ข้ามกาลบันดาลรัก 223.3-224.1

ตอนที่ 223-3 เหิมเกริม

 

หลิวลี่ถึงได้สติกลับคืนมาว่าเป็นเสียงตะโกนของมารดาตนเอง ใบหน้าแดงฝาดฉับพลัน แต่ก็ไม่คิดจะพูดแก้ ยื่นมือออกไปตวัดตบสาวใช้ที่ประคองตนเองฉาดใหญ่ “นังขี้ข้าสมควรตาย ไม่รู้จักเตือนข้า ทำให้ข้าเกือบต้องขายหน้า”


 


 


สาวใช้ถูกตบหน้าอย่างไร้เหตุผล แต่ก็ไม่กล้าปริปาก ทำได้เพียงก้มหน้ารับผิด


 


 


ชาวบ้านที่มามุงดูยิ่งส่งเสียงวิพากษ์อื้ออึง


 


 


ยังไม่ทันได้ออกหน้าจัดการเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ต้องมาอับอายต่อหน้าคนในหมู่บ้าน หลิวลี่โยนความผิดทั้งหมดนี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว น้ำเสียงยิ่งทวีความเกรี้ยวกราด “ข้าจะบอกเจ้าให้ ตอนนี้ข้าไม่เหมือนในอดีตแล้ว อย่าคิดว่าเด็กบ้านนอกอย่างเจ้า มีเงินเพียงหยิบมือ ก็จะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาได้”


 


 


น้ำเสียงเมิ่งอี้เซวียนเริ่มขุ่นเคือง “เจ้าพูดเกินไปแล้ว ต่อให้สถานะเจ้าสูงศักดิ์เพียงใด มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพวกข้าเล่า? เจ้าพาคนมากมายมารบกวนพวกเราถึงหน้าประตูบ้าน พวกเราไม่ได้ไล่เจ้าไป ถือว่าเกรงใจมากแล้ว”


 


 


พวกเขาล้วนเติบโตในหมู่บ้านมาด้วยกัน หลิวลี่ย่อมรู้จักเมิ่งอี้เซวียน ทว่าในตอนนั้น เขาใบหน้าเหลืองซูบซีด แต่งตัวมอซอ วันๆ เอาแต่เดินก้มหน้าก้มตาตัวสั่นเทิ้ม หลิวลี่ถือตัวว่าเป็นบุตรสาวผู้ใหญ่บ้าน เดินเอาตาไว้บนศีรษะเหมือนสะใภ้หลิวกุ้ย ย่อมดูถูกดูแคลนเขา ตอนนี้เห็นเขาออกหน้าให้เมิ่งเชี่ยนโยว เกิดความริษยาชิงชัง ถามเสียงแหลมสูง “เจ้าเป็นใคร? ข้าพูดกับนังตัวดีนี่ เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ถึงต้องมาออกหน้าแทนนาง?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพักผ่อนไม่ได้แล้ว ตัวเองก็ไม่รีบทำอาหารแล้ว เห็นสภาพบ้าผู้ชายของหลิวลี่เมื่อครู่ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เกิดความคิดยั่วเย้านาง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงโอ้อวด “แม่เจ้ามิได้บอกเจ้าหรือ? เขาคือสามีในอนาคตของข้า ย่อมต้องออกรับหน้าแทนข้า”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนผงะร่างแข็งค้าง หันกลับไปมองนางอย่างไม่เชื่อ


 


 


หลิวลี่กรีดร้องเสียงหลง “อะไรนะ? ไม่มีทาง เจ้าจะมีโชคดีเช่นนี้ได้อย่างไร?”


 


 


เสียงหวีดร้องบาดลึกเข้าไปในโสตประสาททุกคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอุดหูตัวเอง แล้วพูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร? เจ้าถามชาวบ้านเอาเถิด ใครๆ ต่างก็รู้”


 


 


หลิวลี่หันมองมารดาตนเองอย่างไม่เชื่อ


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยเบ้ปาก พูดอย่างเหยียดหยาม “ก็แค่เด็กจนๆ ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ถูกคนเอามาทิ้งคนหนึ่ง ทำเป็นของล้ำค่าวิเศษวิโส โอ้อวดต่อหน้าคนมากมาย ไม่รู้จักกระดากอายบ้าง”


 


 


“ข้ามีเงินมากมาย ไยต้องสนใจว่าเขาจะยากดีมีจน แค่ได้มองใบหน้าเจริญหูเจริญตา ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติ ย่อมดีกว่าใครบางคนที่ยังไม่รู้ว่าต้องแต่งงานกับคนเช่นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยสะอึกกึก


 


 


คำพูดนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวทิ่มแทงจี้ใจดำหลิวลี่ นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ใช้น้ำเสียงแทบอยากจะกลืนกินเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างเคียดแค้น “นังตัวดี เจ้าอย่าลำพองใจไปนัก สักวันกรรมจะตามทัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งแสดงปฏิกิริยาเห่อเหิมใจ “ข้าไม่ทำเรื่องละอายใจ ไม่กลัวผีมาเคาะประตูกลางดึก ไม่เหมือนใครบางคน วันๆ คิดแต่จะหาเรื่องคนอื่น คนเช่นนั้นถึงจะได้รับผลกรรม”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยแวดเสียงใส่ “เจ้าว่าใคร? จะบอกให้นะ อย่าคิดว่าเรื่องต่ำช้าที่เจ้าทำจะไม่มีใครรู้ หากข้าพูดออกมา เจ้าได้ชื่อเสียงป่นปี้ ไม่กล้าโงหัวเดินในหมู่บ้านอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแสดงท่าทีส่งเสริม “ดีเลย เช่นนั้นท่านก็พูดออกมาเลย คนทั้งหมู่บ้านจะได้รู้ ว่าข้าหรือท่านกันแน่ที่จะโงหัวไม่ขึ้น”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยกำลังจะพูด หลิวกุ้ยเปล่งเสียงยับยั้งนาง “หุบปาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองหลิวกุ้ยแวบหนึ่งอย่างเยาะหยัน พูดกระตุ้นเร้าสะใภ้หลิวกุ้ยต่อ “ว่าอย่างไร ไม่กล้าพูดหรือ? หรือเพราะเรื่องต่ำตมพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือท่าน?”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยถูกกระตุ้นสำเร็จแล้ว ร้องโวยวาย “พูดก็พูด มีบุตรสาวข้าหนุนหลัง ข้ายังต้องกลัวเจ้าอีกเรอะ วันนี้ข้าจะให้ชาวบ้านได้รู้ว่าเจ้าเป็นพวกเนรคุณคน ภายหน้าไม่มีใครอยากมาทำงานให้พวกเจ้าอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ตกตะลึง ยกยิ้มพูด “ได้เลย เช่นนั้นท่านก็พูดมา ว่าข้าเนรคุณคนอย่างไร?”


 


 


หลิวกุ้ยพูดปรามเสียงแข็งอีกครั้ง “หุบปาก วันนี้ลี่เอ๋อร์จะมาคุยเรื่องในอดีตกับนาง เจ้าจะพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนั้นทำไม?” พูดจบ ยังขยิบตาให้นาง


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยที่โมโหจนหน้ามืดตามัวแล้ว ไม่เห็นสายตาที่เขาส่งสัญญาณมา พูดอย่างเหิมเกริม “นางทำให้ครอบครัวพวกเราต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมข้าจะพูดไม่ได้ วันนี้ข้าจะต้องพูดออกมา ให้ทุกคนได้รู้ว่านางเป็นคนเ**้ยมอำมหิตเพียงใด ภายหน้าทุกคนจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของนาง”


 


 


หลิวลี่มองดูใบหน้าหล่อเหลาของเมิ่งอี้เซวียนยิ่งให้เคียดแค้นชิงชัง ริษยาตาร้อนผ่าว ร้องโวยวายด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “พูดเลย ท่านแม่ ท่านจงกล้าหาญพูดสิ่งที่พวกเราถูกข่มเหงรังแกออกมา มีข้าอยู่ ไม่มีใครกล้าแตะต้องท่าน”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยได้รับการรับรองจากหลิวลี่ น้ำเสียงยิ่งทวีความเหิมเกริม “ได้ ทุกคนฟังให้ดี วันนี้ข้าจะพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้พวกเจ้าได้รู้ว่า นางเป็นคนเ**้ยมอำมหิตเพียงใด”


 


 


ชาวบ้านที่รุมล้อมได้ฟังต่างกลั้นหายใจ ตั้งใจฟังสิ่งที่นางกำลังจะพูดออกมา


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นชาวบ้านใช้แววตารอคอยมองตนเอง กระหยิ่มยิ้มหย่องใจ พูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่? ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของตาเฒ่าของพวกเรา หาใช่เขาเป็นคนหลีกทางให้ไม่ แต่เป็นนังตัวดีนี่ที่ใช้ต้าเป่ามาข่มขู่พวกเรา บอกว่าหากพวกเราไม่สละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นางจะจับต้าเป่าโยนขึ้นเขาให้จิ้งจอกกิน พวกเรามีบุตรชายเพียงคนเดียว ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ จึงรับปากพวกเขาทันที เมิ่งต้าจินถึงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


สิ้นเสียงนาง ชาวบ้านส่งเสียงอื้ออึง ว่าแล้ว หลิวกุ้ยกับภรรยาละโมบต่อทรัพย์และอำนาจเช่นนั้นจะยอมสละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านได้อย่างไร ที่แท้เรื่องนี้ก็มีเงื่อนงำซ่อนอยู่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่โต้แย้ง ปล่อยให้สะใภ้หลิวกุ้ยพูดเพ้อเจ้อตามใจ


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยพูดต่อ “ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องที่ตาเฒ่าของพวกเราถูกโบย เกือบเอาชีวิตไม่รอดนั้น ก็เป็นนางที่ยุยงท่านผู้ว่าการตำบลให้ทำ”


 


 


สิ้นเสียง ชาวบ้านส่งเสียงเซ็งแซ่


 


 


แม้หลิวกุ้ยและภรรยาจะละโมบเงินทอง ไม่มีความเป็นมิตรกับชาวบ้าน แต่หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำอะไรเกินกว่าเหตุ เมิ่งเชี่ยนโยวบีบให้เขาสละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ยังใช้ชีวิตคนมาข่มขู่ ช่างมีจิตใจที่โหดเ**้ยมอำมหิตนัก


 


 


ได้ยินเสียงวิพากษ์ของชาวบ้าน มีทิศทางเข้าข้างตัวเอง สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งให้ลำพองใจ ใช้สายตามองปะทะเมิ่งเชี่ยนโยว ดูเอาเถิด รอดูว่าเจ้าจะมีจุดจบเช่นไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่สะทกสะท้าน แย้มยิ้มหวานถาม “พูดจบแล้วหรือไม่? หากยังไม่จบก็จงพูดต่อ”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยแค่นเสียงหึอย่างย่ามใจ “กลัวแล้วสิ จะบอกให้นะ พ้นวันนี้ไปเจ้าจะต้องย่อยยับป่นปี้ มีแต่คนรุมด่ารุมตี”


 


 


“งั้นหรือ?” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน “ท่านพอจะบอกพวกเขาได้หรือไม่ เหตุใดข้าต้องบีบให้พวกท่านสละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน?”


 


 


“จะเพราะอะไร? ก็เพราะเจ้าต้องการให้เมิ่งต้าจินเป็นผู้ใหญ่บ้าน อำนวยความสะดวกให้ครอบครัวพวกเจ้าดำเนินเรื่องในหมู่บ้าน” สะใภ้หลิวกุ้ยพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ถูกต้อง”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นนางยอมรับ เหิมใจจนหางกระดกเกือบจะถึงฟ้าแล้ว ใช้มือข้างหนึ่งตบฝ่ามืออีกข้างหนึ่งของตัวเองเต็มแรง “ทุกคนฟังเอาเถิด นางยอมรับจากปากเองแล้ว”


 


 


ชาวบ้านยิ่งส่งเสียงวิพากษ์เซ็งแซ่


 


 


หลิวลี่เองก็แสยะยิ้มสะใจ


 


 


“เดิมข้าไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับคนในหมู่บ้าน อย่างน้อยเพื่อให้พวกท่านได้มีที่อาศัยในหมู่บ้านบ้าง ในเมื่อวันนี้พวกท่านถือดีว่ามีคนหนุนหลัง พูดเรื่องทั้งหมดนี้ออกมา เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยผงะก้าวถอยหลังหลายก้าว ถามด้วยความระแวดระวัง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ก็พูดเรื่องทั้งหมดนี้ออกมาตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไร ให้ทุกคนได้ฟังว่าคนที่ถูกและผิดเป็นใครกันแน่”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยมือสั่นระริก แล้วพูดว่า “เจ้ายอมรับแล้ว ยังมีอะไรต้องพูดอีก?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้ายอมรับที่ลุงใหญ่ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านมีผลดีต่อครอบครัวพวกเรา อย่างน้อยไม่ต้องถูกคนเสนอเงื่อนไขเพียงเพราะจะซื้อที่ดินเปล่า ข้ามิได้ยอมรับว่าบีบให้พวกท่านสละตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ เมิ่งเชี่ยนโยวพอจะมีความน่าเชื่อถือในจิตใจของชาวบ้านอยู่บ้าง คำกล่าวเมื่อครู่ของสะใภ้หลิวกุ้ย แม้ทุกคนจะวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในใจของคนส่วนมากก็ยังไม่เชื่อ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้ว่าเรื่องจะต้องไม่ได้เป็นอย่างที่สะใภ้หลิวกุ้ยพูด จึงเงี่ยหูตั้งอกตั้งใจฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงปานกลาง ให้ทุกคนฟังได้ยินพอดี “ทุกคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ก่อนที่เราจะสร้างคฤหาสน์ที่ท่านอาจารย์อยู่ตอนนี้ พวกเราได้ไปซื้อที่ดินเปล่ากับหลิวกุ้ย เขาบอกว่าที่ดินผืนนั้นจะนำมาบุกเบิกเป็นที่ดินเพาะปลูก ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ขายให้พวกเรา ที่ดินฝืนนั้นทิ้งร้างมาหลายปี ไม่คิดจะแผ้วถางบุกเบิก พอพวกเราคิดจะซื้อมาปลูกเรือน เขากลับบอกว่าจะบุกเบิก พวกเราทราบดีว่าเขาต้องการกลั่นแกล้งพวกเรา แต่พวกเราก็คิดว่าชาวบ้านมีที่ดินทำกินน้อย หากบุกเบิกมาเป็นที่เพาะปลูกแบ่งให้ทุกคนได้จริง ทุกคนจะได้เก็บเกี่ยวได้มากขึ้น จึงล้มเลิกความคิดนั้น เตรียมจะหาที่ดินอื่น”


 


 


“ไม่คิดว่า วันถัดมาพวกเขาก็มาหาพวกเราถึงบ้าน บอกว่าจะขายที่ดินเปล่าผืนนั้นให้พวกเรา เงื่อนไขคือพวกเราต้องมอบสัญญาทาสของหลิวต้าเป่าและสูตรเนื้อรมควันให้พวกเขา ข้าย่อมไม่ยินดี แต่พวกเขากลับบอกว่าหากพวกเราไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ พวกเขาจะทำให้พวกเราไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข จะคอยกลั่นแกล้งพวกเราไม่จบไม่สิ้น…”


 


 


พูดถึงตรงนี้ สะใภ้หลิวกุ้ยก็กระทืบเท้าโต้แย้ง “เหลวไหลทั้งเพ พวกเราหาได้กล่าวเช่นนั้นไม่ พวกเราเพียงพูดว่าจะทำให้พวกเจ้าปลูกเรือนไม่สำเร็จ”


 


 


ชาวบ้านที่มุงดูส่งเสียงวิพากษ์อื้ออึง สะใภ้หลิวกุ้ยถึงรู้สึกตัวว่าพูดสิ่งใดออกไป ทั้งโกรธทั้งอาย สีหน้าผะอืดผะอมเหมือนตับหมู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ” พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นข้าคงจะจำผิด ทว่าเรื่องทั้งหมดก็เป็นประมาณนี้ หลังจากได้ฟังคำข่มขู่ของพวกเขา ข้าคิดทบทวน ไม่อาจปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเช่นนี้ พวกเราเพียงแค่จะปลูกเรือน พวกเขาก็ยื่นข้อเสนอมากมายเช่นนี้ออกมา หากภายหน้าการค้าของข้าเจริญรุ่งเรือง สร้างโรงงานเพิ่ม พวกเขาก็จะยิ่งเสนอเงื่อนไขเกินกว่าเหตุอีกหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงยื่นข้อเสนอกลับ พวกเขาต้องการสัญญาทาสของของหลิวต้าเป่าและสูตรเนื้อรมควันก็ได้ แต่ต้องเอาตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมาแลก” 

 

 


ตอนที่ 224-1 ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลี...

 

สิ้นเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว ชาวบ้านยิ่งส่งเสียงวิพากษ์หนาหูขึ้น มีคนเห็นด้วย มีคนพูดเหน็บแนม ยังมีคนพูดนินทาอย่างมีลับลมคมใน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้สนใจปฏิกิริยาของชาวบ้าน เอ่ยปากพูดต่อ “พวกเขาทบทวนถี่ถ้วนแล้ว ถึงยอมรับข้อเสนอของข้า ทว่านอกจากเงื่อนไขทั้งสองข้อแรกแล้วนั้น พวกเขายังเสนอเรียกเงินอีกห้าพันตำลึง”


 


 


ชาวบ้านส่งเสียงสูดลมเข้าปากดังขึ้นเป็นระลอก มีคนพูดว่า “ประเสริฐนัก พวกเขาช่างกล้าเรียก เงินห้าพันตำลึง คนชนบทใช้กันแปดชาติก็ไม่หมด”


 


 


เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นต่อเนื่อง “ข้าย่อมไม่ยอมให้พวกเขามากเช่นนั้น หลังการต่อรองราคา จึงให้พวกเขาห้าร้อยตำลึง ทั้งรับปากจะมอบสัญญาทาสของหลิวต้าเป่าและสูตรเนื้อรมควันให้พวกเขา ทว่า ข้าขอให้พวกเขาให้เวลาข้าสามวัน เพื่อจัดการกับคนงานในโรงงานเนื้อรมควัน พวกเขารับปากทันควัน หลิวกุ้ยและท่านลุงใหญ่ข้าไปดำเนินเรื่องเปลี่ยนตำแหน่งที่ศาลาว่าการตำบล เดิมทีเรื่องทั้งหมดดำเนินไปได้ด้วยดี ทว่าพอกลับมาจากการดำเนินเรื่อง สะใภ้หลิวกุ้ยก็กลับคำพูด ใช้อำนาจเรียกร้องให้ข้าปิดโรงงานทันที ข้ามิได้รับปาก เรื่องราวต่อจากนั้นทุกคนคงทราบดีแล้ว วันที่ท่านลุงใหญ่ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นางวิ่งมาก่อกวนอาละวาด ข้าโมโหจนขาดสติ จึงมองสูตรเนื้อรมควันให้คนในหมู่บ้าน”


 


 


เรื่องนี้ทุกคนต่างทราบดี ดังนั้นจึงมิได้พูดสิ่งใด หลิวกุ้ยไม่รู้เรื่องนี้ ได้ฟังเช่นนั้นก็ถลึงตาใส่ภรรยา แผดเสียงตวาดลั่น “ที่แท้เป็นเจ้าที่ก่อเรื่องงามหน้า ถึงว่าต้าเป่าถึงเข้าเมืองไปตั้งแต่คืนวันนั้น แม่ลูกรวมหัวกันมอบสูตรให้คนในหมู่บ้านโดยเปล่า”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยผงะถอยหลังไปอย่างหวาดผวา ถอยมาถึงข้างตัวหลิวลี่ แต่ยังปากดีพูดโต้แย้งเสียงแข็ง “เกี่ยวอะไรกับพวกเรา เพราะนังตัวดีนี่ต่างหากที่กลับคำพูด ไม่ยอมปิดโรงงานทันที ขัดขวางเส้นทางร่ำรวยของครอบครัวพวกเรา ข้าโมโหขาดสติถึงเรียกเอาสูตรต่อหน้าชาวบ้าน ข้าไหนเลยรู้จะรู้ว่านางจะร้ายกาจถึงเพียงนั้น กลับแจกจ่ายสูตรให้คนทั้งหมู่บ้านโดยเปล่า”


 


 


หลิวกุ้ยที่คิดมาตลอดว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่รักษาสัจจะก่อน วางแผนไว้แต่แรกแล้วว่าจะบอกสูตรเนื้อรมควันให้คนในหมู่บ้าน ถึงยอมมอบสูตรเนื้อรมควันมาล่อหลอกตนเอง ไม่คิดว่าจะเป็นเพราะถูกภรรยาและบุตรชายตัวเองบีบให้ทำ ไฟโทสะลุกฮือ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยคว้าแขนหลิวลี่ไว้แน่น ลนลานถาม “ลี่เอ๋อร์ เจ้าว่าแม่สมควรทำเช่นนี้หรือไม่?”


 


 


หลิวลี่ไม่ทันได้เดียดฉันท์ว่ามือหยาบกระด้างของสะใภ้หลิวกุ้ยจะทำให้ชุดสวยของนางเสียหาย รีบพูดช่วยนางพลัน “ท่านพ่อ ท่านแม่มิได้ทำผิด เมื่อให้สูตรกับพวกเราแล้ว นางก็สมควรปิดโรงงานทันที เป็นนางที่ไม่รักษาสัจจะก่อน ท่านจะมาโทษว่าเป็นความผิดท่านแม่ไม่ได้” พูดถึงตรงนี้ ก็จ้องเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเคียดแค้น “จะโทษก็ต้องโทษนังตัวดีที่มีแต่แผนการ ล่อหลอกพวกท่าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ใครถูกใครผิด คืนนั้นคนทั้งหมู่บ้านก็ได้เห็นแล้ว ข้าไม่เคยทำสิ่งใดให้ละอายใจตัวเอง”


 


 


“เจ้า…” หลิวลี่สะอึกกึกจนพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “พวกเขาจึงเคียดแค้นชิงชังข้า ตอนที่ข้าซื้อที่ดินเปล่า หลิวกุ้ยไปฟ้องร้องท่านลุงใหญ่ข้าที่ศาลาว่าการตำบล บอกว่าเขาใช้อำนาจหน้าที่อำนวยความสะดวก วัดที่ดินเพิ่มให้ข้าอีกไม่น้อย ท่านผู้ว่าการส่งคนมาทำรางวัด พบว่าตรงกับตัวเลขที่พวกเรารายงานทุกประการ ท่านผู้ว่าการถึงได้เดือดดาล สั่งคนโบยเขา เรื่องที่เขาถูกโบยเพราะเขาหาเหาใส่หัวเอง ไม่เกี่ยวกับพวกเรา”


 


 


ชาวบ้านที่มาชุมนุมถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ ต่างกล่าวตำหนิครอบครัวหลิวกุ้ย


 


 


หลิวกุ้ยหน้าอมเขียวอมม่วง เหยเกดูไม่ได้


 


 


สีหน้าหลิวลี่ยิ่งเบ้เบี้ยวไม่น่าดู มารดาตนเองหาได้พูดเช่นนี้กับตัวเองไม่ เดิมนางคิดจะใช้โอกาสนี้จัดการเมิ่งเชี่ยนโยวให้หนำใจสักยก สร้างบารมีเฉิดฉายต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน ไม่คิดว่ากลับเป็นสะใภ้หลิวกุ้ยที่พูดกลับดำเป็นขาว ทำให้ครอบครัวของพวกนางต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ หากเป็นคนอื่น คงอับอายพาสาวใช้และบ่าวเผ่นแนบกลับบ้านไปนานแล้ว แต่หลิวลี่ได้รับสืบทอดทักษะความหน้าหนาและพูดกลับดำเป็นขาวมาจากสะใภ้หลิวกุ้ย กระชากแขนเสื้อของตัวเองออกมาจากมือสะใภ้หลิวกุ้ย เดินหน้าสองสามก้าว พูดเยาะหยัน “ไม่เจอหนึ่งปี ฝีปากเจ้าคมคายขึ้นไม่น้อย แต่ด้วยวาจาที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จของเจ้า ก็คิดจะปัดความรับผิดชอบที่ได้ทำลายครอบครัวพวกเราจนย่ำแย่เช่นนี้ เจ้าฝันไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “แม้จะไม่มีสูตรเนื้อรมควัน แต่เงินห้าร้อยตำลึงก็เพียงพอให้พวกเจ้าใช้ไปทั้งชีวิตแล้ว เพราะพวกเจ้ามีจิตใจคิดคด ขโมยไก่ไม่ได้เสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ[1]เอง ถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หาได้เกี่ยวข้องกับข้าไม่”


 


 


“เงินห้าร้อยตำลึง” หลิวลี่หัวเราะเหยียดหยาม ประคองจับปิ่นทองบนศีรษะตนเอง หลังจากได้รับแววตาอิจฉาจากชาวบ้านแล้ว ถึงพูดอย่างดูแคลนว่า “เงินห้าร้อยตำลึงยังไม่พอค่าแป้งผัดหน้าของข้าหนึ่งเดือนเลย เห็นข้าเป็นขอทานหรือไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียดสี “ให้ขอทานยังดีกว่าพวกเจ้า หมั่นโถวลูกเดียวก็เพียงพอแล้ว”


 


 


“เจ้า…” หลิวลี่สะอึกกึก โกรธกระฟัดกระเฟียด ยกมือชี้หน้าด่าเมิ่งเชี่ยนโยว “นังผู้หญิงชั้นต่ำ อย่าคิดว่าตัวเองมีเงินหยิบมือก็กล้ามากำเริบต่อหน้าข้า ข้าจะบอกให้นะ ถ้าข้าโมโหขึ้นมา วันนี้จะให้คนตีเจ้าให้ตาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้านิ่งขรึม น้ำเสียงเจือโทสะ “ชีวิตนี้ข้าเกลียดคนที่ใช้นิ้วชี้หน้าข้าที่สุด ข้าขอเตือนเจ้าทางที่ดีให้รีบเก็บมือลง ไม่เช่นนั้นข้าไม่รังเกียจที่จะหักมันทิ้ง”


 


 


หนึ่งปีที่ผ่านมาหลิวลี่ได้รับการยกยอจนเหลิง ไม่เคยถูกหยามเกียรติ ได้ฟังก็เลือดขึ้นหน้า เดินขึ้นหน้าไปอีกก้าว ยกนิ้วชี้เข้าใกล้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าจะใช้นิ้วชี้หน้าเจ้า เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”


 


 


สิ้นเสียง ร่างก็ลอยปลิวออกไป


 


 


ความเปลี่ยนแปลงชั่วพริบตานี้ ชาวบ้านยังมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น หลิวลี่ก็ลงไปนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นแล้ว


 


 


พวกสาวใช้ตกใจผวา ร้องอุทาน “คุณหนู” แล้ววิ่งเข้ามาประคองนางพร้อมกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็สะดุ้งตกใจ มองเมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยายามถูไถเท้าข้างที่ถีบหลิวลี่เช็ดไปกับพื้น ย่นหัวคิ้วพูดว่า “สกปรกนัก ไม่รู้ว่าข้าควรจะเก็บรองเท้านี้ไว้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้สติกลับมาแล้ว โพล่งหัวเราะลั่น ยกนิ้วหัวแม่มือให้เขา กล่าวชมเชย “เตะได้ดี!”


 


 


ในสายตาคนในหมู่บ้านเมิ่งอี้เซวียนเป็นเด็กดีมากคนหนึ่งมาตลอด ไม่ว่าพบเจอใครจะต้องกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ ไม่เคยเห็นเขาโมโหมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำร้ายคน ตอนนี้เห็นเขาถีบหลิวลี่ตัวลอย ชาวบ้านต่างตะลึงค้าง มึนงงกันไปตามๆ กัน


 


 


ลูกเตะนี้ของเมิ่งอี้เซวียนไม่เบาเลย หลิวลี่ถูกคนห้อมล้อมรุมเรียกครู่ใหญ่ถึงมีเรี่ยวแรงคืนกลับมา กำลังจะระเบิดอารมณ์ เสียงร้องอุทานหนึ่งก็ดังขึ้น “พวกเจ้ามายืนหน้าประตูบ้านข้าทำอะไรตั้งมากมาย?”


 


 


ชาวบ้านหันกลับไปมอง ที่แท้เป็นซุนเหลียงไฉที่เพิ่งจะกลับมาพร้อมเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง แต่ละคนร่างกายมอมแมม ไม่รู้ว่าไปเล่นที่ไหนมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามซุนเหลียงไฉด้วยใบหน้ามึนตึง “อี้เซวียนต้องเรียนมากกว่าพวกเจ้าครึ่งชั่วยามยังกลับถึงบ้านแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดไปเล่นที่ไหนกันมา ไม่อยากกินข้าวแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


ซุนเหลียงไฉลูบจมูกอย่างร้อนตัว ชี้หลิวลี่ที่นอนมีสาวใช้ห้อมล้อมบนพื้น เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “พวกนางเป็นใคร มาทำอะไรหน้าประตูบ้านพวกเรา?”


 


 


“พวกมาหาเรื่องถึงบ้านคนอื่น” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบส่งๆ


 


 


แม้ซุนเหลียงไฉจะมีความก้าวหน้าในการเรียนมาก แต่นิสัยติดเล่นยังไม่เปลี่ยน ทุกวันหลังจากเลิกเรียน จะต้องพาเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงไปเที่ยวเล่น ทุกครั้งที่เล่นเสร็จก็จะแอบย่องกลับบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สกปรกออก เมิ่งเชี่ยนโยวธุระเยอะ ไม่มีเวลาสนใจเขา จึงไม่สังเกตเห็น เดิมทีวันนี้พวกเขาก็คิดจะแอบย่องกลับบ้าน ไม่คิดว่าวันนี้จะมีคนมาหาเรื่องถึงบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่บ้านพอดี จับไต๋พวกเขาสามคนได้อย่างจัง พอคิดว่าจะต้องรับโทษทัณฑ์ ซุนเหลียงไฉก็ให้สั่นสะท้าน โยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่หลิวลี่ พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “กล้ามาหาเรื่องบ้านพวกเรา เบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”


 


 


หลิวลี่ที่เพิ่งจะได้สติคืนกลับมาเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด คมคายหล่อเหลาของซุนเหลียงไฉก็ตาโตอ้าปากค้างอีกครั้ง ลืมกระทั่งความขุ่นเคือง ได้แต่จ้องซุนเหลียงไฉตาค้าง


 


 


ซุนเหลียงไฉกำลังคิดว่าจะแสดงผลงานให้เมิ่งเชี่ยนโยวประทับใจอย่างไรดี ยามที่นางจะลงโทษตัวเองจะได้ไม่รุนแรงเกินไป เห็นหลิวลี่เอาแต่จ้องตัวเองตาไม่กะพริบ ก็ให้ผะอืดผะอม พูดอย่างเดียดฉันท์ “มองอะไรอยู่ได้ รีบไสหัวไปซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะอัดเจ้าจนจำบิดามารดาไม่ได้”


 


 


หลิวลี่ถึงได้สติกลับมา ตวาดสาวใช้ข้างๆ “พวกทาสโง่เง่า ยังไม่รีบผยุงข้าขึ้นมา!”


 


 


บรรดาสาวใช้แย่งกันประคองนางลุกขึ้น


 


 


หลิวลี่ต้องอับอายต่อหน้าฝูงชน โพล่งปากพูดโดยไม่ยั้งคิด “ดีนัก นังผู้หญิงร่านหน้าไม่อาย กินในถ้วยแต่มองในกระทะ[2] ถือว่าตัวเองมีเงิน เลี้ยงเด็กหนุ่มคนหนึ่งไม่พอ ยังเลี้ยงถึงสองคน”


 


 


สิ้นเสียง ยังไม่ทันเห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ขาข้างหนึ่งก็เตะอัดเข้ามาเต็มแรง ครั้งนี้ใช้แรงค่อนข้างหนัก หลิวลี่รับแรงไม่ไหว ล้มหน้าหงายไปอีกครั้ง แม้แต่สาวใช้ที่ประคองนางอยู่ก็ถูกพาล้มไปด้วย


 


 


เสียงโกรธเกรี้ยวของซุนเหลียงไฉดังขึ้น “เศษสวะโผล่มาจากที่ไหน ภาษาคนยังพูดไม่เป็น หากยังกล้าพูดเหลวไหล จะอัดให้ฟันร่วงหมดปาก”


 


 


มีสาวใช้รองรับ ครั้งนี้หลิวลี่ไม่ได้ล้มกระแทกพื้น นางไม่รอให้สาวใช้ประคองแล้ว ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากตัวสาวใช้ แผดเสียงคำรามบ่าวหัวฟัดหัวเหวี่ยง “พวกเจ้าเข้ามาให้หมด อัดเจ้าพวกไม่รู้จักที่ตายพวกนี้ให้หมด”


 


 


บ่าวเจ็ดแปดคนขานรับ พุ่งตัวเข้าใส่ซุนเหลียงไฉทันที


 


 


ซุนเหลียงไฉร่ำเรียนวรยุทธ์มานาน กำลังคิดจะหาคนลองของ เห็นบ่าวดาหน้าเข้ามา แยกขาตั้งรับอย่างฮึกเหิมใจ


 


 


หลิวลี่ตวาดเสียงเ**้ยม “ตีให้ตาย จัดการตีมันให้ตาย แม้แต่เด็กสองคนนั้นก็ไม่เว้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว


 


 


ชาวบ้านที่มุงล้อมเห็นปฏิกิริยาคลุ้มคลั่งและดุร้ายของหลิวลี่ ต่างพูดกระซิบกระซาบอื้ออึง


 


 


หลิวลี่ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เอาแต่กรีดร้องคำราม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเดินขึ้นหน้า เมิ่งอี้เซวียนรั้งนางไว้ พูดอย่างอ่อนโยน “ข้าเอง ลูกกระจ๊อกพวกนี้ไม่คู่ควรให้เจ้าลงมือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าเมิ่งอี้เซวียนในวันนี้ดูแปลกออกไป แต่ก็ไม่ได้คิดมาก พยักหน้าอนุญาต


 


 


 


 


 


 


[1] 偷鸡不成蚀把米 เปรียบเทียบว่า เดิมคิดจะเอาเปรียบคนอื่นกลับต้องเสียเปรียบเสียเอง


 


 


[2] 吃着锅里的看着碗里的 เป็นสำนวนเปรียบเปรยคนโลภกินไม่รู้จักพอ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)