กระบี่จงมา 223.2-225.2

 บทที่ 223.2 การต่อสู้บนถนนเส้นเล็ก

โดย

ProjectZyphon

“มีแค่ปณิธานหมัดอย่างเดียวไม่พอ เจ้ายังช้าเกินไป!”


หม่าขู่เสวียนพลันก้าวออกมาหนึ่งก้าว บนพื้นถนนที่รองเท้าของเขาเหยียบอยู่เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ พละกำลังแทรกซอนลงไปลึกอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีแววว่าจะแผ่ขยายออกไปรอบด้าน เด็กหนุ่มชุดดำมาโผล่ตรงหน้าเฉินผิงอันในเสี้ยววินาทีแล้วเหวี่ยงหมัดขวาแสกหน้าเขา


เฉินผิงอันกลับปล่อยสองมือออกไปพร้อมกัน เบี่ยงศีรษะเอียงไปด้านข้าง มือซ้ายปัดหมัดขวาของหม่าขู่เสวียนทิ้ง มืออีกข้างหนึ่งคว้าหมัดของอีกฝ่ายที่แทงเสยขึ้นมา ขณะเดียวกันก็โน้มตัวไปด้านหน้า ใช้ศอกซ้ายกระแทกใบหน้าของหม่าขู่เสวียน


คาดไม่ถึงว่าหม่าขู่เสวียนจะยกเข่าขึ้นแล้วดีดเท้าถีบ สกัดกั้นการจู่โจมของเฉินผิงอันเอาไว้ได้ อีกทั้งยังหงายตัวไปด้านหลัง ถือโอกาสดึงระยะห่างของคนทั้งคู่ หลบศอกที่ตีเข้าหน้าพ้น ทว่านับตั้งแต่ที่หม่าขู่เสวียนระเบิดฝีมืออันแข็งแกร่งออกมา หากโดนเท้านี้ของเขาถีบเข้าจังๆ เกรงว่าไส้อาจจะขาดได้จริงๆ ช่วงเวลาที่เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพ ได้ท้ารบกับปรมาจารย์ทั่วสารทิศ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า แต่หากถูกหม่าขู่เสวียนที่ฝึกตนอยู่ในสำนักการทหารซึ่งหล่อหลอมเรือนกายจนเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวโจมตีเข้า ไม่ว่าจะหมัดหรือเท้าก็ต้องกระอักเลือดออกมาหลายคำ


แต่หม่าขู่เสวียนกลับไม่ได้สมหวัง เขาค้นพบว่ามือขวาของเฉินผิงอันคว้าขาของเขาเอาไว้ได้ก่อน จากนั้นก็เหวี่ยงตัวเขาออกไป


หม่าขู่เสวียนเปลี่ยนท่าอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว สุดท้ายใช้เท้าทั้งสองข้างเหยียบลงบนกำแพง แล้วก็ค้างอยู่ในท่าที่เรือนกายขนานกับพื้นดิน เดินหน้าไปตามผนังเหมือนเดินอยู่บนพื้นดินด้วยท่าประหลาดนั้น


เฉินผิงอัน ‘เดินเคียงบ่า’ ไปกับเขา ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ใช้สองหมัดโจมตีที่ศีรษะของหม่าขู่เสวียน


ยิ่งไม่ได้ใช้กระบวนท่าหมัดที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้บนเรือนไม้ไผ่


การหยั่งเชิงแรกเริ่ม ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้รากฐานที่แท้จริงของอีกฝ่าย ดังนั้นการลงมือในครั้งแรกจึงยังกักเก็บพลังเอาไว้ ที่มากไปกว่านั้นคือต้องการหยั่งเชิงฝีมือของฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่ลงแรงอย่างเต็มกำลัง เพียงแค่เปิดฉากก็ปล่อยพลังอย่างสุดฝีมือ เฉินผิงอันระมัดระวังเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หม่าขู่เสวียนเคยเห็นทัศนียภาพบนภูเขาของเขาเจินอู่มาก่อน แล้วก็เคยได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของปรมาจารย์ด้านวิถีวรยุทธ์มาแล้ว ทว่าเขายังก็เก็บอาการถึงขนาดนี้จึงค่อนข้างจะน่าสนใจ เห็นได้ชัดว่าสำหรับเฉินผิงอันซึ่งเป็นคนเพียงคนเดียวที่เคยเอาชนะตนได้แล้ว ส่วนลึกในใจของหม่าขู่เสวียนมีความหวาดเกรงบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ซุกซ่อนอยู่


มาแล้ว!


ผนังกำแพงถูกหม่าขู่เสวียนเหยียบจนเกิดเป็นหลุมสองหลุม


เด็กหนุ่มชุดดำเหมือนลูกธนูแหลมคมที่พุ่งออกมา ลมปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งของเฉินผิงอันจมดิ่งลงไปในห้องโอสถ ตวัดเท้าวาดเป็นเส้นโค้ง ไถลลื่นไปด้านหลังเบาๆ จากนั้นก็พลันเพิ่มแรง เสียงปังดังหนึ่งครั้ง พื้นถนนข้างเท้าก็มีฝุ่นกระจายขึ้นมา ก้อนอิฐที่อยู่ใต้พื้นดินที่สัมผัสกับรองเท้าก็ยิ่งปริแตก


หมัดของหม่าขู่เสวียนเหมือนพายุฝนกระหน่ำ เฉินผิงอันทั้งรุกทั้งถอย ปะทะซึ่งๆ หน้า หมัดต่อหมัด หม่าขู่เสวียนออกหมัดด้วยพละกำลังหนักหน่วง อีกทั้งยังรัวติดต่อกันไม่มีหยุดพัก ลมปราณเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว ยืดยาวราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ต่อให้ร่างจะอยู่กลางอากาศ สองเท้าไม่สัมผัสโดนพื้น แต่หม่าขู่เสวียนก็ยังต่อยให้เกิดภาพปรากฎการณ์ของความดุดันได้


อากาศที่ว่างระหว่างคนทั้งสองเกิดเสียงระเบิดดังปึงปัง


ราวกับว่ามีคนกำลังรัวกลองอย่างดุเดือดอยู่ระหว่างพวกเขาสองคน


เฉินผิงอันถูกเด็กหนุ่มชุดดำต่อยจนถอยกรูดไปหลายสิบก้าวในรวดเดียว หลังของเขาเกือบจะอัดติดกับกำแพงอีกฝั่งหนึ่ง


แต่เฉินผิงอันที่ได้เปรียบโดยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากลับทั้งสามารถยืมแรงและลดทอนแรงจากพื้นดินได้อย่างต่อเนื่อง จนค่อยๆ สั่งสมขึ้นเป็นความได้เปรียบที่ลึกซึ้งบางอย่าง และเวลานี้เอง เฉินผิงอันที่ยังเก็บพละกำลังเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันไว้ในการต่อสู้รอบที่สองก็กระทืบลงไปบนพื้นดินแรงๆ หนึ่งครั้ง นี่ยังไม่พอ เขายังใช้เท้าข้างหนึ่งปักตรึงลงไปบนพื้นดิน หลังจากต้านรับหมัดของหม่าขู่เสวียนไว้ได้แล้ว ก็เหวี่ยงหมัดต่อยเข้าใส่ซีกหน้าด้านข้างของหม่าขู่เสวียนด้วยแรงที่มากกว่าอีกฝ่ายเป็นเท่าตัว ทำเอาเด็กหนุ่มชุดดำลอยกระเด็น


ทว่าในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่ หม่าขู่เสวียนที่ลอยหวือออกไปก็เอาคืนด้วยการปาดเท้าเหวี่ยงมาฟาดเข้าที่ลำคอของเฉินผิงอันอย่างแรง


คนหนึ่งถูกเฉินผิงอันต่อยจนกระเด็นออกไป พลิกกลับร่างเปลี่ยนทิศทางจนสองเท้าสัมผัสโดนพื้น แต่ถึงกระนั้นร่างก็ยังไถลออกไปด้านหลังอยู่ดี


คนหนึ่งถูกหม่าขู่เสวียนเตะจนร่างหมุนคว้าง หัวเข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย หลังจากหยุดยืนได้มั่นคงแล้วก็รีบถอยไปข้างหลังทันที ราวกับว่าจำเป็นต้องปรับลมหายใจของตัวเองเสียใหม่


หม่าขู่เสวียนแสยะยิ้มจนเห็นฟันสีขาวสะอาด เขาพอจะเดาความหนักเบาของวิชาหมัด ความเร็วในการออกหมัดและวิธีการโคจรลมปราณที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้คร่าวๆ จึงกระโจนออกไปข้างหน้า ความเร็วนั้นมากจนแทบจะเทียบเคียงได้กับยันต์เทพเดินทางของลัทธิเต๋า


เฉินผิงอันถูกบีบให้ต้องตั้งท่าหมัดที่คล้ายกับการป้องกัน ลูกตาดำของหม่าขู่เสวียนหดรัดตัว และในขณะที่สองฝ่ายกำลังจะปะทะกันนั้นเอง หม่าขู่เสวียนพลันหมุนตัวกลับ ซอยเท้าถี่รัวหมุนตัวรอบกายเฉินผิงอันคล้ายลูกข่าง ร่างกายเอนไปด้านหลัง จะล้มไม่ล้มอยู่ตลอดเวลา ทิ้งระยะห่างจากเฉินผิงอันประมาณหนึ่งช่วงแขน


เฉินผิงอันไม่ได้ปล่อยหมัดนั้นออกไปง่ายๆ


หลังจากวนครบหนึ่งรอบ ร่างของหม่าขู่เสวียนก็หยัดตรง เดินวนรอบเฉินผิงอันอีกครั้ง แต่คราวนี้เดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “หมัดนี้อันตรายมาก มีชื่อเรียกไหม?”


แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางตอบคำถามเขา เขาขยับเท้าก้าวออกไปเบาๆ ยืนหันหน้าเข้าหาหม่าขู่เสวียนตลอดเวลา สองมือยังคงตั้งท่าหมัดดังเดิม ปณิธานแห่งหมัดไหลวนไปทั่วร่าง ลมปราณที่แท้จริงในร่างขุมนั้นเหมือนมังกรไฟที่ว่ายวนไปทั่ว


หม่าขู่เสวียนไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ แต่เท้าของเขาก็ยังคงเดินขยับเข้าใกล้เฉินผิงอันอย่างสง่างาม แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “ข้าโง่เอง ไม่โทษเจ้าๆ จะว่าไปแล้วก็ตลก ข้าเดินทางในยุทธภพครั้งนี้ได้พบเจอกับปรมาจารย์และจอมยุทธ์มามากมาย ตอนที่ต่อสู้กันก็มักจะผลัดกันรุกผลัดกันรับ แถมยังมีพวกคนโง่อีกนับไม่ถ้วนยืนปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ข้างๆ แล้วก็มีการต่อสู้ที่เหมือนลูกเจี๊ยบจิกกันเอง บางคนก่อนจะลงมือมักจะชอบร้องตะโกนให้คอยรับกระบวนท่าให้ดี หรือไม่ก็เป็นพวกชอบป่าวประกาศชื่อกระบวนท่า ราวกับกลัวว่าคู่ต่อสู้จะไม่รู้ว่ากระบี่นั้นหรือหมัดนั้นมีที่มาและแก่นแท้อย่างไร”


หม่าขู่เสวียนยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลง รอยยิ้มมองดูแล้วเกียจคร้านอย่างยิ่ง


แต่ว่าเด็กหนุ่มชุดดำพูดไว้แล้วว่าจะต้องตัดสินให้รู้แพ้ชนะเท่านั้น จิตสังหารของเขาในเวลานี้จึงไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อครั้งศึกที่สุสานเทพเซียนเลย


หม่าขู่เสวียนยืนนิ่ง เอ่ยถามว่า “พวกเราเอาแต่ยืนคุมเชิงกันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ขอบเขตที่สามของข้ากลับต่อสู้กับเจ้าได้แค่สูสี เฉินผิงอัน เจ้าอยากจะสู้กันให้น่าสนใจกว่านี้สักหน่อยหรือไม่?”


เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “เจ้าใช้ขอบเขตห้าได้โดยตรงเลย ไม่ถือว่าเจ้าได้เปรียบหรอก”


ก่อนหน้านี้หม่าขู่เสวียนได้เอ่ยคำพูดทำนองนี้มาก่อน ตอนนี้คนพูดน้อยอย่างเฉินผิงอันตอบโต้กลับคืนหม่าขู่เสวียนที่หยิ่งยโสบ้าง ก็เรียกได้ว่าน่าเจ็บใจยิ่งกว่าเขาต่อยเข้าที่หัวของหม่าขู่เสวียนเสียอีก


หม่าขู่เสวียนหัวเราะฮ่าๆ


รอยยิ้มของเด็กหนุ่มชุดดำสดใสถึงขีดสุด แต่ในใจก็เดือดดาลสุดขีดเช่นกัน มือข้างหนึ่งของเขากำแล้วก็ปล่อยไม่หยุด ระหว่างห้านิ้วมีสายฟ้าสีขาวหิมะหลายเส้นไหลล้อมวนเวียนส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ


ที่แท้การต่อสู้โดยใช้ขอบเขตสามก่อนหน้านี้ หม่าขู่เสวียนได้สละฐานะผู้ฝึกลมปราณของสำนักการทหารทิ้งไปแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ของเขาจึงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของคนในยุทธภพ ไม่ได้ยึดมั่นหลักคุณธรรมที่สูงส่งสักเท่าไหร่


เฉินผิงอันกลับไม่มีความขลาดกลัวแม้แต่น้อย กลับกันคือปณิธานหมัดยังไต่ทะยานขึ้นสูงประหนึ่งน้ำขึ้นที่เพิ่มระดับพรวดพราด


เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขาเปลี่ยนจากท่าหมัดโบราณอย่างกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ามาเป็นกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ฉายความคมกริบออกมาอย่างเต็มที่


สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้หม่าขู่เสวียนตัดสินใจเฉียบขาดว่าต้องสังหารเขาให้ได้


“หม่าขู่เสวียน ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ จะสู้ก็สู้เสียที อย่าเอาแต่พูดพล่ามไม่จบไม่สิ้น”


หม่าขู่เสวียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ไม่เหลือสีหน้าเกียจคร้านใดๆ อีกต่อไป สายตาของเขาสงบนิ่ง ทั้งไม่มีความจองหองอวดดี แล้วก็ไม่มีอารมณ์ทุกข์สุข


หม่าขู่เสวียนยื่นนิ้วออกมาชี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “กล้าใช้วงกลมที่สองที่ข้าเพิ่งเดินไปก่อนหน้านี้มาตัดสินแพ้ชนะหรือไม่? ใครที่ถอยออกจากวงก่อน คนนั้นแพ้”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


หม่าขู่เสวียนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เดินเข้าไปในขอบเขตวงกลมนั้นอย่างไม่ลังเล


เฉินผิงอันจากตรอกหนีผิง หม่าขู่เสวียนจากตรอกซิ่งฮวา


อันที่จริงคนทั้งสองต่างก็รู้กันดีแก่ใจว่า หม่าขู่เสวียนไม่เพียงแต่ต้องการรู้ผลแพ้ชนะ ที่มากกว่านั้นยังต้องการตัดสินเป็นตายด้วย


แต่เฉินผิงอันกลับไม่คิดหลบเลี่ยง หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าหากเขาเกิดความคิดจะถอย ก็เท่ากับตาย อีกอย่างหากได้ฆ่าคนสารเลวที่ขอบเขตยิ่งสูงก็ยิ่งฆ่าคนเยอะอย่างหม่าขู่เสวียนผู้นี้ เฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจ


วันนี้ได้มาพบหน้ากันอีกครั้งในต่างถิ่นต่างแดน คือความบังเอิญ


การช่วงชิงแข่งขันบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นของคนทั้งสองถูกกำหนดมาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาอยู่บ้านเกิดแล้ว


แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีความแค้นรุ่นบิดาที่หม่าขู่เสวียนรู้ความจริง แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้อะไรเลยอยู่อีกด้วย


บนถนนที่เงียบสงัดในเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อีแจกันสมบัติทวีป


เฉินผิงอันที่ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบรับมือกับศัตรูเป็นฝ่ายลงมือก่อน ยันต์ย่อพื้นที่ถูกเตรียมรอไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้ว สามารถนำมาใช้เป็นกระบวนท่าสังหารที่แท้จริงได้ทุกเมื่อ และกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก็จะเป็นการส่งถ่านให้ในวันหิมะตก


หม่าขู่เสวียนนักพรตสำนักการทหารขอบเขตห้ามี ‘สายฟ้า’ ของเขาเจินอู่ซึ่งมีภูมิหลังยิ่งใหญ่อบอวลอยู่ระหว่างนิ้วและฝ่ามือทั้งสองข้าง


ใกล้ในระยะประชิด ห่างเพียงไม่กี่ชุ่น


พื้นที่นี้ล้วนเต็มไปด้วยปณิธานหมัดและสายฟ้าอันน่าตะลึงของเด็กหนุ่มสองคน


นี่คือการต่อสู้ประชิดตัว


หากพูดถึงแค่ขอบเขต คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามขั้นสูงสุด อีกคนคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าขั้นสูงสุด หากกล่าวตามคำพูดของหม่าขู่เสวียน อันที่จริงก็ถือว่าเป็นแค่ลูกเจี๊ยบจิกตีกันเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าฝีมือของทั้งคู่ต่างก็ต่ำ ไม่ได้มีใครเก่งกาจกว่ากัน)


แต่หากมองในด้านปณิธานหมัดวิถีวรยุทธ์ของฝั่งหนึ่ง กับจิตวิญญาณแห่งสำนักการทหารที่ถูกฟูมฟักให้ถือกำเนิดได้อย่างรวดเร็วของอีกฝ่ายหนึ่ง อย่าว่าแต่ยุทธภพด้านล่างภูเขาเลย ต่อให้เป็นตระกูลเซียนบนภูเขาก็ยังต้องตกตะลึงพรึงเพริด


หม่าขู่เสวียนทำลายกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบซึ่งยังไม่ทันรวบรวมสัจธรรมและปณิธานหมัดได้สำเร็จของเฉินผิงอันไปก่อน


แต่เพียงไม่นานหม่าขู่เสวียนก็ต้องกินหมัดจากกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าติดต่อกันเต็มๆ ถึงสิบห้าหมัด ทำเอาแสงสีทองอ่อนจางผุดวาบขึ้นมาทั่วใบหน้าเด็กหนุ่มชุดดำ จำต้องใช้เวทลับของสำนักการทหารภูเขาเจินอู่ถึงจะบังคับสะบั้นท่าหมัดประหลาดนั้นไม่ให้ไหลลงไปเบื้องล่างได้สำเร็จ จากนั้นหม่าขู่เสวียนก็ต่อยให้เลือดสดซึมออกมาจากจุดไท่หยางของเฉินผิงอัน ลำพังเพียงแค่ลูกสายฟ้าก็กระแทกเข้าหน้าเขาเต็มๆ ถึงสองครั้ง รสชาติเช่นนั้นประหนึ่งสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่มาผ่าข้างหู เหมือนค้อนใหญ่ทุบลงบนใบหน้า เพียงแต่ว่าตอนอยู่เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเผชิญกับความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ นี่จึงเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด!


หม่าขู่เสวียนยิ่งรบยิ่งฮึกเหิมประหนึ่งมารร้ายผู้บ้าคลั่ง


คนวัยเดียวกันจากบ้านเกิดเดียวกันสองคนผลัดกันแลกหมัดแลกเท้าอย่างตรงไปตรงมา อาศัยคำว่าเร็วเพียงคำเดียว รวมไปถึงแสวงหา ‘ส่วนที่เหลือ’ สองร้อยจากประโยคที่ว่า ‘สังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองสูญเสียแปดร้อย’ จากความยืนหยัดหนักแน่นของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และความดุร้ายของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ล้วนทำให้พวกเขามีจิตใจที่สุดโต่งถึงขีดสุด อย่าว่าแต่กำไรสองร้อยเลย ต่อให้ได้แค่ยี่สิบ พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยไป


เป็นเหตุให้ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าสามารถใช้หมัดต้านทานหมัดของอีกฝ่ายได้ แต่กลับยังดึงดันที่จะเลือกให้ก่อนเจ้าต่อยข้าหนึ่งหมัด หมัดของข้าต้องต่อยโดนเจ้าก่อน!


อวัยวะภายในของเฉินผิงอันสั่นสะเทือนไม่หยุด เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดอยู่นานแล้ว


หม่าขู่เสวียนเองก็ลมปราณยุ่งเหยิง เจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน สายฟ้าของภูเขาเจินอู่ที่อยู่บนมือเหลืออีกไม่มาก


แต่จิตใจของทั้งสองฝ่ายกลับยิ่งหนักแน่นมั่นคง


ต่างคนต่างเป็นหินลับมีดขัดเกลาฝีมือบนมหามรรคา


ครั้งสุดท้ายคนทั้งสองใช้การบาดเจ็บแลกการบาดเจ็บ เฉินผิงอันเกิดแรงบันดาลใจ ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูที่ปกติใช้หล่อเลี้ยงบำรุงจิตวิญญาณเปลี่ยนมาเป็นท่าโจมตีกะทันหัน มือทั้งสองข้างของเขาแยกห่างออกจากกัน แต่ลมปราณเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว มือข้างหนึ่งใช้สองนิ้วจิ้มไปกลางหว่างคิ้วของหม่าขู่เสวียน มืออีกข้างงอสองนิ้วเคาะลงไปบนหัวใจของหม่าขู่เสวียน


แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็โดนสองหมัดของหม่าขู่เสวียนต่อยลงมาบนหัวใจไล่เลี่ยกัน


คนทั้งสองถอยกรูดออกไปข้างหลังในเวลาเดียวกัน เมื่อเท้าของหม่าขู่เสวียนเหยียบออกนอกวง เขากลืนเลือดสดหนึ่งอึก ยิ้มดุดันกล่าวว่า “เฉินผิงอัน ครั้งนี้เจ้าแพ้แล้ว พวกเราคนหนึ่งชนะ คนหนึ่งแพ้!”


เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด บิดปลายเท้าจ้องหม่าขู่เสวียนเขม็ง ยกหลังมือเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของตัวเองช้าๆ ไม่กล้าปล่อยให้มันบดบังการมองเห็นของตน


และเวลานี้เองก็มีคนผู้หนึ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ดังมาจากบนกำแพง “ดีมาก”


หม่าขู่เสวียนถอนหายใจ หมุนตัวเดินจากไป แต่ยังไม่ลืมหันกลับมาชี้หน้าเฉินผิงอัน “คราวหน้าต้องรู้แพ้รู้ชนะ รู้เป็นรู้ตาย”


ขณะที่หมุนกายเดินจากไป ใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดดำที่เดินหน้าอย่างเชื่องช้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กัดฟันไว้แน่น เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมาเด็ดขาด


เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองไปยังร่างของคนที่คุ้นเคย


ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของภูเขาเจินอู่ คนที่พาหม่าขู่เสวียนไปจากสุสานเทพเซียน


หลังจากหมัดที่สิบห้าของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถูกตัดสะบั้นลงกลางคัน อันที่จริงเฉินผิงอันก็ตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของคนผู้นั้นแล้ว หรือไม่คนผู้นั้นก็อาจจงใจทำให้เขาสัมผัสได้


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่ได้ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทั้งสองเล่ม


คนผู้นั้นใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่า ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะต้องตัดสินถึงขั้นเป็นตาย แค่ต่อสู้อย่างเต็มกำลังก็พอ เขารับรองว่าคนทั้งสองจะแบ่งแค่แพ้ชนะเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันที่มีโอกาสสังหารหม่าขู่เสวียน หรือหม่าขู่เสวียนที่จะได้ฆ่าเฉินผิงอัน คนผู้นั้นก็จะลงมือขัดขวาง


บุรุษที่ตอนนั้นเป็นตัวแทนของภูเขาเจินอู่เดินทางไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูของต้าหลีก้าวออกมาหนึ่งก้าว มาเดินเคียงข้างหม่าขู่เสวียนที่ใบหน้านองไปด้วยน้ำตาของความเจ็บปวด บุรุษหันไปเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “เพื่อแสดงการขอโทษและขอบคุณ ข้าได้ช่วยเจ้าจัดการนักฆ่าคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดแล้ว หาไม่แล้วหากเส้นเอ็นหัวใจของเจ้าที่เพิ่งคลายลงต้องขึงตึงขึ้นมาอีกครั้งในเวลาสั้นๆ ก็ง่ายที่จะเปิดช่องว่างให้นักฆ่าคนนั้นฉกฉวย”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


ที่บอกว่าขอบคุณ


ก็เพราะคนผู้นั้นมองออกว่าเท้าที่เหยียบออกนอกวงของเฉินผิงอัน แท้จริงแล้วไม่ได้สัมผัสกับพื้นดิน แต่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ เพียงแต่ว่าตอนนั้นหม่าขู่เสวียนเป็นม้าตีนปลายแล้วจึงมองความจริงไม่ออก


ส่วนข้อที่ว่าทำไมเฉินผิงอันต้องระวังถึงเพียงนี้


เพราะเขาไม่เชื่อคำพูดของเทพเซียนสำนักการทหารจากภูเขาเจินอู่ท่านนั้น


อาจารย์ฉีมีแค่คนเดียว และอาเหลียงก็มีแค่คนเดียว


—–


บทที่ 224.1 ชายเก่งกาจหญิงงดงาม

โดย

ProjectZyphon

ทางฝั่งของแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ เทพเซียนเฒ่าแสดงฝีมืออันเยี่ยมยอดอีกครั้ง จำแลงกระดาษยันต์สีเหลืองสี่แผ่นให้เป็นสาวงามสี่คน ต่างคนต่างมีความงามในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ท่วงท่าบุคลิกไม่แพ้สตรีชุดสีสันสดใสก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย


จากนั้นก็บอกให้ข้ารับใช้ในเรือนที่เตรียมการรอมานานแล้วยกพิณโบราณ โต๊ะตั้งพิณ กระดานและโถใส่เม็ดหมากล้อม รวมไปถึงโต๊ะตัวใหญ่และสี่สมบัติในห้องหนังสือมา


มนุษย์ทั่วไปมีของสำคัญในชีวิตประจำวันอยู่เจ็ดอย่างอันได้แก่ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูและชา ส่วนปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงก็ย่อมต้องมีพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด สิบนิ้วไม่เคยได้แตะต้องงานหยาบ ในชายแขนเสื้อมีแต่สายลมเย็น


เทพเซียนเฒ่าชี้นิ้วไปยังสตรีที่นั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่หน้าโต๊ะหมากล้อม กุมมือคารวะแล้วเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ในเมืองแยนจือมียอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมหรือไม่? ขอแค่เอาชนะนางได้ก็เอาโต๊ะและเม็ดหมากล้อมสองโถที่มีมูลค่าเทียบเท่าทองพันชั่งไปได้เลย”


สิ่งของที่อยู่ในจวนแห่งนี้ไม่มีชิ้นใดที่เป็นของราคาถูก


กล้าเอาของออกมาแสดงในจวนของเศรษฐีก็ต้องไม่ใช่ของที่ธรรมดาอย่างแน่นอน


ศาสตร์และศิลป์ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีค่อนข้างจะรุ่งเรือง ยอดฝีมือที่ชื่นชอบประลองหมากล้อมจึงมีไม่น้อย และเพียงไม่นานก็มีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เดินไปทางแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ พอผู้เฒ่าเผยตัว คนบางคนที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถในการเล่นหมากล้อมสูงพอก็ได้แต่นั่งกลับลงไปโดยดี นี่แสดงให้เห็นว่าผู้เฒ่าชุดเขียวต้องเป็นอันดับหนึ่งในวงการหมากล้อมซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกคนอย่างแน่นอน


เทพเซียนเฒ่าและผู้เฒ่าชุดเขียวต่างก็พยักหน้าให้กัน ฝ่ายหลังเดินตรงไปหน้าโต๊ะหมากล้อมแล้วนั่งลง ก่อนจะแข่งขันกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องมีการเดาก่อน ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าอวดดีว่าตัวเองมีฝีมืออยู่ในขั้นเจ็ด หรือคิดว่าคนที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกันจะต้องให้ผู้อาวุโสเลือกก่อน เขาถึงได้คว้าหมากสีขาวขึ้นมากำหนึ่งอย่างไม่เกี่ยงงอน สตรีเล่นหมากล้อมที่จำแลงมาจากกระดาษเหลืองยิ้มบางๆ ก้มตัวลงไปคีบหมากสีดำขึ้นมาสองเม็ด ผลคือผู้เฒ่าได้เดินก่อน


เสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังสนั่นไปทั้งริมทะเลสาบ


ในฐานะนักเล่นระดับแคว้นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นไฉ่อี เดิมทีผู้เฒ่าก็เป็นความภาคภูมิใจของคนในเมืองแยนจืออยู่แล้ว พวกคนดูกู่ร้องให้กำลังใจเขาจึงสมเหตุสมผลดีแล้ว คนบ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยเหลือกันเอง


จากนั้นเทพเซียนเฒ่าก็ชี้นิ้วไปยังสตรีสองคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนพู่กันโดยชี้ไปทางคนที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ “ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านเจ้าเมืองมีเรื่องให้กังวลใจ ที่วัดซึ่งเพิ่งสร้างใหม่ยังขาดอักษรกลอนคู่ หลังจากนางเขียนเสร็จแล้ว จะนำไปใช้หรือไม่ ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองมีฝีมือด้านการเขียนบทความเป็นที่เลื่องลือไปทั่วราชสำนัก มีสายตาเฉียบคมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังจากมองดูเนื้อหาคร่าวๆ แล้วก็น่าจะตัดสินใจได้”


ใต้เท้าเจ้าเมืองลูบหนวดยิ้มๆ แม้จะปลาบปลื้มกับคำชมก็ยังรักษากิริยาเอาไว้


จากนั้นเทพเซียนเฒ่าก็มองไปยังแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่นั่งอยู่ข้างเจ้าเมืองหลิวในศาลาริมน้ำ กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่ทัพหม่าคือแม่ทัพผู้ห้าวหาญในสมรภูมิรบผู้มีคุณูปการอันโดดเด่น เคยเป็นหนึ่งในเสาหลักพิทักษ์ชายแดนของแคว้นไฉ่อี ผ่านสงครามมานับร้อย แม้ว่าข้าผู้อาวุโสจะเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็เคารพเลื่อมใสท่านอย่างถึงที่สุด จึงตั้งใจให้นางแสดงฝีมืออันอัปลักษณ์ (เป็นคำที่แสดงถึงการถ่อมตัว)  วาดภาพหิมะพร่างพราวให้แก่ท่าน!”


แม่ทัพฝ่ายบู๊ยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ “หากวาดได้ดี สามารถวาดกลิ่นอายของความกว้างใหญ่ไพศาลในสนามรบออกมาได้ วันที่ท่านเทพเซียนเฒ่าออกจากเมือง ข้าผู้แซ่หม่าจะไปส่งท่านเดินทางด้วยตัวเองเป็นระยะทางสามสิบลี้!”


เทพเซียนผู้เฒ่ากุมหมัดขอบคุณแม่ทัพฝ่ายบู๊ สุดท้ายเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะพิณ ธูปก้านหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปักอยู่ในกระถางธูปสีทองเหลืองที่ว่างเปล่า เขาจุดไฟด้วยตัวเอง ควันธูปสีม่วงลอยอวลขึ้นมากลางอากาศ


จากนั้นก็หันไปผงกศีรษะให้กับสตรีที่ดีดพิณ ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย ก่อนจะก้มหน้าเริ่มสร้างอารมณ์ให้กับตัวเอง


เมื่อเสียงพิณที่สั่นคลอนจิตใจคนดังขึ้น หัวใจของคนหลายร้อยที่ได้ยินก็ผ่อนคลายตามไปด้วย


ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล อริยะสร้างพิณขึ้นมาเพื่อปรับเสียงแห่งใต้หล้า เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าเสียงพิณสามารถระงับความลามกอนาจาร ปรับจิตใจคนให้เที่ยงตรง


 ในระเบียงทางเดินที่ทอดยาว ชายฉกรรจ์เคราดกนั่งแทะเมล็ดแตง จุ๊ปากพูดชม “ลูกเล่นเยอะจริงๆ เพียงแต่ว่าอืดอาดชักช้าไปหน่อยเลยไม่ค่อยน่าสนใจนัก”


เขาไม่มีความรู้ด้านพิณ หมากล้อม พู่กันหรือภาพวาด จึงไม่รู้สึกสนใจ เต็มใจที่จะดูรำกระบี่มากกว่า เอวบางๆ ที่บิดยักย้ายและสะโพกที่ผลุบๆ โผล่ๆ ของคนงามสวมชุดสีสันสดใสกับพวกดรุณีน้อยชุดขาวต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพอันสวยงามที่เขาอยากชม


บัณฑิตหลิวเกาหวาเป็นพวกที่หลงใหลในหมากล้อม จ้องมองไปที่การประลองฝีมือระหว่างผู้เฒ่าชุดเขียวกับสตรีผู้นั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจ็บใจก็แต่ตนเป็นลูกหลานขุนนางที่นิสัยไม่เอาไหน เลยไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปดูบนแท่นสูงให้เห็นกับตาตัวเอง


นักพรตจางซานเฟิงร้อนใจจริงๆ แล้ว เขาคอยหันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นว่าเฉินผิงอันจะปรากฎตัวเสียที คงไม่ได้ตกส้วมไปแล้วจริงๆ หรอกกระมัง เขาจึงไม่สนว่าใครจะมองมาอย่างไม่พอใจ หลังจากบอกให้คนทั้งสองรู้แล้วก็ลุกขึ้นเบียดฝูงชนไปตามหาเฉินผิงอัน


เทพเซียนเฒ่ายืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มไม่ยินดียินร้ายในลาภยศสักการะ ท่าทางลึกลับเกินจะหยั่ง เขาเก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่ริมทะเลสาบไว้ในสายตา รู้ดีว่าแผนการครั้งนี้ของตนสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว


……


บนถนนเส้นเล็ก หม่าขู่เสวียนหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาเทยาเม็ดสีเงินสองเม็ด หลังจากโยนเข้าปากแล้วก็กล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์ ท่านนี่เหมือนวิญญาณร้ายที่ตามติดจริงๆ”


ดูท่าการฝึกประสบการณ์ในยุทธภพครั้งนี้ อาจารย์คงแอบจับตามองเขาอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา นี่ทำให้หม่าขู่เสวียนเอือมระอาอย่างยิ่ง เขาพอจะรู้นิสัยของบุรุษที่อยู่ข้างกายคร่าวๆ แล้วว่าเป็นเหมือนก้อนหินในห้องส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็งทื่อ เรื่องไหนที่เขาตัดสินใจแล้วก็จะต้องเดินไปให้สุดปลายทาง หม่าขู่เสวียนไม่ได้ร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของภูเขาเจินอู่ที่ถ่ายทอดเวทลับสำนักการทหาร และมอบสมบัติอาคมล้ำค่าชิ้นหนึ่งให้กับเขาได้เคยอธิบายให้หม่าขู่เสวียนฟังถึงกฎเกณฑ์ของสำนัก นอกจากคำสั่งของเจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่แล้ว ข้ออื่นๆ ล้วนไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่แท้จริง แต่เจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่ปิดด่านมาร้อยปีแล้ว กฎเกณฑ์ทั้งหลายจึงยิ่งหละหลวมและผ่อนคลายมากขึ้น


บุรุษไม่เอ่ยคำใด


การลงเขาในครั้งนี้หน้าที่ของเขาก็คือคุ้มกันให้หม่าขู่เสวียนไปหาเรื่องแม่ทัพใหญ่กองทหารม้าเหล็กไห่เฉา ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันไปถึงการตายของย่าหม่าขู่เสวียน และราชวงศ์ของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาก็เพิ่งจะทำสงครามใหญ่กับศัตรูคู่อาฆาตไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลาย ฝ่ายหนึ่งถึงขั้นเอาทวยเทพร่างทองสูงร้อยจั้งมาใช้ อีกฝั่งหนึ่งก็ใช้วัวดินพิทักษ์แคว้นหนึ่งตัว เดิมทีนี่คือวัวเหล็กที่เซียนในยุคบรรพกาลใช้เฝ้าริมน้ำเวลาที่มีการขนส่งทางน้ำ สงครามครั้งนี้กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาเสียหายอย่างสาหัส หม่าขู่เสวียนแอบแฝงตัวเข้าไปข้างใน เพียงค่ำคืนเดียวก็สังหารแม่ทัพฝ่ายบู๊ระดับกลางไปได้สามคน แล้วสะบัดมือจากมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด


หลังจากนั้นหม่าขู่เสวียนก็บอกว่าจะท่องอยู่ในยุทธภพ ใช้ยุทธภพมาเป็นหินลับร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเอง บุรุษไม่ได้ห้ามปราม แต่ก็ยังแอบติดตามเขามาอย่างลับๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น


หม่าขู่เสวียนยื่นมือมาเช็ดคราบน้ำตา พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ สอดสองมือไว้ที่ท้ายทอย ถามว่า “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหากนะ เฉินผิงอันมีโอกาสสังหารข้า อาจารย์จะลงมือสังหารเขาหรือไม่?”


ในที่สุดบุรุษก็ยอมเปิดปากพูด “ข้าไม่กล้าฆ่าเขา แล้วก็ไม่อยากฆ่าเขาด้วย”


ไม่กล้า ก็เพราะว่าเคยมีคนคนหนึ่งไปที่วังหลวงต้าหลี ทำให้กระบี่บินของหอป๋ายอวี้เสียหายอย่างหนัก และก็เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเฉินผิงอัน หากเพียงเท่านี้ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านก็จะต้องมีคนคิดอยากจะลงมืออีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่เพิ่งบินขึ้นไปบนฟ้ากลับย้อนคืนมายังโลกมนุษย์อีกครั้งเร็วขนาดนี้ แม้จะบอกว่าโดนลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ ‘ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง’ คนนั้นต่อยให้ร่วงกลับลงมายังใต้หล้าไพศาล แต่หากจะพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติรับหมัดเต็มแรงจากยอดฝีมืออันดับสองของลัทธิเต๋าได้?


ไม่อยาก เพราะว่าความประทับใจที่บุรุษมีต่อเฉินผิงอันนั้นไม่เลว หากไม่เป็นเพราะมีกฎของสำนักบังคับอยู่ เขารู้สึกว่าแท้จริงแล้วเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่บรรลุสัจธรรมแห่งหมัดได้อย่างรวดเร็วเหมาะจะเป็นลูกศิษย์ของเขามากกว่า


การที่เขารับหม่าขู่เสวียนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดก็เพราะได้รับคำสั่งที่เข้มงวดจากเจ้าสำนักซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่สำคัญที่สุดของการปิดด่าน เจ้าสำนักกล่าวไว้ว่าทุกคนของภูเขาเจินอู่ต้องปฏิบัติต่อหม่าขู่เสวียนอย่างระมัดระวัง ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างนั้นเขาออกจากด่านมาเมื่อไหร่ก็คือช่วงเวลาของการถามหาความรับผิดชอบ ดังนั้นภูเขาเจินอู่ถึงได้ส่งเขาไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ระหว่างที่แย่งชิงตัวหม่าขู่เสวียนกับกุมารทองและกุมารีหยกของสำนักโองการเทพ บุรุษไม่ยอมถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว ถึงขั้นบีบบังคับข่มขู่คนอื่น แสดงให้เห็นถึงความเหี้ยมอำมหิต


แต่ว่าการที่บุรุษถูกมองเป็นอาจารย์ในนามของหม่าขู่เสวียนก็ไม่ถือว่าถูกต้องนัก ลัทธิพุทธมีอาจารย์ผู้เทศนาพระคัมภีร์ มีพระสงฆ์ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยา มีพระสงฆ์ผู้ถ่ายทอดพระธรรมคำสอน มีพระผู้ปกปักรักษาพุทธศาสนา เป็นต้น ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือผู้ปกป้องมรรคาเต๋า เป็นคนที่คอยดูแลพิทักษ์หม่าขู่เสวียนลูกศิษย์ของภูเขาเจินอู่ยามที่เขาเดินไปบนมหามรรคา ส่วนข้อที่ว่าเส้นทางของหม่าขู่เสวียนจะสอดคล้องกับเขาหรือไม่ ไม่สำคัญ


จู่ๆ บุรุษก็เอ่ยว่า “เจ้าสามารถฆ่าเฉินผิงอันได้ ทว่าปัจจัยแรกคือเจ้าต้องมีความสามารถนั้นเสียก่อน”


นี่ไม่ใช่ว่าบุรุษตั้งใจพูดจายั่วยุ แต่เป็นการอธิบายถึงเรื่องจริงอย่างหนึ่ง


หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด “มีความสามารถนั้น? ทำไมข้าถึงจะไม่มีความสามารถนั้น! ด้านในวัตถุจื่อชื่อของข้ามีสมบัติอาคมอยู่มากน้อยเท่าไหร่ คนอื่นไม่รู้ แต่อาจารย์ท่านจะไม่รู้งั้นหรือ?”


บุรุษกล่าวยิ้มๆ “เจ้ามี แล้วคนอื่นจะไม่มี?”


หม่าขู่เสวียนยิ้มกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน “ต่อให้เขาเองก็มี แต่จะเทียบกับข้าได้หรือไง? ไม่ต้องพูดถึงคราบเซียนร่างทองที่บุรพาจารย์ภูเขาเจินอู่สืบทอดต่อกันมา เอาแค่จิตวิญญาณวีรบุรุษสองตนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในร่างข้าก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการทำลายล้างยิ่งใหญ่ที่สุด ขอแค่ไม่ใช่ห้าขอบเขตกลาง ต่อให้กระบี่บินของเขาจะพุ่งแทงข้าเป็นร้อยเป็นพันครั้ง  แต่จะสามารถทำร้ายข้าได้จริงๆ หรือไร?”


บุรุษเอ่ยถาม “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ใช้ ดึงดันจะต่อสู้กับเขาจนตัวเองสภาพอเนจอนาถขนาดนี้?”


“การต่อสู้ครั้งนี้น่าสนใจกว่าการต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ บนเขาเจินอู่มากนัก ข้าหรือจะตัดใจใช้สมบัติอาคมให้เจ้าหมอนั่นแพ้แล้วตายตาไม่หลับ นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยของข้า แล้วข้าเองก็ไม่เต็มใจจะรังแกเฉินผิงอันด้วยวิธีนี้ ดังนั้นข้าจะต้องใช้จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเอาชนะให้เขายอมหมอบราบคาบแก้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่หรือ มีข้อได้เปรียบด้านร่างกายมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่หรือ ข้ามีแค่เนื้อหนังมังสาที่หล่อหลอมจากวิชาของสำนักการทหารซึ่งนำมาใช้ปะทะกับเขาตรงๆ อาจารย์ ท่านคิดจริงๆ หรือว่าที่ข้าจำกัดพื้นที่ในการต่อสู้เพราะไม่รู้ความประหลาดของหมัดนั้นเฉินผิงอัน?”


หม่าขู่เสวียนเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้ ไม่อย่างนั้นครั้งแรกก็คงไม่จงใจเดินวนรอบตัวเฉินผิงอัน หลบเลี่ยงประกายคมกริบของเขา แต่พอมาย้อนนึกดู ขนาดผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ข้าก็ยังต้องอ้อมผ่าน วันหน้าเมื่อเจอกับปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตหก ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด หรือเจอกับปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางอย่างพวซ่งจ่างจิ้ง ต่อให้ข้ามีข้อได้เปรียบด้านขอบเขต แต่ก็ต้องอ้อมผ่านอีกใช่ไหม?”


บุรุษถาม “ถ้าอย่างนั้นคำตอบของเจ้าคืออะไร?”


หม่าขู่เสวียนหันหน้ากลับไปมอง อาจารย์และศิษย์สองคนเดินห่างมาไกลมากจนใกล้จะถึงประตูเมืองแล้ว มองไม่เห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้นานแล้ว หม่าขู่เสวียนดึงสายตากลับมา สายตาของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว “วันหน้าหากปะทะกับคนอื่นสามารถดูที่สถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะอ้อมผ่านฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาหรือไม่ ขอแค่ท้ายที่สุดข้าคือผู้ชนะก็พอแล้ว แต่กับเจ้าหมอนั่น ไม่ได้! ข้าจะต้องใช้เรือนกายของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าสู้กับเรือนกายผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามของเขาให้สาแก่ใจ!”


บุรุษไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ


หม่าขู่เสวียนขมวดคิ้ว “ทำไมร่างกายและจิตใจขอบเขตสามของเฉินผิงอันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้? แม้ว่าด้านการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าจะทำได้ไม่ดีนัก เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการชักนำวิญญาณวีรบุรุษของภูเขาเจินอู่ แต่คำว่าไม่ดีมากพอของข้าเป็นแค่การเปรียบเทียบกับตัวข้าเองเท่านั้น ทำไมเฉินผิงอันถึงมีเรือนกายและจิตใจที่แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ได้?”


บุรุษส่ายหน้า “ต่างคนต่างมีวาสนาเป็นของตัวเอง เรื่องดีๆ ใต้หล้านี้ไม่มีทางที่จะเป็นของเจ้าหม่าขู่เสวียนเพียงคนเดียว”


หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด “ขอแค่เป็นจุดที่สายตาของข้ามองไปถึง ไม่ว่าจะเรื่องดีๆ หรือของดีๆ ก็ควรต้องเป็นของข้าหม่าขู่เสวียนเพียงคนเดียว!”


บุรุษคลี่ยิ้มเป็นคำตอบ


เหตุผลหลายอย่างที่ไม่ได้เอ่ยถึง ไม่ใช่ว่าหม่าขู่เสวียนทำถูกแล้ว คำชื่นชมมากมายที่ไม่ได้พูด ก็ไม่ได้หมายความว่าหม่าขู่เสียนทำได้ไม่ดีพอ


ผู้ปกป้องมรรคาเต๋าแค่ต้องปกป้องมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของบุคคลที่ตัวเองพิทักษ์คุ้มครอง ให้เขาเดินไปได้สูงยิ่งขึ้น เดินไปได้ไกลยิ่งขึ้น  ไม่มีทางที่จะตายไปกลางคันก่อนวัยอันควร


และหม่าขู่เสวียนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไปได้สูงมากและไกลมาก


ส่วนเรื่องที่ว่าจะเดินไปได้ถึงก้าวไหน จะสามารถยืนเคียงบ่ากับบุคคลใดในประวัติศาสตร์ อันที่จริงก็เป็นเรื่องที่บุคคลยิ่งใหญ่จำนวนมากของแจกันสมบัติทวีปซึ่งซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังตั้งตารอคอยอยู่เหมือนกัน


เดินไปเดินมา เด็กหนุ่มชุดดำก็ใช้มือหนึ่งกุมท้อง มือหนึ่งจับประคองซีกหน้า สบถด่าเสียงดัง “แม่งเอ๊ย เจ็บจริงๆ!”


———————


บทที่ 224.2 ชายเก่งกาจหญิงงดงาม

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันแข็งใจอดทนไม่ปล่อยให้ลมปราณและจิตใจของตัวเองทรุดลง จากนั้นก็ออกตามหานักฆ่าคนนั้นไปทั่วสี่ทิศ บนถนนไม่มีร่องรอยของศพ เขาจึงได้แต่กระโดดขึ้นไปบนกำแพง ค้อมตัววิ่งตะบึงไป แล้วจู่ๆ ก็หยุดวิ่ง พลิ้วกายลงไปเบื้องล่าง ตำแหน่งเบื้องล่างกำแพงที่เขากับหม่าขู่เสวียนคุมเชิงกันมีขี้เถ้าอยู่หนึ่งกอง ด้านในวางถ้วยสีขาวและไม้สีดำก้อนเล็กๆ คล้ายถ่านก้อนหนึ่ง เฉินผิงอันไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ เพียงยืนมองนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ริมขอบด้านนอกของถ้วยสีขาวใบเล็กมีภาพวาดของห้าขุนเขา ส่วนไม้สีดำนั้นเขามองเส้นสนกลในไม่ออก


นักฆ่าคนนี้น่าจะถูกผู้ฝึกตนสำนักการทหารผู้นั้นสังหารในเสี้ยววินาที จากนั้นก็ใช้เวทลับของภูเขาเจินอู่เผาไหม้ให้เป็นเถ้าถ่าน เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นั้นจงใจทิ้งสมบัติสองชิ้นที่ติดตัวนักฆ่าเอาไว้ ไม่ได้ทำลายไปพร้อมกัน หรือว่านี่ก็คือการขออภัยที่เขาเอ่ยถึง? เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วก็นั่งยองลงไป หยิบไม้สีดำที่ยาวแค่ฉื่อกว่าแต่กลับมีน้ำหนักมากขึ้นมา ท่อนไม้เล็กๆ แค่นี้กลับหนักถึงแปดเก้าจิน จากนั้นจึงหยิบถ้วยขาวใบเล็ก ใช้นิ้วหมุนถ้วยใบเล็กเบาๆ พินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจ ดูจากชื่อของห้าขุนเขาที่วาดไว้ในถ้วยขาว ถ้าเฉินผิงอันจำไม่ผิดน่าจะเป็นภาพห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋


อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากที่เฉินผิงอันจะเดาตัวตนของนักฆ่าออก มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกน้องของบัณฑิตแซ่ฉู่ที่อยู่ในบ้านโบราณ จากคำพูดของเขา แม้แต่ฮ่องเต้ของแคว้นกู่อวี๋ก็ยังต้องนั่งในระดับที่เท่าเทียมกับเขา อีกทั้งก่อนตายร่างของเขายังกลายมาเป็นไม้เน่าเปื่อย เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นวิธีของการตายแทน อีกทั้งยังทิ้งคำอาฆาตเอาไว้บอกว่าจะมาจัดการกับเฉินผิงอัน ภายหลังผีชางหยางหว่างได้พูดคุยถึงเรื่องแกนไม้อวี๋ตัวเมีย รากฐานมหามรรคาของบัณฑิตแซ่ฉู่เป็นหลักการที่ง่ายมาก หนึ่งคือใช้ไม้กู่อวี๋ท่อนหนึ่งมาจำแลงกาย สองคือแกนไม้อวี๋ตัวเมียของผีสาวในบ้านโบราณ เป็นเหตุให้ภูตต้นไม้ตนนั้นใช้คำว่า ‘ตอนกิ่ง’


ในเมื่อเป็นของที่ศัตรูคู่แค้นทิ้งไว้ เฉินผิงอันจึงเก็บเอามาอย่างสบายใจ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เขายังบ่นด้วยว่าทำไมทรัพย์สินของนักฆ่าคนนี้ถึงได้น้อยนัก แม้แต่เงินเกล็ดหิมะไม่กี่สิบเหรียญก็ยังไม่รู้จักพกติดตัวบ้าง?


เฉินผิงอันเก็บถ้วยใบเล็กและไม้สีดำหนักอึ้งไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกัน เขาเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ หลังจากเดินโซซัดโซเซไปได้สิบกว่าก้าวก็ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งพิงพนังข้างต้นซิ่งลำต้นหนาใหญ่ เรียกเสื้อผ้าสะอาดชิ้นหนึ่งมาจากสืออู่กระบี่บิน บรรจงเช็ดคราบเลือดทั้งหมดทิ้ง


บอกคนอื่นว่าจะไปเข้าห้องส้วมก็คงไม่ควรกลับไปพร้อมคราบเลือดเต็มตัวกระมัง ไม่เพียงแต่ชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มจะเกิดความสงสัย เกรงว่าคนทั้งระเบียงก็คงร้องฮือฮาด้วยความตกใจ วันนี้เป็นวันที่ครึกครื้น เฉินผิงอันไม่ต้องการให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ ยิ่งไม่อยากสร้างปัญหาให้กับหลิวเกาหวาด้วยเหตุนี้


เฉินผิงอันสามารถทนความยากลำบากและแบกรับความเจ็บปวดได้ไหว แต่ไม่ได้หมายความว่ารสชาติความรู้สึกนี้จะเป็นรสชาติที่ดี การต่อสู้เอาเป็นเอาตายในวงกลมกับหม่าขู่เสวียน อวัยวะภายในของเฉินผิงอันบาดเจ็บไม่เบา ตอนนี้เขาแค่อยากนั่งอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น การแสดงทางฝั่งของแท่นสูงกลางทะเลสาบยังไม่ปิดฉากลง เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นไม่หยุด การมองเห็นถูกระเบียงหนึ่งเส้นและผู้คนที่เบียดเสียดกันบดบังเอาไว้ เฉินผิงอันอยู่ตรงนี้มองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เขาจึงทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้น


ต้นซิ่งที่อยู่ข้างกายของเขามีพุ่มใบดกหนา ดอกซิ่งผลิบานเต็มที่ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยเป็นระลอก


มนุษย์เราช่างแตกต่างกันยิ่งนัก


มีชาติกำเนิดจากเมืองเล็กเหมือนกัน หากเป็นเรื่องที่หม่าขู่เสวียนไม่สนใจ เขาก็จะไม่สนใจเลย ยกตัวอย่างเช่นคนอื่นด่าว่าเขาโง่ เหยียบรองเท้าของเขา แต่หากเป็นเรื่องที่หม่าขู่เสวียนให้ความสนใจ เขาจะยอมทนเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้เลยสักนิดเดียว


ส่วนหลิวเสี้ยนหยาง หากเป็นเรื่องใดที่เฉินผิงอันทำได้ดีกว่าเขา หลิวเสี้ยนหยางก็จะเลือกละทิ้งโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นการทำธนูไม้ไผ่ วางกับดัก เป็นต้น


กู้ช่านเด็กขี้มูกยืดแห่งตรอกหนีผิง หากเห็นว่าเฉินผิงอันทำได้ดีกว่าเขา กู้ช่านก็จะแค่คอยตามก้นเฉินผิงอันต้อยๆ พึ่งพาใบบุญเขาเท่านั้น


แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้นอกจากนิสัยโดยกำเนิดแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับระดับความใกล้ชิดสนิทสนมด้วย


เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา กรอกเหล้ารสแรงเข้าปาก นี่ยิ่งทำให้ความรู้สึกร้อนลวกในช่องโพรงลมปราณยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก แต่เรื่องราวบนโลกก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ ทั้งๆ ที่เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว เฉินผิงอันที่เจ็บจนแยกเขี้ยวกลับยิ่งอยากดื่มมากขึ้น เขาไม่ดื่มอึกใหญ่อีกต่อไป แต่ค่อยๆ จิบคำเล็กๆ ผีขี้เหล้าที่กระเป๋าแฟบแบน ต่อให้เหล้าจะรสชาติแย่แค่ไหนก็ยังเป็นอาหารเลิศรสได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในน้ำเต้าของเฉินผิงอันคือเหล้าต้มที่เดิมทีก็รสชาติดีมากอยู่แล้ว


การต่อสู้บนถนนเส้นเล็กในวันนี้มีความอัดอั้นตันใจไม่น้อย แต่ความสะใจกลับมีมากยิ่งกว่า


แม้ว่าครั้งนี้หม่าขู่เสวียนจะยังประมาทอยู่เช่นเคย แต่ก็พอจะถือว่าคนทั้งสองสู้กันได้อย่างสูสี ทว่าแต่ไรไหนมาเฉินผิงอันก็ไม่เห็นความสำคัญของการแพ้ชนะอยู่แล้ว ก็เหมือนกับที่อาเหลียงเคยกล่าวไว้ อย่าตายเด็ดขาด ต้องมีชีวิตอยู่ก่อนถึงจะมีชีวิตที่ดีได้ เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้ของอาเหลียง แม้คำพูดจะหยาบ แต่เหตุผลกลับไม่หยาบ


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงชูน้ำเต้าบรรจุสุราขึ้นสูง สูงเหนือหัว แกว่งเบาๆ จากนั้นก็อึ้งตะลึง หน้าม่อยคอตก เก็บเหล้ากลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก คำพูดห้าวเหิมที่เดิมทีกำลังจะหลุดออกจากปากก็ถูกกลืนกลับไปด้วย


ที่แท้เหล้าก็หมดแล้ว


เฉินผิงอันก้มหน้ารัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวให้ดี จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงสื่อสารทางจิตกับกระบี่บินสืออู่ เพียงไม่นานในมือก็มีถุงผ้าปักลายใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมา หลังจากเปิดออกแล้วก็เห็นว่าข้างในมีขนมดอกท้ออยู่สามชิ้น เฉินผิงอันก้มหน้าลงดม ไม่เน่าบูดเลยสักนิด วัตถุฟางชุ่นมหัศจรรย์จริงๆ ผ่านมานานขนาดนี้ ขนมยังสดใหม่พอๆ กับตอนที่เขารับมาบนภูเขาลั่วพั่วเลย


มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันอุ้มประคองถุง อีกมือหนึ่งคีบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น วางใส่ปาก ขบเคี้ยวอย่างตั้งใจ เอนศีรษะพิงกำแพง เงยหน้ามองดอกซิ่งที่บานอยู่เต็มต้น


กินไปแล้วหนึ่งชิ้นก็ตัดใจกินไม่ลงอีก จึงรัดถุงผ้าอย่างระมัดระวัง


ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจคิดว่าขนมดอกท้อจากร้านของตัวเอง อร่อยจริงๆ!


ความคิดแรกของเขาก็คืออยากให้แม่นางหนิงได้ลองชิมดู นึกถึงภาพบรรยากาศในการพบกันครั้งต่อไป เฉินผิงอันก็หัวเราะกับตัวเองอย่างเซ่อซ่า แล้วจู่ๆ ก็ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที “เจ้าทึ่ม”


……


ไม่มีถังยาที่เว่ยป้อจัดสรรตัวยาให้อย่างตั้งใจ ความเร็วในการหายดีของร่างกายเฉินผิงอันตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าต่างกันราวกับบังคับกระบี่บินกับเดินเท้า แต่ว่าได้พักผ่อนไปครู่หนึ่ง คิดจะเดินเหมือนในเวลาปกติก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองตรงระเบียงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสวบสาบดังแว่วมาจากทิศไหล เสียงหนึ่งหนัก เสียงหนึ่งเบา มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง


เฉินผิงอันคิดแล้วก็เลือกจะนั่งตรงมุมกำแพงต่อไป มีต้นซิ่งช่วยบดบัง แค่รอให้พวกเขาจากไปก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นก็ยังไม่สาย


แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เฉินผิงอันปากอ้าตาค้างก็เกิดขึ้น หญิงชายสองคนนี้ ดูเหมือนว่าฝ่ายชายจะไม่ใช่คนของแคว้นไฉ่อี ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยกันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป พอเดินมาอยู่ใกล้ต้นซิ่งที่มีร่มเงามืดสลัวก็เริ่มโอบกอดกัน เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่หอบหนัก หญิงสาวปฏิเสธอย่างกระเง้ากระงอดอ่อนหวาน เหมือนจะปฏิเสธแต่กลับคล้ายเชิญชวน ฝ่ายชายกลับเป็นพวกหน้าด้าน ระดมจูบลงบนใบหน้าของหญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง และคาดว่ามือทั้งสองข้างก็คงไม่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ


เฉินผิงอันเริ่มนั่งไม่ติด จะทำยังไงดีละทีนี้? ออกเสียงเอ่ยเตือนคู่ยวนยางป่า (ยวนยางคือนกชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็ดแมนดาริน เป็นสัญลักษณ์ของคู่รักหรือสามีภรรยา) คู่นั้น? หรือรอให้พวกเขาหยุดไปเองแล้วไปจากที่นี่เมื่อสมใจกันพอสมควร?


ความครึกครื้นอย่างนี้ทางที่ดีที่สุดอย่าได้มาพบเจอจะดีกว่า หากถูกใครจับได้ขึ้นมา ต่อให้ดินเหลืองหล่นมาจากในกางเกง ไม่ใช่ขี้ คนก็คิดว่าเป็นขี้


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน ส่งเสียงกระแอมหนึ่งที


หญิงสาวอายุน้อยที่อยู่ตรงต้นซิ่งกรีดร้องแล้วไปหลบอยู่หลังฝ่ายชาย


ผู้ชายเดินก้าวใหญ่อ้อมต้นซิ่งมา ถลึงตามองเฉินผิงอันที่เห็นใบหน้าไม่ชัด พอเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มตัวไม่สูง ร่างผอมบาง ความกล้าหาญก็เพิ่มพูนขึ้นทันใด “ไม่ต้องกลัว โจรเด็ดบุปผาที่มาแอบมองความงามของเจ้าแบบนี้ ต่อให้เขาตีข้าตาย ข้าก็ไม่มีทางทิ้งเจ้าไปไหน สรุปคือหากเขาคิดจะเอาเปรียบเจ้าก็ต้องผ่านศพข้าไปก่อน!”


หญิงสาวน้ำตาคลอเจียนหยด ไม่รู้ว่าหวาดกลัวหรือซาบซึ้งใจ นางที่ยืนเอาหัวไหล่พิงหลังที่กว้างและอบอุ่นของบุรุษจึงพึมพำอย่างลุ่มหลงว่า “หลิ่วหลาง เจ้าช่างดีจริงๆ”


เฉินผิงอันอึ้งค้างอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้โกรธ แค่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในใจคิดว่าตอนที่พวกเจ้าสองคนยังเด็กคงไม่ได้เคยถูกหางวัวตบหน้ามาเหมือนกันกระมัง?


จะยืนคุมเชิงกันต่อไปแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เฉินผิงอันจึงหาข้ออ้าง แสร้งทำเป็นพูดอย่างเขินอายว่า “คุณชาย คุณหนู พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาถึงที่นี่ก่อนพวกเจ้า เพราะเพิ่งเคยเข้ามาในจวนนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน ก็เลย…”


คิดไม่ถึงว่าบุรุษคนนั้นจะตวาดกร้าวเสียงดัง “เจ้าอันธพาล โจรเด็ดบุปผา ยังไม่รีบรัดสายคาดเอวให้ดีอีก เจ้าคิดจะทำอะไร ขยะแขยงตัวเองบ้างหรือไม่ ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีคนที่ถูกความหื่นกระหายบดบังจิตใจได้อย่างเจ้า!”


ขณะเดียวกันนั้นเขายังไม่ลืมหันไปปลอบใจสตรีด้านหลังที่ใบหน้างดงามเผือดสี “แม่นางหลิว เจ้าคอยหลบอยู่ด้านหลังข้าก็พอ อย่ามองเจ้าคนผู้นี้ให้เสียสายตาเลย”


สุดท้ายบุรุษคนนั้นแอบหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินผิงอัน สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความลำพองใจ มองดูกวนโอ๊ยน่าเตะ คล้ายเขียนประโยคว่า ‘วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะเป็นวีรบุรุษที่ช่วยเหลือสาวงาม จะได้ฉวยโอกาสนี้จับนังผู้หญิงคนนี้กินซะเลย แน่จริงไอ้หนูเจ้าก็จัดการข้าให้ได้สิ!’ แปะติดไว้เต็มใบหน้า


เฉินผิงอันมองเขา


เป็นบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาอย่างยิ่ง เรือนกายสูงเพรียว ใบหน้าราวหยกสลัก เป็นต้นฉบับของบัณฑิตหนุ่มผู้อ่อนแอ มิน่าเล่าชายฉกรรจ์เคราดกถึงมักจะบ่นอยู่เป็นประจำว่าพวกบัณฑิตไม่มีใครดีสักคนเดียว คุณหนูจากตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายใต้หล้าแห่งนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละที่ตาไม่บอด คนส่วนใหญ่ล้วนตาบอดมองข้ามเขาผู้แซ่สวีไปหันไปชอบบัณฑิตที่เป็นเหมือนคนขี้โรคพวกนั้นแทน


จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าบัณฑิตคนนั้นแล้วยกมือตบฉาด ทำเอาเขาล้มคว่ำลงพื้น หมดสติไปในบัดดล


หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่ นางอ้าปากค้าง สีหน้าอึ้งงัน คิดจะหวีดร้องแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ข่มกลั้นไว้อย่างยากลำบาก กลัวว่าคนชั่วที่ลงมือทำร้ายคนผู้นี้จะฆ่าตนไปพร้อมกันด้วย ถึงเวลานั้นตนกับคนรักหลิ่วหลางที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานจะไม่กลายเป็นคู่ยวนยางที่ตายคู่หรอกหรือ? ทว่าในตำราที่กล่าวถึงชายเก่งกาจหญิงงดงามก็แค่บรรยายไว้ว่า อุปสรรคมากมายที่คู่รักพบเจอมีแค่พ่อแม่คัดค้าน ชีวิตติดขัดไม่ราบรื่น แต่สุดท้ายเมื่อความขมขื่นผ่านพ้น ความหวานชื่นก็ต้องมาเยือน ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือไง? ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่เขียนว่าบัณฑิตและสาวงามถูกโจรฆ่าตายเลยนี่นา


เฉินผิงอันก้าวยาวๆ จากไป ยักไหล่ขยับกล่องกระบี่ให้เข้าที่ ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง


———————


บทที่ 225.1 ถนนยามค่ำคืน

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันกลับมานั่งที่ได้ไม่นาน ไม่เห็นจางซานเฟิง ชายฉกรรจ์เคราดกเป็นชอบพูดจาตลกจึงบอกว่านักพรตหนุ่มกับดรุณีน้อยคนหนึ่งถูกตาต้องใจกันจึงพากันไปหาความสำราญแล้ว หลิวเกาหวาเออออห่อหมกตามไปอย่างสนุกสนาน เฉินผิงอันย่อมไม่เชื่อ แต่เห็นสีหน้าของบุตรชายท่านเจ้าเมืองในเวลานี้ สีหน้าของเฉินผิงอันจึงฉายแววประหลาด ในใจคิดว่าใต้หล้านี้คงไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้หรอกกระมัง หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยถามว่า “เจ้ามีพี่สาวน้องสาวที่หมั้นหมายไปแล้วหรือw,j?”


หลิวเกาหวาไม่เข้าใจ “ไม่มีนี่ ตอนนี้ข้ายังไม่ได้แต่งภรรยา พวกนางเองก็ยังไม่ออกเรือน แต่ละคนอยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกินดื่มไปวันๆ ท่านพ่อข้าบ่นเป็นประจำว่าพวกเรามีแต่คนไม่เอาไหน เงินเดือนของเขาล้วนถูกพวกเราย่ำยีจนเละเทะ โดยเฉพาะการเตรียมสินสอดทองหมั้น ทำเอาเขาไม่เหลือเงินให้ซื้อของประดับตกแต่งบ้านมานานหลายปีแล้ว”


เฉินผิงอันโล่งใจ ยังไม่ได้แต่งงานหรือหมั้นหมายก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นหากสตรีที่ใบหน้าคล้ายหลิวเกาหวาอยู่หลายส่วนคนนั้นเป็นพี่น้องของเขาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงลำบากใจ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเล่าเรื่องที่นางเป็นดอกซิ่งแดงบานออกไปนอกกำแพง (หมายถึงผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคบชู้) ดีหรือไม่


เพียงไม่นานการแสดงทางฝั่งของแท่นสูงใจกลางทะเลสาบก็ปิดฉากลง เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว เจ้าเมืองหลิวและแม่ทัพหม่าต่างก็เดินออกมาจากศาลาริมน้ำ ไปทักทายปราศรัยกับเทพเซียนเฒ่าด้วยตัวเองอย่างไม่ถือตัว เทพเซียนเฒ่าตอบคำถามอย่างเหมาะสม หนึ่งบุ๋นกับอีกสองขุนนางฝ่ายบู๊ที่เป็นเสมือนบิดาของชาวบ้านต่างก็รู้สึกเหมือนกำลังอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันนี้ยังมีชายหนุ่มท่าทางเหมือนคนในพื้นที่ดึงดันจะมากราบไหว้เทพเซียนเฒ่าเป็นอาจารย์ ขอเรียนรู้ศิลปะการแสดงจากเขาให้ได้ ผลคือถูกพ่อบ้านและคนงานของจวนมากลากตัวออกไปอย่างรวดเร็ว


นักพรตจางซานเฟิงกลับมาช้ากว่าเฉินผิงอันไม่กี่ก้าว เห็นว่าเฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสบายดีก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เอ่ยล้อเลียนว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าตกส้วมไปแล้ว”


เฉินผิงอันไม่ต้องการจะเล่าเรื่องการต่อสู้บนถนนเส้นเล็กให้อีกฝ่ายฟัง เพียงเอ่ยเสียงเบาว่า “หาห้องส้วมไม่เจอ แล้วก็เกรงใจเกินกว่าจะไปถามพ่อบ้านของจวน ก็เลยคิดจะหาที่เงียบๆ ผลปรากฏว่าหาอยู่นานมาก ตอนกลับมาเห็นว่าคนในระเบียงเพิ่มขึ้นเยอะ เกรงใจที่จะเบียดเข้ามาก็เลยรออยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง”


ชายฉกรรจ์ถามสัพยอก “มัวแต่ไปหามุมมืด คงไม่ได้เห็นภาพชดช้อยเย้ายวนพวกนี้สินะ? ข้าจะบอกเจ้าให้ แคว้นไฉ่อีแห่งนี้ โดยเฉพาะในเมืองแยนจือที่มีบัณฑิตและสาวงามมากที่สุด เวลาอยู่ว่างๆ พวกผู้คนชอบอ่านหนังสือลามกต้องห้าม อ่านมากไปก็ทำตามวิธีที่เขียนบอกไว้ในหนังสือ…”


ชายฉกรรจ์กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวเกาหวาที่อดไม่ไหวก็พยักหน้ารับอย่างแรง “ก็เหมือนกับน้องคนเล็กของบ้านข้า เพิ่งจะอายุสิบสามเท่านั้น แต่ก็เพราะแอบอ่านตำราต้องห้าม แม้จะไม่ใช่เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง แต่นิสัยของนางก็ป่าเถื่อนตามตำราพวกนั้น ตั้งแต่เด็กก็สนใจเรื่องคุณธรรมในยุทธภพ มักจะชอบพูดว่าพวกผู้ชายในเมืองแยนจือมีแต่พวกนิสัยเหมือนผู้หญิง ไม่คล่องแคล่วฉับไว นางดีแต่จะเรียนรู้เคล็ดลับการปีนออกจากหอซิ่วโหลว วางบันไดพาดกำแพง ยังดีที่นางฉลาด แต่ท่านแม่ข้าฉลาดกว่านาง นังหนูน้อยจึงไม่เคยทำสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว”


ชายฉกรรจ์เคราดกดวงตาเป็นประกาย ตบอกกล่าวว่า “สนใจในเรื่องของยุทธภพน่ะสิดี ในท้องของข้าผู้แซ่สวีบรรจุน้ำของทะเลสาบและแม่น้ำ (ทะเลสาบและแม่น้ำอ่านว่าเจียงหู และเจียงหูก็สามารถแปลได้ว่ายุทธภพ) ไว้เต็มเปี่ยม หยิบยกเรื่องใดมาพูดสักเรื่องสองเรื่องก็ล้วนเป็นกับแกล้มที่อร่อยที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้!”


หลิวเกาหวามองค้อน “ไม่เอาสิ น้องสาวข้าอายุยังน้อย จอมยุทธ์ใหญ่สวี มิตรภาพของพวกเราสองคนก็ส่วนมิตรภาพ ให้เป็นแค่เรื่องในยุทธภพก็พอ อีกอย่างหากเจ้ากลายมาเป็นน้องเขยของข้า เจ้าจะไม่เสียเปรียบด้านความอาวุโสหรอกหรือ?”


ชายฉกรรจ์ยิ้มตาหยี “เจ้าก็ยังมีพี่สาวไม่ใช่หรือไง?”


หลิวเกาหวาไม่กล้าพูดอะไรมากคล้ายคนที่น้ำท่วมปาก


เฉินผิงอันขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด


ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตบไหล่ของหลิวเกาหวา “ดูเจ้าตกใจเข้าสิ ข้าผู้แซ่สวีอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ สาวงามที่รู้ใจมีมากมายจนสองมือก็นับไม่พอ สำหรับสตรีในห้องหอ ข้าไม่เคยให้ความสนใจ!”


งานเลี้ยงจบลง ผู้คนก็พากันเดินออกจากจวน คนทั้งสามกลับไปยังโรงเตี๊ยม หลิวเกาหวาถูกบิดาส่งคนมาตามตัวให้กลับไปร่วมรับรองแขก แม้ว่าบุตรชายจะไม่เอาไหน ไม่มีทั้งความรู้และฝีมือ เรียกได้ว่าอนาคตการเป็นขุนนางขาดสะบั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายคนเดียวของเขา เจ้าเมืองหลิวจึงยังหวังให้หลิวเกาหวาช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูล มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างไม่ย่ำแย่เกินไปนัก


ระหว่างที่เดินกลับ เพราะได้ของสองชิ้นนั้นมา เฉินผิงอันจึงสอบถามเรื่องสมบัติอาคมจากสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิง


จะโทษก็ต้องโทษที่คนที่เฉินผิงอันพบเจอมาล้วนทำตัวไม่เหมือนคนในยุทธภพ ตรงเอวของอาเหลียงห้อยดาบไม้ไผ่อย่างไม่พิถีพิถัน ส่วนเด็กหนุ่มชุยฉาน บางครั้งอาจจะคุยถึงเรื่องขอบเขตและอาวุธอาคมบ้าง แต่คำพูดคำจาใหญ่โตจนน่าตกใจ ราวกับว่าผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน ห้าขอบเขตกลางและสมบัติอาคมที่พวกเขาพกพาเป็นแค่ดินเหนียวที่พวกเด็กๆ ชอบหยิบขึ้นมาเล่น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ทางฝ่ายของผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ก็ยิ่งตรงไปตรงมา บอกว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากต้องอาศัยวัตถุนอกกายถึงจะเดินอยู่ในยุทธภพได้ก็ไม่สู้เป็นชาวนาที่ทำไร่ทำนาอยู่กับบ้านยังดีกว่า


เฉินผิงอันเองก็จนใจอย่างมาก


ยังดีที่เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงก็พอจะเข้าใจการแบ่งขอบเขตของ ‘สมบัติอาคม’ อย่างคร่าวๆ ที่แท้ก็มีการแบ่งระดับอย่างเข้มงวดไม่เป็นรองระดับขั้นของขุนนางเลย ‘สมบัติอาคม’ คือคำเรียกโดยภาพรวม วัตถุที่มีระดับต่ำที่สุดเรียกว่าวัตถุฝีมือช่าง คือวัตถุไม่มีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง คำกล่าวในยุทธภพที่พูดว่าเป่าขนตัดเส้นผม หั่นเหล็กเหมือนหั่นโคลน ฯลฯ ส่วนใหญ่จะใช้บรรยายอาวุธที่อยู่ในขอบเขตนี้ รวมไปถึงวัตถุอันเป็นสัญลักษณ์ที่ตระกูลเซียนบนภูเขามอบให้แก่ลูกศิษย์ในสำนักก็มักจะเป็นวัตถุฝีมือช่างที่มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่เลว ยกตัวอย่างเช่นกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นของจางซานเฟิง


แน่นอนว่าหากเป็นกระบี่ไม้ท้อที่จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์มอบให้ก็ย่อมเหนือชั้นกว่าระดับนี้ไปมาก


เหนือจากวัตถุฝีมือช่างขึ้นไปก็คือวัตถุหนัก อาวุธเทพของปรมาจารย์ในยุทธภพส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุธประเภทนี้ วัตถุดิบล้ำค่าหายาก ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้ราก ไม่มีการสืบทอดจากสำนัก ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ถูกมองเป็นผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญบนมหามรรคา คนกึ่งกลางภูเขาที่กำลังฝึกบำเพ็ญตน ฯลฯ หากโชคดีก็จะมี ‘วัตถุหนัก’ หนึ่งถึงสองชิ้น การได้มาครองนั้นไม่ง่าย ก็เหมือนนักพรตจางซานเฟิงที่ปรารถนาอยากจะได้ครอบครองอาวุธหนักแม้ในยามหลับฝัน หวังว่าวันหน้าจะมีกระบี่อาคมที่เหมาะมือสักชิ้น


ดาบพกเล่มนั้นของชายฉกรรจ์เคราดก อันที่จริงคือสุดยอดอาวุธในกลุ่มของวัตถุหนัก


วัตถุวิเศษและวัตถุอาคมในลำดับต่อมาถึงจะเรียกว่าเป็น ‘สมบัติอาคม’ ที่แท้จริง วัตถุวิเศษแบ่งออกเป็นก่อนกำเนิดและหลังกำเนิด วัตถุวิเศษก่อนกำเนิดนั้นหาได้ยากและล้ำค่ามากยิ่งกว่า เนื่องจากได้รับความรักจากฟ้าดิน ถูกบ่มเพาะปราณวิญญาณจนเปี่ยมล้น ทำให้ผู้ฝึกตนที่ควบคุมมันเหนื่อยน้อยแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว ในช่วงเวลาสำคัญยังสามารถทำลายรากฐานของมันเป็นค่าตอบแทนในการช่วยเพิ่มพูนพลังหล่อเลี้ยงเจ้าของของมันเอง อันที่จริงเงินหิมะน้อยก็พอจะถือว่าเป็นวัตถุชนิดนี้ได้อย่างถูไถ เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินเกล็ดหิมะมีน้อยเกินไปจนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง ไม่มีผู้ฝึกลมปราณคนใดโง่ถึงขนาดดึงดูดปราณวิญญาณของเงินหิมะน้อยมาช่วยเพิ่มตบะและขอบเขตของตัวเอง


วัตถุวิเศษหลังกำเนิดก็อย่างเช่นกระดาษยันต์สีเหลืองที่ระดับค่อนข้างสูง รวมไปถึงอาวุธเทพที่เกิดจากการแกะสลักหรือสร้างโดยผู้ฝึกลมปราณ ยกตัวอย่างเช่นหยกประดับของฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าที่มีชื่อว่า ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ ชิ้นนั้นที่ถือเป็นระดับต้นๆ ของวัตถุวิเศษ มูลค่าควรเมือง และยังมี ‘กาน้ำชาซานเซียว’ ที่เขาซื้อไปจากซ่งจี๋ซิน ที่ยิ่งมีมูลค่ามากเป็นพิเศษ


เมื่อเทียบกับ ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ กับ ‘กาน้ำชาซานเซียว’ แล้ว เชือกพันธนาการปีศาจ ไม้กำราบปีศาจ แส้ไม้ไผ่โบยผี ฯลฯ ที่ผู้ฝึกลมปราณของสำนักโองการเทพพกติดตัว แม้ว่าจะเป็นวัตถุวิเศษหลังกำเนิดเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะราคาหรือมูลค่าก็ล้วนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน


เหนือวัตถุวิเศษขึ้นไปก็คือวัตถุอาคม


คำว่าอาคม แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคำที่ยิ่งใหญ่เสมอ


ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีคำเรียกว่ามรรคกถา หรืออาคมพุทธ


วัตถุอาคมซุกซ่อนกฎเกณฑ์ไร้รูปลักษณ์ของมหามรรคาแห่งฟ้าดิน


น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ใช้สร้างความอบอุ่นให้กับกระบี่บินยึดครองตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง แน่นอนว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินที่อาเหลียงได้มาจากเว่ยจิน และน้ำเต้าลูกที่ซูเจี้ยแห่งขุนเขาตะวันเที่ยงแขวนไว้ตรงเอวนั้นเป็นดั่งลูกหลานเชื้อพระวงศ์ในบรรดาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เล่าลือกันว่าก่อนหน้าที่มรรคาจารย์เต๋าจะบินทะยานขึ้นไปเบื้องบนได้ลงมือปลูกเถาวัลย์น้ำเต้าด้วยตัวเอง สุดท้ายออกลูกเป็นน้ำเต้าหกผล จากนั้นก็ถูกยอดฝีมือนำมาสร้างเป็นภาชนะบรรจุเพื่อใช้เลี้ยงกระบี่หกชิ้น แน่นอนว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทั่วไปไม่อาจทัดเทียมได้เลย


เหนือวัตถุอาคมขึ้นไปยังมีอาวุธเซียน


ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาแปดเก้าคนในสิบคน ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิตก็ไม่เคยเห็นอาวุธเซียนด้วยตาตัวเองสักครั้ง ต่อให้เป็นตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนักก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีอาวุธเซียนพิทักษ์สำนัก สำนักโองการเทพที่เป็นผู้นำของระบบเต๋าในหนึ่งทวีป ครั้งนี้ฉีเจินเจ้าสำนักเลื่อนขั้นกลายเป็นเทียนจวินได้สำเร็จ สำนักเบื้องบนที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถึงได้มอบอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาให้


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่รัดไว้บนข้อมือของเฉาซีเซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป คือโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่เขาพบเจอมา ถูกหล่อหลอมจากน้ำของแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง พอจะถือว่าเป็นอาวุธเซียนได้กึ่งหนึ่ง นี่ก็คือจุดที่ทำให้ผู้คนกริ่งเกรงในตัวเฉาซีมากที่สุด


อาวุธเซียนอันดับสูงสุดในโลกไม่มีชิ้นใดที่ไม่เต็มไปด้วยเรื่องราวมหัศจรรย์หลากหลายสีสัน ผู้ที่ได้ครอบครองก็ยิ่งมีตำแหน่งเหนือล้ำ ได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศไปทั่วใต้หล้าไพศาล ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเทียนซือและกระบี่เซียนของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีกระถางทองสัมฤทธิ์ใบเล็กใบหนึ่งที่บุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่งอินได้มาโดยบังเอิญตอนออกเดินทางหาประสบการณ์ทั่วหล้ายามเยาว์ ซึ่งเล่าลือกันว่าเป็นของทำเลียนแบบกระถางใบใหญ่แห่งแม่น้ำและขุนเขาที่อริยะในสมัยบรรพกาลพกห้อยไว้ตรงเอว


และในบรรดาอาวุธเซียนที่เดิมทีก็หาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลนนั้นยังมีอีกหนึ่งชนิดที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า นั่นก็คือ ‘วิญญาณเทพ’ ที่ผ่านการสั่งสมมานานปีจนมีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง


เฉินผิงอันเริ่มมั่นใจแล้ว


ต่อให้ไม่รวมภูเขาห้าลูกที่ได้ครอบครอง ตนก็ถือว่ามีเงินเยอะมากแล้ว!


ทรัพย์สินที่ตนมีในเวลานี้เรียกได้ว่ามั่งคั่งอุดมสมบูรณ์!


บทที่ 225.2 ถนนยามค่ำคืน

โดย

ProjectZyphon

ไม้สีดำและถ้วยกระเบื้องที่เพิ่ง ‘เก็บมา’ จากข้างทาง


‘ปราบมาร’ กระบี่ไม้ที่ทำมาจากไม้ต้นไหว


หินดีงูก้อนที่ลู่เฉินส่งคืนผ่านทางเฮ้อเสี่ยวเหลียง ต่อให้ไม่นับในข้อที่มันเป็นที่ชื่นชอบของพวกมังกรและเจียวในโลกก็ยังถือว่าเป็นวัตถุดิบวิเศษที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่สุด


ส่วนตราประทับสามชิ้นที่อาจารย์ฉีมอบให้ตนล้วนสลักมาจากหินดีงูที่ดีที่สุด


เหล็กหมาดหิมะรวมไปถึงกระดาษยันต์คุณภาพเยี่ยมปึกใหญ่ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้


น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีความพิเศษมากในบรรดาวัตถุอาคมซึ่งห้อยไว้ที่เอว คือสมบัติที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางส่วนใหญ่ปรารถนาอยากจะครอบครอง


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่รับเขาเป็นเจ้านายชั่วคราวอย่างชูอีและสืออู่


ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันเดินกลับห้องเพียงลำพัง เท้าของเขาจึงล่องลอยเป็นพิเศษ เหมือนกับเด็กชายชุดเขียวเวลาที่ไม่ได้เจอคนฝีมือสูงกว่าบนถนนอย่างยิ่ง


แม้ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถตัดสินระดับของวัตถุทุกชิ้นได้อย่างละเอียด แต่ของที่เขาเอามาจากภูเขาลั่วพั่วต้องไม่ได้แย่อย่างแน่นอน


ดื่มเหล้า ต้องดื่มเหล้า!


ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไม่มีเหล้าเหลืออยู่แล้ว เฉินผิงอันจึงไปสอบถามราคาเหล้าของโรงเตี๊ยมจากลูกจ้างในร้าน พอได้ยินว่าเป็นเหล้าหมักพื้นเมืองของเมืองแยนจือ หนึ่งจินอย่างน้อยต้องจ่ายแปดเหรียญเงิน ส่วนเหล้าแยนจือซึ่งเป็นสินค้าขายดีของโรงเตี๊ยมนั้น หนึ่งจินราคาสิบสองเหรียญ อีกทั้งยังห้ามต่อรองขอลดราคาด้วย! น้ำเต้าของเฉินผิงอันบรรจุเหล้าได้สิบกว่าจิน เหล้าแยนจือที่แพงที่สุดสิบจินก็แค่หนึ่งร้อยตำลึงเงินเท่านั้น! ไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญที่พวกเทพเซียนบนภูเขาใช้กันโดยเฉพาะ ไม่ดื่มเหล้ารสเลิศแบบนี้จะไม่ผิดต่ออาวุธวิเศษ อาวุธอาคมบนร่างของตัวเองที่มีมากเหมือนกองเงินกองทองหรอกหรือ?


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจซื้อเหล้าต้มพื้นเมืองสิบจินอย่างเด็ดเดี่ยว


เดิมทีคนทั้งสามต่างแยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมันแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าหลิวเกาหวามาที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง เขามาเคาะประตูห้องของจางซานเฟิงก่อน นี่คือลูกหลานขุนนางอันดับหนึ่งของเมืองแยนจือ ตอนที่มาใบหน้าของเขากระอักกระอ่วนไม่น้อย เพราะด้านหลังยังมีคู่ชายหนุ่มหญิงสาวอายุน้อยติดตามมาด้วย ผู้หญิงใบหน้าคล้ายคลึงหลิวเกาหวาอยู่หลายส่วน คาดว่าน่าจะเป็นพี่สาวของเขา เขาอธิบายเรื่องราวให้จางซานเฟิงฟัง จางซานเฟิงถึงได้รู้ว่าที่แท้พวกเขามาก็เพื่อขอยาประเภทน้ำมันนวดของชาวยุทธ์ บอกว่าคืนนี้ตอนที่คุณชายหลิ่วไปดูเทพเซียนเฒ่าแสดง เพราะมีคนเยอะเกินไป อีกทั้งยังเป็นถนนยามค่ำคืน ไม่ทันระวังเลยสะดุดล้มหัวกระแทก ตอนนี้ยังมึนหัวไม่หาย ร้านยาในเมืองปิดไปนานแล้ว พี่สาวของเขาเป็นห่วงคุณชายหลิ่วมาก ได้ยินว่าน้องชายรู้จักกับจอมยุทธ์ในยุทธภพและเทพเซียนบนภูเขาจึงอยากจะขอให้ช่วยดูให้หน่อย อย่าให้มีต้นตอของโรคร้ายทิ้งไว้เด็ดขาด ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนางจะเป็นคนออกเอง


นักพรตจางซานเฟิงจึงพาคนทั้งสามไปที่ห้องของสวีหย่วนเสีย ชายฉกรรจ์เคราดกเองก็ใจกว้าง ช่วยดูอาการให้บัณฑิตที่อ่อนแอผู้นั้นแล้วบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก พอเห็นว่าฝ่ายหญิงดูไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ ชายฉกรรจ์ที่ยิ่งแก่นิสัยก็ยิ่งเผ็ดร้อนจึงหยิบแผ่นเย็นแผ่นหนึ่งออกมาจากในห่อสัมภาระ บอกให้บัณฑิตแซ่หลิ่วแปะไว้เหนือจุดไท่หยาง รับรองว่ายานี้จะช่วยกำจัดต้นตอของโรค และไม่ทิ้งผลร้ายไว้เบื้องหลัง


สตรีผู้นั้นถึงได้วางใจ นั่งลงบนเก้าอี้ สายตาอ่อนโยนที่มองไปยังบัณฑิตเต็มไปด้วยความสงสารเวทนา บัณฑิตปลอบใจนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง คำพูดที่ใช้สุภาพแต่แฝงความหมายที่ตีความไปได้หลากหลาย


ชายฉกรรจ์หนวดดกทนรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้มากที่สุด เขาที่มองดูอยู่ถึงกับเสียวฟันแปลบ


จางซานเฟิงที่แม้จะเป็นคนออกบวช แต่กลับไม่เคยพลาดเรื่องครึกครื้น สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน เขาจึงรีบวิ่งไปลากเฉินผิงอันมาร่วมวงด้วย บอกว่าพี่สาวของหลิวเกาหวาเป็นแม่นางที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อย วันนี้พาบัณฑิตที่ดูเป็นผู้ดีมาด้วยคนหนึ่ง ดูท่าแล้วอีกไม่นานคงจะได้เป็นลูกเขยจวนเจ้าเมือง เฉินผิงอันเพิ่งจะรินเหล้าใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จนเต็ม ในห้องจึงมีแต่กลิ่นเหล้ากับกาเหล้าเปล่าหนึ่งใบ เห็นว่าจางซานเฟิงจะพาตนไปดูเรื่องสนุกให้ได้ หากตนไม่ไปคงไม่ยอมเลิกรา เพราะไม่อยากเปิดเผยพิรุธเรื่องเหล้าให้ใครเห็นจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะฝึกท่าเจี้ยนหลู ตามเขาไปที่ห้องของสวีหย่วนเสีย รอจนเฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้อง คู่รักที่ไปแอบพรอดรักกันในเงามืดใต้แสงจันทร์ก็สูดลมหายใจดังเฮือกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


ศัตรูไม่ขยับ ข้าก็ไม่รุก


เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง นั่งแปะลงไปข้างโต๊ะแล้วก็ปลดน้ำเต้าออกมา เริ่มดื่มเหล้าอยู่กับตัวเอง


บัณฑิตแซ่หลิ่วจะนั่งก็กระสับกระส่าย จะยืนก็ไม่เป็นสุข ส่วนพี่สาวของหลิวเกาหวา สตรีที่โดนนิยายรักมัวเมาให้ลุ่มหลงก็ยิ่งร้อนตัว ถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูใหญ่ในตระกูลชนชั้นสูง ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะตัดสินใจแต่งงานกับชายแปลกหน้า ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะหยิบยกมาพูดได้ แม้จะบอกว่าประเพณีของชาวแยนจือเปิดกว้าง แต่บุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองมาโอบกอดลูบคลำอยู่กับบัณฑิตต่างถิ่น แล้วถูกคนมาพบเห็นเข้า หากเป็นคนที่ปากสว่าง เกรงว่าพรุ่งนี้เรื่องนี้คงแพร่สะพัดไปทั่วเมือง


หลิวเกาหวาถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม พวกเจ้าสามคนรู้จักกันหรือ?”


เป็นบัณฑิตแซ่หลิ่วที่ถนัดปั้นเรื่อง เขากระแอมหนึ่งครั้ง แล้วอธิบายว่า “คืนนี้ข้ากับพี่สาวของเจ้าไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบ บังเอิญเจอกับคุณชายท่านนี้พอดี ด้านหลังของเขาสะพายกล่องกระบี่ ประหนึ่งมังกรโผบินพยัคฆ์เยื้องย่าง ท่วงท่าบุคลิกไม่ธรรมดา ทำให้พวกเรารู้สึกเลื่อมใสในสง่าราศีของคุณชาย แน่นอนว่าย่อมยากที่จะลืมได้ลง ตอนนี้ได้มาพบกันอีกครั้งก็ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก!”


บัณฑิตกุมมือคารวะเฉินผิงอัน ในดวงตาเต็มไปด้วยแวววิงวอนอย่างน่าสงสาร ตอนนั้นเขาเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นซิ่งแขนขาเล็กบาง จึงนึกว่านี่เป็นโอกาสที่พันปียากจะพานพบซึ่งสวรรค์ประทานมาให้แก่เขา ให้ตนเป็นวีรบุรุษที่ได้ช่วยเหลือสาวงาม หากพลาดไปก็ไม่เท่ากับผิดต่อผู้เฒ่าดวงจันทร์ที่ช่วยโยงด้ายแดงให้หรอกหรือ? ดังนั้นสุดท้ายจึงเกิด ‘ความเข้าใจผิด’ ที่จุดจบไม่ค่อยงดงามนักขึ้น


สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ได้ชื่นชอบหรือรังเกียจอะไร แต่แน่นอนว่าต้องไม่มีความรู้สึกดีๆ อยู่แล้ว จึงทำเพียงแค่หัวเราะ ไม่ได้เปิดโปงบัณฑิต ถือว่าเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้อีกฝ่ายแล้ว


จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะเฉินผิงอันไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับเรื่องในบ้านของหลิวเกาหวา


การแต่งงานครั้งนี้จะดีหรือร้าย จะเป็นคู่สร้างคู่สมที่ครองรักกันจนแก่เฒ่า หรือเป็นคู่เวรคู่กรรมที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะครองคู่กันได้แค่ในเวลาสั้นๆ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา


แต่ถ้าเปลี่ยนหลิวเกาหวามาเป็นนักพรตจางซานเฟิงที่เฉินผิงอันมองเป็นเพื่อนที่แท้จริง เฉินผิงอันต้องพูดออกมาตามตรงแน่นอน ต่อให้ไม่ได้พูดต่อหน้า แต่ก็ต้องเอ่ยเตือนจางซานเฟิงเป็นการส่วนตัวสักคำ อาจบอกว่าพี่เขยของเจ้าในอนาคตเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนคุณชายที่มาจากตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้


พูดคุยกันมาถึงท้ายที่สุดจึงรู้ว่าบัณฑิตแซ่หลิ่วซึ่งเดินทางไกลมาศึกษาที่นี่คือบัณฑิตยากจนที่พบกับแม่นางหลิวในงานวัดแห่งนี้ เขายากจนถึงขนาดต้องขออาศัยอยู่กับผู้อื่น เพราะโรงเตี๊ยมไม่มีห้องว่างเหลืออยู่แล้วจริงๆ หลิวเกาหวาจึงได้แต่ยิ้มขออภัย ขอร้องให้ชายฉกรรจ์เคราดกกับจางซานเฟิงช่วยรับเขาเอาไว้ นี่ทำให้สวีหย่วนเสียได้เปิดโลกทัศน์ ทำหน้าที่เป็นน้องเขยได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจชาติกำเนิดของบัณฑิตหลิ่ว กลับยังช่วยพี่สาวปิดบังความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมไม่คู่ควรครั้งนี้ด้วย


บัณฑิตแซ่หลิ่วไม่กล้าอยู่ร่วมห้องกับเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกับชายฉกรรจ์เคราดก เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคุณชายผู้บอบบาง ลักษณะเหมือนคนกินไม่เลือกทั้งเนื้อและผักของชายฉกรรจ์เคราดกน่ากลัวเกินไป จึงเลือกที่จะอาศัยอยู่กับนักพรตหนุ่มที่ดูเป็นปกติที่สุดและไม่ขัดตามากที่สุด จางซานเฟิงเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรกับเรื่องนี้


จากนั้นหลิวเกาหวาจึงพาพี่สาวที่ยังอาลัยอาวรณ์ออกไปจากโรงเตี๊ยม


สองพี่น้องเดินอยู่บนถนนเส้นใหญ่ที่เงียบสงัดเพราะใกล้จะถึงช่วงห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาล ตอนที่ใกล้จะเดินไปถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมืองบ้านของตัวเอง หลิวเกาหวาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านพี่ ข้าไม่ค่อยชอบคนผู้นั้น แต่ในเมื่อท่านชอบเขา สิ่งที่ข้าทำได้ก็ล้วนทำให้หมดแล้ว หากมีวันใดท่านค้นพบว่าตัวเองคิดผิดก็ไม่ต้องคิดมาก ฟ้าถล่มลงมา ท่านพ่อจะตีจะด่าก็ดี จะโมโหจนทำเรื่องที่เกินกว่าเหตุก็ช่าง ถึงเวลานั้นท่านไม่ต้องกลัว ยังมีข้าอยู่ ข้าคือน้องชายของท่านนี่นา”


หญิงสาวเตะน้องชายตัวเองเบาๆ หนึ่งที พูดอย่างคนที่เขินอายจนพานเป็นโกรธ “หลิวเกาหวา! เจ้าไม่เห็นข้อดีของพี่สาวเจ้าบ้างเลยหรือไง พูดจาอัปมงคลอะไรแบบนี้!”


หลิวเกาหวาหันมาทำหน้าผีใส่นาง


หญิงสาวแสร้งทำเป็นตกใจ โวยวายว่าผีหลอกแล้วยกชายกระโปรงขึ้น ซอยเท้าก้าวเร็วๆ ไปยังประตูใหญ่จวนเจ้าเมือง


หลิวเกาหวาถอนหายใจแล้วก้าวเร็วๆ เดินตามไป


แต่จู่ๆ หลิวเกาหวาก็หยุดเดิน หันขวับไปมองบนถนนที่ว่างเปล่า จากนั้นก็เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ เขาก็ส่ายหน้า ออกเดินต่ออีกครั้ง


เพราะเมื่อครู่นี้เขารู้สึกเสียวและเย็นวูบที่หลังคอ


หลิวเกาหวาปลอบใจตัวเองไม่หยุดว่าจะต้องกลัวอะไร ตนได้พบเห็นเทพเซียนเฒ่าพร้อมกับบิดามาก่อนแล้ว อีกทั้งยังได้คุยกับเซียนผู้เฒ่าต่อหน้าหลายคำ บนร่างจึงติดกลิ่นอายเซียนของอีกฝ่ายมาบ้างแล้ว ต่อให้บนโลกใบนี้มีสิ่งสกปรกอยู่จริง ยกตัวอย่างเช่นปีศาจต้นไม้ในบ้านโบราณ ตอนนี้พวกมันก็เข้าใกล้ตนไม่ได้


นาทีที่ข้ารับใช้ในจวนปิดประตูด้านข้างลง บนถนนที่ว่างเปล่าซึ่งอยู่ห่างไปไกลเส้นหนึ่งก็มีคนตีฆ้องบอกเวลายามค่ำคืนเริ่มตีฆ้องพอดี แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่เป็นยามสาม แต่เขากลับตีบอกเวลาเป็นยามสี่


และเสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นบนถนนในเมืองแยนจือ “อากาศแห้งแล้ง โปรดระวังฟืนไฟ”


ในมือของผู้เฒ่าตาบอดที่เดินตีฆ้องบอกเวลายามค่ำคืนมานานหลายปีถือฆ้องทองแดงเอาไว้ เดิมทีควรมีสหายที่เป็นใบ้รับผิดชอบถือไม้ตีเดินมาด้วยกัน พวกเขาทำงานร่วมกันมาหลายปีจึงคุ้นเคยกันดีอย่างถึงที่สุด


แต่ผู้เฒ่าไม่รู้เลยว่าสหายของตนได้กลายมาเป็นสตรีสวมชุดขาวผู้หนึ่ง แต่ละครั้งที่นางยกไม้ตีลงบนฆ้องทองแดงจะต้องมีเลือดสดกระเซ็นออกมาจากพื้นผิวฆ้อง แต่เลือดไม่ทันกระเด็นลงบนถนนก็กลายเป็นกลุ่มควันสีดำที่สลายไปอย่างรวดเร็วเสียก่อน


ผู้เฒ่าตาบอดยังคงตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบพร่าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอากาศแห้งแล้ง โปรดระวังฟืนไฟ


—————————–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)