ข้ามกาลบันดาลรัก 225.1-226.3
ตอนที่ 225-1 ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลี...
บุตรชายหลิวต้าเป่าเห็นอาการเข้าขั้นวิกลจริตของสะใภ้หลิวกุ้ย ตกใจคว้ามือหลิวต้าเป่าไว้แน่น ห่อหดตัวเข้าไปหลบหลังเขา
หลิวต้าเป่าเจ็บปวดใจยิ่ง ไม่แม้แต่จะสนใจมารดา หมุนตัวพาบุตรชายกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
สะใภ้หลิวกุ้ยโมโหสุดขีด กรีดร้องพ่นเสียงระคายหูดั่งอีกา “หย่ากับนังตัวซวยนั่นเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนี้ไม่ต้องมานับว่าข้าเป็นแม่อีก”
บุตรชายหลิวต้าเป่ายิ่งให้กลัวตัวสั่น กำมือเขาแน่นกว่าเดิม
หลิวลี่ราวกับไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกภายในบ้าน ยังคงนอนบนเตียงอย่างเลื่อนลอย ไม่โมโหโกรธเกี้ยวใดๆ
สะใภ้หลิวกุ้ยร้องโวยวายเสร็จ เห็นสภาพของบุตรสาว กลับไปนั่งข้างเตียงอีกครั้ง ร่ำไห้โศกา “ลูกที่น่าสงสารของแม่ จะทำอย่างไรดี เรื่องการแต่งงานที่น่ายินดีของเจ้าหมดสิ้นแล้ว”
หลิวกุ้ยได้ยินคำพูดว่าหมดสิ้นแล้วของนาง ให้เกิดความชิงชัง พูดตวาดนาง “หุบปาก ไม่เห็นหรือว่าลี่เอ๋อร์สภาพจิตใจย่ำแย่ ให้นางสงบสติอารมณ์ก่อน”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสะใภ้หลิวกุ้ยได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไป หรือเพราะความหวังของตนเองไม่เหลือแล้ว ความคับแค้นใจไม่ได้ระบายออก พอได้ยินหลิวกุ้ยตวาดใส่ ไม่เพียงไม่หวาดกลัว กลับสติหลุดอีกครั้ง “ข้าจะพูดเช่นนี้จะทำไม เพราะเจ้าที่ไร้น้ำยา ถูกคนขี่คอถ่ายอุจจาระยังไม่รู้จักตอบโต้…”
“เพี๊ยะ!” ยังพูดไม่จบ ก็ถูกหลิวกุ้ยตวัดฝ่ามือเข้าให้อย่างจัง
สะใภ้หลิวกุ้ยถูกตบจนมึน กุมใบหน้ายืนตะลึงค้างอึดใจหนึ่งถึงได้สติกลับมา “ว๊าก” เปล่งเสียงร้องสองมือร่ายรำฟ้อนเล็บใส่หลิวกุ้ย “เจ้ากล้าตบข้า วันนี้ข้าขอสู้ตายกับเจ้า”
หลิวกุ้ยไม่ทันป้องกันตัว ถูกข่วนเข้าที่ใบหน้า รู้สึกเจ็บแสบร้อนที่ใบหน้าฉับพลัน เพลิงโทสะลุกพรึบ ตวัดฝ่ามือใหญ่ ตบเข้าใส่สะใภ้หลิวกุ้ยไม่ยั้ง
ทั้งสองตบตีกับอุตลุด
สาวใช้ที่ยืนอีกด้าน หันหน้ามองกัน ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปแยกพวกเขาออกหรือไม่
ในที่สุดหลิวลี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง “พรึ่บ” ถลึงตัวลุกขึ้นนั่ง แผดเสียงร้องแหลม “หากพวกท่านยังไม่หยุด ข้าจะตายให้พวกท่านดูเดี๋ยวนี้”
สะใภ้หลิวกุ้ยได้ยินเสียงนางหยุดมือทันควัน หันกลับไปข้างเตียง พูดอย่างปลื้มปริ่ม “ลี่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็เปิดปากพูดแล้ว”
หลิวลี่เห็นสภาพใบหน้าบวมครึ่งซีก ผมเผ้ายุ่งเหยิงของนาง ขมวดคิ้วเดียดฉันท์ ทิ้งตัวลงนอนโดยไม่ปริปากอีก
สะใภ้หลิวกุ้ยก็ไม่ว่าอะไร นั่งพูดพร่ำฟังไม่ได้ศัพท์ “ลี่เอ๋อร์เอ๊ย แม่จะบอกให้นะ เรื่องนี้จะให้จบเช่นนี้ไม่ได้ พอเจ้ากลับไป จะต้องบอกท่านน้าชายเจ้า ให้เขาส่งคนมาฆ่านังสารเลวเมิ่งเชี่ยนโยว”
หลิวลี่ถลึงตัวลุกพรวดอีกครั้ง “ท่านพูดง่ายดายนัก ข้ามีสภาพเช่นนี้จะกลับไปอย่างไร? หากให้ท่านน้าชายรู้ว่าข้าทำฟันหลุดหนึ่งซี่ การแต่งงานที่เมืองหลวงก็หมดหวังแล้ว พวกเขาจะต้องไล่ข้าออกไปขอทานข้างถนน”
สะใภ้หลิวกุ้ยตกใจตัวโยน “ลี่เอ๋อร์ เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร ท่านน้าหญิงปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงบุตรสาวในไส้ จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร”
หลิวลี่แค่นหัวเราะ พูดเยาะหยัน “ปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงบุตรสาวในไส้? นั่นเพราะพวกเขาต้องการใช้ข้าเป็นบันไดสู่ขุนนางใหญ่ หากข้าไม่มีคุณค่าให้หลอกใช้ ท่านคิดว่าพวกเขาจะยังดีต่อข้าเช่นนี้หรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร นางเป็นน้าแท้ๆ ของเจ้านะ?” สะใภ้หลิวกุ้ยเร่งเร้าพูด
หลิวลี่หัวเราะเหยียดหยัน “น้าแท้ๆ น้องสาวท่านมีธาตุแท้อย่างไรท่านไม่รู้หรือ พวกเขาเสวยสุขบนลาภยศสรรเสริญมานานหลายปี เคยคิดถึงท่านสักนิดหรือไม่ หากไม่เพราะพวกเขาไม่มีบุตรสาว ประจบสอพลอพวกคนเบื้องบนไม่ได้ พวกเขายังจะจำได้หรือว่าข้าเป็นใคร พูดให้น่าฟัง พวกเขาเห็นแก่เครือญาติ ช่วยท่านมารับข้าไปเลี้ยงดู ช่วยหาคู่ครองที่ดีให้ข้า ความจริงข้าเป็นเพียงเครื่องมือให้พวกเขาปีนป่ายให้สูงขึ้นก็เท่านั้น”
สะใภ้หลิวกุ้ยไม่เชื่อ ส่ายหน้าคลุ้มคลั่ง “ไม่มีทางๆ ท่านน้าเจ้าไม่มีทางทำเช่นนั้น”
หลิวลี่เบ้ปากเอนตัวลงนอน
สาวใช้ข้างๆ ได้ฟังคำพูดของหลิวลี่ ตกใจจนไม่กล้าหายใจแรง ห่อหดร่างยืนนิ่ง
หลิวกุ้ยก็ไม่โมโหแล้ว กุมศีรษะย่อตัวนั่งยองด้วยความเสียใจ
ด้านนอกเกิดความวุ่นวายโกลาหล หลิวต้าเป่ากลับไม่ว่างแยแส ในตอนนี้กำลังซักถามภรรยาที่ร้องไห้ตาแดงก่ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
สะใภ้หลิวต้าเป่าไม่ได้ตอบ น้ำตาไหลอาบพร่างพรูไม่ขาดสาย
หลิวต้าเป่าร้อนใจถามบุตรชายตัวเอง
คนโตอายุได้ห้าขวบแล้ว พูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ออกมาอย่างไม่ตกหล่น ทั้งบอกหลิวต้าเป่าว่า นี่ไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่ท่านย่าร้องด่ามารดาตนเช่นนี้ ทุกครั้งนางจะร้องด่าเป็นนาน
หลิวต้าเป่าฟังแล้วปวดใจยิ่งนัก ตำหนิภรรยาเหตุใดถึงไม่บอกตนเอง
สะใภ้หลิวต้าเป่าสะอึกสะอื้นตอบกลับว่า “อย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่ ปกติจะด่าว่าบ้างก็ไม่เป็นไร ข้ายังทนได้ แต่วันนี้พวกเขาทำเกินไปแล้ว ด่าว่าข้าสาดเสียเทเสียต่อหน้าคนมากมาย หากไม่เพราะเห็นแก่ที่ลูกทั้งสองยังเด็ก ข้าคงโหม่งศีรษะจบชีวิตไปแล้ว”
หลิวต้าเป่าตกใจตัวลอย รีบปลอบใจนาง “เจ้าวางใจ มีข้าอยู่ ต่อไปจะไม่ให้เจ้าต้องถูกรังแกอีก”
สะใภ้หลิวต้าเป่าสะอึกสะอื้นไม่หยุด “ท่านกลับบ้านเดือนละครั้ง จะปกป้องข้าได้อย่างไร กลับจะยิ่งทำให้ท่านแม่ขวางหูขวางตาข้า”
หลิวต้าเป่าจนใจ ทำได้เพียงปลอบประโลมเสียงแผ่ว
บุตรชายคนเล็กดึงแขนเขา พูดวิงวอน “ท่านพ่อ พวกเราไม่อยู่บ้านท่านย่าแล้วได้หรือไม่ ข้ากลัว”
สะใภ้หลิวต้าเป่าได้ยินคำพูดบุตรชายคนเล็ก ให้ขมขื่นทุกข์ตรม ฝืนทนต่อไปไม่ไหว ร่ำไห้น้ำตานองอีกครั้ง
กลับมาพูดถึงสะใภ้หลิวกุ้ยพอได้ยินคำกล่าวของหลิวลี่ คิดว่าเรื่องมงคลของบุตรสาวจะต้องจบสิ้นเพียงเท่านี้ เพลิงโทสะในใจก็พลุ่งพล่าน กำลังคิดจะหาที่ระบาย เสียงโหยไห้ของสะใภ้หลิวต้าเป่าก็ดังลอยเข้ามากระทบโสตประสาท มวลโทสะอัดแน่นเต็มอกหาที่ระบายออกได้พลัน นางถลึงตัวลุกขึ้น เดินไปหน้าประตูห้องหลิวต้าเป่าอย่างเกรี้ยวกราด ไม่แม้แต่จะเคาะบอก ผลักประตูเดินจังกาเข้าไป ทึ้งผมสะใภ้หลิวต้าเป่าตบเต็มแรงเข้าที่ใบหน้า “วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ดูว่านังตัวซวยอย่างเจ้ายังจะร้องไห้ได้อีกไหม?”
สะใภ้หลิวต้าเป่าเจ็บปวด ยื่นมือออกไปคิดจะยื้อผมตัวเองกลับ
สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งลงมือทวีความดุร้าย “ยังกล้าตอบโต้ข้า วันนี้หากไม่ตีเจ้าให้ตาย ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้า”
หลิวต้าเป่าตกใจตาค้างกับปฏิกิริยาฉับพลันของนาง หลังจากได้สติกลับมารีบเข้าไปคว้ามือสะใภ้หลิวกุ้ย “ท่านแม่ ปล่อยเดี๋ยวนี้”
เด็กน้อยสองคนตกใจร้องไห้จ้า
สะใภ้หลิวกุ้ยที่มีแต่ความเคียดแค้นสุ่มเต็มอก คิดแต่จะตีสะใภ้หลิวต้าเป่าให้ตาย ไฉนเลยจะยอมวางมือ กลับผลักหลิวต้าเป่าออกไปอีกด้าน “ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไสหัวไป”
หลิวต้าเป่าถูกผลักโซซัดโซเซ จิตใจร้อนรน เข้าไปคว้าแขนสะใภ้หลิวกุ้ยอีกครั้ง “ท่านแม่ หากท่านไม่รามือ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจท่านนะ”
สะใภ้หลิวกุ้ยหันควับถามกลับอย่างไม่เชื่อ “ต้าเป่า เมื่อครู่เจ้าพูดกับแม่ว่าอย่างไรนะ?”
หลิวต้าเป่าพูดซ้ำอย่างมีน้ำโห “ข้าบอกว่า หากท่านไม่ปล่อยมือ ข้าจะไม่เกรงใจท่านแล้ว”
สะใภ้หลิวกุ้ยมองหลิวต้าเป่าอย่างไม่เชื่อ ปล่อยมือที่คว้าสะใภ้หลิวต้าเป่าไว้
หลิวต้าเป่ารีบเข้าไปปกป้องภรรยาไว้ด้านหลัง เด็กน้อยสองคนก็หวาดผวาเข้าไปหลบด้านหลังเขา
บุตรชายที่ตัวเองลำบากเลี้ยงดู รักยิ่งกว่าไข่ในหินกลับคิดจะลงไม้ลงมือกับแม่เพื่อภรรยาตัวเอง สะใภ้หลิวกุ้ยปวดร้าวระทมใจ นั่งก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้น ร้องไห้ฟูมฟาย “ชีวิตข้าช่างรัดทนนัก มีลูกอกตัญญู พอมีภรรยาก็ลืมแม่ ทั้งจะช่วยนังตัวซวยจัดการแม่ตัวเอง”
หลิวต้าเป่าไม่ตกหลุมพรางนี้ ไม่เพียงไม่เดินเข้าไปประคองนาง กลับแอ่นอกพูดข่มขู่นาง “หากท่านยังปฏิบัติต่อภรรยาข้าเช่นนี้อีก ข้าจะพาพวกเขาสามคนไปอยู่ในเมือง ไม่กลับมาที่นี่อีก”
“ไป ไสหัวไปให้หมด แน่จริงก็ไม่ต้องกลับมาอีกเลย” สะใภ้หลิวกุ้ยก็โมโหเลือดขึ้นหน้าแล้ว โพล่งปากร้องคำรามเหมือนคนเสียสติ
หลิวต้าเป่าก็อวดดีไม่ยอม “ดี ท่านเป็นคนพูดเองนะ ข้าจะพาพวกเขาไปเดี๋ยวนี้ ท่านอย่าได้เสียใจเล่า” พูดจบ หันไปพูดกับภรรยาตนเอง “เจ้าไปเก็บข้าวของ พวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้”
สะใภ้หลิวต้าเป่าลอบยินดี หยุดร่ำไห้ เดินไปข้างเตียง หยิบห่อผ้าหนังออกมา ลงมือเก็บเสื้อผ้าของตนเองและลูกๆ
“เจ้าจะไปก็ได้ แต่เอาเงินสองตำลึงที่น้องสาวเจ้าให้เมื่อเช้าคืนมาก่อน” สะใภ้หลิวกุ้ยร้องโวยวาย
สะใภ้หลิวต้าเป่าหยุดชะงัก หยิบเงินที่เด็กๆ วางไว้บนโต๊ะวางใส่มือหลิวต้าเป่า แล้วเก็บข้าวของต่อ
สะใภ้หลิวกุ้ยลุกขึ้นพรวด ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าเงินมา หลิวต้าเป่ากลับชักมือกลับ “นี่เป็นเงินที่น้องสาวให้เด็กทั้งสองคน ท่านมีสิทธิ์อะไรมาเอาไป?”
สะใภ้หลิวกุ้ยจับมือเขาไว้ พยายามง้างมือเขาออก “ตอนนี้ลี่เอ๋อร์มีสภาพเช่นนี้แล้ว หากไม่ได้กลับไป ต้องเก็บเงินนี้ไว้ใช้สำรอง จะให้คนเนรคุณอย่างพวกเจ้าเปล่าๆ ได้อย่างไร?”
หลิวต้าเป่ากำเงินแน่นไม่ยอมปล่อย
สะใภ้หลิวกุ้ยง้างมือเขาไม่ออก บันดาลโทสะ กัดหมับลงไป
หลิวต้าเป่าเจ็บเปล่งเสียงร้องดัง “โอ๊ย” แล้วสะบัดแขนโดยอัตโนมัติ ไม่คิดว่าแรงสะบัดจะทำสะใภ้หลิวกุ้ยถอยหลังไปหลายก้าว “ปัง” ศีรษะชนเข้ากับขอบประตู
สะใภ้หลิวต้าเป่าตกใจมือสั่น หยุดเก็บเสื้อผ้า ใบหน้าหวาดผวามองแม่สามีที่ชนขอบประตูจนมึนงง
หลิวต้าเป่าไม่คิดว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เข้าไปถามอย่างเป็นห่วง “ท่านแม่ ท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
สะใภ้หลิวกุ้ยศีรษะกระแทกจนมึนตื้อ ครู่หนึ่งถึงค่อยคลายลง กุมศีรษะตัวเองแผดเสียงกรีดร้อง “ลี่เอ๋อร์เอ๊ย เจ้ารีบมาดู แม่จะถูกคนใจโหดอำมหิตนี้ฆ่าตายแล้ว”
หลิวลี่ที่นอนซังกะตายเหมือนซากศพอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงร้องตะโกนของนาง พูดด้วยความรำคาญ “ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องขายหน้าคนอื่นอีก”
ได้ยินคำพูดของหลิวลี่ สะใภ้หลิวกุ้ยมึนงงกว่าเดิม ไม่ร้องโวยวายแล้ว อ้าปากยืนตะลึงค้างราวกับรูปปั้นก็ไม่ปาน
สะใภ้หลิวต้าเป่าไม่กล้าเก็บของแล้ว แอบย่องเข้าไปหลบหลังหลิวต้าเป่า
เสียงชั่วร้ายของหลิวลี่ดังลอยแทรกประตูเข้ามาอีกครั้ง “หากไม่เพราะท่านพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ยุยงให้ข้าไปคิดบัญชีกับเมิ่งเชี่ยนโยว ฟันข้าจะกระแทกหลุดหรือ? ตอนนี้ดีแล้ว งานแต่งงานข้าไม่เหลือแล้ว ท่านดีใจแล้วสิ ข้าขอบอกท่าน พี่ใหญ่ฆ่าท่านดีก็ดี ท่านตายแล้ว พวกเราทั้งครอบครัวจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที”
สะใภ้หลิวกุ้ยราวกับคนบ้าใบ้ ไม่ขยับเขยื้อน
หลิวกุ้ยยังคงกุมขมับนั่งยองไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
อย่างไรก็เป็นมารดาที่ทะนุถนอมเลี้ยงดูตนเองมาจนเติบใหญ่ หลิวต้าเป่าเริ่มทนไม่ไหว คิดจะพูดปลอบใจ อ้าปากร้องตะโกน “ท่านแม่!”
สะใภ้หลิวกุ้ยถูกปลุกตื่นจากภวังค์ ร้องไห้โหออกมา “ชีวิตข้าช่างอาภัพนัก เลี้ยงคนเนรคุณอย่างพวกเจ้าสองคน…”
หลิวลี่ยิ่งให้งุ่นง่านใจ ออกคำสั่งสาวใช้ “พวกเจ้าลากตัวนางออกไป ยิ่งไกลยิ่งดี อย่าให้ข้าได้ยินเสียงนางอีก”
บรรดาสาวใช้หันหน้ามองกัน ไม่มีใครขยับ
ตอนที่ 225-2 ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลี...
หลิวลี่ยิ่งเดือดดาล ทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากเตียง ใบหน้าโกรธเกรี้ยวบิดเบี้ยวพูดว่า “ทำไม แม้แต่พวกเจ้าก็ไม่เชื่อฟังข้าแล้วเรอะ เชื่อไหมว่าข้าตีพวกเจ้าให้ตายตอนนี้ได้เลย?”
บรรดาสาวใช้ตกใจตัวสั่นระริก วิ่งออกไปพร้อมกัน ฉุดกระชากลากถูสะใภ้หลิวกุ้ยมายังลานบ้าน
สะใภ้หลิวกุ้ยไหนเลยจะเชื่อฟังแต่โดยดี ร้องไห้ฟูมฟายก่นด่า
เสียงเดือดดาลของหลิวลี่ดังลอยออกมา “พวกเจ้าไม่มีสมองหรือไร? อุดปากนางซะ”
สาวใช้คนหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าติดตัวของตัวเอง ยัดอุดปากสะใภ้หลิวกุ้ย สาวใช้อีกสองสามคนพยายามกดแขนที่ดิ้นรนขัดขืนไม่หยุดของนาง
ไม่มีเสียงร้องอาละวาดของสะใภ้หลิวกุ้ย ลานบ้านเงียบสงบไม่น้อย
หลิวต้าเป่าบอกให้ภรรยาเก็บของต่อ ตัวเองเดินมาเบื้องหน้าหลิวกุ้ย ถามเขา “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
หลิวกุ้ยลุกขึ้นยืน ถอนหายใจยาว เล่าเรื่องที่เดิมคิดจะไปคิดบัญชีกับเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่คิดว่ากลับถูกตีจนฉี่ราดกลับมาอย่างไม่ตกหล่นสักคำ ทั้งพูดถึงความเป็นอยู่ตอนที่หลิวลี่ไปอยู่บ้านน้าสาวที่หัวเมือง
หลิวต้าเป่าได้ฟังกล่าวตำหนิ “ท่านพ่อ ข้าเคยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ ไม่มีเรื่องอะไรอย่าไปหานาง หากนางร้ายขึ้นมา สามารถคิดวิธีเ**้ยมโหดนับพันมากลั่นแกล้งพวกเราได้ทั้งครอบครัว”
หลิวกุ้ยก็เสียใจไม่น้อย “พ่อได้ยินว่าน้องสาวเจ้าจะได้แต่งงานไปอยู่เมืองหลวง ดีใจจนขาดสติ นึกว่าจะฉวยโอกาสนี้ให้พวกเขาทั้งครอบครัวได้อดสู ระบายความแค้นในใจออกไป ไม่คิดว่าขโมยไก่ไม่ได้กลับต้องเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ ไม่เพียงบ่าวที่น้องสาวเจ้าพามาถูกตีอาการร่อแร่ แม้แต่น้องสาวเจ้าก็ถูกพวกเขาตีจนฟันหักหนึ่งซี่ ตอนนี้งานแต่งงานคงไม่เหลือแล้ว”
หลิวต้าเป่าขมวดคิ้วมุ่น “น้องสาวถูกตีจนฟันหัก เหตุใดข้าถึงไม่เห็น?”
“ตอนที่เจ้ามาถึง นางกำลังเสียใจ ไม่พูดไม่จา เจ้าจะเห็นได้อย่างไรว่านางฟันหายไปหนึ่งซี่” หลิวกุ้ยพูดอย่างเจ็บปวดและเสียใจ
“ข้าจะไปดูน้องสาว” หลิวต้าเป่าพูดจบเดินเข้าไปในบ้าน หลิวกุ้ยก็เดินตามเข้ามา
หลิวลี่ได้ยินเสียงพูดคุยของหลิวกุ้ย เห็นหลิวต้าเป่าเข้ามา ชำเลืองมองแวบหนึ่ง “ครานี้ท่านดีใจแล้วสิ? ในที่สุดก็ได้เห็นข้าต้องอับอาย”
ช่วงเวลานี้หลิวต้าเป่าโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ยืนข้างเตียง พูดด้วยใจจริง “น้องสาว พวกเราเป็นพี่น้องคลานตามกันออกมา ข้าเป็นห่วงเจ้าเสียไม่ว่า จะขบขันเจ้าที่ต้องอับอายได้อย่างไร”
หลิวลี่แค่นเสียงหึ “เลิกเสแสร้งทำเป็นมีเมตตาได้แล้ว นึกว่าข้าไม่รู้หรือไรว่าท่านเป็นคนเยี่ยงไร ท่านเห็นสภาพน่าสังเวชของข้า มีแต่จะสะใจเสียไม่ว่า”
หลิวต้าเป่ายกมือขวาขึ้นฟ้าสาบาน “ข้าขอสาบานต่อฟ้า หากข้ามีความคิดจะเยาะหยันเจ้า ขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี”
ชาวบ้านยังคงเชื่อคำสาบาน ได้ยินคำสาบานถึงแก่ชีวิตของหลิวต้าเป่า ปฏิกิริยาของหลิวลี่อ่อนลงหลายส่วน น้ำเสียงไม่ดุดันเหมือนเมื่อครู่แล้ว “พูดมา ท่านเข้ามาด้วยเรื่องอันใด? หากท่านต้องการเงิน ข้าจะไม่ให้ท่านแม้สักอีแปะเดียว”
หลิวต้าเป่าโบกมือ “ข้ามิได้มาเอาเงิน ข้าจะมาเสนอความคิดหนึ่งให้เจ้า ดูว่าพอจะช่วยเรื่องการแต่งงานของเจ้ากลับมาได้หรือไม่?”
“ไม่ต้องพยายามแล้ว ต่อให้ท่านมีความคิดเลิศเลอเพียงใด ก็ช่วยข้าไม่ได้ ครั้งนี้ข้าจบสิ้นแล้วจริงๆ” หลิวลี่พูดอย่างทุกข์ระทม
หลิวต้าเป่าส่ายหน้า “มันก็ไม่แน่ เจ้าฟังพี่ชายก่อน เจ้ากระแทกฟันซี่ไหนหัก?”
หลิวลี่ตวัดลิ้นในปากรอบหนึ่ง ตอบว่า “เหมือนว่าจะเป็นซี่ในด้านขวา”
หลิวต้าเป่าให้โล่งอก พูดอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ข้าจะบอกวิธีหนึ่งให้เจ้า รับประกันว่างานแต่งงานเจ้าจะต้องราบรื่น”
หลิวลี่สะท้อนนัยน์ตามีความหวัง ลุกพรวดขึ้นนั่ง ถามอย่างไม่เชื่อ “ท่านมีวิธีจริงๆ?”
หลิวต้าเป่าพยักหน้าย่ามใจ
“มีวิธีอะไร?” หลิวลี่ถามอย่างอดใจรอไม่ไหว
หลิวกุ้ยมองเขาอย่างใจจดจ่อ
หลิวต้าเป่าไม่ได้ตอบทันที แต่หยิบกระจกบนโต๊ะ ยื่นให้หลิวลี่ “เจ้าลองพูดกับกระจกดู ดูว่ามองเห็นฟันที่หลุดไปซี่นั้นหรือไม่”
หลิวลี่ทำตามที่พูด
“เห็นหรือไม่?” หลิวต้าเป่าถาม
หลิวลี่พยักหน้า “หากตั้งใจดูก็พอจะมองเห็นบ้าง”
“เช่นนั้นเจ้าจงอ้าปากให้เล็กลง ดูว่ายังเห็นอีกหรือไม่?” หลิวต้าเป่าพูดอีกครั้ง
หลิวลี่ทำซ้ำอีกครั้ง พูดด้วยความปิติ “มองไม่เห็นแล้ว”
หลิวต้าเป่าพยักหน้า พูดอย่างย่ามใจ “ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้ไป เวลาจะพูด ให้เจ้าพยายามอ้าปากให้เล็กลง อย่าหัวเราะเสียงดัง ก็จะไม่มีใครเห็นฟันที่หลุดไปของเจ้า งานแต่งงานของเจ้าก็ไม่สูญสิ้นแล้ว”
หลิวลี่ลองทำกับกระจกอีกครั้ง พบว่าเป็นอย่างที่หลิวต้าเป่าพูดจริงๆ อ้าปากให้เล็กลง คนอื่นดูไม่ออกเลยว่าฟันหายไปหนึ่งซี่ ดีใจจนเกือบกระโดด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดี “มองไม่เห็นแล้วจริงๆ”
หลิวกุ้ยก็ดีอกดีใจ “ขอบคุณฟ้าดิน ครานี้ถือว่าช่วยรักษาการแต่งงานลี่เอ๋อร์ได้แล้ว”
เรื่องร้ายกลายเป็นดี หลิวลี่ให้อารมณ์ดีขึ้นพลัน พูดน้ำเสียงฉอเลาะ “ท่านพ่อ ท่านจะขอบคุณฟ้าดินไปทำไม สมควรต้องขอบคุณพี่ใหญ่ หากไม่เพราะเขาคิดวิธีนี้ได้ ข้าคงจบเห่แล้วจริงๆ”
หลิวต้าเป่าโบกมือ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน จะขอบคุณข้าไปไย? เจ้าสุขสบาย ภายหน้าพี่ใหญ่จะได้พึ่งพาบุญบารมีเจ้าไปด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว ขอเพียงข้าได้แต่งกับขุนนางไปอยู่เมืองหลวง ข้าจะหางานดีๆ สักงานในเมืองหลวง ให้พี่ใหญ่ย้ายไปอยู่ที่นั่นทั้งครอบครัว” หลิวลี่ให้สัญญาอย่างหน้าชื่นตาบาน
ได้ยินเช่นนี้ หลิวต้าเป่าก็ให้ยินดี พูดว่า “เช่นนั้นข้าต้องขอบใจน้องสาวก่อนแล้ว”
คนทั้งหมดหัวเราะเฮฮา
สะใภ้หลิวกุ้ยที่ถูกสาวใช้สองสามคนจับกดมือ เอาผ้าอุดปาก ได้ยินเสียงหัวเราะภายในบ้าน โมโหพยายามสะบัดหลุดออกจากการเกาะกุมของเหล่าสาวใช้ วิ่งถลาเข้าไปในบ้าน สาวใช้ไหนเลยจะกล้าปล่อยมือ ยิ่งจับกุมนางแน่นขึ้น สะใภ้หลิวกุ้ยสะบัดไม่หลุด พ่นเสียงร้องอู้ๆ อี้ๆ หวังจะเรียกร้องความสนใจจากคนในบ้าน จนใจที่ถูกอุดปากไว้ เสียงเบาเกินไป คนในบ้านไม่มีใครได้ยิน
หลังการหัวเราะ หลิวต้าเป่ากำชับหลิวลี่อย่างจริงจัง “เรื่องที่เจ้ากระแทกจนฟันหลุด พอกลับไปแล้วทางที่ดีอย่าให้ท่านน้าชายและท่านน้าหญิงทราบ”
หลิวลี่ทำหน้าไม่เข้าใจ “เหตุใดถึงบอกพวกเขาไม่ได้เล่า?”
หลิวต้าเป่าอธิบาย “เมื่อครู่ท่านพ่อบอกข้าแล้ว ท่านน้าชายและท่านน้าหญิงจัดการแต่งงานให้เจ้าเพื่อประจบขุนนางใหญ่ ให้ได้งานที่ดียิ่งขึ้น หากเจ้าบอกพวกเขาตามความจริง ว่าเจ้าฟันกระแทกหักไปหนึ่งซี่ พวกเขาจะต้องคิดว่าเจ้ามีตำหนิ จะยังปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเมื่อก่อนหรือ?”
หลิวลี่เริ่มเป็นกังวล “หากข้าไม่พูด พวกเขามารู้ที่หลังจะทำอย่างไร? พวกเขาจะต้องรู้ว่าข้าตั้งใจปิดบัง จะไล่ข้าออกจากบ้าน ไปเป็นขอทานข้างถนนหรือไม่?”
“ดังนั้น เรื่องนี้จะมีแต่ฟ้ารู้ ดินรู้ เจ้ารู้ ข้ารู้ ท่านพ่อท่านแม่รู้เท่านั้น จะให้คนอื่นนอกจากนี้รู้ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อการแต่งงานของเจ้าถูกกำหนด ข้าวสารกลายเป็นข้าวสวย แม้ว่าพวกเขาจะรู้ก็สายไปแล้ว ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
หลิวลี่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าทำเช่นนี้ หัวใจโหวงๆ อย่างไรพิกล”
หลิวต้าเป่าตบหน้าอก “ป๊าปๆ” รับประกัน “วางใจเถอะ เจ้าเชื่อพี่ไม่มีผิดพลาด หลายปีมานี้พี่ไม่ได้อยู่ในเมืองไปวันๆ ประสบการณ์เล็กน้อยพวกนี้ยังพอมีบ้าง”
หลิวลี่ตัดสินใจไม่ได้ หันไปถามหลิวกุ้ย “ท่านพ่อ ท่านคิดว่าความคิดนี้ของพี่ใหญ่เป็นอย่างไร?”
หลิวกุ้ยพยักหน้า “พ่อว่าวิธีนี้ของต้าเป่าใช้ได้ เจ้าลองดูเถิด ขอเพียงเจ้าระวังตัว อย่าให้ใครสังเกตเห็น การแต่งงานของเจ้าย่อมไม่มีปัญหา”
หลิวลี่อยู่ในบ้านถูกตามใจจนไร้สมอง หลังจากไปอยู่หัวเมืองก็ถูกเรียกว่าคุณหนูทั้งวันจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ สมองกลวงโง่เขลา ตอนนี้ได้ยินบิดาและพี่ชายตนเองพูดเช่นนี้ ความกังวลใจหายไปสิ้น พยักหน้ายินดี “ได้ ข้าเชื่อพวกท่าน กลับไปจะไม่บอกพวกเขา”
“ไม่เพียงเท่านั้น เจ้ายังต้องกำชับบ่าวไพร่ของเจ้าให้ดี ห้ามให้พวกเขาพลั้งปากพูดออกมาเด็ดขาด” หลิวต้าเป่ากำชับอีกครั้ง
หลิวลี่พูดอย่างไม่แยแส “วางใจเถอะ หากให้ท่านน้าชายรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นกับข้า กลับไปพวกเขาจะต้องถูกตีตายทั้งเป็น ดังนั้นต่อให้มอบความกล้าเป็นร้อยให้พวกเขา พวกเขาก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้เด็ดขาด”
หลิวต้าเป่าพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ขอเพียงเรื่องไม่รั่วไหล ผ่านไปอีกหนึ่งปี จนเจ้าเข้าสู่วัยปักปิ่น การแต่งงานก็จะถูกกำหนดขึ้น”
แก้ปัญหาให้หลิวลี่ได้แล้ว หลิวกุ้ยก็ให้โล่งอก กำลังจะพูดบางอย่าง สะใภ้หลิวต้าเป่าก็ถือห่อผ้า พาลูกน้อยเดินออกมา ยืนกล้าๆ กลัวๆ ข้างประตู
หลิวต้าเป่าเห็นสภาพหวาดกลัวของพวกเขา ให้ทอดถอนใจ หันไปพูดกับหลิวกุ้ย “ท่านพ่อ ไม่ใช่ข้าอกตัญญู จะย้ายไปอยู่ข้างนอกให้ได้ แต่เพราะท่านแม่ทำเกินกว่าเหตุไปจริงๆ ข้ากลัวหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เดือนหน้ากลับมาคงไม่ได้เห็นหน้าพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว”
ใบหน้าชราของหลิวกุ้ยแดงฝาด พูดว่า “เป็นความรับผิดชอบของพ่อเอง พ่อควบคุมแม่เจ้าไม่ได้ ทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์ หากเจ้าต้องการไปจริงๆ ก็ไปเถอะ เมื่อจัดแจงที่อยู่ในเมืองได้เรียบร้อยแล้ว ก็ส่งข่าวบอกพ่อ ยามว่างพ่อจะเข้าไปหาพวกเจ้า”
หลิวต้าเป่าขอบตารื้น รับคำเสียงเครือ หันหลังเดินออกไป
หลิวลี่ลงจากเตียงอย่างกระฉับกระเฉง เดินตามหลังเขามายืนเบื้องหน้าสะใภ้หลิวต้าเป่า ดึงปิ่นทองคำด้ามหนึ่งบนศีรษะตัวเองออกมา คว้ามือนางแล้ววางไว้บนฝ่ามือ “พี่สะใภ้ ไม่ได้เจอกันนาน เมื่อครู่ฉุกละหุกลืมให้ของขวัญพบหน้าท่าน ปิ่นทองคำด้ามนี้เป็นเครื่องประดับที่ข้าชอบที่สุด ข้าให้ท่าน”
สะใภ้หลิวต้าเป่าเห็นท่าทีเปลี่ยนไปฉับพลันของนาง ไม่รู้ว่านางจะมาไม้ไหน ตกใจเป็นตายก็ไม่รับเครื่องประดับของนาง “ปิ่นทองคำสูงค่า ให้ข้าข้าก็ไม่กล้าใช้ เสียของโดยเปล่า เจ้าเอากลับคืนไปเถอะ”
หลิวลี่แย้มยิ้มพูด “พี่สะใภ้รังเกียจที่ข้าให้ของขวัญด้อยค่าไปใช่หรือไม่? ท่านก็ทราบดี ข้าเป็นเพียงกาฝาก ของล้ำค่ากว่านี้ข้าเอาออกมาไม่ได้”
สะใภ้หลิวต้าเป่ายิ่งให้ขนลุกชูชัน พูดอย่างไรก็ไม่ยอมรับไว้
ทั้งสองปฏิเสธกันไปมา หลิวต้าเป่าต้องพูดเกลี้ยกล่อม “เมื่อน้องสาวตั้งใจจะมอบให้เจ้า เจ้าก็รับไว้เถอะ แต่งงานมานานหลายปี ข้าไม่เคยซื้อเครื่องประดับมีราคาให้เจ้าสักชิ้น ทำเอาพี่สะใภ้ฝ่ายแม่เจ้ามักจะหัวเราะเยาะข้า ครานี้ดีแล้ว เจ้าจงประดับมันยามที่เรากลับไปบ้านแม่เจ้า พี่สะใภ้เจ้าจักต้องอิจฉาจนนอนไม่หลับไปสามวันสามคืน”
หลิวต้าเป่ากล่าวเช่นนี้แล้ว สะใภ้หลิวต้าเป่าจึงไม่ปฏิเสธอีก กำปิ่นทองคำไว้แน่น “ขอบใจน้องสาว”
สะใภ้หลิวกุ้ยมองเห็นทุกอย่างจากด้านนอก ตะเกียกตะกายขัดขืนรุนแรงขึ้น
หลิวลี่ถึงนึกขึ้นได้ว่า ตนเองสั่งสาวใช้ให้ลากมารดาออกไป รีบหันไปโบกมือให้สาวใช้ “ปล่อยตัวฮูหยินชราได้แล้ว”
สาวใช้รับคำ คลายมือพร้อมกัน
สะใภ้หลิวกุ้ยได้รับอิสระ ก็พุ่งทยานเข้าหาสะใภ้หลิวต้าเป่าราวกับหัวขบวนรถจักร
สะใภ้หลิวต้าเป่าเห็นท่าไม่ดี รีบดึงลูกน้อยเข้าไปหลบหลังหลิวต้าเป่า
ตอนที่ 225-3 ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลี...
สะใภ้หลิวกุ้ยถลาเข้ามาถึงเบื้องหน้าหลิวต้าเป่า กระโดดหมายจะคว้าตัวสะใภ้หลิวต้าเป่า “นังสารเลว ยุแยงบุตรชายข้าให้ผิดใจกับข้ายังไม่พอ ยังคิดจะหลอกเอาปิ่นทองคำของลี่เอ๋อร์ไปอีก วันนี้หากเจ้าไม่คืนปิ่นทองคำและเงินสองตำลึงมา เจ้าอย่าหวังจะได้ออกไปจากบ้านนี้”
สะใภ้หลิวกุ้ยที่ถูกตบหน้าบวมไปหนึ่งด้าน เดิมก็พูดจาฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว กลับมาก็เอาแต่แผดเสียงร้องอาละวาด จนเสียงแหบแห้ง นางพูดรำพันยาวเหยียด พวกเขากลับฟังไม่รู้เรื่องว่านางพูดอะไร ทว่าด้วยอากัปกิริยาของนาง จะต้องไม่ใช่คำพูดดี
หลิวกุ้ยชักสีหน้า ตวาดนาง “พอได้แล้ว หากเจ้ายังตอแยไม่เลิก อย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หย่าร้างกับเจ้า!”
สะใภ้หลิวกุ้ยถลึงตามองเขาอย่างไม่เชื่อ ท่าทีหาได้โอนอ่อนลงไม่ ถามเสียงเขียว “เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าพูดใหม่อีกครั้ง”
หลิวลี่ให้เดียดฉันท์มารดาเช่นนี้ของตนเองนัก ทว่ายังคงพูดโน้มน้าว “ท่านแม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้จะเข้าไปอยู่ในเมืองแล้ว ท่านให้พวกเขาไปเถอะ ท่านจักขัดขวางเช่นนี้ไปไย?”
แม้แต่บุตรสาวตนเองก็กล่าวเช่นนี้ สะใภ้หลิวกุ้ยรู้สึกว่าความหวังดีของตนเองถูกมองข้าม พูดกับหลิวลี่อย่างเจ็บปวดใจ “แม้แต่เจ้าก็ตำหนิแม่ แม่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า เจ้าต้องกลายเป็นเช่นนี้ การแต่งงานสูญสิ้น ไม่เก็บข้าวของติดตัวไว้ ต่อไปจะมีชีวิตอย่างไร?”
“ถุยๆๆ ปากอัปมงคล” หลิวลี่ถ่มน้ำลายหลายครั้ง พูดอย่างโมโห “ท่านเป็นแม่ข้าจริงๆ หรือ? ถึงสาปแช่งข้าเช่นนี้ การแต่งงานของข้ายังอยู่ดี สูญสิ้นที่ไหนกัน?”
สะใภ้หลิวกุ้ยโมโหจนขาดสติ ไม่เข้าใจความหมายที่หลิวลี่สื่อออกมา เพียงแค่รู้สึกว่าบุตรสาวถ่มน้ำลายใส่ตนเองหลายครั้งต่อหน้าคนมากมาย ให้รู้สึกอับอาย บันดาลโทสะ ตบเข้าที่หน้าหลิวลี่ฉาดใหญ่ “ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบใหญ่ พวกเจ้าแต่ละคนกลับปฏิบัติเช่นนี้ต่อข้า?”
หลิวลี่ไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่ามารดาจะลงมือกับตัวเอง ไม่ทันได้ป้องกันตัว ฝ่ามือที่ตวัดเข้ามานี้ทั้งหนักแน่นและแม่นยำ ใบหน้าผิวขาวผุดที่ประคบประหงมมาหนึ่งปีปรากฏรอยนิ้วมือชัดแจ้งทั้งห้านิ้ว
หลิวลี่มึนงง
หลิวกุ้ยและหลิวต้าเป่าผงะค้าง
“คุณหนู!” บรรดาสาวใช้ตกใจวิ่งร้องตะโกนเข้ามา ยืนขวางเบื้องหน้าหลิวลี่
หลังจากตบหน้า สะใภ้หลิวกุ้ยก็ตะลึงค้าง มองมือตัวเองอย่างไม่เชื่อ ให้เสียใจอย่างสุดหัวใจ เค้นน้ำเสียงแหบแห้ง พูดจาฟังไม่ได้ศัพท์ “ลี่เอ๋อร์ รีบมาให้แม่ดู เจ็บมากหรือไม่?”
หลิวลี่กุมใบหน้าตนเอง ร้องตวาดแว้ด “ข้าไม่มีมารดาเช่นท่าน!”
สะใภ้หลิวกุ้ยร้อนอกร้อนใจ “ลี่เอ๋อร์ ลูกต้องเชื่อแม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร? ราวกับเป็นผีร้าย”
น้ำเสียงหลิวลี่ยิ่งให้โกรธเกรี้ยว โพล่งปากพูดโดยไม่ผ่านสมอง “จะให้ข้าเชื่อว่าท่านไม่ตั้งใจ นอกจากท่านไปตายซะ!”
สิ้นเสียง ทั้งลานบ้านเงียบสงัด
หลิวต้าเป่าเอ็ดนางด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “หลิวลี่ เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? รีบขอโทษท่านแม่”
หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาหลิวลี่ถูกตามใจจนเหลิง นึกว่าตัวเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์จริงๆ แล้ว หากสาวใช้บ่าวไพร่ต่อต้านคำสั่งของนาง โทษสถานเบาคือถูกโบย โทษสถานหนักคือถูกขายเป็นทาส ตอนนี้สะใภ้หลิวกุ้ยตบหน้านางต่อหน้าคนมากมาย นางย่อมอับอายจนกลายเป็นโทสะ ไฉนเลยจะสนใจว่าเป็นมารดาของตนเองหรือไม่ อยากให้นางตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เห็นหลิวต้าเป่าไม่เข้าข้างตัวเอง กลับช่วยพูดแทนสะใภ้หลิวกุ้ย ก็ยิ่งให้เคืองโกรธ “ท่านไม่ต้องแสร้งทำเป็นคนดี ตั้งแต่เด็กนางเลี้ยงดูท่านเหมือนสมบัติล้ำค่า ของดีของอร่อยล้วนให้แต่ท่าน งานที่ต้องใช้แรงก็ไม่ให้ท่านทำ ข้าเล่า? ข้าต้องเริ่มล้างจานขัดหม้อตั้งแต่อายุหกปี พอว่างก็ต้องไปทำเกษตรในแปลงดิน หากไม่ได้ท่านน้าชายมีใจรับข้าไป เกรงว่าข้าคงยังเป็นเด็กกระดำกระด่างให้นางก่นด่าไม่เว้นวาย ข้าสุขสบายแล้ว ก็มิได้ลืมนาง ข้าเฝ้าขอร้องท่านน้าหญิงอยู่นาน นางถึงยอมให้ข้ากลับมาเยี่ยมบ้าน ใครจะคิดว่านางจะยุยงข้าให้ไปหานังตัวดีเมิ่งเชี่ยนโยวระบายแค้นให้นาง เกือบจะทำลายงานแต่งงานของข้า ท่านพูดเถิด โลกนี้ยังมีแม่เช่นนี้อีกหรือ”
หลิวลี่พูดจบ สะใภ้หลิวกุ้ยสติสตังเลอะเลือน โบกมืออุตลุด “ไม่ใช่ลี่เอ๋อร์ ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ แม่จะไม่รักเจ้าได้อย่างไร แม่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง”
หลิวลี่แค่นเสียงหึ ยังคงพูดด้วยวาจาเฉือดเฉือน “ไม่ต้องใช้คำพูดพวกนี้มาพูดขอไปที ข้าจะบอกให้นะ ข้าคิดวิธีหนึ่งออกแล้ว ต่อให้ไม่มีฟันหนึ่งซี่ การแต่งงานของข้าก็ยังคงอยู่ ข้าจะกลับหัวเมืองเดียวนี้ ต่อให้ตายข้าก็ไม่มีวันยอมรับว่าท่านเป็นแม่อีก”
พูดจบ ถามสาวใช้ “คนพวกนั้นเล่า ให้พวกเขาฝืนมาบังคับม้าสักคน พวกเราจะกลับหัวเมืองทันที”
สาวใช้คนหนึ่งตอบตัวสั่น “คุณหนูเจ้าคะ พวกเขาถูกโยนกองอยู่นอกประตูใหญ่ ร่อแร่ใกล้ตาย เข้ามาไม่ได้แล้ว”
หลิวลี่ยิ่งใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราด หันไปตวาดใส่สะใภ้หลิวกุ้ย “ได้ยินแล้วหรือไม่ ไม่มีคนบังคับรถม้า แม้แต่กลับหัวเมืองข้าก็กลับไปไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะท่านคนเดียว!”
สะใภ้หลิวกุ้ยพูดไม่ออกสักคำ ได้แต่ส่ายหน้ารัวอย่างไม่คิดชีวิต
หลังจากที่หลิวกุ้ยกลับมาบ้าน เอาแต่เป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของหลิวลี่ มิได้สนใจเรื่องอื่นเลย ได้ยินสาวใช้พูดเช่นนี้ รีบสาวเท้าเดินมานอกประตู เห็นบ่าวนอนหายใจรวยรินถูกโยนกองไว้หน้าประตูใหญ่ ตะโกนเรียกหลิวต้าเป่าพลัน “ต้าเป่า รีบไปตามหมอมา ให้เขามาดูอาการให้คนพวกนี้ อย่าให้พวกเขาต้องมาตายหน้าบ้านพวกเรา”
“พวกเศษสวะไม่ได้เรื่อง ตายเสียได้ก็ดี ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา” น้ำเสียงดุร้ายและสิ้นหวังของหลิวลี่ดังลอยออกมาจากลานบ้าน
หลิวกุ้ยได้ยินคำพูดนาง หัวใจกระตุกวูบอย่างประหลาด หยุดชะงักฝีเท้า ทว่าอย่างไรก็ทนเห็นพวกเขาต้องมาจบชีวิตทั้งเป็นเช่นนี้ไม่ได้ ยังคงพูดว่า “ต้าเป่า รีบไปตามหมอมา”
หลิวต้าเป่าขานรับคำ ยกเท้าเดินออกไป
สะใภ้หลิวต้าเป่าและลูกน้อยทั้งสองคนตามหลังเขาไปติดๆ
เดินมานอกประตูใหญ่ หลิวต้าเป่ากำลังจะสั่งให้ภรรยารออยู่ที่นี่ ทว่าสะใภ้หลิวต้าเป่าที่ไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อนกรีดร้องเสียงหลงพลัน
เด็กน้องทั้งสองคนก็ตกใจคว้าเสื้อผ้าเขาไว้แน่น
หลิวต้าเป่ารีบปลอบใจพวกเขา “พวกเขาเพียงถูกคนทำร้ายร่างกายมา พอหมอมาดูอาการ พักฟื้นไม่กี่วันก็จะหายดี พวกเจ้าไม่ต้องกลัวนะ”
สะใภ้หลิวต้าเป่าที่หลังจากกรีดร้อง ก็รีบปิดปากตัวเองแน่น ได้ยินคำพูดเขาก็ผงกศีรษะตื่นกลัว
หลิวต้าเป่าพูดกับพวกเขาอย่างอ่อนโยน “พวกเจ้ารอข้าครู่เดียว ข้าจะไปตามหมอมาดูอาการให้พวกเขา แล้วพวกเราจะกลับเข้าเมืองทันที”
สะใภ้หลิวต้าเป่าลุกลนผงกศีรษะ พาลูกน้อยทั้งสองคนมายืนรอในมุมหนึ่งหน้าประตูใหญ่
ไม่นานหมอก็ตามหลิวต้าเป่าเข้ามา หลังจากเห็นสภาพน่าสังเวชของพวกเขา ก็ถอนใจพูดว่า “อาการบาดเจ็บของพวกเขาสาหัสนัก ต้องมีสองสามเดือนถึงจะทุเลาลงได้ ข้าจะให้ยาสมานแผลภายนอกให้พวกเจ้าใส่ยาให้พวกเขา ส่วนที่เหลือก็ค่อยๆ พักฟื้นเถอะ”
หลิวกุ้ยพยักหน้า
หมอนำยาออกมาจาก**บที่พกติดตัวมายื่นให้หลิวต้าเป่า ทั้งกำชับเขาถึงวิธีการใช้
หลิวกุ้ยกล่าวขอบคุณ กลับเข้าไปหยิบเงินในบ้านมาจ่ายค่ายา
หมอรับมาแล้วเดินส่ายหน้าออกไป
หลิวต้าเป่าทำตามที่หมอสั่ง ใส่ยาให้ทีละคนจนเสร็จ หันไปพูดกับหลิวกุ้ย “ท่านพ่อ พวกเขานอนหน้าประตูเช่นนี้ดูไม่ดี พวกเราหามพวกเขาเข้าไปด้านในเถอะ”
เสียงหลิวลี่ดังลอยมาจากลานบ้าน “ไม่ต้อง พวกเราจะกลับหัวเมืองเดี๋ยวนี้แล้ว”
“เจ้าออกมาดูเถิด พวกเขามีสภาพเช่นนี้ พวกเจ้าจะกลับไปอย่างไร?” หลิวต้าเป่าถาม
หลิวลี่ไม่แม้แต่จะชายตามองมารดาตัวเอง ส่งสายตาให้สาวใช้ประคองตนเองออกไป
สาวใช้ประคองนางออกมาอย่างระวัง เห็นสภาพด้านนอกประตู หลิวลี่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว พูดว่า “จัดการไม่ยาก ท่านและท่านพ่อโยนพวกเขาไปเป็นอาหารจิ้งจอกบนเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว”
หลิวกุ้ยไม่เห็นด้วย “อย่างไรพวกเขาก็มีชีวิตจิตใจ จะให้โยนเป็นอาหารจิ้งจอกบนเขาได้อย่างไร?”
หลิวลี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จะให้ข้ารอเศษสวะพวกนี้หายดีค่อยกลับหัวเมืองหรือ? หากเวลานานเช่นนั้นไม่กลับไป ท่านน้าชายจะต้องส่งคนมา แล้วเขาก็จะรู้เรื่องที่ข้าฟันหลุดไปหนึ่งซี่”
หลิวต้าเป่าคิดวิธีหนึ่งได้ พูดว่า “ข้ากลับคิดว่าเจ้าไม่ควรทิ้งพวกเขาไว้ ไม่เช่นนั้นจ้างรถม้าคันหนึ่งมาบรรทุกพวกเขากลับไป บอกว่าระหว่างทางเจอโจรป่า พวกเขาเพื่อคุ้มครองเจ้าถึงถูกทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ ชนบทความเป็นอยู่อัตคัด จึงรีบร้อนกลับไป เจ้าพูดเช่นนี้ หนึ่งจะสร้างภาพประทับต่อหน้าพวกเขา สองบ่าวก็จะจดจำบุญคุณนี้ของเจ้า ภายหน้าจะยิ่งติดตามเจ้าอย่างพลีกายถวายใจ ส่งผลให้เจ้ามีทาสที่ซื่อสัตย์ของตัวเอง”
หลิวกุ้ยก็พูดสนับสนุน “ความคิดนี้ของพี่ใหญ่เจ้าดีนัก เชื่อที่เขาพูดเถอะ”
หลิวลี่ขบคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าใช้ได้ พูดว่า “วิธีนี้ก็ใช้ได้อยู่หรอก แต่เราจะไปหารถม้าที่ไหน?”
“หมู่บ้านนี้ย่อมไม่มีรถม้า พวกเราไปจ้างรถเทียมเกวียนคันหนึ่งมาก่อน ลากพวกเขาเข้าไปในเมือง พอถึงที่นั่นแล้ว เจ้าค่อยหารถม้าสักคัน” หลิวต้าเป่าบอกนาง
หลิวลี่พยักหน้า “ท่านช่วยเข้าไปหารถเทียมเกวียนในหมู่บ้านให้หน่อยเถิด ราคาเท่าใดก็ได้”
หลิวต้าเป่าพยักหน้า หันหลังเตรียมจะเข้าไปหารถเทียมเกวียนในหมู่บ้าน พลันนึกปัญหาหนึ่งขึ้นได้ หยุดชะงักฝ่าเท้า ถามขึ้น “พวกเขาบาดเจ็บถึงขั้นนี้ สาวใช้ก็บังคับรถม้าไม่เป็น เจ้าจะกลับหัวเมืองอย่างไร?”
หลิวลี่ตอบว่า “เมื่อครู่ข้าคิดไว้แล้ว ให้ท่านพ่อบังคับรถม้าส่งข้ากลับไป หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อส่งข้าเสร็จ ข้าจะขอร้องท่านน้าชายหางานหนึ่งให้เขา แล้วไม่ต้องกลับมาที่สัปปะรังเคนี้อีก”
หลิวต้าเป่าขมวดคิ้วมุ่น “แล้วแม่เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ประเดี๋ยวข้าจะมอบเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้นาง ถือว่าจบสิ้นความสัมพันธ์แม่ลูกของเรา ต่อไปเรื่องของนางไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีก หากท่านอยากเลี้ยงก็เลี้ยงเถอะ หากท่านไม่อยากเลี้ยง เงินนี้ถือว่าเพียงพอให้นางกินใช้ไปทั้งชีวิต” หลิวลี่พูดราบเรียบไร้อารมณ์ความรู้สึกใด
หลิวต้าเป่ามองนางราวกับไม่รู้จักมาก่อน
หลิวลี่หัวเราะเยาะหยัน “อย่าใช้สายตาเช่นนี้มองข้า เมื่อครู่ท่านก็อยากจะตัดความสัมพันธ์กับนางไปอยู่ในเมืองไม่ใช่หรือ? เราต่างพอๆ กัน อย่าว่าใครเลย”
“แต่อย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของพวกเรา พวกเราทำเช่นนี้ดูจะไม่เป็นการดี” อย่างไรหลิวต้าเป่าก็ไม่ใจไม้ไส้ระกำเช่นนั้น พูดอย่างทนไม่ได้
หลิวลี่พูดอย่างเมินเฉย “ตามใจท่านเถอะ สรุปคือข้าไม่ขอนับญาติกับนางแล้ว ได้คนเช่นนี้เป็นแม่ มีแต่จะทำให้พวกเราล่มจม”
หลิวต้าเป่ามองไปที่ภรรยาตัวเอง เห็นนางดวงตาแดงก่ำ ตัวสั่นผวา รู้ว่านางกลัวว่าตัวเองจะบอกให้นางอยู่ต่อ ถึงตกใจเช่นนั้น ดูท่าปกติมารดาตนเองจะทำเกินกว่าเหตุกับนางไปจริงๆ จึงตัดสินใจ ไม่พูดให้ภรรยาตนเองอยู่ที่บ้านนี้ต่อ
หลิวต้าเป่าเข้าไปหารถเทียมเกวียนในหมู่บ้าน หลิวลี่พูดกับหลิวกุ้ย “ท่านพ่อ ท่านได้ยินที่ข้าพูดไปเมื่อครู่แล้ว หากท่านอยากไป ก็กลับไปเก็บเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งแล้วตามข้าไป หากท่านไม่อยากไป ข้าก็ไม่ฝืนใจท่าน”
นับตั้งแต่ที่หลิวกุ้ยไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ถูกชาวบ้านเหน็บแนมเรื่อยมา สุดจะทนกับชีวิตที่ต้องหดหัวก้มหน้าก้มตา ได้ยินหลิวลี่พูดเช่นนี้ จึงพยักหน้าโดยไม่ต้องคิดพูดว่า “พ่อจะไปเก็บเสื้อผ้า ตามเจ้าไป”
ตอนที่ 226-1 พบเงื่อนงำ
พูดจบ หลิวกุ้ยหันหลังกลับเข้าบ้าน
สะใภ้หลิวกุ้ยในลานบ้านเห็นเขาเข้ามา เผยอริมฝีปาก ร้องเรียกเสียงแผ่ว “ตาเฒ่า”
หลิวกุ้ยมองนางอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปเก็บสมบัติของตัวเองในบ้าน
สะใภ้หลิวกุ้ยเดินตามเข้ามา เห็นเขากำลังเก็บข้าวของ พลันตื่นตระหนก งึมๆ งำๆ ถามอย่างหวาดผวา “เจ้าเก็บเสื้อผ้าทำไม”
หลิวกุ้ยไม่หยุดมือ “บ่าวรับใช้ที่ลี่เอ๋อร์พามาได้รับบาดเจ็บ ไม่มีคนบังคับรถม้า ข้าจะส่งนางกลับไป หากไม่เกิดเรื่องใดขึ้น ช่วงเวลานี้ข้าคงไม่กลับมา เจ้าอยู่บ้านดูแลตัวเองให้ดีเถอะ”
สะใภ้หลิวกุ้ยเดินขึ้นหน้า ขัดขวางการกระทำเขา วางแบเสื้อผ้าที่เขาเก็บเสร็จแล้ว “ไม่ได้ เจ้าจะไปไม่ได้ เจ้าไปแล้วข้าจะอยู่บ้านคนเดียวอย่างไร”
“ในบ้านยังมีเงินอีกห้าสิบตำลึง ข้าจะไม่เอาไปสักอีแปะเดียว ลี่เอ๋อร์บอกว่ายังจะให้เจ้าอีกจำนวนหนึ่ง เจ้าใช้อย่างประหยัด ก็จะใช้ไปได้หลายสิบปี” หลิวกุ้ยหยุดเก็บเสื้อผ้า เปิด**บที่ใส่กุญแจมาตลอด หยิบเงินด้านในออกมาวางไว้ตรงหน้าหลิวกุ้ย
ได้ฟังวาจาเขา สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งให้หวาดผวา ถามด้วยริมฝีปากสั่นระริก “เจ้าคิดจะไม่กลับมาอีกแล้วใช่หรือไม่”
หลิวกุ้ยไม่ได้ตอบ คิดจะเก็บเสื้อผ้าตัวเองอีก สะใภ้หลิวกุ้ยลนลานหอบเสื้อผ้าเขามากอดไว้แนบอก “ไม่ได้ ข้าไม่ให้เจ้าไป จะไปพวกเราต้องไปด้วยกัน”
หลิวกุ้ยมองนาง แล้วมองเสื้อผ้าในอ้อมอกนาง ไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินออกไปจากบ้าน
สะใภ้หลิวกุ้ยลนลานโยนเสื้อผ้าทิ้งลงบนเตียง วิ่งตามติดหลังเขาออกมาจนพ้นลานเรือน เห็นบ่าวรับใช้นอนระเกะระกะไม่รู้เป็นตายร้ายดีหน้าประตู ตกใจกรีดร้อง เสียงแปดหลอดระคายหูนั้นดังระงมแสบแก้วหูหลิวลี่
หลิวลี่ตวาดนางอย่างหงุดหงิด “หุบปาก! ท่านกลัวครอบครัวพวกเรายังขายหน้าไม่พอหรือไร อยากให้คนเข้ามาดูมากกว่านี้เรอะ”
สะใภ้หลิวกุ้ยยืนชี้บ่าวรับใช้อย่างหวาดผวา ถามเสียงสั่น “ลี่เอ๋อร์ พวกเขาตายแล้วหรือ”
หลิวลี่เดียดฉันท์นางเข้ากระดูก น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่ตาย ยังหายใจอยู่ ไม่เป็นวิญญาณอาฆาตมาคิดบัญชีกับท่านหรอก”
สะใภ้หลิวกุ้ยกลัวตัวหดทันควัน ก้าวถอยหลังห่างบ่าวรับใช้พวกนั้นออกมาหลายก้าว เผยอปากหันมองหลิวลี่ คิดจะพูดบางอย่าง กลับเห็นรอยนิ้วมือเด่นชัดบนใบหน้านาง หัวใจพลันปวดร้าว เดินเข้าหานางพูดว่า “ลี่เอ๋อร์ เจ็บหรือไม่” ทั้งยื่นมือออกไปหมายจะลูบคลำแก้มนาง
หลิวลี่ปัดมือนางขวับ พูดเกรี้ยวกราด “อย่าใช้มือสกปรกของเจ้ามาแตะต้องข้า”
สะใภ้หลิวกุ้ยทำหน้าไม่อยากเชื่อ “ลี่เอ๋อร์ เจ้าพูดเช่นนี้กับแม่ได้อย่างไร”
“แม่” หลิวลี่หัวเราะอย่างดูแคลน สั่งการสาวใช้ “ไปหยิบเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา”
สาวใช้รับคำ ไปหยิบเงินในรถม้าลงมา มอบให้หลิวลี่ด้วยความนอบน้อม
หลิวลี่รับเงินมา แล้วโยนไปที่พื้น พูดอย่างไร้หัวใจ “ท่านเลี้ยงข้ามาจนเติบใหญ่ใช้เงินไปไม่กี่สิบตำลึง ข้าให้ท่านหนึ่งร้อยตำลึง ถือว่าข้าทำดีที่สุดแล้ว ภายภาคหน้าท่านคือท่าน ข้าคือข้า ไม่เกี่ยวข้องต่อกันอีก”
สะใภ้หลิวกุ้ยถูกโจมตีอีกครั้ง เบิกตาโพลง มองเงินบนพื้น เงยหน้ามองหลิวลี่ แล้วก้มมองเงิน แล้วมองหลิวลี่อีกครั้ง วนไปมาหลายครั้ง ราวกับกำลังยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าว่าไม่ใช่เรื่องจริง
เสียงดูแคลนของหลิวลี่ดังขึ้น “ไม่ต้องดูแล้ว เงินนั้นเป็นของจริง ด้วยสถานะของข้าในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเก๊มาหลอกท่าน ครานี้ท่านคงดีใจแย่แล้ว คนอื่นเลี้ยงบุตรสาวสิบคนยังสู้ข้าคนเดียวไม่ได้ ทว่า ข้าขอบอกท่าน มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ภายหน้าหากท่านกล้ามาวอแวข้า ข้าจะให้คนมาตีขาท่านหัก”
คล้ายว่าสะใภ้หลิวกุ้ยจะเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว น้ำตาทะลักไหลเป็นสาย “ลี่เอ๋อร์ แม่คิดแทนเจ้าด้วยเจตนาดี เจ้าทำกับแม่เช่นนี้ได้อย่างไร”
หลิวลี่แค่นเสียงหึเหยียดหยาม “คิดแทนข้า ท่านพูดได้น่าฟังนะ ท่านเคยคิดแทนข้าเมื่อใด ตอนเด็กท่านลำเอียงรักพี่ใหญ่ วันๆ เอาแต่ชี้นิ้วสั่งข้าทำนั่นทำนี่ ไม่ให้ข้าได้มีเวลาแม้แต่จะหายใจ ตอนนี้ข้ามีสถานะสูงศักดิ์ กำลังจะได้แต่งงานมีคู่ครองดี กลับถูกท่านยุยงให้ไปหาเรื่องนังตัวดีเมิ่งเชี่ยนโยว จนเกือบจะทำลายงานแต่งงานข้า ท่านไม่เพียงไม่ปลอบใจข้า ยังจะตบหน้าข้า นี่คือสิ่งที่ท่านคิดแทนข้า”
“เจ้าจะโยนความผิดของเรื่องนี้มาที่แม่ได้อย่างไร เจ้าเองต่างหากที่อยากได้หน้า ถึงไปหานังตัวดีนั่น” สะใภ้หลิวกุ้ยโต้แย้งตาใส
หลิวลี่ยิ่งให้โกรธเกรี้ยว “หากไม่เพราะท่านพูดดำเป็นขาว ตลบตะแลง ข้าจะยอมไปหานางระบายแค้นให้พวกท่านหรือ อีกอย่าง หากท่านคิดแทนข้าจริงๆ ตอนที่ข้าไปหานาง ท่านควรจะขัดขวางข้า มิใช่เอาแต่ยุแยง โชคดีฟันที่กระแทกหลุดของข้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย การแต่งงานยังพอจะกู้คืนได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงอดใจไม่ไหวฆ่าท่านไปแล้ว”
สะใภ้หลิวกุ้ยผงะตกใจ มองนางเหมือนคนไม่รู้จัก
หลิวลี่ใช้ปากบุ้ยบ้ายเงินบนพื้น “เก็บขึ้นมาเถอะ ประเดี๋ยวข้าเปลี่ยนใจ แม้แต่ตำลึงเดียวท่านก็จะไม่ได้”
สะใภ้หลิวกุ้ยไม่คิดเลยว่าหลิวลี่จะโยนความรับผิดชอบทุกอย่างมาที่นาง ทั้งเกลียดนางเข้ากระดูกเช่นนี้ น้ำตาไหลเป็นสายราวเม็ดไข่มุก พูดอย่างน่าเวทนา “ลี่เอ๋อร์ เจ้าจะไร้หัวใจ ไม่นับญาติกับแม่คนนี้แล้วจริงๆ หรือ”
หลิวลี่ราวกับไม่ได้ยินคำพูดนาง ไม่ได้สนใจนาง
สะใภ้หลิวกุ้ยกัดฟัน พูดข่มขู่นาง “เจ้าอย่าลืมนะ น้าหญิงเจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่ หากเจ้าตัดขาดกับแม่ เจ้าคิดว่าน้าหญิงเจ้าจะยอมรับหลานสาวอย่างเจ้าเรอะ”
หลิวลี่เบ้ปากเหยียดหยาม “เลิกสำคัญตัวเองผิดได้แล้ว น้องสาวแท้ๆ หากไม่เพราะข้ามีคุณค่าให้ใช้งาน นางยังจะจำได้ว่าท่านเป็นใคร”
สะใภ้หลิวกุ้ยสะอึกกึก น้ำตายิ่งไหลพร่างพรู
หลิวต้าเป่ารับปากจะให้เงินสิบตำลึง ถึงหารถเทียมเกวียนในหมู่บ้านมาได้หนึ่งคัน
เดินเข้ามาจอดรถเทียมเกวียนหน้าประตู หลิวต้าเป่าเห็นเงินบนพื้น ประหลาดใจถาม “นี่มันเงินอะไรกัน”
หลิวลี่ตอบส่งๆ “ข้าให้เป็นค่าเลี้ยงชีพยามแก่ นางไม่ต้องการ พี่ใหญ่รับเอาไปเถอะ”
หลิวต้าเป่าไม่แม้แต่จะคิดก็เดินเข้าไปเก็บเงิน สะใภ้หลิวกุ้ยถลาไปที่พื้นพลัน กระวีกระวาดกอบเงินเข้ามาในอ้อมอกตัวเอง “นี่เป็นเงินของข้า ใครก็ห้ามแย่ง”
หลิวต้าเป่ายังพอมีความเป็นคน เห็นมารดาตนเองฟุบไปบนพื้นอย่างน่าสมเพช คิดจะเข้าไปประคองนางขึ้นมา
สะใภ้หลิวกุ้ยกลับกอดเงินไว้แน่น ร้องคำราม “เจ้าอย่าเข้ามา เงินพวกนี้เป็นของข้า ใครก็ห้ามมาแย่งเอาไป”
หลิวต้าเป่าอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ถอนหายใจ แล้วหันไปพูดกับหลิวลี่ “ข้าหาทั่วหมู่บ้านอยู่เป็นนาน มีเพียงเขาที่ยอมช่วยพวกเราพาบรรทุกคนเข้าเมือง แต่จะต้องจ่ายเงินสิบตำลึงก่อน”
ตอนนี้ลี่เอ๋อร์อยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่อิดออดที่อีกฝ่ายเรียกเงินมาก สั่งการสาวใช้มอบเงินให้หนิวเอ้อทันที
หนิวเอ้อที่พอเห็นว่าได้เงินสิบตำลึงจริงๆ ก็ดีใจหน้าบาน
หลิวต้าเป่าและหลิวกุ้ยช่วยกันหามบ่าวรับใช้ขึ้นไปไว้บนรถเทียมเกวียนอย่างเหน็ดเหนื่อย
หลิวลี่ไม่เดินบิดไปส่ายมาแล้ว ก้าวเท้าเร็วรี่เดินมาข้างรถม้า ขึ้นไปนั่งบนรถม้า พูดกับหลิวกุ้ยว่า “ท่านพ่อ พวกเราไปเถอะ”
หลิวกุ้ยพยักหน้า จับบังเ**ยนบังคับรถม้ามุ่งหน้าออกไป
สะใภ้หลิวกุ้ยกอดเงินตะเกียกตะกายลุกขึ้นขวางหน้าประตู “ไม่ได้ พวกเจ้าจะทิ้งข้าไว้ไม่ได้ ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย”
หลิวลี่สั่งสาวใช้ด้วยความหงุดหงิด “ลากนางออกไป!”
สาวใช้เข้าไปดึงรั้งนาง
สะใภ้หลิวกุ้ยขัดขืนสุดชีวิต พวกสาวใช้เอานางไม่อยู่
หลิวต้าเป่าต้องเข้าไปพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ น้องสาวต้องกลับไปแล้ว ท่านอย่ามาขวางทางเลย”
สะใภ้หลิวกุ้ยราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต ร่ำร้องวิงวอนหลิวต้าเป่า “ต้าเป่า ต้าเป่า พวกเขาไปกันหมด ไม่ต้องการแม่แล้ว เจ้าอยู่กับแม่ได้ไหม แม่สาบาน ต่อไปจะดีกับพวกเจ้าทั้งครอบครัว”
หลิวต้าเป่าไม่ตอบรับนาง พูดว่า “ท่านแม่ รอให้พวกเราตั้งหลักแหล่งในเมืองได้แล้ว ข้าจะกลับมาเยี่ยมทาน” พูดจบ ก็เดินไปหาภรรยาและลูกของตนเอง
สะใภ้หลิวกุ้ยยื่นมือออกไปหมายจะคว้าเขาไว้ เงินในอกกลับร่วงพรูสู่พื้น ตะลีตะลานก้มลงเก็บเงิน
หลิวต้าเป่าใช้โอกาสนี้พาภรรยาและลูกรีบเดินจากมา
เสียงดุดันของหลิวลี่ดังแว่วมา “เจ้าพวกสวะไม่ได้เรื่อง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ กลับไปรอถูกเอาตัวไปขายเถอะ”
สาวใช้ผลุนผลันเข้ามาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดลากตัวสะใภ้หลิวกุ้ยออกไปจากหน้าประตู
หลิวกุ้ยบังคับรถม้าพ้นประตูใหญ่ออกมา โดยไม่แม้แต่จะมองนาง
พวกสาวใช้กำลังจะคลายมือ เสียงหลิวลี่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เอานางเข้าไปขังไว้ในลานบ้าน อย่าให้นางวิ่งตามมาร้องโวยวายให้ข้าต้องรำคาญใจอีก”
สาวใช้รับคำ ร่วมแรงกันผลักสะใภ้หลิวกุ้ยเข้าไปในลานบ้าน แล้วปิดประตูใหญ่ลงกลอน เดินกระหืดกระหอบตามรถม้าไป
เสียงร้องตะโกนโหยหวนราวฆ้องแตกของสะใภ้หลิวกุ้ยดังลอยออกมา
หลิวกุ้ยแลหลิวลี่ทำเป็นไม่ได้ยิน บังคับรถม้าค่อยๆ ไกลออกไป
สองวันให้หลังเมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้ยินเมิ่งชื่อพูดเรื่องนี้บนโต๊ะอาหาร
แม้ในอดีตจะคิดชิงชังสะใภ้หลิวกุ้ยมาตลอด ทว่าพอเห็นจุดจบของนางในตอนนี้ เมิ่งชื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ได้ยินชาวบ้านพูดว่า หลังจากหลิวลี่สั่งสาวใช้ให้ขังนางไว้ในลานบ้าน ก็จากไปพร้อมหลิวกุ้ย สะใภ้หลิวกุ้ยร้องคร่ำครวญจนคอแตกก็ไม่มีใครแยแสนาง ด้วยความร้อนรน ใช้บันไดปีนข้ามกำแพงกระโดดลงมา วิ่งสะโหลสะเหลตามไปหลายลี้ ก็ตามพวกเขาไม่ทัน แม้แต่เงาของหลิวต้าเป่าและภรรยาก็ไม่ได้เห็น เจ้าว่า เหตุใดพวกเขาถึงใจร้ายนัก ต่อให้สะใภ้หลิวกุ้ยกระทำการเกินกว่าเหตุ แต่อย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของพวกเขา เหตุใดพวกเขาถึงทิ้งนางไว้ที่บ้านคนเดียวได้ลงคอ”
หลังความตื่นตกใจชั่วครู่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดว่า “หลิวลี่ทิ้งเงินไว้ให้นางหนึ่งร้อยตำลึงมิใช่หรือ ต่อให้นางไม่กินใช้อย่างประหยัด ก็พอให้นางใช้จ่ายไปหลายสิบปี จุดจบของนางไม่ถือว่าน่าสังเวชเกินไป ท่านแม่อย่าเป็นกังวลแทนนางเลย รอให้พ้นช่วงเวลานี้ไป ไม่แน่ว่าพอนางคิดได้ จะยิ่งลำพองเสียเล่า”
“ไม่กระมัง” เมิ่งชื่อคลางแคลงใจพูด “ชาวบ้านบอกว่าตอนนี้นางเอาแต่ร้องไห้น้ำตานองหน้า คงไม่ทุเลาเร็วเช่นนั้นกระมัง”
“ไม่ว่าจะได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ต่อไปไม่ว่าเรื่องอะไรท่านแม่ก็อย่าไปสนใจนาง เลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา” เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนาง
เมิ่งชื่อพยักหน้า “แม่รู้ แม่ก็แค่พูดไปอย่างนั้น แม่ไม่มีทางสนใจเรื่องของนางเด็ดขาด”
สิบกว่าวันให้หลัง ไม่รู้ว่าสะใภ้หลิวกุ้ยปลงตกได้อย่างไร ออกมาปรากฏตัวท่ามกลางสายตาผู้คน วันๆ เอาแต่แทะเม็ดก๋วยจี้อย่างเริงร่า เที่ยวเดินเอ้อระเหยไม่ทำการทำงานไปทั่ว
เมิ่งชื่อถูกเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกำชับไว้ ย่อมอยู่ห่างได้เท่าไหร่ยิ่งดี
สะใภ้หลิวกุ้ยก็รู้ความดี ไม่เคยเข้ามาหาเรื่องนาง
ตอนที่ 226-2 พบเงื่อนงำ
วันเวลาผ่านไปอย่างสงบ เมิ่งเชี่ยนโยวที่มักจะไปโรงงานบ่อยๆ เริ่มพบสิ่งผิดปกติเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือทุกวันเมิ่งอี้จะปรากฏตัวหน้าประตูโรงงานช่วงเวลาเลิกงานอย่างพอเหมาะพอเจอะ ทั้งจับจ้องคนที่เดินออกมาจากโรงงานจนหมด ถึงกลับไปบ้าน
เริ่มแรกเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใส่ใจ ผ่านไปสิบกว่าวัน เริ่มให้รู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ มีวันหนึ่งช่วงโรงงานเลิกงาน นางยืนด้านในประตูโรงงาน ลอบมองปฏิกิริยาของเมิ่งอี้
ประตูโรงงานเปิดออก คนในโรงงานต่างเดินออกมา เมิ่งอี้เอาแต่แหงนหน้ารอคอย กระทั่งเหล่าหญิงสาวในโรงงานเดินออกมา ดวงตาเมิ่งอี้เปล่งประกายสุกสกาว จับจ้องร่างของโจวอิ๋งไม่กะพริบตา
โจวอิ๋งก็ลอบมองเขาเล็กน้อย แล้วเดินหน้าแดงตามสะใภ้ใหญ่โจวไป
กลุ่มคนพูดคุยหยอกล้อ ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้
กระทั่งโจวอิ๋งและสะใภ้บ้านโจวเดินออกไปไกลแล้ว เมิ่งอี้ถึงเก็บคืนสายตา อมยิ้มมีเลศนัยเตรียมจะกลับไปบ้าน
“พี่เมิ่งอี้!” เมิ่งเชี่ยนโยวเดินยิ้มออกมาจากโรงงานร้องเรียกเขา
เมิ่งอี้เห็นนาง กะพริบตาปริบๆ ร้อนตัว ขยี้ศีรษะตัวเองถามขึ้น “น้องโยวเอ๋อร์ เย็นมากแล้วเจ้ายังไม่กลับบ้านหรือ”
“หากข้ากลับบ้านแล้ว ก็ไม่ได้เห็นเรื่องสนุกนะสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตาถี่ใส่เขาอย่างซุกซน พูดกระเซ้าเย้าแหย่
ใบหน้าค่อนข้างดำคล้ำของเมิ่งอี้ปรากฏสีแดงเรื่อ เขาแสร้งไม่เข้าใจคำพูดนาง ร้อนรนพูด “เย็นมากแล้ว ข้าต้องกลับบ้านก่อน”
พูดจบ หุนหันมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูแผ่นหลังที่ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วของเขา ขมวดคิ้วมุ่น
เมิ่งชื่อเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย เห็นนางยืนทอดสายตามองไกลออกไป จึงช้อนสายตามองตามไป กลับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ให้คลางแคลงใจถาม “โยวเอ๋อร์ เจ้ามองอะไรหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ เพียงยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ ดูท่าครอบครัวเราจะมีเรื่องดีเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว”
พอได้ยินว่าเป็นเรื่องดี เมิ่งชื่อก็ดีใจยกใหญ่ ถามความ “เรื่องดีอันใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่นตัว “อีกสักระยะหนึ่งท่านก็จะรู้เอง”
เมิ่งชื่อตีนางเบาๆ “เจ้าลูกคนนี้แก่นแก้วเข้าไปทุกวัน มาทำให้แม่อยากรู้แล้วเจ้าก็ไม่บอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะคิกคักคล้องแขนนาง เปลี่ยนหัวเรื่องพูด “ท่านแม่ รีบกลับไปทำกับข้าวเถอะ ประเดี๋ยวอี้เซวียนก็จะเลิกเรียนแล้ว”
ช่วงเวลานี้เหมือนว่าเมิ่งอี้เซวียนจะปรับตัวกับเวลาเรียนที่เพิ่มขึ้นอีกวันละหนึ่งชั่วยามได้แล้ว ทุกวันที่กลับมา ใบหน้ากะจิริดไม่เหนื่อยล้ามากเหมือนก่อน แต่กลับผอมซูบลงไปมาก เมิ่งชื่อเห็นแล้วให้ปวดใจ คอยเปลี่ยนสำรับอาหารแบบต่างๆ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ลืมเรื่องเมื่อครู่ไปสิ้น วิ่งแนบกลับบ้านไปทำกับข้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวทำเหมือนปกติ ยืนหน้าประตูคอยพวกเขากลับมา
วันนี้หลังจากเลิกเรียน ซุนเหลียงไฉที่พาเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงกลับมาแต่โดยดีเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าประตู ลอบดีใจที่วันนี้ตัวเองไม่ได้พาเด็กน้อยทั้งสองไปเที่ยวเล่น ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าจะต้องถูกลงโทษอย่างไร
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงร้องเรียกพี่สาววิ่งเริงร่าเข้าไปหานาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มลูบศีรษะพวกเขา ถามว่าวันนี้อาจารย์สอนอะไรพวกเขาบ้าง
เด็กน้อยทั้งสองแย่งกันพูดเสียงเจื้อยแจ้ว ทั้งบอกนางว่าที่อาจารย์สอนพวกเขาเข้าใจหมดแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวชมพวกเขาสองสามคำ ให้พวกเขาวางกระเป๋านักเรียนแล้วไปเล่นได้ตามใจชอบ
ซุนเหลียงไฉก็ตามเข้าไปด้วย
เมิ่งอี้เซวียนกลับมาช้ากว่าพวกเขาครึ่งชั่วยามเต็มๆ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอตัวเองหน้าประตู เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา ฉีกยิ้มเจิดจ้าให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นใบหน้าซูบตอบของเขา เม้มริมฝีปากถาม “จะให้ข้าไปหาท่านอาจารย์ ให้เขาลดทอนการเรียนของเจ้าให้น้อยลงบ้างหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่ต้อง แบบนี้ดีแล้ว เรียนเร็วเช่นนี้ ปีหน้าข้าก็จะไปสอบซิ่วไฉพร้อมเมิ่งเหรินได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย พูดว่า “ตามใจเจ้าเถอะ หากเจ้าไม่เจริญอาหารก็จงบอกข้า อย่าให้ตัวเองเหนื่อยจนเกินไป”
“การเรียนไม่มีปัญหา เพียงแต่ช่วงนี้ท่านอาจารย์พูดเรื่องกลยุทธ์การวางแผนมากเกินไป ข้าไม่อาจเรียนรู้ทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น ผ่านไปสักระยะหนึ่งคงดีเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” เมิ่งอี้เซวียนพูด
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นและลูกๆ ก็กลับมาแล้ว
คนทั้งหมดกินข้าวไปพลางพูดเล่าเรื่องในวันนี้ไปพลาง
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดว่า “อีกหนึ่งเดือน พืชพรรณในแปลงดินก็จะสุกงอม หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ชาวบ้านก็จะไม่มีงานทำ วันนี้คนมากมายมาถามพ่อว่าโรงงานกุนเชียงจะเปิดอีกครั้งเมื่อใด”
“ตอนนี้อากาศยังอบอุ่น ยังไม่ต้องสนใจโรงงานกุนเชียง ข้าคิดจะเปิดโรงงานอีกแห่งขึ้นก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งเอ้ออิ๋นเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีเร่งเร้าถาม “โรงงานอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “โรงงานเส้นแป้งมันฝรั่ง”
“เส้นแป้งมันฝรั่ง คือนำมันฝรั่งมาบดละเอียดหรือ เช่นนั้นจะกินอย่างไร” เมิ่งชื่อถามอย่างฉงน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “มิใช่นำมันฝรั่งมาบดละเอียด แต่นำมาแปรรูป เปลี่ยนมันให้กลายเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ทั้งอร่อย ทั้งยังเก็บไว้ได้นานเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อตกใจ “มีของเช่นนั้นด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ พวกเรายังเหลือมันฝรั่งอีกเท่าใด”
เมิ่งเสียนตอบทันควัน “ประมาณสามสี่หมื่นจิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวคำนวณคร่าวๆ พูดว่า “ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่า มันฝรั่งชุดใหม่ก็จะออกมา ด้วยความเร็วในการมารับสินค้าของเถ้าแก่หวังในตอนนี้ ถึงตอนนั้นเราจะยังเหลืออีกหมื่นกว่าจิน ของที่เหลือนี้พวกเรานำมาทำแป้งมันฝรั่งได้พอดี”
พูดจบก็พูดต่อว่า “วิธีการผลิตแป้งมันฝรั่งยังต้องใช้สิ่งของบางอย่างด้วย พรุ่งนี้ท่านตามข้าเข้าไปในเมือง หากว่าหาซื้อได้ พอกลับมาพวกเราลองทำออกมาสักจำนวนหนึ่งดูก่อน”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวถามซุนเหลียงไฉ “เจ้าไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว อยากจะกลับไปพร้อมพวกเราหรือไม่”
ซุนเหลียงไฉส่ายหน้า “ท่านอาจารย์บอกว่าจะให้หยุดเรียนช่วงเก็บเกี่ยว ถึงตอนนี้ข้าค่อยกลับไปก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ก็ดี เจ้าไปๆ กลับๆ อาจจะทำให้ใจแกว่งได้ ข้ายังหวังให้ปีหน้าเจ้าไปสอบถงเซิงกลับมาได้อีกเล่า”
ซุนเหลียงไฉตกใจจนตะเกียบในมือร่วงหล่นพื้น ถลึงตาโต ทำหน้าตื่นตกใจสุดขีด พูดติดอ่างฟังไม่ได้ศัพท์ “ขะ ขะ ข้าไปสอบถงเซิง”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
ซุนเหลียงไฉส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่ได้ ข้าสอบไม่ได้แน่ๆ”
“ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าสอบไม่ได้ เรื่องนี้ตกลงตามนี้แล้ว สองวันนี้ข้ามีเวลาจะเข้าไปพูดกับท่านอาจารย์โจว ให้เขาสั่งสอนเจ้าใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง”
ซุนเหลียงไฉโบกมืออุตลุด “เจ้าอย่าไปนะ การเรียนในทุกวันนี้ข้าก็แทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว หากเพิ่มวิชาเข้ามาอีก ข้าได้ตายหยังเขียดแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาพูด “วางใจเถอะ ข้ารับประกันกับเจ้า ต่อให้เพิ่มเวลาเรียนอีกสองชั่วยาม เจ้าก็ไม่ตายหรอก อย่างมากก็แค่หนังหลุดออกมาเท่านั้น”
พอคิดว่าต่อไปจะต้องเรียนทั้งเช้าค่ำ ซุนเหลียงไฉยิ่งให้หวาดผวา ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่เรียน ท่านปู่ข้าบอกแล้ว ภายหน้าจะให้ข้าสืบทอดกิจการ แค่ให้ข้ารู้จักอักษรมากหน่อยก็พอ มิได้ต้องการให้ข้าเข้าสอบขุนนางไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะให้เขาเข้าสอบถงเซิง ไฉนเลยจะยอมตามใจเขา พูดว่า “ตอนนี้เจ้าอยู่ในการสั่งสอนของข้า เรื่องของเจ้าข้ามีสิทธิ์ขาด เชื่อว่าเมื่อท่านปู่เจ้ารู้เรื่องนี้ก็จะต้องดีใจเป็นอย่างมาก”
ซุนเหลียงไฉเห็นท่าทีเด็ดขาดของเมิ่งเชี่ยนโยว แทบจะไม่มีพื้นที่ให้ต่อรองได้ ร้องโอดครวญฟุบหน้าไปบนโต๊ะ ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะกินข้าวแล้ว
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อรู้ว่าเป็นผลดีต่อเขา จึงไม่ได้ขอร้องแทนเขา
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเห็นสภาพของเขา ไม่ยอมกินข้าวแล้ว เอาแต่ปิดปากแอบหัวเราะคิกคัก
เช้าวันต่อมาหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าไปโรงงานก่อน หลังจากสั่งการพวกอู๋ต้าแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนถึงนั่งรถม้ามุ่งหน้าเข้าเมือง
เหวินเปียวบังคับรถม้าอย่างเร็วรี่ ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าประตูเมือง
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวบังคับรถม้ามาร้านยาเต๋อเหรินก่อน
รถม้าจอดสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนลงจากรถม้า เดินตรงเข้ามาในร้านยาเต๋อเหริน
ร้านยาเต๋อเหรินก็เพิ่งจะเปิดร้านได้ไม่นาน คนมาหาหมอยังไม่เยอะมาก พนักงานในร้านเห็นพวกเขาเข้ามา เข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเอง
หมอชราก็เห็นนางแล้ว บอกหมออีกคนให้มาตรวจคนไข้แทน แล้วลุกขึ้นแย้มยิ้มพูด “แม่นางเมิ่ง นานแล้วที่เจ้าไม่ได้มา นายท่านของพวกเราเอาแต่พร่ำบ่นถึงเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบแหย่เย้า “ถูกนายท่านของพวกท่านบ่นถึงหาใช่เรื่องดีไม่ ข้ายอมให้เข้าจำไม่ได้ว่ายังมีคนเช่นข้าอยู่”
หมอชราลูบเคราหัวเราะร่วน
เหวินซื่ออยู่ชั้นบนได้ยินเสียงหมอชราหัวเราะ เค้นเสียงร้องถามด้วยความประหลาดใจ “เหล่าอวี๋ มีเรื่องอะไรทำท่านเบิกบานใจได้แต่เช้า”
หมอชราแหงนหน้าไปทางชั้นบนตอบกลับ “นายท่าน แม่นางเมิ่งมาแล้วขอรับ”
เสียงฝีเท้าชั้นบนดังขึ้น ไม่นานใบหน้าเหวินซื่อก็ปรากฏขึ้นข้างบันได “นังตัวดี ไม่มาหาข้าตั้งนาน เจ้าไปตายที่ไหนมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าแสร้งถามอย่างงุนงง “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร ข้ารู้จักท่านหรือ เหตุใดข้าถึงต้องมาหาท่าน”
เหวินซื่อสะอึกกึก
ครั้งนี้หมอชราหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม แม้แต่พนักงานในร้านก็ก้มหน้าขบขัน
ตอนที่ 226-3 พบเงื่อนงำ
หลังจากชะงักอึ้ง เหวินซื่อก็สาวเท้าลงบันไดมายืนตรงหน้านาง ค้อมตัวลง ให้นางได้เห็นใบหน้าตนเอง พูดว่า “ตอนนี้เจ้าจงตั้งใจดูหน้าข้าให้ดี รู้จักข้าหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมองใบหน้าเขาอย่างถี่ถ้วน พบว่าแม้จะมองระยะประชิดเช่นนี้รอยบากบนใบหน้าเขากลับไม่เหลือแล้ว ใบหน้านั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมทุกประการ พลันคาดเดาจุดประสงค์เขาออก ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ก็สกัดขวางความคิดเขา “ข้าบอกเจ้าได้เลยว่า ข้าให้สูตรนี้กับเจ้าไม่ได้ หากวันใดข้าอับจนหนทาง ยังหวังจะขายสูตรยานี้แลกเงินเล่า”
เหวินซื่อยืดหลังตรง ร้องอุทาน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะพูดอะไร”
“คุณชายใหญ่ ท่าทีละโมบของเจ้าเขียนไว้บนใบหน้าเจ้าหมดแล้ว ข้าอยากแสร้งทำเป็นไม่รู้คงยาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินซื่อลูบคลำใบหน้า พูดอย่างกังขา “เด่นชัดเช่นนั้นเลยหรือ”
หมอชราควบคุมไม่อยู่ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอีกครั้ง
เหวินซื่อถึงเข้าใจทั้งหมด พูดโวยวายเสียงดัง “นังตัวดี เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว!”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวร่องอหาย
เหวินซื่อไม่โกรธเคือง หลังจากทุกคนหัวเราะเสร็จ พูดด้วยใบหน้ากระหายอยาก “ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาเปล่า เจ้าเสนอราคาเท่าใด ข้าจะให้เจ้าไม่ขาดสักอีแปะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ปัญหามิใช่ที่เงิน ที่นี่มีแต่คนเจ็บทั่วไปเข้ามา เจ้าได้สูตรยาไปก็เปล่าประโยชน์”
เหวินซื่อหันไปมองหมอชรา หมอชราเข้าใจทันที พูดว่า “แม่นางเมิ่ง พวกเราไปคุยชั้นบนเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาสองคน เห็นพวกเขาทำท่ามีเรื่องดีรออยู่ พยักหน้าพูดว่า “พี่ใหญ่ พวกเราขึ้นไปนั่งสักครู่เถอะ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เหวินซื่อหันหลังกลับขึ้นชั้นบน หมอชราผายมือให้ทั้งสองคนตามขึ้นไปอย่างสุภาพ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ เดินตามหลังเหวินซื่อขึ้นไป เมิ่งเสียนตามหลังอีกที หมอชราตามขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย สั่งกำชับพนักงาน “ไปชงชาชั้นดีมา”
พนักงานรับคำวิ่งไปชงชา
ทั้งสี่คนมาถึงชั้นบน ไม่รอให้เหวินซื่อเชิญนั่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งแหมะบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ทั้งร้องบอกเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ นั่งเถิด”
เมิ่งเสียนเห็นนางทำตัวตามสบายราวกับเป็นบ้านตัวเอง หันมองเหวินซื่ออย่างประดักประเดิด
เหวินซื่อคุ้นชินเสียแล้ว มิได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เห็นเมิ่งเสียนมองมาที่ตัวเอง จึงเอ่ยปากพูดว่า “น้องเมิ่งเสียนก็นั่งเถอะ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ทำตัวตามสบายเหมือนเป็นบ้านตัวเอง”
เมิ่งเสียนกล่าวขอบคุณตามมารยาท นั่งบนเก้าอี้อย่างสุภาพ
หมอชรามายืนด้านข้างเหวินซื่อ
พนักงานยกน้ำชาขึ้นมา หลังจากรินใส่ถ้วยให้ทุกคนอย่างอ่อนน้อมเสร็จ ก็ถอยหลังลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้น เป่าเบาๆ แล้วจิบหนึ่งคำ ถึงพูดกับเหวินซื่อ “พูดมาเถอะ เจ้ามีเรื่องอันใด”
เหวินซื่อหันสบตาหมอชราแวบหนึ่ง ยกยิ้มพูดว่า “ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า สูตรยากำจัดรอยแผลเป็นของเจ้าอาจจะไร้ประโยชน์ที่ตำบลชิงซี แต่ในเมืองหลวงจะมีประโยชน์มหาศาล”
“จะมีประโยชน์มหาศาลใด หรือว่าที่เมืองหลวงมีคนถูกกรีดใบหน้าทุกวัน” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อสะอึกเล็กน้อย พูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องไม่ควรเอ่ยได้หรือไม่ ข้าเพียงพลาดพลั้งมีช่องโหว่ให้คนคิดร้ายได้ ข้าขอรับประกันกับเจ้า ภายหน้าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยันเขา “นั่นเรียกว่ามีช่องโหว่ให้คนคิดร้ายหรือ นั่นเรียกว่าตั้งใจยื่นมีดให้คนเข้ามาฆ่าตัวเองต่างหากเล่า โชคดีที่น้องชายของเจ้าขลาดเขลากว่าเจ้า ไม่เช่นนั้น เจ้ายังจะมานั่งอยู่เบื้องหน้าข้าเช่นนี้ได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย”
เหวินซื่อไม่โง่ เข้าใจนัยแฝงของนาง โมโหจนเสียงเปลี่ยน “เจ้าจะบอกว่าข้าโง่เขลาเรอะ พูดมาตามตรงก็ได้ ไยต้องอ้อมค้อมไปมา”
“เจ้ารู้ก็ดี” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดราบเรียบ
เหวินซื่อสะอึกค้างจนจุก นั่งโมโหฟึดฟัดบนเก้าอี้
แม้เมิ่งเสียนจะรู้สึกเสียมารยาท แต่เขาไม่รู้เรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน ไม่เหมาะจะพูดปราม ทำได้เพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์
เหวินซื่อเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว ไม่ทันไรก็กลับคืนสภาพเดิม พูดว่า “ท่านพี่ฉู่ก็เคยบอกข้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต่างหวังดีกับข้า ข้ารับประกันกับเจ้า หากครั้งหน้าเขายังลงมือกับข้า ข้าจะไม่ใจอ่อนมีเมตตาอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึเบาๆ มิได้พูดอะไร
เหวินซื่อมองนางแวบหนึ่ง พูดเรื่องเมื่อครู่ต่อ “เจ้าก็รู้ เหล่าคุณหนูคุณนายในเมืองหลวง เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับบาดเจ็บจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ พวกนางกลัวจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ มักจะเข้ามาถามร้านยาเต๋อเหรินหลายครั้ง ว่ามียากำจัดรอยแผลเป็นหรือไม่ บอกว่าขอเพียงกำจัดรอยแผลเป็นบนร่างตัวเองได้ ราคาเท่าใดก็ไม่เป็นปัญหา ทว่าหลายปีที่ผ่านมา หมอผลิตยาของร้านยาเต๋อเหรินก็ไม่มีใครคิดค้นออกมาได้ ในเมื่อเจ้ามีสูตรยานี้ ก็ขายให้ข้าเถอะ ข้ายังพูดเช่นเดิม ราคาเท่าใดก็ไม่ใช่ปัญหา”
“พูดเช่นนี้ หากมียานี้ ก็ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำนะสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อพยักหน้า
“เช่นรอยแผลเป็นบนใบหน้าเจ้า หากรักษาให้เขาได้ พวกเจ้าจะได้เงินเท่าใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก
เหวินซื่อก็ไม่ปิดบัง “ราคาที่แน่ชัดข้ายังไม่รู้ว่า ทว่าคำนวณจากราคาของพวกเรา น่าจะต้องมีหลายหมื่นตำลึง”
เมิ่งเสียนเกือบจะสำลักพ่นน้ำชาในปากออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกใจถาม “หลายหมื่นตำลึง”
เหวินซื่อตอบ “ประมาณนั้น ทว่าไม่มีใครมีรอยแผลเป็นใหญ่เช่นนี้ง่ายๆ หรอก ส่วนใหญ่ก็เพียงแผลถลอกถูไถ หรือไม่ก็เป็นแผลเป็นจากการต้องโทษหนัก โดยทั่วไปไม่กี่พันตำลึงก็ได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาในมือลง ลูบคลำคางตัวเองครุ่นคิด พูดว่า “ข้าจะไม่ขายสูตรยาให้เจ้า…”
เหวินซื่อและหมอชราต่างผิดหวัง
“ทว่า” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “พวกเราร่วมมือกันได้”
เหวินซื่อได้ยินเริ่มมีความหวัง “ร่วมมืออย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่โยกโย้อ้อมค้อม พูดไปตามตรง “ร้านยาเต๋อเหรินของพวกท่านออกยาสมุนไพร ข้าผลิตด้วยตัวเอง ยาที่ผลิตได้ให้พวกท่านเป็นผู้ขาย จะขายเท่าใดข้าไม่ก้าวก่าย ขอเพียงแบ่งกำไรให้ข้าร้อยละยี่สิบจากเงินที่ขายได้ทั้งหมดก็พอ”
ร้านยาเต๋อเหรินดำเนินกิจการมานาน ไม่เคยกระทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน เหวินซื่อและหมอชราหันหน้ามองกัน พูดอย่างลำบากใจ “เกรงว่าจะไม่ได้ พวกเราไม่มีกฎระเบียบนี้”
“กฎระเบียบเป็นของตาย คนที่ดิ้นได้ ท่านพลิกแพลงหน่อยก็ได้แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่อินังขังขอบ
เหวินซื่อขบคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าตัดสินใจไม่ได้ ข้าต้องเขียนจดหมายปรึกษาท่านปู่ หากเขาเห็นด้วย พวกเราจะร่วมมือกัน หากเขาไม่เห็นด้วย ข้าก็ไม่มีทางเลือก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มร่าเสนอแผนให้เขา “เจ้าเขียนบอกเขาในจดหมายสิว่า หากเขาไม่เห็นด้วย ข้าจะไปร่วมมือกับคนอื่น ถึงตอนนั้นหากร้านยาอื่นทำกำไรร่ำรวย อยู่เหนือกว่าร้านยาเต๋อเหรินของพวกเจ้า เขาอย่าเสียใจก็แล้วกัน”
เหวินซื่อทั้งโมโหทั้งขบขัน หัวเราะว่านาง “เจ้าเด็กแสบนี่ ไม่รู้ว่าไปเอาแผนการร้ายๆ มาจากไหนนัก แม้แต่ท่านปู่ข้าเจ้าก็กล้าวางแผน”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ยอมรับ “เจ้าใส่ร้ายข้าเกินไปแล้ว ข้าวางแผนเขาที่ไหนกัน ข้ากำลังช่วยพวกเราร่ำรวยต่างหากเล่า ต้องรู้ว่าข้าต้องการเพียงร้อยละยี่สิบเท่านั้น หากข้าจะวางแผนพวกเจ้า ข้าเอาห้าสิบห้าสิบไปแล้ว”
เหวินซื่อหัวเราะตอบ “ได้ๆๆ เจ้าช่วยพวกเราให้ร่ำรวย เช่นนั้นข้ายังต้องขอบคุณเจ้าด้วยหรือไม่”
“มิต้องหรอก เพียงแค่หากภายหน้าข้ามีเรื่องตกทุกข์ได้ยาก พวกเจ้าช่วยข้าสักแรงก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างหยิ่งทะนง
คนทั้งหมดหัวเราะเบิกบาน
เดิมจะเข้ามาซื้อของ ไม่คิดว่าจะได้การค้าโดยบังเอิญ เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจหน้าบาน แม้แต่ถ้วยชาในมือก็รู้สึกว่าอร่อยลิ้นกว่าแต่ก่อนมาก
เมิ่งเสียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตื่นเต้นดีใจจนถ้วยชาในมือสั่นไหว
แม้ปากเหวินซื่อพูดว่าจะเขียนจดหมายปรึกษาท่านปู่ก่อน ความเป็นจริงเขารู้แก่ใจดีว่าท่านปู่จะต้องเห็นด้วย จึงพูดอย่างอดใจรอไม่ไหว “ไม่เช่นนั้นเจ้าเขียนตัวยาที่เจ้าต้องการไว้ก่อน ให้พนักงานไปจัดเตรียม เจ้ากลับไปปรุงออกมาก่อนหนึ่งชุด พอจดหมายของท่านปู่มาถึงพวกเราจะได้ให้คนส่งยากลับไปพอดี”
“รีบร้อนเช่นนี้เลย หากท่านปู่เจ้าไม่เห็นด้วยจะทำอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจถามเขา
เหวินซื่อยิ้มพูด “หากท่านปู่ไม่เห็นด้วย ก็ถือว่าขาดทุนให้เด็กแสบอย่างเจ้า ยาสมุนไพรพวกนั้นถือว่าให้เจ้าก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังลุกขึ้น พูดเร็วรี่ “เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าได้กลับคำ”
เป็นครั้งแรกที่เหวินซื่อเห็นนางตาลุกวาวเป็นเงินเป็นทอง หลุดขำพูดว่า “เรื่องเล็กน้อยนี้ข้ายังพอตัดสินใจได้ ข้าพูดคำไหนคำนั้น”
“ได้ เจ้าให้คนหยิบกระดาษพู่กันมา ข้าจะเขียนให้เจ้านำไปให้พนักงานจัดเตรียม” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินซื่อตะโกนเรียนพนักงาน ให้เขานำกระดาษพู่กันเข้ามาโดยไว
พนักงานขานรับคำ วิ่งเหยาะนำกระดาษและพู่กันเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ เขียนรายชื่อสมุนไพรเป็นพรวน แล้วมอบให้เหวินซื่อ “นี่เป็นยาทั่วไป เจ้าดูก่อนเถอะ”
เหวินซื่อรับกระดาษมา มองผ่านๆ หนึ่งรอบ ยิ้มพูดว่า “เจ้าเอาจำนวนมากเช่นนี้ ร้านยาเต๋อเหรินของข้าแทบจะกลวงโบ๋แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก “อย่ามาทำเป็นยากไร้หน่อยเลย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ เรือนด้านหลังของเจ้ามีโกดังสมุนไพรนับหลายโรง ของหยิบมือแค่นี้หาเทียบได้ไม่”
เหวินซื่อได้ฟังผวาตกใจถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไร ข้าไม่เคยเปิดประตูโกดังต่อหน้าเจ้ามาก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโยกโย้ลำพองใจ “ไม่บอกหรอก”
อากัปกิริยานั้นทำคนทั้งห้องหัวเราะครื้นเครง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กันขึ้น เขียนรายชื่อสมุนไพรบนกระดาษอีกครั้ง มอบให้เหวินซื่อ “นี่เป็นตัวยาที่สำคัญที่สุด ค่อนข้างหายาก ยาที่ข้าปรุงให้เจ้าครั้งก่อน มีเพื่อนมอบให้ข้ามาพอดี ไม่รู้ว่าเจ้าจะหาได้หรือไม่”
เหวินซื่อรับมา มองดูแวบหนึ่ง ส่งให้หมอชรา “หาได้ยากจริงๆ แต่ร้านยาเต๋อเหรินของพวกเราเรื่องอื่นไม่รู้ แต่เรื่องสมุนไพรพวกเรามีครบถ้วนที่สุด ร้านยาเต๋อเหรินในเมืองหลวงมีจำนวนไม่น้อย รอข้าเขียนจดหมายถึงท่านปู่ จะบอกเขาลงไปด้วย หากเขาเห็นด้วย ให้เขาส่งยานี้มาจำนวนหนึ่ง”
“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ยานี้ที่บ้านข้ายังพอมีเหลืออยู่ ข้ากลับไป จะปรุงออกมาให้นำไปทดลองใช้ที่เมืองหลวงก่อนชุดหนึ่ง เมื่อได้เห็นประสิทธิภาพ คนก็จะอยากซื้อหา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยความยินดี
เหวินซื่อพยักหน้า
ปรึกษาหารือเสร็จ เหวินซื่อถามนางขึ้นอีก “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงว่างมาร้านยาเต๋อเหรินได้ เข้าเมืองมาทำธุระหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าผากตัวเองหนึ่งที “ข้าดีใจจนเลอะเลือน เจ้าไม่ถามข้าคงลืมไปแล้ว ข้าจะมาถามว่า พวกท่านมีสารส้มหรือไม่”
“สารส้มมีอยู่ไม่น้อย ทว่าเจ้าจะเอาไปทำสิ่งใด” เหวินซื่อประหลาดใจถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ข้าคิดจะทำอาหารชนิดหนึ่ง ไม่มีสารส้มไม่ได้ เมื่อพวกเจ้ามีไม่น้อย ก็ขายให้ข้าจำนวนหนึ่งเถอะ ข้าไม่ไปซื้อร้านยาอื่นแล้ว”
เหวินซื่อยิ่งให้ประหลาดใจ “ของกินอะไรต้องใช้สารส้ม ของที่ทำออกมาจะกินได้หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่ “ย่อมต้องกินได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะทำออกมาทำไม”
เหวินซื่อตกใจลุกลนพูด “ได้ๆๆ เจ้าต้องการเท่าใด ข้าจะให้คนไปเตรียมาให้”
“เอามาให้ข้าก่อนสิบจินเถอะ ข้าจะกลับไปลองทำดูก่อน หากว่าสำเร็จ เกรงว่าหนึ่งปีเจ้าต้องเตรียมให้ข้าหลายร้อยจิน”
เหวินซื่อสะดุ้งตกใจ “หนึ่งปีต้องการมากเพียงนั้น เจ้าจะทำสิ่งใดกันแน่”
“คำสองคำอธิบายได้ไม่ชัดเจน สรุปคือเป็นอาหารที่เลิศรสมากชนิดหนึ่ง รอให้ข้าทำสำเร็จก่อน ข้าจะเอามาให้เจ้าชิมเป็นคนแรก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินซื่อใคร่รู้ยิ่งนักว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเอาสารส้มไปทำอาหารใดออกมากันแน่ ได้ฟังก็หยิบพวงกุญแจออกมาวางบนโต๊ะ “เหล่าอวี๋ ท่านจงเป็นคนไปเอาสารส้มสิบจินในโกดังมาให้พวกเขา”
หมอชราขานรับคำ หยิบกุญแจเดินลงไป ไม่นานก็กลับขึ้นมา หลังจากวางกุญแจคืนบนโต๊ะถึงพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ข้าให้พนักงานนำสารส้มไปวางไว้บนรถม้าที่จะส่งสมุนไพรไปให้เจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านหมอเจ้าคะ”
หมอชราโบกมือ “นี่เป็นหนึ่งในงานของข้า แม่นางเมิ่งเกรงใจแล้ว”
“ทั้งหมดราคาเท่าใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อโบกมือ “ข้าบอกแล้ว ต่อไปสมุนไพรที่เจ้าเอาไปจากร้านยาเต๋อเหรินไม่ต้องจ่ายเงิน สารส้มข้ามีมากมาย เจ้าเอาไปใช้ตามใจเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวดึงดันไม่เห็นด้วย “คนละเรื่องกัน เดิมสมุนไพรมีไว้รักษาโรค ใช้ไม่กี่มากน้อย เจ้าไม่คิดเงินก็ช่าง แต่สารส้มไม่เหมือนกัน ข้านำมาทำของกินขาย แต่ละปีจะใช้ปริมาณไม่น้อย จะให้ข้าได้กำไรส่วนเจ้าขาดทุนได้อย่างไร”
เหวินซื่อยังคงปฏิเสธ หมอชราพูดเตือนสติ “นายท่าน แม่นางเมิ่งพูดมีเหตุผล พวกเราเก็บเงินนางเถิด” พูดจบหันไปขยิบตาให้เหวินซื่อ
แม้เหวินซื่อจะไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าตกลง “ก็ได้ ประเดี๋ยวให้เหล่าอวี๋คิดว่าเป็นเงินเท่าใด พวกเจ้าจ่ายตอนที่จะไปก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น “พวกเราจะลงไปตอนนี้ เมื่อซื้อสารส้มได้แล้ว ข้าจะกลับบ้านไปลองทำดู”
เมิ่งเสียนก็ลุกขึ้นตาม
เหวินซื่อมิได้ดึงรั้ง ลุกขึ้นลงไปชั้นล่างพร้อมพวกเขา
หมอชราเดินมาโต๊ะคิดเงิน หยิบลูกคิดมาดีดขึ้นลงคิดคำนวณเงิน แล้วยื่นลูกคิดให้เมิ่งเชี่ยนโยวดู “แม่นางเมิ่ง ทั้งหมดเป็นเงินเท่านี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินออกมาจ่าย หลังจากกล่าวลาทั้งสองคนก็กลับไปนั่งบนรถม้าพร้อมเมิ่งเสียน สั่งการเหวินเปียวให้บังคับรถม้ากลับบ้าน
เหวินเปียวบังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับ รถม้าส่งยาของร้านยาเต๋อเหรินตามหลังไป
กระทั่งรถม้าทั้งสองคันไปไกลแล้ว เหวินซื่อถึงถามหมอชราอย่างกังขา “เหล่าอวี๋ เมื่อครู่ท่านขยิบตาให้ข้าหมายความว่าอย่างไร”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น