อัจฉริยะสมองเพชร 2252-2261

ตอนที่ 2252 มาตรวจสอบกัน!

 

แม้เหล่านักรบในสรวงสวรรค์จะมีความจำเป็นเลิศ แต่ก็ไม่มีทางจดจำอาการป่วยที่นับถอยหลังไปหลายพันปีได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่มีทางพบบันทึกการรักษาโรคของคนไข้ทุกคนที่มีอยู่ในศิลาจารึกอาการได้เช่นกัน


สิ่งนี้ทำให้การคดโกงแทบจะเป็นไปไม่ได้


“หลังจากจบขั้นตอนการวินิจฉัย คุณจะต้องบันทึกข้อสันนิษฐานของคุณลงไป เมื่อเสร็จสิ้นการสังเกตอาการ การดมกลิ่น การซักถาม และการสัมผัสแล้ว คุณจะต้องสรุปวิธีการรักษาโรคและยื่นมันให้คนไข้ ถ้าวิธีการรักษาที่คุณเสนออยู่ในข่ายที่สามารถรักษาอาการป่วยของผู้นั้นได้ คนไข้เสมือนจริงก็จะมีอาการดีขึ้น แต่หากคุณวินิจฉัยผิดพลาด ผลลัพธ์ของความผิดพลาดนั้นก็จะถูกแสดงออกมา!”


จางเซวียนพยักหน้า


เขาเคาะศิลาจารึกอาการอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นอย่างที่ประธานเลี่ยวบอกไว้ คนไข้เสมือนจริงทั้ง 10 คนปรากฏตัวทันที


“ตอนนี้คุณก็รู้กติกาแล้ว เริ่มได้”


ประธานเลี่ยวยกมือ แล้วนายแพทย์ 2 คนก็นำกระดาษกับพู่กันมายื่นให้ทั้งคู่


ในฐานะนายแพทย์ การสังเกตอาการของคนไข้คือขั้นตอนแรกในการวินิจฉัย ด้วยการเก็บข้อมูลเรื่องสีหน้า สภาวะ สีสัน และรูปแบบต่างๆ นายแพทย์จะสามารถทำการประเมินเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการป่วยที่ปรากฏได้


เห็นประธานเลี่ยวเดินเข้าหาคนไข้ที่อยู่ซ้ายสุด จางเซวียนรีบเดินไปหาคนไข้ด้านขวาสุด


ด้วยการมองเพียงแวบเดียว จางเซวียนก็สรุปอาการได้ด้วยความมั่นใจราว 80-90 เปอร์เซ็นต์


แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังตัดสินใจพึมพำ ‘ข้อบกพร่อง!’


ฟึ่บ!


หนังสือ 10 เล่มปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้าทันที


ถึงจางเซวียนจะมั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง แต่ก็อยากให้แน่ใจเต็มที่ จึงใช้ความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้าเพื่อตรวจสอบการวินิจฉัยของเขาอีกครั้ง


ผลการประลองนายแพทย์จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดและได้พบหลัวลั่วชิง เขาไม่อยากเสี่ยงกับการพ่ายแพ้การประลองและสูญเสียเวลาอันมีค่า


แม้คนไข้ทั้งสิบที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นแค่ภาพเสมือนจริง แต่จางเซวียนก็ประมวลการวิเคราะห์อาการของคนเหล่านั้นได้ผ่านค่ายกลที่ใช้ปล่อยภาพออกมา หลังจากกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่าการวินิจฉัยของเขาถูกต้อง


เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการรักษาโรคอย่างจริงจังอีกเลยตั้งแต่มาถึงสรวงสวรรค์ แต่เมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็เคยเจออาการป่วยแปลกประหลาดมากมายและรักษาอาการเหล่านั้นได้โดยไม่ยากเย็นอะไร ความเข้าใจของจางเซวียนที่มีต่อร่างกายมนุษย์และการใช้สมุนไพรอยู่ในระดับที่เหนือกว่านายแพทย์ส่วนใหญ่จะเข้าถึง


ตอนนี้ สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคคือสภาวะร่างกายที่แตกต่างกันระหว่างเทพเจ้ากับนักรบทั่วไป ขอแค่เขาทำความเข้าใจจุดนี้ได้ ก็จะใช้ความรู้ที่มีอยู่มากมายในหัวรักษาคนไข้ได้สำเร็จ


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและใช้เวลาเรียบเรียงความคิดครู่หนึ่งเพื่อหากระบวนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด จากนั้นก็รีบเขียนลงไป


“เอาล่ะ ผมทำเสร็จแล้ว” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


“อะไรนะ? คุณทำเสร็จแล้ว?”


“จริงหรือ? การประลองนายแพทย์เพิ่งเริ่มได้ไม่ถึง 10 นาทีเอง อีกอย่าง คุณยังไม่ได้ใช้การวินิจฉัยขั้นอื่นๆเลย แต่ก็ระบุวิธีการรักษาเสียแล้ว!”


คุณล้อเล่นแล้วล่ะ! การวินิจฉัยคนไข้สิบคนโดยได้ข้อสรุปรวดเร็วขนาดนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?


ทุกคนชะงัก


ว่ากันว่านายแพทย์จะต้องสู้รบกับเวลาอยู่เสมอเพื่อยื้อยุดฉุดกระชากคนไข้ของพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของความตาย แต่นั่นแหละ ก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่นายแพทย์สักคนจะวินิจฉัยและรักษาโรคที่มีอาการซับซ้อนถึง 10 โรคได้ภายในไม่ถึง 10 นาที!


แน่ใจนะว่าไม่ได้หลอกพวกเรา?


ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองประธานเลี่ยวว่ากำลังทำอะไร ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงหน้าคนไข้คนแรก เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการสอบถามอาการและกำลังจะจับชีพจร


เขาอ่านการเต้นของชีพจรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาและเขียนอาการป่วยพร้อมกับวิธีการรักษาลงไป


เมื่อเขียนเสร็จ ประธานเลี่ยวถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปหาคนไข้คนที่ 2


ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้สึกว่าจางเซวียนไม่ได้ลงมือทำอะไร เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเร่ง “อย่ารีรอน่ะ ถ้าผลการวินิจฉัยของเราออกมาในทิศทางเดียวกัน จะต้องตัดสินกันที่เวลานะ!”


ก่อนหน้านี้ เขาหมกมุ่นกับการวินิจฉัยคนไข้จนไม่ได้ใส่ใจการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม


ทันทีที่พูดจบ ประธานเลี่ยวกำลังจะหันกลับไปสนใจคนไข้คนที่ 2 ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่านายแพทย์ทุกคนในห้องนั้นมองเขาด้วยสีหน้าอึ้งตะลึง ไม่มีใครพูดสักคำ


“มีอะไร?” ประธานเลี่ยวถาม


“ประธานเลี่ยว, นักปรุงยาจางเสร็จสิ้นการวินิจฉัยและบันทึกวิธีการรักษาคนไข้ครบทุกคนแล้ว คุณนั่นแหละคือคนที่ต้องรีบ…”


รองประธานหวังตอบอย่างกระอักกระอ่วน


“เขาบันทึกวิธีการรักษาเสร็จแล้ว?” ประธานเลี่ยวถึงกับผงะ


เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการวินิจฉัยคนไข้คนแรก แต่คู่ต่อสู้ระบุวิธีการรักษาคนไข้ทั้ง 10 คนครบแล้ว…


ประธานเลี่ยวสายหน้าขณะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยในตัวชายหนุ่ม


การวินิจฉัยคนไข้ไม่ใช่แค่การซักถามข้อมูล มันคือการเจาะลึกทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นอายุ พละกำลัง สถิติด้านสุขภาพ หรืออาการแพ้ยา จากนั้นก็ประมวลเป็นภาพรวมที่สมบูรณ์ของคนไข้แต่ละคน หากละเลยปัจจัยข้อใดข้อหนึ่งไป อาจทำให้โรคร้ายบานปลายเกินจะควบคุม ชีวิตของคนไข้จะตกอยู่ในความเสี่ยง


ในความเห็นของเขา เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีที่ใครสักคนจะระบุวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้โดยไม่ผ่านการวินิจฉัยทั้ง 4 ขั้นตอน ความโอหังแบบนี้อาจทำให้คนไข้ต้องเสียชีวิต!


ประธานเลี่ยวถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะบอกตัวเองว่าจะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กับชายหนุ่มให้ได้ จากนั้นก็ขยับเข้าหาคนไข้คนต่อไป


รวมแล้ว ประธานเลี่ยวใช้เวลา 2 ชั่วโมงเต็มๆกว่าจะวินิจฉัยคนไข้ครบทั้ง 10 คนและระบุวิธีการรักษาได้ครบถ้วน


เขานวดหว่างคิ้วด้วยความอ่อนล้าก่อนจะยื่นกระดาษคำตอบ


“มาตรวจสอบกัน!”


รองประธานหวังหยิบกระดาษคำตอบของประธานเลี่ยวก่อน ทุกคนในห้องพากันชะเง้อดูว่าในนั้นเขียนว่าอะไร


“…น่าจะเป็นอาการระบบแปรปรวน”


นี่คือข้อสันนิษฐานแรกที่เขาได้หลังจากวินิจฉัยคนไข้คนที่ 1


รองประธานหวังพลิกดูกระดาษคำตอบแผ่นที่ 2 และ 3 ซึ่งระบุการวินิจฉัยที่ได้จากการดมกลิ่นและการซักถาม ซึ่งคำตอบก็เป็นแบบเดียวกัน


แต่ในกระดาษคำตอบแผ่นที่ 4 ซึ่งประธานเลี่ยวเขียนไว้หลังจากจับชีพจรคนไข้ เขายกเลิกการวินิจฉัยก่อนหน้าและระบุใหม่ “ไม่ใช่อาการระบบแปรปรวน แต่เป็นอาการขวัญผวายามวิกาล, วิธีรักษา…”


อาการระบบแปรปรวนเป็นโรคที่กัดกร่อนทำลายจิตวิญญาณ คนไข้จะทุกข์ทรมานจากการฝันร้ายทุกค่ำคืนราวกับถูกภูตผีปีศาจหลอกหลอน เมื่อเวลาผ่านไป จิตวิญญาณของพวกเขาจะหมดพลังลงไปเรื่อยๆ นำมาซึ่งความเศร้าซึมและวิตกกังวล


อันที่จริง อาการระบบแปรปรวนเป็นแค่ผลข้างเคียงที่เกิดกับจิตวิญญาณของนักรบ เป็นความบอบช้ำที่มีสาเหตุจากการที่วรยุทธของผู้นั้นถูกธาตุไฟเข้าแทรก หากนักรบฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณเสียใหม่และพยายามหลีกเลี่ยงความเครียดและความกดดัน อาการนั้นก็จะหายไป


อาการที่กล่าวมาแทบจะเหมือนกันเป๊ะกับสิ่งที่คนไข้ต้องเผชิญเมื่อเกิดอาการขวัญผวายามวิกาล ความแตกต่างข้อเดียวก็คือ อาการระบบแปรปรวนจะเกิดขึ้นขณะที่คนไข้นอนหลับและไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงถึงตาย ขณะที่อาการขวัญผวายามวิกาลจะเกิดเมื่อคนไข้หลับลึกเท่านั้น และเมื่อเกิดอาการนี้ ก็มีโอกาสที่คนไข้จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย


ด้วยการสังเกตอาการ การดมกลิ่น และการซักถาม ข้อมูลที่นายแพทย์คนหนึ่งจะได้จากคนไข้ที่เผชิญกับ 2 โรคนี้แทบจะเหมือนกันทุกข้อ เว้นเสียแต่จะได้จับชีพจรและรับรู้ถึงกระแสความสั่นสะเทือนของพลังงานที่ต่างกัน ไม่อย่างนั้นก็แทบแยกแยะความแตกต่างไม่ได้


“เป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ” รองประธานหวังพยักหน้า


ในกระบวนการวินิจฉัย ขั้นแรก, คือการสังเกตอาการ ย่อมเพียงพอต่อการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น การสังเกตอาการไม่อาจทำให้ได้ข้อมูลมากพอที่จะระบุอาการป่วยให้แน่ชัด สำหรับนายแพทย์ส่วนใหญ่ พวกเขาจะตัดสินใจได้เมื่อเสร็จสิ้นการวินิจฉัยขั้นที่ 4


ประธานเลี่ยวใช้วิธีนี้ระบุสาเหตุของอาการป่วยและปัจจัยหลักที่ต้องแก้ไข


รองประธานหวังถือกระดาษคำตอบที่มีรายละเอียดของการรักษา เขาเดินไปหาคนไข้คนแรกแล้ววางกระดาษลงในมืออีกฝ่าย


วิ้งงงง!


ครู่ต่อมา ราวกับได้กินยารักษา ผิวพรรณและจิตวิญญาณของคนไข้เสมือนจริงค่อยๆฟื้นตัว


มีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะเกิดภาพแบบนี้ได้ คือวิธีการรักษานั้นได้ผล!


ประธานเลี่ยวลูบคางอย่างพอใจ


เนิ่นนานหลายปีแล้วตั้งแต่เขาเข้าร่วมการประลองนายแพทย์ครั้งล่าสุด แต่ดูเหมือนสนิมจะยังไม่เกาะ เขารักษาคนไข้คนแรกได้อย่างไร้ที่ติ


รองประธานหวังหันไปมองจางเซวียน


เขาอยากรู้ว่าคำตอบที่ชายหนุ่มเขียนไว้ตั้งแต่เวลายังผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีนั้นคืออะไร


จางเซวียนยิ้มและยื่นกระดาษคำตอบให้


รองประธานหวังรับกระดาษมา แต่เมื่อเห็นก็ขมวดคิ้ว


ทุกคนรีบชะเง้อมอง แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเช่นกัน


“ไม่มีอาการป่วยระบุไว้เลย?”


“เขาวินิจฉัยคนไข้ไม่ได้หรือ?”


“แต่ทำไมถึงเขียนวิธีการรักษาไว้ล่ะถ้าวินิจฉัยอะไรจากคนไข้ไม่ได้?”


“ผมก็ไม่รู้…”


ในกระดาษแผ่นนั้นคือรายชื่อสมุนไพร แต่ไม่มีการระบุอาการป่วยของคนไข้คนแรกไว้


“แถมใบสั่งยาที่เขาเขียนก็ดูจากต่างกับของประธานเลี่ยวนิดหน่อย…”


“นิดหน่อยที่ไหน? มันคือสมุนไพร 2 ชุดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะ!”


“แต่ใบสั่งยาของประธานเลี่ยวถูกต้องนี่ ใช่ไหม? ในเมื่อใบสั่งยาของนักปรุงยาจางต่างกันอย่างสิ้นเชิง ก็หมายความว่าเขาทำไม่สำเร็จ?”


ถึงตอนนี้ ทุกคนในห้องพากันลงความเห็น


ชายหนุ่มเป็นแค่นักปรุงยาจริงๆ เขาไม่รู้อะไรเลยเรื่องการวินิจฉัยและรักษาคนไข้


การที่เขาวินิจฉัยอาการของคนไข้ไม่ได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่…แม้ใบสั่งยาก็ยังไม่ถูกต้อง โชคดีที่เป็นแค่คนไข้เสมือนจริง ถ้าเป็นคนไข้ที่มีเลือดเนื้อจริงๆล่ะก็ ผลที่ตามมาคงย่ำแย่


“จำเป็นต้องพิจารณาต่อไหม?” รองประธานหวังเปรยอย่างหงุดหงิด


ในความเห็นของเขา จางเซวียนไม่มีความเป็นนายแพทย์สักนิด การประลองนายแพทย์ไม่ควรจะดำเนินต่อ


“คุณตัดสินว่าผมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้ทดสอบวิธีการรักษาของผมอย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“แล้วเท่านี้ยังไม่ชัดหรือไง?”


“ก็ทำไมคุณไม่ลองมอบวิธีการรักษาของผมให้คนไข้เสมือนจริงล่ะ แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น?”


“ทำแบบนั้น คุณก็มีแต่จะอับอายขายหน้านะ แต่ถ้าคุณยืนกราน…” รองประธานหวังพึมพำอย่างจนปัญญาขณะเดินเข้าหาคนไข้เสมือนจริงและดึงวิธีการรักษาของประธานเลี่ยวออกไป

 

 

 


ตอนที่ 2253 ผมแพ้แล้ว

 

ทันทีที่กระดาษแผ่นนั้นหลุดจากมือของคนไข้ อีกฝ่ายก็กลับสู่สภาพกระเสาะกระแสะเหมือนเดิม


ประธานหวังวางแผ่นกระดาษที่มีวิธีการรักษาของจางเซวียนเข้าไปแทนที่


วิ้งงงง!


เมื่อคนไข้เสมือนจริงได้สัมผัสกระดาษแผ่นนั้น สีหน้าเหลืองอมโรคของเขาก็ซีดเผือด ขณะที่ทุกคนคิดว่าใบสั่งยาที่ผิดพลาดคงทำให้คนไข้ตายแน่ ก็เกิดการระเบิดย่อมๆขึ้นหนึ่งครั้ง รังสีของคนไข้เสมือนจริงแผ่ซ่านออกมา ผ่านไปสักพักกว่ารังสีนั้นจะหยุดนิ่งและการสั่นสะเทือนของกระแสพลังงานสงบลง


เมื่อมองดูคนไข้เสมือนจริงอีกครั้ง บรรดานายแพทย์ในห้องก็เห็นกันทั่วว่าไม่เพียงแต่คนไข้จะหายป่วย ผิวพรรณของเขายังมีเลือดฝาดกว่าเดิมด้วย อันที่จริง…ดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยซ้ำ!


“นี่…เขาฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณได้หรือ?”


“เดี๋ยวก่อน คุณกำลังบอกว่าใบสั่งยาของนักปรุงยาจางไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาคนไข้ แต่ทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จด้วย?”


เงียบกริบ


แม้แต่ประธานเลี่ยวก็ตาโตด้วยความตกตะลึง


วิธีการรักษาของเขาทำได้แค่บรรเทาอาการของคนไข้ แต่ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่จะรักษาคนไข้ที่ต้นเหตุ ยังเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสของการฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วย!


พูดอีกอย่างก็คือวิธีการรักษาที่ชายหนุ่มเสนอไม่ใช่แค่สมบูรณ์แบบ…มันเหนือชั้นกว่าความสมบูรณ์แบบเสียอีก!


“ยังไม่หมดนะ สมุนไพรที่ระบุไว้ในใบสั่งยาของนักปรุงยาจางก็ล้วนเป็นสมุนไพรธรรมดาที่มีขายทั่วไปในเมือง แถมราคาก็ไม่แพงเกินไป…” อ้าวหัวตั้งข้อสังเกตอย่างตื่นเต้น


ระหว่างทางที่มาที่นี่ จางเซวียนกำชับหนักแน่นไม่ให้เรียกเขาว่าบรรพบุรุษ แต่ให้เรียกว่านักปรุงยาจาง เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่อยากเปิดเผยตัวตนของเขาที่เป็นมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ และไม่อยากให้น่านฟ้ามังกรเมฆเข้ามาวุ่นวายเรื่องนี้


“จริงด้วย!”


ฝูงชนพากันตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นข้อเท็จจริง ทุกคนตาแดงก่ำเพราะรู้ว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


เมื่อสมุนไพรที่ระบุไว้ในใบสั่งยามีราคาไม่แพงเกินไป ก็หมายความว่าพวกเขาสามารถใช้วิธีการรักษาแบบนี้กับคนไข้อื่นๆที่มีปัญหาแบบเดียวกันได้สบาย


พูดง่ายๆก็คือ การรักษาด้วยวิธีนี้นำไปใช้ได้ง่ายและเห็นผลจริง!


ในอนาคต สิ่งนี้จะช่วยผู้คนได้อีกมากมาย


ใบสั่งยาจะมีประโยชน์อะไรถ้าสมุนไพรที่ถูกระบุไว้เป็นสมุนไพรหายากหรือแพงจนไม่มีปัญญาซื้อ? นี่คือปัญหาหนักอึ้งที่นายแพทย์ส่วนใหญ่ต้องเผชิญขณะรักษาคนไข้ของพวกเขา


มีนายแพทย์จำนวนหนึ่งที่มีน้ำใจมากพอจะยอมจ่ายแทนคนไข้ แต่ก็แน่นอนว่าไม่อาจทำได้ตลอดไป เพราะนายแพทย์ก็ต้องหาเลี้ยงชีพเหมือนกัน และก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาย่อมอยากได้ค่าตอบแทนที่คุ้มเหนื่อย เป็นเรื่องเหลวไหลมากหากจะคาดหวังให้นายแพทย์ออกค่าใช้จ่ายให้คนไข้ทุกคน


พวกเขาไม่ใช่นักบุญ!


ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าประธานเลี่ยวจะหายตกตะลึง เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ใบสั่งยาของคุณส่งผลดีขนาดนี้ได้อย่างไร?”


“พูดกันตามตรงนะ เขาไม่ได้มีอาการระบบแปรปรวนหรืออาการขวัญผวายามวิกาลหรอก สิ่งที่ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานแบบนี้คือการเห็นภาพหลอน!” จางเซวียนตอบ “ถ้าจะพูดกันให้ชัด การเห็นภาพหลอนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นอาการป่วย ผมจึงไม่บันทึกมันลงไป…”


“เขาถูกวางยาหรือ?” ประธานเลี่ยวหรี่ตาด้วยความไม่อยากเชื่อ “แต่อาการพวกนั้นคืออาการขวัญผวายามวิกาลชัดๆเลยนะ!”


เขาวินิจฉัยคนไข้อย่างถี่ถ้วน จึงแน่ใจว่าการตัดสินของตัวเองไม่ผิดพลาด แถมคนไข้ก็มีอาการดีขึ้นหลังจากได้กินยาของเขา แล้วจะเป็นยาพิษได้อย่างไร?


“คนไข้มีอาการขวัญผวายามวิกาลก็จริง แต่อาการขวัญผวายามวิกาลจะกัดกร่อนเฉพาะจิตวิญญาณ ทำให้ผู้นั้นอ่อนล้าอยู่ตลอดเวลาโดยกายเนื้อไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ร่างกายของคนไข้ออกอาการพร่องพลังงานอย่างรุนแรงจนแม้แต่ผิวพรรณก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เขาเหมือนต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่พร้อมจะหมดอายุขัยได้ทุกขณะ จากการสังเกต เห็นได้ชัดว่าพลังชีวิตของเขาได้รับผลกระทบไม่น้อย”


“ร่างกายของเทพเจ้าสวรรค์สร้างแข็งแกร่งและทนทานมาก ทำให้ต้านทานความผิดปกติส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น จึงออกจะทำความเข้าใจได้ยากสักหน่อยหากจะคิดว่าอาการขวัญผวายามวิกาลจะทำให้ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพนั้น”


“ผมจึงสงสัยว่าคนไข้น่าจะถูกวางยา จากการสังเกตอย่างถี่ถ้วนของผม ผมรู้ว่าเขามาจากภูเขาหวังเยว่แห่งน่านฟ้าอมตะ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าคือถิ่นที่อยู่ของงูเห่าวิกาล ดังนั้น ผมจึงสรุปว่าคนไข้น่าจะพบงูเห่าวิกาลที่นั่นและถูกมันฉก ลงท้ายก็อยู่ในสภาพนี้ แม้ใบสั่งยาที่ใช้รักษาอาการขวัญผวายามวิกาลจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากพิษของงูเห่าวิกาลได้ แต่ก็ไม่อาจเจือจางพิษนั้น”


“ในระยะสั้น คนไข้จะดูเหมือนมีอาการดีขึ้น แต่พิษงูจะกำเริบทุก 2 ปี ซึ่งในครั้งที่ 5 ที่อาการนั้นวนกลับมา พิษของงูเห่าวิกาลจะไหลเวียนไปทั่วร่างกายของคนไข้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น วิธีไหนก็ช่วยชีวิตเขาไม่ได้!”


ฝูงชนต่างกระพริบตาปริบๆ พวกเขาพยายามขบคิดสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


คุณแน่ใจนะว่าตัวเองเป็นนายแพทย์ ไม่ใช่นักปราชญ์?


ผู้ที่เป็นคนไข้เสมือนจริงนั้น แท้ที่จริงเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ศพก็แหลกสลายไปไม่มีเหลือ คุณทำอีท่าไหนถึงบอกได้ว่าเขามาจากภูเขาหวังเยว่ของน่านฟ้าอมตะ?


เท่าที่ผมจำได้ คุณก็แค่มองหน้าคนไข้ แต่ไม่ได้ซักถามอะไรเลยไม่ใช่หรือ?


ประธานเลี่ยวรีบหันไปถามคนไข้เสมือนจริง “คุณอาศัยอยู่ที่ไหน?”


สภาพแวดล้อมที่นักรบพำนักอยู่สามารถชี้สาเหตุของอาการป่วยได้ คนไข้เสมือนจริงจึงได้รับอนุญาตให้ตอบคำถามนี้


“ภูเขาหวังเยว่, น่านฟ้าอมตะ” อีกฝ่ายตอบ


“ฮะ…”


ได้ฟังคำตอบ ทุกคนตกใจจนแทบยืนไม่อยู่


บางทีใช้คำว่าตกใจก็อาจจะน้อยเกินไป ทุกอย่างดูจะพิลึกพิลั่นขึ้นเรื่อยๆ


ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มจะวินิจฉัยอาการป่วยได้อย่างถูกต้อง ยังรู้ด้วยว่าคนไข้มาจากไหน


อย่างกับเกิดมาพร้อมกับทักษะการสอดแนม น่าสะพรึงจริงๆ!


“น่านฟ้าอมตะตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสรวงสวรรค์ ภูมิอากาศที่นั่นทั้งร้อนและชื้น ดูจากเสื้อผ้าของเขาก็พอเดาได้”


จางเซวียนดูออกว่าบรรดานายแพทย์ต่างสงสัยแคลงใจ จึงอธิบายความคิดของเขา


ได้ยินคำตอบนั้น ทุกคนหันกลับไปมอง และเห็นว่าคนไข้สวมเสื้อผ้าที่มีเนื้อเบาบางและช่วยเพิ่มความเย็นให้ผู้สวมใส่


“ผู้ที่พำนักอยู่ทางใต้ต้องเจอกับอากาศชื้น จึงมักมีผิวพรรณซีดและยืดหยุ่น ซึ่งหากเปรียบเทียบกัน คนทางเหนือจะมีผิวแห้งและหยาบกว่า การสังเกตลักษณะภายนอกทำให้พอระบุได้ว่าผู้นั้นมีถิ่นกำเนิดที่ไหน” จางเซวียนพูด


“นี่ไม่ใช่การด่วนสรุป เพราะไม่ว่าคนไข้จะเผชิญกับอาการขวัญผวายามวิกาลหรือพิษงูเห่าวิกาล จิตวิญญาณของเขาก็ย่อมบอบช้ำอยู่แล้ว แต่สภาวะของอาการบอบช้ำจะแตกต่างกันไป ถ้าเป็นความบอบช้ำจากอาการขวัญผวายามวิกาล จิตวิญญาณจะเสื่อมสลายทั้งดวง แต่ถ้าเป็นความบอบช้ำจากพิษงูเห่า อาการจะหนักเป็นพิเศษตรงจุดที่พิษนั้นซึมซาบเข้าไป เพราะผมสังเกตอย่างถี่ถ้วน จึงรู้ว่าการเสื่อมสลายของจิตวิญญาณอยู่ในสภาพไม่สม่ำเสมอ ซึ่งนั่นพิสูจน์ได้ว่าเขาถูกยาพิษ”


“ผมเข้าใจแล้ว!”


ฝูงชนต่างพยักหน้าขณะจ้องมองชายหนุ่มด้วยความยำเกรงและชื่นชม


พวกเขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่นักปรุงยาที่อยากเป็นนายแพทย์ ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงเขาคือบรมครูที่เหนือชั้นกว่าคนอื่นๆหลายเท่า!


“ต่อกันเถอะ!”


รองประธานหวังตรวจสอบคนไข้ที่เหลืออีก 9 คน ซึ่งวิธีการรักษาของประธานเลี่ยวล้วนถูกต้อง แต่ก็อ่อนด้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิธีของจางเซวียน


ใบสั่งยาทุกใบที่จางเซวียนระบุไว้ทำให้คนไข้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จหลังจากได้รับการรักษา บ่งบอกชัดว่าวิธีการของเขาเหนือชั้นกว่า


สำหรับคนไข้เสมือนจริงทั้ง 10 คน วิธีรักษาของจางเซวียนถือว่าเหนือชั้นเกินกว่าความสมบูรณ์แบบ!


“ผมแพ้แล้ว” ประธานเลี่ยวเปรยพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


“มันคือการแข่งขันที่เยี่ยมยอด ผมได้เรียนรู้มากมายทีเดียว”


ตอนแรก ประธานเลี่ยวแน่ใจว่าทักษะการรักษาโรคของจางเซวียนจะต้องอ่อนด้อยกว่าตัวเขาแน่ แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับหิ่งห้อยที่ประจันหน้ากับแสงอาทิตย์


ความสามารถของพวกเขาอยู่กันคนละชั้น!


“แบบนี้ก็หมายความว่าผมได้รับสิทธิ์ให้ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่แล้วใช่ไหม?” จางเซวียนถาม


“แน่นอน ยังเหลือกระบวนการอีกนิดหน่อยที่ต้องจัดการให้เสร็จ ผมต้องรายงานเรื่องนี้ต่อเบื้องบน คุณจะได้รับตราสัญลักษณ์อย่างช้าที่สุดก็บ่ายวันนี้” ประธานเลี่ยวตอบ


ถึงจางเซวียนจะบรรลุเงื่อนไขครบทุกข้อ แต่ประธานเลี่ยวก็ยังต้องรายงานเรื่องนี้ให้น่านฟ้าอื่นๆรับรู้ เพื่อจะได้หลอมตราสัญลักษณ์สำหรับการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ให้


“ผมเข้าใจ”


เขาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว จะรออีกสักครึ่งวันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จางเซวียนจึงกล่าวอำลาและออกจากบ้านพักไปพร้อมกับฉีหลิงเอ๋อ


หลังจากทั้งคู่ออกไปไม่นาน ทั้งห้องก็เงียบกริบ


ประธานเลี่ยวอดถามไม่ได้ “อ้าวหัว เขาเอาชนะคุณได้โดยใช้ประสิทธิภาพของกายเนื้อใช่ไหม?”


“ใช่ มันเป็นแบบนั้นแหละ” อ้าวหัวตอบ


“ความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเขาเหนือชั้นกว่าคุณ ทักษะการหลอมยาของเขาได้รับการยกย่องจากฟู่เจียงเฉิน ส่วนความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคก็ล้ำลึกเกินหยั่งเสียจนแม้แต่ผมก็ชี้ชัดไม่ได้ โลกนี้ช่างมีคนน่าทึ่งมากมายเสียจริง!” ประธานเลี่ยวตั้งข้อสังเกต


เขาเคยคิดว่าคงเอาชนะสมาคมนายแพทย์ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนได้สบาย ทำให้ชื่อเสียงของสมาคมนายแพทย์แห่งน่านฟ้ามังกรเมฆระบือลือลั่นกว่าเดิม แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ยับเยินเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้ประลองกับสมาคมนายแพทย์ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเลย!


ถ้าแม้ตัวเขายังสู้จางเซวียนไม่ได้ คนอื่นๆก็คงไม่เหลือ


“กลับกันเถอะ!” ประธานเลี่ยวออกคำสั่งขณะถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“แล้วการประลองนายแพทย์กับสมาคมนายแพทย์ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนล่ะ?”


“ตราบใดที่นายแพทย์จางยังเป็นพลเมืองของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ต่อให้เราเอาชนะนายแพทย์พวกนั้นได้ ก็ไม่อาจสร้างฐานอำนาจเหนือพวกเขาได้หรอก ประลองไปก็ไม่มีประโยชน์” ประธานเลี่ยวตอบ


ถ้าจางเซวียนยังอยู่ พวกเขาไม่มีทางอวดอ้างได้เลยว่านายแพทย์ของน่านฟ้ามังกรเมฆเหนือชั้นกว่านายแพทย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน เป้าหมายในการมาที่นี่ของพวกเขาคือสร้างชื่อเสียงให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม แต่ในเมื่อทุกอย่างดูจะไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ไม่ควรอยู่ต่อ


มีแต่จะเสียแรงเสียเวลาเปล่า


“ก็ได้…”


เมื่อเข้าใจแล้วว่าประธานเลี่ยวคิดอย่างไร นายแพทย์คนอื่นๆพยักหน้า

 

 

 


ตอนที่ 2254 นักปรุงยาจาง

 

ที่สมาคมนายแพทย์ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


“ขอแสดงความยินดีด้วย นายแพทย์จ้าวชง!”


หลังจากผ่านการคัดเลือกไป 2-3 รอบ ผู้ถูกเสนอชื่อที่ได้เป็นตัวแทนของพวกเขาก็คือนายแพทย์จ้าวชง


แม้ชื่อเสียงของอีกฝ่ายจะไม่ได้ลือกระฉ่อนเท่าผู้ได้รับการเสนอชื่อคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทักษะการรักษาโรคของเขานั้นน่าทึ่ง กรรมวิธีการรักษาที่เขาสำแดงออกมาระหว่างการทดสอบทำให้ฝูงชนต่างอัศจรรย์ใจ


“ใช่ นายแพทย์จ้าวชงคือของจริง เขาไม่ใช่คนที่นักปรุงยาจะมาเทียบชั้นได้!”


“คุณหมายถึงจางเซวียนสินะ? ฮ่าฮ่า ผมยอมรับว่าเขาคืออัจฉริยะเรื่องการหลอมยา แต่เรื่องการรักษาโรคน่ะ? ฮ่าฮ่าฮ่า! ยังอีกไกล!”


“ทุกอาชีพมีความท้าทายของตัวเอง โชคดีแล้วที่พวกเราตัดเขาออกไปได้ ไม่อย่างนั้น ผมคงต้องเดือดร้อนทุกครั้งที่เขาทำผิดพลาด!”


เห็นฝีมืออันน่าทึ่งของจ้าวชง ฝูงชนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชายหนุ่มโอหังที่เข้ามาเมื่อครู่ หลายคนหัวเราะลั่น


ต่อให้หมอนั่นหลอมยาเก่ง ก็แล้วอย่างไร? นายแพทย์ไม่ได้แข่งขันกันเรื่องการหลอมยาเสียหน่อย!


หากพวกเขาปล่อยให้นักปรุงยาได้เป็นตัวแทน คนอื่นๆคงเย้ยหยันสมาคมนายแพทย์ไปอีกนานว่าสิ้นคิดถึงขนาดต้องส่งสมาชิกของวิชาชีพอื่นมาขัดตาทัพ


ในตอนนั้นเอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็กระหืดกระหอบเข้ามา


“มีอะไร?” ประธานซุนเชี่ยนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“กลุ่มนายแพทย์ของน่านฟ้ามังกรเมฆกลับไปแล้ว!”


“กลับไปแล้ว? หมายความว่าไง? พวกนั้นจะมาท้าดวลกับเราไม่ใช่หรือ?” ประธานซุนเชี่ยนชะงัก


อีกฝ่ายตั้งใจมาที่นี่เพื่อใช้พวกเขาเป็นหินรองฝ่าเท้า แล้วทำไมถึงกลับไปตั้งแต่การดวลยังไม่เริ่ม?


“พวกน่านฟ้ามังกรเมฆบอกว่าในเมื่อทักษะของพวกเขายังอ่อนด้อย ดวลกันไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจกลับ” ชายวัยกลางคนตอบ


“ทักษะของพวกเขายังอ่อนด้อย? พูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?”


ทุกคนถึงกับงง


ยังไม่ได้สู้กันเลยด้วยซ้ำ! ทำไมจู่ๆฝ่ายตรงข้ามถึงได้ข้อสรุปแบบนั้น?


“เท่าที่ผมรู้ ดูเหมือนนายแพทย์คนหนึ่งจากน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของพวกเราจะเข้าไปที่บ้านพักของพวกน่านฟ้ามังกรเมฆและเอาชนะประธานเลี่ยวได้อย่างง่ายดาย พวกนั้นยำเกรงในความเชี่ยวชาญเรื่องวิธีการรักษาโรคที่อีกฝ่ายสำแดงออกมา จึงตัดสินใจยอมแพ้!” ชายวัยกลางคนบอกเล่าเรื่องที่เขารู้


“ใครคนหนึ่งท้าทายประธานเลี่ยวและเอาชนะเขาได้?”


“คุณแน่ใจหรือ? ทักษะการรักษาโรคของประธานเลี่ยวน่ะถือเป็นแถวหน้าของทั้งเก้าน่านฟ้าเชียวนะ!”


“จริงด้วย เขาคือคนที่ผมยกย่อง คุณรู้ไหม?”


“เดี๋ยวก่อน! แล้วใครกันที่เอาชนะประธานเลี่ยว?”


ทุกคนมองหน้ากันอย่างงุนงงก่อนที่นายแพทย์คนหนึ่งจะโพล่งออกมา “ตอนนี้นายแพทย์ทุกคนของเมืองหลวงรวมตัวกันอยู่ที่นี่ และไม่มีใครออกไปไหนสักคน มันดูแปลกๆอยู่นะ เราหลงลืมใครไปหรือเปล่า?”


“ผมก็สงสัย เมื่อครู่นี้จึงถามพวกเขา ดูเหมือนนายแพทย์คนนั้นจะชื่อ…จางเซวียน!” ชายวัยกลางคนตอบ


“จางเซวียน?”


“คนที่เราเพิ่งกดดันให้เขาออกไปนี่…นักปรุงยาจาง?”


“คุณแน่ใจหรือเปล่า? นั่นคือนายแพทย์ที่ปราบประธานเลี่ยวผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ! ผมไม่อยากเชื่อว่านักปรุงยาจางจะเก่งกาจขนาดนั้น…”


“หรือว่าข่าวของคุณคลาดเคลื่อน?”


ฝูงชนต่างงุนงง เมื่อหวนนึกถึงตอนที่พวกเขากดดันชายหนุ่มให้ออกไป ทุกคนก็หน้าแดงก่ำราวกับเพิ่งถูกใครตบหน้ามาหมาดๆ


เมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาเย้ยหยันนักปรุงยาจางที่อยากเข้าร่วมการคัดเลือก แต่ใครจะไปคิดว่านักปรุงยาคนหนึ่งจะมีทักษะเหนือชั้นกว่าประธานเลี่ยวที่ได้รับความเคารพอย่างสูงเสียอีก?


ประธานซุนเชี่ยนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ


เขาอยากจะขุดหลุมและลงไปซ่อนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องอับอายและกระอักกระอ่วนขนาดนี้


…..


จางเซวียนไม่รับรู้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสมาคมนายแพทย์ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน เขาจ้องมองตราสัญลักษณ์ที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและตั้งคำถาม “นี่คือตราสัญลักษณ์สำหรับการใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ใช่ไหม?”


เมื่อ 2-3 นาทีก่อน ประธานเลี่ยวเพิ่งมอบมันให้เขากับมือ


ตราสัญลักษณ์มีขนาดราวกำปั้นเด็ก มีอักษรจารึกอยู่บนนั้น เมื่อจ้องดูมัน ก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงพลังที่อบอวลอยู่ภายใน สร้างความยำเกรงเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ


“นี่คือตราสัญลักษณ์ที่จอมราชันย์ผู้หนึ่งแกะสลักด้วยตัวเอง มันมีอำนาจต้านทานคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่เกิดจากค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่” ฉีหลิงเอ๋ออธิบายขณะแอบมองตราสัญลักษณ์ด้วยความอิจฉา


แม้เธอจะเป็นสมาชิกสายหลักของตระกูลฉีและมีอำนาจล้นมือ แต่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นเจ้าของตราสัญลักษณ์ระดับนี้


ตราอันนี้จะทำให้ผู้ครอบครองมันเดินทางจากน่านฟ้าหนึ่งไปอีกน่านฟ้าหนึ่งได้ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที ขอแค่มีเงินมากพอ ก็เดินทางสำรวจได้ทั่วทั้ง 9 น่านฟ้าโดยไม่มีปัญหาใดๆ


จางเซวียนพยักหน้า


เขาเองก็ดูออกว่าอักษรจารึกบนตราสัญลักษณ์มีพลังพิเศษที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังที่เขาสัมผัสได้จากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติฉีเหมิงเสียอีก


“เอาล่ะ ผมจะมอบหมายให้คุณดูแลเรื่องการจำหน่ายยาเม็ดเพิ่มความงามและยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธต่อไปนะ จำไว้ให้ดีว่าเป้าหมายของผมคือทำให้ผู้คนเกิดความอยากได้ยาเม็ดให้มากที่สุด อีกอย่าง ผมหวังว่าคุณจะช่วยดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ของผมกับซุนฉางด้วย ถ้าพวกเขาต้องการสิ่งใดสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ ก็พยายามจัดหามาให้ได้” จางเซวียนสั่งการ


เพราะเขากำลังจะเดินทางสู่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดซึ่งเป็นดินแดนต่างถิ่น มีความเป็นไปได้สูงที่อาจพบอันตรายที่นั่น จึงย่อมดีกว่าหากไม่พาท่านพ่อท่านแม่ของเขาไปด้วย


หลังจากเซียนดาบชิงเหมิงได้รับคำชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญของกระท่อมดาบ ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของทั้งคู่ก็ล้ำลึกกว่าเดิมมาก ส่งผลให้วรยุทธพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว


ยิ่งไปกว่านั้น จางเซวียนยังมอบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธทุกชนิดให้ตามแต่ทั้งคู่จะต้องการ แถมได้กินยาเม็ดเพิ่มความงามและยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธตามสบายราวกับพวกมันเป็นแค่ลูกอมราคาถูก


ด้วยเหตุนี้ เซียนดาบชิงเหมิงจึงสามารถยกระดับวรยุทธจนได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ


ด้วยอัตราการพัฒนาที่เป็นอยู่ ไม่ช้าไม่นานก็คงได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง


หลังจากสั่งการกิจธุระที่คั่งค้าง จางเซวียนรีบหาตำแหน่งของค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ก่อนจะขี่อสูรสวรรค์สร้างบินได้ตรงไปที่นั่น


ขอแค่ตระกูลฉียังคิดว่าเขาคือจอมราชันย์ พวกนั้นก็จะปกป้องท่านพ่อท่านแม่ของเขากับซุนฉางอย่างดี ทั้งสามจึงน่าจะปลอดภัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


แต่ความปลอดภัยแบบนั้นไม่อาจรับประกันได้หากออกมาพ้นกำแพงเมือง


ตลาดยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธและยาเม็ดเพิ่มความงามที่แสนจะอู้ฟู่ทำให้กลุ่มอำนาจหลายกลุ่มเกิดความละโมบ ส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้ามาในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเพราะเกรงอิทธิพลของตระกูลฉี แต่หากพวกเขาอยู่นอกอาณาเขตการปกป้องของตระกูลฉีเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากลุ่มอำนาจเหล่านั้นจะต้องหาทางโจมตีแน่


อันที่จริง จางเซวียนรู้สึกได้เลยว่าการเดินทางโดยใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่มุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดนั้นไม่น่าจะราบรื่นอย่างที่คิด


เขานั่งอยู่บนอสูรสวรรค์สร้างบินได้…หลับตา และเริ่มพิจารณาสภาวะปัจจุบันของตัวเอง


เพราะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลาง ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่จึงไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ตั้งอยู่บนยอดเขาที่ไกลออกไปหลายร้อยลี้


ดังนั้น หากใครสักคนต้องการใช้ค่ายกลทะลุมิติ ก็จะต้องออกจากเมืองหลวงเสียก่อน นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จางเซวียนอาจถูกลอบโจมตีระหว่างเดินทางไปยังจุดที่ค่ายกลตั้งอยู่


ในฐานะผู้รู้สูตรยาของยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธและยาเม็ดเพิ่มความงาม จะต้องมีหลายคนเห็นเขาเป็นบ่อเงินบ่อทอง พวกนั้นย่อมคิดว่าหากจับตัวเขาได้ ก็คงมีเงินทองไหลมาไม่สิ้นสุด


อีก 15 นาทีก็จะพ้นอาณาเขตเมืองแล้ว จางเซวียนคิด ควรใช้เวลานี้ทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างของเราเสียก่อน…


เขาเพิ่งเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้ไม่นาน และมัวแต่ยุ่งกับเรื่องอื่นจนไม่ได้ใส่ใจศิลปะเพลงดาบของตัวเอง ในเมื่อตอนนี้พอมีเวลา ศึกษาเสียหน่อยก็คงดี


จางเซวียนรู้ว่าในการทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบของเวทนาสวรรค์ เขาจะต้องทำตัวให้กลมกลืนและดื่มด่ำกับสภาพแวดล้อมของสรวงสวรรค์เสียก่อน


หากเขาเพ่งสมาธิเข้าสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แม้จะได้ประโยชน์จากกระแสกาลเวลาที่เร็วกว่าถึง 10 เท่า แต่ก็คงไม่อาจช่วยอะไรเขาได้ในเรื่องการทำความเข้าใจ


“เวทนาสวรรค์ระดับ 1 คือความจงรักภักดี ศิลปะเพลงดาบที่ใช้คือหัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม”


“เวทนาสวรรค์ระดับ 2 คือสายสัมพันธ์พี่น้อง ศิลปะเพลงดาบที่ใช้คือความสวามิภักดิ์ไม่คลอนแคลน”


“ส่วนเวทนาสวรรค์ระดับ 3 คือความผูกพันของอาจารย์กับศิษย์”


เทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบที่จางเซวียนได้จากเวทนาสวรรค์เริ่มปรากฏในหัวสมองของเขา มันค่อยๆหลอมรวมเข้าด้วยกันจนดูคล้ายภาพวาดที่แสดงให้เห็นการเดินทางที่ผ่านมา


ช่วงเวลาเหล่านั้น…บางช่วงก็ตื่นเต้น บางช่วงก็แสนหวาน มีบางเวลาที่น่าสะพรึง และบางเวลาก็สุดจะบีบคั้นหัวใจ…


มันคือภาพใหญ่ที่ประกอบด้วยทุกอารมณ์ความรู้สึก สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้ตัวเขาเป็นตัวเขาอย่างในเวลานี้


ความรักและความปรารถนาคืออารมณ์


ความรังเกียจและความเกลียดชังคืออารมณ์


ความสุขและความเจ็บปวดก็คืออารมณ์เช่นกัน


สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มีจิตใจไม่มีทางหนีพ้นจากอารมณ์เหล่านี้ได้ ซึ่งหากโลกนี้ปราศจากอารมณ์ต่างๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่สรวงสวรรค์จะต้องดำรงอยู่


อารมณ์และความรู้สึกเป็นเหมือนหอกข้างแคร่ของสรวงสวรรค์ พวกมันขัดขวางการใช้เหตุผล แต่ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งของโลก


บางที อาจมองอารมณ์เหล่านี้ว่าเป็นพละกำลังที่เหนือชั้นรูปแบบหนึ่งก็ได้ เพราะสรวงสวรรค์อาจถูกทำลาย แต่อารมณ์และความรู้สึกจะยังคงอยู่ ตราบใดที่ชีวิตยังไม่ดับสิ้น


อาจารย์กับลูกศิษย์คือคนสองคนที่แปลกหน้าต่อกันอย่างสิ้นเชิงหากปราศจากการให้คำชี้แนะ ความสัมพันธ์นี้คือการถ่ายทอดความรู้ ภูมิปัญญา และค่านิยมอย่างต่อเนื่อง ผูกพันทั้งคู่เอาไว้ด้วยความใกล้ชิดเหนียวแน่น


ความสัมพันธ์ทางใจก็ไม่ได้เป็นมากกว่าค่านิยมทางสังคม แต่อาจเหนียวแน่นพอจะเทียบชั้นกับความสัมพันธ์ของเครือญาติได้เลยทีเดียว


“เราเข้าใจแล้ว…”


จางเซวียนใจสั่นขณะที่อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา เขากำลังจะสำแดงศิลปะเพลงดาบ แต่แล้วก็ขนลุกขนชันไปทั้งตัว


เขากระโจนลงจากอสูรสวรรค์สร้างบินได้โดยไม่ลังเล


พริบตาต่อมา อสูรสวรรค์สร้างบินได้ที่เขาขี่ก็ระเบิดตูม จางเซวียนร่วงลงมาจากกลางอากาศ

 

 

 


ตอนที่ 2255 แปดโน้ตมังกรสวรรค์!

 

ถูกโจมตี!


จางเซวียนก้มศีรษะ เห็นป่าทึบอยู่เบื้องล่าง ตึกรามบ้านช่องโอ่อ่าของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอยู่ด้านหลังตัวเขา ห่างออกไปไม่ถึง 5 เมตร


พูดง่ายๆก็คือทันทีที่พ้นอาณาเขตเมืองหลวง ก็มีใครคนหนึ่งตรงเข้าเล่นงานเขาทันที


จางเซวียนไม่ได้บอกใครเรื่องที่เขาจะใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ในวันนี้ เว้นแต่ซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่ แต่อีกฝ่ายก็ยังซุ่มโจมตีเขาได้


คงมีใครสักคนคอยติดตามความเคลื่อนไหวของเขาทุกฝีก้าว


เขาประเมินความเย้ายวนใจของยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธกับยาเม็ดเพิ่มความงามต่ำไป


จางเซวียนพุ่งเข้าหาพื้นดินด้วยความเร็วสูง ซึ่งไม่ช้าจะต้องกระแทกพื้นแน่ แต่สิ่งที่เขากังวลมากกว่าคือศัตรูที่อยู่ด้านบน


อสูรสวรรค์สร้างบินได้ 6 ตัวกำลังพุ่งลงมาโจมตีเขา แต่ละตัวมีชายเสื้อคลุมสีดำกุมบังเหียนพร้อมถือหอกในมือ


หนึ่งในนั้นคือผู้สังหารอสูรสวรรค์สร้างบินได้ของเขา


ในสรวงสวรรค์ มีแต่ราชันย์เทพเจ้าเท่านั้นที่บินได้ ถึงวรยุทธของจางเซวียนจะเข้าถึงระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงแล้ว แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวกลางอากาศได้หากไม่มีอสูรบินได้คอยช่วยเหลือ


ดูเหมือนเราควรเรียนรู้วิธีบินเสียก่อนที่จะปรับปรุงศิลปะเพลงดาบของเราให้สมบูรณ์ จางเซวียนคิด


ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในเวลานี้ ประกอบกับประสบการณ์ของเขาจากทวีปแห่งปรมาจารย์ การจะเรียนรู้วิธีการบินก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงแต่เขาเพิ่งสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงได้ไม่นาน และยังไม่มีเวลาศึกษามันมากนัก


ด้วยความคับขันของสถานการณ์ตอนนี้ หากเขาไม่ศึกษาวิธีการบินให้เชี่ยวชาญในอีก 2-3 วินาทีข้างหน้า ต่อให้เอาชีวิตรอดจากการตกจากที่สูงระดับนี้ได้ ก็คงต้องสูญเสียประสิทธิภาพการต่อสู้ไปกว่าครึ่ง


คงยากที่จะรับมือกับการตีวงล้อมของศัตรูในสภาพอ่อนแอแบบนั้น


ชายทั้ง 6 ที่อยู่กลางอากาศใช้หอกชี้จางเซวียน เกิดลมหอบใหญ่พัดใส่เขา


ทุกคนล้วนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง!


แถมยังใช้พละกำลังเต็มพิกัดตั้งแต่ต้น


จางเซวียนมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง จึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับการโจมตีของชายทั้ง 6


ขนาดกรงเล็บมังกรเลือดบริสุทธิ์ยังทำให้เขาบาดเจ็บไม่ได้ แล้วหอกของชายกลุ่มนี้จะมีปัญญาทำอะไร


ปัญหาเดียวก็คือถ้าเขาเผชิญหน้ากับหอกเหล่านั้นโดยตรง ความหนักหน่วงของแรงปะทะก็จะทำให้เขาร่วงลงไปด้วยความเร็วสูงกว่าเดิม ดังนั้น การตกกระแทกพื้นย่อมอันตรายแน่ ต่อให้เป็นตัวเขาก็เถอะ


ถึงกายเนื้อของจางเซวียนจะแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยงกับอะไรก็ตามที่ยังไม่แน่ใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู


เราไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ คงต้องทำแบบนี้…


ขณะที่หอกใกล้เข้ามาทุกที จางเซวียนหลับตา


ชายทั้ง 6 ต่างงุนงง


หมอนี่จะยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้หรือ?


อย่างน้อยที่สุด ก็พยายามดิ้นรนต่อสู้สักหน่อยดีไหม?


คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราเตรียมกี่ยุทธวิธีไว้เล่นงานคุณ? คงกระอักกระอ่วนสิ้นดีหากจับตัวคุณได้ง่ายดายขนาดนี้ทั้งที่ใช้เวลาวางแผนไม่รู้กี่ชั่วโมง!


ในตอนนั้น สมาธิของจางเซวียนดำดิ่งอยู่กับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง


ศัตรูใกล้ถึงตัวเขาเต็มที แต่เท่าที่เห็น ยังเหลือเวลาอีก 2 วินาทีก่อนที่ร่างของเขาจะถึงพื้น ซึ่งสำหรับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง นั่นหมายถึง 20000 วินาทีหรือ 5 ชั่วโมงครึ่ง!


เวลาเท่านี้ก็นานพอจะทำให้เขาศึกษาเทคนิคการบินที่ทำให้รักษาสภาวะปกติของตัวเองไว้ได้แม้ต้องต่อสู้กลางอากาศ


เหตุผลที่จางเซวียนมั่นใจก็เพราะเขาเคยฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่มีชื่อว่าบันไดสวรรค์ธุลีแดงตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


เทคนิคนั้นทำให้ขาวบินได้ทั้งที่เป็นแค่นักรบเหนือมนุษย์ ถึงสภาพแวดล้อมตอนนี้จะแตกต่างกับตอนนั้น แต่เขาก็ยังสำแดงเทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดงได้อยู่ดีหากปรับเปลี่ยนมันสักหน่อย


เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบนำเทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดงออกจากชั้นหนังสือในหอสมุดเทียบฟ้าและประมวลมันเข้ากับหนังสือเล่มอื่นๆที่เขาถ่ายโอนมาจากสรวงสวรรค์


ประมวล!


หนังสือเล่มใหม่ปรากฏ


จางเซวียนกระดิกนิ้ว แล้วความรู้ที่อยู่ในนั้นก็ลอยเข้าสู่หัวสมอง


ดูเหมือนเราจะไม่อาจนำเทคนิคของทวีปแห่งปรมาจารย์มาใช้ในสรวงสวรรค์โดยตรงได้…


เขาเคยคิดว่าน่าจะประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้จากการรวบรวมหนังสือที่ถ่ายโอนไว้จากสรวงสวรรค์เข้ากับเทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาค่อนข้างจะแย่


เพราะสรวงสวรรค์คืออีกโลกหนึ่งที่แตกต่างกับทวีปแห่งปรมาจารย์อย่างสิ้นเชิง เครือข่ายทางเดินพลังปราณและสภาวะร่างกายของนักรบจึงแตกต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่อาจฝึกฝนเทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดงได้อย่างที่ควรจะเป็น


เขาต้องทำการปรับเปลี่ยนมันให้เข้ากับสภาวะร่างกายเสียก่อนถึงจะฝึกฝนได้


จางเซวียนจึงตั้งต้นทบทวนเทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดงและค่อยๆปรับเปลี่ยนมันทีละน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะทำสำเร็จ


นักรบที่ฝึกฝนเทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดงจะต้องขับเคลื่อนพลังปราณให้ไหลเวียนไปตามวงจรที่กำหนด เพื่อให้ปล่อยพลังได้สูงสุด หลักการของมันทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แต่การปฏิบัติจริงนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


มันคือเทคนิคที่นักรบต้องสำแดงออกมาให้ได้อย่างไร้ที่ติ ไม่อย่างนั้นก็ล้มเหลว


ดังนั้น ต่อให้ใครสักคนทำความเข้าใจแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังเทคนิคนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังต้องทดลองอีกหลายหนกว่าจะนำมาใช้กลางอากาศจริงๆได้


จางเซวียนโชคดีที่เคยฝึกฝนมาก่อน จึงปรับเปลี่ยนและสำแดงมันได้ในทันที เขาขับเคลื่อนพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสามารถควบคุมพลังงานที่อยู่รอบตัวได้


ตอนนี้จางเซวียนอยู่ห่างจากพื้นไม่ถึง 20 เมตร และหอกก็เกือบจะจ่อที่ตัวเขาแล้ว หอกพวกนั้นเปล่งประกายวาบเข้าตาขณะที่จางเวียนปล่อยเสียงทรงพลัง 2 เสียงออกจากปาก


“มู! มู!”


แปดโน้ตมังกรสวรรค์!


แม้ประสิทธิภาพของมันจะลดลงเมื่อใช้กับอสูรที่ไม่ได้มาจากเผ่าพันธุ์มังกร แต่เสียงนั้นก็เหมือนกับเสียงคำรามดุเดือดของราชสีห์ มันสั่นคลอนจิตวิญญาณและบั่นทอนความกระเหี้ยนกระหือรือในการต่อสู้ของอสูรเหล่านั้น


ตอนนี้จางเซวียนอยู่ใกล้พื้นดินมากแล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้เกิดความผิดพลาดได้!


หลังจากเล่นงานอสูรสวรรค์สร้างทั้ง 6 ตัวและทำให้การโจมตีของชายเสื้อคลุมสีดำทั้ง 6 เกิดความปั่นป่วนไปครู่หนึ่ง จางเซวียนก็รีบสำแดงเทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดงเพื่อขัดจังหวะการร่วงหล่นของตัวเขา


ตอนนี้ ความเร็วในการร่วงของจางเซวียนเร็วเกินกว่าที่เขาจะหยุดกึกได้ ลงท้ายจึงร่วงลงมากระแทกพื้นพร้อมกับการระเบิดดังสนั่น แรงกระแทกนั้นทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่รอบตัว มีรัศมีราว 10 เมตร แต่จางเซวียนก็เอาตัวรอดมาได้โดยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย


ทันทีที่ถึงพื้น เขากระโจนเข้าใส่อสูรสวรรค์สร้างบินได้ทั้ง 6 ตัวที่อยู่กลางอากาศทันที


ระหว่างนั้น อสูรสวรรค์สร้างบินได้ทั้ง 6 ตัวพร้อมกับผู้กุมบังเหียนต่างก็ร่วงลงมาด้วยความเร็วสูง ชายเสื้อคลุมสีดำพวกนั้นไม่อาจหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้เพราะอานุภาพของแปดมังกรสวรรค์ทำให้ประสาทสัมผัสของพวกมันปั่นป่วน


กว่าจะรู้ตัว ก็อยู่ห่างจากพื้นดินเพียง 1 เมตร


บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!


เกิดเสียงระเบิดกึกก้อง 6 ครั้งขณะที่อสูรสวรรค์สร้าง 6 ตัวกับผู้กุมบังเหียน 6 คนร่วงลงมากระแทกพื้น เกิดหลุมขนาดใหญ่ที่แผ่กว้างออกไปหลายร้อยเมตร


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนบินอยู่ที่ความสูงระดับ 2000 เมตร อานุภาพของแรงโน้มถ่วงทำให้ตัวเขาร่วงลงมาด้วยความเร็วสูง ส่วนนักฆ่าทั้ง 6 ก็ไล่ตามมาติดๆเพื่อจะจับตัวเขาให้ทัน


ซึ่งก็พอคาดเดาได้ว่าแรงกระแทกครั้งนี้ทำให้พวกเขาเกือบเสียชีวิต


โดยเฉพาะกับอสูรสวรรค์สร้างทั้ง 6 ตัวซึ่งรับแรงกระแทกไปเต็มๆ อวัยวะภายในของมันแหลกสลาย คงต้องตายแน่ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที


จางเซวียนคำรามเยาะเมื่อเห็นสภาพเละเทะที่อยู่ด้านล่าง


เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจให้ใครก็ตามที่ไล่ล่าตัวเขาเพื่อตอบสนองความละโมบของตัวเอง


จางเซวียนกระดิกนิ้ว จากนั้นก็ปล่อยกระแสดาบฉี 6 สายเข้าใส่นักฆ่าทั้ง 6 คน


ฟิ้วววว!


กระแสดาบฉีพุ่งตรงเข้าสู่หว่างคิ้วของอีกฝ่าย ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร ทุกคนก็หมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย


หลังจากสังหารคนเหล่านั้นแล้ว จางเซวียนรีบปลดแหวนเก็บสมบัติและยึดหอกของอีกฝ่ายมา


หอกพวกนี้เป็นของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง จึงยังมีประโยชน์กับเขา ส่วนแหวนเก็บสมบัติก็มีเงินอยู่ในนั้นมากมาย แต่นอกเหนือจากเงิน ก็ไม่มีอะไรที่มีค่ามากพอให้สนใจ


หลังจากเก็บของมีค่ามาหมดแล้ว จางเซวียนก็เดินไปหาอสูรสวรรค์สร้างบินได้ตัวหนึ่ง ตั้งใจจะรักษามันเพื่อใช้เดินทางต่อ แต่ทันใดนั้น ขมับทั้งสองข้างก็กระตุก


มันคือสัญชาตญาณที่บอกเขาว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา


จางเซวียนรีบหลบออกไปด้านข้าง


ในพริบตานั้น กระแสดาบฉีสายหนึ่งก็ตัดผ่านจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ เกิดเป็นรอยกรีดยาวหลายร้อยเมตร


ขนาดแผ่นหินที่อยู่ด้านล่างก็ยังถูกตัดเป็น 2 ซีกอย่างง่ายดายราวกับเป็นเต้าหู้


ถึงจางเซวียนจะมีกายเนื้อทรงพลัง แต่ก็คงบาดเจ็บสาหัสแน่ถ้าปะทะกับการโจมตีนั้นตรงๆ


จางเซวียนมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาหันไปมองทิศทางที่กระแสดาบฉีพุ่งออกมา เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวลงมาหาเขาจากกลางอากาศ


บินได้…เขาเป็นราชันย์เทพเจ้าหรือ? จางเซวียนกำหมัดแน่น


ดูเหมือนผู้บงการตัวจริงที่ต้องการสูตรยาจะปรากฏตัวแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!


ราชันย์เทพเจ้าทุกคนได้รับความเคารพอย่างสูงจากผู้คนในสรวงสวรรค์ แต่หมอนี่อยากครอบครองสมบัติของเขาจนตรงเข้าเล่นงานเขาทันทีที่พ้นอาณาเขตเมืองหลวง


“ผมแปลกใจเหลือเกิน คุณบินได้ทั้งที่ไม่ได้เป็นราชันย์เทพเจ้า แถมยังฆ่าลูกน้องที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 6 คนของผมได้โดยตัวเองไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ผมควรจะประเมินผู้ที่อยู่เบื้องหลังยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธให้สูงกว่านี้ ต้องบอกว่าครั้งนี้เป็นการเปิดโลกให้ผมทีเดียว” ชายวัยกลางคนพูดขณะหยุดยืนอยู่ห่างจากจางเซวียนราว 30 เมตร


เขาคิดว่าคงจับตัวนักปรุงยาผู้นี้ได้สบายโดยไม่จำเป็นต้องลงมือเอง แต่เป้าหมายกลับเก่งกาจกว่าที่คิดไว้มาก ยังไม่ทันจะรู้ตัว ลูกน้องของเขาก็ตายหมดแล้ว


จางเซวียนมองชายวัยกลางคนด้วยสายตาเย็นชา “คุณเป็นใคร? ต้องการอะไร? ไม่กลัวว่าจะทำให้ตระกูลฉีขุ่นเคืองหรือ?”


ตามที่ฉีหลิงเอ๋อบอกไว้ ดูเหมือนตระกูลฉีจะประกาศให้รู้ทั่วกันแล้วว่าพวกเขาปกป้องจางเซวียน แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้นี้ก็ยังกล้าหาเรื่อง ไม่กลัวการแก้แค้นของตระกูลฉีเลยหรือไง?

 

 

 


ตอนที่ 2256 นี่คือ…

 

“ตระกูลฉี? ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมกลัวพวกเขาอยู่แล้วล่ะ จะไม่กลัวได้อย่างไรกัน? คนฉลาดอย่างคุณคงเดาเจตนาของผมออก ผมไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับตระกูลฉี แค่มอบสูตรยาให้ผม ผมก็พร้อมจะปล่อยคุณแล้ว” ชายวัยกลางคนพูดยิ้มๆ


จางเซวียนขมวดคิ้ว


คำพูดนี้ไม่ได้น่าเชื่อถือเลย ราชันย์เทพเจ้าย่อมรู้ดีว่าตัวเขาจะต้องเจอกับการตอบโต้แบบไหนบ้างจากตระกูลฉีหากปล่อยให้จางเซวียนมีชีวิตรอดกลับไป ซึ่งนั่นหมายความว่า…


จางเซวียนมองไปรอบๆ หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที


มีค่ายกลพิเศษถูกติดตั้งไว้รอบป่าเพื่อปกปิดร่องรอยการต่อสู้! เขามัวแต่วุ่นอยู่กับการฝึกฝนเทคนิคจนไม่รู้สึกตัวว่าอสูรสวรรค์สร้างบินได้ของเขานำเขามายังค่ายกลนี้


ศัตรูคงใช้วิธีการบางอย่างล่อลวงให้อสูรสวรรค์สร้างบินตรงเข้าหาค่ายกล!


“คุณต้องการแค่สูตรยาหรือ?” จางเซวียนถาม


“ใช่แล้ว ถ้าคุณตายที่นี่ ตระกูลฉีจะต้องพลิกแผ่นดินตามล่าตัวผมแน่ ซึ่งผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นหรอก คุณก็รู้” ชายวัยกลางคนพูด “แต่ในเมื่อผมลงมือแล้ว ก็ไม่คิดจะกลับไปมือเปล่า คุณอาจจะกำลังคิดว่าตัวคุณเก่งพอที่จะหลุดรอดเงื้อมมือของผมได้ แต่ผมบอกได้เลยว่าพละกำลังของคุณน่ะยังห่างชั้นกับราชันย์เทพเจ้าอย่างผมมาก!”


“แล้วถ้าผมปฏิเสธล่ะ?” จางเซวียนถาม


“คุณไม่อยากทำแบบนั้นแน่ เพราะผมน่ะอารมณ์ร้อน ถ้าคุณทำให้ผมโกรธ ผมอาจพลั้งมือทำร้ายคุณก็ได้” ชายวัยกลางคนตอบขณะเหยียดริมฝีปาก เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม


หมอนี่จะต้องฆ่าเราแน่ ไม่ว่าเราจะมอบสูตรยาให้หรือไม่ จางเซวียนไม่อาจเสี่ยงกับการทิ้งร่องรอยให้ตระกูลฉีตามหา เพราะนั่นจะทำให้เขาจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง


จางเซวียนจ้องตาชายวัยกลางคนและถามว่า “คุณจะทำตามที่คุณต้องการให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม?”


“คุณน่ะสำคัญตัวผิดเสียแล้วล่ะ”


“คุณจะสู้กับผมหรือ?” ชายวัยกลางคนหน้าดำคร่ำเครียด เขาชักดาบออกมา เสียงเคร้งกึกก้องของโลหะดังไปทั่วราวกับมังกรคำราม


พริบตาต่อมา ชายวัยกลางคนก็ปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียน ดาบของเขาเตรียมฟาดฟันบั้นเอวของอีกฝ่าย


ในฐานะราชันย์เทพเจ้า วรยุทธของเขาแข็งแกร่งพอจะทำให้อยู่ในตำแหน่งชนชั้นนำสูงสุดของสรวงสวรรค์


การโจมตีของเขาอาจดูไม่อลังการเหมือนเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาปลดปล่อยพละกำลังออกมาถึงขีดสุด ไม่มีพลังงานที่เสียไปเปล่าๆจากความร้อนแผดเผาหรือการเปล่งเสียง


แถมโลกทั้งโลกก็ดูจะสั่นไหวเพราะกระบวนท่าของเขา เพิ่มพละกำลังให้การโจมตีนั้นรุนแรงขึ้นอีก


“ฮึ่มมม!”


เห็นชายวัยกลางคนเล่นงานเขาทันทีที่การเจรจาต่อรองจบลง จางเซวียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีวิธีการเค้นเอาสูตรยาออกจากตัวเขาได้ต่อให้เขาตายไปแล้ว เพราะแนวคิดเรื่องการค้นหาจิตวิญญาณและเทคนิคที่มีลักษณะเดียวกันก็มีอยู่ในสรวงสวรรค์


เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีทางหว่านล้อมให้ชายวัยกลางคนยั้งมือได้


ในเมื่อพูดอะไรออกไปก็เปล่าประโยชน์ จางเซวียนล่าถอยทันทีโดยใช้เทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดง


ซึ่งแม้เทคนิคนี้จะทำให้เขาบินได้ แต่ความเร็วก็ต่ำกว่าราชันย์เทพเจ้ามาก


จางเซวียนถอยไปได้เพียง 12 ก้าวก่อนที่ดาบจะฟาดฟันลงมาตรงหน้า


ในตอนนั้น เขาอ้าแขนออก


จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัด เขานำหอก 6 เล่มที่ยึดจากนักฆ่าทั้ง 6 คนเมื่อครู่นี้ออกมา จากนั้นก็จัดการให้หอกทั้งหมดชี้ไปที่ชายวัยกลางคน


หอกเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดแก่นสารเพลงหอกของเขาเข้าไป จึงมีพละกำลังเหนือชั้น แถมพวกมันยังอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้จางเซวียนปลดปล่อยพลังผ่านค่ายกลผนึกกำลังได้ด้วย


“คุณก็มีวิธีเจ๋งๆเหมือนกันนี่!”


ชายวัยกลางคนคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงหอกที่เก่งกาจ เขาคำราม จากนั้นก็ชักดาบกลับเพื่อรับมือกับค่ายกลเพลงหอก


ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว หอกทั้ง 6 เล่มก็ถูกดาบฟันแตกสลาย ทำให้ค่ายกลพังทลายไปด้วย


ระดับขั้นที่แตกต่างกันของอาวุธและวรยุทธของพวกเขาทำให้พอคาดเดาผลการปะทะได้


“ถ้าได้เป็นราชันย์เทพเจ้า คุณจะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงไม่เบาทีเดียว น่าเสียดายที่ไม่มีทางมีวันนั้น” ชายวัยกลางคนคำรามขณะกวัดแกว่งดาบอีกครั้ง


การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ แต่แรงกดดันมหาศาลจากการฟาดฟันบ่งบอกถึงความหนักหน่วงของการโจมตี


แม้จะรับมือด้วยเวทนาสวรรค์ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จางเซวียนจะก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำระหว่างราชันย์เทพเจ้ากับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง


ไม่อย่างนั้น ราชันย์เทพเจ้าคงไม่เป็นที่ยำเกรงของผู้คนทั้งโลก


“ผมคิดว่าตอนนี้ผมก็เป็นผู้ต่อสู้ที่น่าสะพรึงสำหรับคุณอยู่แล้ว” จางเซวียนตอบอย่างไม่ยี่หระ


เขายอมรับว่าพละกำลังของเขายังอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับชายวัยกลางคน แต่อีกฝ่ายก็เป็นแค่ราชันย์เทพเจ้า เขาใช้หน้าหนังสือสีทองโถมทับทีเดียวก็เกินพอจะเล่นงานได้แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแล้ว นับประสาอะไรกับราชันย์เทพเจ้า!


เหตุผลเดียวที่เขาปล่อยให้ชายวัยกลางคนผู้นี้มีชีวิตอยู่ก็เพราะไม่อยากเสียสมบัติล้ำค่าไปกับคนแบบนี้


“คุณนี่หลงตัวเองจริงๆนะ” ชายวัยกลางคนคำรามขณะกวัดแกว่งดาบอย่างโกรธเกรี้ยว


ในชั่วพริบตา ทั่วท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยกระแสดาบฉี บริเวณโดยรอบมืดมิด


แต่คราวนี้ แทนที่จางเซวียนจะหลบ เขากลับพุ่งเข้าใส่


จางเซวียนรวบรวมกระแสดาบฉีไว้ที่ปลายนิ้ว เกิดเป็นประกายสว่างวาบท่ามกลางความมืดมิด มันดูไม่สลักสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับปราการกระแสดาบฉีที่โอบล้อมอยู่โดยรอบ แต่ก็ดูเหมือนจะมีพละกำลังบางอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้


เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดสิ้นดี!


ทั้งๆที่เป็นราชันย์เทพเจ้า แต่ชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจกับความเข้มข้นของกระแสดาบฉีที่ปลายนิ้วของจางเซวียน มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกห่อผ้าไว้หลายชั้นจนขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้


ฟิ้วววว!


กระแสดาบฉีที่ครอบคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าพุ่งเข้าสู่ปลายนิ้วของจางเซวียนที่มีกระแสดาบฉีรวมตัวกันอยู่ ราวกับถูกกลืนกินเข้าไป ในเวลาเดียวกัน รังสีของกลุ่มกระแสดาบฉีที่ปลายนิ้วก็เข้มข้นขึ้นจนน่าสะพรึง


“นั่นมันศิลปะเพลงดาบชนิดไหน?” ชายวัยกลางคนถามด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


ศิลปะเพลงดาบนี้ทรงพลังทั้งที่ชายหนุ่มใช้แค่ปลายนิ้วของเขา ถ้าอีกฝ่ายมีดาบในมือ จะมิทรงพลังยิ่งกว่านี้หรือ? เขาไม่เคยเห็นศิลปะเพลงดาบที่แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดแบบนี้มาก่อน


ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าก็สำแดงพละกำลังแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ!


ชายวัยกลางคนขนลุกขนชันไปทั้งตัว เขารีบเงื้อดาบขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับอะไรก็ตามที่กำลังจะเข้ามา พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พึมพำ “ความตายเท่านั้นที่ทำให้ดักแด้ยอมออกจากรัง ขี้เถ้าเท่านั้นที่ทำให้น้ำตาเทียนเหือดแห้ง”


เวทนาสวรรค์ระดับ 3 ได้รับการคิดค้นจนสมบูรณ์แบบแล้ว!


ก่อนหน้าจะเกิดการโจมตี จางเซวียนกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าตัวเขาอยากคิดค้นศิลปะเพลงดาบแบบไหน แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ เขาก็เชื่อมโยงมันเข้ากับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้สำเร็จ


หนึ่งวันเป็นอาจารย์ เป็นบิดาชั่วชีวิต


อาจารย์คนหนึ่งต้องมีความเข้มงวดแบบเดียวกับพ่อแม่เมื่อให้การชี้แนะเรื่องความรู้กับลูกศิษย์ หรืออาจเข้มงวดกว่านั้น


อาจารย์ควรทำตัวประหนึ่งมิตรสหายด้วย ต้องสื่อสารกับลูกศิษย์ด้วยความใส่ใจและห่วงใย เพื่อจะได้เข้าใจสถานการณ์และชี้แนะพวกเขาโดยยึดถือตามลักษณะโดยธรรมชาติของผู้นั้น


อาจารย์คือพี่เลี้ยง จะต้องมีความห่วงใยทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ของพวกเขา ใส่ใจทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่


ความสัมพันธ์ระหว่างครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์นั้นซับซ้อน ไม่อาจให้คำจำกัดความด้วยคำเพียงสองสามคำได้ มันคือพันธะที่ทรงพลังและยาวนานมั่นคง จวบจนความตายมาถึง


ความตายเท่านั้นที่ทำให้ดักแด้ยอมออกจากรัง ขี้เถ้าเท่านั้นที่ทำให้น้ำตาเทียนเหือดแห้ง!


ศิลปะเพลงดาบนี้อยู่บนรากฐานของอารมณ์ความรู้สึกที่ลึกที่สุดในหัวใจของเขา มันเหมือนหลุมดำที่กลืนกินชายวัยกลางคนเข้าไปทั้งตัว


แม้จะเป็นราชันย์เทพเจ้า เขาก็ไม่อาจต้านทานประสิทธิภาพของศิลปะเพลงดาบนี้ได้ ยังไม่ทันจะรู้ตัว ก็ถูกเล่นงานอย่างจังที่หน้าอก


บาดแผลขนาดใหญ่ปรากฏที่หน้าอกของเขา


“คุณ…”


ชายวัยกลางคนคิดไม่ถึงว่าจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง จึงไม่อาจระงับอารมณ์ได้อีก เขาคำรามกร้าว แต่ขณะที่กำลังจะโยนทุกอย่างทิ้งไปเพื่อสังหารชายหนุ่ม ก็พลันรู้สึกถึงความเย็นเยือกที่อยู่ด้านหลัง


เขาตอบโต้โดยสัญชาตญาณ ปล่อยพลังงานออกไปด้านหลังเพื่อพยุงร่างของตัวเองไว้


บึ้มมมม!


เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น พละกำลังมหาศาลพุ่งผ่านแผ่นหลังของเขาไป ร่างของเขาโน้มไปข้างหน้าก่อนจะล้มกลิ้งลงกับพื้น


ชายวัยกลางคนรีบลุกขึ้นยืนก่อนจะหันกลับไป เห็นอีกร่างหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนชายหนุ่มที่เขากำลังต่อสู้ด้วยอย่างไม่ผิดเพี้ยน


“นี่คือ…ตัวโคลน?”


ชายวัยกลางคนหรี่ตา


มันคือตัวโคลนที่มีพละกำลังเทียบเท่ากับร่างต้นแบบ


หมอนั่นมีของแบบนี้ได้อย่างไร?


“ลุย!”


จางเซวียนไม่แยแสความตกตะลึงของชายวัยกลางคน เขาพุ่งเข้าใส่ขณะปล่อยกระแสดาบฉีออกจากปลายนิ้ว ในเวลาเดียวกัน ตัวโคลนก็พุ่งออกมา


ด้วยลักษณะตามธรรมชาติของบัวเก้าหัวใจ ตัวโคลนไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะกายเนื้อ ขอแค่มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ามากพอ ก็สามารถยกระดับวรยุทธและความแข็งแกร่งของร่างกายได้


ถ้าไม่ใช่เพราะเวทนาสวรรค์ ต่อให้จางเซวียนก็รับมือกับมันไม่ไหว


การผนึกกำลังกันของทั้งคู่จัดว่าน่าสะพรึงมาก แม้ด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันย์เทพเจ้า ชายวัยกลางคนก็ยังรู้สึกถูกกดดันอย่างหนัก


โดยปกติ ราชันย์เทพเจ้าสามารถรับมือกับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงโดยใช้เพียงปลายนิ้วได้สบาย แต่เขาพบว่าตัวเองรับมือกับคู่ต่อสู้ทั้งสองด้วยความยากลำบาก ทำให้รู้สึกอึดอัดใจมาก


เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเมื่อต้องต่อสู้กับนักรบที่ยังไม่ได้เป็นราชันย์เทพเจ้า!


“ดูเหมือนผมประเมินคุณต่ำไป แต่ถึงอย่างไรก็ไม่แตกต่าง คุณไม่มีทางเอาชีวิตรอดออกจากที่นี่ได้หรอก!”


ชายวัยกลางคนปล่อยพละกำลังเต็มพิกัด ในชั่วพริบตานั้น ดูเหมือนมิติโดยรอบจะแข็งทื่อ จางเซวียนกับตัวโคลนรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่ฉุดรั้งการเคลื่อนไหวของพวกเขา ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าลงมาก


ศิลปะเพลงดาบของจางเซวียนนั้นทรงพลัง แต่เขาไม่มีอาวุธที่เหมาะสม ส่วนตัวโคลนมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง แต่ระดับวรยุทธที่แท้จริงของมันก็ยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรับมือกับราชันย์เทพเจ้าได้ยาก


พลั่ก! พลั่ก!


จางเซวียนกับตัวโคลนถูกเล่นงานพร้อมกัน ทั้งคู่กระเด็นไป

 

 

 


ตอนที่ 2257 ราชันย์เทพเจ้าไก่

 

ร่างกายของตัวโคลนบิดงอไปมาเล็กน้อย แล้วอาการบาดเจ็บทั้งหมดก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนจางเซวียนก็ปล่อยกระแสพลังปราณเข้าหาอาการบาดเจ็บของเขา ทำให้หายเป็นปลิดทิ้งอย่างรวดเร็ว


“คุณ…”


ชายวัยกลางคนถึงกับตะลึง


เขาแน่ใจว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้อาจเล่นงานจางเซวียนกับตัวโคลนให้ถึงตายได้ แต่ทั้งคู่กลับหายดีในชั่วพริบตา


นี่เขากำลังสู้กับศัตรูพิสดารชนิดไหน?


ชายวัยกลางคนก้มดู เห็นบาดแผลใหญ่ที่หน้าอกของเขายังมีเลือดไหล เขารู้สึกแย่ขึ้นมาทันที


ด้วยสภาวะร่างกายของราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไป เขาเยียวยาอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ได้ทันทีที่ถ่ายทอดพลังงานเข้าสู่บาดแผลเหล่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าละสายตาจากคู่ต่อสู้ อาการบาดเจ็บจึงย่ำแย่ลงเรื่อยๆ


การเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงของเขาทำให้บาดแผลฉีกขาดมากกว่าเดิม ปริมาณเลือดที่ไหลออกมาก็เพิ่มขึ้น


ชายวัยกลางคนเคยคิดว่าขอแค่เขาทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บได้ ก็คงมีเวลาหายใจหายคอและเยียวยาบาดแผลของตัวเอง


ซึ่งเขาก็ทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บได้ในที่สุด แต่จะไปรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะหายดีในชั่วพริบตา?


แถมยังรู้สึกเหมือนรังสีของทั้งคู่รุนแรงเกรี้ยวกราดและทรงพลังกว่าเดิมหลังจากรักษาบาดแผลแล้ว


แกสองคนเป็นเทพแมลงสาบกลับชาติมาเกิดหรือเปล่า?


ฉันต้องทำอย่างไรถึงจะฆ่าแกได้?


ตอนนี้ สถานการณ์ของเขาดูจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ


“จัดการเขาเถอะ!” จางเซวียนพูดขณะพุ่งเข้าใส่พร้อมกับตัวโคลน


เห็นได้ชัดว่าไม้ตายสำคัญของพวกเขาที่ใช้เล่นงานชายวัยกลางคนคือความสามารถที่แตกต่างกันในการเยียวยาอาการบาดเจ็บ จางเซวียนกับตัวโคลนสามารถปล่อยการโจมตีได้ตามใจ ขณะที่ชายวัยกลางคนต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง


3 นาทีต่อมา สีหน้าของชายวัยกลางคนก็ซีดเผือดเพราะความอ่อนแรง ส่วนคู่ต่อสู้ของเขา แม้จะอยู่ในสภาพดูไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่มีบาดแผลให้เห็นสักนิด


ทั้งคู่ยังคงดุเดือดเหมือนเดิม


ชายวัยกลางคนทึ้งผมอย่างคลุ้มคลั่ง


เราจะเอาชนะการต่อสู้แบบนี้ได้อย่างไร?


เขาควรจะสังหารนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงได้สบาย แต่ยังไม่ทันรู้ตัว สถานการณ์ก็พลิกผัน ตัวเขาเองคือคนที่กำลังจะถูกฆ่า


“บ้าจริง!”


เมื่อรู้ตัวว่าเพลี่ยงพล้ำ ราชันย์เทพเจ้ารีบหันหลังกลับและวิ่งหนี


แม้เขาจะใช้ค่ายกลปกปิดพื้นที่บริเวณนี้ไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าพวกเขาอยู่ในอาณาเขตของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน หากเขาไม่รีบสังหารคู่ต่อสู้ให้ได้เร็วๆนี้ ก็คงดึงดูดความสนใจของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแน่


“คุณคงคิดว่าผมเป็นไอ้ขี้แพ้ แต่ผมจะใช้คุณเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆเห็นว่าไม่ควรมายุ่งกับผม!”


ถ้าเขาปล่อยให้ชายวัยกลางคนลอยนวลไปได้ ต่อไปจะต้องเจอกับการลอบโจมตีอีกหลายครั้ง


จางเซวียนจึงใช้เทคนิคบันไดสวรรค์ธุลีแดงไล่ตามราชันย์เทพเจ้าไปติดๆ


แต่ความเร็วของเขายังอ่อนด้อยเกินไป เขาตามชายวัยกลางคนไม่ทัน


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมอาจสังหารคุณไม่ได้ แต่คุณก็สกัดกั้นผมไม่ได้เหมือนกัน!” ชายวัยกลางคนหันกลับมาคำราม “ฝากไว้ก่อนเถอะ คราวหน้าที่เราเจอกันจะเป็นวันตายของคุณ!”


หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเตรียมหนีไป


แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน ก็ต้องหยุดกึก


“ฮะ? นี่มันอะ…”


ยังไม่ทันจะพูดจบ จะงอยปากขนาดมหึมาก็ปรากฏตรงหน้า


กรุ๊บบบ!


ชายวัยกลางคนถูกกลืนเข้าไปทั้งตัว


จากนั้น ไก่ตัวเล็กจ้อยก็ปรากฏตรงหน้าจางเซวียน


“เอิ๊ก!”


มันปล่อยเสียงเรอดังสนั่นขณะส่ายก้นอย่างสบายใจ


“ไก่น้อย แกตื่นแล้วหรือ?”


จางเซวียนถามอย่างตื่นเต้น


ไก่น้อยที่เข้าสู่ภาวะจำศีลหลังจากเสียชีวิตในทะเลสาบจันทร์กระจ่างฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งแล้ว เท่าที่ดูจากพละกำลังมหาศาลในตัวมัน…ตอนนี้มันคือราชันย์เทพเจ้า!


จางเซวียนเคยคิดว่าไม่ช้าตัวเขาก็คงได้เป็นราชันย์เทพเจ้า แต่เพราะรวบรวมกระแสจิตปรารถนาได้ไม่มากพอ ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณจึงยังล้าหลัง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยังห่างไกลจากการฝ่าด่านวรยุทธ


ลงท้าย ไก่น้อยก็นำหน้า!


ราชันย์เทพเจ้าไก่!


แค่คิดก็ทำเอาตื่นเต้นแล้ว


แต่หลังจากดีอกดีใจในตอนแรก สุดท้ายจางเซวียนก็อดอึดอัดใจไม่ได้


เขาเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้ราว 1 เดือนแล้ว แต่เพิ่งยกระดับวรยุทธจนได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงเท่านั้น ยังไม่ใกล้เคียงกับไก่น้อยเลย


แค่คิดก็เล่นเอาหงุดหงิดจนแทบหายใจหายคอไม่ออก


สติปัญญาของเขาย่ำแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?


ถ้าอย่างนั้น ดูเหมือนเขาจะต้องใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธให้มากกว่านี้เพื่อปรับปรุงสติปัญญาที่ยังอ่อนด้อย! เขาอยากเป็นราชันย์เทพเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งหากสู้ไม่ได้แม้แต่ไก่น้อย ก็คงไม่รู้จะเงยหน้ามองใครได้อีก


ไก่น้อยสีเหลืองตัวนี้อยู่กับเขาตั้งแต่ที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ทั้งคู่ผ่านอาณาจักรคุนฉื่อกับมิติเบื้องบนมาด้วยกัน ซึ่งวรยุทธของมันก็เหนือชั้นกว่าเขามาตลอด ถ้าเป็นคนอื่น คงท้อใจจนแทบจะฆ่าตัวตาย


“ผมเพิ่งตื่น เอิ๊ก!”


ไก่น้อยยืดคอขณะใช้ปีกลูบพุงกลมๆของมัน มันจ้องหน้าจางเซวียนอย่างกังวลใจด้วยนัยน์ตากลมดำเหมือนลูกปัดขณะตั้งคำถาม “คุณคงไม่ตำหนิผมที่กินหมอนั่นใช่ไหม?”


มันถูกจางเซวียนตำหนิมานับครั้งไม่ถ้วนเรื่องที่กินในสิ่งที่ไม่ควรจะกินเข้าไป


“ไม่เป็นไร กินไปเถอะ” จางเซวียนตอบพร้อมกับโบกมือ “ถ้ายังไม่อิ่ม ก็กินคนอื่นที่เข้ามาเล่นงานฉันด้วยก็ได้!”


ถ้าไก่น้อยตื่นขึ้นมาไม่ทันเวลา เขาคงต้องใช้หน้าหนังสือสีทองเล่นงานราชันย์เทพเจ้านั่น ถือว่าไก่น้อยช่วยทุ่นแรงของเขาได้มาก


“ขอบคุณนายท่าน!” ไก่น้อยฉีกยิ้มด้วยความดีใจ


จากนั้น มันก็ทำปากยื่นแล้วขย้อนเอาดาบเล่มหนึ่งออกมา


“นี่คืออาวุธที่หมอนั่นใช้ ผมลบรอยประทับของจิตวิญญาณไปแล้ว คุณแค่ร่ายมนต์ใส่และทำให้มันยอมจำนน จากนั้นก็ใช้งานมันได้!”


ตอนที่กลืนราชันย์เทพเจ้าลงไป มันกลืนอาวุธของอีกฝ่ายลงไปด้วย


จางเซวียนรับดาบมา จากนั้นก็รีบร่ายมนต์ใส่และทำให้มันยอมจำนน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็พยักหน้าให้ไก่น้อยอย่างพอใจ


สมกับเป็นผู้ที่เดินทางไปกับเขาทั่วทั้งสามโลก อย่างน้อยมันก็ยังพอรู้จักคิดบ้าง


ดาบเล่มนี้เป็นของล้ำค่าของจอมราชันย์ ถ้าไก่น้อยไม่ลบรอยประทับของจิตวิญญาณและกำจัดจิตวิญญาณของอาวุธที่อยู่ในนั้นก่อน เขาคงไม่มีทางร่ายมนต์ใส่หรือทำให้มันยอมจำนนได้ ซึ่งเมื่อมีอาวุธทรงพลังอยู่ในมือ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นทันที


ด้วยศิลปะเพลงดาบทั้ง 3 แบบที่เขาได้ทำความเข้าใจ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับราชันย์เทพเจ้าอีกคน ก็คงต่อสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ!


จางเซวียนมองดาบในมือ เขาชูมันขึ้นสูงและประกาศอย่างภาคภูมิใจ “นับจากวันนี้ไป แกจะมีชื่อว่า…ดาบราชันย์เทพเจ้า!”


เสียงกุกกักของดาบสะดุดลงทันที ดูเหมือนจิตวิญญาณที่อยู่ในดาบกำลังงุนงง


ผมคือของล้ำค่าของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรตินะ! คนอื่นเขาได้ชื่อเจ๋งๆอย่างฤดูใบไม้ผลิอันว่างเปล่า, หงส์เริงระบำ, มังกรพิษ, นกคีรีบูนพิศวง หรืออะไรทำนองนั้น เพียงแค่ผู้คนได้ยินชื่อ ก็รู้ระดับขั้นของพวกผมแล้ว…


แล้วไอ้ดาบราชันย์เทพเจ้าที่เป็นชื่อของผมนี่คืออะไร?


มีอะไรที่ตรงไปตรงมากว่านี้อีกไหม?


“แกไม่ชอบหรือ?” จางเซวียนลูบคางอย่างครุ่นคิด “เอาเถอะ แกเป็นของกำนัลจากไก่น้อยนี่ ใช้ชื่อดาบไก่ดีไหม?”


เคร้งงง!


ดาบแทบร่วงลงกับพื้นด้วยความตกใจ มันรีบปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ


เอาเถอะ ตามนั้นก็ได้! ดาบราชันย์เทพเจ้า!


อย่างน้อยที่สุด ก็ฟังดูดีกว่าดาบไก่หลายเท่า!


หลังจากได้ชื่อเสียงเรียงนามแล้ว จางเซวียนพยายามสำแดงศิลปะเพลงดาบโดยใช้ดาบ ซึ่งก็เป็นไปด้วยความราบรื่น เขาถ่ายทอดพละกำลังเต็มพิกัดได้อย่างง่ายดาย


จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างดีอกดีใจกับประสิทธิภาพของอาวุธที่ได้มาใหม่


แม้จะเป็นการต่อสู้ที่แสนอันตราย แต่เขาก็ได้ข้าวของกลับมาจำนวนหนึ่ง ได้ประสบการณ์การต่อสู้กับราชันย์เทพเจ้า แถมยังได้ไก่…เอ่อ ไม่ใช่, ได้ดาบราชันย์เทพเจ้าอีกด้วย!


เมื่อนำดาบเล่มนี้มาใช้กับศิลปะเพลงดาบที่ตัวเขาเพิ่งทำความเข้าใจใหม่ ก็จะสู้กับนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไปได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ และอาจสังหารพวกเขาได้


ที่สำคัญกว่านั้น จางเซวียนได้รู้แล้วว่ากายเนื้อของเขามีประสิทธิภาพการเยียวยาตัวเองในระดับที่น่าทึ่งไม่แพ้ตัวโคลน


ขอแค่จิตวิญญาณไม่ได้ถูกทำลาย ต่อให้ศีรษะหลุดจากบ่า ก็เยียวยาตัวเองได้สบาย


คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะกล่าวว่าเขามีร่างกายที่เป็นอมตะ!


เดี๋ยวก่อน…จางเซวียนคิด หรือว่าพลังงานที่เราซึมซับเข้าไปมีเลือดของไก่น้อยผสมอยู่?


ในประวัติศาสตร์ตระกูลฉี มีนักรบมากมายที่ได้เข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง แต่ก็ไม่เคยมีใครได้รับกายเนื้อที่เป็นอมตะอย่างตัวเขา


เมื่อคิดดู ตอนนั้นไก่น้อยก็อยู่กับเขาด้วย เลือดของมันผสมปนเปไปกับทะเลสาบตอนที่มันถูกพลังงานรุนแรงเกรี้ยวกราดในนั้นสังหาร เรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?


ไก่น้อยได้เปิดเผยความสามารถเฉพาะตัวอันน่าทึ่งมากมายนับตั้งแต่อยู่ในมิติเบื้องบน แม้ตอนที่มันยังเป็นน้ำเต้า น้ำที่ได้จากการต้มตัวมันก็มีประสิทธิภาพในการเยียวยาอาการบาดเจ็บได้ดีกว่าพลังปราณเทียบฟ้าเสียอีก


ยิ่งกว่านั้น มันยังถูกแผดเผาจนแหลกเป็นชิ้นๆครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ฟื้นคืนสภาพเดิมได้ทุกครั้งโดยไม่มีปัญหาใด


ถึงจะยังระบุไม่ได้ว่าไก่น้อยคืออสูรในตำนานชนิดไหน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บโดยทั่วไปไม่อาจทำอันตรายมันได้ กลับช่วยบ่มเพาะร่างกายของมันด้วย


ทุกครั้งที่มันตาย จะกลับมาด้วยความแข็งแกร่งกว่าเดิม!


หรือนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาดูจะเพิ่มขึ้นเมื่อได้รับบาดเจ็บหนักขึ้นเรื่อยๆตอนที่สู้กับราชันย์เทพเจ้าเมื่อครู่ก่อน?


“ไก่น้อย แกแปลงร่างได้หรือยัง?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้


อสูรสวรรค์โดยทั่วไปจะแปลงร่างได้เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ แต่ก็มีอสูรที่แข็งแกร่งกว่าบางชนิดต้องสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงเสียก่อนถึงจะแปลงร่างได้


ส่วนมังกรสายเลือดบริสุทธิ์อย่างอ้าวหัว ต้องได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงถึงจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์


ในเมื่อไก่น้อยเป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว ก็ควรจะแปลงร่างได้สิ ใช่ไหม?


“ผมยังไม่ได้ลอง แต่คิดว่าน่าจะทำได้” ไก่น้อยมองร่างอ้วนกลมปุกปุยของมันขณะตอบอย่างลังเล


“งั้นก็ลองเลย” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


ไก่น้อยพยักหน้า มันตั้งต้นขับเคลื่อนพลังงานภายในร่างกาย


ฟึ่บ!


ร่างสีเหลืองเล็กจ้อยของมันสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนสภาพอย่างรวดเร็ว กลายเป็นชายร่างสูงหุ่นดี

 

 

 


ตอนที่ 2258 มันลอยได้อย่างไร

 

“สำเร็จแล้ว…ผมแปลงร่างได้แล้ว!” ไก่น้อยร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น


มันหันไปมองเจ้านาย หวังจะให้อีกฝ่ายร่วมยินดีปรีดาด้วย แต่เจ้านายกลับจ้องมันด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง ก่อนจะตบหน้าผากของตัวเองอย่างหมดหวัง


“ฮะ? มีอะไร? ผมดูไม่หล่อหรือ?” ไก่น้อยถามอย่างงุนงง


มันคิดว่าตัวมันแปลงร่างเป็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาแบบที่แม้แต่นายท่านก็คงอิจฉา ไม่คิดเลยว่านายท่านจะมีทีท่าแบบนี้ การที่เขาตบหน้าผากหมายความว่าอย่างไร?


ไก่น้อยใช้มือสัมผัสใบหน้าของตัวเอง แต่แล้วก็ตัวแข็งทื่อ


“อะไรกัน? ทำไมหัวของผมถึงยังไม่เปลี่ยน?”


ตอนนี้ แม้ร่างของมันจะกลายเป็นมนุษย์แล้ว แต่ใบหน้ายังคงเป็นไก่น้อยสีเหลืองเหมือนเดิม เมื่อมองไกลๆ ก็ดูเหมือนไก่ปีศาจตัวหนึ่ง


มันหวังว่าตัวเองจะดูหล่อเหลาทันทีที่แปลงร่างสำเร็จ แต่หากเดินไปตามถนนในสภาพนี้ ผู้คนคงพากันวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้!


“ฉันว่าแกล้มเลิกความคิดเรื่องแปลงร่างดีกว่า พอใจกับการเป็นไก่อย่างที่เป็นอยู่เถอะ” จางเซวียนพูดอย่างหมดปัญญา


รู้ดีว่าหากคงสภาพนี้ไว้ก็มีแต่จะทำให้ใครๆหวาดกลัว ไก่น้อยรีบคืนร่างกลับสู่ก้อนขนสีเหลืองดังเดิม จากนั้นก็บินไปเกาะหัวไหล่ของจางเซวียน


“ไปกันเถอะ!”


จางเซวียนเดินเข้าหาอสูรสวรรค์สร้างบินได้ที่กำลังบาดเจ็บตัวหนึ่งและรักษาอาการบาดเจ็บของมัน ไม่ช้าทั้งคู่ก็อยู่บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่


“เจ้าราชันย์เทพเจ้าเมื่อครู่นี้เป็นนักรบพเนจร…”


ขณะที่กำลังต่อสู้ จางเซวียนใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบภูมิหลังของอีกฝ่าย ซึ่งก็ปรากฏว่าเขาคือนักรบพเนจรคนหนึ่งของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


ซึ่งเมื่อลองคิดดู ก็พอเข้าใจได้ เพราะผู้ที่สังกัดตระกูลใดตระกูลหนึ่งย่อมไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรหุนหันพลันแล่นแบบนี้ เพราะไม่อย่างนั้นก็อาจต้องเผชิญกับการตอบโต้ของตระกูลฉี


ต่อให้ยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธจะมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน ก็ไม่คุ้มค่าที่จะนำชะตากรรมของทั้งตระกูลเข้าไปเสี่ยง


เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีกลุ่มอำนาจไหนอยู่เบื้องหลังราชันย์เทพเจ้าที่เพิ่งโจมตีเขา จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงน่าเบื่อน่ารำคาญมากทีเดียวหากเขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆอีกมากมายที่เป็นผลจากการต่อสู้ครั้งนี้


โชคดีที่ระหว่างทางไม่มีการโจมตีจากนักรบคนไหนอีก เขาไปถึงค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่โดยปราศจากปัญหาใดๆ


บริเวณยอดเขามีเสาหินสูงตระหง่านหลายสิบต้น แต่ละต้นมีความสูงหลายร้อยเมตร ช่วยปกป้องพลังจิตวิญญาณในบริเวณโดยรอบ เป็นไปได้ว่าค่ายกลทะลุมิติน่าจะอยู่ที่ใจกลางเสาหินเหล่านี้


ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดจากกฎเกณฑ์แห่งมิติ พลังจิตวิญญาณในบริเวณโดยรอบจึงต้องมั่นคงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ เสาหินจึงถูกติดตั้งไว้เพื่อกำจัดสิ่งรบกวนใดๆก็ตามจากพื้นที่โดยรอบ


จางเซวียนบังคับอสูรสวรรค์สร้างบินได้ให้ร่อนลงห่างจากค่ายกลทะลุมิติ และเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ตัวเขาบินได้ จึงเดินเท้าเข้าไป


ที่บริเวณทางเข้า องครักษ์คนหนึ่งก้าวออกมาขวางจางเซวียนไว้ “กรุณาแสดงตราสัญลักษณ์ของคุณด้วย!”


ฉีหลิงเอ๋อไม่ได้พูดเกินจริงเลยตอนที่เธอบอกว่าค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้รับการอารักขาอย่างเข้มงวด


มีนักรบกว่าร้อยคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ละคนมีวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขา ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าก็คงฝ่าไปไม่ได้


ดูเหมือนน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนจะให้ความสำคัญกับค่ายกลทะลุมิติมาก นั่นอธิบายได้ว่าทำไมการจะได้รับสิทธิ์ให้เข้าใช้มันถึงมีความยากลำบากไม่น้อย


จางเซวียนยื่นตราสัญลักษณ์ของเขาออกไป


องครักษ์ตรวจสอบตราสัญลักษณ์อย่างถี่ถ้วนก่อนประสานมืออย่างนอบน้อม “นายน้อยจาง เชิญทางนี้”


ผู้ที่ได้ครอบครองตราสัญลักษณ์ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในสาขาวิชาชีพของตัวเองในแต่ละน่านฟ้า เหล่าองครักษ์จึงไม่กล้าทำให้พวกเขาขุ่นเคือง


จางเซวียนตามองครักษ์ไปติดๆ ไม่ช้าก็มาอยู่ตรงหน้าค่ายกลทะลุมิติ


แต่มันออกจะแตกต่างจากที่เขาคิดไว้เล็กน้อย ไม่มีค่ายกลรูปทรงกลมที่ต้องกะระยะศูนย์ถ่วงก่อนเปิดใช้งานเหมือนอย่างที่ค่ายกลทะลุมิติทั่วไปควรจะมี


สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงห้องรูปทรงกระบอกห้องหนึ่งซึ่งมีประตู 8 บาน


“นายน้อยจาง ไม่ทราบว่าคุณตั้งใจจะเดินทางไปน่านฟ้าไหน?”


“ผมจะไปเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด, น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด” จางเซวียนตอบ


“กรุณาใช้ประตูทางทิศใต้” องครักษ์ชี้ทาง


จางเซวียนพยักหน้า เขาเดินไปที่ประตูบานหนึ่งพร้อมกับไก่น้อย จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป


ด้านหลังประตูบานนั้นคือลำแสงที่หมุนเป็นเกลียว


เมื่อจางเซวียนก้าวเข้าไป ตราสัญลักษณ์ของเขาก็เรืองแสงเจิดจ้าที่ห่อหุ้มตัวเขาและไก่น้อยไว้ด้วยกัน พริบตาต่อมา โลกรอบตัวก็หมุนติ้วขณะที่พลังงานลึกลับชนิดหนึ่งกลืนกินเขาทั้งตัว


ฟึ่บ!


จางเซวียนหายวับไปทันที


ประสิทธิภาพของค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่น่าสะพรึงกว่าค่ายกลทะลุมิติขนาดเล็กที่เขาเคยใช้หลายเท่า แม้วรยุทธของจางเซวียนจะเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงแล้ว แต่คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติก็ยังทำให้เขารู้สึกเหมือนทั้งร่างจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ


เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูอีกบานหนึ่ง จางเซวียนใช้เวลาขับเคลื่อนพลังงานเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายก่อนจะเปิดประตูบานนั้น


องครักษ์ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของประตูตรวจสอบตราสัญลักษณ์ของเขาก่อนจะปล่อยให้เขาออกไป


“ที่นี่คือน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดหรือ?” จางเซวียนถาม


“ใช่ เมืองที่อยู่ตรงนั้นคือเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด” องครักษ์ตอบ


จางเซวียนมองตาม อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ


ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือภูเขาไฟขนาดมหึมาที่มีปล่องใหญ่โตอยู่ตรงกลาง รัศมีของปล่องภูเขาไฟน่าจะตกราวหลายพันลี้ มองไปสุดลูกหูลูกตา ยากจะกะประมาณได้ว่ามันมีความลึกเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อไม่อาจใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบภูเขาไฟได้


เหนือปล่องภูเขาไฟมีเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งลอยอยู่ ทั้งเมืองทำจากหินภูเขาไฟ


“เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นเมืองลอยได้?” จางเซวียนถึงกับผงะ


น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนมีภูเขาลอยได้อยู่หลายแห่ง แต่มีขนาดเล็กกว่าและเป็นที่พำนักของกลุ่มอำนาจใหญ่ๆในเมืองเท่านั้น


แต่เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งเมืองเป็นเมืองลอยได้!


น่าสะพรึงจริงๆ!


 


“นายน้อยจาง ถ้าคุณอยากเข้าเมืองหลวง ผมให้คนของผมพาคุณไปได้นะ” องครักษ์พูดพร้อมกับยิ้มให้


เป็นธรรมดาที่ผู้มาเยือนน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นครั้งแรกจะมีทีท่าแบบนี้


พลังงานมหาศาลที่ทำให้ทั้งเมืองลอยตัวอยู่ได้ล้วนแต่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ไม่ว่าราชันย์เทพเจ้าหรือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ไม่อาจปล่อยพละกำลังระดับนี้ได้


ต้องเป็นฝีมือของระดับจอมราชันย์เท่านั้น!


ไม่ช้า องครักษ์ก็นำอสูรสวรรค์บินได้ตัวหนึ่งมา


เขาเชิญจางเซวียนให้ขึ้นขี่หลังอสูรสวรรค์ ก่อนที่ตัวเองจะขึ้นกุมบังเหียน จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้าสู่เมืองลอยได้


ขณะที่กำลังเดินทาง จางเซวียนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบน


เขาเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อตรวจสอบ ก่อนจะตาโตด้วยความประหลาดใจ


จางเซวียนหันไปพูดกับองครักษ์ “ผมรู้สึกได้ว่าไม่มีค่ายกลที่ช่วยพยุงทั้งเมืองให้ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วมันลอยได้อย่างไร?”


โดยทั่วไป จะต้องใช้ค่ายกลทรงพลังเพื่อพยุงเมืองใหญ่ระดับนี้ให้ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ แต่แม้จะใช้ดวงตาหยั่งรู้ จางเซวียนก็ยังไม่เห็นอะไรทำนองนั้น


ได้ฟังข้อสังเกตของผู้มาใหม่ องครักษ์หัวเราะหึๆก่อนจะตอบอย่างภาคภูมิใจ “เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดไม่ต้องอาศัยค่ายกลเพื่อพยุงให้มันลอยได้หรอก”


“อย่างนั้นหรือ? แล้วใช้อะไรล่ะ?” จางเซวียนถามต่อ


กฎเกณฑ์ของสรวงสวรรค์เข้มงวดมาก ข้อเท็จจริงที่ว่ามีแต่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขึ้นไปเท่านั้นที่บินได้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี


แต่เมืองใหญ่ขนาดนี้คงไม่อาจเป็นราชันย์เทพเจ้าได้หรอก จริงไหม?


ก็ถ้าอย่างนั้น นอกจากค่ายกล จะมีอะไรที่ทำให้มันลอยตัวอยู่กลางอากาศได้?


“มันคือขนนก” องครักษ์ตอบยิ้มๆ “เมื่อแรกสร้างเมืองนี้ ไม่ว่าเราจะทำอย่างไรมันก็ลอยไม่ได้ ขณะที่ทุกคนหมดปัญญา ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟก็พบขนนกลึกลับจากที่ไหนสักแห่งและนำมันมารองใต้เมือง น่าประหลาดใจมากที่เมื่อมีขนนกรองรับ ทั้งเมืองก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้!”


จางเซวียนออกจะประหลาดใจกับเรื่องเล่าที่ได้ฟัง


เขาพยายามส่องดูด้านล่างเมืองที่ลอยอยู่ ซึ่งก็มีขนนกขนาดมหึมาที่มีความยาวหลายร้อยลี้อยู่ตรงนั้นจริงๆ ดูเหมือนมันมีพละกำลังบางอย่างที่ทำให้ทั้งเมืองลอยนิ่งอยู่กลางอากาศได้


ในตอนนั้นเอง เสียงไก่น้อยสีเหลืองก็ดังขึ้นข้างหู “ผมอยากกิน…”


“กินหัวแกเถอะ!” จางเซวียนพูดไม่ออก ในหัวของแกมีแต่เรื่องอาหารหรือไง?


ตอนที่แกเป็นแค่ไก่น้อยตัวจ้อยก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้แกเป็นถึงราชันย์เทพเจ้าแล้ว! ใส่ใจรักษาหน้าของตัวเองหน่อยดีไหม?


แกอาจไม่แยแสชื่อเสียงของตัวเอง แต่ฉันยังสนใจอยู่!


“ไม่เอา…ผมไม่ได้อยากกินหัวของผม ผมอยากกินขนนกนั่น” ไก่น้อยตอบ


“หยุดพล่ามเลอะเทอะเสียที แกกินขนนกนั่นไม่ได้!” จางเซวียนตอบอย่างเฉียบขาด


นอกจากเป็นไปไม่ได้ที่ไก่น้อยจะกินขนนกอันมหึมานั้น ลำพังแค่รังสีแผดกล้าที่มันแผ่ออกมาก็หนักหน่วงเกินกว่าที่ราชันย์เทพเจ้าทั่วไปจะรับมือไหวแล้ว!


แถมเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งเมืองก็อาศัยขนนกนี้เพื่อพยุงให้มันอยู่ได้ ถ้าไก่น้อยกินเข้าไป เขาแน่ใจว่าทุกคนในเมืองจะต้องสับเขาเละแน่!


“ก็ได้…”


เห็นเจ้านายไม่อนุญาตให้กินขนนก ไก่น้อยได้แต่ส่ายหน้า มันกระโดดลงจากไหล่ของจางเซวียนและกลับเข้าไปในจุดตันเถียน


ในเมื่อไม่ได้กินขนนกนั่น ก็สู้ไม่เห็นเลยดีกว่า เผื่อจะลืมๆไปได้ ไม่อย่างนั้น มันคงหิวแล้วหิวอีกถ้ายังเห็นขนนกอยู่เรื่อยๆ


อสูรสวรรค์บินด้วยความเร็วสูงลิ่ว เพียงไม่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงเมืองลอยได้


“คุณจะบอกเรื่องที่ผมควรจำให้ขึ้นใจเมื่ออยู่ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดให้ผมรู้สักหน่อยได้ไหม? อีกอย่าง ผมอยากรู้เพิ่มเติมเรื่องราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟที่คุณพูดถึงเมื่อครู่นี้” จางเซวียนพูดขณะยื่นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางเม็ดหนึ่งให้องครักษ์


ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงทั่วไป ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางก็น่าจะดีพอสำหรับเขา


 


———–


1 ลี้ = 0.5 กิโลเมตร

 

 

 


ตอนที่ 2259 แต่ปัญหาเดียวก็คือ…

 

เป็นไปตามคาด ท่าทีขององครักษ์เปลี่ยนไปทันทีที่เห็นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลาง เขารับของกำนัลไว้ด้วยความยินดีปรีดา จากนั้นก็ตั้งต้นอธิบาย “อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ, นายน้อยจาง เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดคือเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด จอมราชันย์จิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นผู้ปกครองดูแลที่นี่ ซึ่งอีกชื่อหนึ่งของเขาคือจอมราชันย์อมตะ การที่คุณได้รับสิทธิ์เข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ก็หมายความว่าคุณมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น สิ่งเดียวที่คุณจะต้องจดจำให้ขึ้นใจก็คือสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ”


“คนแรกคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟที่ผมพูดถึงไปเมื่อครู่ เขามีสายเลือดของนกฟีนิกซ์ไฟ ความน่าสะพรึงนั้นไม่มีใครเทียบได้เมื่อเขากำลังโกรธ เขาสามารถแผดเผาทุกอย่างในโลกใบนี้ ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟคือหนึ่งในราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่มีความแข็งแกร่งเลื่องชื่อในสรวงสวรรค์ ปกครองดินแดนทางใต้ของเมืองหลวง”


“คนที่สองคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกน้ำแข็ง เขาสืบเชื้อสายมาจากนกฟีนิกซ์น้ำแข็ง ทุกอย่างที่เขาสัมผัสจะถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งทันที เขาปกครองดินแดนทางเหนือของเมืองหลวงแห่งนี้”


“ส่วนคนสุดท้ายคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกพายุ เขามีสายเลือดนกฟีนิกซ์พายุ ขึ้นชื่อเรื่องการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนแทบจะเหมือนการทะลุมิติ แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะอ่อนด้อยกว่า 2 คนแรก แต่ก็รับมือด้วยได้ยากที่สุด เขาปกครองดินแดนทางตะวันตกของเมืองหลวง”


ขณะฟังคำอธิบายขององครักษ์ จางเซวียนจ้องมองเมืองลอยได้และจดจำไว้ว่าดินแดนทางใต้ถูกปกคลุมด้วยคลื่นความร้อน ขณะที่ดินแดนทางเหนือปกคลุมด้วยหิมะ


ทั้ง 2 ด้านของเมืองมีภูมิอากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ราวกับโลก 2 ใบที่ถูกบังคับให้หลอมรวมเข้าด้วยกัน


จางเซวียนมองภาพตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจขณะตั้งคำถาม “ในเมื่อสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติล้วนมีสายเลือดนกฟีนิกซ์ นั่นก็หมายความว่าจอมราชันย์แห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด…”


ดูจะบังเอิญเกินไปที่สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในดินแดนเดียวกันจะมีต้นกำเนิดจากสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อคิดดูอีกที ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดส่วนใหญ่ของน่านฟ้ามังกรเมฆก็เป็นทายาทของเผ่าพันธุ์มังกร


แล้วน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า?


“คุณไม่รู้หรือ?” องครักษ์ย้อนถามด้วยความสงสัย


“รู้อะไร?” จางเซวียนก็สงสัยพอๆกัน


เห็นอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาจริงๆ องครักษ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะอธิบาย “น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือน่านฟ้าอมตะ และจอมราชันย์ของเราก็ได้รับสมญานามว่าจอมราชันย์อมตะ คุณรู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงเรียกเขาแบบนั้น?”


จางเซวียนส่ายหน้า


ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวสมองของเขาก็คือจอมราชันย์อมตะคงเป็นใครสักคนที่ไม่มีวันตาย แต่เมื่อหวนนึกถึงหลุมฝังศพที่เขาได้เห็นในมิติเบื้องบน ก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป


บางที แนวคิดเรื่องความเป็นอมตะชั่วนิรันดร์อาจไม่มีอยู่จริงในสรวงสวรรค์ก็ได้ แม้แต่กับจอมราชันย์ที่ดูจะยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง


ถึงจอมราชันย์จะมีอำนาจเหนือกฎเกณฑ์ของโลก แต่ก็อาจไม่ใช่ผู้ยั้งยืนยงอย่างที่พวกเขาดูเหมือนจะเป็น


การปรากฏตัวของปรมาจารย์ขงเป็นตัวอย่างที่ดี


อีกอย่าง ข้อเท็จจริงที่พวกเขายังคงเป็นรองจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีก็พอบ่งบอกบางอย่างได้


“เหตุผลที่จอมราชันย์ของเราได้รับการขนานนามแบบนั้นก็เพราะเขาคืออสูรชนิดหนึ่งที่แปลงร่างได้ รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาคือสายเลือดทรงเกียรติของเผ่าพันธุ์ฟีนิกซ์เก้าน่านฟ้า…นกฟีนิกซ์สวรรค์สร้างอมตะ” องครักษ์อธิบายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า


ถ้าไม่ใช่เพราะความใจกว้างของอีกฝ่าย เขาคงไม่ยอมปริปากเรื่องของจอมราชันย์ง่ายๆแบบนี้


“นกฟีนิกซ์สวรรค์สร้างอมตะ?” จางเซวียนพยักหน้า


ดูเหมือนจอมราชันย์หลายคนจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์


“คุณรู้ไหมว่ามีจอมราชันย์ของน่านฟ้าไหนบ้างที่เป็นอสูรแปลงร่าง?” จางเซวียนถามต่อ


เมื่อเห็นบุคคลที่น่าจะมีสถานภาพสูงส่งกลับไม่รู้ข้อมูลพื้นๆแบบนี้ องครักษ์ได้แต่ส่ายหัว “ผู้ที่อารักขาดินแดนทางเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกของสรวงสวรรค์ล้วนเป็นเป็นอสูรแปลงร่างทั้งนั้น รูปลักษณ์ที่แท้จริงของจอมราชันย์มังกรเมฆแห่งน่านฟ้าตะวันออกคือมังกรเบื้องบน รูปลักษณ์ที่แท้จริงของจอมราชันย์ฟู่เหมิงแห่งน่านฟ้าทองคำแข็งกล้าคือเสือขาว รูปลักษณ์ที่แท้จริงของจอมราชันย์อมตะแห่งน่านฟ้าจิตวิญญาณต้นกำเนิดทางใต้คือนกฟีนิกซ์สวรรค์สร้างอมตะ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อนกฟีนิกซ์สีเขียวอ่อน ส่วนรูปลักษณ์ที่แท้จริงของจอมราชันย์นรกโลกันต์แห่งน่านฟ้านรกโลกันต์ทางเหนือคือเต่าดำ!”


จางเซวียนตาโต


แม้เขาจะได้ข้อมูลไม่น้อยจากการสนทนากับฟู่เจียงเฉิน แต่ความรู้เรื่องเก้าจอมราชันย์ก็ยังอ่อนด้อยอยู่มาก ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเรื่องแบบนี้


มังกรเบื้องบนแห่งทิศตะวันออก เสือขาวแห่งทิศตะวันตก นกฟีนิกซ์สีเขียวอ่อนแห่งทิศใต้ และเต่าดำแห่งทิศเหนือ…


“เอาล่ะ ผมพูดเท่าที่ผมพอจะพูดได้ไปหมดแล้ว คุณทำสิ่งที่คุณต้องทำก็แล้วกัน แต่จำไว้นะว่าระเบียบกฎเกณฑ์ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดค่อนข้างจะเข้มงวด หลีกเลี่ยงความยุ่งยากต่างๆไว้ย่อมดีกว่า เพราะมีหลายครั้งที่แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าก็ยังถูกสังหารหลังจากสร้างปัญหาที่นี่” องครักษ์มอบคำเตือนทิ้งท้าย


“ขอเวลาผมอีกสักครู่เถอะ ผมมีคำถามสุดท้าย!” จางเซวียนโพล่งออกไปเพื่อยับยั้งองครักษ์ไว้ก่อน “ไม่ทราบว่าจอมราชันย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดพักอยู่ที่ไหน แล้วผู้คนในเมืองเรียกเขาว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณหรือเปล่า?”


“ใช่ จอมราชันย์ของพวกเราเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่ง คือเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ อันที่จริง เขาพักอยู่ที่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ว่ากันว่าตำหนักนั้นถูกปิดตายหลายสิบปีแล้ว แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟก็ยังเข้าไปไม่ได้” องครักษ์ตอบ “เกรงว่าผมคงบอกเรื่องจอมราชันย์กับคุณไม่ได้มากกว่านี้แล้วล่ะ เท่านี้ก็เกินสติปัญญาของผมแล้ว!”


จางเซวียนเข้าใจดีว่าการซักถามมากกว่านี้ย่อมทำให้องครักษ์ลำบากใจ อีกอย่าง หมอนี่ก็ดูไม่น่าจะรู้เรื่องของบรรดาชนชั้นนำของเมืองหลวงมากนัก จึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณรู้จักใครที่ผมพอจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้บ้างไหม?”


“ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากหาข้อมูลเรื่องอะไร” องครักษ์ตอบ “ถ้าเป็นแค่ข่าวสารทั่วไป เสาะหาเอาตามตลาดก็ได้ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ข้อมูลข่าวสารมากมายผ่านมาผ่านไป ผมรู้มาว่าคนใหญ่คนโตของตลาดเข้าถึงยาเม็ดเพิ่มความงามที่เพิ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนด้วยนะ!”


“แต่ถ้าคุณอยากรู้ประเด็นละเอียดอ่อนแบบที่เพิ่งถามผม ข้อมูลจากตลาดคงไม่พอ คุณจะต้องไปตามหาสมาชิกของตระกูลสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ด้วยสถานภาพที่สูงส่งกว่า พวกเขาจะต้องรู้ข้อมูลมากมายแน่”


“คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผม!” จางเซวียนประสานมือก่อนจะกล่าวลา


องครักษ์พูดถูก


พลเมืองทั่วไปไม่มีทางรู้เรื่องของจอมราชันย์อย่างละเอียด ถ้าเขาอยากรู้ว่าหลัวลั่วชิงสืบทอดตำแหน่งของจอมราชันย์อมตะและกลายเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคนต่อไปจริงๆหรือไม่ การหาข้อมูลจากสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติย่อมดีที่สุด


เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็น่าจะใกล้ชิดกับจอมราชันย์มากกว่าคนอื่นๆ


แต่ปัญหาเดียวก็คือ…


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคือผู้ที่มีพละกำลังสูงส่งอย่างน่าทึ่ง แข็งแกร่งจนแม้แต่ราชันย์เทพเจ้าก็เทียบชั้นไม่ได้ เขาคงเข้าถึงตัวคนเหล่านั้นและทำให้อีกฝ่ายยอมรับฟังคำพูดของเขาได้ยาก เว้นเสียแต่…


เขาจะต้องมีตัวตนที่แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยังยำเกรง!


ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบตัวอย่างหนึ่งก็คือการที่ฉีเหมิงเข้าใจผิดว่าเขาเป็นจอมราชันย์เมื่อครั้งที่อยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


ด้วยความเข้าใจผิดนั้น ไม่เพียงแต่เขาจะหาซื้อยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย ความต้องการส่วนใหญ่ของเขายังถูกจัดการให้สำเร็จลุล่วงอย่างรวดเร็วด้วย เป็นเพราะการสนับสนุนของตระกูลฉีที่ทำให้การเปิดตัวยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธประสบความสำเร็จสูงสุด


ด้วยตัวตนที่แข็งแกร่ง เขาสามารถเสาะหาข้อมูลใดๆก็ตามที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย


จางเซวียนนวดหว่างคิ้ว จากนั้นก็พึมพำด้วยอาการครุ่นคิด


“หรือเราควรปลอมตัวเป็นจอมราชันย์?”


ความคิดนั้นโผล่เข้ามาแวบเดียวแล้วก็หายไป


จอมราชันย์คือผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก การที่คนอื่นเข้าใจตัวตนของเขาผิดก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็คือผู้ที่ถูกหัวเราะเยาะหากใครต่อใครรู้ว่าเหมาผิดๆว่าใครสักคนเป็นจอมราชันย์


แต่หากตัวเขาถูกจับได้ว่าปลอมตัวเป็นจอมราชันย์ นั่นจะเป็นการท้าทายอำนาจที่มีมายาวนานของอีกฝ่าย เขาอาจกลายเป็นศัตรูของจอมราชันย์ได้เลยทีเดียว!


ดังนั้น หากยังยกระดับพละกำลังได้ไม่แข็งแกร่งพอ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงไว้ย่อมดีที่สุด


สิ่งนี้เหมือนกับการที่ช่างฝีมือคนหนึ่งบังอาจหลอมตราประทับฮ่องเต้ขึ้นใหม่และแสดงตัวประหนึ่งว่าเขาคือฮ่องเต้ ซึ่งหากถูกจับได้ ทุกคนในตระกูลของเขาจะต้องถูกตัดหัวเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นๆ


อีกอย่าง ต่อให้จางเซวียนอยากปลอมตัวเป็นราชันย์เทพเจ้า แล้วจะปลอมตัวเป็นใคร?


เขาแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเก้าจอมราชันย์และความสามารถพิเศษของคนเหล่านั้น เขาเคยถามเรื่องนี้กับฉีหลิงเอ๋อแล้ว และดูเหมือนตระกูลฉีจะคิดว่าตัวเขาคือเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ


บางที ตระกูลฉีคงเข้าใจผิดเพราะพวกเขามีความรู้เรื่องเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไม่มาก แต่หากเขายังคงใช้ตัวตนเดิมต่อไปในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดล่ะก็…


ถ้าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคนปัจจุบันคือหลัวลั่วชิงจริงๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ใช่ เขาต้องตายแน่


อีกอย่าง จะทำแบบนั้นเพื่ออะไร? เพราะทันทีที่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติสักคนเริ่มตั้งคำถาม เราคงจบเห่ และราชันย์เทพเจ้าก็จะมองทะลุการปลอมตัวของเราได้ทันที…


ด้วยเครื่องรางแห่งการปลอมตัวของหลัวลั่วชิง จางเซวียนอาจปลอมตัวเป็นสมาชิกของตระกูลไหนสักตระกูลและตบตามนุษย์ทั่วไปได้สบาย


แต่เขาไม่มั่นใจว่าจะทำแบบเดียวกันได้กับจอมราชันย์


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอาจมีโอกาสผิดพลาด แต่จอมราชันย์จะจดจำผู้ที่อยู่ในสถานภาพเดียวกันกับพวกเขาไม่ได้เชียวหรือ?


ถ้าเขาปลอมตัวเป็นจอมราชันย์แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจพูดคุยกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติหรือจอมราชันย์ด้วยกันได้ แล้วจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร

 

 

 


ตอนที่ 2260 ปลอมตัว

 

จางเซวียนครุ่นคิดหนัก แต่ก็คิดไม่ออก ลงท้าย เขามององครักษ์ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะพูดออกไป “บอกคุณตามตรงนะ ผมอยากพบจอมราชันย์อมตะให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม คุณพอรู้วิธีที่เป็นไปได้บ้างไหม?”


“คุณอยากพบจอมราชันย์ของพวกเรา?” องครักษ์ส่ายหน้า “พวกเราก็อยากพบจอมราชันย์กันทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่ระดับวรยุทธยังอ่อนด้อย บางที คงมีแต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเท่านั้นแหละที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้พบเขา”


ในฐานะพลเมืองของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะอยากรู้ว่าจอมราชันย์ของตัวเองเป็นใคร แต่หากทุกคนได้รับอนุญาตให้พบจอมราชันย์ อีกฝ่ายก็คงไม่เป็นอันทำงานทำการ แค่ใช้เวลาพบปะทุกคนก็คงเหนื่อยตาย!


“ถ้าอย่างนั้น…การเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณล่ะ?” จางเซวียนถามต่อ “ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคงไม่ได้ปิดตายอย่างสิ้นเชิงจากทั้งโลกหรอกนะ ใช่ไหม?”


“การเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณนั้นทำได้ แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน โดยปกติ มีแต่ผู้ที่จอมราชันย์เรียกตัวเท่านั้นถึงจะเข้าไปในตำหนักได้…ขนาดสมาชิกของสามตระกูลใหญ่ ก็จะมีเพียงคนเดียวที่เหนือชั้นกว่าทุกคนที่จะได้รับสิทธิ์ให้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเพื่อฝึกฝนวรยุทธในนั้นเป็นเวลา 1 คืน” องครักษ์ตอบ


“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้ฝึกฝนวรยุทธในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเป็นเวลา 1 คืน?” จางเซวียนทวนคำ


“ความสามารถที่ทรงพลังที่สุดของเผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์คือการฟื้นคืนชีพจากเถ้าถ่าน” องครักษ์พูด “แต่สายเลือดเดียวที่สืบทอดความสามารถนี้มาก็คือนกฟีนิกซ์สวรรค์สร้างอมตะ อีกทั้งจอมราชันย์ของเราก็ไม่มีทายาท เขาจึงอนุญาตให้เผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์จัดการประลองในหมู่พวกเขาทุก 100 ปี เพื่อคัดเลือกทายาทที่ปราดเปรื่องที่สุดให้เข้าสู่แอ่งลาวาอมตะ ด้วยอำนาจของแอ่งลาวาอมตะ พวกเขามีโอกาสที่จะทำความเข้าใจแก่นสารอมตะได้สำเร็จ และด้วยรากฐานของแก่นสารอมตะ ทั้งวรยุทธและสถานภาพของคนเหล่านั้นจะพุ่งพรวด มีความเป็นไปได้สูงว่านักรบผู้นั้นจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้อย่างรวดเร็ว!”


“แอ่งลาวาอมตะ?” จางเซวียนประหลาดใจเล็กน้อย “สถานที่แห่งนั้นเสื่อมสภาพไปหลายสิบปีแล้วไม่ใช่หรือ?”


เขาเคยฟังเรื่องนี้จากจัวเฟิง


แอ่งลาวาอมตะเคยเป็นสถานที่บ่มเพาะกายเนื้อที่ดีที่สุดในสรวงสวรรค์ แต่ปัญหาเดียวก็คือมันเสื่อมสภาพไปและไม่อาจซ่อมแซมได้อีก จางเซวียนจึงต้องใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างแทน


“ผมก็ไม่รู้รายละเอียด แต่ต่อให้มันเสื่อมสภาพไปแล้ว พลังจิตวิญญาณในนั้นก็น่าจะยังอยู่ อีกอย่าง ในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณยังมีร่องรอยของจอมราชันย์ของเราด้วย ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์ต่อนักรบที่ได้ฝึกฝนวรยุทธในนั้น” องครักษ์ตอบ


จางเซวียนพยักหน้า


ยิ่งระดับวรยุทธสูงขึ้นเท่าไหร่ ผู้นั้นก็จะยิ่งมีความเข้าใจในสรวงสวรรค์อย่างล้ำลึกกว่าเดิม


จอมราชันย์เหนือชั้นจนถึงระดับที่แม้กิริยาท่าทางที่พวกเขาแสดงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็อาจกลายเป็นแรงบันดาลใจของนักรบคนอื่นๆได้ นักรบคนหนึ่งอาจนำไปพินิจพิจารณาได้ชั่วชีวิตเลยทีเดียว


สิ่งนี้ก็เหมือนกับการที่คำสอนของปรมาจารย์ขงถูกเหล่านักรบในทวีปแห่งปรมาจารย์ตีความผ่านทางของล้ำค่าชิ้นต่างๆที่เขาทิ้งไว้


ต่อให้แอ่งลาวาอมตะเสื่อมสภาพไปแล้ว แต่โอกาสในการได้ฝึกฝนวรยุทธเป็นเวลา 1 คืนในตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ยังคงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาวรยุทธของเหล่านักรบ


“ขอแค่เราได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ก็มีโอกาสพบลั่วชิง…” จางเซวียนกำหมัดแน่น


ตอนนี้ การซักถามรายละเอียดต่างๆของจอมราชันย์อมตะถือเป็นเรื่องยาก มีโอกาสที่เขาจะได้รับข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือและอาจทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากกว่าเดิม


ดังนั้น จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณด้วยตัวเองและได้เห็น ข้อเท็จจริงกับตา


เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบถาม “เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าทายาทที่ปราดเปรื่องที่สุดของสามตระกูลใหญ่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณใช่ไหม? แล้วพวกเขาคัดเลือกทายาทที่ปราดเปรื่องที่สุดกันอย่างไร?”


“แน่นอนว่าคัดเลือกโดยผ่านการประลอง” องครักษ์ตอบ “คุณมาทันเวลาพอดี การประลองที่มีขึ้นทุก 100 ปีจะถูกจัดขึ้นในอีก 5 วันจากนี้ แต่ละตระกูลจะคัดเลือกทายาทที่ปราดเปรื่องที่สุดของพวกเขาตระกูลละ 10 คนเพื่อเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประลอง ซึ่งผู้ที่ได้ชัยชนะจะได้รับสิทธิ์ให้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ส่วนการประลองจะมีรายละเอียดอย่างไรนั้น ผมเกรงว่าจะไม่รู้แน่ชัด แต่นั่นแหละ ข่าวนี้สร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ในเมืองหลวง ผู้คนมากมายพากันตั้งหน้าตั้งตารอ”


หลังจากซักถามอีก 2-3 ข้อ จางเซวียนก็พอจับทางของสถานการณ์ได้


ทุก 100 ปี จะมีนักรบเพียงคนเดียวที่ได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ การประลองจึงโหดหินไม่เบา ถือเป็นงานใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้มากมายทุกครั้ง


แม้แต่ในหมู่สมาชิกของ 3 ตระกูลใหญ่ ก็ยังมีเงื่อนไขของการที่ใครสักคนจะได้เป็นตัวแทน โดยระดับวรยุทธของพวกเขาจะต้องเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงเป็นอย่างน้อย อีกทั้งอายุไม่เกิน 30 ปีด้วย


แม้จะมีสายเลือดเหนือชั้นของเผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์ แต่เงื่อนไขเหล่านี้ก็จุกจิกพอที่จะกันผู้คนออกไปได้มากมาย


เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเก่งกาจราวปีศาจเหมือนกับจางเซวียน ไม่ใช่ทุกคนที่จะก้าวข้ามด่านคอขวดของตัวเองได้อย่างง่ายดาย


ยิ่งไปกว่านั้น สายเลือดของเขาจะต้องบริสุทธิ์พอ สติปัญญาก็ต้องอยู่ในระดับที่น่าพอใจด้วย เพราะคงเป็นการเสียโอกาสไปเปล่าๆหากผู้ชนะการประลองไม่อาจทำความเข้าใจแก่นสารอมตะได้


ถึงองครักษ์จะไม่แน่ใจว่ารูปแบบของการประลองเป็นอย่างไร แต่การทดสอบก็น่าจะออกมาในรูปแบบของการประเมินระดับวรยุทธ ความอดทน และไหวพริบ มีแต่ผู้ที่ผ่านเงื่อนไขทั้งหมดนี้เท่านั้นจึงจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นหนึ่ง


“ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา, สามตระกูลใหญ่ต่างเรียกเหล่าทายาทของพวกเขากลับเมืองหลวง เพื่อจะได้ทันเข้าร่วมการคัดเลือก” องครักษ์พูด


จางเซวียนพยักหน้า


เป็นธรรมดาที่เหล่าทายาทของตระกูลใหญ่จะเดินทางไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องกลับมารวมตัวกันเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญแบบนี้


จางเซวียนซักไซ้ต่อไป ซึ่งองครักษ์ก็ตอบเท่าที่เขารู้ เมื่ออีกฝ่ายกล่าวอำลา จางเซวียนจึงตั้งต้นออกเดินสำรวจเมือง


เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นเมืองลอยได้ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง มันไม่ได้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเมืองที่อยู่บนพื้นดิน จางเซวียนเดินลัดเลาะไปตามถนนขณะประมวลข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้รับมา


ก็เหมือนกับเผ่าพันธุ์มังกรของน่านฟ้ามังกรเมฆ เผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์คงจะมีทายาทอยู่มากมายทั่วทั้งสรวงสวรรค์ บางส่วนกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมขณะที่บางส่วนตัดสินใจตั้งรกรากที่อื่น ดังนั้นจึงไม่มีทาง จะติดตามชีวิตของทุกคนในตระกูลได้


พอจะเป็นไปได้ไหมหากเราจะใช้ตัวตนใหม่เหมือนกับหลัวเทียนหยาและแอบเข้าไปในตระกูลใดตระกูลหนึ่งเพื่อหาโอกาสเข้ารับการคัดเลือก?


 


ตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายหมื่นปีย่อมขยายใหญ่เกินกว่าจะบันทึกรายชื่อสมาชิกทุกคนไว้ในสารบบได้ สมาชิกบางคนอาจถูกสังหารขณะออกไปปฏิบัติภารกิจ บางคนอาจถูกกักขังอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือบางคนก็อาจประสบกับโชคดีครั้งใหญ่จนไม่ได้เดินทางกลับมา…


มีผู้คนมากมายที่รายชื่อของพวกเขาไม่ได้ถูกบันทึกไว้ แต่แท้ที่จริงยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้น่านฟ้ามังกรเมฆประกาศต่อชาวโลกว่าพวกเขาจะดำเนินมาตรการเข้มงวดจริงจังกับใครก็ตามที่ค้าขายหรือกักขังอสูรชนิดใดก็ตามที่มีสายเลือดมังกร โดยวัตถุประสงค์ของการทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องสมาชิกของพวกเขาที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทั้งสรวงสวรรค์ รวมทั้งนำตัวผู้ที่ตกหล่นกลับสู่ถิ่นฐานเดิม


นี่คือตัวตนที่สมบูรณ์แบบสำหรับจางเซวียนในการคว้าสิทธิ์ให้ได้เป็น 1 ใน 10 ตัวแทนของการประลองที่กำลังจะมาถึง


ขอแค่การตรวจสอบสายเลือดของเขาผ่านพ้นไปโดยไม่มีปัญหาใดๆ เขาก็จะปลอดภัย


ส่วนผู้ที่เขาควรปลอมตัวเป็นอีกฝ่าย…


นั่นคงไม่ใช่ปัญหา ตระกูลพวกนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตั้งต้นแกะรอยภูมิหลังของเขาอย่างไร!


“ตามนี้แหละ!”


จางเซวียนทบทวนแผนการอีกครั้ง แต่ไม่พบจุดอ่อนใด จึงตัดสินใจมุ่งหน้าสู่หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด-ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ


สิ่งปลูกสร้างในที่อยู่ในอาณาบริเวณของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟล้วนมีสีแดงก่ำ เกิดเป็นประกายล้อแสงอาทิตย์ ทั้งเมืองร้อนเร่าราวกับกองเพลิง ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มีวรยุทธระดับเทพเจ้าเป็นอย่างน้อย พวกเขาคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึง 1 นาที


แต่กายเนื้อของจางเซวียนได้รับการบ่มเพาะจากทะเลสาบจันทร์กระจ่าง ทำให้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง ความร้อนระดับนี้ยังอยู่ในวิสัยที่เขารับมือได้


ขณะที่เดินไปตามถนน จางเซวียนถามผู้คนที่ผ่านไปมาว่าตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟพำนักอยู่ที่ไหน ก่อนจะมุ่งหน้าไปตามนั้น


ไม่ช้าเขาก็มายืนอยู่หน้าคฤหาสน์ขนาดใหญ่ ที่นี่ไม่ต่างกับตระกูลฉี มีค่ายกลทรงพลังเรียงรายอยู่โดยรอบเพื่อป้องกันคนนอกไม่ให้รุกล้ำเข้าไปด้านใน


จางเซวียนไม่ได้พยายามฝ่าค่ายกล เขาตรงไปที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ตรงข้ามกับคฤหาสน์


องครักษ์ที่เขาคุยด้วยเมื่อครู่นี้ไม่รู้เรื่องข่าวสารบ้านเมืองหรือเรื่องราวของสามตระกูลใหญ่มากนัก ซึ่งก็เป็นอย่างที่ใครๆพูดกัน สถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเสาะหาข้อมูลก็คือโรงเตี๊ยมที่ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศและทุกสาขาอาชีพมารวมตัวกัน


เขาน่าจะหาข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์ในอนาคตได้จากที่นี่ อย่างน้อยที่สุด จะได้ไม่อับจนปัญญาเกินไปหลังจากเข้าสู่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟแล้ว


จางเซวียนเลือกที่นั่งข้างหน้าต่าง และสั่งไวน์กับเนื้อมาละเลียดอย่างสบายใจ


ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูคฤหาสน์ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็เปิดออก ร่างหนึ่งสะดุดก่อนจะล้มกลิ้งไปกับพื้น


“ไสหัวไป!”


จากนั้น ชายหนุ่มสองคนก็เดินออกมาด้วยทีท่าวางก้าม


ชายหนุ่มที่สะดุดล้มกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เขาจ้องหน้าชายทั้ง 2 คนอย่างโกรธเกรี้ยว “ฝงเชา ฝงเชียง พวกคุณทำเกินไปแล้วนะ!”


ชายหนุ่มคนนั้นมีอายุราว 20 ต้นๆ สิ่งหนึ่งที่เห็นโดดเด่นคือปานแดงที่หว่างคิ้ว สีหน้าของเขาซีดเผือดอย่างหนัก บ่งบอกว่าสภาพร่างกายไม่ดีนัก

 

 

 


ตอนที่ 2261 เจตนาสังหาร?

 

“ทำเกินไป?” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าฝงเชาคำรามเยาะ “ฝงจิ่วเกอ คุณคิดว่าตัวเองอยู่ในสมัยเมื่อสองปีที่แล้วหรือไง? ตอนนี้คุณไม่ได้เป็นอัจฉริยะแบบเมื่อก่อนแล้ว! สายเลือดของคุณก็เหือดแห้งไปหมด ยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าถูกเตะโด่งออกจากตระกูลสายหลัก? อย่าทำให้พวกเราเสียเวลาดีกว่า ไสหัวไปซะ!”


“เมื่อสองปีก่อนน่ะ คุณทั้งแข็งแกร่งและปราดเปรื่อง พวกเราไม่ต่างอะไรกับมดเมื่อเปรียบเทียบกับคุณ แต่ตอนนี้คุณมันก็แค่ขยะไร้ค่า รีบออกไปจากที่นี่ให้ไว ต่อให้พวกเราโยนคุณใส่กรงขังอสูร ก็ไม่มีใครช่วยแก้ต่างให้หรอกนะ!” ฝงเชียงคำราม


ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าฝงจิ่วเกอกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ สีหน้าของเขาบ่งบอกความท้อแท้ แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เขาออกจากตรงนั้นไปอย่างเงียบๆ


“น่าเสียดาย”


“ก็รันทดอยู่นะ ใช่ไหม? ฝงจิ่วเกอคืออัจฉริยะที่เก่งกาจที่สุดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเมื่อหลายปีก่อน แต่อุบัติเหตุครั้งหนึ่งทำให้สายเลือดของเขาถูกทำลาย ในชั่วพริบตา เขาก็ไม่อาจยกระดับวรยุทธของตัวเองได้อีก แถมร่างกายก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ไม่ช้าก็คงถูกเตะโด่งออกจากตระกูลสายหลัก กลายเป็นคนที่ใครๆก็เหยียดหยามได้!”


“พวกตระกูลใหญ่ๆก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าคุณแข็งแกร่งและปราดเปรื่องพอ ก็จะได้เป็นสมาชิกสายหลักที่ทุกคนเคารพยกย่อง แต่ถ้าไม่ ก็ไร้ความสำคัญอย่างสิ้นเชิง”


“จากการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ แม้แต่ตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็ต้องเผชิญกับการขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลสายหลักจะได้รับทรัพยากรในปริมาณจำกัดมาก ความสำเร็จจึงลดน้อยถอยลงตามไปด้วย นี่คือความเป็นจริงอันโหดร้ายของโลกใบนี้!”


หลายคนในโรงเตี๊ยมเห็นภาพที่เพิ่งเกิดขึ้น พวกเขาตั้งต้นกระซิบกระซาบกัน


หลังจากนั่งฟังครู่หนึ่ง จางเซวียนก็พอเข้าใจที่มาที่ไป


2 ปีก่อน ฝงจิ่วเกอคือดาวดวงเด่นที่เจิดจรัสที่สุดในตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ความสามารถในการทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้ของเขายังเหนือชั้นกว่านักรบรุ่นเดียวกัน ทำให้เป็นคนที่มีแต่ใครๆจับตามอง


แต่โชคชะตาก็มักเล่นตลก


ในการออกไปปฏิบัติภารกิจครั้งหนึ่ง เขาเผชิญกับบางอย่างที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงเท่านั้น สายเลือดของเขายังถูกกำจัดออกไปจากร่างกายด้วย มันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


ทันทีที่ทางตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟรู้เรื่องนี้ ปริมาณทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่เขาเคยได้รับก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ หลายคนตั้งคำถามเรื่องสถานภาพของเขาภายในตระกูล


เมื่อ 2-3 วันก่อน มีการตรวจสอบสายเลือดของเขาอีกครั้ง ซึ่งผลก็ออกมาว่าความบริสุทธิ์ของสายเลือดของเขาเบาบางเสียจนเทียบไม่ได้แม้แต่กับสมาชิกทั่วไปในครอบครัวสาขา


ด้วยเหตุนี้ ฝงจิ่วเกอจึงถูกขับออกจากตระกูลสายหลัก แทบจะเรียกได้ว่าถูกขับออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟด้วย


เพราะไม่อาจทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ฝงจิ่วเกอพยายามทักท้วง แต่แล้วก็ถูกฝงเชากับฝงเชียงไล่ออกมา เกิดเป็นภาพอย่างที่เห็นเมื่อครู่


“เมื่อครั้งที่เขายังเป็นดาวดวงเด่นที่สุดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ทุกคนแทบจะพลีกายถวายหัวประจบประแจงและเอาใจเขา เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในโผของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าต่างเห็นเขาเหมือนน้องชาย ส่วนฝงเชากับฝงเชียงก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผูกมิตร แต่เมื่อฝงจิ่วเกอหมดความรุ่งโรจน์ ทั้งสองก็เป็นคนแรกที่หันหลังให้เขา!”


“โลกก็เป็นแบบนี้แหละ สุนัขรับใช้ที่ว่าง่ายและเงียบหงิมที่สุดมักจะกัดเจ็บที่สุดเมื่อเจ้านายของมันตกอับ!”


ฝูงชนพากันส่ายหน้า


ผู้ที่ไร้ความแข็งแกร่งก็แทบจะไร้ตัวตนในสวนสวรรค์


โลกก็เป็นแบบนี้ ไม่มีใครปฏิเสธได้


ระหว่างที่หลายคนยังพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ฝงจิ่วเกอที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม แล้วทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างจากจางเซวียนมากนัก เขากระดกไวน์อึกใหญ่โดยไม่พูดอะไรสักคำ


ผู้ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะตัวฉกาจก็ไม่ได้ทรงพลังเท่าไหร่ วรยุทธของเขาคือเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำเท่านั้น พลังปราณก็เบาบางและอ่อนแอมาก เท่าที่เห็น ระดับวรยุทธของเขาน่าจะลดลงอีก


สงสัยเหลือเกินว่าเขาเจออะไรมา วรยุทธถึงได้ตกฮวบแบบนี้…


จางเซวียนไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจฝงจิ่วเกอเสียทีเดียว แต่นึกฉงนกับสถานการณ์ของอีกฝ่าย


โดยทั่วไป เว้นเสียแต่นักรบจะได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ทางเดินพลังปราณหรือจุดตันเถียน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่วรยุทธของพวกเขาจะลดฮวบแบบนี้


จางเซวียนดูออกว่าสิ่งที่ผู้คนซุบซิบกันน่าจะเป็นเรื่องจริง ดูเหมือนเมื่อครั้งรุ่งโรจน์สุดขีด ฝงจิ่วเกอน่าจะเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง แต่ตอนนี้ ไม่ช้าเขาก็คงร่วงจากวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง…


ตอนนั้นเขาเจออะไรถึงกลายเป็นแบบนี้?


ขอดูหน่อยเถอะ


จางเซวียนเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อพิจารณาชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วน ครู่ต่อมาก็ขมวดคิ้ว


เจตนาสังหาร?


ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขามีกระแสเจตนาสังหารเข้มข้นอยู่ภายในร่างกาย แม้อีกฝ่ายจะปกปิดไว้อย่างดี แต่ก็ไม่ดีพอจะหลบหลีกการตรวจจับของดวงตาหยั่งรู้


นักรบผู้ช่ำชองสนามรบส่วนใหญ่มักมีกระแสเจตนาสังหารระดับหนึ่งฝังอยู่ในร่างกาย เหมือนกับจัวเฟิง แต่เจตนาสังหารในร่างของฝงจิ่วเกอกลับเหมือนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจนน่าประหลาด


ไม่น่าเชื่อว่าฝงจิ่วเกอ, ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้จะมีเจตนาสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ในตัว!


สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนเกิดความอยากรู้มากขึ้นอีก


เพราะผ่านมาแล้วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ มิติเบื้องบน และสรวงสวรรค์ จางเซวียนจึงเข้าใจดีว่าความแตกต่างของระดับพลังจิตวิญญาณส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมต่างๆกันมากแค่ไหน


ความแตกต่างข้อใหญ่ของทั้ง 3 โลกคือความเสถียรของกฎเกณฑ์แห่งมิติและเวลา รวมถึงความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณ


โดยภาพรวม ระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่ต่างกันส่งผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบ นั่นคือเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในสรวงสวรรค์มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แต่กำเนิด ฝึกฝนวรยุทธอีกเพียงเล็กน้อยก็ได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้า


ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็มีเจตนาสังหารเข้มข้นอยู่ในร่างกาย ทำให้ดุร้ายและกระหายเลือด แต่การซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทในมิติเบื้องบนทำให้เจตนาสังหารเข้มข้นในร่างกายของพวกมันถูกเจือจางไปมาก


พลังจิตวิญญาณในสรวงสวรรค์ก็คงมีอานุภาพแบบเดียวกัน


ยกตัวอย่างหลิวหยาง ทั้งที่เป็นอำมาตย์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่นับตั้งแต่มาถึงสรวงสวรรค์ หลิวหยางก็พบว่าไม่ว่าจะพยายามฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายแบบย้อนกลับมากแค่ไหน ก็ไม่อาจสร้างเจตนาสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจขึ้นใหม่ได้


นี่หมายความว่าพลังจิตวิญญาณในสรวงสวรรค์มีอานุภาพเกินพอที่จะเจือจางเจตนาสังหารในร่างกายของเขา


จึงออกจะน่าแปลกที่ฝงจิ่วเกอมีกระแสเจตนาสังหารเข้มข้นขนาดนั้นอยู่ในร่างกาย


จางเซวียนหันไปมองคฤหาสน์ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟซึ่งมีองครักษ์อารักขาอยู่ด้านนอก การใช้ดวงตาหยั่งรู้ทำให้เขาดูออกว่าคนเหล่านั้นมีสายเลือดเดียวกันกับฝงจิ่วเกอ แต่ไม่มีเจตนาสังหารเจือปน


นกฟีนิกซ์สวรรค์สร้างอมตะคือบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์ เช่นเดียวกันกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกอะไรที่ทายาทของเขาจะมีกระแสเจตนาสังหารอยู่ในตัว…


แต่สิ่งที่แปลกก็คือมีแต่ฝงจิ่วเกอเท่านั้นที่มีเจตนาสังหาร


อะไรทำให้เขามีความพิเศษแบบที่นักรบรุ่นเดียวกันไม่มี?


จางเซวียนพินิจพิจารณาฝงจิ่วเกออีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจใช้ดวงตาหยั่งรู้ระบุสาเหตุของความผิดปกตินี้ได้ จึงถือแก้วไวน์ของตัวเองและเดินไปที่โต๊ะของฝงจิ่วเกอ


เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามชายหนุ่ม จากนั้นก็กระดกไวน์ของตัวเองโดยไม่พูดอะไร


เห็นจางเซวียนมาอยู่ตรงหน้า ฝงจิ่วเกอขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เขาโบกมือขณะคำราม “ออกไปซะ! ผมอาจเป็นขยะของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ แต่ไม่ใช่คนที่ใครจะมาเห็นเป็นตัวตลก!”


“ผมบังเอิญรู้เรื่องการประลองในตระกูลที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ จึงรีบเดินทางมายังเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดและบังเอิญได้ยินเรื่องเมื่อครู่ของคุณ ไม่ต้องห่วงน่ะ ผมไม่มีเจตนาร้าย แค่อยากมีเพื่อนดื่มเท่านั้น” จางเซวียนตอบอย่างจริงใจ


“คุณก็เป็นสมาชิกของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟหรือ?” ฝงจิ่วเกอเงยหน้ามองจางเซวียนอย่างสงสัย


“จะพูดอย่างนั้นก็ได้” จางเซวียนตอบโดยไม่อธิบายเพิ่มเติม เขาโน้มตัวเข้ามาเล็กน้อยและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “ผมรู้สึกได้ว่ารากฐานวรยุทธของคุณมั่นคงมาก และในร่างกายก็ไม่มีอาการบอบช้ำที่เห็นได้ชัด แต่ทำไมวรยุทธของคุณจึงถดถอย?”


“ฮึ่มมมม!”


ฝงจิ่วเกอกำลังจะเริ่มรู้สึกดีกับชายหนุ่ม ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายแล่เนื้อทาเกลือบาดแผลของเขาอีกครั้ง สีหน้าของฝงจิ่วเกอเคร่งเครียดขึ้นมาทันที


วรยุทธของเขาอาจถดถอย แต่สายตายังเฉียบคมอยู่


เขาดูออกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีพละกำลังมากกว่าตัวเขาในสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดเสียอีก ซึ่งถ้าไม่เป็นอย่างนั้น เขาคงปรี๊ดแตกใส่อีกฝ่ายแล้ว


“คุณก็คิดมากไป นอกจากเป็นสมาชิกของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ ผมยังเป็นนายแพทย์ชื่อดังด้วย พูดตามตรงก็แล้วกัน ผมเข้ามาคุยกับคุณเพราะรู้สึกว่าสภาวะของคุณแปลกประหลาดมาก แต่นั่นแหละ ผมเชื่อว่าผมช่วยคุณได้”


เห็นความระแวงของฝงจิ่วเกอ จางเซวียนนำตราสัญลักษณ์การเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ให้ชายหนุ่มดู ชื่อเจ้าของตราสัญลักษณ์และความสำเร็จที่ทำให้เขามีสิทธิ์ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ถูกจารึกไว้บนนั้น


ฝงจิ่วเกอจ้องดูตราสัญลักษณ์ เขาหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองจางเซวียนอีกครั้ง แต่คราวนี้นัยน์ตาของเขาเป็นประกายตื่นเต้น


ในฐานะผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมาชิกสายหลักของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ เขารู้ดีว่าการได้สิทธิ์เข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่นั้นยากเย็นแค่ไหน แม้เมื่อครั้งที่เขามีพละกำลังสูงสุด ก็ยังปฏิบัติภารกิจนี้ไม่สำเร็จ


แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าทำได้โดยใช้ทักษะการรักษาโรคของเขา


นั่นหมายความว่าทักษะการรักษาโรคของอีกฝ่ายถือเป็นแนวหน้าของทั้งเก้าน่านฟ้า


“ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ฝงจิ่วเกอตอบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ


“ตั้งแต่ภารกิจครั้งนั้น ผมรู้สึกเหมือนมีรูพรุนอยู่ทั่วร่าง ไม่ว่าจะพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณแค่ไหนก็เก็บมันไว้ในตัวไม่ได้ นั่นยังไม่หมดนะ ระดับวรยุทธของผมยังค่อยๆถดถอยด้วย…ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา วรยุทธของผมตกต่ำลงเรื่อยๆจนอยู่ในสภาพแบบนี้!”


“คุณเก็บพลังจิตวิญญาณไว้ในตัวไม่ได้?” จางเซวียนพยักหน้า “ช่วยออกหมัดพื้นฐานให้ผมดูหน่อยได้ไหม?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)