หมอดูยอดอัจฉริยะ 226-231
ตอนที่ 226
เปิดประมูลราคา
“พ่อ เรื่องเงินสดพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ของเหล่านั้นสำหรับผมแล้วมันมีประโยชน์มาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้”
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนภายในร่างกายจะมีโรคที่ไม่อาจเปิดเผยได้แต่ก็ถูกกำจัดออกไปแล้ว เพียงแต่ว่าผมของเขายังไม่เป็นสีดำทั้งหมด จึงเอาเรื่องนี้มาต่อรองกับพ่อ ถ้าไม่อย่างนั้นอธิบายให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องราง นั้นก็จะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่
“ไอ๊ เจ้าเด็กคนนี้ทำไมไม่รีบพูด” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของลูกชาย เยี่ยตงผิงก็กระโดดขึ้นมา เงินก็สำคัญ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับสุขภาพของลูกชาย
เยี่ยเทียนยิ้มพูดว่า ” พ่อ ไม่เป็นไร คนแซ่อวี๋คือนักธุรกิจ เขาโกรธแต่เขาก็คงไม่ประมูลราคาที่สูงออกมา ตอนนี้ผมยังพอมีเงินอยู่.”
จริง ๆ แล้วเยี่ยเทียนก็รู้สึกสำนึกผิด เมื่อครู่ที่ตัวเองแสดงอาการตื่นเต้นเกินไปออกมา ถ้าเกิดว่าเขาค่อยเป็นค่อยไป เกรงว่าแซ่อวี๋คนนั้นอาจจะไม่ซื้อเครื่องหยกเหล่านี้
ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ ผู้เฒ่าที่ขายหยกนั้นกำลังจะได้ประโยชน์จากการขายหยกครั้งนี้เจเดิมทีเกือบหมื่นก็สามารถซื้อของได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าต้องเสียเงินอีกเท่าไหร่แล้ว
แต่พวกของเหล่านี้ก็หายากจริง ๆ ในเวลานั้นเยี่ยเทียนไม่ได้ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ให้ดี ถ้าเกิดว่าพูดอีกครั้งหนึ่ง เดาว่าเยี่ยเทียนก็อาจเกิดการขัดแย้งกับเถ้าแก่อวี๋อีก
สำหรับเรื่องของเงิน เยี่ยเทียนกลับวางใจ ในมือของเขายังมีบัตรธนาคารอยู่ในนั้นมีเงินอยู่หนึ่งล้าน อย่างมากก็แค่เสียหนึ่งล้านซื้อพวกเครื่องรางเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง ถึงอย่างไรที่ฮ่องกงมียังมีคนแซ่ถังที่ยอมเสียเงินให้เขา ขอเพียงแค่ตัวเองเอ่ยปาก ผู้เฒ่านั้นก็จะรีบส่งเงินมาทันที
………………-
“เหล่าอวี๋ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อาชีพค้าขายวัตถุโบราณนี้ก็มีกลุ่มของตัวเอง ในวันธรรมดา ๆ มีบางคนก็สนิทสนมกันดีกับอวี๋คู่ ในอีกด้านหนึ่งก็มีคนล้อมเถ้าแก่อวี๋ไว้
ครั้งนี้ความโกรธของเถ้าแก่อวี๋็ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว โมโหจนหายใจไม่ทันพูดว่า เจ้าเด็กไร้มารยาทคนนั้นไม่รู้เรื่องกฏ ผู้ใหญ่ก็ไม่ดูของแล้ว เขาก็ยังอยากจะซื้อมัน แถมยังแย่งมันออกไปจากมือของผม พวกคุณว่า ผมจะทนได้ไหม
หลังจากได้ยินคำพูดของอวี๋คู่ คนที่รู้จักเยี่ยตงผิงเหมือนกันพูดว่า “ เหล่าเยี่ยปกติเป็นคนใจเย็น ทำไมลูกชายของเขาถึงได้ใจร้อนแบบนี้นะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเจตนาของเขาหรือเปล่า อวี๋คู่ส่งเสียงไม่พอใจหนึ่งที พูดว่า “แซ่เยี่ยที่เดินอยู่นั้นคือช่องทางของท่านประธานจี่ บางทีก็อาจจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา”
“กล้าเรอะ เขาเพิ่งมาปักกิ่งได้นานแค่ไหนกัน”
“คือว่า พวกเราทำอาชีพนี้มาก็สิบกว่าปีแล้ว เขายังต้องการที่จะแทนที่พวกเราเหรอ”
เหล่าอวี๋ ต่อไปนี้คุณก็อย่าใจอ่อนนะ อย่าให้พวกเขาคิดว่าพวกเราพวกคนแก่นี้ถูกปั้นขึ้นมาจากดิน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา มีคำกล่าวว่าจริง ๆ แล้ว เพื่อนร่วมงานก็อาจเปลี่ยนเป็นศัตรูได้ ไม่มีใครอยากให้มีคนอื่น ๆ มาแย่งกินอาหารในถ้วยเดียวกันกับเรา ทุกคนก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
เห็นทุกคนให้กำลังใจตัวเอง อวี๋คู่ก็แอบดีใจ โค้งคำนับไปรอบ ๆ พูดว่า “ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราทำงานกันมาหนักมาก จะต้องไปกลัวใครที่ไหน ลองดูสินค้าที่เขาอยากได้สิ ทุกท่านช่วยส่งเสริมผมหน่อยก็แล้วกันนะ”
อวี๋คู่พูดร้องขอความช่วยเหลือ ความหมายของเขาก็คือ หากเยี่ยตงผิงพอใจกับของชิ้นไหน ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันโก่งราคา อย่าให้เขาทำธุรกิจ
แต่ทว่าเถ้าแก่อวี๋ไม่รู้ว่า ในกระเป๋าของเถ้าแก่เยี่ยในตอนนี้เหลือไม่ถึงพันหยวน ดังนั้นเมื่อครู่ที่ดูพวกเครื่องหยกอยู่ จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืนขึ้นมา
……………………-
เวลาในการเริ่มประมูลนัดไว้ที่เวลาบ่ายสองโมง โดยจะจัดขึ้นที่เพิง ดูเหมือนว่าสถานที่จะทำอย่างง่าย ๆและหยาบ แต่ว่าขั้นตอนกลับเป็นไปตามมาตรฐาน แล้วก็ผู้ประมูลทุกคจะต้องมีใบรับรองในการประมูล
แต่ว่ากฏในการประมูลที่นี้จะต่างกับการประมูลในสถานประมูลสินค้าทั่วไป เจ้าของสินค้าเป็นผู้ตั้งราคาสินค้าได้ตามใจชอบ ในการประมูลจะตะโกนบอกราคาสามครั้ง ถ้าหากไม่มีใครประมูลต่อก็ถือว่า
ในเวลาประมาณบ่ายโมง พวกเจ้าของที่ตกลงค้าขายกันไม่ได้ ก็ค่อย ๆเก็บของที่อยู่ตรงหน้ารวมเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนใหญ่แล้วคือห่อรวมเข้าไว้ด้วยกันเพราะ พวกเขาไม่มีเวลาที่จะขายมันแบบแยกชิ้น
การขายของผู้ขายจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ บางคนเอาของที่คนไม่ค่อยนิยมออกมา ไม่มีใครถามหา บางคนก็ตรงกันข้าม ของพวกเขาได้รับความนิยมอย่างมาก เมื่อผ่านการประมูลก็ได้ราคาที่สูง
“ทุกท่าน ถึงเวลาในการประมูลแล้ว หวังว่าทุกท่านจะสามารถซื้อของที่ตัวเองชอบได้ เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ตอนนี้จะเริ่มการประมูลแผงขายของหมายเลขหนึ่ง”
เสียงของผู้ประมูล “ในหนึ่งแผงมีของอยู่กี่ชิ้น นำมันมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของผู้ประมูลได้เลย”
คนที่ขายของที่นี้ กลับดูไม่เหมือนแผงขายของตลาดวัตถุโบราณ ตั้งแต่ภาพอักษรจนถึงเครื่องทองสัมสำริดมีทุกอย่าง ส่วนใหญ่เป็นของสี่ห้าชิ้น เยอะขึ้นมาหน่อยก็จะมีไม่เกินเจ็ดแปดชิ้น
ผู้ประมูลใส่ถุงมือสีขาวหนึ่งคู่ หลังจากที่ดูของที่อยู่บนโต๊ะอย่างละเอียด เปิดปากพูดว่า “นี้คือรูปปั้นม้าสามสีกับรูปปั้นคนสามคน สมัยราชวงศถัง เจ้าของขอออกราคาที่สองหมื่นห้า มีเพื่อนคนไหนสนใจเริ่มการประมูลได้”
การเป็นผู้ประมูลของประเภทวัตถุโบราณนั้น หากไม่เคยพูดคุยกับเจ้าของสินค้ามาก่อน จึงจำเป็นต้องมีความรู้ และประสบการณ์เป็นอย่างมาก หากพูดอะไรผิดพลาดไป ก็จะกลายเป็นตัวตลกขึ้นมาทันที
“สองแสนหนึ่งหมื่น” ผู้ประมูลเพิ่งออกเสียงมา ก็มีคนตะโกนราคามาอีก
“สองแสนห้าหมื่น”
“สามแสน”
“ฉันขอประมูลสามแสนแปดหมื่น”
“ฉันขอประมูลห้าแสน”
ภายในงานพวกเถ้าแก่ต่างก็เกิดสนใจพวกของในสมัยราขวงศ์ถังเหล่านี้ขึ้นมา ต่างพากันประมูลราคาที่สูงขึ้นมา ในระยะเวลาสั้น ๆ หนึ่งนาทีกว่า เจ้าของชิ้นนี้จากราคาเริ่มต้นที่สองแสนราคาพุ่งขึ้นมาสูงสุดอยู่ที่ห้าแสน
“ถังซันไฉ่” คืองานศิลปะของประเทศจีนยุคแรกที่นักสะสมนานาประเทศต่างตามหากัน ขายดีมากในต่างประเทศ และอีกอย่างราคาสูงมาก ในยุคแปดศูนย์เคยถูกประมูลไปแล้วในราคาสูงสุดถึงสิบล้าน
ถึงแม้ว่าถังซันไฉ่ตอนนี้ราคาลดลงในตลาดนานาชาติ แต่ว่าของชิ้นนี้มีคุณสมบัติที่ดีมาก ของเพียงแค่สามารถทำออกมา ก็จะขายได้ในราคาห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้นของที่อยู่บริเวณนี้ เริ่มประมูลราคากันอย่างดุเดือด ได้เห็นรอยยิ้มที่หุบไม่อยู่ของเจ้าของถังซันไฉ่ ถ้าเกิดขายของชิ้นนี้ได้ ก็เท่ากับว่าล้างมือในอ่างทองคำแล้ว
บางคนอาจพูดว่า เจ้าคนนั้นเริ่มราคาที่สองแสนเอง แค่ส่งต่อก็สามารถขายได้ถึงล้าน เนื่องจากของเหล่านี้กำไรสูงเช่นนี้ จี่หรันก็ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมกับของที่ตัวเองเอาออกไปประมูล หรือว่าเขาจะได้ค่านายหน้า
และนี่ก็เป็นความฉลาดของจี่หรัน ของที่ได้จากพวกโจรขุดหลุมศพ มีบความเสี่ยงมาก ทุกคนค่อนข้างจะระวังตัวเป็นอย่างดี ครั้งนี้ขายให้คุณแล้ว ครั้งหน้าอาจจะไม่ทำการค้าขายกับคุณอีกเลยก็ได้
เพราะว่าของที่อยู่ในมือของพวกโจรขุดหลุมศพนั้นไม่ได้มาในทางที่ถูกต้อง พวกชอบสะสมวัตุโบราณ จึงมักกดราคาให้ต่ำลง จริง ๆ แล้วพวกโจรขุดหลุมศพ น้อยครั้งที่จะสามารถทำกำไรจากของเหล่านี้
แต่ว่าจี่หรันทำตรงกันข้าม เขาเสนอวิธีการค้าขายให้พวกโจรขุดหลุมศพ ตลอดจนการให้ผลประโยชน์สูงสุดกับพวกเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกโจรขุดหลุมศพบริเวณรอบ ๆ มณฑลก็จำเขาได้ ไม่ไปทำการค้าขายกับคนอื่น นั่นก็คือ จี่หรันได้เป็นผู้ผูกขาดตลาดเพียงคนเดียวสำหรับสินค้าพิเศษนี้
แน่นอนว่า ถ้าเกิดเจอพวกของล้ำค่า จี่หรันกับพวกโจรขุดหลุมศพก็จะปรึกษาหารือกันก่อน มิฉะนั้นในหนึ่งปีก็จะมีของไว้ประมูลมากมายมหาศาล คงไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าหรอก
“หนึ่งล้านสองแสน เถ้าแก่หูประมูลอยู่หนึ่งล้านสองแสน ยังมีเพื่อนคนไหนต้องการประมูลอีกไหม”
“ดี หนึ่งล้านสองแสน จบการประมูล ขอเชิญเถ้าแก่หูกับเพื่อนไปข้างในนั้นตกลงซื้อขายกันได้เลยนะครับ”
พร้อมกับเสียงที่ก้องกังวาน ผู้ประมูลประกาศให้เจ้าของแผงขายเบอร์หนึ่งเอาของออกมาตกลงซื้อขาย อยู่ในที่แบบนี้ประมูลได้ราคาที่สูงถึงหนึ่งล้านกว่า จริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีให้เห็น
ต้องรู้ว่า แม้ว่าในต่างประเทศ “ถังซันไฉ่” จะมีราคาสูง แต่ว่าจำเป็นต้องมีช่องทางในการลักลอบนำออกไป และต้องแบกรับความเสี่ยงนี้ไว้อย่างแน่นอน อีกอย่างถึงแม้ว่าลักลอบออกไปแล้ว ก็จะได้แค่ส่วนหนึ่งในการประมูลต่างประเทศ
ดังนั้นในที่สุดเถ้าแก่หูคนนี้จะได้รับเงิน น่าจะอยู่ที่ประมาณสองสามล้านได้ แต่หากว่าในกรณีที่ขั้นตอนไหนเกิดความผิดพลาด หนึ่งล้านของเขานั้นก็เท่ากับสูญไป
เพียงแต่ว่าของที่ขุดมาจากหลุมฝังศพ มีทั้งดีและไม่ดี เจ้าของหมายแผงเลขสองทำการประมูลของ แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่สนใจ ตกลงซื้อขายได้แค่สามหมื่นหยวน
ต่อกันที่พวกคนต่างพากันเอาของออกมา เมื่อเทียบกับถังซันไฉ่ก็ยังห่างกันอยู่มาก พวกผู้ขายเป็นที่รู้กันคือจะไม่มีการโก่งราคา แผงขายที่ทำการประมูลของได้เจ็ดแปดชิ้น ล้วนแล้วเริ่มต้นราคาที่หนึ่งหมื่นขึ้นไป
อีกทั้งก็ไม่ใช่ของทั้งหมดที่จะทำการประมูลสำเร็จ มีผู้ขายสามสี่คนเอาของออกมาประมูล ในที่สุดก็จบการประมูล คนพวกนั้นก็ทำได้แค่เก็บของไปด้วยความแค้นใจ คิดว่าครั้งหน้าจะไปขุดหลุมศพของใครเพื่อเอาของดีออกมา
“ต่อไปจะทำการประมูลเครื่องหยก พวกหยกสิบสองปีนักษัตรภายในมีเพียงหกปีนักษัตร ในสมัยโบราณคาดว่าอาจใช้ในการทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เจ้าของเริ่มออกราคาที่สองหมื่น เพื่อน ๆ คนไหนสนใจสามารถเริ่มประมูลได้”
รอประมาณชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็ถึงรอบการประมูลพวกเครื่องหยกเหล่านั้น เสียงของผู้ประมูล ก็ส่งเสียงออกมาในการประมูลครั้งนี้
“ห้าหมื่น” คนที่เริ่มประมูลก่อนก็คือเถ้าแก่อวี๋ หลังจากที่ประมูลราคานี้ออกมา อวี๋คู่มองด้วยสายตาที่ยั่วยุไปที่เยี่ยเทียน
“หกหมื่น” เยี่ยเทียนไม่รอช้าที่จะตะโกนราคาของตัวเองออกไป ในใจเขามีราคาขั้นต่ำอยู่ หนึ่งล้านก็คงพอที่จะประมูลพวกหยกเหล่านี้มาได้แล้ว
“แปดหมื่น” ทำให้คนแปลกใจก็คือ นอกจากเยี่ยเทียนและอวี๋เหล่าป่านแล้ว เพิ่มคนที่ตะโกนบอกราคา คนนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่เยี่ยเทียนกับอวี๋คู่โต้เถียงกัน ไตร่ตรองดูพวกเครื่องหยกเหล่านั้นอย่างละเอียดแล้ว
“หนึ่งแสนสองหมื่น” สำหรับคนนอกที่ประมูล เยี่ยเทียนไม่แปลกใจ ยกไม้ยกมือพูดราคาออกไป ครั้งนี้เยี่ยเทียนเพิ่มอีกสี่หมื่น
พวกหยกโบราณเหล่านี้ ล้วนแล้วคือเม็ดหยกจากเห่อเทียนที่ถูกแกะสลักอย่างดี ถูกฝังซ่อนไว้ใต้ดินในสุสานโบราณ ได้รับการกัดกร่อนจากพวกดินและน้ำ รวมทั้งแร่ชนิดต่าง ๆ ในหนึ่งชิ้นอย่างน้อยที่สุดต้องมีอยุ่อยู่สี่สี ในการประมูลครั้งนี้อย่างน้อยต้องได้ราคา สามถึงห้าหมื่นหยวน
“ห้าแสน”
อวี๋เหล่าป่านเสนอราคาครั้งนี้ แต่ว่าสีหน้าของเขาไม่สงบเหมือนกับเมื่อครู่แล้ว จากที่เยี่ยเทียนเสนอราคาไปแบบนั้น อวี๋คู่คือนักธุรกิจ โกรธได้ แต่ว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอนเพราะว่าความโกรธจะทำให้เขาขาดทุนในการค้าขาย
…………
ตอนที่ 227
เปิดประมูลราคา (2)
สำหรับเครื่องรางหยกเหล่านี้แล้ว ราคา 150,000 หยวน ถือว่าไม่ต่ำเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนกับอวี๋เหล่าป่านเกิดกรณีพิพาทแล้ว ในตลาดมืดนี้ อย่างมากก็สามารถซื้อได้ในราคาสองหรือสามหมื่นหยวนเท่านั้นเอง
ฉะนั้นเมื่อเถ้าแก่อวี๋เปิดราคาดังกล่าวออกมาแล้ว ผู้ที่เข้ามายุ่งในระหว่างนั้น ก็ลดธงลงทันที เขาแค่ต้องการซื้อและทำกำไรเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าราคาสูงมากแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมอีกต่อไป
“อวี๋เหล่าป่านเสนอราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนครั้งที่หนึ่ง มีเถ้าแก่ทานใดที่ยังต้องการเสนอราคาต่อไปหรือไม่?หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน ครั้งที่สอง”
สำหรับมุมมองของผู้ขายทอดตลาดแล้ว หยกเซ่นไหว้เหล่านี้ ราคาสูงสุดของมันก็คงเท่านี้แหละ และถ้าอวี๋คู่ขายออกไป จะได้กำไรหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึง
ดังนั้นผู้ดำเนินการประมูลจึงต้องการเห็นว่าคนอื่นจะไม่ประมูลอีกต่อไป เวลาพูดมักจะพูดอย่างรวดเร็ว ส่วนค้อนก็ชูไว้สูงๆ
“หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน ฉันให้ หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน ”
แต่ทว่าเมื่อผู้จัดประมูลกำลังจะวางค้อน เสียงของเยี่ยเทียนดังขึ้นอีกครั้งและเขาไม่ได้เพิ่มราคาเท่าไหร่ เพิ่มเพียงหนึ่งหมื่นหยวน แต่มันก็ทำให้อวี๋คู่รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนไม่ได้ตื่นตระหนกกับเงิน ถ้าเขาสามารถประหยัดได้เพียงเล็กน้อยเขาก็จะประหยัด เขาตั้งใจและตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอวี่คู่จะเสนอราคาเท่าใดก็ตาม ตราบใดที่ไม่เกินหนึ่งล้านเยี่ยเทียนจะเพิ่มทีละหมื่น
ถ้าอวี่คู่ต้องการแข่งขันราคาจริงๆ และเสนอราคาหยกเหล่านี้เกินหนึ่งล้าน ทั้งสองคนจะกลายเป็นศัตรูกัน และเยี่ยเทียนก็จะไม่เสนอราคาต่อ แต่จะใช้วิธีการทางยุทธภพเพื่อแก้ปัญหานี้
“หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน สุภาพบุรุษผู้นี้เสนอราคาที่ หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน ไม่ทราบว่าเถ้าแก่อวี๋จะเสนอราคาอีกครั้งหรือไม่?”
การเสนอราคาของเยี่ยเทียนทำให้ผู้จัดตกใจเล็กน้อย แต่ก็มีเจตนาไม่ดีโดยการดึงความเกลียดชังและการสู้ราคาไปให้กับอวี่คู่แทน เขาไม่กล้าทำเช่นนี้แน่ หากเป็นการประมูลอย่างเป็นทางการ
“หนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน !”
เดิมที อวี่คู่ ไม่ได้วางแผนที่จะเสนอราคาเพิ่มอีก เพราะในใจของเขาหยกเหล่านี้สามารถซื้อได้สูงสุดที่ราคา หนึ่งแสนหกห้าหยวนถึงราคาหนึ่งแสนหกหมื่นหยวน หรือมากสุดที่ราคา หนึ่งแสนแปดหมื่นหยวนเท่านั้น เพราะราคานี้มันก็ซื้อขายอย่างขาดทุนแล้ว
อย่างไรก็ตามคำพูดของผู้จัดประมูลเป็นแรงกระตุ้นให้กับเถ้าแก่อวี่ และก่อนนั้นก็คุยโม้ต่อหน้าเพื่อน ๆในวงการเดียวกันไปแล้ว ฉนั้นแม้หัวชนฝาแล้วก็ต้องเพิ่มราคาประมูลอีก สองหมื่นหยวน
“ฉันให้หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน !”เยี่ยเทียนไม่ลังเลที่จะเรียกราคาใหม่ แต่เสียงของเขายังอยู่ในระดับปานกลางเขาไม่ต้องการที่จะกระตุ้นให้เถ้าแก่อวี๋ประมูลแข่งกับตัวเอง นั่นคือท่าทีของผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเขาทำกัน
“สุภาพบุรุษผู้นี้เสนอราคา หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน ดูเหมือนว่าเขาชื่นชอบชิ้นหยกโบราณเหล่านี้มาก หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน ครั้งที่หนึ่ง!
ผู้ดำเนินการประมูลสูญเสียน้ำลายของเขา ในขณะที่มองไปที่เถ้าแก่อวี่ที่สีหน้าแดงเล็กน้อย ได้กระตุ้นเขาเพียงครู่เดียว และสามารถดึงราคาขึ้นหลายหมื่น ค่าคอมมิชชั่นของผู้จัดประมูลนั้นก็จะสูงขึ้นมากเช่นกัน
“แม่งเอ่ย มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเรียก!”
เถ้าแก่อวี่ทำทีว่าไม่เห็นสายตาของผู้ดำเนินการประมูล สมองของเขาก็ไม่ได้ป่วยนะ ถ้าเยี่ยเทียนสู้ราคาต่อไปอีก แม้ว่าจะขายกลับไป คาดว่าจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นเขาในภายหลัง
“หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน ครั้งที่สอง หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน ครั้งที่ … “ผู้จัดประมูลรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นว่าเถ้าแก่อวี่เหมือนเต่าหัวหด แต่การประมูลยังดำเนินต่อไปและเขากำลังจะจบการประมูลด้วยค้อนในมือ
อย่างไรก็ตามอุบัติเหตุเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสมอ เมื่อค้อนของผู้จัดประมูลกำลังจะวางลง ก็มีเสียงดังขึ้นว่า
“สองแสนหยวน!”
ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะไม่ดังแต่มันก็แน่วแน่มาก และมันถึงหูผู้ฟังทุกคนอย่างชัดเจน
การตอบสนองของผู้จัดประมูลนั้นค่อนข้างรวดเร็ว ทันใดที่ยิน แขนของเขาก็เลี้ยวออกไปตามขอบโต๊ะ เพื่อปกปิดการทำอะไรไม่ถูก เขาไม่แม้แต่จะเห็นหน้าผู้ประมูล ก็ตะโกนว่า ” สองแสนหยวน!นี่ … สุภาพบุรุษผู้นี้เสนอราคาสองแสนหยวน!”
“ใครเป็นผู้เสนอราคา?”
“หยกชิ้นนี้มีมูลค่ามากขนาดนี้เลยหรือ?นี่เป็นเพียงหยกเมล็ดพืชไม่กี่อันไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นสิ หรือราคาของตลาดหยกจะสูงขึ้น? แต่ก็ไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ?”
ไม่เพียงแต่ผู้จัดประมูลตกตะลึง เกือบทุกคนในนั้นยังสงสัยในเรื่องของราคา บ้างกระซิบขณะที่มองหาผู้ประมูลในฝูงชน บ้างมองหาผู้ที่เสนอราคานั้น
“เขานั่นเอง?เด็กคนนี้จะมาทำให้เหตุการณ์ตื่นเต้นอีกทำไมกัน?”
หูของเยี่ยเทียนนั้นดีมาก เพียงแค่เขาได้ยินเสียงประโยคแรกของผู้นั้น ก็สามารถจดจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร แม้ว่าคน ๆ นั้นจะพูดเพียงสองคำว่า “สองแสนหยวน” เยี่ยเทียนยังจำได้ถึงตัวตนของเขาคนนั้น
บุคคลนี้คือ”โจวเซี่ยวเทียน” คนที่ขายโคมไฟนกกระจอกให้กับเยี่ยเทียน เมื่อได้ยินและรู้ว่าเป็นเขา เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะราคาที่โจวเซี่ยวเทียนกล่าวมานั้น มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะรู้แล้วว่าหยกเหล่านี้คืออะไร
“สามแสนหยวน !”
ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้เพิ่มทีละหมื่นแล้ว เพราะว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ถึงคุณค่าของสิ่งนี้ เขาจะใช้เงินจนหมดกระเป๋าของเขาแน่นอน ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเปิดราคาเป็น สามแสนหยวนทันที
“เด็กคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ? หยกเหล่านี้ไม่คุ้มกับราคานี้เลยนะ!”
“จริงอยู่ว่ามันเป็นหยกโบราณ แต่ราคาของมันก็ไม่น่าสูงขนาดนี้นะ?”
“หรือว่าหยกนี้มีค่าจริงๆ? มีบางอย่างที่เราไม่เข้าใจใช่ไหม?”
“เอาสิ ยิ่งเสนอราคามากเท่าไหร่ก็ยิ่งจ่ายมากขึ้น เยี่ยตงผิงเป็นคนฉลาดคนนึงเลยนะ แต่ทำไมให้กำเนิดลูกชายที่โง่เช่นนี้?”
หลังจากเยี่ยเทียนได้เสนอราคาไปแล้ว ทุกคนในนั้นต่างก็แสดงความคิดที่หลากหลาย บ้างก็ไม่เข้าใจเหตุผล และมีผู้ที่ยินดีปรีดากับความโชคร้ายของคนอื่นอย่างอวี๋คู่
และยังมีบางคนที่จ้องมองหยกเหล่านั้น ขมวดคิ้วเพื่อดูความพิเศษของมันบางอย่าง เมื่อพวกเขาเข้าไปในนี้แล้วไม่มีใครโง่และไม่มีใครจะนำเงินมาผลาญเล่นแน่
“สามแสนห้าหมื่นหยวน !”
โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนยิ้มอย่างขอโทษแก่เยี่ยเทียน แต่ราคาที่อยากเสนอก็ยังคงถูกเสนออกไป เป็นไปอย่างที่เยี่ยเทียนคิด ว่าเขาเห็นความพิเศษของหยกเหล่านี้
พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ไม่ใช่โจวเซี่ยวเทียนมองออก แต่เป็นเข็มทิศในปลอกแขนของเขาที่ชักนำให้รู้
ข้อพิพาทระหว่าง เยี่ยเทียนและอวี่คู่ ก็ถูกมองเห็นโดยโจวเซี่ยวเทียนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ในความอยากรู้อยากเห็น หลังจากรอให้ทั้งสองออกไปเขาก็ไปที่บูธของชายชราเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
โจวเซี่ยวเทียนเองไม่มีความสามารถในการสื่อสารเรื่องพลังชี่ดั้งเดิม และเขาไม่สามารถรู้ถึงความวุ่นวายของพลัง แต่เมื่อเขาหยิบหยกเหล่านั้นขึ้นมา ตัวชี้เข็มทิศในปลอกมือก็หมุนไปมาอย่างดุเดือด
ถ้าพูดในทางวิทยาศาสตร์ เข็มทิศเป็นเครื่องมือที่ใช้เข็มแม่เหล็กเพื่อกำหนดตำแหน่งแม่เหล็ก แต่ว่าในสายตาของหมอดูฮวงจุ้ย เข็มทิศเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความชั่วร้าย และการชี้เข็มแม่เหล็กนั้นแทนความหมายต่าง ๆ
ในความเป็นจริงโจวเซี่ยวเทียนรู้มานานว่าโคมไฟทองแดงที่เขาขายเป็นวัตถุที่มีพลังพิฆาต ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขายอมพูดหลังจากที่เยี่ยเทียนถามชื่อของเขา
แม้ว่าโจวเซี่ยวเทียนจะมีความเชี่ยวชาญภูมิลักษณ์ฮวงจุ้ยพยากรณ์ แต่ด้วยเหตุผลต่างๆทำให้เขาไม่ทำอาชีพนี้ แต่กลับไปทำด้านการโจรกรรมสุสาน…
ด้านความคิดของโจวเซี่ยวเทียน หากเยี่ยเทียนประสบปัญหาในอนาคตเพราะโคมไฟนกกระจอกชาด จะต้องไปหาเขาผ่านจี่หรานแน่นอน ธุรกิจก็จะเพิ่มมากขึ้น บวกกับความต้องการเงินด่วนของเขา ทำให้เขาตกลงขายโคมไฟนกกระจอกชาดในราคา สามหมื่นหยวนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นของขลังหยกเหล่านี้แล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็รู้เลยว่าเยี่ยเทียนไม่ใช่คนธรรมดา สามารถแยกความแตกต่างของหยินและหยางของหยกเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วจะไม่รู้จักอาวุธสังหารของเขาได้หรือ?
“สามแสนห้า สุภาพบุรุษคนนี้เสนอราคาสามแสนห้าหมื่น มิตรสหายท่านนั้นคุณยังต้องการเสนอราคาเพิ่มมั้ยครับ?”
เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว ตอนนี้มีแค่เยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนสองคนกำลังแย่งกันประมูลสิ่งของเหล่านี้ แม้ว่าผู้ดำเนินการประมูลจะรู้สึกงุนงงกับการประมูลครั้งนี้แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไป
“ฉันประมูลห้าแสนหยวน !”
เยี่ยเทียนก็เริ่มกดดัน ทีแรกเขาคิดว่าจ่ายสองแสนหยวนก็จะได้ของเหล่านี้มาแล้ว แต่เมื่อถึงครึ่งทางแล้วกลับเจอคู่แข่งตัวตัวฉกาจ และเขาก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ จะหยุดที่หนึ่งล้านได้หรือไม่ เยี่ยเทียนเริ่มไม่มั่นใจแล้ว
แต่สิ่งที่เยี่ยเทียนไม่คาดคิดก็คือ หลังจากที่เขาเสนอราคา ห้าแสนหยวน โจวเซี่ยวเทียนก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ได้ ของเหล่านั้นเป็นของคุณแล้ว!”
“คุณไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้วเหรอ?” เยี่ยเทียนได้ฟังแล้วก็ตกตะลึง เพราะในความคิดของเขานั้นสิ่งของเหล่านี้ ถ้าต้องประมูลจนถึงที่สิบล้านหยวนก็จะออมมือไม่ได้เลย
แต่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถประมูลถึงสิบล้านได้เหมือนกัน เหตุผลหลักที่ทำให้โจวเซี่ยวเทียนยอมแพ้การประมูลราคาก็คือเขาไม่มีเงินแล้ว
โจวเซี่ยวเทียนไม่มีความสามารถแม้แต่จะแย่งชิงได้ถึง สามแสนห้าหมื่นหยวน แต่ที่เขากล้าที่จะประมูลเพราะเขาสามารถยืม สามแสนหยวนจากจี่หรัน รวมกับที่ตนสามารถควักเองอีก สามหมื่นหยวน ฉนั้นเขาสามารถมารวมกันได้มากเพียงนี้
อีกประเด็นหนึ่งก็คือว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจของขลังนี้
แม้ว่าโจวเซี่ยวเทียนจะรู้สึกถึงความพิเศษของหินหยกเหล่านี้ แต่เขาเองก็เป็นผู้ดูฮวงจุ้ยให้ผู้คนในชนบท และเขาก็ยังไม่ได้รับการเชื่อถือ ระดับการติดต่อไม่เพียงพอ และเขาก็ไม่ทราบถึงคุณค่าที่แท้จริงของหินหยกเหล่านี้
เช่นเดียวกับเยี่ยเทียน หากไม่ใช่เพราะเมื่อครั้งแรกที่เขาไปขายของขลังแล้วได้พบกับถังเหวินหยวน ของขลังชิ้นแรกของเขาก็น่าจะขายได้เพียงแสนกว่าๆเท่านั้น
หากเป็นเช่นนั้น เยี่ยเทียนจะไม่มั่นใจในการเสนอราคาสำหรับวัตถุเหล่านี้ในตอนนี้
“ห้าแสนหยวน !สุภาพบุรุษผู้นี้เสนอราคา ห้าแสนหยวน ฉันคิดว่า นี่เป็นการประมูลที่ไม่คาดคิดมากที่สุดในวันนี้ เชื่อว่าไม่มีใครจะประมูลอีกแล้ว ห้าแสนหยวน ราคาสุดท้าย เชิญทั้งสองท่านเข้าไปข้างในเพื่อแลกเปลี่ยน!”
การขายครั้งนี้ทำให้ดำเนินการผู้ประมูลไม่เข้าใจ เมื่อเห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนไม่ประมูลอีก เขาได้ลัดขั้นตอนการสอบถามสองครั้งด้วยซ้ำ และจัดการกับค้อนโดยตรง
แม้ว่ากระบวนการประมูลจะลัดขั้นตอน แต่เยี่ยเทียนก็ยังมีความสุขมากที่ได้วัตถุเหล่านี้มา อย่างน้อยของที่ต้องใช้ในค่ายกลเรือนสี่ประสานก็ไม่ขาดหายไป อย่าว่าแต่ห้าแสนหยวนเลย หนึ่งล้านเยี่ยเทียนก็ยินดีจ่าย
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนไม่รู้สึกไม่โกรธกับเรื่องนี้ เพราะเปลี่ยนเป็นเขาถ้าเห็นสิ่งของเหล่านี้แล้ว เขาเองก็จะอดไม่ได้ที่จะแย่งชิง
หลังจากผู้ดำเนินการประมูลประกาศราคาสุดท้ายและสิ้นสุดการประมูล เยี่ยเทียนไม่ได้ไปที่ห้องโดยตรง แต่เดินไปตรงหน้าโจวเซี่ยวเทียน และมอบนามบัตรของพ่อให้เขาแล้วพูดว่า ” พี่โจว นี่เป็นนามบัตรของพ่อผม หวังว่าคุณจะติดต่อกับผม”
นับตั้งแต่เยี่ยเทียนเริ่มเดินสายนี้ นอกเหนือจากหนึ่งในแก๊งโจรกรรมสุสานที่มีความรู้ความสามารถในวิชาแล้ว นี่เป็นคนแรกที่เขาได้พบว่าเป็นผู้รู้ของขลังฮวงจุ้ย ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงอยากพูดคุยกับเขาด้วย
“ได้สิ แน่นอน!” โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้ากับโอกาสทอง
เยี่ยเทียนยิ้มและโบกมือ แล้วเดินไปที่ห้องด้านหลังกับตาแก่ที่ถือหยก แต่ตอนนี้เขาไม่มีเงินสดเลย เขากำลังคิดว่าจะโน้มน้าวให้ชายชรายอมรับการโอนได้อย่างไร
ตอนที่ 228
วาจาดุจทอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พ่อหนุ่ม แล้ว……เงินละ?”
เห็นสองมือที่ว่างเปล่าของเยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิงที่เดินตามหลังมา สีหน้าของชายแก่เจ้าของหยกก็เปลี่ยนไป เขาไม่ใช่โจรโจรกรรมสุสานที่เชี่ยวชาญเท่าไหร่ เป็นแค่คนที่อายุเยอะหน่อยในหมู่บ้าน เมื่อว่างจากการทำเกษตรก็มักจะรวมตัวหนุ่มๆกลุ่มหนึ่งหาเงินทางอ้อม
เดิมทีชายแก่นึกว่าครั้งนี้จะได้กำไรมากที่สุดแปดพันถึงหมื่น ไม่นึกว่าของห่วยๆนี่จะขายได้ถึงราคาห้าแสนทีเดียว เขาดีใจจนถึงที่สุดและกลัวเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนใจ
เดินเข้าห้องไปแล้วเยี่ยเทียนพูดว่า “ลุง ลุงจะให้โอนเข้าบัญชีหรือว่าจะรับเงินสด?”
ชายแก่ไม่แม้แต่จะคิด ตอบไปทันทีว่า “เงินสดสิ คนแก่อย่างฉันไม่มีบัญชีธนาคารหรอก ฉันเอาแต่เงินสด!”
ชายแก่เองมีแผนอยู่แล้วในใจ คนบ้านนอกเป็นพวกโลกแคบ เงินห้าแสน แค่ชายแก่เก็บเงินไปสี่แสนห้า เอากลับไปที่หมู่บ้านห้าหมื่น แค่นี้หนุ่มๆแก๊งนั้นก็ดีใจแย่แล้ว
แต่ถ้าโอนเข้าบัญชีธนาคาร ต้องมีสองบัญชี เวลาโอนค่อนข้างลำบาก เพราะฉะนั้นชายแก่จึงอยากได้เงินสดเท่านั้น
“ตกลง งั้นก็เงินสด คุณผู้หญิงครับ รบกวนคุณเรียกท่านประธานจี่ให้หน่อยครับ!”
เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็ตอบตกลง หากจี่หรานโอนสักไม่กี่แสนคงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา พูดถึงวันนี้หากจี่หรานเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่น คงไม่ต่ำกว่าห้าแสน
รอจนพนักงานคนนั้นเดินออกไป เยี่ยเทียนหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งซองจากกระเป๋าเสื้อผ้าของพ่อ ยื่นให้ชายแก่หนึ่งมวนพูดต่อว่า”คุณลุง เอาของพวกนี้มาจากไหนกัน ?สิบสองนักษัตรนี่ ยังขาดอีกหกอัน?”
ไม่ว่าจะเป็นของที่ร่วมเดินทางไปยังปรโลกหรือของเซ่นไหว้ โดยทั่วไปจะจัดเป็นชุดเป็นคู่ เยี่ยเทียนรู้ดีว่าของสิ่งนี้ไม่มีทางมีแค่หกอัน เป็นไปได้ว่ามีหยกอีกหกชิ้นที่เหลืออยู่ในมือของชายแก่
ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่หยกอีกหกชิ้นนั่นคือของขลัง เพราะของเซ่นไหว้หยกชุดนี้กินพื้นที่น้อย เวลาที่จัดวางตอนฝังศพจะถูกวางไว้ด้วยกันแน่นอน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ครึ่งหนึ่งเป็นของขลัง ส่วนอีกครึ่งเป็นจะเป็นแค่หยกธรรมดา
“แฮะ พ่อหนุ่ม ถามแบบนี้ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดนะ?” ถึงแม้ชายแก่จะไม่ใช่โจรขโมยสุสานที่เชี่ยวชาญ แต่เข้ามาอยู่ในวงการนี้ได้ ก็เพราะรู้ข้อกำหนดของภายในอยู่แล้ว ว่าการถามถึงประวัติความเป็นมานั้นเป็นข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุด
หลังจากได้ยินคำพูดของชายแก่แล้ว เยี่ยเทียนตอบกลับไปโดยพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาว่า “คุณลุง วงการนี้ผมทำไม่ได้ ผมไม่แย่งธุรกิจของลุงหรอกน่า ผมแค่อยากจัดหาหยกพวกนี้ให้เป็นชุด ถ้าลุงไม่มี งั้นก็ไม่เป็นไร!”
“เอ่อ……” ชายแก่เผลอแสดงสีหน้าลังเลออกมา
“ลุง ถ้าไม่มีไม่เป็นไร ฉันพูดความจริงกับลุงคำนึงนะ หยกพวกนี้เป็นเพราะลุงเจอฉัน ถ้าเป็นคนอื่นสามพันห้าพันก็ไม่เลวแล้ว!” เยี่ยเทียนเติมไฟให้ชายแก่
เยี่ยเทียนไม่ได้หลอกชายแก่ นักสะสมของโบราณที่มาแลกเปลี่ยนที่นี่พวกนั้นไม่มีใครไม่ใช่พ่อค้าหน้าเลือด
ของที่ชายแก่วางไว้ตรงนั้นกว่าครึ่งค่อนวัน ก็เหมือนกับเยี่ยเทียนพูด คงตั้งขายในราคาสามพันห้าพัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเยี่ยเทียนท้าทายกับเถ้าแก่อวี๋ ตกบ่ายชายแก่ก็คงขายแปดพันหนึ่งหมื่นไปแล้ว
ฉะนั้นหลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูด ชายแก่ไม่รู้สึกลังเลอีก ตอบกลับว่า”ตอนที่ขุดออกมามีสิบสองชิ้นนั่นแหละ เก็บไว้ในกล่องไม้อันหนึ่ง แต่เด็กๆในหมู่บ้านเห็นว่าเป็นนักษัตรของตัวเองจึงเอาไปเล่น……”
เล่าถึงตรงนี้ ชายแก่หยุดลงและแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมา”พ่อหนุ่ม ถ้าฉันรวบรวมหยกอีกหกชิ้นมาได้ เธอจะให้ฉันเท่าไหร่?”
ชายแก่เข้าใจดี หยกพวกนั้นมีมูลค่าไม่ถึงห้าแสน แต่บังเอิญเจอคนโง่ที่เงินเยอะขนาดนี้ เขาไม่มีวันทิ้งโอกาสครั้งนี้ไปแน่นอน
เยี่ยเทียนยื่นฝ่ามือออกไปแสดงท่าทางอย่างคนมีเงินเยอะต่อหน้าชายแก่และส่ายมือไปมา พูดต่อว่า”ราคาเดิม คุณลุง ถ้าเป็นของที่ตัวเองชอบ ฉันไม่สนใจเงินแค่นี้หรอก ขอแค่เอาอีกหกชิ้นมารวมกับพวกนี้ให้เป็นชุด ฉันให้ลุงอีกห้าแสน! “
“เธอพูดจริงเหรอ? ไม่ได้หลอกคนแก่อย่างฉันใช่ไหม?” ดวงตาชายแก่ลุกวาวทันที เขาแค่บอกเหตุผลสักอย่างกับเด็กพวกนั้นก็สามารถเอาหยกกลับมาได้แล้ว เงินห้าแสนก็เหมือนได้กำไรมาฟรีๆ
เยี่ยเทียนครุ่นคิดสักครู่หันไปขอนามบัตรกับเยี่ยตงผิงหนึ่งใบ เขียนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองไว้แล้วยื่นให้กับชายแก่ พูดต่อว่า “คุณลุง โทรเบอร์ไหนก็ได้ที่อยู่บนนี้ ขอแค่ของครบ ห้าแสนแม้แต่เฟินเดียวก็ไม่ขาดแน่นอน!”
“ได้เลยพ่อหนุ่ม เธอรอเลย ช้าที่สุดห้าวัน…… ไม่สิ สามวันแล้วฉันจะโทรหาเธอ!”
ชายแก่ยื่นสองมือที่สั่นเทาไปหยิบนามบัตรมา สี่แสนห้าที่เขาจะเก็บไว้เอง บวกกับคำสัญญาของเยี่ยเทียนอีกห้าแสน เท่านี้เขาก็สามารถซื้อบ้านในเมืองซักหลังไว้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ต้องอยู่ที่ชนบทอีก
“ตามนั้นนะลุง เรื่องนี้เรารู้กันสองคน ลุงอย่า……”
ชายแก่ไม่ว่ายังไง เพราะการแอบซื้อขายกับชายแก่เป็นการฝืนกฎของจี่หรานไปแล้ว พ่อเขายังต้องใช้ชีวิตอยู่ในวงการโบราณวัตถุอีก เยี่ยเทียนไม่ต้องการสร้างความวุ่นวายให้กับพ่อ
เยี่ยเทียนยังพูดไม่จบ ชายแก่ก็เข้าใจทันที รีบตอบกลับว่า”ฉันรู้ คนแก่อย่างฉันรู้ เธอสบายใจได้เลยพ่อหนุ่ม……”
ทั้งสองคนเพิ่งคุยกันเสร็จ จี่หรานผลักประตูเดินเข้ามา ยิ้มและถามว่า “เยี่ยเทียน มีธุระกับฉันหรือ?”
เยี่ยเทียนตอบกลับตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “พี่จี่ ฉันจะรูดเงินห้าแสนที่นี่ ถ้าพี่สะดวกพี่ช่วยเอาห้าแสนให้ลุงคนนี้หน่อย!”
“ได้สิ เรื่องเล็ก” จี่หรานตอบตกลง หันไปพูดกับพนักงานที่อยู่ด้านหลังว่า “ไปเอาเครื่องรูดบัตร แล้วก็หยิบเงินสดห้าแสนมาด้วย……”
ท่าทางของจี่หรานทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกพอใจ พี่คนนี้ใช้ชีวิตเป็นแถมรู้จักกาลเทศะ ไม่เอาใจใส่เกินไปแต่ก็สร้างความประทับใจเอาไว้
หลังจากโอนเงินให้จี่หรานเสร็จ เงินสดห้าแสนที่อยู่ในกระเป๋าเป้ก็ถูกเอามาวางไว้ตรงหน้าชายแก่ ตั้งแต่ใช้ชีวิตมากว่าห้าสิบปีชายแก่ยังไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน ขนาดมือที่เปิดกระเป๋ายังสั่นเลย
“คุณลุง เงินพวกนี้ลุงต้องเก็บดีๆนะ เอาไปฝากไว้ที่ธนาคารเลยจะดีที่สุด!”
เห็นท่าทางตื่นเต้นของชายแก่ เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ถูกหรือผิด หรืออาจจะเป็นการกระทำของคนเหล่านี้แหละ ที่ทำให้สุสานโบราณถูกทำลายด้วยน้ำมือของเกษตรกรพวกนี้
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จี่หรานยิ้มและพูดว่า “เยี่ยเทียน สบายใจเถอะ เรามีรถรับส่งเฉพาะให้กับทุกคน ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยแน่นอน”
“โอเค พี่จี่ วันนี้ขอบคุณพี่มาก!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ถามอย่างไม่ตั้งใจว่า “ว่าแต่พี่จี่ ปีนี้พี่อายุเท่าไหร่?”
“เหอะๆ ผ่านตรุษจีนก็จะสามสิบแล้ว มีอะไรรึเปล่าน้องเยี่ย?” คุณชายจี่ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจกับคำถามของเยี่ยเทียน แต่ก็ตอบกลับไปตรงๆ
เมื่อเห็นพนักงานพาชายแก่ออกไปแล้ว เยี่ยเทียนกดเสียงต่ำลงและพูดกลับว่า “พี่จี่ ถ้าพี่เชื่อฉัน พี่รีบจบๆมันไปเถอะ ไม่งั้นพี่จะโชคร้ายติดคุกภายในสองปีนะ!”
ถึงแม้จี่หรานจะไม่ทำเรื่องขุดสุสาน แต่เขาก็ให้สถานที่แก่คนเหล่านั้น ยังไงก็ได้รับกรรมทางอ้อม
เยี่ยเทียนสำรวจขมับกับมุมปากของจี่หรานพบว่าออกสีดำ ต้องเป็นแขกของเรือนจำแน่นอน หางตาออกช้ำ มีสีดำ ดวงตามีเส้นสีแดง ถ้ายังทำต่อไปยังไงเขาก็ต้องเข้าคุกตอนอายุสามสิบสอง
ตอนนี้ที่จี่หรานทำได้อย่างราบรื่นและไปได้ดี ก็เพราะว่าประเทศยังไม่เข้มงวด แต่ถ้าฝ่ายที่เกี่ยวข้องจริงจังขึ้นมา ถึงจี่หรานจะใช้อำนาจตระกูลของตัวเองมาช่วยก็ช่วยไม่ได้
เยี่ยเทียนไม่ชอบสร้างกรรมกับใคร วันนี้เขาได้ของขลังมาหกชิ้น เขาชี้แนะวิธีแก้ไขให้ถือว่าได้คืนหนี้บุญคุณเขาแล้ว
“อะไรนะ?!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของจี่หรานเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ความจริงแล้วคนที่ทำงานวงการนี้มักมีความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนเส้นเหล็ก แต่ก็เพราะวงการนี้ได้ผลประโยชน์สูงมากทำให้เขาไม่อยากวางมือ
“เหอะ ฉันพูดแค่นี้แหละ จะทำยังไงก็แล้วแต่พี่จี่……”
เยี่ยเทียนยิ้มแห้งๆ หนี้บุญคุณที่เขาติดจี่หรานมีค่าแค่คำๆนี้ แต่คำๆนี้มีมูลค่าสูงถึงทองพันชั่ง ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนฉลาดเขาจะวางมือจากกิจการ แต่ถ้าจี่หรานเป็นคนโลภ แม้แต่เทวดาก็ช่วยเขาไม่ได้
“ขอบคุณนะ ฉันจะคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ดู”
จี่หรานพยักหน้า ท้ายที่สุดเขามีกลุ่มผลประโยชน์หนึ่งกลุ่ม ถึงเขาอยากวางมือแต่ก็ต้องใช้เวลา
สั่งเสียจี่หรานเสร็จ เยี่ยเทียนไม่ได้ไปดูการประมูลข้างล่างต่อ หลังจากที่เขาพักผ่อนซักครึ่งชั่วโมงในห้องเสร็จ เขากับเยี่ยตงผิงมองเห็นรถซีดานโทรมๆขับออกจากลาน
แน่นอน ของที่ซื้อมาเก็บไว้ที่รถของเยี่ยตงผิงตั้งแต่ต้นแล้ว วัตถุโบราณพวกนี้ไม่ได้คิดเงินตามปริมาตร ของที่ซื้อมาด้วยเงินห้าแสนยังใส่ท้ายรถไม่เต็มเลย
“เสี่ยวเกอ เยี่ยเทียน กลับมากันแล้วเหรอ?”
ตั้งแต่ที่ออกจากบ้านของจี่หราน เยี่ยตงผิงโทรหาหลิวเวยอันให้ปิดร้านกลับบ้านเลย แต่พอรถเพิ่งขับเข้าเรือนสี่ประสาน หลิวเวยอันก็มาต้อนรับ รับกระสอบในมือของเยี่ยตงผิงไป
ของที่ออกมาจากดินมันจะถูกกัดเซาะด้วยดินกับน้ำใต้ดินและต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษหลังจากที่ซื้อมา เยี่ยตงผิงพาเยี่ยเทียนตรงไปที่ห้องเก็บของ
สองปีมานี้เยี่ยตงผิงเอาของเข้ามาในนี้ไม่น้อย เวลาจัดการขึ้นมาจึงทำได้คล่องมือมาก เหลือแต่ของชิ้นสุดท้ายของเยี่ยเทียน โคมไฟทองแดงกับหินหยกพวกนั้น
เยี่ยเทียนเลือกจากหินหยกทั้งหกและหยิบหยกหัวเสือออกมายื่นไปให้เยี่ยตงผิง พูดว่า “พ่อเกิดปีเสือใช่มั้ย?หยกอันนี้พ่อหาคนเจาะรูแล้วเลี้ยงไว้สิ แล้วก็ห้ามขายเด็ดขาดนะ ไม่ว่าเขาจะให้ราคาเท่าไหร่ก็ห้ามขาย!”
“นี่คือของขลังเหรอเยี่ยเทียน?” หลิวเวยอันเห็นหินหยกที่เยี่ยเทียนหยิบออกมาตกใจไปสักครู่
เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว อาเขย ในนี้ไม่มีนักษัตรที่น้าเกิด น้ารอวันสองวันนะ เดี๋ยวฉันหามาให้อาหนึ่งอัน!”
หลิวเวยอันปัดมือตอบว่า”ฉัน……ฉันไม่กล้าใส่หรอก ของแพงขนาดนี้?”
“อาเขย ไม่มีของขลังใส่กับตัวแล้วจะขับไล่ภัยร้ายได้ยังไง?” เยี่ยเทียนหัวเราะ มือนึงหยิบโคมไฟทองแดงขึ้นมาพูดว่า”พ่อ อาเขย ฉันไปก่อนนะ ต้องไปจัดการของเล่นนี้หน่อย”
ตอนที่ 229
เรือนใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดิมทีเยี่ยเทียนอยากจัดของขลังป้องกันตัวให้คนในครอบครัวคนละหนึ่งอันอยู่แล้ว แต่เพราะของขลังที่อยู่ในมือมีไม่พอ ในที่สุดก็มีลู่ทางแล้วเยี่ยเทียนแสดงรอยยิ้มออกมา
แต่ครั้งนี้ได้ของขลังมาแค่หกชิ้น ดวงตาค่ายกลในเรือนสี่ประสานต้องใช้สองชิ้น ส่วนที่เหลือไม่ใช่นักษัตรของคุณลุงคุณป้า เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนจะรอของขลังที่เหลือจากตาแก่ก่อนแล้วค่อยให้คุณลุงคุณป้าอีกที
เยี่ยเทียนเพิ่งเดินออกมาจากห้องเก็บของ เห็นลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงลุกลี้ลุกลนวิ่งออกมาจากห้องพร้อมตะโกนออกมาว่า “หลันหลัน เหมาโถวล่ะ?”
“เหมาโถว” คือลูกตัวเฟอร์เรตที่เยี่ยเทียนเลี้ยง เจ้าตัวนี้ขี้ซนน่ารักมาก เยี่ยเทียนเลยตั้งชื่อให้มันว่าเหมาโถว ผู้หญิงในบ้านไม่มีใครไม่ชอบเจ้าตัวนี้
“พี่ เมื่อกี้มันยังดีดีอยู่เลย หันแว๊บเดียวไม่รู้ว่าวิ่งไปไหนแล้ว? ฉันกำลังหามันอยู่”
“เสียงถอนหายใจ ไม่ต้องหาแล้ว อยู่นี่ไง” เยี่ยเทียนจู่ๆก็รู้สึกกางเกงถูกดึงพอก้มลงดู ลูกตัวเฟอร์เรตกำลังใช้เล็บเท้าทั้งสี่อันเกาะและไต่ขึ้นมาที่กางเกง
“เจ้าเหมาโถวนิสัยไม่ดี พอเห็นพี่ก็ไม่สนใจฉันเลยนะ” เหมาโถวทำท่าทางอ้อนเยี่ยเทียนจนหลิวหลันหลันรู้สึกอิจฉา
“เอาน่า เปิดเรียนแล้วรีบไปดูหนังสือได้แล้ว” เยี่ยเทียนยิ้มและลูบหัวน้องสาว พร้อมใช้มือจับเหมาโถววางไว้ที่หัวไหล่ของตัวเอง
เจ้าตัวนี้โตเร็วมาก กลับมาไม่กี่วันจากตัวเท่าฝ่ามือ ตอนนี้ยาวเกือบๆสามสิบเซ็นแล้ว ขนสีบลอนด์ทั้งตัวสวยงามมาก
เยี่ยเทียนพาเหมาโถวถือโคมไฟทองแดงเดินมาถึงห้องนอนตัวเองที่อยู่ข้างหลัง วางโคมไฟไว้บนโต๊ะเสร็จก็เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ ออกมาอีกทีก็รู้สึกถึงพลังพิฆาตที่กำลังกระจายอยู่ในห้อง
“ของดีจริงๆ!”
ของขลังแบบนี้ สำหรับการก่อตัวของมันมีเงื่อนไขที่สูงมาก ไม่เพียงแต่หลุมคนตายจะต้องเป็นทำเลที่มีพลังชั่วร้าย และตัวของผู้ตายจะต้องมีแรงอาฆาตอีกด้วย ด้วยวิธีนี้จึงจะสามารถสร้างทำเลที่พลังหยินสามารถไปหล่อเลี้ยงภาชนะวัตถุข้างในได้ ประเทศจีนมีสุสานโบราณมากกว่าสิบล้านแห่ง แต่มีไม่มากที่ตรงกับเงื่อนไขนี้
“เอ๋ เจ้าตัวนี้นี่ มันเกิดอะไรขึ้น?”
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนแปลกใจคือ เจ้าตัวเฟอร์เร็ตเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบของพลังพิฆาตเลย มันนอนหรี่ตาอยู่ใต้โคมไฟนกกระจอกชาดอย่างสบาย พอเห็นเยี่ยเทียนเดินมาก็กางแขนกางขาอยู่ตรงนั้นแสดงออกมาเหมือนมนุษย์มาก
“เจ้านี่มันเกิดบนภูเขาหิมะ คงเคยชินกับอากาศเย็นแบบนี้แหละมั้ง?” เยี่ยเทียนครุ่นคิดได้สักครู่และตอบกับตัวเอง
ห้องที่เต็มไปด้วยพลังพิฆาตยังไงก็ทำให้คนรู้สึกอึดอัด เยี่ยเทียนยืนอยู่ข้างหน้าโคมไฟนกกระจอกชาด มือสองข้างแตะมุทราขณะเดียวกันรวบรวมพลังชี่ดั้งเดิมในตัว ภายในห้องลมพัดดุจพายุหมุน พลังพิฆาตนั้นถูกเยี่ยเทียนรวบเก็บทันที
“เก็บไว้ก่อนดีกว่า วันหลังอาจจะได้ใช้!”
อาวุธสังหารไม่เพียงแต่เอามาเป็นดวงตาของค่ายกล เสริมกำลังแห่งการฆ่าได้ ในขณะเดียวกันมันสามารถใช้ควบคุมพลังพิฆาต แก้ไขฮวงจุ้ยของจุดสะสมพลังพิฆาตบางอย่าง บางครั้งประโยชน์ของมันยังสำคัญกว่าของขลังเสียอีก
แต่การเก็บสะสมอาวุธสังหารไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เพียงแต่ต้องรักษาไม่ให้พลังพิฆาตของอาวุธสังหารหายไป แต่ยังต้องคิดหาวิธีหล่อเลี้ยงมันไว้ด้วย
เยี่ยเทียนคิดดีแล้ว ถ้าค่ายกลของเรือนสี่ประสานตั้งเสร็จแล้ว เขาจะเอาโคมไฟนกกระจอกชาดอันนี้วางไว้ที่จุดหยิน และใช้พลังพิฆาตที่อยู่ภายในพระราชวังต้องห้ามมาหล่อเลี้ยงมัน ถ้าหากโชคดี ของขลังชนิดอื่นเช่น”ไร้ร่องรอย”อาจจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“จีจี……จีจี!” สัมผัสได้ถึงพลังพิฆาตที่หายไปแล้ว จู่ๆเหมาโถวก็คลานที่โต๊ะหมุนรอบโคมไฟนกกระจอกชาด ท้ายที่สุดก็ใช้เล็บอุ้มโคมไฟเอาไว้แสดงสีหน้าที่เพลิดเพลิน
“พอแล้ว ไม่ใช่ตะเกียงวิเศษอาหรับซะหน่อย ไม่ต้องคิดแล้ว……”
เห็นท่าทางของเหมาโถวเยี่ยเทียนก็อดขำไม่ได้ เขาไม่ได้สนใจมันอีก แต่กลับไปหาพู่กัน ผงสีแดง กระดาษสีเหลืองและเริ่มวาดยันต์ที่โต๊ะ
หลังจากโรคที่ไม่อาจเปิดเผยได้ในร่างกายได้รับการรักษาโดยใช้บัวหิมะเทือกเขาเทียนซานจนหาย นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนทำยันต์ เยี่ยเทียนรวบรวมให้พลังชี่ดั้งเดิมอยู่ตรงปลายพู่กัน ขยับพู่กันดั่งโบยบิน เพียงแค่อึดใจเดียวเขาก็วาดยันต์เสร็จ
“ยันต์ผนึก ผลสัมฤทธิ์เป็นยังไงไม่รู้?”
ยันต์ที่เยี่ยเทียนวาดเป็นยันต์ที่ผนึกพลังพิฆาต ผลสัมฤทธิ์ของมันคล้ายๆ “หินไท่ซานมหามงคล” ของหมู่บ้าน ปกปักรักษาบ้านเรือนไม่ให้กระแสพลังพิฆาตเข้าใกล้
หลังจากที่เยี่ยเทียนหยิบโคมไฟนกกระจอกชาดและจับเจ้าเหมาโถวที่เกาะอยู่ลงมาแล้ว จากนั้นก็นำยันต์ห่อที่หลอดไฟ ทันใดนั้น พลังพิฆาตที่ไหลออกมาถูกเก็บเข้าโคมไฟทองแดงทั้งหมด
“จีจี……จีจี……”
เสี่ยวเหมาโถวจู่ๆก็พุ่งเข้าหาเยี่ยเทียนและร้องขึ้นมา คงรู้สึกว่าพลังพิฆาตที่ชอบหายไปแล้ว ขณะเดียวกันก็ปีนป่ายขึ้นหัวเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็วดุจฟ้าผ่า โกรธจนใช้เล็บดึงผมของเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนคว้าเหมาโถวลงมา หัวเราะและพูดว่า “อย่าซนเลยน่า อีกไม่กี่วันเรือนสี่ประสานก็สร้างเสร็จแล้ว ที่นั่นมีพลังพิฆาตเยอะมาก แกจะเล่นยังไงก็เล่นตามสบายเลย……”
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเฟอร์เร็ตเข้าใจคำพูดของเยี่ยเทียนมั้ย มันกรอกตาไปหนึ่งรอบจากนั้นกระโดดออกจากมือของเยี่ยเทียนและวิ่งออกไปลานข้างนอก
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจมันอีก เจ้าตัวเล็กนี่เข้าใจนิสัยมนุษย์ดีมาก มันจะไม่วิ่งออกจากเรือนสี่ประสานเลย และที่สำคัญตั้งแต่เหมาโถวมาอยู่ที่บ้าน หนูที่ออกมาบ่อยๆตอนนี้ก็หายไปแล้ว
………………
ในไม่กี่วันข้างหน้า เยี่ยเทียนจะรอโทรศัพท์ของชายแก่อยู่ที่บ้าน
รอจนถึงวันที่สี่ ชายแก่เพิ่งจะโทรศัพท์มา พูดกับเยี่ยเทียนอย่างละอายใจว่าเขาหามาได้แค่ห้าชิ้น
ของขลังหยกอีกหนึ่งชิ้น หลานชายของตาแก่เป็นคนใส่ไว้ แต่เมื่อวันก่อนหลานชายนั่งรถขยะเข้าไปในเมือง รถขยะนั่นตกลงไปในท่อ เด็กนั่นไม่เป็นอะไรแต่หยกดันแตกหัก
หลังจากได้ยินสิ่งที่ตาแก่เล่าแล้ว เยี่ยเทียนถอนหายใจและทำอะไรไม่ได้ พูดได้แค่หลานชายของตาแก่โชคดีมาก เป็นเพราะของขลังชิ้นนั้นช่วยให้เขารอดพ้นจากภัย
เยี่ยเทียนเองไม่ได้รู้สึกเสียดาย เขาเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องวิชาอยู่แล้ว และรู้หลักเหตุผลข้อกำหนดนั้นมีห้าสิบ ฟ้าสำแดงเพียงสี่สิบเก้า ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีสิ่งไหนสมบูรณ์ ล้วนแต่มีข้อบกพร่องบางอย่าง และทุกสิ่งไม่มีอะไรแน่นอน แต่มีโอกาสอยู่เสมอถึงจะเป็นสิ่งที่ดี
และแน่นอนว่าเมื่อชายแก่ไม่สามารถจัดสิบสองนักษัตรให้เยี่ยเทียนได้ ทำให้มีเหตุผลในการไปกดราคา สุดท้ายแล้วเขาใช้เงินสามแสนรับซื้อของขลังอีกห้าชิ้นที่เหลือมาได้ เงินทีหาได้จากตู้เฉียงมาหนึ่งล้าน ตอนนี้เหลือแค่สองแสน
เยี่ยเทียนเคยสงสัยห้าขาดตกสามบกพร่องของตัวเอง จะเป็นเรื่องที่ขาดเงินจริงๆ?เพราะหลายปีมานี้เขาหาเงินได้หลายล้าน แต่ในมือกลับไม่เคยมีเงินเหลือ
แน่ละ มันเป็นเพียงความสงสัยของเยี่ยเทียน ถึงแม้เก็บเงินไม่อยู่แต่เงินก็ไม่เคยขาดมือ หลังจากที่ได้รับของขลังหยกจากตาแก่แล้ว เยี่ยเทียนก็เรียกคนในบ้านมารวมตัวกันและแจกของขลังให้กับทุกคนไป
บ้านคุณลุงคุณป้าของเยี่ยเทียนมีสมาชิกห้าคน ลู่เชินมีของขลังแล้วหนึ่งอัน บวกกับคุณป้ากับอาเล็กและ หลิวหลันหลันเยี่ยเทียนแจกของขลังนักษัตรไปทั้งหมดเจ็ดชิ้น
หลิวหลันหลันกับอวิ๋นซีเกิดปีเดียวกัน เยี่ยเทียนจึงหานักษัตรที่มีความเชื่อมโยงกันกับปีนักษัตรของเธอให้กับเธอไป
ของขลังหยกพวกนี้ฝังอยู่ในสุสานเป็นเวลานาน ความวาวของพื้นผิวภายนอกมีความขุ่นมัวบ้าง นอกจากคนที่รับรู้พลังชี่หยินหยางของฟ้าสวรรค์อย่างเยี่ยเทียนแล้ว คนทั่วไปที่เห็นอาจจะจะไม่สนใจ เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนไม่กลัวคนที่เห็นของมีค่าแล้วเกิดความคิดขึ้น
หลังจากเหตุการณ์การไม่ได้สติของลู่เชินครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนในบ้านเยี่ยหรือคนในบ้านลู่ ต่างก็เห็นถึงความสำคัญของของขลังแล้ว สำหรับของขลังหยกที่เยี่ยเทียนให้ ทุกคนต่างก็พกไว้ติดตัวอย่างระมัดระวังและให้ความสำคัญที่สุด
ต่อจากนี้ระยะหนึ่ง ก็น่าจะไม่มีเรื่องไม่เป็นเรื่องมากวนใจเยี่ยเทียนอีก เขาพาเสี่ยวเหมาโถวกลับไปที่เรือนสี่ประสานทั้งสองใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ในแต่ละวัน
พอถึงช่วงเดือนตุลาคม อากาศของปักกิ่งจะค่อยๆเริ่มหนาวขึ้น ใบไม้ของต้นตั๊กแตนแก่ต้นนั้นก็เริ่มร่วงโรยสู่พื้น และเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนก็ถึงเวลาเก็บงานแล้ว
การปรับเปลี่ยนเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียน สิ่งที่ปรับคือการสร้างสภาพแวดล้อมมากกว่า ภายในและภายนอกของสิ่งก่อสร้างหลักมีการปรับปรุงใหม่บ้าง แต่ไม่ได้ทำอะไรกับเสาหลักของภายในเรือน เพราะฉะนั้นก็ลดพิธีตอกเสาเข็มบ้านที่สำคัญลงไปได้
วันที่เก็บงาน เว่ยหงจวินมาถึงเรือนสี่ประสานเช่นกัน เยี่ยตงผิงปิดร้านค้าที่เขตพานเจียหยวน และคนอื่นๆทั้งพี่ทั้งน้องต่างก็มารวมตัวกันที่บ้านใหม่ของเยี่ยเทียน
“ลุงเว่ย ขอบคุณลุงมากจริงๆ”
สำหรับเว่ยหงจวินไม่ต้องเกรงใจมากขนาดนั้น เยี่ยเทียนถือซองสีแดงไว้ในมือ มองไปที่หวังกงซึ่งเป็นคนสนิทของเว่ยหงจวินและพูดว่า
“หวังกง นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆของฉัน คุณรับไปสิ นี่เป็นอั่งเปาของแรงงานทุกคน คุณเอาไปแจกละกันนะ……”
“เห้ ไม่ต้อง เยี่ยเทียน ไม่ต้องจริงๆ!”ต่อหน้าเจ้านาย หวังกงกล้ารับอั่งเปาของเยี่ยเทียนที่ไหนละ? มือเอาแต่ผลักออก
เว่ยหงจวินขำขึ้นพูดว่า” หวังกง รับไปเถอะ แต่ห้ามมีครั้งต่อไปนะ……”
“ขอบคุณท่านประธานเยี่ยมากครับ ขอบคุณครับเถ้าแก่!” เว่ยวงจวินพูดแล้ว หวังกงจึงกึ่งผลักกึ่งรับอั่งเปานั่นมา
ถึงแม้จะไม่เปิดดู แต่พอใช้มือลองจับ หนาขนาดนี้อย่างน้อยๆก็ห้าพันหยวน ทำให้หวังกงแสดงความดีใจออกมา ในใจก็ชื่นชมเยี่ยเทียนว่าเป็นคนที่อยู่เป็น
“เปิดประตูฟ้า เปิดประตูดิน เงินทองผู้คนต่างเข้ามา ผู้มีคุณธรรมสูงปรากฎขึ้นเข้าสู่ประตู! “
พอถึงเวลาเที่ยงวัน หลังจากที่เยี่ยเทียนจุดประทัดดังห้าพันครั้งที่แขวนไว้หน้าประตูเรือนใหม่เสร็จแล้ว จึงนำยันต์ที่ทำขึ้นเองมาเผา ปากขยับไม่กี่คำพิธีขึ้นบ้านใหม่เป็นอันว่าเสร็จสิ้น
แน่นอนว่าข้าวมื้อเที่ยงกินในบ้านใหม่หลังนี้ แต่นอกจากเว่ยหงจวินแล้ว คนอื่นๆไม่ได้ถูกเชิญมา ข้าวมื้อนี้เริ่มกินจนเสร็จก็เป็นเวลาสี่ห้าโมงเย็นแล้ว เว่ยหงจวินร่ำลาเสร็จก็กลับไป
หลังจากที่ส่งเว่ยหงจวินเสร็จแล้วก็กลับไปที่ห้องด้านข้าง เยี่ยเทียนพูดกับทุกคนในบ้านว่า”พ่อ ป้าใหญ่ พวกเธอกลับไปเถอะ ช่วงกลางคืนฉันจะผนึกเรือนที่นี่ พวกเธอไม่ต้องมานะ……”
เรือนสี่ประสานถึงแม้ว่าจะปรับเปลี่ยนเสร็จแล้ว แต่เยี่ยเทียนยังไม่ได้เริ่มใช้ค่ายกล ฮวงจุ้ยในเรือนถึงจะไม่เลว แต่สิ่งที่เยี่ยเทียนคาดหวังยังต่างจากตอนนี้มาก มีเพียงเริ่มใช้ค่ายกลแล้วจึงจะนับได้ว่าเป็นทำเลที่มีฮวงจุ้ยดีมาก
ตอนที่ 230
ค่ายกลเฉียนคุนรวมพลังหลิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับเรือนของเยี่ยเทียนหลังใหม่นี้ เว่ยหงจวินใช้ความคิดไปไม่น้อย นอกจากเรื่องเงินที่เขาไม่ได้ออกแล้ว เรื่องอื่นๆในบ้านที่เขาสามารถนึกขึ้นได้ เขาก็ทำทุกอย่างจนเสร็จ
ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ในห้องไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและระบบเครื่องทำความเย็นกับความร้อนก็คงไม่ต้องพูดถึง เขาสั่งให้คนเอาต้นเศรษฐีเรือนใน ว่านหางจระเข้และต้นลิ้นมังกรไปไว้ทุกห้อง เพื่อใช้ต้นไม้พวกนี้ดูดซึมอากาศที่เป็นพิษภายในห้อง
และสั่งให้คนซื้อถ่านกัมมันต์มาไม่น้อย ไว้สำหรับวางตามมุมต่างๆของห้อง สีทาบ้านที่ใช้และอุปกรณ์วัสดุก่อสร้างต่างๆล้วนเป็นของที่ระดับมลพิษต่ำมาก บวกกับการระบายอากาศที่ดีทำให้เยี่ยเทียนสามารถเข้ามาอยู่ได้ทันที ถึงแม้เพิ่งจะสร้างเสร็จก็ตาม
หลังจากที่ส่งเว่ยหงจวินกับคนที่บ้านเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็ปิดประตูเรือนสี่ประสาน เสียงของข้างนอกถูกกั้นออกไปทันที เวลาเงยหน้าขึ้นสิ่งที่มองเห็นนอกจากกำแพงสูงแล้วก็คือท้องฟ้า สายตาจะมองไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างอื่นๆเลย
และนี่เป็นจุดเด่นของการพักอยู่ใกล้ๆพระราชวังต้องห้าม เพื่อคงความเป็นเมืองหลวงแบบโบราณเอาไว้ สิ่งปลูกสร้างในวงแหวนรอบสองล้วนถูกจำกัดความสูง เวลาปิดประตูเรือนสี่ประสาน มันคือสวรรค์น้อยๆที่แยกออกจากโลกภายนอกนั่นเอง
“อยู่เรือนใหญ่ขนาดนี้คนเดียว สิ้นเปลืองจริงๆ?” มองดูประตูบานใหญ่ของเรือนที่เพิ่งปรับแก้เสร็จ เยี่ยเทียนก็รู้สึกประทับใจไม่น้อย
จากข้างหน้าถึงข้างหลังมีทั้งหมดสามช่วงมีห้องด้านข้างสิบกว่าห้อง เพียงพอสำหรับเจ็ดแปดครอบครัวเลยทีเดียว และมีเฟอร์นิเจอร์ครบทุกห้อง แต่ตอนนี้มีแค่เยี่ยเทียนคนเดียวที่อยู่เรือนนี้
ถ้าพูดจากมุมของฮวงจุ้ย ห้องที่ใหญ่เกินไปและมีคนอาศัยอยู่น้อยพลังชี่ชีวิตจะถูกดึงออกไป ทำให้พลังพิฆาตเข้ามาแทนที่ในแนวราบ ซึ่งคัมภีร์โบราณเกี่ยวกับฮวงจุ้ยเคยกล่าวไว้แล้วว่า “ห้องใหญ่คนน้อย เป็นห้องอัปมงคล”
เยี่ยเทียนเดินอยู่ในเรือนสี่ประสานที่กว้างใหญ่หลังนี้ รู้สึกได้จริงๆว่าอุณหภูมิที่นี่ต่ำกว่าข้างนอกไม่น้อยทีเดียว
เมื่อก่อนเยี่ยเทียนเปิด”ประตูผี” ทำให้พลังพิฆาตที่เข้ามายังกำจัดไม่หมด แม้ว่าต้นไม้ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวจะถูกย้ายไปข้างหน้าข้างหลังหลายช่วงของเรือนโดยเว่ยหงจวินแล้วก็ตาม แต่ก็ยังวิเวกวังเวงอยู่ดี
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนที่ขี้กลัวนิดหน่อย คงไม่กล้าอยู่ที่นี่คนเดียวแน่ๆ แต่สำหรับเยี่ยเทียนที่นี่กลับเป็นสถานที่ที่ฝึกกำลังภายในที่ดีที่สุดเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าต้องรอเขาเปิดใช้งานค่ายกลก่อน ไม่เช่นนั้นสถานที่ใหญ่ขนาดนี้ ถ้ามีเขาอาศัยอยู่คนเดียวละก็ คงจะเป็นดั่งคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า”ห้องใหญ่คนน้อย เป็นห้องอัปมงคล”จริงๆ
พอถึงช่วงค่ำ เยี่ยเทียนได้แวะกลับไปที่เรือนเก่าและกินข้าวเย็นง่ายๆที่นั่น จากนั้นเขาก็เอาของที่เก็บจากห้องเดิมไปไว้ที่เรือนสี่ประสานของตัวเอง กลับมาครั้งนี้มีเจ้าหางสั้นตามมาด้วยหนึ่งตัว
เสี่ยวเหมาโถวตามเยี่ยเทียนมาที่บ้านหลังนี้หลายต่อหลายครั้ง ดูเหมือนมันรู้ว่าต่อไปนี้ตัวเองจะอยู่ที่นี่ยาว จึงตื่นเต้นไม่หยุด หลังจากที่เข้ามาถึงข้างในมันก็กระโดดและหายเข้าไปทันที ไม่รู้ว่าวิ่งไปอยู่มุมไหนแล้ว
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจเจ้าตัวน้อยนั่นอีก เขากลับไปที่ห้องของตัวเองเริ่มนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ เขาจะปรับสภาพร่างกายของตัวเองให้อยู่ในจุดที่ดีที่สุด เพื่อที่จะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลได้อย่างสำเร็จ
ค่ายกลที่เยี่ยเทียนติดตั้งไว้ มีชื่อเรียกว่า “ค่ายกลเฉียนคุนรวมพลังหลิง” ถ้าอธิบายตามหลักของฮวงจุ้ย เฉียนคุนคือสองในแผนผังแปดทิศ เป็นตัวแทนแห่งฟ้าและตัวแทนแห่งดิน ซึ่งทำให้เกิดหยินหยาง ชายหญิงและสรรพสิ่ง
ค่ายกลที่เขาสืบทอด นี่เป็นหนึ่งในค่ายกลที่เข้มงวดที่สุด โดยปกติมีเพียงที่ๆมีจุดคู่หยินหยางเท่านั้นถึงจะมีหวังตั้งค่ายกลให้สำเร็จ แต่เพราะเงื่อนไขนั้นมีจำกัด ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็รู้ว่ากลุ่มคนที่มีความสามารถที่ซ่อนตัวอยู่ตามภูเขาแม่น้ำ พวกเขานั้นสามารถทำได้
แต่ตัวเยี่ยเทียนกลับเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า ที่แห่งนี้อยู่เขตพื้นที่เมืองหลวง เป็นแหล่งรวบรวมพลังชี่โชคชะตาไว้เป็นหนึ่งเดียว กล่าวได้ว่าเป็นหยาง ขานได้ว่าเป็นสวรรค์
แต่พลังพิฆาตที่สะสมมาเรื่อยๆนานเป็นร้อยๆปีของพระราชวังต้องห้ามและสถานที่นี้เป็นแหล่งตัวแทนหยินขั้นสุดอีกด้วย หากเป็นเช่นนี้หยินหยางมีพร้อม ทุกอย่างก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดของค่ายกลเฉียนคุนรวมพลังหลิง
แต่การจะนำและย้ายพลังชี่โชคชะตาเขตเมืองหลวงกับพลังพิฆาตในพระราชวังนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับกำลังของเยี่ยเทียนอาจจะทำได้แต่ต้องฝืน ถ้าผิดพลาดเพียงขั้นตอนเดียว มีความเป็นไปได้ว่าความพยายามที่ทุ่มเทนั้นจะสูญเสียเปล่าๆ
ดังนั้นทุกสิ่งที่ต้องเตรียมล้วนจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อย แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าวู่วามเลยแม้แต่น้อย แล้วถ้าค่ายกลไม่ทำงาน พลังชี่ดั้งเดิมที่เขานำและย้ายทั้งหมด เป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง
เยี่ยเทียนนั่งสมาธิใช้เวลาไปแล้วกว่าสามสี่ชั่วโมง พอถึงช่วงกลางดึกสี่ทุ่ม เยี่ยเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่จู่ๆก็เปิดม่านตาขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแสงสว่างขึ้นและหายไป
ในเวลานี้เยี่ยเทียนรู้สึกสภาพร่างกายของตัวเองดีมาก ถึงแม้จะให้ฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาให้อาจารย์ผู้เฒ่าอีกครั้งหนึ่งก็ตาม เยี่ยเทียนมั่นใจว่าจะทำสำเร็จแน่นอน และแน่นอน ผลที่ตามมาก็คงเป็นเหมือนเดิม เขาจะถูกพลังตีกลับ ความรู้สึกมันทรมานจนเหมือนเจ้าลูกหมาเลยทีเดียว
เยี่ยเทียนลุกขึ้นและหยิบของขลังนักษัตรที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกสองชิ้น และเดินออกไปจากห้อง เงยหน้ามองสีท้องฟ้า ตอนนี้เพิ่งผ่านพ้นวันไหว้พระจันทร์ พระจันทร์และดวงดาวจึงแจ่มชัด แสงดาวสีเงินตกลงมาที่ลานสวน
ก่อนอื่นเยี่ยเทียนเดินมาถึงข้างหน้าเรือน นำของขลังหนึ่งเม็ดวางไว้จุดใดจุดหนึ่งของสวนดอกไม้ ที่ตรงนี้เยี่ยเทียนสั่งให้คนเว้นที่ไว้ทำเป็นหลุมเท่าฝ่ามือไว้หนึ่งอัน ทำจากหินอ่อนขาวทั้งหมด
หลังจากนำของขลังใส่เข้าไปในหลุมสีขาว จากนั้นก็ใช้ฝาที่ทำจากหินอ่อนขาวเช่นกันล็อกเข้าไป ปิดสนิทดุจกล่องลับหนึ่งกล่อง
วางของขลังเสร็จ เยี่ยเทียนเดินมาถึงท้ายเรือน และนำของขลังอีกหนึ่งชิ้นใส่ไว้ในดวงตาของค่ายกล หินอ่อนขาวจะช่วยดูดและกระจายพลังหลิง ในสถานการณ์ที่ไม่มีกำลังเงินในการใช้หินอ่อนขาวทั้งหมด เยี่ยเทียนทำได้เพียงยอมแล้วค่อยใช้ครั้งต่อไป
หลังจากที่วุ่นวายกับสิ่งเหล่านี้จนเสร็จ เยี่ยเทียนก็มาถึงบริเวณกลางของเรือน เงยหน้ามองฟ้า การเป็นซินแซจะต้องเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ และเยี่ยเทียนกำลังดูการทำงานของเวลา บางครั้งเวลาที่โหราศาตร์คุมอยู่มีความแม่นยำมากกว่าเข็มนาฬิกาในยุคปัจจุบันเสียอีก
“ได้เวลาแล้วละ ยามไฮ่กำลังจะหมุนไปยามจื่อแล้ว!” ยืนตรงเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ดวงตาของเยี่ยเทียนสว่างขึ้นอย่างดุร้าย ปากพูดออกเสียงต่ำว่า “เฉียน!”
ในขณะที่พูด สองมือของเขาประสานออกมาเป็นเครื่องหมายอจละ ทันใดนั้นร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นใหญ่และสูงดุจเทือกเขาไท่ซานมั่นคงสูงสุด มีพลังนึงพุ่งทยานขึ้นสู่ฟ้า
เมื่อพลังที่ออกมาจากบนตัวของเยี่ยเทียนพุ่งถึงจุดสูงสุดแล้ว เยี่ยเทียนเริ่มขยับเท้า มุทราก็เปลี่ยนตามพร้อมพูดออกมาว่า “ปิง”
คำว่า”ปิง”ในเวทเก้าอักษรเป็นตัวแทนของพลังชีวิต หลังจากที่เยี่ยเทียนตะโกนออกมา พลังชี่ดั้งเดิมรอบตัวทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใบไม้ที่ร่วงจากต้นไม้ใหญ่กลางเรือนปลิวและม้วนดุจพายุหมุน
ภายใต้การควบคุมอย่างมีสติของเยี่ยเทียน พลังชี่ดั้งเดิมที่ออกมาจากบนตัวเขากลับพุ่งเข้าหาประตูผีโดยตรง ตอนนี้ประตูผีกั้นนอกไม่กั้นใน ทำให้พลังชี่ดั้งเดิมที่ถูกเยี่ยเทียนคุมอยู่ทะลุเข้าประตูผีในพริบตาเดียว และไปเชื่อมต่อกับพลังพิฆาตที่แน่นหนาของพระราชวังต้องห้าม
ณ เวลานี้ยามไฮ่กำลังจะหมุนไปยามจื่อ ซึ่งยามจื่อเป็นช่วงหยินสุดท้ายของวัน พลังพิฆาตภายในพระราชวังต้องห้ามกำลังจะถึงจุดสูงสุดเช่นกัน เพิ่งสัมผัสไม่ทันไรร่างกายของเยี่ยเทียนก็สั่นอย่างรุนแรงอีกทั้งยังกระอักเลือดออกมา
“แม่งเอ้ย ดีนะที่กำลังของฉันฟื้นฟูแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่สามารถทำให้ค่ายกลเริ่มทำงานได้!”
เยี่ยเทียนพบว่าตนเองมองพลังพิฆาตของพระราชวังต้องห้ามที่สะสมไว้ร้อยปีต่ำไป ขณะเดียวกันเขาก็มั่นใจในความสามารถของตนเองสูงไป
ถ้าแผลภายในไม่ได้รักษาด้วยบัวหิมะของเทือกเขาเทียนซาน เฉพาะพลังชี่ดั้งเดิมในตัวของเขา แค่สัมผัสพลังพิฆาตพริบตาเดียวเยี่ยเทียนก็คงได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและคงไม่ใช่แค่กระอักเลือดแค่นี้แน่นอน
แต่ผลตอบแทนของการกระอักเลือดในครั้งนี้ กลับทำให้เยี่ยเทียนสามารถเชื่อมต่อกับพลังพิฆาตของพระราชวังต้องห้าม ซึ่งพลังพิฆาตที่หล่นมาจากฟ้ามีความหนาแน่นมืดมนดุจน้ำลึก และพลังนั้นถูกเยี่ยเทียนนำไปถึงดวงตาค่ายกลที่วางไว้ท้ายเรือน
แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดค่ายกล “โต่ว”เยี่ยเทียนตะโกนเวทเก้าอักษรอีกครั้ง สวรรค์และฟ้าดูเหมือนจะก้องกังวานตามเขา และพลังพิฆาตก้อนนั้นที่ถูกนำมาถูกเยี่ยเทียนกดทับไว้อย่างแน่นหนาที่ดวงตาของค่ายกล
ตอนนั้น เหตุการณ์บนท้องฟ้าเปลี่ยนไปทันใด ช่วงยามจื่อมาถึงแล้ว
โบราณเคยกล่าวไว้ว่า “จื่อคือการเริ่มต้นของหยาง” ยามจื่อคือช่วงเวลาการสลับกันของหยินและหยาง หยินจบลง หยางเกิดขึ้น เป็นช่วงจุดรวมกันของหยินกับหยาง และในฐานะเป็นยามเริ่มต้นของหกหยาง พลังชี่ดั้งเดิมขณะนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
เยี่ยเทียนสัมผัสได้ มีพลังหยางอันหนึ่งทยานขึ้นมาจากพระราชวังต้องห้าม ปากของเขารีบตะโกนออกมาคำว่า
“สิง!”
เวทอักษรคำว่า “สิง” ช่วยให้สรรพสิ่งมีความสมดุล สามารถให้คนควบคุมพลังชี่ดั้งเดิมฟ้าสวรรค์ได้ง่าย
เมื่อเยี่ยเทียนยื่น”มุทราดวงสูรย์”ที่ตรงกันกับคาถาแล้ว พลังชี่โชคชะตาทั้งหมดของพระราชวังถูกดึงดูดโดยเขา เหมือนดั่งมังกรดั่งทะเล พลังทั้งหมดเข้าสู่ดวงตาค่ายกลจุดหยางที่วางไว้หน้าเรือน
“ค่ายกลหยินหยางประสานจงเปิด ฉี!!” ยามไฮ่กำลังจะผ่านไป ยามจื่อกำลังจะมา คาถามุทราของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนอีกครั้ง
พร้อมพูดออกมาคำว่า”ฉี” ของขลังสองชิ้นที่อยู่ในดวงตาค่ายกลทันใดนั้นปรากฏแสงสีสะท้อน และมีพลังดึงดูดที่ใหญ่มากเกิดขึ้น ทำให้พลังชี่หยินกับหยางที่ตรงข้ามกันภายในเรือนสี่ประสานถูกดูดเข้าไปในดวงตาของค่ายกล
ค่ายกลเฉียนคุนรวมพลังหลิงทั้งหมดขณะนี้ ถูกกระตุ้นหมดแล้ว หินอ่อนขาวที่กระจายอยู่ใต้เรือนสี่ประสานกำลังนำพลังหยินและหยางไปรวมกันที่กลางเรือน
หน้าผากของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยเหงื่อ ณ เวลานี้ เขาไม่มีแรงควบคุมพลังชี่ดั้งเดิมของฟ้ากับดินอีกแล้ว เขาเหนื่อยจนนั่งลงไปกับพื้น ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้น จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับขั้นนี้
ถ้าหากไม่สำเร็จ พลังชี่ดั้งเดิมที่ตรงกันข้ามจะชนกันและทำให้เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนกลายเป็นซากปรักหักพังอย่างแน่นอน เยี่ยเทียนเองก็ไม่มีทั้งความสามารถและไม่มีแรงอีกแล้ว เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับสิ่งที่เขาสืบทอดมาโดยที่ไม่ได้หลอกตัวเอง
แต่สถานการณ์กลับไม่ใช่สิ่งที่เยี่ยเทียนคิดว่ามันจะชนกัน หลังจากที่พลังชี่หยินกับหยางที่เยอะดุจทะเลรวมตัวอยู่กลางเรือนดุจการปะทะของน้ำแข็งกับหิมะ จากนั้นพลังก็หลอมรวมด้วยกันอย่างรวดเร็ว
การหลอมรวมของพลังทั้งสอง ทำให้พลังหลิงที่บริสุทธิ์อันหนึ่งพุ่งทยานขึ้นจากกลางเรือน พุ่งขึ้นจนเหมือนกับเป็นเกราะ ผ่านไปครู่เดียวเรือนสี่ประสานก็ถูกครอบเอาไว้ทั้งเรือน
ถ้าในเวลานี้มีสัญญาณดาวเทียมชี้มาตรงเรือนสี่ประสาน พวกเขาจะพบว่าจากที่สามารถมองเห็นเรือนสี่ประสานอย่างชัดเจน ตอนนี้เรือนสี่ประสานดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าบางๆหนึ่งชั้น ถึงแม้จะอยู่ตรงนั้นแต่ก็ไม่สามารถมองได้อย่างชัดเจน
“นี่ทำสำเร็จแล้วเหรอ?” เยี่ยเทียนที่มีสภาพดูไม่ได้นั่งอยู่กับพื้น กำลังสัมผัสอยู่กับพลังชี่ดั้งเดิมบริสุทธิ์ที่หนาแน่นนั้น ใบหน้าได้แสดงความดีใจถึงที่สุดออกมา
พลังชี่ดั้งเดิมเหล่านี้เหมือนดั่งอากาศที่อยู่บนภูเขาสูง มันบริสุทธิ์จนไม่มีแม้แต่มลพิษผสมอยู่แม้แต่น้อย
ตอนที่ 231
การเปลี่ยนแปลง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“จีจี……จีจี!”
เสี่ยวเหมาโถวที่วิ่งออกมาจากที่ไหนไม่รู้ มุดเข้าไปในคอเสื้อของเยี่ยเทียนราวกับสายฟ้าแลบ มีแค่หัวเล็กๆโผล่ออกมาเท่านั้น ในสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พุ่งเข้ามาหาเยี่ยเทียนพร้อมกับร้องเสียงแหลม
ความสามารถการตอบสนองของสัตว์ไวกว่ามนุษย์หลายเท่า ตอนที่เยี่ยเทียนเริ่มรวมวิญญาณฟ้าดิน แม้แต่คนที่กำลังพูดคุยกันและเล่นไพ่ในซอยของหูทงก็ยังรับรู้ไม่ได้ แต่พวกเด็กเล็กๆกลับตกใจไม่น้อย
โดยเฉพาะพลังชั่วร้ายที่ครอบคลุมความมืดและความหนาวเย็นเหมือนจะก่อตัวขึ้น ทำให้เสี่ยวเหมาโถวที่ชอบความหนาวเย็นก็ยังทนไม่ได้ เมื่อครู่มันถูกอากาศกดทับนอนคว่ำกับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
เยี่ยเทียนที่กำลังสูดหายใจลึกๆ ใบหน้าที่ดื่มด่ำกับพลังพื้นดินและสวรรค์ ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องเล็กๆ จะกลัวอะไรกัน คุณก็รู้สึกใช่ไหม ว่าอากาศของที่นี่สะอาดสดชื่นกว่าบนภูเขาหิมะ”
ถึงแม้จะดึงดูดพลังหยินหยางเพื่อให้เยี่ยเทียนทำลายชีวิต แต่กำลังวังชาของเขากลับฮึกเหิมขึ้นมา ในเวลานี้เยี่ยเทียนไม่สามารถไปหาคนอื่นที่แบ่งปันความสุขนี้ได้ จึงทำได้เพียงแค่บ่นให้เจ้าพวกนี้ฟัง
“จีจี……จีจี……”
ราวกับเข้าใจคำพูดของเยี่ยเทียน มันเงยหน้าขึ้น พยายามใช้จมูกสูดดมอากาศ ท่ามกลางเสียงครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความดีใจ
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วลูบตัวเล็กๆ พูดว่า “ไปเล่นเถอะ แค่อย่าออกไปข้างนอกเรือนนี้ก็พอ……”
หลังจากที่ฟังคำพูดของเยี่ยเทียน เด็กหนุ่มเปล่งเสียง “ชู่” วิ่งออกไป พลังเหนือธรรมชาติระหว่างสวรรค์และโลกทำให้มันเกิดความตื่นเต้น แต่กลับเห็นเพียงเงาสีขาวบินวนไปมารอบตัวของเยี่ยเทียนเท่านั้น
เยี่ยเทียนไม่มีเวลาเล่นกับเหล่าตัวเล็กพวกนี้ ในเวลานี้สภาวะร่างกายของเขาก็ไม่ดี ถึงแม้ว่าบนอากาศจะเต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่ทุกครั้งที่เยี่ยเทียนหายใจเข้าออก ยังแอบรู้สึกเจ็บปวดระหว่างหน้าอกและหน้าท้อง
ความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของพลังชีวิตที่กระจายไปทั่วเรือนสี่ประสานต่างเท่ากันหมด เยี่ยเทียนเองก็ขี้เกียจลุกขึ้นยืน จึงทำเพียงนั่งฝึกกระบวนท่าบนพื้น ตรวจสอบการบาดเจ็บบนร่างกาย
“ยังดี ไม่มีการบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน พักสองสามวันก็น่าจะดีขึ้น……”
หลังจากที่ผ่านไปห้าหกนาที ใบหน้าของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยอาการผ่อนคลาย การดึงดูดพลังฟ้าดินครั้งนี้ เป็นเพียงการนำทางของเยี่ยเทียน ไม่ได้ทำลายรากฐานของเขา
แน่นอนว่านี่คือสาเหตุที่อันตรายซึ่งซ่อนอยู่ในร่างกายของเยี่ยเทียนถูกกำจัดออกไป หากไม่ใช่การท่องเที่ยวภูเขาหิมะก่อนหน้านี้ เกรงว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมพลังชีวิตฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่นั้นได้จริงๆ ไม่แน่ว่าเรือนสี่ประสานอาจจะถูกทำร้ายไปชั่วพริบตาก็เป็นไปได้
เมื่อลุกขึ้นยืน เยี่ยเทียนก็ยืดเส้นยืดสายเพื่อรับรู้ถึงพลังชีวิตของเรือนแห่งนี้ ก่อนจะแอบพูดในใจว่า “ห้าปี เกรงว่ามากสุดน่าจะห้าปี พลังมังกรกับพลังวิญญาณร้ายของพระราชวังที่หลงเหลือนี้ถูกทำลายไปหมดแล้ว……”
หลังจากราชวงศ์ชิง พลังมังกรได้สิ้นสุดลง เป็นอันจบสิ้นเส้นทางจักรพรรดิ แต่ดวงชะตาจักรพรรดิของกู้กงก็ยังสืบทอดมาเป็นร้อยกว่าปี แม้แต่เสี้ยววินาทีก็ไม่หายไป เยี่ยเทียนแอบใช้ความลับของสวรรค์เพื่อประโยชน์กับตัวเอง
แต่เมื่อใช้ดวงชะตาและพลังชั่วร้ายที่สะสมมาเป็นหลายร้อยปีจนหมดแล้ว คาดการณ์จากระดับความแข็งแกร่งพลังเหนือธรรมชาติของเยี่ยเทียนจะสามารถยืดเวลาได้อีก 5 ปี
แน่นอน อย่าว่าห้าปีเลย แค่หนึ่งปี ก็ทำให้เยี่ยเทียนนั้นฝันหวานแล้ว กระบวนการบำเพ็ญเพียรนี้ เกรงว่านักแสวงหาลัทธิเต๋าในสมัยโบราณพวกนั้นก็ยังทำไม่ได้
ต้องรู้ก่อนว่า จักรพรรดิทุกราชวงศ์ต่างมีผู้วิเศษที่จับตามองดวงดาวทั้งกลางวันและกลางคืน ทำแกดวงชะตาเมือง หากมีใครกล้าต่อกร จะต้องถูกประหารชีวิตทั้งเผ่า แล้วจะมีคนที่แก่กล้าวิชาคนไหนจะฝึกให้เขาได้เล่า
เยี่ยเทียนเดินเข้าไปในสนามอย่างช้าๆ พลังชั่วร้ายที่เบาบางตั้งแต่เข้ามาก็ค่อยๆ หายไป แต่กลับถูกแทนด้วยกลิ่นไอของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
หากมีคนอื่นที่ไม่ใช่เยี่ยเทียนอยู่ที่นี่ จะต้องประหลาดใจอย่างอธิบายไม่ได้แน่นอน เพราะขนาดเวลาค่ำเช่นนี้ ดอกไม้ยังคงบานทั่วสวน หมอกยังคงลอยเหนือบ่อน้ำ ราวกับอยู่ในดินแดนเซียน
มีแต่เยี่ยเทียนที่รู้ว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของหยินและหยางที่หล่อหลอมพลังเหนือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ รอจนร่ายอาคมเรียบร้อย ระดับความแข็งแกร่งของพลังเหนือธรรมชาติจะค่อยๆลดลง และหลังจากพืชในสวนปรับตัวได้ ก็จะไม่เกิดปรากฎการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้อีก
เขาเดินไปยังห้องของตัวเองที่อยู่เรือนด้านหลัง เยี่ยเทียนหยิบตะเกียงนกกระจอกแดงออกมา ฉีกยันต์ลงไปในตัวตะเกียง วางไว้บนจุดของหยิน หลังจากเยี่ยเทียนรอคอยมาหลายป ในที่สุดมันก็ได้กลายเป็น ‘มีดสั้นอู๋เหิน’
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย เยี่ยเทียนจึงกลับเข้าไปหลับในห้อง การหลับครั้งนี้ฝันหวานอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับกลับไปอยู่ในวัยเด็กซึ่งมีแต่ความบริสุทธิ์ในภูเขาเหมาซานที่มีแต่ท้องฟ้าแสนสดใส
“จีจี……จีจี!”
เยี่ยเทียนที่กำลังหลับอยู่ในความฝัน จู่ๆก็รู้สึกคันทันที่ข้างหู จากนั้นจึงได้ยินเสียงเรียกของเหมาโถวเลยลืมตาขึ้นดู เจ้าตัวเล็กตัวนี้กำลังใช้อุ้งเท้าหน้าสองอันเพื่อฉีกผมของตัวเอง
“เด็กบ้า แกตื่นเร็วเกินไป”
เยี่ยเทียนที่ไม่ได้หลับอย่างสบายแบบนี้เป็นเวลานาน พยายามหายใจเข้าลึกๆ เมื่อวานในขณะที่ใช้กระบวนท่า อาการการเจ็บปวดหน้าอกก็ค่อยๆหายไป
“จีจี……จีจี!” เหมาโถวไม่พอใจคำพูดของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นมันใช้แรงที่มือเพื่อดึงหัวของเยี่ยเทียนให้เจ็บ เขารีบลุกขึ้นพูดว่า “ฉันลุกขึ้นมาแล้วยังไม่โอเคอีกเหรอ”
“โอ๊ย นี่ใกล้จะเที่ยงแล้วเหรอ?” สายตาของเยี่ยเทียนกวาดไปมองนาฬิกาโบราณที่เว่ยหงจวินส่งมาให้และอดนิ่งชะงักไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าตัวเขาจะนอนไปแล้วสิบสองชั่วโมง
ชีวิตของเยี่ยเทียนเคร่งในกฎระเบียบมาก ทุกวันตอนตีห้าจะตื่นเองอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก ยกเว้นตอนที่แก้ไขฟ้าเปลี่ยนโชคชะตาให้กับนักพรตเต๋าครั้งนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตื่นสายเฉกเช่นวันนี้
“เฮ้ ฉันถามว่าทำไมแกต้องดึงฉันด้วย” เยี่ยเทียนกำลังจะไปแปรงฟัน คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเหมาโถวกลับมากัดที่ขากางเกงพยายามลากไปด้านนอก
“จีจี!” หลังจากที่ได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน มันก็คายปากออก กลับยืดตัวขึ้น ใช้ขาหน้าทำท่าทาง
เยี่ยเทียนไม่เคยเรียนภาษาสัตว์ หลังจากที่พยายามเป็นเวลานาน ลองถามว่า “ด้านนอกมีคนมาหาเหรอ”
“จีจี……” มันพยักหน้า ไม่สนใจเสี่ยวเทียนแล้ว จากนั้นจึงค่อยๆมุดเข้าไปช่องประตู
“มันนี้ฉลาดจริงๆเลย ให้ตาย เลี้ยงเจ้าปีศาจนี้ได้ไหม”
เมื่อเห็นเหมาโถวสื่อสารกับคนได้แบบนี้ เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะเกาหัว พลังธรรมชาติสวรรค์และโลกของที่นี่อุดมสมบูรณ์นัก ไม่แน่ว่าหากผ่านไปไม่กี่ปีอาจจะทำให้เหมาโถวมีความคิดราวมนุษย์ก็ได้
ทั้งที่รู้ว่าด้านนอกมีคนรออยู่ แต่เยี่ยเทียนไม่สนใจที่จะล้างหน้าบ้วนปาก ใส่เสื้อคลุมทับ ลุกขึ้นเดินไปยังเรือนด้านหน้า
ถ้าบอกว่าเรือนสี่ประสานใหญ่แห่งนี้ มีสิ่งเดียวที่รู้สึกไม่สะดวกก็คือ จากเรือนหลังบ้านไปจนถึงเรือนหน้าบ้าน มีดอกไม้แขวนอยู่มากมายที่ทางเดินกลาง เหมือนจวนเจี๋ยในความฝันในหอแดง
“ป้าใหญ่ มาได้ยังไงครับ”
เรือนสี่ประสานที่ไม่ใช่ที่พักทั่วๆไป แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเปิดประตูหลัก หลังจากที่เยี่ยเทียนเปิดประตูด้านข้างที่ทั้งหนักทั้งหนาแล้วก้เห็นป้าคุยกับเหล่าคุณยายสองสามคนที่หน้าประตู
“พี่เยี่ย นี่คือหลานชายของพี่เหรอ เด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวาขนาดนี้ มีภรรยาแล้วหรือยัง”
คุณยายท่านหนึ่งเห็นเยี่ยเทียน ยิ้มแล้วก็หลับตาลง คำพูดที่พูดออกมากลับทำให้ ‘ปรมาจารย์เยี่ย’ ถึงกับเหงื่อออกทั้งตัว ตัวเองที่เพิ่งตื่นไม่มีเวลาแม้แต่ล้างหน้าล้างตา ทำไมถึงมีคำว่ามีชีวิตชีวาสองคำนี้ติดอยู่
“ฮ่าๆ เด็กสมัยนี้พวกเราไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอก เขาขึ้นมหาวิทยาลัยก็หาคู่เองได้แล้ว!”
หญิงชราหัวเราะและพูดคุยเล่นกับพี่สาวทั้งสองคน มองมาที่เยี่ยเทียนพร้อมกับตำหนิว่า
“นี่กี่โมงแล้ว เธอยังไม่ไปกินข้าวที่ในบ้านอีกเหรอ”
เยี่ยเทียนเกาศีรษะ พูดว่า “ป้าใหญ่ เข้ามานั่งก่อนเถอะครับ ผมล้างหน้าแปรงฟันสักหน่อยแล้วพวกเราค่อยไป……”
“หรือไม่……พวกเธอมานั่งข้างในก่อน” เยี่ยตงหลันได้ส่งคำเชิญ
“ไม่……ไม่ พี่เยี่ย พวกเรากลับก่อนนะ วันหลังมีเวลาค่อยคุยกัน”
หญิงชราพวกนั้นรีบโบกไม้โบกมือ ตลกอะไรกัน บ้านของเยี่ยเทียนหลังนี้มีชื่อเสียงในเรื่องบ้านผีสิง ถึงแม้ว่าจะเชิญนักพรตเต๋ามาทำพิธีแล้ว แต่คนธรรมดาตอนกลางคืนยังไม่กล้าที่จะเดินผ่านหน้าประตูบ้านไป
“เอ๋”
เมื่อเข้ามาที่เรือนสี่ประสาน หญิงชราถึงกับตะลึง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่าอะไรคือพลังชีวิต แต่บรรยากาศในบ้านหลังนี้ กลับทำให้ขนทั้งร่างกายขนลุกขนผอง ความรู้สึกนั้นราวกับกินโสมแล้วทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“เยี่ยเทียน ป้า……ทำไมป้าถึงรู้สึกว่าเรือนนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อวาน”
เมื่อมองดอกไม้สดที่บานอยู่เต็มสวน หญิงชราราวกับอยู่ในความฝัน ตอนนี้ด้านนอกน่าจะเป็นลมพัดในฤดูใบไม้ร่วง แต่ที่พักอาศัยของเยี่ยเทียนราวกับฤดูใบไม้ผลิ นี่แค่เป็นก้าวเดียวของด้านนอกด้านใน เหตุใดจึงแตกต่างกันขนาดนี้
หญิงชราคนนี้คือคนที่มาจากยุคที่ไม่มีอุตสาหกรรม เธอยังจำชีวิตวัยเด็กของเธอโดยไร้มลภาวะของอุตสาหกรรมได้ ถึงแม้ต่อให้เป็นอากาศในเวลานั้น ดูเหมือนว่าไม่เทียบเท่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้าที่ทำให้รู้สึกประทับใจ
เยี่ยเทียนเผยยิ้มขึ้นมา แล้วพูดว่า “ป้าใหญ่ ต่อไปนี้ทุกสัปดาห์ก็มาพักที่นี่สักสองวันเถอะครับ รับรองว่าป้าใหญ่ต้องมีอายุเป็นร้อยปีแน่!”
ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนไม่อยากให้คนในตระกูลเยี่ยเข้ามา แต่ประเด็นสำคัญคือพลังชีวิตฟ้าดินตรงนี้ค่อนข้างเข้มข้น คนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญฌาน สักพักจะรู้สึกปรับตัวไม่ได้ โสมเป็นของที่ดี แต่หลายคนไม่นึกถึงข้อนี้
แต่การมาพักที่นี่สองวันในทุกสัปดาห์ เขากลับสามารถจัดการประสิทธิภาพร่างกายของพวกคุณป้าได้ดี ขจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย หรือไม่ก็รอหลังจากนี้สักปีสองปี เมื่อความเข้มข้นพลังเหลือธรรมชาติค่อยๆสลายหายไป พวกเธอก็สามารถอยู่ที่นี่ได้ในระยะยาว
“บ้านหลังนี้ของเธอ ตอนนี้ในจวนก็เทียบไม่ได้”
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของเรือนสี่ประสานนี้ คุณป้าชอบใจนัก เมื่อก่อนเธอเคยเป็นผู้อำนวยการของถนนในเขตนี้มาก่อน เรือนสี่ประสานแบบไหนก็ล้วนเข้าไป แต่ไม่มีหลังไหนจะเปรียบกับที่นี่ได้
“คุณป้า อย่าไปพูดถึงในจวนเลย แม้แต่พระราชวังก็เทียบกับที่นี่ไม่ได้” เยี่ยเทียนไม่ได้คุยโม้อะไร ถ้าเอาพระราชวังกู้กงในเมืองปักกิ่งมาแลกกับเขา เยี่ยเทียนยังไม่แลกด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น