งยุทธภพที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านร้านตลาดอย่างแน่นอน ถ้าให้ข้าเดานะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเซียนกระบี่แคว้นไฉ่อีที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้นคนนั้นก็ได้ ไม่อย่างนั้นใครจะพกกระบี่สองเล่มออกจากบ้านบ้างล่ะ? หนึ่งเล่มในนั้นก็คือ ‘ตะวันสว่าง’ ที่เซียนกระบี่ท่านนั้นเคยพกตอนท่องอยู่ในยุทธภพเมื่อครั้งอดีตใช่หรือไม่? ขอข้าจับหน่อยสิ?”
เฉินผิงอันค่อนข้างจะนับถือในจินตนาการอันบรรเจิดของคนผู้นี้ ด้วยไม่อยากเถียงกับเขาเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น จึงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ใช่ๆๆ คือตะวันสว่าง เจ้าต้องระวังให้มาก ด้านในเต็มไปด้วยปราณกระบี่แหลมคม ขอแค่เจ้าชักมันออกจากฝัก ก็จะถูกปราณกระบี่บาดผิวเนื้อให้ปริแตก เจ้ากลัวหรือไม่?”
“ไม่กลัว”
หลิ่วชื่อเฉิงส่ายหน้า ทว่าสองมือที่เดิมทีคิดจะลูบคลำกล่องกระบี่กลับย้ายไปไพล่หลังตัวเองแต่โดยดี
หลังจากที่คนทั้งสองแยกทางกัน หลิ่วชื่อเฉิงก็เดินตามทางไปยังประตูเมืองต่ออีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ บัณฑิตอ่อนแอผู้นี้ก็เงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงหอเรือนป้อมกำแพงเมือง เขาก็คือเทพเซียนเฒ่าที่แสดงบนแท่นสูงใจลางทะเลสาบ เวลานี้ข้างกายของเทพเซียนเฒ่ายังมีแม่ทัพหม่าที่สวมเสื้อเกราะ รวมไปถึงคนแปลกหน้าสองคนที่อายุไม่น้อยยืนอยู่ เทพเซียนผู้เฒ่ากำลังชี้นิ้วเข้ามาในตัวเมือง
หลิ่วชื่อเฉิงจุ๊ปากพูด “นำโจรเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัวแท้ๆ”
อีกฝั่งหนึ่ง เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็มาถึงลานกว้างนอกศาลเทพอภิบาลเมือง เขาเพ่งสายตามองไป เพราะว่าไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณจึงมองเบาะแสด้านภาพปรากฎการณ์อะไรไม่ออก แต่ลางสังหรณ์ของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวบอกกับเฉินผิงอันว่า ศาลเทพอภิบาลเมืองที่มีกำแพงสีแดงกระเบื้องเขียว หลังคาเป็นแก้วมังกรเพลิงแห่งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับความเงียบสงบสันติสุขก่อนหน้านี้ กลับมีกลิ่นคาวเลือดและความมืดมนหนักอึ้งเพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เปรียบเปรยได้กับมีคนโยนท่อนฟืนลงไปบนพื้นดินที่มีแต่หิมะขาวโพลน คนธรรมดาที่เดินผ่านทางมาอาจไม่สังเกต แต่ขอแค่เป็นคนที่สายตาดีพอย่อมต้องมองเห็น อีกทั้งยังค่อนข้างจะสะดุดตาด้วย
ตรงประตูของศาลเทพอภิบาลเมืองมีทหารยืนเฝ้าอยู่ ไม่อนุญาตให้คนเข้าไปปักธูปกราบไหว้แล้ว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กวาดตามองไปรอบด้าน หากำแพงสูงมุมที่ค่อนข้างเงียบสงบแล้วเดินไปใกล้เงียบๆ ขณะเดียวกันก็หยิบยันต์ลมร้ายจุดไฟแผ่นหนึ่งออกมา
เมื่อไปถึงตรงนั้นก็ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คน ดีดปลายเท้าหนึ่งที เฉินผิงอันก็กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง พลิกตัวลงไปด้านใน พอสองเท้าสัมผัสพื้น แผ่นยันต์ก็ลุกไหม้ติดไฟ
ภาพนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาตรวจสอบจริงเท็จอีกแล้ว มั่นใจได้เลยว่าเป็นฝีมือของปีศาจร้าย
เฉินผิงอันใช้มือหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ยกเหล้าต้มขึ้นดื่มอึกใหญ่
มือหนึ่งอ้อมผ่านด้านหลังศีรษะไปตบกล่องไม้ที่อยู่ด้านหลัง กระบี่ไม้ไหวถูกตั้งชื่อว่าปราบมาร ส่วนกระบี่เล่มที่ช่างหร่วนสร้างขึ้นถูกตั้งชื่อชั่วคราวว่ากำจัดปีศาจ
ไม่ว่าเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูจะไม่เห็นด้วย บอกว่าเป็นชื่อที่ใช้กันเกร่อ โหลจนแทบจะทนรับไม่ได้อย่างไร แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าตั้งชื่อกระบี่สองเล่มนี้ว่ากำจัดปีศาจปราบมารนั้นดีมากแล้ว
ในเมื่อตั้งชื่อดีขนาดนี้ จะทำผิดต่อชื่อดีๆ ได้อย่างไร
เฉินผิงอันกระทืบงูพิษตัวหนึ่งที่พุ่งพรวดเข้ามาเบาๆ มองดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อันที่จริงงูพิษตัวนั้นร่างเละเทะอยู่นานแล้ว
ความสนใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันยังอยู่ที่รูปปั้นองค์เทพหลากสีของขุนนางสวรรค์สองตนที่ตั้งตระหง่านอยู่นอกประตูใหญ่สีชาด หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดสดที่หลั่งรินไม่หยุด และยังมีงูพิษสีสันงดงามจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมพัน เลื้อยกระดุบกระดิบ ยังมีแมงป่องขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือที่ยืนอยู่บนศีรษะหรือไม่ก็แขนของเทวรูป ทั่วร่างของมันเป็นสีดำสนิทดุจหมึก ท่าทางอวดเบ่งบารมี และยังมีหนูมุดเข้ามุดออกหน้าท้องและซีกหน้าของเทวรูปที่ปริแตกอย่างกำเริบเสิบสานสุดขีด
เฉินผิงอันหวนนึกถึงสภาพอเนจอนาถของสุสานเทพเซียนที่บ้านเกิด ไฟโทสะก็พุ่งสูงขึ้นมาสามจั้งทันใด เขาเดินเลียบไปตามมุมกำแพง พยายามปล่อยสมองของตัวเองให้โล่งว่างปลอดโปร่ง ลมหายใจนิ่งสงบ เพราะการออกหมัดในแต่ละครั้งจะแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อย รวมไปถึงลมปราณที่แท้จริงทั่วร่างจะหนาหรือบาง และจะโคจรเร็วหรือช้าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าไฟโทสะที่สุมอยู่ในอกจะมีมากหรือน้อย
เฉินผิงอันเดินพลางพูดกับตัวเองในใจว่า “เฉินผิงอัน หากสู้ไม่ไหวก็ต้องหนีไปให้ได้เร็วที่สุด!”
——————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น