ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 223-230
ตอนที่ 223 ไม่ใช่ว่าสอบไม่ได้ที่ 1 หรอกหรือ
เสียงของอู่เหมยเสียงดังก้องกังวาลฮึกเหิมอย่างชัดเจน อู่เจิ้งซือและคนที่เหลือต่างเงยหน้าโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของอู่เยวี่ยแดงบวมอย่างยิ่ง หน้าซีดขาว ไม่ว่าใครเห็นก็รู้สึกสงสาร
สีหน้าของเหอปี้อวิ๋นดูไม่ได้ยิ่งกว่า เธอปวดใจแทนลูกสาวคนโต แต่ที่มากกว่าก็คือรู้สึกผิดหวัง เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอเริ่มไปคุยโม้กับหน่วยงานและเพื่อนสนิทมิตรสหายแล้ว แต่ตอนนี้อันดับของอู่เยวี่ย ทำให้ต่อไปภายหลังเธอจะมีหน้าไปที่หน่วยงานได้อย่างไร?
เหอปี้อวิ๋นที่อารมณ์กำลังกลัดกลุ้มสุดขีดพอเห็นอู่เหมยที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ความโกรธที่อยู่ในใจก็เหมือนพุ่งขึ้นมาบนหัว ตำหนิว่า “กลับมาแล้วก็กลับมาแล้วสิ จะส่งเสียงเรียกดังขนาดนี้ทำไม?”
อู่เหมยอารมณ์ดีก็เลยขี้เกียจโต้เถียงกับเธอ เธอแกล้งทำเป็นแปลกใจมองอู่เยวี่ย ส่งเสียงดังไม่น้อยว่า “พี่สาว ทำไมพี่ร้องไห้อีกแล้วล่ะ? ไม่ใช่ว่าเพราะสอบไม่ได้ที่หนึ่งใช่ไหม ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่ก็ค่อยๆ เคยชินไปเอง”
อารมณ์ที่ไม่สบายใจก็พุ่งขึ้นมาที่ลำคอ ดวงตาของอู่เยวี่ยก็ยิ่งแดงก่ำ กัดฟันอย่างเงียบๆ แทบอยากจะฉีกปากของอู่เหมย แน่นอนว่านังโง่นี่ตั้งใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยืนตะโกนเรียกที่หน้าประตูเสียงดังขนาดนั้น!
“เธอเอะอะโวยวายอะไร? ยังไม่เข้ามาพูดในห้องอีก จะยืนอยู่ตรงประตูให้เหมือนตัวอะไร?” เหอปี้อวิ๋นกัดฟันพูด ใจรู้สึกเหมือนโดนมีดแทง
อู่เหมยหันหน้าไปมองเพื่อนบ้านด้านข้างที่ฟังกันหูผึ่งก็แอบขำ คำพูดเธอเมื่อกี้คนพวกนี้คงได้ยินกันหมดแล้ว ไม่เกินหนึ่งวัน เรื่องที่อู่เยวี่ยสอบไม่ได้ที่หนึ่งก็คงกระจายไปทั่วโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ฮ่าๆ ดูซิว่าหลังจากนี้เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยจะอวดเก่งอย่างไรได้อีก!
อาจารย์แม่จางถูกความฉลาดหลักแหลมของอู่เหมยทำให้ขำ โบกไม้โบกมือไปทางเธอให้เธอรีบเข้าไปในห้อง อย่ายั่วให้เหอปี้อวิ๋นโมโหอีก เพียงแค่ว่าเธอรู้สึกแปลกใจ ทำไมพอได้ยินว่าอู่เยวี่ยสอบไม่ได้ที่หนึ่ง ในใจของเธอกลับรู้สึกสบายใจมากล่ะ?
นี่มันไม่ใช่อากัปกิริยาที่ผู้อาวุโสควรมีสิ!
ผิดพลาด ผิดพลาด!
เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ที่กำลังผัดกับข้าวอยู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทุกคนต่างก็แลกเปลี่ยนรอยยิ้มกันเหมือนกับว่าเธอรู้ฉันก็รู้ เพียงแค่ไม่ได้ที่หนึ่ง แต่ให้ตายเถอะ วันทั้งวันที่ผ่านมาได้แต่ฟังเหอปี้อวิ๋นแม่ผู้หญิงคนนี้ขี้โม้ขี้อวด ฟังจนหูจะมีรังไหมขึ้นอยู่แล้ว!
อู่เหมยยกขาเตรียมก้าวเข้าห้อง แต่ว่าอู่เยวี่ยที่อยู่ตรงนั้นเหยียบแค่ทีเดียวคงยังไม่พอ เธอยังต้องยกยอตัวเองหน่อย!
“พ่อคะ ผลสอบภาษาครั้งนี้หนูได้ 74 คะแนน อาจารย์อู๋ชมเชยหนูหนักเลย บอกว่าให้หนูพยายามอีกหน่อย อาจจะสามารถสอบได้ดีกว่านี้อีก!”
อู่เหมยพูดด้วยเสียงภูมิใจ เสียงดังตรงระเบียงทางเดิน ดังไปสามบ้านแปดบ้าน ก้องกังวานจนทำให้ทุกต่างวางเครื่องครัวโดยพร้อมเพียง เบิกตากว้างอย่างไม่กล้าเชื่อ
ลูกสาวคนเล็กที่โง่เง่าของตระกูลอู่สอบได้ 74 คะแนน?
โอ้โห! เธอได้รับพลังด้านสติปัญญามาแล้วหรือนี่?
อาจารย์แม่จางดีใจมากกว่าใคร ยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้อู่เหมยเพื่อชมเชย “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเหมยเหมยเป็นคนฉลาด เพียงแค่ความคิดความอ่านกับสติปัญญาช้าไปหน่อย วันหลังแค่พยายามสู้เพิ่มอีก ไม่แน่ว่าสักวันหนูอาจจะเอาที่หนึ่งมาได้ก็ได้นะ!”
อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง “ค่ะ หนูจะพยายามอย่างเแน่นอน”
อาจารย์แม่จางมองเด็กน้อยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ นี่ก็นับได้ว่าคือต้นร้ายปลายดี ตอนนี้เหอปี้อวิ๋นก็ไม่สามารถเอาเรื่องคะแนนมาพูดได้อีกแล้วมั้ง?
ก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปลูกสาวสองคนนี้ คนไหนจะมีอนาคตมากกว่ากัน!
อย่างไรก็แล้วแต่เธออยู่ข้างลูกสาวคนเล็ก อู่เหมยดูดีแถมยังขยัน แน่นอนว่าย่อมมีอนาคตกว่าคนปลอมเปลือกแบบอู่เยวี่ย
ในขณะที่อาจารย์แม่จางกำลังดีใจก็มีคนที่อารมณ์ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง ความกลัดกลุ้มอึดอัดใจของอู่เยวี่ยยิ่งอัดแน่นในหน้าอกขึ้นไปอีก เล็บมือจิกลึกเข้าไปในเนื้อ สอบครั้งนี้เธอแพ้ย่อยยับล้มเหลว แต่อู่เหมยกลับได้คะแนนดีอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
อู่เหมยมันจะต้องเจตนาแน่นอน ยังสารเลวคนนี้อยากจะหัวเราะเยาะเธอมานานแล้ว!
เธอจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ หรอก ยังไงก็ต้องมีการสอบอีก เธอจะต้องสามารถแย่งเอาที่หนึ่งมาจากมือของสยงมู่มู่กลับมาเป็นของเธอให้ได้อย่างแน่นอน!
…………………………………………………………..
ตอนที่ 224 คุณไม่ใช่แม่ของฉัน
ใบหน้าที่อึมครึมของอู่เจิ้งซือเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม หัวเราะพูดต่อว่า “นี่เป็นข่าวดีจริงๆ เหมยเหมยเอากระดาษข้อสอบมาให้พ่อดูสิ”
เขามีความสุขจริงๆ จากที่คะแนนไม่เคยผ่านเกณฑ์ แต่กระโดดมาได้ถึง 74คะแนน การพัฒนานี้พัฒนาได้รวดเร็วน่าทึ่งมาก หากนักเรียนของเขาทำได้แบบนี้ เขาคงจะมีความสุขมากแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกสาวของเขาเลย
ปฏิกิริยาโต้ตอบของอู่เจิ้งซือทำให้ใจของอู่เหมยสงบลง เธอหยิบกระดาษข้อสอบออกมาจากกระเป๋าเรียนส่งให้อู่เจิ้งซือ หัวกระดาษตัวเลข 74 สีแดงทิ่มแทงตาของอู่เยวี่ย สิ่งที่เธออยากจะเห็นคือตัวเลขที่น้อยกว่าหก
“เหมยเหมยเก่งจริงๆ สอบได้ตั้ง 74 คะแนนแหนะ” อู่เยวี่ยฝืนยิ้ม พูดอย่างไม่จริงใจ เพราะในใจกลับหวังว่าคะแนนนี่จะสามารถกลับกันได้ ถ้าเป็นแบบนั้นใจเธอคงสงบได้
ในใจของเหอปี้อวิ๋นก็ไม่พอใจ เด็กโง่ที่วันๆ โดนเธอทุบตีดุด่าอยู่ดีๆ ก็เก่งขึ้นมา เธอรู้สึกสับสนมาก แต่ไม่มีอารมณ์ที่ดีใจเท่านั้น ความจริงแล้วความรู้สึกของเธอนั้นเหมือนกับอู่เยวี่ย อยากเห็นคะแนนนั้นกลับตัวเลขกัน แบบนั้นเธอก็จะมีเหตุผลให้ด่าอู่เหมยได้แล้ว
ตอนนี้ลมโมโหของเธออัดแน่นอยู่ในใจ ขึ้นไม่ได้ลงไม่ได้ อึดอัดเป็นอย่างมาก
“74 คะแนนแค่นี้ก็ยกหางซะแล้วเหรอ? ฉันมองแล้วมองอีกยังไงแกมันก็แค่กระดูกอ่อน ได้คะแนนแค่นี้ก็ภูมิอกภูมิใจ พี่สาวแกแต่ก่อนสอบได้ร้อยคะแนนยังไม่มีท่าทางแบบแกเลย” เหอปี้อวิ๋นก็ยังคงหาเหตุผลมาด่าคนจนได้ เธอก็แค่เก็บความรู้สึกไว้ภายในใจต่อไปไม่ไหว หากไม่ด่าออกมาในใจคงเป็นทุกข์
หัวใจของอู่เหมยเหมือนโดนแทงอย่างแรง ไม่ว่าเหอปี้อวิ๋นจะมองเธออย่างไรก็คงไม่เจริญตา ถึงแม้ว่าเธอจะสอบได้ร้อยคะแนน แม้กระทั่งรอยยิ้มเหอปี้อวิ๋นก็คงไม่สามารถมอบให้เธอได้
ช่างมัน หลังจากนี้ก็คิดซะว่าตัวเองโดนเก็บมาจากถังขยะก็แล้วกัน!
ไม่มีความปรารถนา ใจย่อมแข็งแกร่ง ตัดขาดความอาลัยกับครอบครัว แบบนี้แล้วเธอก็จะไม่เจ็บปวดใจอีก!
อู่เหมยมองเหอปี้อวิ๋นอย่างนิ่งๆ ดวงตาโตสีดำขลับมีแต่ความเย็นชา ไฝสีแดงชาดบนผิวที่ขาวราวหิมะนั้นเหมือนจะตัดกัน แต่กลับขับเสริมซึ่งกันและกันให้เด่นขึ้น เหอปี้อวิ๋นโดนเธอมองจนรู้สึกหวาดกลัว ข้างหูคล้ายกับได้ยินเสียงนังสารเลวคนนั้นเมื่อตอนนั้นว่า
“คนที่อิงหัวรักก็คือฉัน ไม่ใช่เธอ เหอปี้อวิ๋น ยิ่งเธอดิ้นรนเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มความอับอายให้ตัวเองเท่านั้น!”
“ท่าทางของแกนี่มันอะไร? ฉันพูดว่าให้ไม่ได้แล้ว? ฉันลำบากลำบนคลอดแกเลี้ยงแกออกมาแล้ว แต่กลับได้เลี้ยงเด็กเนรคุณอย่างแกแทนจนได้นะ!”
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกเหมือนเธอเห็นภาพหลอน หน้าของอู่เหมยกับหน้านังสารเลวนั้นทับซ้อนกัน ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหน้าเดียวกัน มองเธออย่างเยือกเย็นเหมือนกัน กัดเซาะใจเธอจนเจ็บไปหมด เธอยกมืออย่างลืมตัว ตบลงบนหน้าของอู่เหมยอย่างแรง
ทั้งความอัดอั้นตันใจในเวลานั้นที่เธอได้รับตอนอยู่กับนังสารเลวนั้น ทั้งความไม่เป็นธรรมในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งหมดเอามาลงที่ตัวอู่เหมยเพียงคนเดียว
ในเวลานี้เธอค่อนข้างรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเล็กๆ ที่ให้เธอกำเนิดลูกสาวที่มีหน้าตาคล้ายกับนังสารเลวนั้น แต่ก่อนนั้นนังนั่นมักจะเหยียบหัวเธอ แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้ใหญ่กว่า คิดอยากจะสั่งสอนอู่เหมย ใครก็พูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมาไม่ได้!
เวลานี้เหอปี้อวิ๋นเหมือนกับปีศาจ ดวงตาเป็นสีแดงฉาน หน้าตาดุร้าย ทำให้อู่เจิ้งซือตกใจเป็นอย่างมาก จึงลุกขึ้นเพื่อจะหยุดเธอ
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาช้าไป เหอปี้อวิ๋นตบหน้าอู่เหมยไปแล้ว จนมีเสียงดังกังวาลอยู่ข้างหู อู่เหมยเดิมนั้นคิดจะหลบเลี่ยง แต่เธอมัวแต่ครุ่นคิด แรงตบจึงเฉียดผ่านหู ลงที่แก้มเต็มๆ เจ็บปวดแสบร้อนไปหมดทำให้อู่เหมยโมโหจนเกือบจะลงมือกลับ
แรงตบครั้งนี้เธอจะต้องไม่เสียเปล่าแน่นอน!
ในเมื่อเหอปี้อวิ๋นไม่คำนึงถึงครอบครัวเลยสักนิด ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าเธอไม่ยุติธรรมเลย!
“เหอปี้อวิ๋นคุณเป็นบ้าอะไร?” อู่เจิ้งซือรีบพุ่งเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
ใบหน้าของอู่เหมยนั้นบวมเหมือนหมั่นโถวก็ไม่ปาน มุมปากแตก โชคดีที่เธอเอียงหูหลบ ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง แต่ก็ยังเจ็บอยู่มาก อู่เหมยกลั้นน้ำตาและตะโกนว่า “ฉันเกลียดคุณ คุณไม่ใช่แม่ของฉัน!”
หลังจากพูดเสร็จแล้วเธอก็วิ่งออกไป เธอจะต้องใช้รอยฝ่ามือนี้ฉีกคราบนักบุญใจบาปของเหอปี้อวิ๋นอย่างโหดเหี้ยม!
…………………………………………………………..
ตอนที่ 225 ฉันโดนเก็บมา
พอเห็นอู่เหมยวิ่งออกไปข้างนอกอย่างไม่สนใจไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น อู่เจิ้งซือก็สีหน้าเปลี่ยน จ้องเขม็งมองเหอปี้อวิ๋นอย่างโหดเหี้ยม พุ่งไปข้างหน้าคิดอยากจะจับอู่เหมยกลับมา ตอนนี้ตรงระเบียงทางเดินทุกคนต่างก็กำลังทำกับข้าวกันอยู่ อู่เหมยวิ่งออกไปแบบนี้
แล้ววันหลังเขาจะเหลือหน้าไปเจอใครได้!
“เหมยเหมยกลับมา!” อู่เจิ้งซือตะโกน
แน่นอนว่าอู่เหมยไม่ฟังเขา เธอโดนตบหน้าทั้งที จะไม่ปล่อยเหอปี้อวิ๋นไปง่ายๆ หรอก ครั้งนี้เธอจะทำให้ทั้งโรงเรียนได้เห็นได้รู้ว่า ‘แม่ศรีเรือน’ อย่างเหอปี้อวิ๋นนั้นโฉมหน้าที่แท้จริงเป็นยังไง!
เสียงประตูเปิดดังขึ้นมา ใจของอู่เจิ้งซือตกถึงตาตุ่ม ได้แต่มองอู่เหมยพุ่งออกไป เขาเห็นแม้กระทั่งสายตาที่ตกใจของเพื่อนร่วมงานกับเพื่อนบ้าน อีกทั้งเสียงซุบซิบลับหลังพวกนั้นอีก ทำให้ความโกรธภายในใจพุ่งถึงจุดสูงสุด
อู่เจิ้งซือได้แต่ฝืนใจวิ่งออกไป ต้องจับตัวอู่เหมยกลับมาถึงจะดี ไม่อย่างนั้นปล่อยให้ออกไปแบบนี้มันจะเลยเถิดไปกันใหญ่
“อู่เหมยกลับมา เชื่อฟังพ่อนะ!” อู่เจิ้งซือพูดด้วยเสียงนุ่มนวล
“ไม่เอา เธอจะตีหนูตาย เธอไม่ใช่แม่ของหนู เธอยังอำมหิตกว่าแม่เลี้ยงอีก!” อู่เหมยตะโกน พูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น แล้วยังทำให้ผู้คนที่อยู่บนระเบียงทางเดินตกใจ กระทั่งคนที่อยู่ในห้องต่างก็วิ่งออกมาดูความวุ่นวายด้วย
อาจารย์แม่จางที่อยู่ใกล้ๆ ออกมาก่อนใคร มองเห็นอู่เหมยหมอบอยู่ที่พื้นร้องไห้อย่างน่าเวทนา หน้าบวม มีรอยนิ้วมือห้านิ้วที่น่าตกใจปรากฏอย่างชัดเจน อาจารย์แม่จางเห็นแค่แวบเดียวก็รู้ว่าสาวน้อยโดนตีอีกแล้ว จึงโมโหเหอปี้อวิ๋นถึงขีดสุด
ใบหน้าที่สวยงามขนาดนี้ เธอลงมือลงได้ยังไง?
เทียบกับแม่เลี้ยงยังไม่ได้เลยจริงๆ!
“อาจารย์อู่ คุณกับอาจารย์เหอต่างก็เป็นปัญญาชน รู้อะไรมากว่าฉันเยอะ ในปกตินั้นฉันไม่มีคุณสมบัติจะพูดอะไร แต่ฉันอดรนทนไม่ไหวอยากพูดสักประโยค ลูกสาวต่างก็ควรโดนอบรมสั่งสอนก็จริง แต่ถ้าฉันมีลูกสาวที่ดีขนาดอู่เหมย ไม่ต้องพูดถึงตบหน้า แม้กระทั่งที่ปลายนิ้วมือฉันยังตัดใจลงมือไม่ได้เลย อาจารย์อู่ คุณว่านี่มีเหตุผลหรือ?”
อาจารย์แม่จางมองอู่เจิ้งซืออย่างไม่พอใจ ภรรยาตีลูก เขาก็ไม่รู้จักขวางหน่อย โชคร้ายที่เขายังเป็นอาจารย์ตัวอย่างที่ควรศึกษาเอาอย่างอีกนะ!
“อาจารย์แม่จางพูดมีเหตุผล ครั้งนี้เหอปี้อวิ๋นทำรุนแรงเกินไป ผมจะต้องพูดสั่งสอนเธอแน่นอน”
อู่เจิ้งซือยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ อับอายจนอยากจะหารอยแยกที่พื้นมุดลงไป แล้วก็โมโหเหอปี้อวิ๋นถึงขีดสุดเหมือนกัน
“อาจารย์อู่ไม่โทษที่ฉันมายุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งก็พอ ฉันแค่รักแล้วก็สงสารเหมยเหมย เด็กคนนี้ดีแต่ไหนแต่ไร เห็นหน้าบวมๆ พรุ่งนี้จะไปเรียนยังไง!” อาจารย์แม่จางมองอู่เหมยอย่างปวดใจ
คนอื่นๆ ก็ล้อมเข้ามา ต่างก็โดนหน้าบวมแดงของอู่เหมยทำให้ตกใจกันเป็นอย่างมาก ได้แต่มองอู่เจิ้งซืออย่างแปลกใจ ยิ่งทำให้อู่เจิ้งซือรู้สึกอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ อับอายขายขี้หน้าไปหมด
“ปี้อวิ๋นเธอหุนหันพลันแล่นไปหน่อย เดี๋ยวผมจะพูดคุยกับเธอเอง” อู่เจิ้งซือรีบอธิบาย ไม่ว่ายังไงเขาควรจะกันตัวเองออกมาถึงจะดี
“อาจารย์อู่ก็จำเป็นต้องพูดดีๆ อาจารย์เหอก็เรียกได้ว่าเป็นปัญญาชนคนหนึ่ง ไม่ใช่พวกผู้หญิงชนบทที่ขาดความรู้ ต่อให้ลูกทำไม่ถูกยังไงก็ควรจะอดทนอธิบายเหตุผลกับลูก จะมาลงมือหนักกับลูกขนาดนี้ได้ยังไง? มองดูหน้าเหมยเหมยสิกลายเป็นอะไรแล้ว! ยังมีคอของเหมยเหมยอีก แผลเก่ายังไม่ทันหาย นี่ก็มีแผลใหม่เพิ่มเข้ามาอีก คุณเป็นพ่อเธอคุณไม่ปวดใจ แต่ฉันมองดูจนปวดใจไปหมดแล้ว”
จ้าวอิงหนานที่เพิ่งได้ยินข่าวก็ลงมาพูดอย่างไม่เกรงใจอะไรทั้งนั้น เดิมทีเธอก็ไม่ชอบความลำเอียงของเหอปี้อวิ๋นอยู่แล้ว ไม่กี่วันก่อนคอของอู่เหมยก็โดนบีบจนกลายเป็นแบบนั้น เธอก็โดนพ่อสยงจับเอาไว้ ถึงไม่ได้ลงมาโต้เถียงเอาความกับเหอปี้อวิ๋น ตอนนี้เห็นหน้าของอู่เหมยโดนตบจนกลายเป็นแบบนี้ สีหน้าของเธอยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่ พูดจาอะไรก็ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด
อู่เหมยพอเห็นจ้าวอิงหนาน จิตใจที่เคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาพร่ามัว น้อยใจร้องไห้ออกมาว่า “หนูไม่ได้ทำอะไรผิด หนูยังสอบวิชาภาษาได้ 74 คะแนน อาจารย์ต่างก็ชมเชยหนู แต่แม่กลับด่าหนู บอกว่าหนูสอบสู้พี่สาวไม่ได้แต่ก็เห็นๆ อยู่ว่าหนูมีความก้าวหน้า แต่พี่สาวกลับถอยหลัง ที่หนึ่งก็ไม่ได้ แม่อารมณ์ไม่ดีก็เลยมาระบายอารมณ์กับหนู ตั้งแต่ตอนเล็กๆ ก็เป็นแบบนี้ คงมีแค่พี่สาวที่แม่เป็นคนให้กำเนิดออกมา ส่วนหนูก็คงเก็บมาเลี้ยง!”
…………………………………………………………..
ตอนที่ 226 เปิดโปงเธอออกมาทั้งหมด
อู่เจิ้งซือสีหน้าเปลี่ยน มองอู่เหมยอย่างไม่สบายใจ พูดเสียงเบา “เหมยเหมย พูดแบบนี้กับแม่ไม่ได้นะ!”
“หนูไม่ได้พูดอะไรผิด แม่ดีกับพี่สาวมาก เสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ นมมอลต์ น้ำมันตับปลา อะไรก็ตามที่ดีที่สุด หนูไม่มีของพวกนี้เลย ขนาดข้าวกลางวันก็ไม่มีให้กิน แถมยังต้องทำงานบ้านทุกวัน วันไหนอารมณ์ไม่ดีก็มาลงที่หนู เธอไม่ใช่แม่แท้ๆของหนู หนูจะต้องเป็นลูกที่พวกคุณเก็บมาจากถังขยะแน่นอน!”
อู่เหมยไม่ห่วงไม่สนใจเริ่มส่งเสียง ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็ซื้อห้องของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถึงอู่เจิ้งซือจะไม่พอใจเธอก็ไม่กลัว อย่างมากก็แค่ไปอยู่ห้องใหม่คนเดียว ยังไงก็สบายกว่าที่นี่แน่นอน
ทุกคนที่มุงกันอยู่ต่างมีสีหน้าลุ่มลึก เมื่อก่อนชีวิตขมขื่นที่อู่เหมยได้เจอ แน่นอนว่าพวกเขารู้มาบ้าง เพียงแต่พวกเขาต่างก็เป็นพวกเห็นแต่ไม่พูด มันไม่คุ้มที่จะล่วงเกินใครเพื่อเด็กน้อยคนเดียว
แต่วันนี้อู่เหมยก็เปิดโปงออกมาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังพูดเรื่องเหล่านี้ที่หนักกว่าที่พวกเขาคิดอีก พวกเขาอยากแสร้งว่าไม่รู้ก็คงไม่ได้แล้ว อีกทั้งในใจของทุกคนก็ต้องมีความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมอยู่บ้างจะมากจะน้อยก็ตาม
เหอปี้อวิ๋นทำแบบนี้ มิน่าเล่าเด็กน้อยถึงต้องร้องขอความเป็นธรรม ลูกสาวคนโตเป็นลูกรัก แต่กลับมองลูกสาวคนเล็กไร้ค่ายิ่งกว่าหมาอีก เด็กคนไหนจะสามารถรับได้?
อู่เหมยอดทนจนถึงตอนนี้ถึงได้ระเบิดออกมา สำหรับเด็กคนนี้ นี่มันเป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ!
เหอปี้อวิ๋นที่อยู่ในห้องได้ฟังที่อู่เหมยพูดอย่างชัดเจนทุกคำ ใจก็ตกลงเบื้องล่าง ตอนนี้เธอสงบเยือกเย็นลงมาแล้ว รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อกี้ เวลานี้ภาพลักษณ์ที่ดีของเธอถูกนังเด็กสมควรตายคนนี้พังลงไปแล้ว!
อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำอีก นำเรื่องเสียใจของตัวเองวางลงไว้ก่อนชั่วคราว ขณะนี้สิ่งที่เร่งด่วนก็คือกอบกู้ชื่อเสียงของเหอปี้อวิ๋น พ่อไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ ในระยะนี้พ่อเริ่มดีกับอู่เหมยมากขึ้น ตรงกันข้ามกลับเย็นชากับเธอ เธออยากจะมีชีวิตที่ดีต่อไปในบ้าน ก็ควรจะสนับสนุนเหอปี้อวิ๋นถึงจะดี
“แม่ แม่ก็ควรจะพูดออกมาสักประโยค ไม่ควรให้อู่เหมยพูดสุ่มสี่สุ่มห้า แม่เป็นผู้ใหญ่นะ!” อู่เยวี่ยแอบแนะนำ
เหอปี้อวิ๋นถูกลูกสาวคนโตปลอบใจ กัดฟันจนฟันแทบแตกด่าออกมาว่า “นังเด็กนี่สมควรตาย หลังจากนี้จะต้องจัดการกับเธอทีหลังแน่!”
“แม่ วันหลังแม่ก็เก็บอาการหน่อยเถอะ ระยะนี้เหมยเหมยเปลี่ยนไปมาก แม่ก็อย่าลงมืออีก แม่กลับทำเพื่อให้เหมยเหมยได้ดี แต่เหมยเหมยกลับไม่เข้าใจความเมตตาของแม่ ตรงกันข้ามยังออกไปข้างนอกแล้วทำลายชื่อเสียงของแม่อีก แม่ได้รับความไม่เป็นธรรมมากเลยนะ!” อู่เยวี่ยพูดโน้มน้าว อีกทั้งยังไม่ลืมพูดใส่ความอู่เหมย เหอปี้อวิ๋นยิ่งรังเกียจอู่เหมยจนเดือดพล่านไปหมด
“นังเด็กสมควรตาย ใจดำทมิฬ เลี้ยงเสียข้าวสุก” เหอปี้อวิ๋นบ่นพึมพำด่าไม่หยุด อู่เยวี่ยฟังแล้วก็หงุดหงิดรำคาญ เร่งเหอปี้อวิ๋นให้รีบออกไปข้างนอกเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้ตัวเอง แล้วก็ถือโอกาสกอบกู้ชื่อเสียงให้เธอด้วย
“เธอไม่ได้คะแนนตก เธอแค่เกิดเหตุขึ้นกะทันหัน ถ้าไม่ท้องเสียและก็มีกลิ่นเหม็นที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะก็ ที่หนึ่งยังไงก็เป็นของเธอแน่ๆ ไหนเลยจะตกไปที่สยงมู่มู่ได้!”
จ้าวอิงหนานที่อยู่บนระเบียงทางเดินกอดอู่เหมยไว้ในอ้อมแขน หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเพื่อเช็ดน้ำตาให้ ไม่รู้ทำไม พอเห็นอู่เหมยไม่ได้รับความเป็นธรรม ใจของเธอก็รู้สึกว้าวุ่นไม่สงบ จากที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจนเธอทนไม่ไหวอยากจะยื่นมือเข้ามาช่วย
“อาจารย์อู่ ไม่ว่าจะอย่างไรคุณก็เป็นอาจารย์ตัวอย่างใช่ไหม? ทำไมถึงไม่อบรมสั่งสอนอาจารย์เหอบ้าง มองวิธีการสั่งสอนของเธอแล้ว ตรงไหนที่เหมือนอาจารย์ หา? คะแนนตกอันดับกลับถูกปกป้องมากขึ้น คนที่พัฒนากลับโดนตี โอ้โห! นี่เป็นทัศนคติในการสั่งสอนเด็กของประเทศไหนเนี่ย? ฉันเกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินเนี่ยแหละ!”
แต่ไหนแต่ไรมา ยามปกติตอนอยู่ในโรงเรียนจ้าวอิงหนานมักจะพูดน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ชอบพูด เธอเป็นคนปากร้าย ชอบพูดตรงๆ แต่ไม่พูดเยอะเพราะกลัวคนอื่นที่จิตใจอ่อนแอเปราะบางจะรับไม่ไหว!
…………………………………………………………..
ตอนที่ 227 ฉันแค่คาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จ
จ้าวอิงหนานพูดติดๆ กันไม่หยุด พูดจนอู่เจิ้งซือโงหัวไม่ขึ้น ละอายใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็ไม่ได้โมโหน้อยลงเลยแม้แต่นิด จะมองอู่เจิ้งซือยังไงก็ขัดตา เพียงแต่เสียดายที่เหอปี้อวิ๋นเอาแต่หลบไม่ยอมออกมา ไม่อย่างนั้นเธออยากจะสั่งสอนผู้หญิงคนนี้สักตั้ง
คนอื่นๆ ก็ฟังแล้วคล้อยตาม พวกเขาไม่สนใจว่าเป็นเรื่องของผู้ชายหรือผู้หญิง พวกเขาแค่คล้อยตามจ้าวอิงหนาน เหตุผลมีสองข้อ ข้อหนึ่งคือพวกเขาเห็นใจอู่เหมยจริงๆ ข้อสองคือประจบเอาใจจ้างอิงหนาน อีกทั้งยังอยากจะเหยียบย่ำอู่เจิ้งซือ ใครให้อู่เจิ้งซือได้ตำแหน่งอาจารย์ตัวอย่างทุกๆ ปีกันล่ะ!
อู่เจิ้งซือหัวเราะหน้าเหยเก ในใจรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก ยิ่งไม่พอใจเหอปี้อวิ๋นถึงขีดสุด อู่เหมยเห็นอู่เจิ้งซือเสียหน้าก็เก็บความพอใจไว้ เพียงแต่ว่าตอนนี้เป้าหมายที่สำคัญก็คือเหอปี้อวิ๋น อู่เจิ้งซือนั้นให้อยู่นิ่งๆ ก่อน ต้องนำกำลังและจิตใจทั้งหมดมาลงที่เหอปี้อวิ๋นก่อนถึงจะถูก
“ไม่เกี่ยวกับพ่อ พ่อเคยพูดกับแม่แล้ว แต่แม่ไม่ฟัง มักจะแอบตีหนูลับหลังพ่อ แถมยังห้ามหนูบอกพ่อ ฮือ!” อู่เหมยก้มหัวลง พูดเสียงเบาเพื่อร้องทุกข์ให้อู่เจิ้งซือ ถึงแม้ว่าในใจจะมีความไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก
อู่เจิ้งซือแอบผ่อนลมหายใจ รู้สึกดีกับอู่เหมยมากขึ้น ลูกสาวคนเล็กยังรู้จักคิด อยู่ข้างนอกก็รู้จักรักษาหน้าให้เขา จุดนี้แหละที่ยอดเยี่ยมกว่าเหอปี้อวิ๋น
จ้างอิงหนานแตะปลอบอู่เหมยที่อยู่ในอ้อมกอดเธอ อยู่ดีๆ ก็หัวเราะออกมาแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เป็นฉันเข้าใจผิดอาจารย์อู่ซะแล้ว ปกติแล้วอาจารย์อู่ก็งานยุ่งมาก ขนาดเวลากินข้าวยังไม่มี จะมีเวลาที่ไหนเฝ้าดูอยู่บ้านกันล่ะ? ไม่รู้ว่าเหมยเหมยได้รับความโหดร้ายทารุณจากเหอปี้อวิ๋นก็พอจะให้อภัยได้ เมื่อกี้ฉันด่วนสรุปไปหน่อย อาจารย์อู่ก็อย่าโกรธเลยนะ!”
“ไม่เลย เป็นเพราะฉันยังไม่รอบคอบพอต่างหาก อาจารย์จ้าวพูดถูก แต่ว่าปี้อวิ๋นของเรามีนิสัยค่อนข้างใจร้อนไปหน่อย ใจของเธอก็รักใคร่ทะนุถนอมเหมยเหมยไม่น้อย ยังไงก็ไม่ถึงกับโหดร้ายทารุณเหมยเหมยหรอก”
อู่เจิ้งซือยังอยากพูดให้เหอปี้อวิ๋นสักสองสามประโยค เพราะพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยา เหอปี้อวิ๋นชื่อเสียงไม่ดี เขาก็เสียหน้า เหอปี้อวิ๋นลำเอียงได้ มากที่สุดก็เป็นเรื่องของจิตใจ แต่ก็ไม่สามารถให้เป็นเรื่องโหดร้ายทารุณได้ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับบุคลิกลักษณะประจำตัวแล้ว
จ้าวอิงหนานหลุบนัยน์ตาด้วยความเหยียดหยาม แต่กลับหัวเราะอย่างเบิกบาน พูดว่า “ใช่ๆๆ ฉันใช้คำผิดอีกแล้ว อาจารย์อู่ควรที่จะเป็นตัวอย่าง การแต่งประโยคคำพูดไม่ธรรมดา อาจารย์เหอเองก็ไม่ใช่แม่เลี้ยง จะไปทารุณเหมยเหมยได้อย่างไร!”
อู่เจิ้งซือหัวเราะอย่างเก้อเขิน รู้อยู่แก่ใจว่าที่จ้าวอิงหนานพูดนั้นความหมายมันกลับกัน แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้ง หลายปีที่ผ่านมานี้ทุกสิ่งที่เหอปี้อวิ๋นทำก็สู้แม่เลี้ยงไม่ได้เลยจริงๆ!
เหอปี้อวิ๋นเดินมาถึงหน้าประตูได้ยินคำพูดพวกนี้อย่างชัดเจน โมโหจนหน้าบิดเบี้ยว เธอสั่งสอนลูกสาวที่ตัวเองคลอดออกมาเอง เกี่ยวอะไรกับคนพวกนี้ด้วยล่ะ โดยเฉพาะคนแซ่จ้าว ไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็แส่อยู่ได้!
เหอปี้อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายต่อหลายครั้ง เพื่อปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น เธอเป็นภรรยาที่นุ่มนวลอ่อนหวานมีความรู้ของคุณอู่ จำเป็นต้องนำเอาด้านที่สวยงามที่สุดดึงออกมา ต่อหน้าจ้าวอิงหนานห้ามอ่อนแอเสียเปรียบ
“อาจารย์จ้าวคุณพูดเรื่องพวกนี้ค่อนข้างที่จะทำให้ฉันปวดใจไปหน่อย เหมยเหมยเป็นลูกที่ฉันอุ้มท้องมาอย่างยากลำบากแสนเข็ญกว่าจะคลอดออกมา จะไปทำร้ายทารุณเธอได้ยังไง? ฉันก็แค่รักมากห่วงมากแค่นั้นเอง สงสัยนิสัยฉันคงจะรีบร้อนไปหน่อย แต่ที่ฉันทำก็ไม่ใช่เพื่อเธอหรือยังไง!”
เหอปี้อวิ๋นเดินออกมา ดวงตามีน้ำตาคลอ เหมือนกล้ำกลืนความเป็นธรรมพูดออกมาไม่ได้ มีบางคนผงกหัวเห็นด้วย แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้ มีแม่แท้ๆ คนไหนจะไม่ถนอมรักลูกสาวของตัวเองกัน?
ตีเพราะห่วง ด่าเพราะรัก เหอปี้อวิ๋นยังไงก็คงไม่ถึงกับปฎิบัติต่ออู่เหมยอย่างโหดร้ายหรอก คงเป็นเพราะคาดหวังให้ลูกๆ ประสบความสำเร็จ กลายเป็นคาดหวังจนเกินไป ทำให้ใจร้อนไปหน่อยเอง!
…………………………………………………………..
ตอนที่ 228 ขยะแขยงพวกคุณจะตาย
อู่เหมยกัดปากอย่างโกรธแค้นจนมีเลือดไหลออกมา
เธอรู้อยู่แล้วว่ายุคนี้เป็นยุคที่ส่งเสริมแนวคิดเกี่ยวกับความกตัญญู อยากจะหลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายนั้นยากมากมายขนาดไหน แค่คำพูดประโยคเดียวว่า ‘รักมาก ห่วงมาก คาดหวังมาก’ ก็ทำให้ทุกเรื่องเบาบางลงไปได้
แต่ก็ยังอยากลองดู วันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเธอ ถ้าหากครั้งนี้เธอไม่สามารถทำให้มันจบได้ เหอปี้อวิ๋นจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นแน่นอน อีกทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของเธอคงจะยิ่งเป็นทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ
“แม่ ทุกๆ คำก็พูดว่าเพื่อตัวฉัน แต่ว่าทำไมจะต้องให้หนูทำงานบ้านตลอด ไม่เรียกให้พี่ทำบ้าง? ทำไมต้องให้หนูเก็บเสื้อผ้าเก่า รองเท้าเก่า ของเล่นเก่าที่พี่ไม่เอาแล้วมาใช้? ตอนกลางวันพี่สาวก็ได้กินอาหารร้อนๆ แต่หนูได้กินซาลาเปาเย็นชืด แม้กระทั่งชุดชั้นในที่สกปรกๆ ของพี่พวกนั้นก็ให้ฉันซักทั้งหมด วันที่หิมะตกก็ไม่ได้อนุญาตให้หนูใช้น้ำร้อน ฮือ! หนูก็เป็นแค่คนใช้ในบ้าน กินไม่อิ่ม เสื้อผ้าใส่ไม่อุ่นแล้วก็งานบ้านที่ทำเท่าไรก็ทำไม่เสร็จ!”
อู่เหมยนำเอาเรื่องที่ตนเองกล้ำกลืนฝืนทนในหลายปีมานี้ตะโกนเล่าออกมาทั้งหมด น้ำตาไหลพราก ร้องไห้ให้ตัวเองในชาติที่แล้ว และร้องไห้ให้ตัวเองเมื่อสิบสองก่อนปีก่อน ความเสียใจทั้งหมดแสดงออกมาผ่านคำพูดของเธอ ทุกๆ คนต่างก็สามารถรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของเธอ สีหน้าแสดงความรู้สึกออกมาหลากหลาย
ถ้าหากเป็นแค่เรื่องลำเอียงธรรมดา ทำไมสาวน้อยถึงสามารถเสียใจได้มากขนาดนี้ล่ะ!
อีกทั้งเด็กคงไม่พูดโกหกหรอก ฟังอู่เหมยพูดแบบนี้ สงสัยว่าความลำเอียงของเหอปี้อวิ๋นคงเอียงกว่าหอเอนปิซ่าอีก
ยังมีอู่เยวี่ย ปกติก็เห็นเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆ ที่ดี นึกไม่ถึงเลยว่าลับหลังจะช่วยคนเลวก่อกรรมทำชั่ว จะเรียกใช้น้องสาวแท้ๆ ของตัวเองเหมือนเป็นคนรับใช้ แม้กระทั่งชุดชั้นในมีคราบประจำเดือนเปื้อนสกปรกก็ให้น้องสาวซักทั้งหมด โห! แท้จริงแล้วก็เป็นคนที่รู้หน้าไม่รู้ใจ!
อู่เยวี่ยที่อยู่ในห้องฟังจนโมโหจนเกือบจะขาดใจ อับอายขายขี้หน้าแล้วก็เคียดแค้นนังโง่สารเลวนั้นถึงที่สุด!
กับเหอปี้อวิ๋นเองเธอก็เริ่มจะไม่พอใจแล้ว ทำไมถึงยังไม่เอานังโง่นี่ดึงเข้ามาในห้องอีก ปล่อยให้นังสารเลวนี่อยู่ข้างนอกทำลายชื่อเสียงเธออยู่ได้!
แน่นอนว่าเหอปี้อวิ๋นอยากจะจัดการนำอู่เหมยเข้าห้องไป แต่คนเยอะแยะกำลังมองอยู่ เธอไม่สามารถดันทุรังดึงอู่เหมยกลับมาได้หรอก
“ยัยเด็กคนนี้กำลังพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอะไร ไม่ใช่ว่าแค่ตีเธอไปครั้งเดียวเองนะ ทำไมถึงได้ดึงเอาพี่แกมาพูดละ? พี่แกยังดีกับแกไม่พออีกเหรอ?”
เหอปี้อวิ๋นจ้องมองไปที่อู่เหมยอย่างกล่าวเตือน เพื่อบอกใบ้ไม่ให้เธอพูดสุ่มสี่สุ่มห้า สายตาแบบนี้ถ้าเป็นอู่เหมยเมื่อก่อนเป็นธรรมดาที่จะใช้ได้ผล แต่ว่าอู่เหมยในตอนนี้ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว
“ดีกับหนูแล้วทำไมให้หนูซักชุดชั้นในสกปรกของพี่ล่ะ? ยังมีแม่อีก แม่ก็ใช้ให้ซักเสื้อผ้าเปื้อนไปด้วยเลือดตั้งมากมาย ทุกครั้งที่หนูซักต้องทนสะอิดสะเอียน กินข้าวก็กินไม่ลง”
มีอาจารย์ผู้ชายบางคนเอียงหน้าหลบด้วยความเขินอาย ผู้หญิงด้วยกันก็รู้สึกเหยียดหยามเหอปี้อวิ๋น แม้กระทั่งชุดชั้นในสกปรกช่วงที่ตัวเองเป็นประจำเดือนยังให้ลูกสาวซักให้ ยัยแม่คนนี้ขี้เกียจอย่างกับอะไร!
เหอปี้อวิ๋นฉับพลันก็หน้าดำหน้าแดงขึ้นมา รู้สึกเหมือนโดนคนถอดเสื้อผ้าออกจนหมด เปลือยหมดเปลือกให้คนพวกนี้คอยจับผิด อู่เหมยแอบลำพองใจ เธออยากจะให้เหอปี้อวิ๋นอับอายจนตาย ยังไงตอนนี้เธอก็เป็นแค่เด็กคนนึงที่ประจำเดือนยังไม่มา ไม่รู้เรื่องอะไรก็เป็นปกติของเด็ก!
“เหมยเหมยเธอพูดไร้สาระอะไร? ยังไม่รีบเข้าห้องอีก!” เหอปี้อวิ๋นตะโกนด้วยความโมโห
“หนูไม่ได้พูดมั่วๆ ถ้าหนูพูดโกหก ก็ขอให้หนูออกจากบ้านโดนรถชนตาย กินข้าวสำลักตาย ดื่มน้ำก็สำลักตาย!” อู่เหมยตะโกนเสียงดัง
“ถุย ถุย ถุย คำพูดพล่อยๆ ของเด็กๆ เด็กคนนี้นี่ พูดสาบานแรงๆ แบบนี้ทำไม? รีบๆ ถอนคำพูดเร็ว!” จ้าวอิงหนานร้องไห้ก็ไม่ได้ขำก็ไม่ออก
อู่เหมยเงยหน้าขึ้นมาน้ำตานอง ร้องไห้สะอึกสะอื้นพูดว่า “ป้าจ้าว หนูไม่ได้พูดมั่วๆ ที่หนูพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง หนูรู้ว่าคนรุ่นหลังไม่ควรพูดไม่ดีหยาบคายต่อผู้อาวุโสกว่า แต่หนูเจ็บ วันๆ แม่เอาแต่ตีหนู หนูไม่อยากมีชีวิตแบบนี้อีกแล้ว ป้าจ้าวช่วยติดต่อสถานสงเคราะห์ให้หนูได้ไหม? หนูอยากไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น”
…………………………………………………………..
ตอนที่ 229 รับกลับไปเป็นน้องสาว
อู่เจิ้งซือที่ไม่ได้ส่งเสียงนานก็ส่งเสียงตำหนิว่า “เหมยเหมย อย่าพูดจาส่งเดชสิ”
เหอปี้อวิ๋นหัวเราะอย่างเก้อเขิน เธอแอบเตือนอู่เหมยตั้งหลายรอบแล้ว แต่ยัยเด็กสมควรตายนี่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แม้แต่มองยังไม่มองเธอเลย นังคนขี้ขบถ เธอโมโหจะตายอยู่แล้ว
อู่เหมยแกล้งทำเป็นหวาดกลัวตัวสั่นแล้วสั่นอีก สยงมู่มู่ที่วิ่งลงมาเรียกแม่ตัวเองนั้น ได้ยินที่อู่เหมยพูดชัดเจนทุกถ้อยคำ พอได้เห็นหน้าของเธอที่บวมเหมือนหัวหมู ทันใดนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที
เด็กคนนี้ถึงแม้ว่าจะโง่เขลาไปหน่อย แต่เขามองดูแล้ว สองสามีภรรยาตระกูลอู่คู่นี้ยังไงก็ไม่ใช่คนดี
“อู่เหมยเธอไม่จำเป็นต้องไปสถานสงเคราะห์หรอก ย้ายไปที่บ้านฉันก็ได้แล้ว แม่ แม่ไม่ได้ชอบพูดว่าถ้าผมเป็นลูกสาวคงดี ผมเนี่ยแม่คงหวังไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นแม่ก็รับเอาอู่เหมยกลับบ้านให้มาเป็นน้องสาวของผมแทนดีไหม? เธอก็มีหน้าตาที่ไม่แย่ คงไม่ทำให้บ้านเราขายหน้าหรอก”
สยงมู่มู่พูดขึ้นมาอย่างไม่มีพิธีรีตอง อีกทั้งยังยื่นมืออกไปดึงอู่เหมย เพิ่งมาถึงไม่ทันไรก็แสดงท่าทีจะรับเอาคนกลับบ้านแล้ว ทำเอาทุกคนหัวเราะขบขันกันไปหมด แต่อู่เจิ่งซือนั้นขำไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
ตั้งแต่เกิดมาวันนี้เป็นวันที่เขา อู่เจิ้งซือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่สุดวันหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเสียหน้าขนาดนี้มาก่อน เขานึกไม่ออกเลยว่า หลังจากวันนี้เขาจะมีหน้าไปพบปะอาจารย์คนอื่นๆ และนักเรียนได้อย่างไร!
“เด็กๆ ก็พูดจาไร้เดียงสาแบบนี้แหละ!” อู่เจิ้งซือฝืนยิ้มอย่างเสียไม่ได้
จ้าวอิงหนานใจเต้น ก้มหน้าลงพินิจพิเคราะห์อู่เหมย เธอชอบเด็กคนนี้มากจริงๆ แม้กระทั่งตัวเธอเองยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพิ่งจะพบเจอก็ชอบทันที แม้ว่าสยงมู่มู่จะยังเป็นเด็กพูดเล่นๆ แต่กลับพูดได้ตรงใจเธอ
ปีนั้นที่ที่เธอไปคือเมืองเป่ยต้าฮว่าง ผู้หญิงและผู้ชายก็ต่างทำงานหนักไม่แพ้กัน เธอเป็นคนนิสัยดื้อรั้น ไม่อยากให้ใครเรียกตัวเองว่ายัยเด็กอ่อนแอ แม้กระทั่งประจำเดือนมา เธอก็ยังทำทุกอย่างเหมือนผู้ชาย เท้าเปล่าลงไปทำงานในนา จนกระทั่งต่อมาพ่อของสยงมู่มู่และกองร้อยมาถึง มาปกป้องดูแลเธอ เป็นแบบนี้ค่อยดีขึ้นบ้าง
ตั้งแต่เวลานั้นก็มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เพราะว่ามดลูกได้รับความเย็น ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะมีสยงมู่มู่ อีกทั้งยังคลอดก่อนกำหนด ตอนสยงมู่มู่เพิ่งเกิดนั้นตัวเล็กเหมือนกับหนู ตอนนั้นเธอคิดว่าจะเลี้ยงไม่รอดซะแล้ว
โชคดีที่สวรรค์มีตา สยงมู่มู่เติบโตมาอย่างปลอดภัย แต่ว่าร่างกายเธอได้รับความเสียหายมาก มีลูกอีกครั้งคงยาก พอไม่สามารถมีลูกสาวได้ เธอก็รู้สึกเสียใจมากมาตลอดในชีวิตนี้
ตอนนี้สยงมู่มู่ก็พูดขนาดนี้แล้ว จ้าวอิงหนานก็เกิดความคิดที่จะเปลี่ยนใจแล้วจริงๆ ยิ้มกริ่มพินิจพิเคราะห์อู่เหมย
“สยงมู่มู่ของฉันพูดมาก็มีเหตุผล เด็กน้อยเหมยเหมยคนนี้ฉันเห็นครั้งแรกก็ชอบเลย ไม่อย่างนั้นก็ให้เธอมาเป็นลูกบุญธรรมของฉันเถอะ อาจารย์อู่คุณว่าเป็นยังไง?” จ้าวอิงหนานพูดยิ้มๆ
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยน นึกไม่ถึงว่าจ้าวอิงหนานจะรับอู่เหมยเป็นลูกบุญธรรมจริงๆ อู่เหมยเด็กคนนี้มีความโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ ได้ที่พึ่งที่ดีขนาดจ้าวอิงหนาน
มีบางคนเคลื่อนไหวอย่างมุ่งหวังจะประจบเอาใจ หัวเราะพูดหยอกล้อว่า “โอโห มองไป ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าอาจารย์จ้าวกับเด็กน้อยเหมยเหมยเหมือนกันอยู่หลายส่วนนะ ดูคิ้วกับดวงตา ยังมีจมูก มองเดี่ยวๆ แล้วไม่ใช่ว่าเหมือนกันมากเลยเหรอ!”
คนอื่นๆ ก็พินิจพิเคราะห์ด้วย เดิมทีก็คิดที่จะพูดมั่วซั่วตามผู้หญิงคนนั้นไป แต่นึกไม่ถึงว่าจ้าวอิงหนานกับอู่เหมยกลับมีบางส่วนคล้ายกันจริงๆ ใบหน้าไม่ได้เหมือนมาก แต่ดวงตานั้นเหมือนมากจริงๆ หางตายกขึ้นนิดหน่อย อู่เหมยอายุน้อยเลยยังไม่คิดอะไร แต่จ้าวอิงหนานกลับรู้สึกสะกิดขึ้นมา
ยังมีจมูกที่โด่งสันเป็นคมนั้น นอกจากเล็กใหญ่ แต่จริงๆ แล้วเหมือนใช้แม่พิมพ์อันเดียวกันพิมพ์ออกมา
“โอ้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาจารย์จ้าวกับเหมยเหมยมองแล้วเหมือนสองคนแม่ลูกเลย! ทุกคนต่างส่งเสียงเซ็งแซ่เห็นด้วย
…………………………………………………………..
ตอนที่ 230 ความกลัวของอู่เจิ้งซือ
สยงมู่มู่กำลังพินิจพิเคราะห์ระหว่างอู่เหมยกับจ้าวยิงหนานไม่หยุด ยิ่งดูยิ่งสงสัย อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เด็กน้อยอู่เหมยคนนี้กับแม่ของบ้านเราเหมือนกันอย่างน้อยก็สิบส่วน ที่เหมือนที่สุดก็คือดวงตากับจมูก ความจริงแล้วเหมือนใช้แม่พิมพ์เดียวกันพิมพ์ออกมาเลย มิน่าล่ะเขาเจออู่เหมยครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน เหตุผลที่แท้จริงก็เพราะเธอเหมือนกับแม่ที่บ้านนี่เอง!
ไม่ถูกต้อง เด็กคนนี้กับแม่ยังไม่ค่อยเหมือนเท่าไร เธอเหมือนกับอีกคนนึงมากกว่า สยงมู่มู่ขมวดคิ้ว ในหัวปรากฎภาพเงาลางๆ ของคนๆ นึง หน้าตานั้นเขาก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่ถ้าหน้าตาคร่าวๆ เขาก็ยังพอจำได้อยู่บ้าง
คนๆ นั้นเหมือนอู่เหมยอย่างน้อยก็ห้าหกส่วน เพราะว่าตอนที่เขาเจอคนๆ นี้ก็เป็นตอนที่เขายังเด็กอยู่ สยงมู่มู่นึกไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง เพียงแค่รู้สึกสนิทสนมกับอู่เหมย ถ้าหากว่าวันนี้ไม่ได้มีคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาคงคิดไม่ออกไปชั่วชีวิต!
คนๆ นั้นร่างกายอ่อนแอ พูดจาก็เสียงเบา ทั้งปีต้องกินยา แต่เธอนั้นดีกับตัวเขาเองมาก ตอนเด็กๆ ที่เขาอยู่ในบ้านคุณตา เป็นเธอที่พาเขาเล่นทั้งหมด แถมยังทำอาหารอร่อยๆ ให้กินอีก ถ้าคุณตาดุเขา เธอมักจะออกตัวพูดดีๆ แทนเขาเอง
เพียงแต่เสียดายต่อมาเขาก็โดนพ่อแม่รับมาอยู่ที่เมืองจินแล้ว จากนั้นคุณลุงเล็กก็โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่อื่น เธอก็ไปด้วย หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก ความทรงจำก็ค่อยๆ จางลงไป
แต่สิ่งที่สยงมู่มู่จำได้ไม่ลืมก็คือไฟสีแดงชาดที่อยู่ระหว่างคิ้ว เพียงแต่ไฝของคนๆ นั้นไม่ได้อยู่ตรงกลาง ตำแหน่งเบี่ยงไปทางขวานิดหน่อย ไม่เหมือนอู่เหมยที่อยู่ตรงกลางพอดีเป๊ะ
จ้าวอิงหนานเห็นท่าทางของสยงมู่มู่ที่ดูแปลกๆ ก็หัวเราะพูดว่า “มู่มู่ ลูกเป็นอะไร?”
“ไม่มีอะไร ผมแค่มองดูว่าเหมยเหมยรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง มองดูตั้งนานถึงเข้าใจ แม่ แม่กับเหมยเหมยอาจจะเป็นคู่ที่ฟ้ากำหนดมาก็ได้นะ!” สยงมู่มู่หัวเราะพูดเล่นออกมา มีบางเรื่องไม่เหมาะสมที่จะพูดในที่สาธารณะ อีกเดี๋ยวกลับบ้านไปค่อยถามแม่ตัวเอง เขายังเด็กจำไม่ได้ว่าป้าสะใภ้เล็กนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่แม่น่าจะไม่มีทางลืม
ทุกๆ คนต่างก็โดนคำพูดของสยงมู่มู่ทำให้หัวเราะขบขันกัน เธอหนึ่งประโยคฉันหนึ่งประโยคต่างพูดยกยอกัน บ้านตระกูลสยงเมื่อก่อนเป็นบ้านที่มีตระกูลหยิ่งยะโส พวกเขาคิดที่จะประจบก็ไม่มีโอกาส ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะลงมาคลุกคลีกับคนอย่างพวกเรา ตอนนี้พวกเขาจะต้องจับโอกาสนี้ไว้ให้มั่น
จ้าวอิงหนานก็ฟังอย่างร่าเริงยินดีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กับอู่เหมยนั้นยิ่งมองก็ยิ่งชอบ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน อู่เจิ้งซือนั้นกลับตรงข้าม ในใจนั้นมีความรู้สึกร้อยอย่างผสมปนเปกันไปหมด เรื่องที่จ้าวอิงหนานจะรับอู่เหมยเป็นลูกบุญธรรมนั้นเขาไม่ได้ไม่เห็นด้วย เขาก็ไม่ใช่พวกปัญญาชนคร่ำครึหัวโบราณ แน่นอนว่าเขารู้ถึงความสำคัญของเส้นสาย ถ้าได้ร่วมกับตระกูลสยงรับรองว่าจะมีแต่ประโยชน์ ชีวิตก็มีแต่ความราบรื่นไร้อุปสรรค
ที่เขาไม่ดีใจก็คือจังหวะที่จ้าวอิงหนานเสนอขึ้นมา ธารกำนัลก็กำลังจ้องมองอยู่ อีกทั้งยังเกิดขึ้นหลังจากที่อู่เหมยโดนเหอปี้อวิ๋นตบหน้าไปหนึ่งครั้งด้วย จ้าวอิงหนานพูดแบบนี้ เหมือนว่ากำลังแกล้งเขากับเหอปี้อวิ๋น ไม่ใช่เพราะเต็มใจอยากจะเชื่อมสัมพันธ์กัน แบบนี้จึงทำให้อู่เจิ้งซือไม่พอใจมาก
อีกอย่างเขายังมีความกังวลใจอีกชั้น อันที่จริงแล้วนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขายังลังเลใจ
เมื่อกี้ตอนที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันนั้น เขาเองก็พินิจพิเคราะห์อู่เหมยกับจ้าวอิงหนานอย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวั่นใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงอาการทางสีหน้า แต่ในใจนั้นร้อนเหมือนโดนแผ่นเหล็กนาบก็ไม่ปาน
ทำไมเหมยเหมยถึงได้เหมือนจ้าวอิงหนาน?
เห็นได้ว่าพวกเธอไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันเลย จะเหมือนกันได้อย่างไร?
จ้าวอิงหนานเป็นคนเมืองหลวง ผู้ชายที่คนๆ นั้นแต่งด้วยก็เป็นคนเมืองหลวง หรือว่า…
อู่เจิ้งซือปัดการคาดเดาของตัวเองทิ้งอย่างไว เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด นามสกุลของผู้ชายคนนั้นที่เธอแต่งด้วยเป็นนามสกุลของชนชั้นสูง จ้าวอิงหนานแซ่จ้าว ยังไงก็คงไม่เกี่ยวข้องกันหรอกมั้ง?
น่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรอก!
พอนึกถึงเงาร่างของคนๆ นั้นที่ทั้งสง่างามและอ่อนโยน อู่เจิ้งซือก็ยิ่งรู้สึกขมปร่าที่ปลายลิ้น ยี่สิบปีที่ไม่ได้พบกัน ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง?
…………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น