ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 226-229

ตอนที่ 226 เผาไก่ตัวนั้น

 

องครักษ์ลับนำขนไก่เส้นนั้นมาถวายตรงหน้าฝ่าบาท 


 


 


สองพระกรของจีฉวนยังทรงโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น มิได้ผ่อนมือลงแม้แต่น้อย พอทอดพระเนตรเห็นขนไก่แล้วก็หันไปทางเหยียนเฉียวหลัว “เจ้ามาเปรียบเทียบดู” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวได้รับอนุญาตจากเขา จิตใจที่สับสนวุ่นวายอยู่เมื่อครู่พลันหยุดลง 


 


 


นางคล้ายดั่งต้องมนต์นำขนไก่ในมือของตนมายังเบื้องพระพักตร์ของจีเฉวียน 


 


 


ภายใต้สายตาของทุกผู้คน องครักษ์ก็นำขนจากก้นเจ้าติ๊งต๊องส่งถึงตรงหน้าของนาง 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวรับมาถือเอาไว้ในมือ ทำท่าตรวจสอบอย่างละเอียดละออ หลังจากนั้นก็นำขนไก่ในมือหันไปแสดงต่อฝูงชน “ทุกคนเห็นแล้วใช่ไหม ขนไก่ทั้งสองเส้นนี้ มีลักษณะและสีสันเป็นแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน” 


 


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเห็นได้ว่า แผนที่ขุมทรัพย์ที่หายไปของเรา จะต้องเกี่ยวพันกับไทเฮาอย่างแน่นอน เจ้าศพคืนชีพตัวประหลาดนั่นก็อาจจะถูกไทเฮาเลี้ยงเอาไว้ เพื่อจะทำร้ายเราผู้เป็นองค์หญิงก็เป็นได้” 


 


 


“ฝ่าบาททรงเป็นประมุขผู้กล้าหาญ ไม่มีทางถูกหลอกลวงด้วยฝีมือเช่นนี้ ถึงได้ทรงให้โอกาสเราได้พิสูจน์ด้วยตนเอง” 


 


 


พอเหยียนเฉียวหลัวเปรียบเทียบขนไก่ทั้งสองเสร็จ ในใจของนางก็ปลอดโปล่งขึ้นมา 


 


 


น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจมากกว่าเดิม พอนางตรัสจบแล้วก็หันกลับไปถวายคำนับจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


“ตอนนี้แผนที่ขุมทรัพย์ถูกทำลาย ชื่อเสียงของเฉียวหลัวก็ได้รับความกระทบกระเทือน แต่ที่เสียหายที่สุดยังคงเป็นฝ่าบาท เดิมทีแผนที่ขุมทรัพย์นี้ก็นำมาเพื่อถวายพระองค์ แคว้นต้าเหยียนของข้าและแคว้นต้าโจวก็กำลังจะผูกพันเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่กลับต้องมาถูกไทเฮาที่มีพระทัยริษยาทำลายไป” 


 


 


“เฉียงหลัวก็เคยได้ยินมาว่า ตระกูลตู๋กูมิได้มีความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทสักเท่าไร…..” 


 


 


“ฟู่!” เหยียนเฉียวหลัวตรัสยังไม่ทันจบก็เห็นติ๊งต๊องอ้าปากขึ้น หันมาหานางแล้วพ่นไฟออกมา 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหลบไม่ทัน เส้นผมยาวสลวยจึงถูกไฟลนไปทั่วศีรษะ 


 


 


พร้อมกับเสียงนั้น เปลวไฟสีทองจับตาก็พวยพุ่งอยู่เหนือศีรษะของ นางเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมาเสียงดัง 


 


 


ซิวรีบถอดเสื้อชั้นนอกของเขาออกมาในทันที แล้วพุ่งเข้าไปดับไฟบนร่างนางอย่างรวดเร็ว 


 


 


เพียงครู่เดียว เส้นผมของเหยียนเฉียวหลัวก็มอดไหม้จนหงิกงอ ดวงพักตร์ของนางมีแต่เขม่าดำ ราวกับคนที่ถูกฟ้าผ่าเข้าใส่อย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ผู้คนทั้งหลายก็ยังไม่ทันได้สติกลับมาเช่นกัน 


 


 


ประเด็นสำคัญคือ……เจ้าไก่ตัวนั้นทำไมอยู่ๆ ถึงสามารถพ่นไฟได้กัน? 


 


 


ติ๊งต๊องจิกตามองไม่เลิกรา ทั้งยังใช้อุ้งเท้าตะกุยพื้นอย่างไม่พอใจ 


 


 


มันอ้าปากขึ้นมา คิดจะพ่นไฟรอบที่สอง 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเห็นมันอ้าปาก ในใจก็เกิดภาพจนผวา 


 


 


ภายใต้การคุ้มครองของซิว นางก็ถอยกรูดไปอีกหลายก้าว พอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ใจก็ยังคงหวาดหวั่นอยู่ หากว่าซิวชักช้าไปเพียงครู่เดียว ตอนนี้นางก็คงจะต้องเสียโฉมไปแล้ว 


 


 


ไม่รอให้นางทันได้อาละวาดออกมา ซูเม่ยที่เย้ายวนก็จุ๊ปาก เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นตกใจ “อ้ายย่าห์ ทำไมขนไก่ในมือของเจ้า เส้นหนึ่งไหม้เกรียม อีกเส้นหนึ่งไม่เป็นอะไรเลยล่ะ?” 


 


 


“จริงด้วยสิ ข้าเองก็พึ่งสังเกตเห็น ไฟนั่นเผาขนไก่ทั้งสองเส้นพร้อมๆ กัน ทำไมเส้นหนึ่งไหม้ดำ อีกเส้นถึงไม่เป็นอะไรเลยละ?” หยวนเฟยเองก็ช่วยกระพือลมโหมไฟ 


 


 


“ใช่หรือไม่? ข้าเกือบจะนึกว่าตนเองตาลายไปเสียแล้ว ที่แท้น้องสาวหยวนเฟยก็เห็นเหมือนกัน” ซูเม่ยมองดูหยวนเฟยคล้ายดั่งได้เจอผู้รู้จักเสียงดนตรี ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่า ‘ข้าคิดว่าคืนนี้สายตาของเจ้ายอดเยี่ยมมาเลย’ 


 


 


“เห็นชัดเลยนะ เอ๊ะ แปลกจริง ขนที่มาจากไก่ตัวเดียวกัน พอถูกไฟเผาไหงจึงเกิดผลที่ไม่เหมือนกันล่ะ?” หยวนเฟยทำสีหน้าประหลาดใจ 


 


 


“น้องสาวหยวนเฟย เจ้านี่โง่จริงๆ นี่มันชัดเจนเลยว่าขนไก่ทั้งสองเส้นไม่ได้มาจากไก่ตัวเดียวกัน” ซูเม่ยลูบท้อง “เขาพูดกันว่าคนพอตั้งท้องจะเขลาไปสามปี ข้าว่าเจ้ายังดูโง่ไปกว่าข้าอีกนะเนี่ย?” 


 


 


หยวนเฟยลูบศีรษะตนเองอย่างเขินอาย นางยิ้มน้อยๆ “พี่สาวหวงกุ้ยเฟยเห็นเป็นที่ขบขันแล้ว ข้านี่โง่จริงๆ ไม่ใช่เพราะว่าถูกองค์หญิงต้าเหยียนร้องงิ้วนำไปหรือไง เกือบจะเสียคนซะแล้ว” 


 


 


ทั้งสองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ เล่นกันเป็นคณะลูกคู่เลยทีเดียว 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ พวกเขาต่างรู้ดี ที่ผ่านมาหยวนเฟยและหวงกุ้ยเฟยไม่เคยลงรอยกัน คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ทั้งสองจะสามัคคีเข้าขากันราวกับแฝดตัวติดกัน ปุ๊บปั๊บก็ติดกันขึ้นมาราวกับว่ามีกาวเชื่อมเลยทีเดียวเชียวรึ? 


 


 


อ้อ…….นี่จะต้องเป็นเพราะว่าองค์หญิงแคว้นเหยียนคือศัตรูเข้มแข็ง พอมีศัตรูเช่นนี้เข้าวังมา ย่อมต้องเข้ามาปันความโปรดปรานของฝ่าบาทไป ทุกวันนี้ซูหวงกุ้ยเฟยและหยวนเฟยคือพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานสูงสุดในวังหลวง พวกนางย่อมไม่ต้องการให้อยู่ๆ ก็มีองค์หญิงแคว้นหนึ่งเข้าวังมาอย่างแน่นอน 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เหยียนเฉียวหลัวถึงค่อยได้สติขึ้นมา นางมองดูขนไก่ทั้งสองเส้นในมือ เส้นหนึ่งไหม้เกรียม อีกเส้นหนึ่งสวยงามสมบูรณ์ 


 


 


เส้นที่ไหม้เกรียมนั้นคือเส้นที่ตระเตรียมไว้ก่อนจะเกิดเรื่อง เส้นที่สวยงามสมบูรณ์คือเส้นที่ถูกถอนออกมาจากก้นของเจ้าไก่ดำตัวนั้น 


 


 


นางอ้าปากค้าง คิดจะแก้ตัว 


 


 


พลันได้ยินเสียงฮ่องเต้มีพระบัญชา “เผาเจ้าไก่นั่น” 


 


 


เหล่าองครักษ์รับพระบัญชา ก็รีบจุดไฟขึ้นมา โหมเพลิงไปทางเจ้าติ๊งต๊อง ติ๊งต๊องก็ขี้เกียจจะขยับหนี มันนั่งลงราวกับแม่ไก่ฟักไข่ปล่อยให้พวกเขาเผาจนพอใจ 


 


 


เผากันอยู่เป็นนาน แต่ขนของมันกลับไม่ติดไฟสักเส้นเดียว 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันประหลาดใจ นี่มันไก่เทพอะไรกระทั่งไฟก็ยังไม่กลัว! 


 


 


ตอนนี้ผลลัพธ์ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า องค์หญิงแคว้นเหยียนโกหกหลอกลวง ไทเฮาน้อยมิได้แตะต้องแผนที่ขุมทรัพย์ของนางเสียด้วยซ้ำ ขนไก่สีดำนั่นเป็นพวกนางจงใจใส่ร้ายไทเฮา 


 


 


ช่างน่าสงสารไทเฮา คนนั่งอยู่ในบ้านแท้ๆ แต่กระทะยังหล่นลงมาจากฟ้า [1] ได้ 


 


 


ถึงแม้ว่านางจะมิได้เป็นที่ชื่นชอบ แต่เพราะนางเลี้ยงไก่ดำเอาไว้ตัวหนึ่งก็นำพาเอาโชคร้ายเช่นนี้มาถึง นับว่าน่าสงสารน่าเห็นใจจริงๆ 


 


 


ช่วงนี้นางถูกหวงกุ้ยเฟยกดเอาไว้จนเงยหน้าไม่ขึ้นแล้ว ตอนนี้ยังโดนใส่ความอีก โถ โถ โถ ….. 


 


 


เหลียนเฉียวหลัวตกตะลึงพรึงเพริดจนชาไปทั้งร่าง นางมีแต่เขม่าควันเกาะทั่วใบหน้า ชั่วขณะถึงกับกล่าวอะไรไม่ถูก 


 


 


นางหันกลับไปมองฮ่องเต้ด้วยความระมัดระวัง ก็เห็นว่าพระพักตร์ที่งดงามของเขาฉาบหิมะเอาไว้ชั้นหนึ่ง 


 


 


นางยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากอธิบายอะไร ก็ได้ยินเสียงศพคืนชีพผู้นั้นเอ่ยขึ้นมา “องค์หญิงแคว้นเหยียน เจ้าอย่าได้ข้ามน้ำรื้อสะพาน [2] ! เจ้าให้ข้าขโมยแผนที่ขุมทรัพย์ เสาะหาขนไก่ ผลักเรื่องชั่วร้ายใส่ความไทเฮา พอใช้งานข้าเสร็จก็คิดจะถีบทิ้งไป ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้?” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวแทบจะโมโหตายเพราะมันอยู่แล้ว! 


 


 


ไยมันจึงกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา? 


 


 


ทั้งๆ ที่มันเป็นฝ่ายมาขอควาร่วมมือจากนางก่อนชัดๆ! นางก็แค่ผลักเรือตามน้ำไปเท่านั้นเอง แต่ตัวประหลาดผู้นี้กลับกัดนางไม่ยอมปล่อย! 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวมองดูสีพระพักตร์ที่เย็นชาของฮ่องเต้ ทันใดนั้นก็คล้ายดั่งจะเข้าใจอะไรขึ้นมา 


 


 


นางหลงกลแล้ว! 


 


 


ตั้งแต่แรกแล้วศพคืนชีพผู้นั้นคือหลุมพราง! รอให้นางมาติดกับ! 


 


 


มันทำทีเป็นฝ่ายมาขอความร่วมมือจากนาง จากนั้นก็แว้งกัดนางคำหนึ่ง ให้นางต้องตกที่นั่งลำบาก ทั้งนางและแคว้นต้าเหยียนล้วนเป็นฝ่ายสูญเสีย 


 


 


แต่คนที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้คือใครกัน? 


 


 


จีเฉวียน หรือว่าตู๋กูซิงหลัน? 


 


 


ไม่ จีเฉวียนไม่มีทางร้ายกาจกับนางถึงเพียงนั้น! 


 


 


จะต้องเป็นตู๋กูซิงหลัน…..เรื่องทั้งหมดในคืนนี้เป็นฝีมือของนางที่กำกับเองเล่นเองเป็นแน่ เพื่อให้จีเฉวียนชิงชังรังเกียจนาง! 


 


 


สตรีผู้นี้ ช่างวางแผนได้ร้ายลึกยิ่งนัก! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] คนนั่งอยู่ในบ้านแท้ๆ แต่กระทะยังหล่นลงมาจากฟ้า (人在家中坐,锅从天上来) : อยู่ดีๆ ก็มีเคราะห์มาเยือน 


 


 


[2] ข้ามน้ำรื้อสะพาน (过河拆桥) [guò hé chāi qiáo] : พอหมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้งไป  

 

 


ตอนที่ 227 พูดจริง คำพูดนี้มีผลตลอดไป

 

นางจดจ้องไปยังสตรีในอ้อมพระอุระของฮ่องเต้ด้วยสายตาชั่วร้าย ประกายตาเปี่ยมไอสังหารอย่างไม่อาจปิดบัง 


 


 


คนในวังเห็นนางใบหน้ามีแต่เขม่าควันก็ยังทำท่าเคียดแค้นออกมา ความรู้สึกดีที่เดิมก็มีให้อยู่เพียงน้อยนิดพอมายามนี้จึงไม่มีเหลืออยู่อีก 


 


 


ตอนนี้หลักฐานล้วนประจักษ์ชัดว่าเหยียนเฉียวหลัวไม่บริสุทธิ์ใจ นางร่วมมือกับศพคืนชีพเล่นงานไทเฮา 


 


 


ไม่แน่ว่าเบื้องหลังของการให้ร้ายไทเฮาในครั้งนี้ยังมีแผนการชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่อันใดอยู่อีกก็เป็นได้ 


 


 


เรื่องระหว่างแว่นแคว้น ไหนเลยจะเรียบง่ายธรรมดา 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวมิได้สนใจสายตาของชาวต้าโจว นางเพียงแต่หันไปหาจีเฉวียน กล่าวอย่างโศกเศร้าประโยคหนึ่ง “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเป็นผู้บริสุทธิ์!” 


 


 


“บริสุทธิ์กับผีน่ะสิ!” ซูเม่ยกับหยวนเฟยส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวโทสะพุ่งปรี๊ด ไม่ทันที่นางจะได้พูดจา ก็ได้ยินฮ่องเต้ทรงเอ่ยพระโอษฐ์ขึ้นมาบ้าง “เหยียนเฉียวหลัว เราเห็นแก่ที่เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งต้าเหยียน จะไว้ชีวิตของเจ้าสักครั้ง” 


 


 


แต่ยามที่เขาตรัสประโยคนี้ออกมาสายพระเนตรกลับเย็นชาหาใดเปรียบ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวปาดเช็ดเขม่าควันบนใบหน้า กล่าวต่อไปโดยไม่ยอมกลับคำพูดว่า “ฝ่าบาท แม้แต่พระองค์ก็ยังไม่เชื่อหม่อมฉันหรือเพคะ?” 


 


 


ทำไมเขาถึงได้ลืมเสียแล้วว่าตอนยังเด็กพวกเขาเคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ครั้งนั้นพวกเขาเกือบจะตายอยู่ในหอคอยมรณะด้วยกันแท้ๆ 


 


 


ในโลกนี้จะยังมีสตรีคนใดยินยอมร่วมเป็นร่วมตายกับเขาเหมือนนางได้อีก? 


 


 


จีเฉวียนไม่ใส่พระทัยกับสายตาคับแค้นของนาง เพียงตรัสออกมาอย่างเฉยชาประโยคหนึ่ง “ให้ฮ่องเต้เฒ่าของเจ้าส่งมอบสามเหลี่ยมเหยียนตงมาแลกกับคน” 


 


 


พอเหยียนเฉียวหลัวได้ยิน ก็ระเบิดเสียงออกมาในทันที “อะไรนะ?” 


 


 


สามเหลี่ยมเหยียนตง คือดินแดนเขตตะวันออกของแคว้นเหยียน ติดกับแคว้นต้าโจว ที่ผ่านมาสองแคว้นต่างก็แย่งชิงดินแดนแถวนี้กันมาตลอด พอเขาเอ่ยปากออกมาก็ต้องการดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตง? 


 


 


ดินแดนแถบนั้นมิได้อุดมสมบูรณ์ แต่ว่ากลับเป็นชัยภูมิที่สำคัญอย่างยิ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นปราการธรรมชาติทางทิศตะวันออกของแคว้นเหยียน มีส่วนช่วยป้องกันการบุกรุกจากภายนอกได้มากทีเดียว 


 


 


หากว่าจีเฉวียนได้ดินแดนแถบสามเหลี่ยมเหยียนตงนี้ไป ทิศตะวันออกของแคว้นเหยียนก็เท่ากับว่าถูกฉีกออกเป็นช่องขาดแห่งหนึ่ง ถือเป็นภัยคุกคามชีวิตของแคว้นต้าเหยียน 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวมองดูเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ที่แท้……เขาก็มีแผนการณ์จะจัดการแคว้นเหยียนตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


แคว้นต้าเหยียนและต้าโจวเป็นเพื่อนบ้านกัน สองแคว้นดูเผินๆ เป็นมิตรต่อกัน แต่ที่จริงแล้วกลับแย่งชิงเนื้อติดมันอย่างแดนเป่ยเจียงกันมาตลอด 


 


 


กระทั่งเมื่อจีเฉวียนขึ้นครองราชย์ ส่งตู๋กูถิงไปตีแดนเป่ยเจียง แคว้นเหยียนถึงได้พ่ายแพ้ในการแย่งชิงดินแดนเป่ยเจียง 


 


 


ตอนนี้เห็นอยู่แล้วว่าต้าโจวใกล้จะยึดเอาดินแดนเป่ยเจียงทั้งหมดมาได้แล้ว ดังนั้นอย่าว่าแต่ต้าเหยียนเลย แคว้นอื่นๆ เองต่างก็นั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว 


 


 


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ความต้องการและความทะเยอทะยานของจีเฉวียนจะมาถึงแคว้นเพื่อนบ้านเร็วขนาดนี้ 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ฝ่าบาททรง…….บ้าบิ่นเกินไปแล้ว 


 


 


ถึงกับกล้ากักขังองค์หญิงแคว้นต้าโจวเอาไว้ แล้วให้แคว้นต้าโจวส่งมอบดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงออกมา เรื่องนี้เขาจะต้องมีความมั่นใจมากพอถึงจะกระทำได้ 


 


 


นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์จนถึงบัดนี้ ทุกการตัดสินพระทัยนั้นล้วนทำไปเพื่อผลประโยชน์ของแคว้นต้าโจวทั้งสิ้น 


 


 


พวกเขาเพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะทรงเผชิญหน้ากับแคว้นต้าเหยียนด้วยทีท่าที่แข็งกร้าวเช่นนี้ 


 


 


แต่ว่า ตอนนี้ผู้ที่ปราศจากเหตุผลก็คือองค์หญิงแคว้นเหยียน นางร่วมมือกับศพคืนชีพทำร้ายไทเฮา ทำเอาวังหลวงของต้าโจวไร้ซึ่งความสงบสุข หากว่าแคว้นต้าเหยียนไม่ยอมนำสิ่งใดมาชดใช้แทนผู้คน นี่ก็คงจะต้องพูดกันยากแล้ว 


 


 


“นำตัวองค์หญิงแคว้นเหยียนไปตำหนักหุยหยุนกง” จีเฉวียนคร้านจะเอ่ยคำไร้สาระกับนางอีกต่อไป จึงเรียกองครักษ์ลับให้จับคนไปในทันที 


 


 


ตำหนักหุยหยุนกง ชื่อนี้แม้จะน่าฟัง แต่ที่จริงแล้วก็คือตำหนักเย็น 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้สึกว่าตำหนักเย็นหลังนี้มีอาถรรพ์แรง กักขังมาแล้วทั้งพระสนม ไทเฮา ท่านอ๋อง ตอนนี้แม้แต่องค์หญิงต่างแคว้นก็ยังถูกส่งเข้าไป 


 


 


ซิวคิดจะขัดขืน แต่กลับเห็นว่าองครักษ์ลับชิงลงมือคุมตัวองค์หญิงไปก่อนเขาก้าวหนึ่ง 


 


 


ซิวไม่กล้าวู่วาม จึงได้แต่กำหมัดเอาไว้อย่างแนบแน่น 


 


 


ที่ผ่านมาองค์หญิงทรงปรีชาเกินผู้ใด คิดไม่ถึงว่าจะทรงมาเสียรู้ในแคว้นต้าโจว 


 


 


พอจบเรื่องแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงกวาดพระเนตรเย็นชาไปทางฝูงชนครั้งหนึ่ง สายพระเนตรกระจ่างขึ้นเล็กน้อยยามเมื่อกวาดผ่านมุมมืด 


 


 


อันหร่วนที่อยู่ในมุมมืดรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที 


 


 


ศพคืนชีพเฒ่านั่นมิได้เปิดเผยตัวตนของนาง แต่กลับทำให้นางรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเข็ม พอคิดถึงว่าจีเฉวียนอาจจะเกิดความสงสัยมาถึงตัวนางก็ได้ นางก็ร้อนใจขึ้นมา 


 


 


พอศพคืนชีพผู้นั้นถูกองครักษ์ลับลากออกไป ฮ่องเต้ก็เก็บสายพระเนตรกลับมา รับสั่งให้หยวนเฟยพาซูเม่ยกับไปพักผ่อนรักษาครรภ์ให้ดี 


 


 


พระองค์เองก็หมุนพระองค์นำตู๋กูซิงหลันหายลับไปจากสายตาของฝูงคน 


 


 


ผู้คนทั้งหลายจึงค่อยคิดขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นแม้กระทั่งใบหน้าของท่านเซียนเสียด้วยซ้ำ? 


 


 


ท่านเซียนหญิงที่ถูกฝ่าบาททรงอุ้มเอาไว้ตลอดเวลาที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่? 


 


 


………………………… 


 


 


 


 


 


จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันกลับมาที่พระตำหนักตี้หัว 


 


 


สำหรับพระตำหนักตี้หัว ตู๋กูซิงหลันนับว่าคุ้นเคยจนไม่อาจจะคุ้นเคยไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะแม้แต่พระแท่นบรรทมในพระตำหนักตี้หัวนางก็ยังเคยค้างคืนมาแล้ว 


 


 


ยามนี้ คนก็ถูกจีเฉวียนจับมานอนอยู่บนพระแท่นบรรทมเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ประตูและหน้าต่างชั้นนอกของพระตำหนักตี้หัวกงถูกปิดเอาไว้อย่างแนบสนิท ห้องชั้นในจุดตะเกียงเอาไว้เพียงดวงเดียว แสงเทียนสีส้มทำให้ทั่งห้องดูอบอุ่นขึ้นมา 


 


 


ในห้องบรรทมมีเพียงพวกเขาสองคน พอจีเฉวียนทรงวางนางลงบนแท่นบรรทม ก็ปลดม่านลงมาครึ่งหนึ่ง พระองค์ประทับลงที่ข้างแท่นพระบรรทม สีพระพักตร์เย็นชา 


 


 


คราวนี้ดวงเนตรหงส์คู่นั้นจับจ้องนางอย่างไล่บี้ “รู้ความผิดแล้วหรือไม่?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นเขานวดพระหัตถ์ที่แข็งค้าง นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าติดๆ กัน “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ข้าควรจะกินให้น้อยลงสักหน่อย ฝ่าบาทจะได้มิต้องทรงอุ้มข้าจนเมื่อยเช่นนี้” 


 


 


จีเฉวียน “…..” นางยังจะกล้าพูดเช่นนี้อีก 


 


 


ทั้งๆ ที่ในพระทัยขุ่นเคือง กลับยื่นพระหัตถ์มาเคาะหน้าผากของนางครั้งหนึ่งอย่างแผ่วเบา 


 


 


จากนั้นก็ได้ยินพระองค์ตรัสออกมาว่า “ไปสู้หลังชนฝากับตัวประหลาดตัวหนึ่ง หากว่าเจ้าเกิดตายไป…..” 


 


 


เราจะทำยังไง? 


 


 


พอตู๋กูซิหลันได้ยินเขาตรัสออกมา คนก็ขนลุกขนพองขึ้นมาในทันที “ไม่ ไม่ ไม่ หม่อมฉันยังคิดจะมีอายุยืนยาวนับร้อยปี อยากจะเห็นพระโอรสและพระนัดดาจากฝ่าบาท หม่อมฉันจะไม่ยอมตาย!” 


 


 


สักวันหนึ่งนางจะต้องไปจากโลกใบนี้ กลับไปยังโลกปัจจุบัน 


 


 


แต่รับรองว่าจะต้องไม่ใช่เย็นเป็นศพกลับไปอย่างแน่นอน 


 


 


ชีวิตเดียวที่มีนางย่อมอยากจะรักษาเอาไว้ให้ได้ ยามที่สู้กับตัวประหลาดผู้นั้น นางก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องออกไปตาย 


 


 


เพียงแต่ผลาญพลังที่อยู่ในหยกสรรพชีวิตไปจนหมดสิ้น ทั้งร่างเนื้อและดวงจิตได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง 


 


 


หากมิใช่เพราะว่าจีเฉวียนทรงให้นางกลืนยาช่วยชีวิตเม็ดนั้นลงไปอย่างทันท่วงที เกรงว่านางในตอนนี้คงยากจะเอ่ยว่าจะสักหลายคำได้ 


 


 


ทุกครั้งยามที่จีเฉวียนทรงมีพระประสงค์จะเผยความรู้สึกที่ลึกซึ้งออกมา นางเป็นต้องกระโดดออกมากล่าววาจาสักสองประโยคดับต้นเพลิงจนหมดสิ้น 


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่ จีเฉวียนถึงได้ตรัสออกมาประโยคหนึ่ง “เรายังไม่ได้อนุญาตให้เจ้าตาย แล้วเจ้าจะตายได้อย่างไร?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “………” ฝ่าบาทตรัสอย่างเอาแต่พระทัยถึงเพียงนี้ กดน้ำหนักลงมาบนบ่าไหล่ของนาง มันมากพอที่จะกล่าวได้ว่า “ตู๋กูซิงหลัน ที่หลังยามที่พบกับสัตว์ประหลาด หากสู้ไม่ได้ก็หนี ได้ยินแล้วหรือไม่?” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตู๋กูวิงหลัน “?” 


 


 


พี่ชาย มิใช่ว่าข้าไม่คิดจะหนี ประเด็นสำคัญก็คือว่า หนีไม่พ้นต่างหากเล่าโว้ย! 


 


 


จีเฉวียนอ่านสายตาของนางก็ตรัสอีกว่า “หนีมาทางพระตำหนักตี้หัวกงสิ เราเป็นโอรสสวรรค์ ย่อมไม่หวาดกลัวผีปีศาจ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดๆ ดูอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนั้นที่อยู่ในสุสานของเย่วฮูหยิน ไอ้หนุ่มนี้มิใช่ว่าเพราะหวาดกลัวขึ้นมาถึงได้คว้าเท้าของนางเอาไว้หรอกหรือ ถูกนางถีบจนหน้ามีรอยเท้าติดอยู่ไปรอบหนึ่งมิใช่หรือไร? 


 


 


อ๋อ….ไม่ถูกสิ เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ใช้ดาบเดียวสังหารงูยักษ์ทิ้ง 


 


 


“ขอเพียงแค่เจ้ามาหาเรา เราย่อมต้องปกป้องเจ้าอย่างแน่นอน” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูสีหน้าที่บื้อใบ้ของนาง ก็ตรัสดั่งให้คำสัญญาออกไปอีกประโยคหนึ่ง “คำพูดนี้มีผลตลอดไป” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: อ้ายย่าห์ แบบนี้มันจะต่างกับคำว่า ‘เราจะปกป้องเจ้าตลอดไป’ ตรงไหนละคะพี่เต้ งุ้ยส์  

 

 


ตอนที่ 228 จีเฉวียนสารภาพความในใจ

 

ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าวิธีการแสดงออกถึงความรักของพระองค์นั้นไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน คนที่มีสมองปกติทั้งหลายสมควรจะรับรู้ถึงความโปรดปรานจากฮ่องเต้ได้ 


 


 


แต่ว่าสมองของตู๋กูซิงหลันเป็นดั่งต้นเอล์มที่ไร้ประสาทด้านความรัก 


 


 


นางคิดถึงคำพูดของจีเฉวียนกลับไปกลับมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจไปในทำนองว่า “หากเจ้าไม่เกาะขาของเราเอาไว้ ก็ตายสถานเดียว กอดขาของเราเอาไว้ เราคิดจะจัดการเจ้าอย่างไรก็จัดการเจ้าได้อย่างนั้น ชั่วชีวิตนี้อย่าได้หวังว่าจะอยู่ดีอีกเลย” 


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ตู๋กูซิงหลันก็ขนลุกขึ้นมาทั้งตัว 


 


 


ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยไปเองอย่างไม่ต้องอธิบายว่า “ประทับใจมากใช่หรือไม่?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ 


 


 


แต่สำหรับฮ่องเต้แล้ว ทรงยอมตรัสออกมาถึงขนาดนี้ นับว่าถึงที่สุดแล้ว 


 


 


พระองค์เองก็มิได้ต้องการให้ตู๋กูซิงหลันตอบอะไร จึงทรงหยิบยาขึ้นมา ยื่นพระหัตถ์ไปแกะเสื้อผ้าของนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้ถึงสัมผัสของสองมือที่อยู่เหนือทรวงอกก็มองไปที่พระองค์อย่างตั้งรับขึ้นมา 


 


 


“เดิมทีก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ว่าบาดเจ็บแล้วยังไปหักโหมอีก หากเจ้าอยากจะมีแผลเป็นอยู่บนอก ยานี่เราก็จะไม่ทาให้เจ้าแล้ว” 


 


 


แม้จะตรัสเช่นนั้น จีเฉวียนกลับถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก จนมองเห็นเสื้อตัวในสีขาว 


 


 


บริเวณทรวงอกถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงเป็นวงกว้าง เลือดแห้งไปแล้ว ทั้งยังแข็งตัวจนเกรอะกรัง 


 


 


ดวงเนตรของจีเฉวียนมองดูด้วยความปวดใจ เขาจับมือของนางเอาไว้ ค่อยๆ แกะเนื้อผ้าที่ติดกับปากแผลออกให้นางทีละนิด 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเจ็บจนต้องขมวดคิ้วแน่น ขบฟันกรอดขึ้นมา 


 


 


จีเฉวียนถึงแม้จะปวดใจ แต่ปากก็ยังไม่วายต่อว่า “รู้จักเจ็บบ้างแล้วหรือ?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “เจ็บจนชินแล้ว” 


 


 


“แล้วคราวหน้ายังจะไปต่อยตีกับเขาอีกไหม?” ขณะที่ตรัส พระองค์ก็ค่อยๆ แกะเนื้อผ้าออกอย่างช้าๆ บาดแผลมีเลือดไหลออกมา คล้ายจะทำให้ชิ้นเนื้อถูกฉีกออกมาอีก ขอบแผลก็ไม่เรียบ 


 


 


ตรงกลางแผลคือบาดแผลบริเวณหัวใจ 


 


 


บาดแผลเช่นนี้หากว่าเป็นตัวเขา ก็ยังไม่แน่ว่าจะทนไหวหรือไม่ อย่าว่าแต่นางยังเป็นเพียงแค่สาวน้อยอายุสิบหกคนหนึ่ง 


 


 


ผิวของนางนุ่มนวลทั้งยังเรียบลื่นเหมือนดังไข่ไก่ แต่กลับมีรอยแผลถลอกทั่วทั้งตัว 


 


 


ก่อนหน้านี้รอยเชือดบนข้อมือพึ่งจะสมานกัน ตอนนี้ก็ดันมามีแผลตรงอกขนาดใหญ่เช่นนี้อีก ดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียนผุดไอสังหารเข้มข้นออกมา 


 


 


เพียงครู่เดียว เขาก็กำหมัดจนแนบแน่น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ “ข้าตัวเล็กอ่อนแอทั้งยังไร้กำลัง จะไปสู้กับใครเขาได้ หากว่าพวกเขาไม่ได้มาหาข้า ข้าก็ไม่ต่อยตีกับเขาหรอก” 


 


 


พูดแล้วนางก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ฝ่าบาทเพคะ คืนนี้ต้องขอบพระทัยพระองค์จริงๆ เพคะ” 


 


 


ไม่ว่าจีเฉวียนคิดสิ่งใดอยู่ในใจ เรื่องที่เขาช่วยนางไว้ก็เป็นความจริง 


 


 


ดูท่าก็คงจะเป็นเพราะอยากจะตอบแทนบุญคุณนางเมื่อคราอยู่เมืองลี่โจวละมั้ง? 


 


 


“มิว่าเรื่องใดที่เราทำให้กับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณเราทั้งนั้น” จีเฉวียนยิ่งใช้ความระมัดระวังในการแยกเสื้อผ้าของนางออกจากปากแผลมากกว่าเดิม 


 


 


แต่ไม่ว่าเขาจะระมัดระวังเพียงไร ก็ยังทำให้ปากแผลฉีกขาดอยู่ดี เลือดสดจึงไหลออกมาอีกครั้ง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกัดฟันหนักหน่วงกว่าเดิม 


 


 


คราวนี้จีเฉวียนไม่ตรัสสิ่งใดแล้ว เขาใช้เวลาอีกถึงหนึ่งก้านธูปจึงค่อยแยกผ้าออกมาจากแผลทั้งหมดได้สำเร็จ 


 


 


ผิวบริเวณรอบๆ บวมแดงขึ้นมา ดูน่ากลัวอย่างมาก 


 


 


จีเฉวียนหาผ้าสะอาดมาผืนหนึ่ง ค่อยๆ เช็ดทำความสะอาดแผลให้กับนาง 


 


 


กว่ารอยเลือดที่เปรอะอยู่จะหมดไป ปากแผลก็มีเลือดไหลออกมาอีก 


 


 


หากว่าวันนี้พระองค์ไปเร็วอีกก้าวหนึ่ง บางทีนางอาจจะไม่ต้องบาดเจ็บมากถึงเพียงนี้ 


 


 


จีเฉวียนมองดูปากแผลของนาง พระองค์ก็ต้องนึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ชายเสื้อของพระองค์เปรอะไปด้วยเลือดสีแดงของตู๋กูซิงหลัน กลิ่นโลหิตโชยมากระทบนาสิก จีเฉวียนใส่ยาให้นางอย่างระมัดระวัง สุดท้ายค่อยใช้ผ้าโปร่งปิดแผลให้กับนาง 


 


 


กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ก็ผ่านไปครึ่งคืนแล้ว 


 


 


ในตำหนักตี้หัวมีเสียงนกและแมลงร้องเบาๆ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าค่ำคืนนี้สงบเงียบกว่าเดิม 


 


 


รอจนพระองค์จัดการบาดแผลทั้งหมดเสร็จสิ้น สองหัตถ์ของพระองค์ก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


พระองค์มองดูสาวน้อยที่ดวงหน้าซีดขาว และไม่รู้ว่าเหตุใด จึงอดใจไม่ไหวต้องคว้านางเข้ามากอด 


 


 


หัตถ์ของพระองค์แทรกเข้าไปในเส้นผมของนาง เกาะกุมด้านหลังกระหม่อมของนางเอาไว้ ค่อยๆ โอบให้ศีรษะของนางเอนเข้าหาหัวไหล่ของตนเอง “ตู๋กูซิงหลัน นับจากวันนี้ไป ก็อยู่ข้างกายเราเถอะ” 


 


 


“เราจะปกป้องเจ้าเอง” 


 


 


ขอเพียงมีเราอยู่ ใต้ฟ้านี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายเจ้าได้ 


 


 


น้ำเสียงแผ่วๆ ที่ดังอยู่ริมหู ไหลผ่านหูเข้าไปถึงหัวใจ กระจายไปจนถึงกระดูกทั้งร่าง 


 


 


ในช่วงเวลานั้นเอง ตู๋กูซิงหลันแทบจะลืมเลือนตัวตนจนหมดสิ้น 


 


 


นี่มัน…..น่าลุ่มหลงเกินไปแล้ว 


 


 


อ้อมกอดของเขาถึงแม้จะหนาวเย็น แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่อธิบายไม่ถูก ราวกับว่าขอเพียงแค่มีเขาอยู่ ทุกสิ่งล้วนไม่เป็นปัญหา 


 


 


ต่อให้นางเป็นดั่งต้นเอล์มที่ไร้ความรู้สึกเพียงไร ตอนนี้ก็ยังสามารถเข้าใจได้ว่าจีเฉวียนหมายความเช่นไร 


 


 


หลังตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ตู๋กูซิงหลันค่อยกล่าวขึ้นว่า “ลูกชาย….ท่านถูกใจเราเข้าแล้วหรือ?” 


 


 


จีเฉวียน “…….” ประโยคนี้นับว่าไม่ได้ผิด พระองค์ถูกใจนางเข้าแล้ว 


 


 


เมื่อเขาไม่ยอมพูด ตู๋กูซิงหลันก็ถือว่าเขายอมรับแล้ว 


 


 


นางถูกเขากอดเอาไว้ทั้งตัว ปลายคางพาดอยู่บนบ่าของเขา ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง เรียกว่าได้ยินเสียงหัวใจของเขาได้เลย 


 


 


“พระองค์ทรงจำได้หรือไม่ว่า หม่อมฉันคือพระมารดาของพระองค์?” 


 


 


“เรื่องที่จะทรงพึงใจในหม่อมฉันนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด!” 


 


 


“ทรงรู้หรือไม่ว่านี่เรียกว่าอะไร? เรียกว่าข้ามรุ่น!” 


 


 


“บิดาของท่านตายไปยังไม่ทันครบปี ท่านก็หันมาหามารดาเลี้ยงตัวน้อยของตนเองแล้ว? หากเรื่องแพร่ออกไปก็เท่ากับว่าท่านไร้กตัญญู!” 


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเราเอากับท่านด้วย ในสายตาของคนทั้งโลก ก็เท่ากับว่าเป็นชาติสุนัขชายหญิงคู่หนึ่ง!” 


 


 


จีเฉวียน “เจ้าไม่คิดจะต้องการชีวิตสุนัขของตนเองแล้วหรือไง?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “!!!” 


 


 


พระองค์ปล่อยนางช้าๆ ดวงตาหงส์คู่นั้นจดจ้องไปยังนาง “อย่าได้คิดว่าเราไม่รู้ว่ายามปกติเจ้าเรียกเราว่าอย่างไร” 


 


 


ตรัสแล้ว ก็ทรงขยับพระองค์มาเบื้องหน้านาง จนแทบจะชนกับจมูกของนางเสียด้วยซ้ำ “ฮ่องเต้สุนัข หืม?” 


 


 


ในสมองของตู๋กูซิงหลันตอนนี้มีแต่หญ้าและโคลนเหลว 


 


 


เอาจริงนะ ด้วยวิธีการจับตาดูผู้คนของฮ่องเต้สุนัขนี่ แน่นอนเลยว่าวันๆ หนึ่งนางตดกี่ครั้งเขาก็คงรู้ 


 


 


จีเฉวียนจดจ้องมองนาง ริมโอษฐ์เย็นบางกระตุกเบาๆ “เจ้ามีชีวิตสุนัข เราเป็นฮ่องเต้สุนัข บอกว่าเป็นชาติสุนัขชายหญิงคู่หนึ่งก็ไม่ผิด” 


 


 


“โอ้ย ยังจะไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกไหม?” วิญญาณทมิฬทนต่อไปไม่ไหว จนต้องกระโดดออกมาโวยวายบ้าง 


 


 


ฮ่องเต้สุนัขก็คือฮ่องเต้สุนัข ยามปกติเงียบสงบไม่เคลื่อนไหว พอเคลื่อนไหวก็รุกไล่กันเลย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถึงกับพูดไม่ออกใบ้กินไปเลย ตู๋กูซิงหลันอยากจะตบกกหูตนเองนัก อยู่ดีๆ ไปพูดแต่เรื่องชาติสุนัขอยู่ได้ 


 


 


ตอนนี้โดนย้อนคำพูดเข้าบ้างเป็นไงละพูดอะไรไม่ออกเลย 


 


 


“ตู๋กูซิงหลัน เจ้าอย่าได้มาแกล้งทำเป็นเฉไฉกับเรา” จีเฉวียนยังคงจดจ้องตู๋กูซิงหลันอยู่เช่นเดิม “เรากล้ารั้งเจ้าเอาไว้ข้างกาย ก็ย่อมต้องเตรียมพร้อมที่จะจัดการศัตรูทั้งโลกเอาไว้อยู่แล้ว” 


 


 


“เจ้าแค่ตอบเรามาก็พอ ว่าในใจของเจ้ามีเราอยู่มุมหนึ่งหรือไม่?” 


 


 


ดวงเนตรหงส์นั้นจริงจัง อย่างที่ตู๋กูซิงหลันไม่เคยเห็นมาก่อน 


 


 


ตอนนี้นางออกจะมึนงงอยู่บ้าง นี่นางสมควรจะเข้าใจและถือเสียว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้สารภาพรักต่อนางแล้วใช่ไหม? 


 


 


แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่าไม่คับคล้ายเลยสักนิด ขั้นตอนการสารภาพรักก็ยังขาดหลายคำที่ควรจะมีอย่าง ‘ข้าชอบเจ้า’ ไปหรือเปล่า? 


 


 


ฮ่องเต้สุนัขตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้กล่าวว่าชอบนางเลยสักนิด 


 


 


พอนางไม่พูด จีเฉวียนก็ตรัสถามซ้ำอีกรอบหนึ่ง “มีไหม?” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


-ไรท์ อยากจะตอบแทนว่ามี! มีแน่นอน! (บางครั้งก็อยากจะฝันว่ามีหนุ่มหล่อมาผลักติดข้างฝาแล้วบอกว่า “ผมชอบคุณ” อยู่เหมือนกัน) #ใต้ความมโนของไรท์ #แม่ลูกสอง  

 

 


ตอนที่ 229 รักเจ้าหมดหัวใจ ชั่วชีวิตไ...

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บสาหัส ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่าทั้งหมดนี้คือความฝัน 


 


 


แล้วในใจของนาง มีเขาอยู่มุมหนึ่งหรือไม่? 


 


 


จะไม่มีได้อย่างไร! 


 


 


ในใจของนาง เขาเป็นดั่งราชาจอมมารที่นางครุ่นคิดหาหนทางจะกบฎอยู่ตลอดเวลาไง 


 


 


ครองตำแหน่ง ‘พวกตัวอันตราย’ ย่อมสำคัญอยู่แล้ว 


 


 


ชนิดที่ไม่มีผู้ใดสามารถทดแทนได้ทั้งนั้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดๆ ดูแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ผู้องอาจกล้าหาญที่สุดในดินแดนต้าโจว หม่อมฉันย่อมต้องเคารพพระองค์อย่างแน่นอน” 


 


 


ฮ่องเต้สุนัข คิดว่าเจ้ถูกหลอกได้ง่ายๆ หรือยังไง? 


 


 


อย่าได้ฝันว่าจะลวงข้าสำเร็จ! 


 


 


คิดว่าเจ้เป็นพวกที่แค่พูดกันไม่กี่ประโยค ก็จะวิ่งกระดิ๊กๆ ตามไปง่ายๆ โง่ๆ หรือยังไง 


 


 


แค่คิดดูคร่าวๆ ก็ชัดเจนอยู่แล้ว จีเฉวียนแค่คิดจะล่อลวงนาง รอจนถึงโอกาสเหมาะสม ก็จะโยนโทษฐานทำให้วังหลวงวุ่นวายลงมาใส่หัวนาง! 


 


 


เฮอะ ไอ้เด็กหน้าเหม็น! 


 


 


จีเฉวียน “…….” 


 


 


ยามนี้ฮ่องเต้ทรงเสียดายยิ่งนัก เสียดายที่ไม่ได้ฟาดนางให้ตาย 


 


 


อุตส่าห์มอบความรักลึกล้ำให้ แต่กระทั่งเสียงผายลมก็ยังไม่มีออกมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นสีพระพักตร์ดำคล้ำ ในใจก็รู้สึกมั่นใจในสิ่งที่เมื่อครู่ตนเองคาดเดาเอาไว้ จริงเสียด้วย เจ้าหน้าเหม็นผู้นี้พอล่อลวงไม่สำเร็จก็อารมณ์เสียขึ้นมา 


 


 


“ฝ่าบาท ขอทรงโปรดเห็นแก่ที่ท่านปู่และพี่ใหญ่ของหม่อมฉันสู้รบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ที่ชายแดนเป่ยเจียง ขอพระองค์ทรงประทานทางรอดให้หม่อมฉันสักทางเถอะเพคะ” 


 


 


เมื่อเจ้าลูกชายสุนัขสีหน้าดำคล้ำ คนเป็นแม่เลี้ยงก็สมควรจะต้องโอ๋สักหน่อย แม้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวนางจะมีแต่รอยฟกช้ำไปหมดก็ตาม 


 


 


“ล้อกันเล่นแบบนี้สักหลายๆ รอบ หัวใจดวงน้อยๆ คงจะทนไม่ไหว” ตู๋กูซิงหลันอยากจะพูดกับเขาดีๆ ให้รู้เรื่อง 


 


 


หาสักทางให้จีเฉวียนล้มเลิกความคิดที่จะขุดหลุมพรางกับนาง 


 


 


แต่คราวนี้ฝ่าบาททรงพิโรธจริงๆ เข้าแล้ว พระองค์ทรงทราบดีว่านางชอบแกล้งทำเป็นโง่กลบเกลื่อนเรื่องราว แต่ไยนางจึงต้องเห็นความรู้สึกที่จริงจังของเขาเป็นเรื่องล้อเล่นด้วยเล่า? 


 


 


“ตู๋กูซิงหลัน เรามิได้ล้อเล่น!” 


 


 


พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไป คว้าหมับที่ใบหูของตู๋กูซิงหลัน “ในชีวิตนี่เราไม่เคยถูกสตรีคนใดทำให้ต้องครุ่นคิดถึงตลอดเวลามาก่อน จิตใจคะนึงหา ระทมหม่นหมอง หากเจ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไยต้องเหยียบย่ำทำลายความจริงใจของเรา?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกวาจานี้ของเขาทำเอาตกใจจนแทบจะกระโดด 


 


 


จริง….จริงใจ? 


 


 


“สมควรตายนัก ล่อหลอกลวงเราไปนับร้อยนับพันวิธี แล้วค่อยทอดทิ้งเราอย่างไม่ใยดี เล่นละครจับแต่แสร้งปล่อย เจ้าช่างทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป้าหมายของเจ้าบรรลุแล้ว จิตใจของเราหวั่นไหวเข้าแล้ว เราห่วงใยเจ้า ชอบเจ้า!” 


 


 


“แล้วเจ้าเล่า? คิดแต่จะถีบเราออกไป?” 


 


 


ในสมองของตู๋กูซิงหลันมีเสียงวิ้งๆ ดังไปหมด 


 


 


ในสมองมีแต่เสียงประโยคที่ว่า “จิตใจของเราหวั่นไหวแล้ว เราห่วงใยเจ้า เราชอบเจ้า!” ดังสะท้อนกลับไปกลับมา 


 


 


หากจะบอกว่าจีเฉวียนกำลังเล่นละคร อารมณ์โกรธและความกดดันเช่นนี้ ลีลาการแสดงของเขาสมจริงเกินไปแล้ว 


 


 


เขาโกรธนางเคืองนางแต่ก็ไม่กล้าทำให้นางบาดเจ็บแม้สักนิด 


 


 


เขา……เอาจริงหรือนี่? 


 


 


“ไม่ใช่นะ คือข้า….” ตู๋กูซิงหลันอยากจะอธิบาย นางมิได้กำลังเล่นละครจับแต่แสร้งปล่อยใดๆ จริงๆ 


 


 


คำพูดยังไม่ทันจะได้กล่าวออกมา ก็เห็นจีเฉวียนเชยคางของนางขึ้น กลีบโอษฐ์บางๆ ส่งจูบมาในทันที จูบนี้รุนแรงปานพายุฝน 


 


 


แทบจะขบริมฝีปากของนางจนเลือดออก 


 


 


จูบที่ตรงไปตรงมานี้ทำเอาสมองของตู๋กูซิงหลันถึงกับพังทลาย นางกำลังจะขาดอากาศหายใจ 


 


 


กระทั่งจีเฉวียนปล่อยนางแล้ว นางก็ยังไม่ได้สติกลับมา 


 


 


สายตาของนางเหม่อลอย ในสมองได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นถี่ยิบเสียงดัง ‘ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก’ อยู่ตลอดเวลา 


 


 


วิญญาณทมิฬแคะจมูกอยู่ด้านข้าง ด้วยสีหน้าเอือมระอา “หนูก็บอกตั้งแต่แรกแล้วนา ว่าวันนั้นที่เจ้าเมา เขาเอ่ยปากขึ้นมาเองว่า ‘เรารักเจ้า’ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมเชื่อ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” 


 


 


นั่นมันเชื่อได้หรือ? เชื่อได้ที่ไหน? อ๊ากกก! ฮ่องเต้สุนัขจะมาชอบนางได้อย่างไรกัน? 


 


 


ไม่ใช่ว่าวันๆ ก็คิดอยากจะถลกหนังโบยตีนางอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ? 


 


 


“เจ้ายอมเชื่อแล้วหรือ?” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรดูนาง สุดท้ายพระองค์ก็ไม่อาจแข็งพระทัยทำร้ายนาง ได้แต่ตรัสถามด้วยน้ำเสียงเข้มลึก “หากว่าเจ้ายังไม่เชื่อ เราจะจูบเจ้าอีกครั้งก็ได้” 


 


 


“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ต้องการพักหายใจ” ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมาบีบนวดขมับ คิดหาต้นสายปลายเหตุ 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็หาเหตุผลขึ้นมาได้ 


 


 


ตอนที่ฮ่องเต้สุนัขยังเป็นเพียงองค์ชายสี่ ก็คิดจะแต่งเจ้าของร่างนี้เป็นชายานี่! 


 


 


ตั้งแต่ตอนนั้น ก็แสดงว่าต้องชอบเจ้าของร่างเดิม! 


 


 


ดังนั้นเขาไม่ได้ชอบนาง แต่ว่าชอบ ‘นาง’ ต่างหาก 


 


 


สองคนนี่ไม่สามารถนำมาปะปนกันได้ 


 


 


แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่ได้ให้เวลานางเลยสักนิด หายใจเข้าออกไม่ทันได้นับถึงสาม เขาก็รุกถามอีกครั้ง “เจ้าพักหายใจพอแล้วหรือยัง?” 


 


 


อยู่ๆ ดวงพักตร์ที่งดงามประหนึ่งเทพเซียนที่เบื้องหน้าก็ขยายใหญ่ขึ้น ตู๋กูซิงหลันตกกระใจจนแทบจะกระโดด 


 


 


นางลูบอกขึ้นลง “ฝ่าบาทเพคะ คงเป็นเพราะพระองค์อยากจะชดเชยความผิดหวังในปีนั้นกระมั้ง?” 


 


 


จีเฉวียน “ปีนั้น?” 


 


 


“ปีนั้น ‘ข้า’ ไม่ยอมแต่งกับท่าน ท่านจึงไม่สบายใจมาโดยตลอด สิ่งที่ไม่อาจได้มาก็ยิ่งคิดหาวิธีร้อยแปดเพื่อเอามาไว้ในมือ?” 


 


 


หากนางไม่สะกิดเรื่องนี้ขึ้นมา จีเฉวียนก็คงจะลืมไปแล้ว 


 


 


“ในสายตาของเจ้า เราเป็นคนที่ลงมือโดยไม่เลือกวิธีการขนาดนั้นเลยหรือ?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่กระอักอยู่ในใจ ก็ไม่ใช่หรอกหรือ? 


 


 


ไม่เพียงแค่ไม่เลือกใช้วิธีลงมือ แต่ยังลงมืออย่างเผ็ดร้อนอีกด้วย 


 


 


ฮ่องเต้ทรงคาดไม่ถึงจริงๆ ว่า สิ่งที่ทรงประทับไว้ในใจของนางจะย่ำแย่ถึงขนาดนี้ 


 


 


พระองค์เป็นฮ่องเต้ ฝีมือและวิธีการย่อมไม่ธรรมดา แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นฆ่าล้างประหารสิ้น พระองค์ไม่ใช่จอมมาร ไยนางจึงต้องหวาดกลัวไปจนถึงเพียงนั้น? 


 


 


“เรารักเจ้าหมดหัวใจ ย่อมต้องไม่คิดใช้วิธีการใดกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นจะต้องหวาดกลัวไป” 


 


 


จีเฉวียนตรัสพลาง ก็ยื่นพระหัตถ์ออกมา ลูบไล้ขอบใบหน้าของนางเบาๆ ราวกับว่ากำลังปลอบประโลมกระต่ายขาวตัวน้อยที่ตื่นกลัว “รักเจ้าหมดหัวใจ ชั่วชีวิตไม่แปรผัน” 


 


 


ในชีวิตนี้ เขาคงจะรักแต่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น 


 


 


หัวใจรึก็มีขนาดเพียงแค่นี้ จะไปแบ่งให้คนอื่นอีกได้อย่างไร 


 


 


พอใบหน้าสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบจากปลายนิ้วของเขา อาการตกตะลึงของตู๋กูซิงหลันก็ค่อยๆ คลายลงอย่างช้าๆ 


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมาดูเขา จีเฉวียนทรงงดงามอย่างไรก็งดงามอย่างนั้น น้ำเสียงและคำพูดที่ออกมาก็น่าฟังอย่างที่สุด 


 


 


น่าฟังจนถึงขนาดที่ว่าหากคนไม่ระวังก็คงต้องจมลงไปในความหลงใหล หมดหนทางจะฟื้นขึ้นมา 


 


 


จากนั้น พระองค์ก็ทรงทิ้งจุมพิศไว้บนหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา แม้แต่น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นมาก “เรามิได้น่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ” 


 


 


“อั๊วขอค้าน เขาโกหก! “วิญญาณทมิฬกำหมัดสั้นๆ ของมันอยู่ด้านข้าง “ในโลกนี้ไม่มีใครที่น่ากลัวยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว!” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันปวดฟันขึ้นมาจริงๆ 


 


 


อยู่ๆ ก็เจอฮ่องเต้มาสารภาพรัก นางสมควรจะตอบเช่นไรดี? 


 


 


นางชอบจีเฉวียน? ฝันไปเถอะ! 


 


 


นั่นไม่มีทางเป็นไปได้ ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทางชอบจีเฉวียน 


 


 


บุรุษของนาง ต้องมีแต่นางเพียงผู้เดียวไปชั่วชีวิต ไม่มีทางจะเป็นฮ่องเต้ที่มีพระสนมสามพันนางไปได้เด็ดขาด 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น …..ซูเฟยน้อยก็พึ่งจะตั้งครรภ์ เขาก็รีบร้อนมาสารภาพรักกับนางเสียแล้ว? 


 


 


ดูๆ ดูใบหน้าของบุรุษเสเพลผู้นี้สิ! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองออกหมดแล้ว สมมติว่านางยอมฝ่าฝันอุปสรรคนับพันเพื่ออยู่ด้วยกันกับจีเฉวียน ไม่แน่ว่าพอหลังจากที่นางมีเจ้าตัวเล็กขึ้นมา จีเฉวียนก็คงจะหันไปหาคนใหม่เสียแล้ว 


 


 


พอคิดๆ ดูแล้วนางก็อยากจะเอามีดมาแล่เนื้อเขานัก 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น วังหลังของเขาไม่เพียงแต่มีพระสนมอยู่อย่างมากมาย หากยังมีรักแท้ให้ท่านราชครูอีกด้วยนี่ 


 


 


แต่ถ้านางกล้าบอกเขาว่าไม่ได้ชอบ คาดว่าเขาก็คงจะไม่ปล่อยให้นางได้เห็นแสงตะวันของวันพรุ่งนี้อีกแล้ว 


 


 


นี่มันเป็นคำถามที่ต้องการชีวิตเสียด้วยซ้ำ จะไปทางไหนก็ไม่ได้อยู่ดี 


 


 


หากว่าไม่ระมัดระวังให้ดี มีหวังนางคงต้องตายอย่างสาหัสกว่าเดิม 


 


 


คิดไปคิดมา นางก็พลันเกิดไหวพริบขึ้นมา 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)