อัจฉริยะสมองเพชร 2242-2247

ตอนที่ 2242 ตายไปแล้ว!

 

“1 เดือนก่อน? ปะ-เป็นไปได้อย่างไร?” ฟู่เจียงเฉินตาโตด้วยความตกใจ เขาตัวสั่น น้ำเสียงแหบพร่า


“มีอะไรหรือ?” จางเซวียนถาม


เขาไม่คิดว่าฟู่เจียงเฉินจะมีปฏิกิริยาแบบนี้กับคำถามของเขา


ฟู่เจียงเฉินเสียงสั่นเสียจนแม้แต่เหล่าศิษย์สายตรงของเขาก็จ้องมองมาอย่างตกตะลึง นั่นดูไม่เหมือนบุคลิกสุขุมนุ่มลึกโดยปกติของท่านอาจารย์เลย


“นั่นก็เพราะ…เมื่อ 40 ปีก่อน, เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ…”


“…ตายไปแล้ว!”


จางเซวียนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมีบางอย่างคลิกในหัว เขาร้องออกมาด้วยเสียงที่เกือบเหมือนตะโกน “เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณตายไปตั้งแต่ 40 ปีก่อน? จะเป็นไปได้อย่างไร? เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคือสมญานามที่ตกทอดกันมาไม่ใช่หรือ? คนที่ผมกำลังตามหาคงเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคนใหม่!”


ลั่วชิงเพิ่งแยกทางกับเขาเมื่อเดือนก่อน เธอจะตายไปตั้งแต่ 40 ปีที่แล้วได้อย่างไร?


เขาคงไม่ได้ถูกผีหลอกหรอกนะ ใช่ไหม?


ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด ‘เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ’ น่าจะเป็นแค่ตำแหน่ง โดยเมื่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคนก่อนตายไป ผู้สืบทอดก็จะเข้าแทนที่


คงเหมือนกับชื่อ ‘อำมาตย์เฉินหย่ง’ ที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น


“เอ่อ…ของแบบนั้นส่งต่อกันได้ด้วยหรือ?” ฟู่เจียงเฉินสงสัยหนัก “ผมไม่คิดว่าจะทำแบบนั้นได้นะ ถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริง ทั้งสรวงสวรรค์จะต้องรู้ทั่วกันแล้ว ไม่มีทางหรอกที่พวกเราจะไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้…”


“ทั้งสรวงสวรรค์จะต้องรู้ทั่วกันแล้ว?” จางเซวียนยิ่งงงหนักกว่าเดิม “เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเป็นคำเรียกขานที่ทรงเกียรติมากหรือ?”


แม้แต่การส่งมอบตำแหน่งของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติให้กับผู้สืบทอดของเขาก็ยังไม่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่ต้องป่าวประกาศให้ทั่วทั้งสรวงสวรรค์รับรู้


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคือ 1 ใน 9 จอมราชันย์ แล้วจะไม่ใช่คำเรียกขานที่ทรงเกียรติได้อย่างไร?” ฟู่เจียงเฉินตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


จางเซวียนตัวแข็งทันทีเมื่อได้ยินคำตอบนั้น


“เดี๋ยวก่อนนะ, ลั่วชิง…ไม่ใช่สิ…เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณน่ะ คือ 1 ใน 9 จอมราชันย์หรือ?”


เขารู้ดีว่าคนรักของเขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แต่ไม่เคยนึกฝันว่าเธอจะเป็น 1 ใน 9 จอมราชันย์ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งสรวงสวรรค์…


เรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ


จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะฟุ้งฝัน ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็อธิบายได้เลยว่าทำไมตอนแรกเธอถึงไม่เต็มใจจะตกร่องปล่องชิ้นกับเขา อีกทั้งลังเลที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงด้วย


ช่องว่างระหว่างทั้งคู่นั้นห่างไกลกันเหลือเกิน ไม่มีทางที่เขาจะเทียบชั้นกับเธอได้


“ก็เป็นอย่างนั้นแหละ” ฟู่เจียงเฉินพยักหน้า


จางเซวียนสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะถามต่อ “ไม่ทราบว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณดูแลน่านฟ้าไหน?”


เขาพอรู้จักน่านฟ้าทั้ง 9 แล้ว แต่ความเข้าใจใน 9 จอมราชันย์ยังมีจำกัดมาก เขาอยากรู้ว่าลั่วชิงปกครองดูแลน่านฟ้าไหน จะได้ตรงไปที่นั่นเพื่อตามหาเธอ


“คุณไม่รู้หรือ?”


ฟู่เจียงเฉินประหลาดใจกับคำถามของจางเซวียน เขาจ้องหน้าชายหนุ่มครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ล้อเล่น จึงส่ายหัวและตอบว่า “เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจะต้องเป็นจอมราชันย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดอยู่แล้ว!”


“น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด?” จางเซวียนชะงักขณะที่อีกชื่อหนึ่งของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดแวบเข้ามาในหัว “คุณกำลังพูดถึง…น่านฟ้าอมตะใช่ไหม? นั่นก็หมายความว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคือจอมราชันย์อมตะ?”


“ใช่แล้ว!” ฟู่เจียงเฉินพยักหน้ารับ


“ฮะ…” จางเซวียนถึงกับจังงัง


เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณนั้น…แท้ที่จริงแล้วคือจอมราชันย์อมตะ แต่จอมราชันย์อมตะก็ตายแล้วนี่! เขาเห็นแม้กระทั่งป้ายหินหลุมฝังศพของอีกฝ่ายที่อยู่ในมิติเบื้องบน?


หรือว่าลั่วชิงสืบทอดตำแหน่งจากจอมราชันย์อมตะคนก่อนและกลายเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคนใหม่? จางเซวียนพยายามหาคำตอบที่เหมาะสมกับความพิลึกพิลั่นนี้


นี่คือคำอธิบายเดียวที่เขาพอจะคิดออกและทำให้ทุกอย่างดูสมเหตุสมผล


“เอ่อ…ผมเกรงว่าผมไม่รู้เรื่องนั้นจริงๆ” ฟู่เจียงเฉินตอบอย่างกระอักกระอ่วน


ครู่ต่อมาเขาก็เสริม “เรื่องของจอมราชันย์นั้นพูดยาก พวกเขาไม่ใช่คนชนิดที่พวกเราจะนำมาพูดถึงแบบพล่อยๆ และคงโง่เง่าเต็มทีหากจะใช้สามัญสำนึกของพวกเราตัดสินพวกเขา ยังไม่เคยมีจอมราชันย์คนไหนเสียชีวิตนับตั้งแต่ก่อตั้งสรวงสวรรค์ขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของผู้สืบทอดหรือข้อสงสัยที่ว่ามีผู้สืบทอดตั้งแต่แรกหรือไม่…พวกเราก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก”


จางเซวียนถามต่ออีกสองสามคำถาม แต่ดูเหมือนฟู่เจียงเฉินจะมีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณและน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เขาจึงตัดสินใจไม่ถามต่อ


“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้จักจอมราชันย์ของแต่ละน่านฟ้าหรือเปล่า?”


ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่มีการระบุข้อมูลของ 9 จอมราชันย์ไว้ในหนังสือเล่มไหนเลย ความรู้เรื่องจอมราชันย์ส่วนใหญ่ที่จางเซวียนได้รับก็มาจากโม่หยุ่น, อาจารย์คนหนึ่งที่เขาได้พบเป็นระยะเวลาสั้นๆตอนที่มาถึงสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน


ในเมื่อฟู่เจียงเฉินดูจะรอบรู้เรื่องสรวงสวรรค์ ถามเขาตรงๆก็คงดีที่สุด


“เรื่องพวกนั้นไม่ใช่ความลับหรอก ใครที่พยายามค้นหา ไม่ช้าก็ย่อมได้คำตอบ!” ฟู่เจียงเฉินตอบ “ดูเหมือนคุณพอรู้เรื่องราวของ 9 น่านฟ้าอยู่บ้าง ผมก็จะไม่พูดเยอะล่ะนะ ส่วน 9 จอมราชันย์…”


“จอมราชันย์มังกรเมฆปกครองน่านฟ้ามังกรเมฆที่อยู่ทางทิศตะวันออก ในฐานะมังกรเลือดบริสุทธิ์ เขาคือผู้ที่เก่งกาจอย่างไม่มีใครเทียบ”


“จอมราชันย์ฟู่เหมิงขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญและไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร เขาปกครองน่านฟ้าทองคำแข็งกล้า ทางทิศตะวันตก”


“น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด หรืออีกชื่อหนึ่งคือน่านฟ้าอมตะ ตั้งอยู่ทางใต้ของสรวงสวรรค์ ผู้ปกครองที่นั่นคือจอมราชันย์อมตะ ซึ่งบางครั้งผู้คนก็เรียกขานเขาว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด หรือสั้นๆก็คือเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ”


“ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันคือน่านฟ้านรกโลกันต์ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ หรืออีกชื่อหนึ่งคือมหาสมุทรนรกโลกันต์ มันคือมหาสมุทรขนาดมหึมาที่แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าก็อาจหลงทางอยู่ในนั้นได้ง่าย ผู้ปกครองที่นั่นคือจอมราชันย์นรกโลกันต์”


“น่านฟ้าตะวันแผดเผาตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสรวงสวรรค์ ปกครองโดยจอมราชันย์โจวหยาง หรือที่รู้จักกันในชื่อจอมราชันย์ตะวันแผดเผา การปรากฏตัวของเขาทำให้เกิดภูเขาไฟทุกหนแห่ง สร้างความยำเกรงอย่างมาก”


“ส่วนทิศตะวันออกเฉียงเหนือคือน่านฟ้าดาบสวรรค์ หนึ่งในสถานที่ที่ลึกลับที่สุดของสรวงสวรรค์ อาณาบริเวณของมันไม่กว้างนัก แต่ไม่มีกลุ่มอำนาจไหนกล้าเข้าไปข้องแวะ ร่ำลือกันว่าจอมราชันย์ดาบสวรรค์มีพละกำลังเหนือชั้นกว่าจอมราชันย์คนอื่นๆ และมีแต่คนคนหนึ่งจากน่านฟ้าเสรีเท่านั้นที่เอาชนะเขาได้”


“น่านฟ้าที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้คือน่านฟ้าหลิงหลง ทุกวันนี้ผมก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น เท่าที่ผมรู้ เทพธิดาหลิงหลงคือจอมราชันย์หญิงเพียงคนเดียวในบรรดา 9 จอมราชันย์ ผมเคยพบเธอ 2 ครั้งแล้ว ซึ่งเธอก็ไม่ถือตัวและติดดินมาก ผมเคารพเธอจริงๆ


“ส่วนอาณาบริเวณด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสรวงสวรรค์ ซึ่งก็คือจุดที่พวกเราอยู่กันตอนนี้ คือน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน จอมราชันย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนคือจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น คุณคงคุ้นเคยกับชื่อของเขาดีกว่าผม ผมจึงจะข้ามไป”


“และที่เป็นศูนย์กลาง ถูกห้อมล้อมด้วย 8 น่านฟ้าก็คือน่านฟ้าเสรี จอมราชันย์ของน่านฟ้าเสรีคือผู้ยิ่งใหญ่มาก ผมไม่เคยพบเขามาก่อน ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นใคร เป็นหญิงหรือชาย แล้วก็ไม่กล้าพูดถึงแบบไม่ระมัดระวังด้วย ทั้งหมดที่ผมรู้ก็คือจอมราชันย์ของน่านฟ้าเสรีใช้กระบวนการที่ล้ำลึกเกินหยั่ง ถึงขนาดที่อีก 8 จอมราชันย์ยกให้เขาเป็นผู้นำ”


ฟู่เจียงเฉินรีบอธิบายรายละเอียดของเก้าจอมราชันย์ให้จางเซวียนฟัง


“จอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์ฟู่เหมิง จอมราชันย์โจวหยาง…” จางเซวียนจดจำชื่อของทั้ง 9 จอมราชันย์ไว้ก่อนจะพยักหน้า


ในเมื่อหลัวลั่วชิงเรียกตัวเองว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เธอก็น่าจะเป็นผู้สืบทอดของจอมราชันย์อมตะ เขาจะต้องมุ่งหน้าสู่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง


แต่ปัญหาก็คือน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดนั้นตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสรวงสวรรค์ ขณะที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เขาต้องใช้ค่ายกลทะลุมิติเท่านั้น ความห่างไกลกันของทั้งสองน่านฟ้าไกลเกินกว่าที่จะเดินทางด้วยวิธีปกติทั่วไป


“ถ้าคุณไม่มีคำถามอื่นล่ะก็ ผมขอตัวก่อน”


หลังจากพูดถึงเก้าจอมราชันย์ ฟู่เจียงเฉินก็บอกความลับบางข้อที่เขาพอจะบอกได้ก่อนจะกล่าวอำลา


“ผมสำนึกในบุญคุณอย่างยิ่งสำหรับการตอบคำถามอย่างจริงใจของคุณ นักปรุงยาฟู่” จางเซวียนพูดขณะโค้งคำนับอย่างงาม


คนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงการพูดถึง 9 จอมราชันย์ เพราะเกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว พูดได้เลยว่าฟู่เจียงเฉินช่วยเหลือเขาได้มาก


“นักปรุงยาจาง คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไป สำหรับใครคนหนึ่งที่ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง และหลอมยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธกับยาเม็ดเพิ่มความงามได้ทั้งที่อายุเพียงเท่านี้ ผมก็เชื่อว่าอีกไม่นาน คุณก็จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้า ต่อให้วันนี้ผมไม่พูด ต่อไปคุณก็ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่ดี ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณกันหรอก!” ฟู่เจียงเฉินหัวเราะหึๆ


ถ้าเป็นสถานการณ์ทั่วไป เขาคงไม่พูดถึงเก้าจอมราชันย์ แต่เมื่อได้เห็นทั้งศักยภาพ ความแข็งแกร่ง และทักษะการหลอมยาของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนด้อยกว่าตัวเขาเลย และในอนาคตอันใกล้ ก็น่าจะเหนือชั้นกว่าเขาด้วยซ้ำ


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำดีไว้ก่อนย่อมไม่เสียหาย


จางเซวียนยังไม่ลงมือทำอะไรเมื่อฟู่เจียงเฉินจากไป เขาครุ่นคิดหนัก


ตอนนี้เขามีสองทางให้เลือก


ทางแรกคือมุ่งหน้าสู่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเพื่อตามหาหลัวลั่วชิง จะได้บอกเธอว่าตัวเขาอยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว ทั้งยังเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงด้วย ต่อให้ยังห่างไกลจากการได้เป็นจอมราชันย์ แต่ขอแค่เขาหมั่นเพียรและอดทน บวกกับความช่วยเหลือของหอสมุดเทียบฟ้า ก็มั่นใจว่าไม่ช้าจะต้องลดช่องว่างระหว่างตัวเขากับเธอได้


ส่วนทางที่ 2 ก็คืออยู่ที่นี่และขายยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธกับยาเม็ดเพิ่มความงามต่อไป วิธีนี้จะทำให้เขาสร้างฐานอิทธิพลและรวบรวมกระแสจิตปรารถนาได้มากขึ้น ซึ่งในอนาคตก็อาจฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าหรือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้สำเร็จ และบางที…อาจได้เป็นจอมราชันย์เหมือนปรมาจารย์ขง!



 

 

 


ตอนที่ 2243 ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่

 

เขาจะคู่ควรกับหลัวลั่วชิงก็ต่อเมื่อมีสถานภาพทัดเทียมกับเธอ


ไม่อย่างนั้น ด้วยระดับวรยุทธของเขาในเวลานี้ ต่อให้พบหลัวลั่วชิง ก็ไม่อาจคบกันอย่างเปิดเผยได้


แต่ก็ยังมีปัญหา


“เมื่อกระแสความนิยมครั้งใหญ่นี้สร่างซา เราคงไม่อาจเผยแพร่ชื่อเสียงของเราให้สะพัดออกไปกว่าเดิมได้ในเร็วๆนี้…”


ตั้งแต่เปิดตัวยาเม็ด 3 ขนาน กระแสจิตปรารถนาที่จางเซวียนได้รับก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด แต่อัตราการเพิ่มของมันกลับค่อยๆช้าลง หากเขาได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง ปริมาณพลังจิตวิญญาณที่ต้องใช้สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธก็ย่อมสูงกว่านี้หลายเท่า


อย่างน้อยที่สุด เขาคงต้องใช้เวลาราว 1 หรือ 2 เดือนกว่าจะเตรียมตัวพร้อมสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้า


อีกอย่าง จางเซวียนยังไม่พบแรงบันดาลใจใดๆที่จะนำไปสู่การสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเลย ทั้งหมดนี้หมายความว่าเขาคงไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จในระยะเวลาอันใกล้


หากการได้เป็นราชันย์เทพเจ้ามันยากเย็นขนาดนี้ ก็แปลว่าเขาคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีใช่ไหมกว่าจะได้เป็นจอมราชันย์?


แบบนั้นก็ช้าเกินไป!


จางเซวียนถอนหายใจอีกเฮือก


หากเขาไม่รู้ว่าหลัวลั่วชิงอยู่ที่ไหนก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว ก็ไม่อาจอดทนรอได้


“ช่างมันเถอะ เราจะมุ่งหน้าไปน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก่อน เมื่อพบเธอแล้ว ก็ค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป…” จางเซวียนบอกตัวเอง


เขาไม่รู้ว่าจอมราชันย์อมตะคนก่อนเสียชีวิตเพราะอะไร แต่ถ้าหลัวลั่วชิงคือผู้สืบทอดตำแหน่ง การปกครองดูแลน่านฟ้าของเธอก็คงไม่ราบรื่นนัก พละกำลังของเธอน่าจะยังอ่อนด้อยกว่าจอมราชันย์แปดคนที่เหลือ ซึ่งนั่นหมายความว่าเธออยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม


ถ้าหลัวลั่วชิงกำลังเผชิญกับความยากลำบาก เขาก็ควรไปยืนเคียงข้างเธอและร่วมกันต่อสู้กับปัญหานั้น


เมื่อตัดสินใจแล้ว จางเซวียนลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องโถงใหญ่ ฉีหลิงเอ๋อเข้ามาตอนนั้นพอดี


“นายน้อยจาง, ยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธ 100 เม็ดและยาเม็ดเพิ่มความงาม 3,000 เม็ดขายหมดแล้ว ส่วนแคปซูลถ่ายทอดพลัง เรากำลังรอให้ร้านยาเม็ดจางเซวียนเปิดขายอย่างเป็นกิจจะลักษณะภายใน 3 วันนี้ก่อนจะนำออกวางขาย”


เพราะแคปซูลถ่ายทอดพลังมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักรบทั่วไป จึงควรกระตุ้นความอยากได้อยากมีของพวกเขาสักหน่อยก่อนจะวางขายจริง เพราะหากทุกคนหาซื้อได้ง่ายๆ ความชื่นชมในแคปซูลของจางเซวียนก็จะลดลงมาก


ซึ่งนั่นจะเป็นการลดปริมาณกระแสจิตปรารถนาที่เขาจะได้รับ


“คุณทำดีมาก” จางเซวียนพยักหน้า “ผมกำลังวางแผนจะออกเดินทางสู่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเพื่อจัดการธุระสักหน่อย ขอฝากธุรกิจทางนี้ให้คุณกับซุนฉางดูแลด้วยนะ”


เมื่อมีนักธุรกิจผู้เฉียบแหลม 2 คนคอยรับมือ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ใช้เวลาไปกับการตามหาหลัวลั่วชิงจะดีกว่า


“คุณจะเดินทางไปน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด?” ฉีหลิงเอ๋อชะงัก “นายน้อย คุณคิดจะเดินทางไปที่นั่นด้วยวิธีไหน? สำหรับระยะทางของมัน ต่อให้คุณขี่อสูรสวรรค์สร้างบินได้ไป กว่าจะถึงก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปี!”


น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ขณะที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดอยู่ทางใต้ ด้วยความกว้างใหญ่ของสรวงสวรรค์ ความห่างของสองน่านฟ้าถือว่าไกลมาก


“มีค่ายกลทะลุมิติที่เชื่อมต่อระหว่างน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนกับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนถาม


เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองตะวันรอน ฉีหลิงเอ๋อเป็นคนเสนอให้พวกเขาใช้ค่ายกลทะลุมิติเดินทางมาที่นี่ แล้วทำไมถึงถามคำถามแบบนี้?


“ค่ายกลทะลุมิติอันนั้นเป็นค่ายกลทะลุมิติขนาดเล็ก มีไว้สำหรับการเดินทางภายในอาณาเขตของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเท่านั้น ถ้าคุณอยากข้ามอาณาเขตและถูกส่งทะลุมิติตรงไปยังน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดล่ะก็ คุณจะต้องใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ แต่การใช้ก็ไม่ง่าย” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย


“ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่?”


คราวนี้จางเซวียนเป็นฝ่ายไม่เข้าใจ


ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้าอย่างระอากับความบื้อของจางเซวียน จริงอยู่ว่าการที่ชายหนุ่มรอบรู้ไปหมดทุกเรื่องนั้นแสนจะน่าทึ่ง แต่บางทีก็กลับไม่รู้ในเรื่องที่ง่ายที่สุดเสียอย่างนั้น


“9 น่านฟ้าและ 9 จอมราชันย์ คือดินแดนที่เป็นเอกเทศต่อกัน ทุกน่านฟ้ามีอาณาเขตของตัวเอง คนนอกไม่มีทางได้รับอนุญาตให้ข้ามอาณาเขตง่ายๆ ส่วนการใช้ค่ายกลทะลุมิติยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าการเดินทางจากน่านฟ้าหนึ่งไปอีกน่านฟ้าหนึ่งมันง่ายดายอย่างนั้น กลุ่มอำนาจต่างๆคงต้องอารักขาดินแดนของตัวเองอย่างเข้มงวด และคงวุ่นวายหนักแน่หากมีกลุ่มอำนาจสักกลุ่มแสดงความอ่อนแอออกมา” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย


การเดินทางไปมาภายในอาณาเขตของน่านฟ้าหนึ่งๆย่อมไม่เป็นปัญหากับนักรบ แต่จะเกิดปัญหาแน่หากเป็นน่านฟ้าอื่น เพราะถ้าแต่ละน่านฟ้าปล่อยให้คนนอกเดินทางเข้านอกออกในได้ตามสบาย ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้มีผู้บุกรุกได้ทุกเวลาที่พวกเขาต้องการ!


“ผมเข้าใจแล้ว…แล้วค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่มีเงื่อนไขในการเข้าใช้อย่างไร?” จางเซวียนถาม


“เท่าที่ฉันรู้ มี 3 วิธีที่จะทำให้คุณใช้ค่ายกลนั้นได้” ฉีหลิงเอ๋อตอบ “วิธีแรก ถ้าคุณได้เป็นราชันย์เทพเจ้า หรือติด 1 ใน 30 ของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า และมีทักษะเชี่ยวชาญในวิชาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้, เหมือนนักปรุงยาฟู่เจียงเฉิน คุณก็จะใช้ค่ายกลทะลุมิติเดินทางไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์ได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ!”


“ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือคุณจะต้องได้รับตำแหน่งผู้แทนของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน แต่เงื่อนไขต่ำสุดของการได้เป็นผู้แทนก็คือต้องได้เป็นนายพลเกราะทองในสังกัดของกองทัพ อีกทั้งยังต้องสั่งสมความดีความชอบไว้มากพอจนได้รับอำนาจโดยตรงจากจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น”


“ส่วนวิธีสุดท้ายก็คือจะต้องได้รับการอนุมัติเป็นพิเศษจากน่านฟ้าเสรี เพราะน่านฟ้าเสรีคือผู้นำของ 9 น่านฟ้า การได้รับอนุมัติเป็นพิเศษจากน่านฟ้าเสรีจึงส่งผลให้คุณใช้ค่ายกลทะลุมิติเดินทางไปทั่วสรวงสวรรค์ได้ตามใจ แต่เงื่อนไขของการได้รับอนุมัติเป็นพิเศษก็เหมือนกับวิธีแรก คือคุณจะต้องได้เป็นราชันย์เทพเจ้าหรือติด 1 ใน 30 ของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า ไม่อย่างนั้น การบิดเบี้ยวของกฎเกณฑ์แห่งมิติจะส่งผลกระทบต่อคุณอย่างรุนแรงเมื่อคุณพยายามจะเดินทางโดยใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่”


“ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน คุณก็ต้องฝึกฝนวรยุทธจนได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงเป็นอย่างน้อย แต่ตอนนี้วรยุทธของนายน้อยจางคือ…”


ฉีหลิงเอ๋อเงียบเมื่อรู้สึกว่าตัวเองพูดไปหมดแล้ว


เธอเห็นชายหนุ่มยกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำมาเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางได้ภายในระยะเวลาเพียง 2-3 วัน


ซึ่งก็แน่นอนว่าการได้เห็นภาพแบบนี้ย่อมทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ฉีหลิงเอ๋อจึงเริ่มทุ่มเทความพยายามให้กับการฝึกฝนวรยุทธ


โชคดีที่เธอมีสถานภาพสูงขึ้นในตระกูลฉี จึงได้รับทรัพยากรทุกชนิดที่จำเป็นต่อการฝึกฝนวรยุทธ แต่ถึงจะมีทั้งทรัพยากรชั้นยอดและความขยันหมั่นเพียรอย่างไม่ลดละ แต่ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เธอก็ทำได้แค่ขัดเกลาวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำที่มีอยู่เท่านั้น


คงอีกยาวไกลกว่าจะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง


ในเมื่อตัวเธอเจอปัญหาแบบนี้ ชายหนุ่มก็คงไม่ต่างกัน


การยกระดับวรยุทธแต่ละขั้นย่อยของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างนั้นยากกว่านักรบระดับเทพเจ้าหลายเท่า


ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีทางที่จางเซวียนจะต้านทานแรงกดดันของค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้


ลำพังแค่ค่ายกลทะลุมิติขนาดเล็กก็น่าสะพรึงจนต้องอาศัยการคุ้มกันจากตราสัญลักษณ์เจ้าเมือง ดังนั้น ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ก็ย่อมมีอานุภาพรุนแรงกว่ากันหลายเท่า มันไม่ใช่เครื่องมือที่ใครจะใช้งานได้ง่ายๆ


“อ๋อ คุณกังวลเรื่องวรยุทธของผมใช่ไหม? ไม่ต้องห่วง ผมสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงแล้ว!”


จางเซวียนพูดขณะเปิดเผยวรยุทธที่แท้จริงต่อสายตาของฉีหลิงเอ๋อ


เพราะเขาเป็นคนนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว จึงไม่มีทางจะเปิดเผยวรยุทธของตัวเองกับใครโดยปราศจากเหตุผล ราชันย์เทพเจ้าอาจมองเห็นวรยุทธที่แท้จริงของเขา แต่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำไม่มีทางทำแบบนั้นได้


“คุณ…”


แรงกดดันมหาศาลที่แผ่ซ่านออกจากร่างของจางเซวียนทำให้ฉีหลิงเอ๋อถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เธออ้าปากค้างและตาโตด้วยความตกใจ


ฉีหลิงเอ๋อตัวสั่นไม่หยุด จากนั้นก็ค่อยๆยกมือขวาขึ้นมาทาบอก ช่วยกดหัวใจที่กำลังเต้นรัว


นี่มันเกินไปแล้ว!


เธอกับเขาเพิ่งพบกันได้ราว 10 วันเท่านั้น แต่ชายหนุ่มสามารถยกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำมาเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง กลายเป็นผู้มีวรยุทธสูงส่งเกินกว่าเธอจะเอื้อมถึง


มนุษย์ยกระดับวรยุทธได้เร็วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ในตอนนั้น ฉีหลิงเอ๋อสาบานกับสรวงสวรรค์ว่าเธอจะไม่มีวันพูดเรื่องวรยุทธหรืออะไรทำนองนี้กับจางเซวียนอีก ไม่อย่างนั้น คงได้หัวใจวายตายเข้าสักวัน…


“อะไรกัน? พละกำลังของผมยังอ่อนด้อยหรือ? ผมต้องสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดใช่ไหม?”


เห็นฉีหลิงเอ๋อเงียบไป จางเซวียนขมวดคิ้ว


ฉีหลิงเอ๋อสูดหายใจลึกและพยายามข่มความคับข้องใจไว้ก่อนจะพูดออกไป “ผู้ที่ติด 1 ใน 30 อันดับแรกในการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้าล้วนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุด นั่นคือเงื่อนไขพื้นฐานที่แบ่งแยกพวกเขาออกจากนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคนอื่นๆ…”


ถึงจางเซวียนจะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงแล้ว แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างตัวเขากับผู้เป็นสุดยอดของวรยุทธขั้นนั้น


ก้าวต่อไปของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคือราชันย์เทพเจ้า แม้จะห่างกันเพียงขั้นเดียว แต่ปริมาณพลังงานที่ต้องใช้สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธถือว่ามหาศาล ถึงขนาดที่นักรบจำนวนหนึ่งต้องขัดเกลารากฐานวรยุทธของพวกเขายาวนานหลายร้อยปี เพียงเพื่อในท้ายที่สุด ก็ฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า


ด้วยเหตุนี้ ช่องว่างของวรยุทธแต่ละขั้นย่อยในวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างจึงห่างกันมาก ผู้ที่เพิ่งได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงย่อมแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับนั้นตั้งแต่ 100 ปีก่อน


แม้ด้วยศักยภาพของจางเซวียน เขาก็ยังต้องฝึกฝนอีกอย่างน้อย 1 ปีกว่าจะพัฒนาตัวเองได้


ขนาดฉีเยว่ซึ่งเป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องและมีทรัพยากรมากมายของตระกูลฉี ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าจะยกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-ขั้นต้นไปเป็นขั้นสูงสุดได้สำเร็จ


“อย่างนั้นหรือ?”



 

 

 


ตอนที่ 2244 แค่กินยา…

 

เมื่อรู้ว่าจะต้องยกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดให้ได้เป็นอย่างน้อย จางเซวียนออกอาการลังเลใจอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะพึมพำ “ก็คงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ ต้องใช้วิธีนั้น…”


เขาสะบัดข้อมือและนำยาเม็ดหนึ่งออกมา


มันคือยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าที่เขาเพิ่งซื้อจากฟู่เจียงเฉินมาเมื่อครู่


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงทั่วไปไม่มีประโยชน์กับจางเซวียนแล้ว จึงต้องใช้สิ่งนี้เพื่อยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้น


จางเซวียนโยนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดใส่ปากโดยไม่ลังเล


“นายน้อยจาง คุณจะ…”


ฉีหลิงเอ๋อถึงกับงงที่เห็นจางเซวียนหยิบยาใส่ปากทันทีหลังจากฟังคำพูดของเธอ


คุณคิดจะทำอะไร?


คงไม่ใช่พยายามฝ่าด่านวรยุทธตอนนี้หรอกนะ ใช่ไหม?


ไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องปรับสภาวะของตัวเองเลยหรือไง?


แค่กินยา…คงไม่ทำให้คุณยกระดับวรยุทธได้หรอกนะ!


ฉีหลิงเอ๋อกำลังจะเอ่ยปากถาม ก็พอดีกับที่เห็นชายหนุ่มหลับตา สองวินาทีต่อมาเขาก็ลืมตาอีกครั้งและพูดว่า “เรียบร้อย ตอนนี้ผมเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดแล้ว”


เมื่อสิ้นเสียง รังสีไร้เทียมทานก็แผ่ซ่านออกจากร่างของเขา แรงกดดันที่เกิดขึ้นนั้นทรงพลังเสียจนฉีหลิงเอ๋อรู้สึกเหมือนจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ


“อะ-อะไรกัน…” เธองุนงงอย่างหนัก


ฉันพูดออกไปแค่ไม่กี่คำหลังจากที่คุณกลืนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าลงไป แต่ในช่วงเวลาเพียงเท่านั้น คุณก็ทำมันสำเร็จ ขณะที่ฉีเยว่ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี?


ฉีหลิงเอ๋อรู้สึกคับข้องใจกว่าที่ผ่านมา เธอยกมือขึ้นลูบอกเพื่อบรรเทาความอึดอัดภายใน


โชคดีที่ฉีเยว่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นคงช้ำใจจนสุดจะบรรยาย!


บ้าสิ้นดีที่เห็นใครคนหนึ่งทำอะไรสักอย่างสำเร็จโดยง่ายแสนง่าย ขณะที่คนอื่นๆต้องใช้เวลาไม่รู้กี่ปี…


ให้ตายเถอะ! โลกนี้ปล่อยให้ปีศาจแบบจางเซวียนปรากฏตัวได้อย่างไร?


ไม่ยุติธรรมเลย!


“เป็นไงบ้าง? ผมแข็งแกร่งพอหรือยัง? ถ้าเท่านี้ยังไม่พอล่ะก็ รอสักหน่อย แล้วระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของผมก็จะเพิ่มขึ้นจนเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดเหมือนกัน” จางเซวียนพูด


ระดับวรยุทธของกายเนื้อและพลังปราณของเขาคือเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดแล้ว แต่วรยุทธของจิตวิญญาณยังไม่ถึงระดับนั้น จางเซวียนยังต้องอาศัยเวลาสั่งสมกระแสจิตปรารถนาให้ได้มากกว่านี้


“มะ-ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก…”


เกรงว่าชายหนุ่มจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณพุ่งพรวดขึ้นมาในทันที ฉีหลิงเอ๋อรีบออกปากห้าม เธอหลับตาครู่หนึ่งเพื่อปรับสภาพจิตใจก่อนจะพูดต่อ “นายน้อยจาง ตอนนี้คุณแข็งแกร่งพอแล้ว เพียงแต่…3 วิธีที่ฉันอธิบายไปเมื่อครู่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จกันได้ง่ายๆเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขที่คุณต้องได้เป็นราชันย์เทพเจ้า หรือเข้าถึงความเป็นเลิศในวิชาชีพ หรือได้รับตำแหน่งนายพลเกราะทองของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ส่วนน่านฟ้าเสรี…การจะได้รับคำอนุมัติเป็นพิเศษจากพวกเขาก็ยากพอๆกับความพยายามที่จะหยั่งถึงสรวงสวรรค์นั่นแหละ”


“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้า


ทั้ง 3 วิธีที่ฉีหลิงเอ๋อพูดมาไม่ใช่งานง่ายเลย


ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาควรใช้เวลาอีก 1 หรือ 2 เดือนเพื่อขัดเกลาวรยุทธให้ได้เป็นราชันย์เทพเจ้าก่อนจะดีไหม?


แต่นั่นจะเสียเวลามากไป คงต้องเก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย


มีวิธีอื่นใดที่จะทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายในชั่วข้ามคืน หรืออีกแค่ 2-3 วันนับจากนี้?


แบบนั้นก็คงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเขายังไม่รู้เลยว่าจะพัฒนาเวทนาสวรรค์ไปในทิศทางไหน


ยิ่งไปกว่านั้น จางเซวียนยังรู้ว่าอุปสรรคของการก้าวข้ามด่านคอขวดไปเป็นราชันย์เทพเจ้านั้นถือว่าหนักหนาสาหัส แน่นอนว่าเขาคงต้องเผชิญปัญหามากมาย


“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าผู้ที่เข้าถึงความเป็นเลิศในวิชาชีพและอยู่ใน 30 อันดับแรกของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้าจะสามารถใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้ใช่ไหม? แล้วอาชีพไหนบ้างที่เข้าข่ายเงื่อนไขนี้?” จางเซวียนถาม


“นักปรุงยา นายแพทย์ ช่างตีเหล็ก ปรมาจารย์…ฉันคิดว่าสี่อาชีพนี้นะ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ “อาชีพเหล่านี้ไม่เน้นการต่อสู้ ทั้งยังสร้างคุณงามความดีมากมายให้เหล่านักรบ กลุ่มอำนาจส่วนใหญ่ต่างกระตือรือร้นเสาะหาผู้เชี่ยวชาญในสี่อาชีพที่ฉันพูดมา”


“การที่คุณคิดค้นยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธได้ก็บอกชัดแล้วว่าความเชี่ยวชาญในการหลอมยาของคุณนั้นไม่ธรรมดา ถ้าคุณเข้ารับการทดสอบและได้การยอมรับอย่างเป็นทางการให้เป็นสมาชิกของสมาคมนักปรุงยา ก็จะได้รับสิทธิ์ให้ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่!”


“รายละเอียดของการทดสอบเป็นอย่างไร?”


“การทดสอบของสมาคมนักปรุงยาในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนกำหนดให้ผู้เข้ารับการทดสอบทำการหลอมยาตามช่วงเวลาที่กำหนด ขอแค่ผู้นั้นหลอมยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงได้ ก็จะผ่านการทดสอบ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


“ฮะ? ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูง?” จางเซวียนแอบจุก


แม้เขาจะเป็นผู้คิดค้นยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธและยาเม็ดเพิ่มความงามที่สุดแสนจะน่าทึ่ง แต่ทักษะการหลอมยาที่แท้จริงของเขานั้นเรียกได้ว่าหายนะ อย่าว่าแต่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูง…ต่อให้เป็นแค่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำ ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีปัญญาหลอมหรือเปล่า!


เขาคงถูกเปิดโปงว่าเป็นไอ้คนหลอกลวงทันทีที่พยายามหลอมยาสักเม็ดต่อหน้านักปรุงยาคนอื่นๆ!


ส่วนเรื่องการตีเหล็ก ก็ดูเหมือนเขาจะทำได้ไม่ดีไปกว่าการหลอมอิฐก้อนหนึ่ง


หลังจากพิจารณาแล้ว ทางเลือกเดียวที่พอจะเป็นไปได้สำหรับจางเซวียนก็คือพุ่งเป้าไปที่เส้นทางของการเป็นปรมาจารย์หรือนายแพทย์


“ถ้าผมเข้ารับการทดสอบของนายแพทย์ จะต้องมีความเชี่ยวชาญขนาดไหนถึงจะใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้? แล้วการทดสอบเป็นอย่างไร?” จางเซวียนถาม


ถ้าเขาเลือกเส้นทางของการเป็นปรมาจารย์ ก็คงต้องยุ่งเกี่ยวกับปรมาจารย์ขงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจางเซวียนก็ไม่อยากทำตัวให้เตะตาปรมาจารย์ขงจนกว่าตัวเขาจะแข็งแกร่งมากพอ


เรื่องที่เกิดขึ้นในมิติเบื้องบนทำให้เขาระแวง


“นายแพทย์?” ฉีหลิงเอ๋อขมวดคิ้วขณะครุ่นคิด “เรื่องนี้…ฉันเกรงว่าจะไม่รู้ คงต้องไปสอบถามที่สมาคมนายแพทย์”


“ว่าแต่…คุณเป็นนักปรุงยาไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงคิดจะเข้ารับการทดสอบของนายแพทย์ล่ะ? หรือคุณจะบอกฉันว่าคุณเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาโรคด้วย?”


“ไปที่นั่นกันเถอะ” จางเซวียนตอบ


ไม่ช้าเขาก็คงได้เข้ารับการทดสอบและผ่านมันไปได้ ซึ่งจะช่วยทุ่นเวลาได้มาก


“ไปสิ” ฉีหลิงเอ๋อพยักหน้า


ในสรวงสวรรค์มีองค์กรของทุกวิชาชีพ เพียงแต่ไม่ได้ทรงอิทธิพลเหมือนในทวีปแห่งปรมาจารย์


สิ่งที่ผู้คนในสรวงสวรรค์ให้คุณค่ามากที่สุดคือพละกำลังและความแข็งแกร่ง ขอแค่ใครสักคนมีความแข็งแกร่งมากพอ ทั้งผู้คนมากมายและบรรดาผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพต่างๆก็จะเข้ารุมล้อม


ด้วยเหตุนี้ แม้อาชีพนักปรุงยา นายแพทย์ และช่างตีเหล็กจะได้รับความนิยมชมชอบ แต่สถานภาพของพวกเขาก็ไม่สูงส่งเท่ากับผู้ประกอบอาชีพเดียวกันที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


เหล่าปรมาจารย์ในสรวงสวรรค์ก็ไม่ได้มีระเบียบและเป็นหนึ่งเดียวเหมือนเหล่าปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์…จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะหวนนึกถึงพฤติกรรมของฟ่านเจ๋อ


ผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์ให้ความคาดหวังกับเหล่าปรมาจารย์สูงมาก ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องรอบรู้เรื่องวรยุทธ ยังต้องเชี่ยวชาญในทักษะของหลากหลายวิชาชีพด้วย ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวทุกคนจะต้องมีความเชี่ยวชาญใน 9 อาชีพที่แตกต่างกันออกไป


ส่วนที่สรวงสวรรค์ ดูเหมือนเหล่าปรมาจารย์จะมุ่งเน้นเรื่องการสอนมากกว่าเรื่องอื่นๆ แถมยังไม่มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเรื่องจริยธรรม


บางที…ปรมาจารย์ขงอาจวางรากฐานระบบปรมาจารย์ด้วยความรีบร้อนเพื่อให้ได้กระแสจิตปรารถนาในปริมาณมาก ดังนั้น จึงไม่มีเวลามากพอที่จะขัดเกลาทีละขั้นเพื่อทำให้อาชีพนี้พัฒนาไปตามรูปแบบที่ควรจะเป็น


ปรมาจารย์ขงดำเนินกระบวนการของเขาอย่างรวดเร็ว ท้าทาย 9 จอมราชันย์คนแล้วคนเล่า ถ้าเขารอช้า สภาปรมาจารย์คงถูกกลุ่มอำนาจอื่นๆเล่นงานตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง


บ้านพักของจางเซวียนอยู่ห่างจากสมาคมนายแพทย์ไม่น้อย ขนาดขี่อสูรสวรรค์สร้างบินได้ไปก็ยังใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ที่นี่เหมือนกับสภาปรมาจารย์ อาคารสมาคมนายแพทย์ดูไม่โอ่อ่าหรูหราเท่าไหร่


หากจะให้จางเซวียนบรรยาย ก็คงต้องบอกว่าเหมือนคลินิกส่วนตัวมากกว่า


มีผู้คนอยู่ในนั้นแน่นขนัด ส่วนใหญ่สวมเสื้อคลุม แต่ละคนมีสีหน้ากระวนกระวาย


“นายแพทย์หวังฉิง, นายแพทย์เย่เฉวียน, นายแพทย์เสิ่นจื่อมู่…”


ฉีหลิงเอ๋อจดจำฝูงชนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ได้หลายคน เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


“พวกเขาโด่งดังมากเลยหรือ?” จางเซวียนถาม


“คนเหล่านั้นคือนายแพทย์ที่เก่งกาจที่สุดในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน โดยปกติพวกเขามักมีธุระยุ่งเสียจนไม่ได้พบปะกันเลยแม้จะอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกันก็ตาม น่าประหลาดมากที่ทั้งสามคนมารวมตัวกันที่สมาคมนายแพทย์ในวันนี้” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


นายแพทย์หวังฉิงคือนายแพทย์ใหญ่ประจำตระกูลฉี รับหน้าที่ดูแลปัญหาสุขภาพของสมาชิกชั้นสูงของตระกูลฉีทุกคน


นายแพทย์เย่เฉวียนคือนายแพทย์ใหญ่ประจำตระกูลเป่ยถัง ส่วนนายแพทย์เสิ่นจื่อมู่คือนายแพทย์ใหญ่ประจำตระกูลเสิ่นถู


แม้โดยเผินๆ ทั้ง 3 ตระกูลจะดูเหมือนมีความสัมพันธ์อันดี แต่แท้ที่จริงแล้วต่างซุ่มแข่งขันกันอยู่ในเงามืด แม้ในการพบปะที่จัดโดยสมาคมนายแพทย์ พวกเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


จึงออกจะประหลาดที่เห็นทั้ง 3 ปรากฏตัวพร้อมกันที่นี่


“คงต้องถามใครสักคนแล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


เขารั้งตัวนายแพทย์หนุ่มคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมาและมอบเงินสิบเหรียญสวรรค์ให้อีกฝ่าย “ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”


นายแพทย์หนุ่มรับเงินไว้ “มันคือการประลองนายแพทย์!”


“การประลองนายแพทย์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาเคยได้ยินว่ามีการแข่งขันเรื่องความเชี่ยวชาญในการหลอมยาและการตีเหล็ก แต่ความสามารถในการรักษาคนไข้…มันประชันกันได้ด้วยหรือ?


นักปรุงยาที่สามารถสกัดพลังงานทางยาจากสมุนไพรและหลอมยาเม็ดที่มีศักยภาพสูงสุดได้ย่อมเป็นนักปรุงยาที่มีทักษะเชี่ยวชาญที่สุด ส่วนช่างตีเหล็กที่สามารถหลอมอาวุธที่ทนทานและคมกริบที่สุดก็คือช่างตีเหล็กที่มีทักษะเป็นเลิศ…


แล้วนายแพทย์จะประชันทักษะของพวกเขาอย่างไร?


วิถีทางของการรักษาโรคนั้นกว้างขวางและมีมากมาย โดยนายแพทย์แต่ละคนก็มีความถนัดเฉพาะทางของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันปลอดภัยแล้วหรือที่จะทดสอบการรักษาโรคกับคนไข้เพื่อดูว่าวิธีของใครมีประสิทธิภาพมากกว่า?


นั่นคือการเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยนะ! ให้คุณค่ากับคนไข้ของพวกเขาน้อยไปหรือเปล่า?



 

 

 


ตอนที่ 2245 ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน…

 

“ก็เป็นธรรมดาที่คนนอกอย่างคุณจะไม่รู้ จริงอยู่ว่ากระบวนการประเมินผลของการประชันทักษะนายแพทย์อาจไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดสำหรับการวัดระดับทักษะของนายแพทย์คนหนึ่ง เราจำลองกระบวนการการรักษาขึ้นมา ซึ่งนายแพทย์จะต้องวินิจฉัยคนไข้และทำการรักษาผู้นั้น รูปแบบการประเมินที่เตรียมไว้จะทำให้เราตัดสินได้ว่านายแพทย์คนไหนมีทักษะเชี่ยวชาญที่สุด” ชายหนุ่มอธิบาย


ในเวลานี้ การประลองนายแพทย์คือวิธีที่เป็นทางการและน่าเชื่อถือที่สุดในการแบ่งแยกนายแพทย์ที่เก่งกาจออกจากผู้ที่อ่อนด้อยกว่า


ไม่ใช่ทุกวันที่จะมีคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคซึ่งรักษาได้ยาก ดังนั้น โอกาสที่เหล่านายแพทย์จะได้พิสูจน์ตัวเองจึงมีไม่มาก


ด้วยเหตุนี้ นายแพทย์ส่วนใหญ่จึงเข้าร่วมการประลองนายแพทย์เพื่อพิสูจน์ให้เห็นทักษะของพวกเขา ขอแค่ได้ชัยชนะในการประลอง ทุกคนก็จะให้การยอมรับในทักษะการรักษาโรคที่เขามี


“แต่ในการจำลองกระบวนการรักษา พวกคุณก็ต้องมีคนไข้ ถูกไหม? สมาคมนายแพทย์คงไม่ได้ยื้ออาการของคนไข้ที่เป็นโรคยากๆเอาไว้เพื่อนำมาใช้ในการประลองนายแพทย์หรอกนะ หรือไง?”


จางเซวียนเห็นด้วยว่าการจำลองกระบวนการรักษาคือวิธีที่ดีที่สุดในการประเมินทักษะของนายแพทย์ แต่หากไม่มีคนไข้ให้รักษา การจำลองใดๆก็เปล่าประโยชน์!


ซึ่งหากพวกเขาเตรียมคนไข้ไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ในการประลอง ก็คงทำให้ชื่อเสียงของสมาคมนายแพทย์เสื่อมเสียไม่น้อย ในฐานะบุคคลที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายชะตากรรมของคนไข้ คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้หากบรรดานายแพทย์เห็นชีวิตคนเป็นของไร้ค่า


“ไม่ใช่อยู่แล้วล่ะน่ะ! โดยลักษณะทั่วไปของการประลองนายแพทย์ มีการประลองบางส่วนที่ต้องใช้คนไข้ตัวเป็นๆ แต่บางส่วนก็ไม่ต้องใช้ ถึงอย่างไรการประลองก็คงไม่คืบหน้าถ้าจะจัดขึ้นได้เฉพาะเมื่อมีคนไข้ที่พร้อมรับการรักษา…” นายแพทย์หนุ่มตอบ


เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากในกระบวนการรักษาเกือบทุกรูปแบบ ซึ่งหากรอช้า กว่านายแพทย์ทั้งหมดจะมารวมตัวกันได้ คนไข้ก็คงตายไปเสียก่อนหรือไม่ก็เกินเยียวยา


ดังนั้น รูปแบบของการประลองนายแพทย์จึงต้องเปลี่ยนไป


จางเซวียนกำลังจะถามว่าการประลองนายแพทย์มีรายละเอียดอย่างไร ก็พอดีกับที่เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ขึ้นในห้อง


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวยาวๆขึ้นมาบนเวที


“นั่นคือประธานสมาคมนายแพทย์, ซุนเชี่ยน” ฉีหลิงเอ๋อกระซิบกับจางเซวียน


จางเซวียนตั้งใจพินิจพิจารณาอีกฝ่าย


ประธานสมาคมนายแพทย์เป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 40 ปี ดูสุขุมมั่นคงและเชื่อถือได้ ระดับวรยุทธของเขาคือเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง


“ทุกท่าน น่านฟ้าแห่งมังกรเมฆได้ท้าทายน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเราเข้าสู่การประลองการรักษาโรค พวกเขายื่นข้อเรียกร้องให้เรายอมรับว่าพวกเขาเหนือชั้นกว่า และส่งนายแพทย์จากสมาคมนายแพทย์ของเราจำนวน 10 คนให้ไปทำงานฟรีที่น่านฟ้าแห่งมังกรเมฆเป็นเวลา 100 ปีหากเราแพ้ ก็อย่างที่พวกคุณรู้ ผมไม่อยากมีปัญหาโดยไม่จำเป็น แต่เรื่องนี้ไม่อาจยอมรับได้ ผมอดทนกับการดูถูกเหยียดหยามของพวกเขาไม่ไหว พวกคุณที่เหลือคิดว่าอย่างไร?” ประธานซุนเชี่ยนคำรามก้อง


“พวกเราจะไม่อดทนกับการดูถูกเหยียดหยามเช่นกัน!”


“เจ้าพวกน่านฟ้ามังกรเมฆก็มีดีแค่ที่สายเลือด จะรู้อะไรเรื่องการรักษาโรค? เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงท้าทายพวกเรา?”


“ต้องการให้เรารับใช้พวกเขา 100 ปี? ถ้าไม่สั่งสอนบทเรียนเสียบ้าง พวกเราคงกลายเป็นตัวตลกให้ทั้งโลกหัวเราะเยาะ!”


ความโกรธเกรี้ยวอบอวลไปทั่วขณะที่ทุกคนหน้าตาบึ้งตึง


“ถ้าอย่างนั้น ก็รับคำท้าของพวกเขาแล้วเหยียบให้จมดิน! ศักดิ์ศรีของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนคือเดิมพัน พวกเราจะแพ้ไม่ได้!” ซุนเชี่ยนประกาศอย่างวางมาด


“เอาล่ะ ตอนนี้ผมจะประกาศรายชื่อของผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าประลองกับเหล่านายแพทย์ของน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆ มีทั้งหมด 5 คน พวกเขาคือนายแพทย์ผู้ทรงเกียรติที่สุดของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเรา ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็คัดค้านได้ แต่คุณต้องแน่ใจนะว่ามีเหตุผลดีพอ!”


ฝูงชนพากันพยักหน้า


ก็เหมือนกับวรรณคดีที่ไม่อาจหาผู้เป็นที่หนึ่งได้ การระบุตัวนายแพทย์ที่ดีที่สุดก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน แต่ทุกคนก็พอมีเกณฑ์ประเมินในใจว่าใครที่มีทักษะเชี่ยวชาญกว่า


“ในฐานะผู้ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมนายแพทย์ คงเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หากผมไม่ยอมเคลื่อนไหวทั้งที่สมาคมของเราถูกคนนอกดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะฉะนั้น ผมขอเสนอตัวผมเองเป็นหนึ่งในตัวแทนผู้เข้าประลองกับน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆ มีใครในหมู่พวกคุณต้องการคัดค้านไหม?” ซุนเชี่ยนถาม


“พวกเราไม่มีปัญหาเลยถ้าประธานซุนจะท้าทายพวกน่านฟ้ามังกรเมฆ!” ฝูงชนตอบเป็นเสียงเดียวกัน


“ส่วนหวังฉิง เย่เฉวียน และเสิ่นจื่อมู่ก็เป็นนายแพทย์ประจำสามตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง มีหน้าที่รับผิดชอบการเยียวยารักษานักรบระดับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของแต่ละตระกูล ดังนั้น ทักษะการรักษาโรคของพวกเขาจึงย่อมเหนือชั้นกว่าใครๆ ผมขอเสนอชื่อพวกเขาให้เป็นตัวแทนของเราด้วย!” ซุนเชี่ยนประกาศ


ฝูงชนพยักหน้า


การที่ทั้งสามได้รับเลือกให้เป็นนายแพทย์ประจำตระกูลของสามตระกูลใหญ่คือหลักฐานที่บ่งบอกชัดเจนถึงความเชี่ยวชาญของพวกเขา ดังนั้นทุกคนจึงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้เป็นตัวแทนของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


หลังจากได้ตัวแทนทั้ง 4 คนแล้ว ซุนเชี่ยนกวาดสายตามองฝูงชนและพูดต่อ “ส่วนตัวแทนคนสุดท้าย ผมยังไม่มีใครอยู่ในใจ จึงขอยกให้เป็นการตัดสินใจของพวกคุณ มีใครอยากเสนอชื่อตัวแทนบ้าง?”


“ผมขอเสนอชื่อนายแพทย์เฉินเฉ่า เมื่อ 8 ปีก่อน ตอนที่เกิดหายนะภัยครั้งใหญ่ เขาคือผู้ให้การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยชีวิตผู้เชี่ยวชาญไว้ได้หลายพันคน ในแง่ของทักษะและความสำเร็จ ไม่น่าจะมีใครคู่ควรกว่าเขาอีกแล้ว!”


“ผมเสนอชื่อนายแพทย์จ้าวชง! ทุกคนที่นี่ได้เห็นกับตาแล้วว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาทำอะไรให้สมาคมนายแพทย์ของเราบ้าง เขารักษาอาการป่วยที่รักษาได้ยากทุกรูปแบบได้อย่างสบาย และตลอดสิบปีที่ผ่านมา ก็ช่วยชีวิตผู้คนไว้อย่างน้อยหลายร้อยชีวิต ประชากรในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเรียกขานเขาว่าหมอเทวดา! ผมเชื่อว่าเขาคือตัวแทนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้าร่วมการประลองกับน่านฟ้ามังกรเมฆ”


“แต่ในแง่ประสบการณ์ นายแพทย์เฉียนไห่คือผู้เหมาะสมที่สุดนะ ชื่อเสียงของเขาอาจไม่ระบือลือลั่นเท่าคนอื่นๆ แต่เขาทำงานด้านนี้มาหลายปีแล้ว ถ้าจะพูดกันถึงความน่าเชื่อถือ ผมไม่คิดว่าจะมีใครอื่นในสมาคมนายแพทย์เทียบชั้นกับเขาได้หรอก…”


เพียงครู่เดียว ฝูงชนก็เสนอชื่อตัวแทนที่ดูจะมีศักยภาพถึง 8 คน


สำหรับนายแพทย์เหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นคนดัง เป็นผู้ที่ผู้คนในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนต่างให้ความเคารพยกย่อง


เสียงหารือของฝูงชนดังขึ้นเรื่อยๆ และเผ็ดร้อนขึ้นทุกขณะเมื่อพวกเขาโต้แย้งกันว่าทำไมตัวแทนที่ตนเองเสนอจึงมีความเหมาะสมที่สุด


ระหว่างนั้น จางเซวียนหันไปถามฉีหลิงเอ๋อ “ตัวแทนทั้ง 5 คนที่ได้รับเลือกจะมีสิทธิ์ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่หรือเปล่า?”


เขามาที่นี่ด้วยความหวังว่าจะมีโอกาสได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ แต่จากสถานการณ์ที่เห็น ดูเหมือนไม่น่ามีใครอยู่ในสภาพพร้อมจะทดสอบเขา ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เข้าแข่งขันเพื่อชิงที่นั่งสุดท้ายก็น่าจะดีกว่า


“เอ่อ…เท่าที่ฉันรู้ หวังฉิง เย่เฉวียน และเสิ่นจื่อมู่ไม่มีสิทธิ์ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ ในบรรดานายแพทย์ทั้งหมดของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน มีแต่ประธานซุนเชี่ยนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้มัน”


“ถ้าคุณอยากพิสูจน์ตัวเองว่ามีคุณสมบัติเพียงพอล่ะก็ นอกจากจะต้องได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ตัวแทนแล้ว คุณยังต้องเอาชนะคู่ต่อสู้จากน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆและคว้าชัยชนะในการประลองนายแพทย์มาให้ได้ด้วย” ฉีหลิงเอ๋อพูด


“อะไรกัน? เงื่อนไขการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่เข้มงวดอย่างนั้นเลยหรือ?” จางเซวียนชะงัก “ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็…แปลว่าทั้ง 9 น่านฟ้าคงไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันใช่ไหม?”


หากมีแต่ผู้ที่ได้เป็นเลิศในแต่ละวิชาชีพเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ จำนวนผู้ที่มีโอกาสใช้มันก็น่าจะต่ำมาก


ถ้าการเข้าถึงน่านฟ้าอื่นๆมันยากเย็นแบบนั้น พวกเขาทำธุรกิจกันอย่างไร? แต่ละน่านฟ้ามีการทำธุรกิจซึ่งกันและกันหรือเปล่า?


หรือว่าแต่ละดินแดนแยกตัวเป็นเอกเทศต่อกันอย่างสิ้นเชิงและแทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เหมือนน้ำนิ่งหย่อมหนึ่ง


“คุณก็คิดมากไป!” ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้า “สิ่งที่คุณจะต้องแข่งขันเพื่อไขว่คว้ามันมาคือสิทธิ์ในการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ ไม่ใช่สิทธิ์ในการเข้าสู่น่านฟ้าอื่นๆ ชายแดนระหว่างน่านฟ้าของเรากับน่านฟ้าอื่นๆนั้นเปิดอยู่เสมอ คุณเข้านอกออกในได้ตามสบาย”


“ด้วยอายุขัยอันยาวนานของนักรบ ผู้คนส่วนใหญ่จึงสามารถเสียเวลา 2-3 ปีไปกับการเดินทางไปยังน่านฟ้าอื่นๆ พวกเขาขี่อสูรสวรรค์บินได้ หรือไม่ก็อสูรสวรรค์สร้าง”


“ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน…” จางเซวียนกุมขมับอย่างจนปัญญา


ฉีหลิงเอ๋อพูดถูก


โอกาสในการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ควรเรียกว่าเป็นสิทธิพิเศษ สิทธิพิเศษนี้ทำให้นักรบคนหนึ่งทะลุมิติไปสู่ใจกลางของอีกน่านฟ้าหนึ่งได้ในชั่วพริบตา จึงอันตรายมากถ้าใครสักคนใช้มันด้วยวัตถุประสงค์สัพเพเหระ


ดังนั้น การเข้าถึงสิทธิพิเศษนี้จึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขเข้มงวด


ในโลกที่นักรบทั่วไปต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่พวกเขาจะใช้เวลาหลายปีเพื่อเดินทางไปยังอีกน่านฟ้า


สำหรับนักรบระดับเทพเจ้าทั่วไป การใช้เวลาเดินทาง 2-3 ปีดูจะเป็นความสิ้นเปลืองใหญ่หลวงเพราะพวกเขามีอายุขัยสั้น แต่สำหรับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างนั้นไม่เหมือนกัน เพราะพวกเขาอยู่ได้เป็นพันปี อีกทั้งยังใช้เวลาหลายเดือนในการปลีกวิเวก การเดินทางจากน่านฟ้าหนึ่งไปอีกน่านฟ้าหนึ่งโดยเสียเวลาไปสองสามปีจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่


ขณะที่จางเซวียนยังพูดคุยกับฉีหลิงเอ๋อ ซุนเชี่ยนก็ส่งเสียงแทรกความอื้ออึงเซ็งแซ่ของฝูงชน “ในเมื่อพวกเรายังตกลงกันไม่ได้ ทำไมไม่ให้นายแพทย์ที่ได้รับการเสนอชื่อแข่งขันกันล่ะ? ใครที่พิสูจน์ตัวเองได้ว่ามีศักยภาพที่สุดก็จะได้เป็นตัวแทนของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของพวกเรา!”


“อย่างนั้นก็ได้”


ฝูงชนพยักหน้ารับ


แต่ละคนมีความเห็นส่วนตัวว่าใครคือตัวแทนที่เหมาะสมที่สุด จึงเป็นธรรมดาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้แม้จะผ่านการโต้แย้งถกเถียงยาวนาน ดังนั้น จึงย่อมดีที่สุดถ้าสามารถจัดการประลองเพื่อหาตัวผู้ชนะ


วิธีนี้จะทำให้ทุกคนยินดียอมรับผลการตัดสิน



 

 

 


ตอนที่ 2246 อัศวินอิสระ

 

“ถ้าอย่างนั้น ขอเชิญนายแพทย์ทุกคนที่ได้รับการเสนอชื่อขึ้นมาบนเวที!” ซุนเชี่ยนพูด


ไม่ช้า นายแพทย์ทุกคนที่ได้รับการเสนอชื่อก็มารวมตัวกัน มีทั้งหมด 8 คน พวกเขาคือนายแพทย์ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ทุกคนได้ทำคุณงามความดีมากมายให้กับโลกใบนี้


ซุนเชี่ยนมองไปรอบๆ “มีใครอยากเข้าร่วมการประลองอีกไหม? ขอแค่คุณได้ชัยชนะ ก็จะได้รับโอกาสให้เป็นตัวแทนของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเข้าสู่การท้าทายน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆ”


ได้ยินคำนั้น ฉีหลิงเอ๋อหันมาถามจางเซวียน “นายน้อยจาง คุณคิดจะเข้าร่วมการประลองไหม?”


พูดกันตามตรง เธอก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มมีความเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาโรคแค่ไหน แต่เพราะรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีสายเลือดจอมราชันย์ จึงไม่กล้าสบประมาทความสามารถของเขา เธอจึงตัดสินใจถามความเห็นของอีกฝ่าย


“แน่นอน ผมจะเข้าร่วมการประลองด้วย” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


วัตถุประสงค์หลักของเขาในการเอาชนะการประลองครั้งนี้ก็เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ในการใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ เขาจะปล่อยให้โอกาสที่อยู่ต่อหน้าต่อตาหลุดมือไม่ได้


“ถ้าอย่างนั้น…” ได้ฟังคำตอบ ฉีหลิงเอ๋อก้าวออกไปและประกาศ “นายน้อยของเราอยากเข้าร่วมการประลองด้วย!”


เสียงของเธอดังก้องและทรงอำนาจ ดึงดูดทุกสายตาให้หันมาจับจ้องทันที


“คุณหลิงเอ๋อ, คุณ…”


นายแพทย์หวังฉิงที่อยู่บนเวทีมองเธออย่างสงสัย


ในฐานะนายแพทย์ประจำตระกูลฉี เขารู้ดีเรื่องการเปลี่ยนขั้วอำนาจที่เพิ่งเกิดขึ้นในตระกูลฉีเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งยังเคยพบฉีหลิงเอ๋อหลายครั้ง รู้ดีว่าตอนนี้เธอได้รับความสำคัญจากผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลฉีมากแค่ไหน


แล้วนายน้อยที่เธอพูดถึงเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน? หรือเธอกำลังหมายถึงอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอีก 2-3 คนของตระกูลฉี? แต่เขาได้เห็นการเติบโตของลูกหลานรุ่นหลังทุกคนของตระกูลฉี ยังไม่พบว่ามีใครที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาโรคเลย


ด้วยเหตุนี้ จึงอดงุนงงไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองไปรอบห้อง แต่ดูเหมือนจะไม่มีสมาชิกตระกูลฉีเลยสักคน


“ไม่ทราบว่านายน้อยที่คุณพูดถึงคือใคร?” นายแพทย์หวังฉิงตั้งคำถาม


“ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนายน้อยจางเซวียน” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


“จางเซวียน?”


“เธอกำลังหมายถึงผู้คิดค้นยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธหรือเปล่า?”


“เดี๋ยวก่อน ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเธอคือจางเซวียนใช่ไหม? ฉันอยู่ที่งานวันนั้นเหมือนกัน ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาหน้าตาแบบนี้”


“คุณพูดถูก! ชายหนุ่มคนนั้นคือจางเซวียนจริงๆ แต่…เขาเป็นนักปรุงยาไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมาร่วมการประลองของพวกเรา? นายแพทย์กับนักปรุงยาใช้สมุนไพรเหมือนกันก็จริง แต่ก็เป็นสองอาชีพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!”


“แต่คุณลองคิดดูนะ ทั้งยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธกับยาเม็ดเพิ่มความงามล้วนมีประสิทธิภาพในการเยียวยาความบอบช้ำภายใน แปลว่าเขาน่าจะมีความรู้เรื่องวิถีทางของการรักษาโรคด้วย”


ด้วยชื่อเสียงที่แพร่สะพัดออกไปของยาเม็ดเพิ่มความงามและยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธ จึงแทบไม่มีใครสักคนในเมืองหลวงที่ไม่เคยได้ยินชื่อของจางเซวียน แน่นอนว่ารวมถึงสมาคมนายแพทย์


พวกเขาให้ความเคารพชายหนุ่มที่คิดค้นยาเม็ดที่มีอานุภาพราวปาฏิหาริย์ แต่ในฐานะนักปรุงยา ทำไมชายหนุ่มถึงมาเข้าร่วมการประลองนายแพทย์แทนที่จะเป็นการประลองของสมาคมนักปรุงยา?


“คุณเป็นนายแพทย์หรือ?” ซุนเชี่ยนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


จางเซวียนพยักหน้า “ผมเคยอ่านหนังสือเรื่องการรักษาโรคมาบ้าง และเคยรักษาคนไข้จำนวนหนึ่ง”


“คุณผ่านการทดสอบคุณสมบัติของการเป็นนายแพทย์หรือยัง?” ซุนเชี่ยนถามต่อ


“ผมยังไม่มีโอกาสเข้ารับการทดสอบเลย” จางเซวียนตอบ


เขาเป็นนายแพทย์ระดับ 9 ดาวเมื่อครั้งยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่แน่นอนว่าตัวตนนั้นคงไม่ได้การยอมรับในสรวงสวรรค์


“นายน้อยจาง ผมยำเกรงความสามารถของคุณในฐานะนักปรุงยา แต่ผมรู้สึกว่าคุณกำลังดูถูกสมาคมนายแพทย์ของเรา ผู้ที่ไม่มีแม้แต่ใบอนุญาตนายแพทย์จะเป็นตัวแทนของพวกเราได้อย่างไร? นี่คุณกำลังเย้ยหยันสมาคมนายแพทย์ว่าไร้ความสามารถเสียจนต้องให้นักปรุงยาคนหนึ่งเข้าร่วมการประลองแทนเราอย่างนั้นหรือ?” ซุนเชี่ยนโบกมืออย่างหงุดหงิด


“ประธานซุน ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” จางเซวียนตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว “ผมรู้ดีว่าคำพูดของผมไม่น่าเชื่อถือเพราะผมยังไม่มีใบอนุญาตนายแพทย์ แต่ผมก็มั่นใจในทักษะการรักษาโรคของผมนะ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็พร้อมจะเข้ารับการทดสอบใบอนุญาตนายแพทย์เดี๋ยวนี้เลย เชื่อว่าคงไม่ต้องใช้เวลานานหรอก”


“คุณพร้อมเข้ารับการทดสอบเดี๋ยวนี้? ผมรู้ว่าพูดแบบนี้อาจฟังดูไม่ดี แต่คุณคิดว่าผมจะไว้วางใจใครสักคนที่เพิ่งได้รับใบอนุญาตนายแพทย์ให้เป็นตัวแทนสมาคมนายแพทย์ของเราหรือ?”ซุนเชี่ยนหน้าดำคร่ำเครียด


“นายแพทย์ส่วนใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ล้วนฝึกฝนทักษะการรักษาโรคมาหลายสิบปีแล้ว และตามสถิติของพวกเขา เรารู้เลยว่าสามารถไว้วางใจในความเก่งกาจของพวกเขาได้ และทุกคนก็เตรียมตัวพร้อมเพื่อการประลองครั้งนี้ ต่อให้คุณมีทักษะเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคอย่างที่คุณบอก ผมก็เกรงว่าคงไม่อาจอนุญาตให้คุณเข้าร่วมการประลองได้ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”


“นักปรุงยาจาง พวกเราชื่นชมคุณที่นำยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธมาสู่โลกใบนี้ แต่การเป็นนายแพทย์นั้นแตกต่างจากนักปรุงยามาก ความรู้ของทั้งสองอาชีพไม่อาจถ่ายทอดถึงกันได้อย่างสมบูรณ์หรอก”


“ถ้าคุณหลอมยาผิดพลาด ก็นำสมุนไพรชุดใหม่มาหลอมอีกครั้งได้ แต่ถ้าคุณรักษาคนไข้ผิดพลาด นั่นหมายถึงการสูญเสียชีวิต คุณจะกดปุ่มเริ่มต้นใหม่และพยายามอีกครั้งไม่ได้นะ!”


“พวกเราขอบคุณในความกระตือรือร้นของคุณที่จะช่วยเราเอาชนะพวกน่านฟ้ามังกรเมฆ แต่คุณไม่ใช่คนที่พวกเราตามหา เอาใจใส่กับการหลอมยาของคุณก็พอ ดีไหม? อย่ามาป่วนสมาคมนายแพทย์ของเรา…”


นายแพทย์หวังฉิงกับนายแพทย์คนอื่นพยายามบอกปัดการตัดสินใจของจางเซวียน


จางเซวียนไม่รู้จะพูดอย่างไร


สิ่งที่ประธานซุนเชี่ยนพูดก็มีเหตุผล การประลองครั้งนี้คือชื่อเสียงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ต่อให้เขาผ่านการทดสอบใบอนุญาตนายแพทย์และพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้ ก็ยากที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดกับนายแพทย์คนอื่นๆ อีกอย่าง แต่ละคนก็ล้วนมีสถิติการรักษาอันยาวนาน ขณะที่ตัวเขาแทบไม่มีอะไรเลย


จากมุมมองของคนเหล่านั้น พวกเขาคงรู้สึกว่าเสี่ยงมากหากจะเสนอชื่อเขา


“ขออภัยด้วยที่รบกวนพวกคุณ ผมขอตัว…” จางเซวียนส่ายหน้าและเดินออกไป


ฉีหลิงเอ๋ออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบออกจากสมาคมนายแพทย์เพื่อตามจางเซวียนให้ทัน เธอตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ “นายน้อยจาง คุณไม่มีใบอนุญาตนายแพทย์จริงๆหรือ?”


ช่างเหลวไหลสิ้นดีที่เขายอมทำทุกวิถีทางที่สมาคมนายแพทย์เพื่อหวังจะได้สิทธิ์ในการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ ทั้งที่ยังไม่มีแม้แต่ใบอนุญาตนายแพทย์…


เขาต้องมั่นใจแค่ไหนถึงพยายามทำอะไรแบบนั้น?


จางเซวียนส่ายหน้า


ฉีหลิงเอ๋อหลับตาและระบายลมหายใจยาวก่อนจะถามต่อ “คราวนี้คุณจะทำอย่างไร?”


อาชีพนายแพทย์ไม่เหมือนอาชีพอื่นๆ พวกเขารับมือกับชีวิตมนุษย์!


ต่อให้เขาอยากเข้าร่วมการประลองนายแพทย์ ก็ยังน่าสงสัยอยู่ว่าคนไข้จะยอมให้ใครสักคนที่ไม่มีแม้แต่ใบอนุญาตนายแพทย์ทำการรักษาตัวเองหรือเปล่า


เมื่อพิจารณาเหตุและผลแล้ว จางเซวียนก็ตัดสินใจว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับอนุญาตจากสมาคมนายแพทย์ให้ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาจากมาโดยไม่พูดอะไรมากมาย


“ทิ้งเรื่องนั้นไปก่อนเถอะ คุณเคยบอกว่านอกจากความเป็นเลิศในแต่ละวิชาชีพ ผมยังต้องติดอันดับ 1 ใน 30 ของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้าด้วย ถูกไหม?”


ดูจากสถานการณ์ของสมาคมนายแพทย์ในเวลานี้ เขาคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประลองนายแพทย์ ซึ่งในฐานะคนนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว เขาคงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างการท้าทายสมาคมนายแพทย์ทั้งสมาคม


แน่ล่ะ ถ้าเขาเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน นั่นก็เป็นเพราะความโง่เขลาในวัยเยาว์ ตอนนี้เขาเป็นชายหนุ่มคนใหม่แล้ว!


ถึงอย่างไร เขาก็ไม่คิดจะเป็นศัตรูกับสมาคมนายแพทย์ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ลองหาเงื่อนไขอื่นจะดีกว่า


“ใช่ ทั้ง 9 น่านฟ้ามีการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้าของพวกเขาเอง คุณจะต้องติด 1 ใน 30 อันดับแรกให้ได้” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย “ซึ่งกระบวนการของการเข้าสู่การจัดอันดับก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร คุณแค่ต้องหาตัวใครสักคนที่อยู่ใน 30 อันดับแรก ท้าดวลกับเขาและเอาชนะให้ได้ โดยต้องเป็นการดวลอย่างเปิดเผย ซึ่งกฎเกณฑ์ของการดวลถูกกำหนดโดยผู้สังเกตการณ์การจัดอันดับ คือเหล่าอัศวินอิสระของน่านฟ้าเสรี”


“อัศวินอิสระ?”


“ใช่ การจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้าของทั้ง 9 น่านฟ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของอัศวินอิสระของน่านฟ้าเสรี พวกเขาคือราชันย์เทพเจ้ากลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถในการหยั่งรู้เหนือชั้นกว่าราชันย์เทพเจ้าทั่วไป ว่ากันว่าเหล่าอัศวินอิสระจัดอันดับของราชันย์เทพเจ้าที่ติดโผจากพละกำลังที่คนเหล่านั้นสำแดงออกมาในการต่อสู้”


จางเซวียนพยักหน้า


คงไม่ต่างอะไรกับกินเนสเวิลด์เรคคอร์ดในโลกเก่าของเขา


การจะได้เป็นเจ้าของสถิติไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นั้นเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การแสดงความสามารถของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาคนอื่นด้วย


ซึ่งดูแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครเข้ามาวุ่นวายกับความชอบธรรมของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้าได้เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มราชันย์เทพเจ้าที่เป็นกลาง


“แล้วผมจะตามหาอัศวินอิสระกลุ่มนั้นได้ที่ไหน? พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


คงเป็นปัญหาใหญ่หากเขาต้องเดินทางไปถึงน่านฟ้าเสรีเพียงเพื่อเข้ารับการประเมินพละกำลัง


“ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ในตำหนักบาดาล ฉีเยว่กำลังเข้ารับการทดสอบ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


“งั้นหรือ? เรารีบไปกันเถอะ!” จางเซวียนพูด


“นายน้อยจาง คุณเล็งอันดับไหนไว้? ฉันควรประมวลข้อมูลของผู้รั้ง 30 อันดับแรกให้คุณก่อนไหม?”


เห็นจางเซวียนรีบร้อนตัดสินใจ ฉีหลิงเอ๋อถึงกับพูดไม่ออก


เขาทำตัวแบบนี้เสมอ ทุ่มเทกับทุกอย่างโดยไม่ร้อนรนหรือกังวลใจสักนิด การได้เห็นจางเซวียนทำสิ่งต่างๆโดยให้ความสำคัญกับมันน้อยนิดเต็มทีทำให้เธออดกังวลแทนไม่ได้


คู่ต่อสู้ที่คุณต้องเจอไม่ใช่นักรบทั่วไป นักรบที่ติดโผการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้าล้วนเป็นอัจฉริยะที่ผ่านการต่อสู้มาหลายร้อยครั้ง


หากการปราบพวกเขามันง่ายดายอย่างนั้น ป่านนี้คงหลุดโผไปแล้ว!


นี่ก็เดินหน้าชนโดยไม่เตรียมตัวสักนิด…


มันคือความหุนหันพลันแล่นแบบหน้ามืดตามัว!



 

 

 


ตอนที่ 2247 รั้งอันดับ

 

“ไม่ต้องหรอก มัวรวบรวมข้อมูลก็ยุ่งยากเกินไป ไปหาอัศวินอิสระและให้พวกนั้นส่งจดหมายท้าดวลไปยังผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็พอ ผมจะสู้กับคนที่อยู่ใกล้เราที่สุด!” จางเซวียนตอบ


เขาไม่แยแสสักนิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นใคร


ถึงตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แท้จริงของตัวเอง แต่ก็มั่นใจว่าจะเอาชนะนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้สบาย


หลังจากที่กายเนื้อของเขาได้รับการบ่มเพาะจากทะเลสาบจันทร์กระจ่าง มันก็แข็งแกร่งขึ้นมากจนมีประสิทธิภาพดีพอจะต้านทานการโจมตีของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคนไหนก็ได้ อีกทั้งเวทนาสวรรค์ของเขาก็เหนือชั้นกว่าเทคนิควรยุทธใดๆในสรวงสวรรค์ เขาไม่มีทางพ่ายแพ้นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคนไหน


แต่นั่นแหละ ต้องยอมรับว่าระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขายังอ่อนด้อยไปสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่


“คุณจะท้าทายทุกคนที่อยู่แถวนี้?” ฉีหลิงเอ๋ออ้าปากค้าง


สมกับเป็นผู้ครอบครองสายเลือดจอมราชันย์ ช่างบ้าดีเดือดเหลือเกิน!


แต่คำพูดนั้นก็บอกชัดว่าเขามั่นใจว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้า ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น ความกังวลของเธอก็เปล่าประโยชน์


…..


ตำหนักบาดาลแน่นขนัดกว่าปกติ บรรยากาศของความตึงเครียดอบอวลไปทั่ว


ฉีเยว่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน


“ผมคือนักรบคนหนึ่งใน 30 อันดับแรกของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้ามังกรเมฆ ได้รับคำเชิญจากสมาคมนายแพทย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนให้มาแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาเรื่องวิถีทางของการรักษาโรค”


“แต่ในเมื่อสมาคมนายแพทย์ยังไม่พร้อมจะต้อนรับพวกเรา ตอนนี้ผมจึงว่างอยู่ ก็เลยมาที่นี่ด้วยความอยากรู้ว่าผู้ที่อยู่ใน 30 อันดับแรกของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนจะแข็งแกร่งทรงพลังแค่ไหน ผมอยากเปรียบเทียบนักรบของพวกคุณกับนักรบของน่านฟ้ามังกรเมฆ เพราะฉะนั้น ไม่ทราบว่ามีใครเต็มใจจะต่อสู้กับผมหรือเปล่า?”


ชายเสื้อคลุมสีขาวเอาสองมือไพล่หลังขณะกวาดตามองฝูงชนที่อยู่รอบตัว มีเขามังกรคู่หนึ่งงอกออกจากหน้าผากของเขา เปล่งประกายสีทองระยิบระยับ


แม้เขานั้นจะไม่ยาวเท่าไหร่ แต่ก็ดูโดดเด่นมาก


“บังอาจ!”


“ที่ผ่านมา พวกเราจะส่งจดหมายเชิญเพื่อติดต่อกับนักรบจากน่านฟ้าอื่น นายแพทย์อย่างคุณช่างอวดดีเหลือเกินที่กล้าพูดกับพวกเราแบบนี้!”


“ทุกคน ใจเย็นก่อน การที่เขามีเขามังกรสีทองก็บอกชัดว่าตัวเขาคือผู้ครอบครองสายเลือดของจอมราชันย์มังกรเมฆ เป็นผู้สืบเชื้อสายของจอมราชันย์ เรื่องนี้อาจไม่ง่ายอย่างที่พวกเราคิด”


“เขาก็แค่คนที่ดีแต่อาศัยสายเลือดของตัวเอง พวกเราก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทรงพลังขนาดนั้น!”


คำพูดอวดดีของชายเสื้อคลุมขาวทำให้ฝูงชนพากันโกรธเกรี้ยว


อีกฝ่ายคือนายแพทย์ที่มาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนภูมิปัญญากับสมาคมนายแพทย์ของพวกเขา ต่อให้ ติด 1 ใน 30 อันดับของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้ามังกรเมฆ ก็ดูไม่เหมาะสมและแสนจะอวดดีที่ยั่วยุพวกเขาแบบนี้


ความไร้มารยาทบ่งบอกถึงการไม่ให้ความเคารพต่อน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


หากไม่ตอบโต้ให้สาสม น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนคงเป็นที่หัวเราะเยาะของน่านฟ้าอื่นๆ


“ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร? และคุณอยู่อันดับไหนในการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้ามังกรเมฆ?”


ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน เขาโบกมือให้คนอื่นๆเงียบ จากนั้นก็หรี่ตาเพื่อประเมินชายเสื้อคลุมขาว


เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอัจฉริยะอันดับต้นๆของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน, เสิ่นถูเฟิง!


เขาคือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักรบรุ่นหลังของตระกูลเสิ่นถู และเคยพยายามฝ่าด่านวรยุทธเป็นราชันย์เทพเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ล้มเหลว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ผ่านการทดสอบมาได้ ทำให้สามารถยกระดับกายเนื้อและวรยุทธของจิตวิญญาณจนเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า


เพียงแต่ยังไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณได้สำเร็จก็เท่านั้น


ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาในเวลานี้แทบไม่ได้อ่อนด้อยกว่าราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือนักรบหมายเลขหนึ่งในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าระดับราชันย์เทพเจ้า และตำแหน่งของเขาก็ไม่มีใครท้าทายมาหลายปีแล้ว


“ผมชื่ออ้าวหัว ได้รับเกียรติให้อยู่ในอันดับ 9 ของการจัดอันดับของน่านฟ้ามังกรเมฆ!” ชายเสื้อคลุมสีขาวตอบอย่างภาคภูมิใจ


“อันดับ 9?”


ฝูงชนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด


ทุกคนรู้อยู่ว่าจอมราชันย์มังกรเมฆคือมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ เป็นเจ้าของอสูรทั้งปวง สายเลือดของเขาทรงพลังมากถึงขนาดที่แทบไม่มีใครเทียบชั้นได้ ใครก็ตามที่ได้ครอบครองสายเลือดของเขา, ทันทีที่แปรสภาพไปเป็นมังกรเลือดบริสุทธิ์ ก็จะถือเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานในระดับขั้นของตัวเอง


ก่อนจะเกิดปรากฏการณ์การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ น่านฟ้าทั้ง 9 เคยจัดการประลองของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขึ้นมาครั้งหนึ่ง ซึ่งนอกเสียจากน่านฟ้าเสรีและน่านฟ้าดาบสวรรค์ เหล่านักรบของน่านฟ้ามังกรเมฆก็มีอัตราการได้ชัยชนะสูงสุด


โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาแปรสภาพไปเป็นมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ ด้วยร่างกายที่ขยายใหญ่ออกไปหลายร้อยเมตรและเกล็ดที่เป็นเครื่องคุ้มกันชั้นเยี่ยม นักรบที่เป็นมนุษย์ทั่วไปไม่มีโอกาสเอาชนะพวกเขาได้เลย


ด้วยเหตุนี้ การจัดอันดับของน่านฟ้ามังกรเมฆจึงดูจะมีน้ำหนักกว่าน่านฟ้าอื่นๆ


และนี่คือเหตุผลที่ทำให้อ้าวหัวคนนี้กล้าท้าทายพวกเขาด้วยความโอหัง


การรั้งอันดับ 9 แปลว่าพละกำลังของอ้าวหัวจะต้องน่าสะพรึงไม่น้อย


“ในเมื่อคุณเอ่ยปากท้า ก็คงดูไม่ดีหากพวกเราปฏิเสธ ให้ผมเผชิญหน้ากับคุณก็แล้วกัน ผมอยากเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญของน่านฟ้ามังกรเมฆเก่งกาจสมกับความอวดดีหรือเปล่า!”


ขณะที่พูดคำนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุราว 30 ปีก็เดินตรงเข้าหาอ้าวหัว เขาสวมเสื้อคลุมสีดำที่แนบไปกับรูปร่างราวกับชุดเกราะแนบเนื้อ


“คุณชื่ออะไร? ผมไม่สู้กับนักรบนิรนามหรอกนะ” อ้าวหัวตอบอย่างไม่แยแส


เมื่อถูกหยามหน้า ชายหนุ่มกัดฟันกรอดและคำราม “ผมคือผู้รั้งอันดับ 10 ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน, เฉินมู่ ผมขอรับคำท้า โดยผลของการประลองครั้งนี้ไม่จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!”


เห็นภาพนั้น เสิ่นถูเฟิงกับคนอื่นๆต่างเงียบกริบ ไม่ยับยั้งชายหนุ่ม


ในเมื่ออ้าวหัวรั้งอันดับ 9 ของน่านฟ้ามังกรเมฆ ก็ไม่เสียหายอะไรที่ผู้รั้งอันดับ 10 ของพวกเขาจะท้าทายอีกฝ่าย เพราะหากเอาชนะได้ ชื่อเสียงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็จะขจรขจาย แต่หากแพ้ พวกเขาก็ไม่ได้ดูแย่


นี่คือโอกาสดีที่จะได้ทดสอบความแข็งแกร่งของอ้าวหัว หากเฉินมู่แพ้ ผู้ที่จะเผชิญหน้ากับเขาเป็นคนต่อไปก็จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า


“คุณนี่ไร้สติจริงๆ!” อ้าวหัวคำรามขณะก้าวออกไป


มันเป็นแค่ย่างก้าวธรรมดาก้าวหนึ่ง แต่ดูราวกับเขาทะลุมิติเขาไปปรากฏตัวตรงหน้าเฉินมู่อย่างฉับพลัน จากนั้นก็โถมตัวเข้าใส่


“คุณรนหาที่ตายแล้ว!”


คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจการป้องกันตัว เลือกที่จะใช้ร่างกายล้วนๆเล่นงานเขา เฉินมู่โมโหจนหน้าแดงก่ำ


ดูเหมือนอ้าวหัวจะคิดว่าการโจมตีของเขาไม่อาจทำอันตรายใดๆได้


เฉินมู่เงื้อมือขึ้นและเล่นงานอ้าวหัวที่กำลังพุ่งเข้ามา ฝ่ามือของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวเล็กน้อย


ฝ่ามือเปลวเพลิงแผดเผา!


กว่าจะเชี่ยวชาญพลังฝ่ามือนี้ เฉินมู่ต้องใช้ลาวาใต้ดินที่ไหลพล่านอยู่ในเส้นเลือดปฐพีเพื่อบ่มเพาะฝ่ามือของเขา การสำแดงพละกำลังทำให้ฝ่ามือนั้นร้อนผ่าวเป็นไฟ อะไรก็ตามที่สัมผัสกับฝ่ามือจะต้องมอดไหม้


ก็เพราะอานุภาพโดดเด่นของพลังฝ่ามือนี้ที่ทำให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้มากมายและก้าวขึ้นสู่อันดับ 10 ของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า


แต่ถึงจะโมโหกับการสบประมาทของอ้าวหัว เฉินมู่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคือคู่ต่อสู้ผู้ไร้เทียมทาน จึงตัดสินใจใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เริ่ม


ชายเสื้อคลุมสีขาวไม่แม้แต่จะหลบการโจมตีของเฉินมู่ เขาปล่อยให้ฝ่ามือเปลวเพลิงแผดเผาปะทะร่างของเขาอย่างจัง


เห็นภาพนั้น เฉินมู่ตาโตด้วยความยินดีปรีดา


แต่ขณะที่เขาคิดว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ก็เห็นสีหน้าสะใจของอีกฝ่าย


เวรแล้ว หรือนี่คือกับดัก?


สีหน้าของอ้าวหัวทำให้เฉินมู่เย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง สัญญาณเตือนในหัวของเขาดังไม่หยุด เมื่อรู้แล้วว่าอ้าวหัวมีแผน เฉินมู่รีบถอนฝ่ามือกลับและล่าถอย


ในฐานะผู้รั้งอันดับ 10 ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน สัญชาตญาณการต่อสู้ของเขาย่อมไม่ธรรมดา


แต่แม้จะถอยอย่างไว อ้าวหัวก็เร็วกว่า เขาเพิ่มความเร็วของการโจมตี ตั้งใจจะเล่นงานเฉินมู่ให้แพ้ราบคาบ


เฉินมู่เงื้อมือขึ้นปกป้องตัวเอง แต่แรงปะทะจากการโจมตีทำให้มันแหลกสลายไป ไม่เพียงเท่านั้น หน้าอกของเขายังถูกแรงปะทะหนักหน่วงจนแม้จะพูดสักคำก็ยังไม่ได้ เสียงครางหลุดรอดออกจากปากขณะที่เขาถูกสอยกระเด็นไป


เลือดสดๆกระจายไปทั่วขณะที่กระดูกหัวไหล่กับกระดูกซี่โครงของเขาแหลกละเอียด


“เรียบร้อย!” อ้าวหัวเอาสองมือไพล่หลังอย่างไม่แยแส


ราวกับผู้ที่สู้กับเขาก่อนหน้านี้ไม่มีความหมายเลย เสื้อผ้าของเขาไม่มีแม้แต่รอยยับย่น น้ำเสียงก็ยังสุขุมและผ่อนคลายเหมือนเดิม


ฝูงชนพากันอ้าปากค้างขณะที่ประเมินพละกำลังของอ้าวหัวอีกครั้ง


ตั้งแต่ต้นจนจบ อ้าวหัวใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น คือการโถมร่างเข้าใส่ แต่กระบวนท่าเดียวนี้ก็เกินพอจะเล่นงานเฉินมู่ ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียพละกำลังไปอย่างสิ้นเชิง


“ผมคือฉีเยว่ ผู้รั้งอันดับ 6!” ฉีเยว่เดินออกมาและแนะนำตัว


การปรากฏตัวของจางเซวียนที่ตระกูลฉีทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจครั้งใหม่ ผลักดันให้ฝึกฝนหนักกว่าที่เคย เพียงสองสามวันเขาก็ขัดเกลาวรยุทธจนก้าวหน้าขึ้นมาก รังสีและพลังปราณเข้มข้นกว่าแต่ก่อน สิ่งนี้ทำให้ฉีเยว่มีพละกำลังสูงกว่านักรบรุ่นเดียวกัน


“ได้สิ ยินดีที่ได้พบคุณ เริ่มกันเลย!” อ้าวหัวตอบอย่างสบายใจขณะพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง


แล้วทั้งคู่ก็สู้กันอุตลุด


…..


จางเซวียนตามฉีหลิงเอ๋อเข้าสู่ห้องขนาดใหญ่ของตำหนักบาดาล แต่ไม่เห็นใครสักคน เขาได้แต่ขมวดคิ้ว “นี่คือสถานที่ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนใช้คัดเลือกผู้ที่คู่ควรต่อการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าหรือ แล้วทำไมไม่มีใครเลย?”


“มันแปลกนะ ปกติก็น่าจะมีคนอยู่บ้าง เท่าที่ฉันรู้…” ฉีหลิงเอ๋อก็งง


การดวลระหว่างผู้ที่เข้ารับการจัดอันดับจะเกิดขึ้นในห้องนี้ จึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งแวะเวียนมาที่นี่ทุกวันเพื่อดูสถิติ หวังว่าจะได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง


ห้องนี้แทบจะไม่เคยว่างเว้นการมีผู้คน จึงออกจะน่าแปลกที่ตอนนี้ไม่มีใครเลย


“ดูเหมือนจะมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงนั้น” จางเซวียนพูด


เขาออกเดินไปที่นั่นโดยไม่รอคำตอบของฉีหลิงเอ๋อ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)