อัจฉริยะสมองเพชร 2228-2235

ตอนที่ 2228 บังอาจ!

 

จางเซวียนโมโหจนแทบสติแตก เขารู้ดีว่าราชันย์เทพเจ้าจะต้องฉีกเขาเป็นชิ้นๆแน่ถ้าทะเลสาบจันทร์กระจ่างระเบิดขึ้นมาจริงๆ


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาพยายามกระโจนขึ้นจากทะเลสาบเพื่อยับยั้งอะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้น


แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร พลังงานดุเดือดที่อยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างก็พุ่งเข้าใส่เขา สกัดกั้นบริเวณโดยรอบไว้หมด ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็พบว่าตัวเขาเคลื่อนไหวไม่ได้ ราวกับใครสักคนใช้บ่วงรัดเขาไว้ ไม่มีหนทางหลบหนีเลย


“เวรแล้ว!” จางเซวียนสบถ


เขาก็กำลังจะขึ้นจากทะเลสาบ แล้วทำไมต้องติดหนึบกับเขาราวกับแฟนเก่าที่ไม่ยอมเลิกรา?


จางเซวียนพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรนให้พ้นจากการกักขังของทะเลสาบ แต่พลังงานนั้นรุนแรงเกินกว่าที่ตัวเขาซึ่งเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำจะรับมือไหว เขารู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ใจกลางน้ำวน แค่ฝืนตัวไว้ไม่ให้หมุนติ้วก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว นับประสาอะไรกับจะว่ายหนี!


ในที่สุด พลังงานนั้นก็พุ่งเข้าโอบล้อมจางเซวียนจากทุกทิศทาง เขารู้สึกราวกับมีมือมากมายฉุดรั้งไว้อย่างแรง พยายามฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ


สำหรับตอนนี้ ต่อให้พลังปราณเทียบฟ้าก็ไร้ประโยชน์


ฉีหลิงเอ๋ออยู่ในทะเลสาบได้กว่า 3 ชั่วโมงโดยใช้กระแสพลังปราณเทียบฟ้าเพียงสายเดียว แต่นั่นก็เป็นเพราะสายเลือดของเธอสามารถระงับความรุนแรงของพลังงานในทะเลสาบได้


แต่สำหรับเขา พลังงานนั้นสำแดงแสนยานุภาพเต็มที่ราวกับพยายามกำจัดผู้บุกรุก เมื่อเจอกับความเกรี้ยวกราดเต็มพิกัดของทะเลสาบ พลังปราณเทียบฟ้าก็แทบทำอะไรไม่ได้


เลือดทะลักออกจากร่างของจางเซวียน เขาเริ่มรู้สึกมึนหัว


“เราจะตายแบบนี้จริงๆหรือ?” จางเซวียนรู้สึกอยากร้องไห้


ทะเลสาบจันทร์กระจ่างจะไม่ต้อนรับเขาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่มันหลอกล่อเขาให้ติดกับและพยายาม ทำให้เขากลายเป็นมือระเบิดพลีชีพ! ดูเหมือนเขาต้องตายเท่านั้นมันถึงจะพอใจ


แบบนี้ไม่ได้การ เราใช้หน้าหนังสือสีทองเล่นงานทะเลสาบดีไหม? จางเซวียนคิด


เขาอยากเก็บหน้าหนังสือสีทองไว้ใช้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตคงต้องเจอ แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรหากเขาต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ จางเซวียนไม่รู้จริงๆว่าจะทำอะไรได้


เขากัดฟันและกำลังจะนำหน้าหนังสือสีทองที่เพิ่งได้รับออกมาใช้ ก็พอดีกับที่เกิดความคิดหนึ่ง


ทะเลสาบจันทร์กระจ่างมีปฏิกิริยาเกี้ยวกราดกับใครก็ตามที่ไม่ได้มีสายเลือดตระกูลฉี ต่อให้เราไม่มีสายเลือดตระกูลฉี ก็ปลอมตัวได้โดยใช้เครื่องรางที่ลั่วชิงมอบให้ แล้วถ้าทำแบบนั้น จะระงับความเกรี้ยวกราดของทะเลสาบได้หรือเปล่า?


เมื่อก่อน เขาใช้เครื่องรางแห่งการปลอมตัวแปลงกายเป็นหลัวเทียนหยา และตบตาของล้ำค่าที่ทำหน้าที่ตรวจสอบสายเลือดได้ บางที คราวนี้ก็อาจได้ผล


รู้ดีว่าเวลาไม่คอยท่า จางเซวียนรีบเปลี่ยนรังสีของจิตวิญญาณและพลังปราณทันที


ในชั่วพริบตา รังสีและพลังปราณของเขาก็เปลี่ยนไปจนเหมือนกับฉีเยว่และชายวัยกลางคนที่มาเมื่อครู่ รังสีของสายเลือดตระกูลฉีแผ่ซ่านออกจากร่างของเขา


ทันทีที่ปลอมตัวเสร็จ ทะเลสาบที่กำลังเดือดพล่านก็ค่อยๆสงบลง พลังงานดุเดือดที่พุ่งเข้าเล่นงานเขาลดความรุนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนตัวตนใหม่ของเขาได้การยอมรับแล้ว


“ได้ผล…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะปาดเหงื่อที่หน้าผาก


เขาไม่แน่ใจว่าการปลอมแปลงสายเลือดจะได้ผลแค่ไหน ซึ่งก็โชคดีที่สุดท้ายมันได้ผล


ในเมื่อตอนนี้เขาปลอดภัยแล้ว ความคิดที่จะขึ้นจากทะเลสาบจันทร์กระจ่างก็ถูกสลัดออกไป


จางเซวียนตั้งต้นซึมซับพลังงานที่พุ่งออกมาจากน้ำในทะเลสาบ ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาเข้าสู่วัฏจักรของการถูกทำลายและสร้างใหม่ หมุนเวียนไปอย่างไม่รู้จบ ทำให้แข็งแกร่งและทรงพลังกว่าเดิม


“ความเร็วในการบ่มเพาะกายเนื้อของเรานี่น่าทึ่งจริงๆ!”


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาพัฒนาขึ้นในทุกลมหายใจ นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงด้วยความคาดหวัง


ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาน่าจะผลักดันกายเนื้อจนอยู่ในระดับที่เหนือชั้นกว่าเทพเจ้าสวรรค์สร้างทั่วไปได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที


ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าทำไมทะเลสาบสวรรค์สร้างถึงขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการบ่มเพาะร่างกาย


ความเสี่ยงครั้งใหญ่ของเขาได้ผลอย่างงาม แม้เขาจะเกือบตาย แต่สิ่งที่ได้ก็คุ้มค่า ไม่อย่างนั้นคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะปรับสภาพร่างกายให้แข็งแกร่งได้ขนาดนี้


เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ขั้นต้น!


เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ขั้นกลาง!


จางเซวียนสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-สูงสุดได้ในชั่วพริบตา แต่กายเนื้อของเขายังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ กล้ามเนื้อของเขาเปล่งแสงสีทองอร่ามออกมา ร่างกายทุกส่วนกระชับแน่นกว่าเดิม


แม้เขาจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่สิ่งนี้ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ แสงสีทองทำให้เขาส่งพละกำลังไปได้ทุกที่ตามแต่จะต้องการ ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้สูงกว่าเดิมมาก


…..


“พี่ชาย ฉันรับไม่ได้!”


ทันทีที่กลับถึงห้อง ฉีชุนเอ๋อขว้างกระถางดอกไม้และชุดน้ำชาที่อยู่ในห้องจนแตกกระจายเพื่อระบายความแค้น


เธอเตรียมการทุกอย่างเพื่อปิดตายชะตากรรมของฉีหลิงเอ๋อ ไม่คิดเลยว่าสิ่งนั้นจะย้อนกลับมาแว้งกัดเธอ


“อารมณ์เสียไปก็ไม่มีประโยชน์น่ะ ลงท้ายก็เป็นเพราะเธอไม่ได้รู้จักฉีหลิงเอ๋อดีอย่างที่เธอคิดว่าเธอรู้จัก จำมันไว้เป็นบทเรียนราคาแพงเถอะ และอย่าได้สบประมาทคู่ต่อสู้อีก” ฉีเยว่พูดพร้อมกับโบกมือ


เหตุผลหลักที่ทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรก็เพราะฉีชุนเอ๋อไม่อาจประเมินความสามารถของฉีหลิงเอ๋อได้อย่างถูกต้อง ถ้าเธอสืบเสาะรายละเอียดเสียก่อน ก็คงจะรู้แล้วว่าฉีหลิงเอ๋อพัฒนาตัวเองได้ก้าวหน้ากว่าเดิม และคงจะเตรียมการรับมือได้ดีกว่านี้


“ฉันรู้ ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้ว แต่มันหงุดหงิดนี่!” ฉีชุนเอ๋อร้องออกมา


เธอต้องสูดหายใจลึกหลายเฮือกกว่าจะสงบลงได้บ้าง


“ฉันโตมากับเธอ รู้ดีว่าเธอทำอะไรได้หรือไม่ได้ จะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับความปราดเปรื่องของเธอแน่ ยาเม็ดเพิ่มความงามงั้นหรือ? ฉันจะไปสืบเดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนหลอม!”


ในฐานะผู้ดูแลตลาดจันทร์กระจ่างก่อนจะถูกถ่ายโอนอำนาจให้ฉีหลิงเอ๋อ แน่นอนว่าฉีชุนเอ๋อก็ไม่ธรรมดา


“ดี สืบเรื่องบริวารที่ติดตามเธอด้วยนะ พี่จำได้ว่าเขาชื่อจางเซวียน” ฉีเยว่พูด


“พี่ชาย คุณสงสัยว่าหมอนั่นคือผู้อยู่เบื้องหลังเธอหรือ?” ฉีชุนเอ๋อถามอย่างสงสัย “แต่เขาดูธรรมดามากเลยนะ!”


ฉีเยว่ส่ายหน้า “ในแง่วรยุทธ เขาเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ด้วยเหตุนั้น จึงดูไม่ต่างอะไรกับนักรบทั่วไป แต่เขาสง่างามและสุขุมมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านหัวหน้าตระกูล แม้แต่พี่ยังรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณสั่นไหว แต่หมอนั่นสุขุมเยือกเย็นอย่างเหลือเชื่อ พี่ไม่รู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาร้อนรนหรือกระวนกระวายเลย เขาจะต้องมีอะไรมากกว่าที่พวกเราคิดแน่!”


“เอ่อ…” ได้ฟังความเห็นของพี่ชาย ฉีชุนเอ๋อนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ซึ่งหากมองจากมุมมองของพี่ชาย การแสดงออกของชายหนุ่มก็ออกจะน่าแปลกจริงๆ


“พี่พูดถูก เขาดูสุขุมเยือกเย็นเกินไปสำหรับคนที่มีพละกำลังระดับนั้น ฉัน…ฉันยังรู้สึกว่าเขาดูน่าสนใจไม่เบา!”


ฉีเยว่เลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย


“เอาเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย เรื่องพวกนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือยกระดับวรยุทธของเราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉีหลิงเอ๋อเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างแล้ว ถ้าเธอไม่พยายามเป็น 2 เท่าล่ะก็ ไม่ช้าก็คงตกกระป๋องในสายตาของหัวหน้าตระกูล”


“ฉันเข้าใจ…” ฉีชุนเอ๋อตอบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่


ขณะที่เธอกำลังจะพูดต่อ พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังจิตวิญญาณในอากาศพุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ราวกับเกิดเหตุการณ์สำคัญ


ฉีเยว่ลุกพรวดและจับทิศทางที่พลังจิตวิญญาณมุ่งหน้าไป “มันตรงไปที่ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง ไปกันเถอะ!”


เขาพรวดพราดออกจากห้องโดยไม่รอฉีชุนเอ๋อ


ที่พักของทั้งคู่อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบ เมื่อบึ่งไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด เพียงไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมาย ฉีเยว่เห็นชายหนุ่มยืนอยู่ที่ใจกลางทะเลสาบ ขณะที่ฉีหลิงเอ๋อนั่งอยู่ริมฝั่ง กำลังเหลียวซ้ายแลขวาไปมาอย่างไม่สบายใจ


“ฉีหลิงเอ๋อปล่อยให้คนนอกเข้าไปในทะเลสาบจันทร์กระจ่างจริงๆหรือนี่? คราวนี้เธอหาเรื่องใส่ตัวแล้ว!”


ฉีชุนเอ๋อมาถึงพอดี เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น


เธอกำลังหาทางสกัดดาวรุ่งฉีหลิงเอ๋อ ก็พอดีกับที่เกิดเรื่องนี้ การปล่อยให้คนนอกเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างคือการฝ่าฝืนกฎของตระกูลฉีอย่างร้ายแรง ต่อให้หัวหน้าตระกูลจะให้ความสำคัญกับฉีหลิงเอ๋อแค่ไหน แต่คราวนี้เธอต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่


ขณะที่ฉีชุนเอ๋อกำลังใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นความล่มจมของอีกฝ่าย ลมหอบใหญ่ก็พัดวู่หวิวอยู่กลางอากาศ จากนั้น หัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงอีกหลายคนก็มาถึงทะเลสาบจันทร์กระจ่าง


ทุกคนหน้าตาเคร่งเครียด


ทะเลสาบจันทร์กระจ่างคือหนึ่งในทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของตระกูลฉี แม้จะไม่มีกฎห้ามคนนอกเข้ามาในอาณาบริเวณทะเลสาบ แต่การที่คนนอกจะลงไปในทะเลสาบนั้นเป็นข้อห้ามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน


แต่คราวนี้ ไม่เพียงแต่จะมีคนนอกลงไปในทะเลสาบ ยังสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ด้วย ถึงกับทำให้ทะเลสาบเกือบระเบิด เรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้!


“เกิดอะไรขึ้น?” หัวหน้าตระกูลตวาดก้อง


เขาเพิ่งกลับที่พักได้ครู่เดียวและกำลังเตรียมจะตรวจสอบยาเม็ดเพิ่มความงาม ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงคลื่นรบกวนของพลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบ จึงรีบมาที่นี่โดยเร็ว


“ท่านหัวหน้า ฉีหลิงเอ๋อปล่อยให้คนนอกลงไปในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง!”


รู้ดีว่านี่คือโอกาสทองที่จะได้ความดีความชอบ ฉีชุนเอ๋อรีบก้าวออกมาและประสานมือเพื่อรายงาน


หัวหน้าตระกูลมองไป เห็นชายหนุ่มยืนอยู่ที่ใจกลางทะเลสาบ นัยน์ตาปิดสนิท ดูเหมือนเขากำลังพยายามปัดป้องพลังงานเกรี้ยวกราดนั้นไม่ให้ฉุดเขาลงไปในน้ำ


“บังอาจ!”


เห็นคนนอกพยายามฝึกฝนวรยุทธในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง หัวหน้าตระกูลโมโหเดือด “ฉีหลิงเอ๋อทำแบบนี้ได้อย่างไร? พวกเรา! จับเธอไว้ นำตัวไปที่แผนกลงทัณฑ์ เธอจะต้องถูกลงโทษข้อหาเปิดเผยความลับของตระกูลและรวมหัวกับคนนอก ไม่ต้องสืบสวนอะไรแล้ว ฉีหลิงเอ๋อจะถูกถอดถอนสถานภาพสมาชิกสายหลักทันที!”


เมื่อครู่นี้เองที่เขายังรู้สึกว่าเธอมีศักยภาพมาก แต่ผ่านไปเพียงแป๊บเดียว เธอก็กล้าทำเรื่องแบบนี้ รนหาที่ตายชัดๆ!


“ได้!”


ฉีชุนเอ๋ออาสาอย่างตื่นเต้นและย่างสามขุมเข้าหาฉีหลิงเอ๋อ


ฉีหลิงเอ๋อเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เธอหน้าซีดด้วยความพรั่นพรึง


จากนั้นก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น


“ฮ่าฮ่าฮ่า! หลิงเอ๋อ ไม่นึกเลยว่าคุณจะอยากตายเสียจนวางแผนให้ตัวเองล่มจมด้วยวิธีการน่าทึ่งแบบนี้!”


ฉีชุนเอ๋อกำลังคิดว่าจะเอาคืนฉีหลิงเอ๋ออย่างไร ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องแบบนี้?



 

 

 


ตอนที่ 2229 จอมราชันย์!

 

เธอหัวเราะหึๆอย่างสาแก่ใจ จากนั้นก็เตรียมจะเล่นงาน ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า


ฉีชุนเอ๋อเงยหน้า เห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งค่อยๆร่อนลงสู่พื้น รังสีของเขาทรงพลังเสียจนทำให้มิติโดยรอบสั่นสะท้าน


ผู้อาวุโสมีเคราขาวโพลน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่าย แต่สายตาคมกริบและทรงอำนาจของเขาที่จับจ้องทุกอย่างรอบตัวก็ทำให้เขาดูมีอำนาจเหนือกว่าหัวหน้าตระกูลเสียอีก


“คารวะบรรพบุรุษเก่าแก่!” ฉีชุนเอ๋อรีบลุกเข่าและแสดงการคารวะ ส่วนคนอื่นๆรวมทั้งหัวหน้าตระกูลก็รีบทำแบบเดียวกัน


ผู้อาวุโสไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้ที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลฉี, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ, ฉีเหมิง!


“เกิดอะไรขึ้น?” สายตาของฉีเหมิงจับจ้องฉีชุนเอ๋อขณะตั้งคำถาม


“บรรพบุรุษเก่าแก่…มีคนนอกลักลอบเข้ามาใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างของเรา ฉันกำลังจะจับตัวเขา” ฉีชุนเอ๋อรีบตอบ


ถ้าแม้แต่บรรพบุรุษเก่าแก่ยังเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉีหลิงเอ๋อต้องจบเห่แน่ ไม่มีใครช่วยเธอได้


“คนนอก?”


ฉีเหมิงหันไปมองทะเลสาบ เขาหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ จากนั้นก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่าและพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติฉีเหมิงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนขอคารวะ…”


“…จอมราชันย์!”


ทะเลสาบถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาที่ก่อตัวขึ้นจากพลังจิตวิญญาณเข้มข้น จึงไม่อาจมองเห็นหน้าตาหรือรูปร่างของร่างนั้นได้ชัดเจน แต่ฉีเหมิงก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา


มันเป็นความรู้สึกหนักหน่วงรุนแรงที่เขาไม่อาจกำจัดมันออกไปได้ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน


นั่นคือพละกำลังของจอมราชันย์


ผู้ที่ทำให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอย่างเขารู้สึกแบบนี้ได้ก็มีแต่จอมราชันย์เท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจผิด


ฉีเหมิงไม่รู้ว่าในบรรดาสิบจอมราชันย์ เป็นจอมราชันย์คนไหนที่อยู่ในทะเลสาบ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือถ้าตระกูลฉีอยากอยู่ในโลกนี้ต่อไป ก็ย่อมดีที่สุดหากจะไม่มีปัญหากับอีกฝ่าย


เขาจึงทรุดตัวลงคุกเข่าโดยไม่ลังเล


“จอมราชันย์?”


คำพูดนั้นไม่ดังนัก แต่ก้องอยู่ในหูของผู้ที่อยู่บริเวณนั้นราวกับพายุ หัวหน้าตระกูลฉีกับเหล่าผู้อาวุโสพากันก้มหน้างุดด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า


ตระกูลฉีอาจเป็นกลุ่มอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน แต่ก็เทียบชั้นไม่ได้กับจอมราชันย์ ลำพังการใช้ความคิดเพียงแวบเดียวของจอมราชันย์ก็มากเกินพอจะกำจัดพวกเขาให้หายไปจากประวัติศาสตร์ของโลกแล้ว


พวกเขาอยู่กันคนละชั้น!


ฉีชุนเอ๋อรับมือกับความตกใจไม่ไหว เธอเข่าอ่อนและทรุดฮวบลงกับพื้น


เธอคิดว่าตัวเองสบโอกาสในการกำจัดฉีหลิงเอ๋ออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าผู้ที่เข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างคือจอมราชันย์ตัวเป็นๆ?


ขนาดราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ยังไม่กล้ามีปากมีเสียงเมื่ออยู่ต่อหน้าจอมราชันย์ อันที่จริง เป็นเกียรติของตระกูลฉีด้วยซ้ำที่จอมราชันย์ปรากฏตัวที่นี่


ฉีชุนเอ๋อแทบไม่เชื่อสายตา เธอแอบมองทะเลสาบ แม้มีม่านหมอกหนาของพลังจิตวิญญาณบดบัง แต่ก็พอเห็นร่างที่อยู่ในน้ำได้รางๆ


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน!


เขาเป็นจอมราชันย์หรือ?


ฉีชุนเอ๋อตาโตด้วยความพรั่นพรึง หัวใจเต้นรัวจนแทบหายใจไม่ทัน


เมื่อครู่นี้เองที่เธอเพิ่งพูดว่าอีกฝ่ายดูแสนจะธรรมดา! ถ้าอย่างเขาเรียกว่าธรรมดา แล้วอย่างเธอเรียกว่าอะไร?


ทำไมฉีหลิงเอ๋อที่ถูกเตะโด่งไปถึงเมืองตะวันรอนอันแสนห่างไกลถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับจอมราชันย์ได้? แถมยังเชิญจอมราชันย์ให้มาเป็นเกียรติกับตระกูลฉีได้ด้วย!


จอมราชันย์?


ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงจนพูดไม่ออก จางเซวียนที่กำลังฝึกฝนวรยุทธอยู่ที่ใจกลางทะเลสาบก็จังงังกับสิ่งที่ได้ยิน


อีกฝ่ายจำคนผิดหรือเปล่า?


ผู้อาวุโสที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่นี้มีความกลมกลืนกับสรวงสวรรค์ แรงกดดันที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาทรงพลังเสียจนตัวเขาแทบไม่อาจเผชิญหน้าตรงๆได้


แล้วคนระดับนั้นเรียกตัวเขาว่า ‘จอมราชันย์’…


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติสายตาไม่ค่อยดี หรือว่าอย่างไร?


แต่นี่ก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันนี้ จางเซวียนจึงลดเสียงให้ต่ำลงและพูดว่า “ผมไม่ชอบให้ใครรบกวน”


ความเข้าใจผิดครั้งนี้ส่งผลดีอย่างใหญ่หลวง อย่างน้อยที่สุด เขาก็จะไม่ถูกเฉ่งที่แอบเข้ามาใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง


ไม่อย่างนั้น ด้วยวรยุทธของเขาที่มีจำกัด ก็คงทำได้แค่ใช้หน้าหนังสือสีทองเล่นงานราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่อยู่ตรงหน้าเขาให้ตาย


ได้ยินความประสงค์ของจอมราชันย์ บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงรีบส่งสัญญาณให้ฝูงชนที่รุมล้อมอยู่สลายตัว และด้วยความที่เกรงว่าสมาชิกคนอื่นๆในตระกูลอาจรุกล้ำอาณาเขตและรบกวนจอมราชันย์ เขาจึงลงมือติดตั้งค่ายกลเพื่อปิดกั้นบริเวณนั้นจากพื้นที่โดยรอบด้วย


“ฉัน…” ฉีหลิงเอ๋อทำอะไรไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ด้วยว่าควรทำอย่างไร


ถึงเธอจะปล่อยให้นายน้อยจางลงไปในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง แต่ก็คาดว่าเขาน่าจะรีบออกมาเมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจฝึกฝนวรยุทธในนั้น ไม่คิดเลยว่าจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจของทั้งหัวหน้าตระกูลและบรรพบุรุษเก่าแก่


ตอนที่พวกเขาปรากฏตัว ฉีหลิงเอ๋อคิดว่าทุกอย่างคงจบเห่แล้ว แต่สถานการณ์ก็พลิกผันในชั่วพริบตา!


จอมราชันย์…


ที่ผ่านมา เธอคิดว่าจางเซวียนแค่มีสายเลือดจอมราชันย์ ใครจะไปรู้ว่าตัวเขาคือจอมราชันย์เสียเอง?


แล้วที่เธอทำธุรกิจกับเขาและพยายามหาประโยชน์จากเขาล่ะ…


ฉีหลิงเอ๋อตัวสั่นไม่หยุด อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวเธอยังสติดีอยู่หรือเปล่า


“ออกมา! อย่ารบกวนความสงบของจอมราชันย์!” ฉีเหมิงสั่งการพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ได้!”


ได้ยินคำสั่งของบรรพบุรุษเก่าแก่ ฉีหลิงเอ๋อรีบเดินออกจากอาณาบริเวณของทะเลสาบจันทร์กระจ่าง


ทั้งกลุ่มตามฉีเหมิงไปจนถึงห้องโถงใหญ่ เขารีบติดตั้งค่ายกลมากมาย จากนั้นก็มองหน้าทุกคน “อธิบายมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”


เขางงสุดขีดที่เห็นจอมราชันย์ยืนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง


“เรื่องเป็นอย่างนี้…”


หัวหน้าตระกูลก้าวออกมาและอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉีหลิงเอ๋อ


“คุณคือผู้พาเขามาที่นี่หรือ?” ฉีเหมิงหันมาถามฉีหลิงเอ๋อ


“บรรพบุรุษเก่าแก่, ฉันรู้แค่ว่าเขามีสายเลือดจอมราชันย์ ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเขาคือจอมราชันย์” ฉีหลิงเอ๋อตอบอย่างเคร่งเครียด


“เขามีสายเลือดจอมราชันย์?”


ฝูงชนถึงกับชะงักกับข่าวนั้น


หัวหน้าตระกูลหันมามองฉีหลิงเอ๋อ ส่งสัญญาณให้เธออธิบายต่อ


ฉีหลิงเอ๋อรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่สระบาดาล


“จอมราชันย์น่ะปรับเปลี่ยนรูปร่างของพวกเขาได้ตามใจ” ฉีเหมิงพูดพร้อมกับพยักหน้า “พวกเขามักปกปิดวรยุทธของตัวเองไว้เพื่อสัมผัสชีวิตแบบคนธรรมดาสามัญ…ผมรู้มาว่าครั้งหนึ่งจอมราชันย์ของน่านฟ้าเสรีกดข่มวรยุทธของตัวเองไว้เพื่อลงไปเยี่ยมเยียนโลกเบื้องล่าง”


“ความสามารถของคุณในการมองเห็นการปลอมตัวของเขา, ประเมินสถานการณ์ได้แม่นยำ และจัดการทุกอย่างได้อย่างเหมาะสมนั้นถือว่าไม่เลวเลย ผมเห็นแล้วว่าคุณคือผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่ง นับจากวันนี้ไป ผมจะให้ฉีเฉี่ยวไว้วางใจคุณให้ทำงานสำคัญ และมอบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่ดีที่สุดให้คุณด้วย ในฐานะผู้ที่ได้ทำงานร่วมกับจอมราชันย์ ตัวตนของคุณจะดูกระจอกเกินไปก็ย่อมไม่เหมาะสม”


ฉีเฉี่ยวคือชื่อของหัวหน้าตะกูล


“ขอบคุณมาก บรรพบุรุษเก่าแก่!” ฉีหลิงเอ๋อโค้งคำนับอย่างงาม เธอดีใจจนตัวลอย ราวกับความฝันทั้งหมดได้กลายเป็นความจริง แทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับตัวเธอได้


“ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงเข้าใจว่าอะไรควรหรือไม่ควรพูด สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของจอมราชันย์ถือเป็นข้อห้ามของสรวงสวรรค์ ถ้าผมรู้ว่าใครปากโป้ง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่าได้หวังว่าผมจะปรานี!” ฉีเหมิงกำชับ


“ขอรับ!”


ฝูงชนผงะไปเล็กน้อยกับคำขู่ของฉีเหมิง


ฉีชุนเอ๋อที่ยืนอยู่หลังห้องพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ


ถ้าเธอรู้ว่าชายหนุ่มมีตัวตนที่น่าทึ่งแบบนี้ จะไม่มีวันพูดอะไรพล่อยๆ แต่ในเมื่อทำไปแล้ว ต่อให้ตระกูลฉีไม่ลงโทษเธอ แต่เธอก็จะหมดความสำคัญลงไปเรื่อยๆในสายตาของหัวหน้าตระกูล


ต่อให้พี่ชายของเธอก็ช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะระหว่างจอมราชันย์กับราชันย์เทพเจ้า ต่อให้โง่เง่าแค่ไหนก็รู้ว่าควรเข้าข้างใคร


“ช่างมันเถอะ!”


จางเซวียนทั้งสับสนและอัศจรรย์ใจ แต่ก็ไม่อยากใส่ใจให้มากนัก จึงหลับตาและฝึกฝนวรยุทธต่อไป


กระแสพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา ก่อเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


ครู่ต่อมา วรยุทธของเขาก็หยุดชะงัก จางเซวียนพบว่าไม่อาจยกระดับวรยุทธของกายเนื้อให้สูงกว่านี้ได้อีก


“เทพเจ้าสวรรค์สร้าง-สูงสุด…”


เมื่อรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของกายเนื้อที่ได้รับการบ่มเพาะ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เขาเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างโดยหวังว่าจะสามารถยกระดับวรยุทธของกายเนื้อไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางเป็นอย่างน้อย ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายก็ทำได้ถึงระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง อันที่จริง อีกไม่ไกล เขาก็จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้า


ส่วนสภาพร่างกายในเวลานี้ของเขา หากต้องต่อสู้ในระยะประชิด ก็เหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ทุกคนที่มีวรยุทธต่ำกว่าราชันย์เทพเจ้า ซึ่งนั่นหมายความว่าในที่สุดเขาก็ได้เป็นหนึ่งในชนชั้นนำของสรวงสวรรค์แล้ว


ถึงตอนนี้ พลังงานในทะเลสาบจันทร์กระจ่างก็ดูจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเขาอีก ไม่ว่าจะซึมซับพลังงานมากแค่ไหน ก็ไม่เกิดความแตกต่างใดๆกับร่างกาย


“ว่าแต่…เส้นสายสีทองพวกนั้นคืออะไร?” จางเซวียนพึมพำด้วยความสงสัยขณะตรวจสอบสภาวะภายในร่างกาย


ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เส้นสายสีทองบอบบางจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ภายในกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายของเขา พวกมันดูเหมือนจะไม่มีพลังพิเศษใดๆ แต่ก็แข็งแกร่งทนทานมาก เปี่ยมด้วยความกระชุ่มกระชวยและพลังชีวิตเหลือเฟือ


จางเซวียนรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาของการศึกษาความเปลี่ยนแปลงในตัว จึงกระโจนขึ้นจากทะเลสาบ


เขาใช้พลังปราณกำจัดน้ำออกจากเสื้อผ้าที่เฉอะแฉะได้ในชั่วพริบตา และเมื่อหันกลับไปมองทะเลสาบที่อยู่ด้านหลัง ก็เห็นว่าผิวหน้าของน้ำในทะเลสาบที่เคยเดือดเป็นฟองฟอดกลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิม



 

 

 


ตอนที่ 2230 คารวะจอมราชันย์!

 

ครู่ต่อมา ผิวน้ำก็กระเพื่อม ไก่เหลืองตัวจ้อยว่ายเตาะแตะเข้าฝั่ง


“แกก็ยังสบายดีนี่” จางเซวียนพึมพำ


เขารู้ว่าไก่น้อยฟื้นคืนชีพจากเถ้าถ่านได้ก็เมื่อครั้งล่าสุดที่มันถูกตัวโคลนของปรมาจารย์ขงสังหาร จึงไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ที่เห็นไก่น้อยยังมีชีวิตและกระฉับกระเฉงอยู่


“วรยุทธของแก…”


จางเซวียนอ้าปากค้างขณะจับจ้องไก่น้อยที่กำลังว่ายเข้ามา


เมื่อครู่ก่อน ไก่น้อยยังมีวรยุทธแค่ระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ แต่ตอนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงรังสีของเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่แผ่ออกจากตัวมัน ความตายของมันในทะเลสาบจันทร์กระจ่างเมื่อครู่นี้ทำให้มันพัฒนาตัวเองจนเทียบชั้นกับเขาได้ กลายเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง!


เขาต้องลำบากลำบนและเสี่ยงตายเพื่อให้ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ไก่น้อยทำได้ด้วยการยอมตายเพียงครั้งเดียว…


บ้าจริง! น่าหงุดหงิดเหลือเกินที่แพ้ไก่ตัวหนึ่งด้วยวิธีแบบนี้!


“ผมจะพักสักหน่อยนะ” ไก่น้อยที่ดูอ่อนล้าพึมพำอย่างอ่อนแรงก่อนจะมุดเข้าไปในจุดตันเถียนของเขา


“นอนเถอะ” จางเซวียนตอบ


เป็นธรรมดาที่ไก่น้อยจะเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนจึงไม่ใส่ใจ เขามองห้องโถงใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างออกไปด้วยสีหน้าที่อธิบายยาก


หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ออกเดิน


จางเซวียนไม่รู้ว่าทำไมราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติถึงเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนอื่น แต่ไม่ช้าก็ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแน่


จางเซวียนเดินออกจากฉนวนที่ปิดกั้นทะเลสาบจันทร์กระจ่างไว้ เพียงครู่เดียว บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงกับหัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวที่ดูเหมือนจะรอเขาอยู่ข้างนอกก็รี่เข้ามาทักทาย


“คารวะจอมราชันย์!”


บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงคุกเข่าและโค้งคำนับอย่างมีพิธีรีตอง ก่อนจะลอบสังเกตชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่เห็นทำให้เขาพยักหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ


เมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดันมหาศาลของสายเลือดจอมราชันย์ที่แผ่ออกมาจากทะเลสาบ แต่ในเวลานี้ แรงกดดันนั้นหายวับไปอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาดูไม่ต่างอะไรกับนักรบธรรมดาสามัญ ถึงขนาดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายคือจอมราชันย์


สมแล้วที่เป็นจอมราชันย์


ชายหนุ่มควบคุมพละกำลังของเขาได้ดีเยี่ยมจนไม่มีใครมองทะลุการปลอมตัวของเขาได้


“ผมใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างของพวกคุณ เพราะฉะนั้นก็จะมอบคำชี้แนะบางส่วนให้เป็นการชดเชย”


จางเซวียนดีใจที่เห็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยังคงเข้าใจผิด เขาแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก


ถึงเขาจะไม่ได้ทำให้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างเสียหาย แต่ก็สูบพลังงานของมันไปเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธ ในฐานะปรมาจารย์ คงไม่ถูกต้องหากเขาจะเดินจากมาโดยไม่มอบสิ่งใดให้เป็นการตอบแทน


“คือ…”


ความคิดแรกของฉีเหมิงคืออยากปฏิเสธข้อเสนอของจอมราชันย์ เพราะเพียงเท่านี้ก็เป็นโอกาสที่ประเมินค่ามิได้สำหรับพวกเขาแล้วที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่าย


แต่เมื่อเกิดความคิดที่สอง เขาก็รู้ทันทีว่าจอมราชันย์คงไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นหนี้บุญคุณใคร จึงเปลี่ยนใจและหันไปพูดกับหัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยว “สำแดงทักษะของคุณให้จอมราชันย์ดูสิ”


เมื่อได้ยินว่าบรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงกำลังมอบโอกาสล้ำค่าให้เขา หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น


เขาสำแดงเทคนิคการต่อสู้ที่ใช้เป็นบททดสอบเมื่อครู่ก่อน ซึ่งตัวเขาก็เพิ่งเข้าถึงหัวใจของเทคนิคนี้ตอนที่ฉีหลิงเอ๋อสำแดงมันให้เขาดู


ในตอนนั้นเองที่ฉีเฉี่ยวเพิ่งรู้ว่าทำไมเทคนิคการต่อสู้ที่ฉีหลิงเอ๋อสำแดงออกมาถึงปราศจากข้อบกพร่องอย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่ออกจากมือของราชันย์เทพเจ้าจะมีข้อบกพร่องได้อย่างไร?


“วรยุทธของคุณไม่มีปัญหาใหญ่ๆนะ ติดอยู่เรื่องเดียวคือความบอบช้ำภายใน มันสกัดกั้นพละกำลังของคุณไว้ ทำให้คุณไม่อาจก้าวหน้าไปได้ไกลกว่านี้”


จางเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าทว่าทรงอำนาจ


เขามองเห็นข้อบกพร่องต่างๆของราชันย์เทพเจ้าโดยใช้หอสมุดเทียบฟ้า


จางเซวียนอธิบายรายละเอียดของอาการบอบช้ำภายในที่ฉีเฉี่ยวกำลังเผชิญอยู่และให้คำชี้แนะทั่วๆไปกับอีกฝ่ายเพื่อจะได้พัฒนาตัวเองต่อไป ด้วยวิธีนี้ เขาจะได้ชดเชยให้ตระกูลฉีสำหรับการที่ตัวเขาเข้าไปใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง


“ผมหมดธุระที่นี่แล้ว ขอตัวก่อน”


เมื่อจางเซวียนพูดจบ ก็หันหลังกลับและเดินออกจากห้องโถงใหญ่


“ฉีหลิงเอ๋อ ไปส่งจอมราชันย์!” บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงรีบสั่งการ


ฉีหลิงเอ๋อลุกขึ้นทันทีและเดินตามจางเซวียนไปราวกับเป็นบริวารคนหนึ่ง


เมื่อจางเซวียนออกไปแล้ว บรรยากาศในห้องนั้นก็ดูจะเบาลงทันที ทุกคนถอนหายใจเฮือกใหญ่โดยไม่รู้ตัว


เกิดความเงียบงันครู่หนึ่งขณะที่พวกเขาพยายามปรับสภาพจิตให้กลับสู่สภาวะเดิม หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวหันไปถามบรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงด้วยความสงสัย “บรรพบุรุษเก่าแก่ สิ่งที่จอมราชันย์พูดคือข้อบกพร่องในวรยุทธของผม เขาไม่ได้ชี้แนะผมเลยว่าควรทำอย่างไร…”


คำพูดของจอมราชันย์ทำให้เขามีความเข้าใจลึกซึ้งกว่าเดิมในปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าจะแก้ไขมันด้วยวิธีไหน


บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงพึมพำ “นี่คือบททดสอบจากจอมราชันย์ เขาชี้ให้คุณเห็นข้อบกพร่อง เพื่อที่คุณจะได้หมั่นเพียรฝึกฝนและหาวิธีแก้ไขมัน หากเขาช่วยคุณแก้ไขข้อบกพร่องด้วย นั่นจะไม่ทำให้คุณกลายเป็นศิษย์สายตรงของเขาหรือ? คุณคิดว่าตัวคุณเก่งกาจพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงของจอมราชันย์หรือไง?”


“มะ-ไม่ใช่แน่! ผมไม่บังอาจขนาดนั้น…” หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลังขณะรีบโบกมือ


“อือ” บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงพยักหน้าก่อนจะเงียบไป


คำแนะนำที่ชายหนุ่มมอบให้ฉีเฉี่ยวกำจัดความสงสัยแคลงใจของเขาออกไปจนหมดสิ้น


มีแต่สายตาเฉียบแหลมของจอมราชันย์เท่านั้นที่จะมองเห็นข้อบกพร่องที่แม้แต่ตัวเขายังมองข้าม


“บรรพบุรุษเก่าแก่ ไม่ทราบว่าเขาคือจอมราชันย์คนไหนใน 10 จอมราชันย์?” หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวถามด้วยความอยากรู้


“ผมมีโอกาสได้พบจอมราชันย์อยู่ 2-3 คน จึงพอเดาได้ว่าจอมราชันย์ผู้นั้นเป็นใคร ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะเป็น…”


“…เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!”


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวหรี่ตา “คุณกำลังพูดถึง…”


“ใช่ ผมหมายถึงคนนั้นแหละ แต่ช่างมันเถอะ…การจะหยั่งถึงเรื่องราวของเหล่าจอมราชันย์นั้นอยู่เหนือความสามารถของพวกเรา แค่ได้รู้ก็ถือว่าดีแล้ว แต่อย่าเผลอพูดไปล่ะ ไม่อย่างนั้นทั้งตระกูลของเราจะตกที่นั่งลำบาก” บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงแนะ


“ผมเข้าใจ” หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวรีบตอบรับ


“พวกคุณไปได้แล้ว”


ฝูงชนพากันเดินออกจากห้องโถงใหญ่อย่างนอบน้อมก่อนจะแยกย้ายกันไป


จางเซวียนบินกลับที่พักและกลับเข้าห้อง จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกที่ปัญหาทุกอย่างถูกปลดเปลื้องไป


เฉียดฉิวเหลือเกิน


เขาคิดว่าจะบ่มเพาะกายเนื้ออย่างเงียบๆ ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่จนแม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติฉีเหมิงก็ยังออกมา


ว่าแต่…ทำไมบรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงถึงคิดว่าเราเป็นจอมราชันย์?


ยากที่จะเชื่อว่าราชันย์เจ้าผู้ทรงเกียรติจะเข้าใจผิดเป็นตุเป็นตะในเรื่องสำคัญแบบนี้ ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเลย!


แต่ก็แน่นอนว่าเขาไม่อาจถามบรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงได้


ก็เพราะเรื่องนี้ที่ทำให้จางเซวียนไม่กล้าถามอีกฝ่ายเรื่องเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แม้จะแน่ใจว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอย่างฉีเหมิงจะต้องรู้เรื่องนี้


จางเซวียนรู้ดีว่าตัวตนของ ‘จอมราชันย์’ ที่เขาถูกอุปโลกน์ให้เป็นจะต้องพังพินาศหากเขาถามคำถามแบบนั้น พูดไปก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายสงสัย


ช่างมันเถอะ ต่อให้เราหาข่าวที่ต้องการไม่ได้ แต่อย่างน้อยการเดินทางครั้งนี้ก็ได้ผลตอบแทนอย่างงาม เราได้บ่มเพาะกายเนื้อ และฉีหลิงเอ๋อก็ได้เปลี่ยนแปลงสถานภาพของเธอในตระกูลฉี ด้วยตำแหน่งใหม่ คราวนี้เธอคงเสาะหาข้อมูลที่จำเป็นได้สบาย จางเซวียนคิดพร้อมกับยิ้มออกมา


วรยุทธของพลังปราณของเขายังเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แต่การบ่มเพาะจากทะเลสาบจันทร์กระจ่างทำให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอาวุธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่ทนทานที่สุด หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้เขาปล่อยให้นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงโจมตีตามสบาย อีกฝ่ายก็ไม่น่าทำให้เขาบาดเจ็บได้


แถมยังมีพลังชีวิตจากเส้นสายสีทองในกล้ามเนื้อของเขา จางเซวียนรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บต่างๆน่าจะได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว


เพื่อทำการทดสอบ เขาชักดาบออกมาฟันแขนตัวเอง


เพล้งงงง!


ดาบนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ไม่มีร่องรอยบนแขนของเขาแม้แต่น้อย


คงต้องใช้อาวุธระดับราชันย์เทพเจ้าเป็นอย่างต่ำถึงจะทำให้เราบาดเจ็บได้…


จางเซวียนอยากทำให้ตัวเองบาดเจ็บอีกหน่อยเพื่อทดสอบว่าสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ถูกต้องหรือเปล่า แต่ไม่มีอาวุธที่จะทำแบบนั้นได้


ช่างยุ่งยากเสียจริง!


แต่นั่นแหละ คงถึงเวลาที่เราต้องหาอาวุธที่มีคุณภาพดีกว่าเดิมเสียที


เพราะเขายกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว ความจำเป็นในการเปลี่ยนอาวุธที่ใช้จึงมีมากขึ้น แต่โดยทั่วไป อาวุธก็ถือเป็นข้าวของที่ต้องซื้อหาด้วยราคาแพง แถมของล้ำค่าระดับราชันย์เทพเจ้าก็ไม่ได้มีวางขายทั่วไปตามท้องตลาด


ไม่เป็นไร วรยุทธของเราต้องมาก่อน ในเมื่อเราบ่มเพาะกายเนื้อได้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือวรยุทธของจิตวิญญาณ


ในท้ายที่สุด การมีอาวุธที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องดี แต่ที่สำคัญกว่าคือวรยุทธของตัวเขาเอง


ถ้าเขาได้เป็นราชันย์เทพเจ้า ก็คงมีสิทธิ์มีเสียงขึ้นมากในสรวงสวรรค์ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตามหาหลัวลั่วชิง เขาอาจทำได้แม้กระทั่งพูดจากับปรมาจารย์ขงอย่างคนเสมอภาคกัน


เมื่อใช้ความคิดเสร็จสิ้น จางเซวียนเดินออกจากห้อง พบนายพลเกราะเงิน, จัวเฟิง รออยู่ข้างนอก


อีกฝ่ายรีบเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย “ปรมาจารย์จาง ต้องขออภัยด้วย ผมพยายามขอร้องตระกูลฉีแล้ว แต่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างไม่เปิดให้คนนอกเข้าใช้ เกรงว่าจะไม่มีวิธีอื่น…”


“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ แต่ไม่ต้องแล้วล่ะ” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


จัวเฟิงหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจเพราะคิดว่าจางเซวียนพูดแบบนั้นเพื่อปลอบเขา


 


เขาเป็นคนบอกจางเซวียนเรื่องทะเลสาบจันทร์กระจ่าง และพยายามใช้เส้นสายทุกวิถีทางเพื่อหาโอกาสให้อีกฝ่ายได้เข้าไป จะได้ชดใช้บุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตลูกชาย แต่ถึงจะพยายามเต็มที่ ตระกูลฉีก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ



 

 

 


ตอนที่ 2231 วิธีการพิเศษ

 

“ปรมาจารย์จาง คุณช่างมีจิตใจดีเหลือเกิน คุณทำเพื่อครอบครัวของผมมากมาย แต่แม้เรื่องง่ายๆเท่านี้ผมก็ยังช่วยเหลือคุณไม่ได้ ผมอับอายในความไร้ประสิทธิภาพของผมเหลือเกิน…” จัวเฟิงก้มหน้างุด


เขาสะบัดข้อมือแล้วนำขวดหยกใบหนึ่งออกมายื่นให้ “นี่คือยาเม็ดบ่มเพาะร่างกายที่ผมเตรียมไว้ให้คุณ ถึงประสิทธิภาพของมันจะอ่อนด้อยกว่าทะเลสาบจันทร์กระจ่าง แต่ผมเชื่อว่ามันน่าจะช่วยคุณได้…”


“ไม่ต้องใช้แล้ว!” จางเซวียนหัวเราะหึๆ “บอกคุณตามตรงก็แล้วกัน ผมเพิ่งไปทะเลสาบจันทร์กระจ่างมาและฝึกฝนวรยุทธที่นั่นเรียบร้อยแล้ว”


“คุณไปทะเลสาบจันทร์กระจ่างมา?” จัวเฟิงถึงกับผงะ


ตลอด 2-3 ชั่วโมงก่อน เขาพบปะผู้คนจำนวนไม่น้อย และถึงกับขอร้องผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลฉีที่เขาสนิทสนมด้วย ซึ่งตามที่อีกฝ่ายพูด ทะเลสาบจันทร์กระจ่างมีอานุภาพรุนแรงถึงขนาดสามารถสังหารทุกคนที่ไม่ได้เป็นทายาทตระกูลฉีได้ในชั่วอึดใจ


อีกอย่าง ตระกูลฉีต้องจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อสร้างทะเลสาบจันทร์กระจ่างขึ้นมา จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะอนุญาตให้คนนอกได้ใช้ความพิเศษนั้น


แต่ชายหนุ่มบอกว่าเพิ่งไปที่นั่น แถมฝึกฝนวรยุทธจนเสร็จสิ้นแล้ว…


เอาจริงๆสิ?


ชายหนุ่มเพิ่งรู้เรื่องทะเลสาบจันทร์กระจ่างจากเขา แถมเพิ่งมาถึงเมืองหลวงและยังไม่รู้จักใคร ใช่ไหม?


“ถ้าคุณไม่เชื่อผม ใช้พละกำลังเต็มพิกัดของคุณแทงผมเลยก็ได้” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


จัวเฟิงผงะไปอีกรอบกับคำพูดนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของชายหนุ่ม ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น จึงชักดาบออกมาและจ้วงแทงจางเซวียนเต็มแรง


เขาทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเพื่อการโจมตีครั้งนี้ ดาบที่ห่อหุ้มด้วยกระแสดาบฉีแทงฉึกเข้าที่แขนของจางเซวียนอย่างจัง


เพล้งงงง!


แต่แล้ว ดาบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางในมือของจัวเฟิงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่ร่างของชายหนุ่มแทบไม่มีบาดแผลใดๆ


“ฮะ…” จัวเฟิงอ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึง


เพิ่ง 2-3 ชั่วโมงก่อนนี่เองที่ปรมาจารย์จางได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ผ่านไปไม่นาน ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะหาทางเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ ยังบ่มเพาะกายเนื้อจนแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ด้วย


รวดเร็วจนน่าสะพรึง…เขาเป็นปีศาจหรือเปล่า?


อีกอย่าง ต่อให้นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงก็ไม่อาจมีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงขนาดทำลายของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางให้แตกเป็นเสี่ยงๆได้


“น่าเสียดาย…”


เมื่อเห็นว่าอาวุธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางก็ทำไม่ได้แม้แต่จะทิ้งรอยขีดข่วน จางเซวียนส่ายหน้า


กับอีแค่ทำให้ตัวเขาบาดเจ็บและทดสอบประสิทธิภาพของเส้นสายสีทองในกล้ามเนื้อ ทำไมมันถึงยากเย็นนัก? ไม่แปลกใจแล้วที่ใครๆพูดกันว่าการเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก!


จางเซวียนส่ายหัวและเปลี่ยนเรื่อง “คุณรู้ไหมว่าผมจะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วได้ที่ไหน?”


จัวเฟิงให้ข้อมูลที่แม่นยำเรื่องสถานที่ที่เขาสามารถใช้บ่มเพาะกายเนื้อ เพราะฉะนั้น ก็น่าจะมีคำแนะนำที่ดีสำหรับการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ


จางเซวียนจำเป็นต้องยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณก่อนจะยกระดับวรยุทธของพลังปราณ


“ผมไม่รู้ละเอียดว่าน่านฟ้าอื่นๆทำอย่างไร แต่สำหรับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน วิธีเดียวที่จะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้คือใช้สระบาดาล” จัวเฟิงตอบ


“สระบาดาล? คุณหมายถึงสถานที่ที่จิตปรารถนารวมตัวกันใช่ไหม?”


“ใช่ จิตปรารถนาช่วยบ่มเพาะจิตวิญญาณของคนตายและทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ ซึ่งใช้กับจิตวิญญาณของผู้ที่ยังมีชีวิตได้เช่นกัน นักรบส่วนใหญ่อาศัยสระบาดาลเพื่อยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของพวกเขา…มีเรื่องหนึ่งนะ จอมราชันย์ของเราเพิ่งพบจิตวิญญาณทรงพลังดวงหนึ่งในสระบาดาลและนำจิตวิญญาณดวงนั้นไปบ่มเพาะ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน จิตวิญญาณดวงนั้นก็มีวรยุทธเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า!” จัวเฟิงเปิดเผยข่าวที่เขารู้มา


“จิตวิญญาณดวงนั้นมีวรยุทธเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้าภายในไม่ถึง 1 เดือน?” จางเซวียนอึ้ง


เขามาถึงสรวงสวรรค์ได้เกือบ 1 เดือนแล้ว แต่เพิ่งได้เป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำเท่านั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีใครคนหนึ่งก้าวหน้าได้เร็วกว่าเขา…


สรวงสวรรค์มีผู้เชี่ยวชาญซ่อนตัวอยู่มากมาย!


“ผมรู้มาว่าจิตวิญญาณดวงนั้นไม่ได้เป็นเทพเจ้าตั้งแต่ต้น เป็นแค่เศษเสี้ยวของจิตวิญญาณดวงหนึ่งจากโลกเบื้องล่างเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ก็ได้การยอมรับจากสระบาดาล การดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาตัวรอดทำให้จิตวิญญาณดวงนั้นดูดกลืนจิตปรารถนาที่อยู่รอบตัวเข้าไป ซึ่งสิ่งนั้นทำให้จอมราชันย์เกิดความสนใจขึ้นมา เท่าที่ผมรู้ ดูเหมือนตอนนี้จอมราชันย์ของเรากำลังพยายามหลอมกายเนื้อให้!”


“จิตวิญญาณดวงนั้นมาจากโลกเบื้องล่าง?” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับกำหมัดแน่นขณะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


หรือว่าจะเป็นฉีฉี?


ตามที่หลัวชวนฉิงบอก หลัวฉีฉีคือจิตวิญญาณที่อยู่ในเครื่องเก็บงำมิติ ซึ่งหลังจากฝ่าปราการของมิติออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ เธอก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย


จางเซวียนได้สั่งการให้ 6 สำนักใหญ่ของมิติเบื้องบนตามหาเธอ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ ตอนนั้นเองที่เขาสงสัยว่าหลัวฉีฉีอาจมาที่สรวงสวรรค์


แถมจิตวิญญาณดวงนั้นก็เพิ่งปรากฏเมื่อ 1 เดือนก่อน พอดีกันกับช่วงเวลาที่หลัวฉีฉีออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์


จางเซวียนจึงถามต่อ “คุณรู้ไหมว่าจิตวิญญาณที่อยู่ในสระบาดาลเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง และมีหน้าตาอย่างไร?”


“ผมจะรู้ได้อย่างไร? ที่รู้เรื่องนี้ก็เพราะไปสอบถามเรื่องทะเลสาบจันทร์กระจ่าง!” จัวเฟิงตอบ


สถานภาพของเขาสูงกว่าผู้คนทั่วไปก็จริงเพราะเป็นถึงนายพลเกราะเงิน แต่ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่พอจะได้ล่วงรู้ความลับสุดยอดที่เกี่ยวกับจอมราชันย์


อย่างมากที่สุดก็แค่ฟังคนนู้นทีคนนี้ที


“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้หรือเปล่าว่าจิตวิญญาณดวงนั้นอยู่ในสระบาดาลที่ไหน?” จางเซวียนถามอีก


“ผมเดาว่าจิตวิญญาณดวงนั้นน่าจะอยู่ในสระบาดาลที่อยู่ในตำหนักของจอมราชันย์ เพราะจอมราชันย์กำลังจะหลอมกายเนื้อให้ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าจะอยู่ที่ไหน” จัวเฟิงตอบ


“เข้าใจแล้ว…”


เกรงว่าหากถามมากไปจะดูน่าสงสัย จางเซวียนจึงได้แต่พยักหน้า


การที่ใครคนหนึ่งจากโลกเบื้องล่างจะเข้าสู่สรวงสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งคนสุดท้ายที่ทำได้ก่อนหน้าตัวเขากับเหล่าศิษย์สายตรงก็คือปรมาจารย์ขง ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จิตวิญญาณดวงนั้นจะเป็นหลัวฉีฉี


เขาไม่มีความรู้สึกในแง่ชู้สาวกับเธอ แต่ก็ยังห่วงใยในฐานะลูกศิษย์คนหนึ่ง อีกอย่าง หลัวฉีฉีก็เคยทำอะไรให้เขามากมาย เขาเป็นหนี้บุญคุณเธอไม่น้อย จึงตั้งใจว่าจะต้องตามหาเธอให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน


“คุณบอกว่าสระบาดาลบ่มเพาะจิตวิญญาณของนักรบได้…มันเป็นสถานที่ที่อนุญาตให้ทุกคนเข้าไป หรือต้องใช้วิธีการพิเศษ?” จางเซวียนถาม


ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหลัวฉีฉีหรือไม่ แต่ในเมื่อเธอมีวรยุทธทัดเทียมกับราชันย์เทพเจ้าแล้ว ก็ไม่น่าจะตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเขาต้องรีบยกระดับวรยุทธของตัวเองโดยเร็วเพื่อไม่ให้เป็นภาระของใคร


ไม่อย่างนั้น คงน่ากระอักกระอ่วนใจไม่น้อยหากได้พบกันอีกครั้งแล้วตัวเขายังคงอ่อนด้อย


“การเข้าสู่สระบาดาลไม่จำเป็นต้องเสียเงินหรือผ่านกรรมวิธีใดๆ แต่คุณจะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังมากพอจนเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป” จัวเฟิงพูด


“มีชื่อเสียง?”


“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทรงพลังกว่าราชันย์เทพเจ้าทั่วไปก็เพราะคำว่า ‘ทรงเกียรติ’ ที่ต่อท้าย สิ่งนี้ทำให้พวกเขารวบรวมจิตปรารถนาได้มากกว่า ถ้านักรบทั่วไปอยากใช้จิตปรารถนา อันดับแรก พวกเขาจะต้องทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาลก่อน และทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งจดจำหรือรู้สึกสำนึกบุญคุณในตัวเขา นั่นคือวิธีเดียวที่จะสร้างความต่อเนื่องของกระแสจิตปรารถนา นักรบสามารถนำมันมาบ่มเพาะจิตวิญญาณ ส่งผลให้ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว” จัวเฟิงอธิบาย


“คุณหมายความว่าผมต้องสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังเสียก่อน ด้วยจำนวนผู้คนที่รู้จักผมและปริมาณของความสำนึกในบุญคุณที่พวกเขามี ผมจะได้จิตปรารถนาจำนวนหนึ่งในสระบาดาลมา ซึ่งนั่นคือกุญแจที่นำไปสู่การบ่มเพาะจิตวิญญาณ ถูกไหม?” จางเซวียนถาม


“โดยหลักการแล้วก็เป็นอย่างนั้น แต่ธรรมชาติของอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ก็มีส่วนสำคัญ คุณจะยังคงได้รับจิตปรารถนาแม้มีคนปองร้าย แต่จิตปรารถนาเหล่านั้นจะมีบางอย่างที่สามารถดึงดูดปีศาจใต้สำนึกในตัวคุณออกมา ซึ่งการซึมซับของแบบนั้นก็ไม่เข้าที” จัวเฟิงพูด


“นี่คือเหตุผลที่ทุกเมืองให้ความสำคัญกับระเบียบและกฎหมาย เหล่านักรบจะไม่ฆ่าฟันกันเอง เพราะพวกเขาเกรงว่ามันอาจส่งผลต่อระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของพวกเขา”


คำพูดนี้ทำให้จางเซวียนเกิดความกระจ่าง


ดูเหมือนจิตปรารถนาจะเป็นพลังงานที่จำเป็นและขาดไม่ได้ในสรวงสวรรค์


เราต้องได้เป็นคนเด่นคนดัง มีชื่อเสียง และได้รับความสำนึกในบุญคุณจากใครต่อใคร…คงถึงเวลาที่ต้องลงมือเสียที


แต่ก็ไม่ใช่นะ เราไม่ใช่คนขี้โม้อย่างเจ้าตัวโคลนนั่น…ที่ทำนี่ก็เพราะความจำเป็นหรอก!


ว่าแต่…จะให้ทำอย่างไร?


วิธีไหนที่ดีที่สุดที่จะทำให้ใครต่อใครนึกถึงเขาโดยไม่แลบลิ้นหรือเบะปากใส่?


ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย


ถึงเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากได้ชุบตัวในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง แต่ก็ไม่โอหังถึงขนาดจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้ไร้เทียมทาน


ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่จะเอาชนะฉีเยว่ในการดวลตัวต่อตัวก็ถือว่ายากแล้ว


การยกระดับวรยุทธของพลังปราณแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการฝ่าด่านวรยุทธของกายเนื้อ


การฝ่าด่านวรยุทธของกายเนื้อจะทำให้แทบไม่มีใครเอาชนะเขาได้ในการต่อสู้ระยะประชิด แต่ทันทีที่คู่ต่อสู้รู้จุดอ่อนของเขาและสามารถรักษาระยะห่าง เขาจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงทันที เพราะไม่เพียงแต่จะโจมตีอีกฝ่ายได้ยาก ยังป้องกันตัวไม่ถนัดด้วย


ความสามารถของเทพเจ้าสวรรค์สร้างในการเข้าถึงพลังของธรรมชาตินั้นไม่อาจสบประมาทได้


ด้วยเหตุนี้ ขณะเดียวกับที่จางเซวียนพยายามทำตัวให้ได้การยอมรับจากใครๆเพื่อรวบรวมจิตปรารถนา เขาก็ต้องแน่ใจด้วยว่าไม่ทำอะไรเกินเลยกว่าขอบเขต เพราะนั่นอาจดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์ ก่อเกิดเป็นปัญหาไม่รู้จบ


จางเซวียนหันไปถามจัวเฟิง “คุณว่าผมควรทำอย่างไร?”



 

 

 


ตอนที่ 2232 คุณล้อผมเล่นใช่ไหม?

 

เขาเพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน ยังไม่คุ้นกับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่นี่ อีกทั้งในอดีตที่ผ่านมา ก็น่าจะมีนักรบมากมายที่เคยพยายามทุกวิถีทางเพื่อรวบรวมจิตปรารถนาให้ได้มากที่สุด


คงจะดีกว่าถ้าเขาเจริญรอยตามคนอื่นแทนที่จะเสาะแสวงหาหนทางของตัวเอง


“อ๋อ วิธีการได้จิตปรารถนาที่รวดเร็วที่สุดก็คือท้าทายจอมราชันย์โดยตรง นั่นคือวิธีที่ทำให้จอมราชันย์พิชิตสวรรค์มีชื่อเสียงโด่งดัง หากคุณทำสำเร็จ ชื่อของคุณจะลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์ จิตปรารถนาจะหลั่งไหลมาหาคุณอย่างไม่มีวันสิ้นสุด!” จัวเฟิงตอบ


“คุณล้อผมเล่นใช่ไหม?” จางเซวียนตาโต


ถ้าเขาทำแบบนั้น คงได้ตายทันตาเห็น!


จางเซวียนไม่เคยพบจอมราชันย์ตัวจริง แต่ยังจดจำได้ถึงพละกำลังมหาศาลของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่เขาได้สัมผัสแวบหนึ่ง แค่ฉีเหมิงชี้นิ้วก็เกินพอจะเล่นงานเขาให้ตายแล้ว นับประสาอะไรกับจอมราชันย์ที่แข็งแกร่งกว่า!


“ฮ่าฮ่า ก็เป็นแค่ความคิดน่ะ” จัวเฟิงหัวเราะออกมา


ปกติเขาไม่ใช่คนชอบพูดตลก แต่ดูเหมือนจะลิงโลดเกินขนาดไปสักหน่อยที่ลูกชายฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ จึงไม่ได้สำรวมอย่างที่ควรจะทำ


“โดยทั่วไป การเสาะแสวงหาจิตปรารถนาทำได้ด้วยการทำตัวให้เป็นสุดยอดของแต่ละวิชาชีพ ยกตัวอย่างอาชีพช่างตีเหล็ก ขอแค่อาวุธของคุณทรงพลังและใช้ประโยชน์ได้จริง เหล่านักรบก็จะถือเอาการได้ครอบครองอาวุธของคุณเป็นเกียรติสูงสุด กระแสจิตปรารถนาที่คุณได้รับก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกันกับอาชีพนักปรุงยา ถ้ายาเม็ดที่คุณหลอมมีประสิทธิภาพดีและราคาไม่แพง ก็เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะรู้สึกว่าคุณมีบุญคุณต่อพวกเขา” จัวเฟิงอธิบาย


“ยาเม็ด?” จางเซวียนตาโตขณะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


เขาไม่ชำนาญการตีเหล็ก และการผลิตอาวุธจำนวนมากก็ไม่ใช่งานง่าย แต่หากเป็นยาเม็ดล่ะก็…ใช้แค่กระแสพลังปราณเทียบฟ้าเท่านั้น!


ขอแค่เขารวบรวมยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำได้มากพอ ก็จะผลิตยาเม็ดเพิ่มความงามได้ตามแต่จะต้องการ ซึ่งยานี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มความโดดเด่นของรูปลักษณ์ ปรับเปลี่ยนผิวพรรณให้เรียบเนียนและสร้างบุคลิกสง่างาม ยังสามารถเยียวยาอาการบอบช้ำภายในและทำความสะอาดทางเดินพลังปราณได้ด้วย ทำให้นักรบก้าวข้ามด่านคอขวดของพวกเขาได้!


แต่ปัญหาเดียวก็คือ…ราคา


ตอนนี้ยาเม็ดเพิ่มความงามมีราคาสูงมาก กลายเป็นทรัพยากรที่ผู้คนส่วนใหญ่เอื้อมไม่ถึง


ถ้าเขานำมาขายตัดราคา ตลาดยาเม็ดเพิ่มความงามที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวก็จะป่นปี้ไม่มีเหลือ ผู้ที่เคยจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อซื้อยาเม็ดเพิ่มความงามย่อมเกิดความไม่พอใจอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อราชันย์เทพเจ้าของตระกูลฉีเพิ่งใช้เงินมหาศาลซื้อมันไป


“ยาชนิดไหนที่ราคาถูกและซื้อหาได้ทั่วไปในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน?” จางเซวียนถามจัวเฟิง


เขาไม่จำเป็นต้องใช้ยาเม็ดเพิ่มความงามสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง เพราะสามารถถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ยาชนิดอื่นได้


เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาเคยแม้กระทั่งถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าลงไปในขวดไวน์


จัวเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ยาที่ขายดีที่สุดในเมืองหลวงคือแคปซูลแก่นสารเทพเจ้า มันคือยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าที่ถูกลดทอนให้อยู่ในรูปแบบเรียบง่าย เงิน 1 เหรียญสวรรค์ซื้อได้ถึง 10 แคปซูล และไม่มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณการซื้อ นักรบส่วนใหญ่มักพกติดตัวทีละหลายสิบแคปซูล แม้ประสิทธิภาพของมันจะด้อยกว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า แต่ก็ช่วยให้พวกเขาฟื้นคืนพละกำลังได้อย่างรวดเร็วในยามคับขัน”


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นยานี้แหละ!” จางเซวียนพยักหน้าขณะรีบวางแผน


เขาต้องการทรัพยากรที่ราคาถูกและซื้อหาง่ายในการทำให้คนทั่วไปเกิดความสำนึกในบุญคุณ


การให้ความสำคัญกับตลาดระดับบนทำให้เขาได้มาแค่ตัวเงิน แต่ไม่มีทางก่อให้เกิดความสำนึกในบุญคุณจากผู้คนจำนวนมากมายอย่างรวดเร็วได้


ดังนั้น แผนการของจางเซวียนตอนนี้จึงเป็นการผลิตยาเม็ดเพิ่มความงามต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดความสวยความงามของลูกค้าระดับบน พร้อมกับผลิตแคปซูลแก่นสารเทพเจ้าตีคู่กันไปเพื่อเอาใจนักรบธรรมดาสามัญซึ่งเป็นตลาดระดับล่าง ด้วยสิ่งนี้ เหล่านักรบทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนจะต้องพากันตามหาตัวเขา!


แต่แน่นอนว่าเขาต้องควบคุมปริมาณพลังงานเทียบฟ้าที่ถ่ายทอดเข้าไปในยาแต่ละเม็ดอย่างระมัดระวังด้วย


ยาเม็ดเพิ่มความงามแต่ละเม็ดจะมีกระแสพลังปราณเทียบฟ้าอยู่ 1 สาย แต่สำหรับแคปซูลแก่นสารเทพเจ้า เขาจะถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าไปเพียงหนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น ซึ่งจะทำให้มันยังคงมีประสิทธิภาพอยู่ แต่ไม่โดดเด่นเห็นชัดเหมือนยาเม็ดเพิ่มความงาม


ไม่อย่างนั้น ตลาดยาเม็ดเพิ่มความงามจะต้องล่มสลายแน่ แถมอาจเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่


การขายยาเม็ดที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาต่ำจะทำลายกลไกตลาด เขาอาจเอาชนะใจผู้คนทั่วไปได้ แต่ก็จะสร้างศัตรูในวงการธุรกิจยาเม็ด อาจมีนักธุรกิจบางคนส่งนักฆ่ามาลอบสังหารเขา หวังจะขโมยสูตรยาและนำไปผลิตลอกเลียนแบบ


“ขอบคุณมาก” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


โชคดีที่เขาปรึกษาจัวเฟิงก่อน ไม่อย่างนั้น คนนอกอย่างเขาคงต้องลงทุนลงแรงไม่น้อยในการหาข้อมูล


“สบายมาก ปรมาจารย์จาง ถ้าคุณต้องการอะไรอีกก็บอกมาเลย ผมจะช่วยเหลือคุณเต็มที่” จัวเฟิงอาสา


“เอ่อ มีเรื่องหนึ่งที่ต้องรบกวนคุณ ผมอยากได้แคปซูลแก่นสารเทพเจ้าเยอะๆ ถ้าคุณพอมีเวลาล่ะก็, นายพลจัวเฟิง ผมจะขอบคุณมากถ้าคุณซื้อแคปซูลแก่นสารเทพเจ้ามาให้ผมในจำนวนมากที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้” จางเซวียนพูด


“ไม่มีปัญหา กองทัพของเรามีเส้นสายกับผู้ขาย ผมจะหาราคาต่ำๆมาให้คุณ” จัวเฟิงตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ


“เยี่ยมเลย!” จางเซวียนพยักหน้า “หามาให้เยอะที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้นะ ผมต้องการใช้ภายใน 7 วันนับจากนี้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”


“ได้ ปล่อยเป็นธุระของผมเถอะ!”


จัวเฟิงไม่รู้ว่าจางเซวียนคิดอะไร แต่ก็ดีใจที่จะได้ช่วยเหลือผู้มีพระคุณของลูกชายของเขา จึงกล่าวอำลาและออกจากบ้านพักของจางเซวียน


…..


ทันทีที่จัวเฟิงจากไป จางเซวียนเรียกฉีหลิงเอ๋อกับซุนฉางเข้ามา “ผมอยากให้คุณสองคนทำธุระให้ผมหน่อย”


“นายน้อย สั่งการมาเลย” ทั้งคู่โค้งคำนับอย่างงาม


“ข้อแรก ผมอยากให้คุณหายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ามาให้ผมอย่างน้อย 10,000 เม็ด ผมตั้งใจจะหลอมทั้งหมดให้เป็นยาเม็ดเพิ่มความงามและนำออกวางขาย เรื่องนี้ขอให้สำเร็จภายใน 7 วันนะ”


“ฉันจัดการได้ ถ้าเป็นเมืองตะวันรอน การซื้อยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 10,000 เม็ดคงทำได้ยาก แต่สำหรับเมืองหลวง ฉันหาให้คุณได้ภายในครึ่งวัน!” ฉีหลิงเอ๋อพยักหน้า “ส่วนเรื่องขาย ถึงหัวหน้าตระกูลฉีบอกไว้ว่าเขาจะเหมาหมด แต่ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าตระกูลฉีจะมีเงินมากพอซื้อยาเม็ดเพิ่มความงามรวดเดียว 10,000 เม็ดหรือเปล่า”


“แต่ก็นั่นแหละ ด้วยอิทธิพลที่ฉันได้จากตระกูลฉี ไม่ถึง 7 วันก็คงขายได้เกินครึ่ง”


ด้วยตำแหน่งใหม่ของเธอในฐานะผู้จัดการตลาดจันทร์กระจ่าง อีกทั้งได้รับการสนับสนุนออกหน้าออกตาจากบรรพบุรุษเก่าแก่ ฉีหลิงเอ๋อจึงสามารถเข้าถึงทรัพยากรเกือบทั้งหมดของตระกูลฉี


แม้ยาเม็ดเพิ่มความงามจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่การขายยาเม็ดเพิ่มความงาม 10,000 เม็ดให้หมดก็ไม่ใช่งานง่าย เพราะความที่มีราคาสูง แต่หากเธอวางแผนและสร้างแรงจูงใจในการซื้อขายให้ดี ก็น่าจะทำสำเร็จ


แน่นอนว่าเธอต้องเตรียมการมากมายเพื่อให้ภารกิจลุล่วง


“อีกเรื่องหนึ่ง ผมอยากให้คุณช่วยซื้อขวดหยกในจำนวนมากเช่นกัน เอาแบบที่ราคาถูกแต่ดูดีนะ ขวดหยกพวกนี้จะต้องสามารถเก็บรักษายาเม็ดให้อยู่ในสภาพดีโดยไม่มีพลังจิตวิญญาณรั่วไหล และก็เหมือนเดิม ซื้อมาให้มากที่สุดเท่าที่จะซื้อได้”


“ส่วนข้อสุดท้าย ผมอยากให้คุณใช้อิทธิพลของตระกูลฉีรวบรวมเหล่าคนดังและนักรบทั่วไปภายในเมืองหลวงแห่งนี้ ผมอยากได้กลุ่มเป้าหมายอย่างน้อย 100,000 คน และต้องการถนนที่กว้างขวางพอให้พวกเขารวมตัวกันด้วย ทั้งหมดนี้ต้องสำเร็จภายใน 7 วัน” จางเซวียนพูด


หากเขาอยากสร้างชื่อเสียงให้เร็วที่สุด ก็ต้องทำแบบนี้ คือต้องเล่นใหญ่และทำออกมาให้ดี!


ซึ่งเขาก็จำเป็นต้องมีกลุ่มเป้าหมายในปริมาณที่มากพอจะทำให้ชื่อเสียงของเขาลือกระฉ่อน เหมือนกับสิ่งที่ฉีหลิงเอ๋อทำไว้ในเมืองตะวันรอน การโน้มน้าวใจจะได้ผลสูงสุดก็ต่อเมื่อผู้คนได้เห็นความอัศจรรย์ด้วยตาของพวกเขาเอง


“ฉันจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้” ฉีหลิงเอ๋อตอบพร้อมกับพยักหน้า


ถ้าเป็นเมื่อก่อน การทำงานใหญ่ระดับนี้คงยากเย็นไม่น้อย แต่ตอนนี้เธอมีทั้งหัวหน้าตระกูลและบรรพบุรุษเก่าแก่หนุนหลัง ก็คงไม่เกินจริงหากจะบอกว่าไม่มีทรัพยากรชนิดไหนในตระกูลฉีที่เธอแตะต้องไม่ได้ ขอแค่เธอใช้สิ่งที่มีอย่างเหมาะสม การปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงภายใน 7 วันก็ไม่ยากเกินไป


เมื่อฉีหลิงเอ๋อรับปากเป็นมั่นเหมาะ จางเซวียนหันไปสั่งการซุนฉาง “ส่วนเรื่องที่สอง ผมจะให้คุณจัดการนะ ผมอยากให้คุณเช่าร้านค้าในเมือง 100 ร้าน ขนาดไม่ต้องใหญ่เกินไป พื้นที่ราว 10-20 ตารางเมตรก็พอ ตกแต่งให้ดูดี ดูน่าเชื่อถือ และเปลี่ยนชื่อร้านเป็น…ยาเม็ดจางเซวียน!”


“ยาเม็ดจางเซวียน?” ซุนฉางอ้าปากค้าง


เขาไม่ได้อยากขัดคำสั่งของนายน้อย แต่ชื่อนั้นดูจะโจ่งแจ้งไปหน่อยไหม? ทำอย่างกับเซเลบที่พยายามแปะชื่อของตัวเองลงไปทุกหนแห่งให้ผู้คนเห็น!


“นี่คือวิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ทุกคนจดจำผมได้ นักรบส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายาที่พวกเขากินเข้าไปมีนักปรุงยาคนไหนเป็นผู้หลอม ด้วยเหตุนี้ วิธีเดียวที่จะทำให้พวกเขาจดจำได้ก็คือต้องใช้ชื่อผมเป็นชื่อร้าน พวกเขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคิดถึงผมทุกครั้งที่กินยา!” จางเซวียนอธิบายพร้อมกับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์


เขาจะเลือกใช้วิธีที่ละเอียดลออและแนบเนียนกว่านี้ก็ได้ แต่ประสิทธิภาพย่อมลดลงมาก บางครั้ง วิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดก็คือวิธีที่ได้ผลดีที่สุด


ชื่อ ‘ยาเม็ดจางเซวียน’ อาจฟังดูประหลาด แต่นั่นจะช่วยกระพือชื่อ ‘จางเซวียน’ ให้แพร่สะพัดไปทั่วเมือง ทันทีที่ทุกคนได้กินยาเม็ดที่มีชื่อของเขา กระแสจิตปรารถนาก็จะไหลบ่ามาทันที!


ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเขาสร้างชื่อเสียงจนโด่งดังได้เมื่อไหร่ ไม่ช้าหลัวลั่วชิงหรือหลัวฉีฉีก็ต้องได้ยินชื่อเขา บางทีพวกเธออาจมาตามหาเขาก็ได้ ซึ่งนั่นจะง่ายกว่าการที่เขาต้องตระเวนตามหาพวกเธอมาก


“ผมให้เวลาคุณ 10 วันในการหาทำเลและตกแต่งร้าน คิดว่าจะทำได้ไหม?” จางเซวียนถาม


“คือ…” ซุนฉางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันตอบ “ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ผมก็จะทำจนสำเร็จ!”


การหาร้านให้ได้ 100 ร้านและตกแต่งให้เสร็จภายใน 10 วันไม่ใช่งานง่าย เขาต้องคุมแจทุกกระดิกเพื่อให้แน่ใจว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นภายใน 10 วัน แต่ในเมื่อเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ภารกิจนี้ก็คงลุล่วงไปได้หากเขาเจอผู้รับเหมาดีๆ


“เยี่ยม! เอาล่ะ เวลาไม่คอยท่า พวกคุณเริ่มงานได้เลย” จางเซวียนพูด


“ได้” ฉีหลิงเอ๋อกับซุนฉางรีบเดินออกจากห้อง



 

 

 


ตอนที่ 2233 รอยประทับจิตวิญญาณ

 

ทันทีที่เรามีชื่อเสียงโด่งดังมากพอ ก็จะมีกระแสจิตปรารถนาไหลบ่ามาอย่างไม่หยุดหย่อน…สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ก็คือทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาล


เราคงเข้าไปในสระบาดาลของจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นไม่ได้ แต่การใช้สระบาดาลของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนน่าจะไม่มีปัญหา จางเซวียนคิดขณะลุกขึ้นยืน


เขาเองก็มีงานต้องทำเหมือนกัน


สิ่งแรกก็คือทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาล เพราะไม่อย่างนั้น ก็คงไม่อาจรวบรวมกระแสจิตปรารถนาได้ ต่อให้มีชื่อเสียงโด่งดังแล้วก็ตาม


จางเซวียนพอรู้จักสถานที่ต่างๆในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอยู่บ้างจากการอ่านหนังสือที่สภาปรมาจารย์ จึงพอรู้เส้นทาง ซึ่งในเมื่อตอนนี้ยังมีเวลา ก็น่าจะรีบทำให้เสร็จๆไป เผื่อวันหน้าเขาอาจหลงลืม


จางเซวียนจึงออกจากที่พักและมุ่งหน้าสู่สระบาดาล


…..


4 ชั่วโมงต่อมา ตำหนักใหญ่โตโอ่อ่าก็ปรากฏตรงหน้า


“คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตำหนักบาดาล! คุณมีธุระอะไร?”


ทันทีที่จางเซวียนเดินไปถึงทางเข้า องครักษ์ 2 คนที่ประจำการก็ชูหอกขึ้นสกัดกั้นเขา


“ผมอยากเข้าสู่สระบาดาล” จางเซวียนตอบ


“คุณอยากเข้าสู่สระบาดาล? จองไว้หรือเปล่า? นัดหมายกับใครไว้ไหม?”


องครักษ์คนหนึ่งตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ผมไม่ได้นัดใครไว้ แต่อยากทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาลเพื่อรวบรวมจิตปรารถนา” จางเซวียนตอบ


องครักษ์ออกจะงุนงงกับคำตอบของจางเซวียน “ไม่ใช่ทุกคนนะที่จะมีพลังของจิตปรารถนา และผู้ที่ไม่ได้ทำคุณงามความดีให้กับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับจิตปรารถนาเช่นกัน แต่ถ้าคุณอยากทำแบบนั้นจริงๆ สระบาดาลก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะยับยั้ง แต่ก็นั่นแหละ คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นเงิน 10,000 เหรียญสวรรค์”


“10,000 เหรียญสวรรค์?” จางเซวียนพยักหน้า “ได้สิ”


ฉีหลิงเอ๋อมอบเงินที่ได้จากหัวหน้าตระกูลฉีให้เขาแล้ว สำหรับนักรบส่วนใหญ่ 10,000 เหรียญสวรรค์คือทรัพย์สินของทั้งครอบครัว แต่สำหรับจางเซวียน ถือเป็นจำนวนเงินที่หาได้ไม่ยาก


เขานำบัตรออกมาแล้วจ่ายค่าธรรมเนียม


หลังจากแน่ใจว่าได้รับเงินแล้ว องครักษ์ก็ปล่อยให้จางเซวียนเข้าสู่ตำหนักบาดาล


สระบาดาลตั้งอยู่ลึกเข้าไป มันไม่เหมือนกับทะเลสาบจันทร์กระจ่าง พลังงานที่อยู่ในนั้นอบอุ่นและมีอานุภาพปลอบประโลม ดูเหมือนมันสั่งสมพลังงานที่สามารถบ่มเพาะใครก็ตามที่ลงไปอยู่ในสระ


จางเซวียนรับรู้ถึงพลังงานนั้นได้อย่างเลือนราง แต่ไม่อาจเข้าถึงได้ เหมือนภูตผีที่ทำได้แค่มองเห็นมัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น


“นี่คือสระบาดาล สำหรับการทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระ ก็ต้องหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนแผ่นหินที่อยู่ตรงนั้น” องครักษ์ชี้นิ้วไป


จางเซวียนมองตาม เห็นแผ่นหินขนาดเล็กตั้งอยู่บริเวณด้านข้างสระบาดาล มีอักษรจารึกประหลาดอยู่บนนั้น ดูคล้ายกับสิ่งที่ใช้ในพิธีกรรม


มองแวบแรก แผ่นหินนี้ดูคล้ายกับแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่ก็ต่างกันหลายข้อ


เขาจำได้ว่าเคยถามใครสักคนว่ากลุ่มอำนาจไหนในสรวงสวรรค์ที่เชี่ยวชาญการใช้แท่นบูชา ซึ่งคำตอบที่ได้รับในครั้งนั้นก็คือผู้เชี่ยวชาญของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน จางเซวียนจึงสงสัยว่าน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอาจมีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่อักษรจารึกบนแผ่นหินดูจะปฏิเสธความเป็นไปได้ข้อนั้น


เห็นได้ชัดว่าอักษรจารึกบนแผ่นหินต่างกันมากกับอักษรจารึกที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นและตำหนักคว้าดาวใช้ ทั้งในแง่ของโครงสร้างและรายละเอียด


ดูเหมือนเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคงไม่เกี่ยวข้องกับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะเดินไปที่แผ่นหินเพื่อหยดเลือดของเขาลงไปบนนั้น สระบาดาลก็เดือดพล่าน ภาพลวงตาชุดหนึ่งโผล่ขึ้นจากผิวน้ำ


มีผู้คนหลากหลายประเภทที่อยู่ในสภาพของภาพลวงตา พวกเขามีความสูงราว 1 จ้าง (3.33 เมตร) และมีบางส่วนที่สูงเพียงแค่นิ้วหัวแม่มือ รวมแล้วมากกว่าพันคน


เพราะผืนน้ำเบื้องล่างเกิดการเดือดพล่าน พวกเขาจึงเคลื่อนไหว


กระแสพลังงานที่จางเซวียนเคยรู้สึกก่อนหน้านี้แตกฉานซ่านเซ็นไปเพราะภาพลวงตาที่ปรากฏ


ราวกับมีแสงอาทิตย์สาดส่องพวกเขา ภาพลวงตาที่มีขนาดใหญ่กว่าดูจะเด่นชัดจนแทบจับต้องได้ ขณะที่ภาพลวงตาที่เล็กกว่าสั่นพร่าราวกับแสงเทียน ดูพร้อมจะแหลกสลายได้ทุกขณะ


ฟึ่บ!


ภาพลวงตาที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือสลายตัวและหายวับไป


“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนสงสัย


“ภาพลวงตาที่มีขนาดใหญ่กว่าคือผู้ที่ยังมีผู้คนจำนวนมากมายระลึกถึง เขาจึงได้รับกระแสจิตปรารถนาในปริมาณมาก ส่วนภาพลวงตาที่มีขนาดเล็กกว่าคือผู้ที่มีแต่สมาชิกในครอบครัวและมิตรสหายเท่านั้นที่ยังระลึกถึงเขา ซึ่งเมื่อเวลาล่วงเลยไป ญาติมิตรของเขาเริ่มล้มหายตายจาก ก็ไม่เหลือใครอีกแล้วที่ยังจดจำพวกเขาได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะสูญเสียพลังงานและสลายตัวไป”


องครักษ์ชำเลืองมองจางเซวียนและส่ายหน้า “ในแต่ละปี จะมีคนกลุ่มหนึ่งยอมจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อทิ้งรอยประทับจิตวิญญาณของพวกเขาไว้ หวังว่าจะมีโอกาสได้ฟื้นคืนชีพจากความตาย แต่ความรุ่งโรจน์ของชีวิตจะคงอยู่ก็ต่อเมื่อคุณยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพียงแค่มีชีวิตก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว ผู้คนจะมีเวลามากมายแค่ไหนกันที่จะเก็บคุณไว้ในหัวใจของพวกเขาในเมื่อคุณไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แล้ว? บ่อยครั้งที่จิตปรารถนาที่พวกเขาได้รับจะมาจากญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น”


“ผู้คนส่วนใหญ่ที่ทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ที่นี่ล้วนแต่เสียเงินเปล่า มีจำนวนน้อยเต็มทีที่ได้รับกระแสจิตปรารถนามากพอสำหรับการฟื้นคืนชีพ แต่ผมคิดว่ามีความหวังไว้ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะถึงอย่างไรความตายก็น่ากลัว”


จางเซวียนพอเข้าใจคำพูดนั้น


สำหรับมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นความสำนึกบุญคุณ ความรัก หรือความเกลียดชัง ก็ล้วนเป็นความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงได้ พวกมันคือสิ่งที่เราเคยบอกตัวเองว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเหล่านั้น แต่เวลามีอานุภาพลึกลับในการสร้างความชาชิน จนสุดท้ายเราก็หลงลืมมันไป


สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนนึกถึงเว็บไซต์ของนักเขียนนิยายในชีวิตเก่าของเขา หากคนพวกนั้นหยุดการอัพเดทไปเพียงไม่กี่วัน ผู้อ่านก็พร้อมจะลืมเลือน


ทันทีที่ใครคนหนึ่งถูกคนส่วนใหญ่หลงลืม จิตปรารถนาที่เคยได้รับก็จะลดน้อยถอยลงเสียจนแม้แต่จะรักษาสภาพเดิมไว้ก็ทำได้ยาก นับประสาอะไรกับการฟื้นคืนชีพ


อย่างที่องครักษ์พูด ความหวังว่าจะได้ฟื้นคืนชีพช่วยปลอบประโลมจิตใจของผู้คนไม่ให้หวาดกลัวความตาย แต่ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของสรวงสวรรค์ มีผู้คนเพียงไม่ถึงหยิบมือที่ทำแบบนั้นได้สำเร็จ


“ภาพลวงตาที่มีร่างสูงที่สุดตรงนั้นคือใคร? ดูเหมือนเขาใกล้จะฟื้นคืนชีพแล้ว” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้


เท่าที่องครักษ์พูดมา ดูเหมือนขนาดของภาพลวงตาที่ปรากฏจะเป็นเครื่องบ่งบอกถึงปริมาณจิตปรารถนาที่พวกเขาสะสมไว้ ผู้ที่ขยายขนาดร่างของตัวเองได้จนถึงระดับหนึ่งก็น่าจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพ


เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าร่างที่มีความสูงราว 1 จ้างนั้นทำอย่างไรถึงเป็นที่รักใคร่ของผู้คนมากมายรอบตัว


“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาเป็นใคร เขาปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่ 40 ปีก่อน เราเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาไม่ชัด และไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวเขาด้วย จึงไม่แน่ใจว่าเขาคือใคร” องครักษ์ตอบ


“คนไร้ชื่อเสียงก็ได้รับกระแสจิตปรารถนาจากสระบาดาลได้หรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ


“โดยทั่วไป ปริมาณจิตปรารถนาที่ได้รับขึ้นอยู่กับว่าผู้คนจดจำเขาได้มากแค่ไหน ขอแค่มีคนจํานวนหนึ่งจารึกชื่อของเขาไว้ในหัวใจ ผู้นั้นก็จะได้รับกระแสจิตปรารถนาอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นหรอกว่าทุกคนจะต้องจดจำเขาได้ มีราชันย์เทพเจ้าจำนวนหนึ่งที่ฝากจิตวิญญาณของพวกเขาไว้ในสระบาดาลมาแล้วกว่าพันปี จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนส่วนใหญ่หลงลืมพวกเขาไปหมดแล้ว”


จางเซวียนพยักหน้าและเดินตรงไปที่แผ่นหิน เขากัดนิ้วโป้งแล้วหยดเลือดหยดหนึ่งลงไป


ครืนนนน!


ทันทีที่เลือดหยดนั้นสัมผัสแผ่นหิน คลื่นพลังงานสั่นสะเทือนก็แผ่ซ่านไปทั่ว จากนั้น จางเซวียนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของเขา


พร้อมกันนั้น ภาพลวงตาขนาดเล็กประมาณนิ้วหัวแม่มือก็โผล่ขึ้นมาในสระบาดาล


“นั่นคือรอยประทับจิตวิญญาณของผมหรือ?” จางเซวียนพูดไม่ออกกับความเล็กจ้อยของมัน


องครักษ์มองตาม “ก็ไม่เลวนะ เพราะคุณเพิ่งสร้างมันขึ้นมา…”


สำหรับการทิ้งรอยประทับจิตวิญญาณไว้เป็นครั้งแรก ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจสร้างภาพลวงตาขึ้นเป็นรูปเป็นร่างได้ด้วยซ้ำ การที่ชายหนุ่มทำได้ก็บ่งบอกชัดว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งระลึกถึงเขาอยู่เสมอ


“ภาพลวงตาที่เพิ่งเกิดครั้งแรกมีขนาดต่างๆกันด้วยหรือ?”จางเซวียนถาม


“นักรบส่วนใหญ่มีภาพลวงตาที่เล็กกว่านี้ ภาพลวงตาของบางคนเล็กจิ๋วจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าด้วยซ้ำ” องครักษ์ตอบ “ตลอด 20 ปีที่ผมทำงานที่นี่ ภาพลวงตาขนาดใหญ่ที่สุดที่ผมได้เห็นก็คือภาพลวงตาของราชันย์เทพเจ้าไป๋อี้ เขาถูกสังหารระหว่างการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ บริวารของเขาจึงฝากรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาลแห่งนี้ ในครั้งนั้น เกิดภาพลวงตาที่มีขนาดราวฝ่ามือ ผู้คนต่างตกอกตกใจกันใหญ่!”


“ราชันย์เทพเจ้าไป๋อี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนผู้คนรู้จักกันทั่วน่ะหรือ?” จางเซวียนถาม


“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ที่จริงเป็นเพราะเขามีบริวารที่ทรงพลังอยู่กลุ่มหนึ่ง คนพวกนั้นมีส่วนทำให้กระแสจิตปรารถนาไหลมาอย่างต่อเนื่อง” องครักษ์ตอบ


“อ้อ แล้วจิตปรารถนาเกี่ยวข้องกับระดับความแข็งแกร่งของผู้คนที่ระลึกถึงเขาหรือเปล่า?”


“เกี่ยวแน่! ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็มีอิทธิพลต่อโลกมากขึ้นเท่านั้น อีกอย่าง อายุขัยที่ยาวนานกว่าก็หมายความว่าพวกเขาสามารถปลดปล่อยจิตปรารถนาได้ตลอดระยะเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยทั่วไป ปริมาณจิตปรารถนาที่เทพเจ้าสวรรค์สร้างปลดปล่อยออกมาจะมีมากกว่าเทพเจ้าราว 100 เท่าส่วนจิตปรารถนาของราชันย์เทพเจ้าก็มีมากกว่าเทพเจ้าสวรรค์สร้างราว 100 เท่าเช่นกัน เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ” องครักษ์อธิบาย


จางเซวียนพยักหน้า


ถ้าจิตปรารถนาคือพลังงานจากธรรมชาติที่นักรบคนหนึ่งปลดปล่อยออกมา ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมระดับพละกำลังของนักรบถึงเกี่ยวข้องกับปริมาณของมัน


เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะผูกพันกับผู้ที่มีความคล้ายกับพวกเขา การที่นักรบที่มีวรยุทธสูงกว่ามีโอกาสฟื้นคืนชีพมากกว่าไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ที่สำคัญกว่าก็เพราะวงศ์วานว่านเครือและมิตรสหายของเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลัง ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงมีโอกาสฟื้นคืนชีพมากกว่า



 

 

 


ตอนที่ 2234 ได้ผลจริงๆ!

 

องครักษ์หัวเราะหึๆ “คุณนี่ไม่เลวนะ การที่ภาพลวงตาของคุณมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก็บอกชัดแล้วว่าคุณไม่ได้เป็นที่จดจำของเหล่าเทพเจ้าเท่านั้น แต่ยังมีเทพเจ้าสวรรค์สร้างด้วย”


“เทพเจ้าสวรรค์สร้าง?” จางเซวียนพยักหน้าขณะครุ่นคิด


ฉีหลิงเอ๋อกับจางเจี้ยล้วนเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง และทั้งคู่ก็จงรักภักดีต่อเขา ทั้งคู่เป็นที่มาของจิตปรารถนาส่วนหนึ่งที่เขาได้รับ


จางเซวียนเพ่งสมาธิไปที่จิตวิญญาณของเขา รู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงพลังงานที่ไหลเวียนและเชื่อมโยงระหว่างจิตวิญญาณกับภาพลวงตาที่ปรากฏ พลังงานนั้นมีอานุภาพบ่มเพาะระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้เพิ่มสูงขึ้น


เมื่อเห็นว่าได้ผล เขาประสานมือและกล่าวอำลา


จางเซวียนออกไปได้ไม่นาน องครักษ์อีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เขาถามองครักษ์คนก่อนหน้าด้วยความอยากรู้ “เป็นอย่างไร? คุณว่าหมอนั่นเป็นไงบ้าง?”


“ภาพลวงตาของเขามีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเท่านั้น ไม่ถึงครึ่งปีก็คงสลายตัวหมด” องครักษ์คนแรกคำรามเยาะ


“แต่ก็ไม่แย่นะถ้าคิดว่าเขาเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก” องครักษ์คนที่ 2 ตอบ


“ผมว่าไม่ใช่” องครักษ์คนแรกพูด “ถ้าเขาเอาแต่คิดจะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้ ผมก็สงสัยว่าในอนาคตเขาจะทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้หรือเปล่า ในเมื่อแม้แต่ผมยังดูถูกคนขี้ขลาดแบบเขา แล้วทำไมผู้คนจะต้องพากันระลึกถึงและชื่นชมเขาด้วย? ผมเชื่อว่าเหตุผลเดียวที่ยังพอมีผู้คนระลึกถึงเขาอยู่ก็เพราะยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ถ้ารู้ขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ คงเลิกนึกถึงเขาทันที!”


“ก็ได้อยู่นะ รอดูไปก่อนละกัน” องครักษ์คนที่สองตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ


ในสรวงสวรรค์ ผู้คนให้ความเคารพยกย่องอย่างสูงต่อพละกำลังและความกล้าหาญ เรื่องนี้พอเข้าใจได้หากจางเซวียนอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตและอยากหาทางหลีกหนีความตาย แต่ในเมื่อตอนนี้เขาอายุเพียง 20 ต้นๆและยังมีชีวิตยาวไกลรออยู่เบื้องหน้า แต่กลับหวาดกลัวความตายเสียจนยอมจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ที่นี่…


เพียงเท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าหมอนี่เป็นคนขี้ขลาด…คนขี้ขลาดแบบนั้นจะเอาชนะใจคนอื่นๆและได้รับการระลึกถึงได้อย่างไร?


ต่อให้เขาสร้างภาพลวงตาที่มีขนาดน่าพอใจขึ้นได้ ก็มีโอกาสที่มันจะสลายตัวไปในระยะเวลาไม่นาน!


“ไปกันเถอะ!” องครักษ์คนแรกพูดขณะหันหลังกลับเพื่อออกจากห้อง


แต่แล้วสระบาดาลก็เริ่มสั่นสะท้าน


ทั้งคู่หยุดกึกและหันขวับ


ภาพลวงตาที่ชายหนุ่มทิ้งไว้สั่นไม่หยุด แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ทำให้กระเพื่อมไปทั้งสระอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดละ


“เฮ้ยยยย…”


องครักษ์ทั้งคู่งงงันก่อนที่คนแรกจะพลันนึกได้ เขาหรี่ตา “หรือว่ามีผู้คนระลึกถึงเขาเพิ่มขึ้นอีก ทำให้กระแสจิตปรารถนาไหลเข้ามา?”


หลังจากพูดจบได้ไม่นาน ภาพลวงตาที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก็กระตุกและขยายตัวจนเท่าฝ่ามือ พร้อมกันนั้น ความโปร่งแสงของมันก็ค่อยๆทึบจนเกือบจับต้องได้ แทบจะดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ


“ต่อให้มีผู้คนนึกถึงเขามากขึ้นอีก ส่วนใหญ่ก็คงเป็นแค่เทพเจ้า อานุภาพของมันไม่ยาวนานนักหรอก…”


แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้เวลานานกว่ากระแสจิตปรารถนาจะมาถึง แต่เท่าที่ดูจากความเข้มข้นของมัน ก็พอดูออกว่าส่วนใหญ่มาจากนักรบระดับเทพเจ้า ถึงกระแสจิตปรารถนานี้จะช่วยเพิ่มขนาดของภาพลวงตาได้ แต่ความแข็งแกร่งก็ยังมีน้อย และไม่น่าจะคงรูปอยู่ได้นานนักเพราะอายุขัยของเทพเจ้านั้นสั้นนิดเดียว


ยังไม่ทันจะพูดจบ ภาพลวงตาที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว


“หรือว่า…มันคือจิตปรารถนาของราชันย์เทพเจ้า?”


องครักษ์คนแรกถึงกับผงะ


ชายหนุ่มเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ทำไมถึงได้รับจิตปรารถนาจากราชันย์เทพเจ้า?


ฟึ่บ!


ภาพลวงตาขยายขนาดขึ้นอีก


“ราชันย์เทพเจ้า 2 คน?”


องครักษ์คนที่ 2 ก็จังงัง


“ราชันย์เทพเจ้าถึง 3 คนมอบจิตปรารถนาให้เขา…หมอนั่นเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำจริงๆหรือ?” องครักษ์คนแรกพึมพำด้วยริมฝีปากสั่นเทา


เมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาเพิ่งคุยกันว่าภาพลวงตาของชายหนุ่มคงสลายตัวไปภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับกระแสจิตปรารถนามากมายจากนักรบระดับเทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วน แถมด้วยราชันย์เทพเจ้าถึง 3 คน?


ภาพลวงตาใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจนมีขนาดเท่ามนุษย์


สององครักษ์มองหน้ากัน ตัวสั่นไม่หยุดราวกับได้เห็นบางอย่างที่สุดแสนจะเหลือเชื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าคำพูดจะหลุดออกจากปากของทั้งคู่


“นั่นมัน…จิตปรารถนาของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ?”


อันที่จริง ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็คือราชันย์เทพเจ้า


ความแตกต่างของทั้งคู่อยู่ที่เกียรติยศและการได้รับความยำเกรง ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมีอำนาจของสรวงสวรรค์และจอมราชันย์ ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่กว่าราชันย์เทพเจ้าทั่วไป


ทั้งคู่เหลื่อมล้ำกันในระดับที่ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งยืนอยู่นิ่งๆ ราชันย์เทพเจ้าก็ไม่อาจสังหารเขาได้


นี่คืออำนาจและพละกำลังที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ด้วยเหตุนี้ จึงมีแต่กลุ่มอำนาจที่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอยู่ด้วยเท่านั้นที่อยู่ยั้งยืนยง หากเป็นกลุ่มอำนาจชั้นนำ ก็จะรุ่งเรืองอยู่ได้หลายพันปี


ผู้ที่จะได้จิตปรารถนาของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเดียวกัน หรือไม่ก็จอมราชันย์เท่านั้น!


ช่างเหลือเชื่อที่ชายหนุ่มคนนี้ได้รับจิตปรารถนาจากราชันย์เทพเจ้าถึง 3 คน และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอีก 1 คน…เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ใช่เทพเจ้าสวรรค์สร้างธรรมดา แต่เป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในสรวงสวรรค์?


“ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ก็ไม่ใช่คนที่พวกเราควรซุบซิบนินทา!” องครักษ์คนแรกพูดออกมาขณะที่ฟันกระทบกันกึกกัก


เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่เขาคิดว่าชายหนุ่มเป็นคนขี้ขลาด และถึงกับดูถูกอีกฝ่ายด้วย แต่ก็เห็นชัดแล้วว่าเขาด่วนสรุปเกินไป โลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่อยู่เหนือความเข้าใจของเขา


“เขาชื่ออะไร?” องครักษ์คนที่ 2 ตั้งคำถาม


องครักษ์คนแรกอึ้งไป เขาเค้นหัวสมองอยู่สักครู่ แต่พบว่าจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของอีกฝ่าย


“ผมก็ไม่รู้!”


เขาเดาว่าชายหนุ่มคงเป็นแค่นายน้อยผู้มั่งคั่งจากตระกูลผู้มีอิทธิพลสักตระกูลหนึ่ง จึงไม่ใส่ใจจะถามชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย คิดเอาเองว่าไม่ช้าภาพลวงตาของชายหนุ่มก็คงหายไป ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องจดจำชื่อของชายหนุ่มไว้


ไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้!


“วันนี้น่ะเราควรทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าปากสว่างไปล่ะก็ อาจมีคนไม่พอใจก็ได้…” องครักษ์คนที่ 2 พูด


“ใช่ เราควรทำแบบนั้นแหละ” องครักษ์คนแรกพยักหน้า


หากพวกเขาพูดพล่ามในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ก็รังแต่จะสร้างปัญหาใส่ตัว อาจถึงกับหัวหลุดจากบ่าก็ได้


ทันทีที่ออกจากสระบาดาล จางเซวียนพลันรู้สึกว่าตัวเขาได้รับกระแสจิตปรารถนา ทำให้วรยุทธของจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กระบวนการคิดอ่านของเขาก็รวดเร็วขึ้น วรยุทธของจิตวิญญาณที่เป็นระดับเทพเจ้าขั้นต่ำส่ออาการว่ากำลังจะฝ่าด่านวรยุทธ


“ได้ผลจริงๆ!” จางเซวียนตาโตด้วยความดีใจ


ถ้าเขาฝึกฝนวรยุทธตามวิธีการทั่วไป คงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณจนเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง แต่ด้วยความเร็วระดับนี้ เพียงไม่กี่เดือนก็คงทำได้!


พูดอีกอย่างก็คือ การทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาลทำให้เขายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่า


หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่นานก็คงยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้ถึงระดับราชันย์เทพเจ้า


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่จัวเฟิงแนะนำวิธีนี้ มันได้ผลดีกว่าที่คิดไว้มาก


แถมเขายังไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย ตอนนี้ก็มอบหมายงานให้คนอื่นๆแล้ว ที่เหลือก็คือ เฝ้ารอให้กระแสจิตปรารถนาจำนวนมหาศาลไหลบ่าเข้ามา ช่วงนี้ก็นั่งนอนอย่างสบายใจได้


นอกเหนือจากการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ จางเซวียนยังแวะไปเยือนสภาปรมาจารย์เพื่อเปิดการบรรยายและถ่ายทอดความรู้ให้คนที่นั่น


การบรรยายของเขาได้รับความนิยมคลั่งไคล้จากบรรดาลูกศิษย์ แต่ก็ยังไม่ได้หน้าหนังสือสีทองมา


เป็นอย่างที่จางเซวียนเคยคิดไว้ เพราะวัฒนธรรมของสภาปรมาจารย์ยังไม่ถูกฝังรากลึกในสรวงสวรรค์ ความเคารพและการยอมรับในตัวครูบาอาจารย์จึงมีไม่มาก


สิ่งที่เกิดขึ้นกับจัวเหยียนและจัวเฟิงถือเป็นข้อยกเว้นเพราะสถานการณ์ที่แปลกประหลาดของพวกเขา แต่โดยรวม การจะได้หน้าหนังสือสีทองในสรวงสวรรค์มีความยากกว่ากันมาก


แต่ก็นั่นแหละ ถึงจางเซวียนจะไม่ได้หน้าหนังสือสีทอง แต่ก็สร้างชื่อเสียงได้ไม่น้อย เมื่อจำนวนผู้คนที่เกิดความสำนึกในบุญคุณต่อเขามีมากขึ้น ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย


ในวันที่ 5, วรยุทธของจิตวิญญาณของเขาเพิ่มจากเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง


เขารีบสั่งการให้ฉีหลิงเอ๋อนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงบางส่วนมาให้ ไม่ช้าวรยุทธของพลังปราณของจางเซวียนก็เพิ่มสูงขึ้นจนเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง ทัดเทียมกับวรยุทธของจิตวิญญาณ


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงคือทรัพยากรที่ใช้กันเฉพาะในหมู่ราชันย์เทพเจ้า นักรบทั่วไปไม่อาจเอื้อมถึง แต่เมื่อได้รับคำอนุมัติให้ ‘เดินหน้า’ จากหัวหน้าตระกูลและบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลฉี ฉีหลิงเอ๋อก็มีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่เข้าถึงยากเย็นนี้อย่างง่ายดาย อีกทั้งเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก


7 วันผ่านไปราวกับติดปีก


“ในจำนวนยาเม็ดเพิ่มความงาม 10,000 เม็ด ตระกูลฉีซื้อไป 1,000 เม็ด และฉันก็ขายได้อีก 6,000 เม็ด แต่ฉันเชื่อว่าตลาดของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนถึงจุดอิ่มตัวแล้วล่ะ หลังจากนี้คงขายไม่ได้แล้ว” ฉีหลิงเอ๋อรายงาน


ด้วยราคาสูงลิ่วของยาเม็ดเพิ่มความงาม แม้มันจะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์ในแง่ของความสวยงามและระดับวรยุทธ แต่จำนวนผู้คนที่ซื้อหามันได้ก็มีน้อยมาก


“เท่านั้นก็ดีกว่าที่ผมคิดไว้แล้วล่ะ” จางเซวียนตอบ


เขาพอใจการปฏิบัติงานของฉีหลิงเอ๋อมาก เธอนำยาเม็ดเพิ่มความงามเข้าสู่ตลาดได้เร็วกว่าที่คิดไว้ ทั้งยังขายดิบขายดีโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน


ด้วยสนนราคาเม็ดละ 1,500 เหรียญสวรรค์ มูลค่าของยาเม็ดเพิ่มความงาม 7,000 เม็ดถือเป็นจำนวนเงินที่ทำให้ใครๆอ้าปากค้างเลยทีเดียว – 10,500,000 เหรียญสวรรค์!


ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน มีกลุ่มอำนาจไม่ถึง 20 กลุ่มที่มีทรัพย์สินมากมายระดับนั้น


พูดง่ายๆก็คือ ภายในเวลาเพียง 7 วัน จางเซวียนเปลี่ยนสภาพจากคนหน้าใหม่กระเป๋าแฟบ กลายเป็น 1 ใน 20 นักรบที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!



 

 

 


ตอนที่ 2235 เรื่องของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?

 

ต่อให้ตระกูลฉีก็ไม่อาจหาเงินได้มากขนาดนี้ภายในระยะเวลาเพียง 7 วัน


ไม่เพียงเท่านั้น ชื่อ ‘จางเซวียน’ ยังลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนด้วย เขามีทั้งผู้ชื่นชอบและผู้สนับสนุนมากมาย ชื่อของเขาอยู่ในทุกวงสนทนาของเหล่านักรบ


นั่นคือการเป็น ‘คนดัง’


“ฉันส่งคำเชิญให้ผู้คนมาร่วมงานแล้วนะ” ฉีหลิงเอ๋อรายงานต่อ “เท่าที่ดูจากการตอบรับ น่าจะมีผู้คนทั้งในเมืองหลวงและจากน่านฟ้าอื่นๆมาร่วมงานของเรา เพราะมีคนมาเยอะ ฉันจึงจองจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไว้แล้ว”


เพียงแค่คิดถึงความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ที่พวกเธอทำให้เกิดขึ้นในเมืองหลวงตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ทำให้ฉีหลิงเอ๋อละลานใจไม่น้อย แทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้


ขนาดบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลฉีก็ยังไม่อาจรวบรวมผู้เชี่ยวชาญและคนสำคัญมามากมายขนาดนี้ได้ แต่ชายหนุ่มทำสำเร็จ!


ซึ่งเหตุผลหลักก็ไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นเพราะความโด่งดังของยาเม็ดเพิ่มความงามที่แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์ และมีความต้องการจากท้องตลาดเพิ่มสูงขึ้นอีกมากตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา


บรรดาสุภาพสตรีที่อยากคงความอ่อนเยาว์ไว้จะกินยาเม็ดเพิ่มความงาม ส่วนสุภาพบุรุษก็ใช้ยาเม็ดเพิ่มความงามเยียวยาอาการบอบช้ำภายใน เพิ่มสติปัญญาและยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้น…


ซึ่งผลที่ได้ไม่ต่างอะไรกับปาฏิหาริย์ ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้ไม่มีใครเกิดความไม่พอใจจางเซวียน แม้ยาเม็ดของเขาจะมีราคาสูงลิ่ว


แต่แน่นอนว่ากระแสตอบรับทางบวกของยาเม็ดเพิ่มความงามก็เป็นเพราะความทุ่มเทของฉีหลิงเอ๋อด้วย เธอทุ่มเททำงานนี้สุดตัว ทั้งยังใช้เส้นสายทุกรูปแบบของตระกูลฉีเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยความราบรื่น


แถมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 วันก่อนก็มีส่วนสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับยาเม็ดเพิ่มความงาม


พ่อค้าผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของเมืองหลวงกำลังจะหมดอายุขัย ในขณะที่ทุกคนเตรียมการจัดงานศพแล้ว สมาชิกรุ่นเยาว์คนหนึ่งในตระกูลของเขาก็มอบยาเม็ดเพิ่มความงามให้


ทันทีที่กินเข้าไป พ่อค้าที่นอนติดเตียงก็ได้เรี่ยวแรงกลับคืนมา เขาลุกขึ้นยืนได้ แถมวิ่งไปทั่วบ้านพักเพื่อสำแดงพละกำลังที่ได้มาใหม่


ถึงจะไม่มีใครรู้ว่าอายุขัยของเขาถูกยืดออกไปได้นานแค่ไหน แต่เท่าที่ดูจากความกระชุ่มกระชวยที่เกิดขึ้น เขาก็ไม่น่าจะเสียชีวิตในระยะเวลาอันใกล้


ทันทีที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป นักรบมากมายก็พลันแน่ใจว่าความมหัศจรรย์ของยาเม็ดเพิ่มความงามไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ความต้องการยาเม็ดจึงเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่า


ช่างน่าทึ่งที่ยาเม็ดเดียวทำให้คนคนหนึ่งงดงามขึ้นได้ ทั้งยังช่วยเยียวยาความบอบช้ำภายในและยกระดับสติปัญญาได้ด้วย แต่เพราะนักรบผู้กุมอำนาจส่วนใหญ่ผ่านช่วงเวลารุ่งเรืองสูงสุดของชีวิตมาแล้ว เรื่องพวกนี้จึงมีประโยชน์ไม่มากนักต่อพวกเขา สิ่งเดียวที่ดึงดูดใจก็คือความสามารถในการยืดอายุขัย และนั่นก็เป็นประสิทธิภาพอีกข้อหนึ่งของยาเม็ดเพิ่มความงาม


ด้วยเหตุนี้ ยอดขายยาเม็ดเพิ่มความงามจึงเพิ่มสูงกว่าที่ฉีหลิงเอ๋อคาดไว้ถึง 2,000 เม็ด


แต่สิ่งที่ดึงดูดกลุ่มอำนาจและคนดังจากที่ต่างๆให้มารวมตัวกันในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่ใช่เพียงเพราะความเย้ายวนใจของยาเม็ดเพิ่มความงาม เรื่องสำคัญกว่าก็คือข่าวที่จางเซวียนมอบหมายให้ฉีหลิงเอ๋อประกาศต่อสาธารณชน


ในวันงาน ผู้หลอมยาเม็ดเพิ่มความงามจะปล่อยยาเม็ดเพิ่มพลังจิตวิญญาณอีกตัวหนึ่งที่ราคาไม่แพงและมีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธด้วย


ยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธจะใช้ได้ผลกับนักรบทุกคน ไม่ว่าจะมีวรยุทธระดับไหน ต่อให้เป็นเทพเจ้าหรือเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ขอแค่ผู้นั้นถึงจุดสูงสุดของวรยุทธระดับนั้นแล้ว การกินยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธจะช่วยเพิ่มโอกาสการฝ่าด่านวรยุทธของพวกเขาได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์


ยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธชนิดดีที่สุดที่มีวางขายในท้องตลาดตอนนี้เพิ่มโอกาสการฝ่าด่านวรยุทธได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ทำให้นักรบทุกคนเพียรพยายามเสาะหา


เป็นความจริงที่รู้ทั่วกันว่านักรบระดับเทพเจ้าจะต้องเผชิญอุปสรรคใหญ่หลวงกว่าจะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง และผู้ที่ผ่านอุปสรรคนั้นไปได้ก็ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งขึ้นมาก ยังจะมีอายุขัยยาวนานขึ้นถึง 10 เท่าด้วย


ที่สำคัญกว่านั้นคือไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นอุปสรรคกีดขวางการยกระดับวรยุทธของพวกเขาในอนาคต


เพียงเท่านี้ ก็แทบจินตนาการไม่ออกแล้วว่ายาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธจะมีมูลค่าสูงขนาดไหน นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงทุกคนคงแทบจะยอมตายเพื่อให้ได้มันมา!


ด้วยเหตุนี้ ข่าวที่ออกมาจึงสร้างความฮือฮาได้มากขึ้นอีกเมื่อผู้คนรู้ว่ายาเม็ดเพิ่มความงามก็ช่วยยืดอายุขัยได้


ถ้าไม่ใช่เพราะกิตติศัพท์ของยาเม็ดเพิ่มความงามที่มีมาก่อน ผู้คนส่วนใหญ่คงคิดว่าเรื่องนี้เป็นการหลอกลวง แต่ก็แน่นอนว่ายังมีอีกมากที่สงสัยแคลงใจในประสิทธิภาพของมันที่ดูเหลือเชื่อ แต่ก็นั่นแหละ ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงมีความหวัง


นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ฉีหลิงเอ๋อรวบรวมคนกลุ่มใหญ่ได้ในระยะเวลาอันสั้น


“เยี่ยมเลย!”


ตลอดสองสามวันมานี้ จางเซวียนวุ่นวายอยู่แต่กับเรื่องของตัวเอง แต่ก็รู้ว่าฉีหลิงเอ๋อจะปฏิบัติภารกิจที่เขามอบหมายให้ได้อย่างดี


จางเซวียนพยักหน้า จากนั้นก็หันไปถามซุนฉาง “เรื่องของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”


“นายน้อย การปรับปรุงตกแต่งร้านค้าทั้ง 100 ร้านเสร็จสมบูรณ์แล้ว นายพลจัวเฟิงก็มอบแคปซูลแก่นสารเทพเจ้าให้ผมแล้วด้วย ตอนนี้มีทั้งหมด 3,000,000 แคปซูล ส่วนขวดหยกที่คุณต้องการก็พร้อมแล้วเหมือนกัน” ซุนฉางรายงานอย่างภาคภูมิใจ


ตลอด 7 วันที่ผ่านมานี้ เขาได้นอนไม่ถึง 4 ชั่วโมง แต่แม้จะอ่อนล้าแค่ไหน ก็แสนจะพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำจนสำเร็จ


เพราะฉีหลิงเอ๋อขายยาเม็ดเพิ่มความงามได้เรื่อยๆ เขาจึงไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน การจัดหาร้านค้าจึงง่ายขึ้นมาก ถ้าไม่อย่างนั้น ต่อให้จางเซวียนต้องการเพียง 10 ร้าน ก็ยังทำให้สำเร็จได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงจำนวนหลักร้อย


ซุนฉางยื่นแหวนเก็บสมบัติที่มีแคปซูลและขวดหยกอัดแน่นอยู่ภายในให้จางเซวียนอย่างนอบน้อม


จางเซวียนรีบรับมา เขาส่องดูข้าวของที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ


เขาตั้งใจจะตีตลาดให้ได้ทั้งหมดภายในคราวเดียว โดยยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าระดับสูง ยาเม็ดเพิ่มความงามมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าระดับกลาง และสุดท้าย แคปซูลแก่นสารเทพเจ้าจะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าระดับล่าง คือนักรบทั่วไปในสรวงสวรรค์


นักรบเหล่านี้มีทั้งนักรบระดับเทพเจ้าและกึ่งสรวงสวรรค์ ซึ่งปริมาณจิตปรารถนาของพวกเขามีจำกัด แต่การที่ได้กลุ่มเป้าหมายมาจำนวนมากก็พอทดแทนกันได้


ขอแค่เขาเปิดตลาดและทำให้ผู้คนรู้จักเขาได้สำเร็จ จางเซวียนก็มั่นใจว่าจะได้รับกระแสจิตปรารถนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงและสูงกว่านั้นได้อย่างรวดเร็ว


เขาเชื่อว่าปรมาจารย์ขงก็คงใช้วิธีแบบเดียวกับเขาเพื่อให้ได้เป็นจอมราชันย์พิชิตสวรรค์, จอมราชันย์คนที่สิบของสรวงสวรรค์แห่งนี้


จางเซวียนถามต่ออีกสองสามคำถาม แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะเก็บงานอย่างดี แก้ไขทุกปัญหาได้หมดไม่มีเหลือ


จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ “เราไปที่จัตุรัสกันเถอะ”


พวกเขาขึ้นขี่หลังอสูรสวรรค์สร้างบินได้ มุ่งหน้าสู่จัตุรัสซึ่งเป็นพื้นที่จัดงาน


จางเซวียนรวบรวมฝูงชนได้ตามที่ต้องการแล้ว และทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย ที่เหลือก็คือเขาต้องโชว์ความเก๋า!


ขอแค่ทำผลงานครั้งนี้ได้ดี…


ไม่ใช่สิ!


จะเรียกว่าโชว์เก๋าได้อย่างไร เขาเป็นปรมาจารย์นะ และทุกอย่างก็เป็นของจริง!


แต่นั่นแหละ ขอแค่ทำผลงานได้ดี เขาก็แน่ใจว่าชื่อ ‘จางเซวียน’ จะเป็นที่จดจำของทุกคนที่อยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน และเมื่อเวลาผ่านไป ชื่อนี้ก็จะแพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวระแหงของสรวงสวรรค์ ทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย


ลั่วชิง ในเมื่อผมตามหาคุณไม่ได้ ผมก็จะทำตัวเองให้กลายเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดในสรวงสวรรค์ เพื่อให้คุณมาหาผมแทน!


 


ยังไม่ถึงเวลา แต่จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย


จางเซวียนคาดว่าคงมีผู้ร่วมงานราวหนึ่งแสนคนเป็นอย่างมาก แต่มองแวบเดียว ก็เห็นชัดแล้วว่ามีจำนวนมากกว่านั้นหลายเท่า


ฉีหลิงเอ๋อจัดยกพื้นไว้ในจัตุรัสเพื่อให้เขาแนะนำตัวต่อฝูงชน บริเวณนั้นแน่นขนัดถึงขนาดที่นักรบบางส่วนนั่งชมงานจากบนหลังอสูรสวรรค์เพื่อไม่ให้ถูกเบียดจนกลายเป็นปลากระป๋อง


…..


“ที่นี่จะต้องมีผู้คนรวมตัวกันอย่างน้อย 5 แสนคนแน่ ใช่ไหม?”


ผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีเทาที่นั่งอยู่บนหลังของอสูรสวรรค์บินได้มองลงมาที่ฝูงชนกลุ่มใหญ่ด้านล่างพร้อมกับย่นหน้าผาก


“ผมพูดได้เพียงว่าความเย้ายวนของยาเม็ดเพิ่มความงามนั้นมีอานุภาพรุนแรงกว่าที่คิด” ผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีดำที่นั่งอยู่ข้างๆพูดเสริม


“ผมพยายามตรวจสอบส่วนประกอบของยาเม็ดเพิ่มความงามแล้ว แต่ไม่ว่าจะวิเคราะห์ส่วนผสมและกรรมวิธีการหลอมอย่างไร มันก็ไม่ได้ต่างกับยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำเลย น่าแปลกใจเหลือเกินที่ประสิทธิภาพของมันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์!” ผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีเทาพูดพร้อมกับส่ายหน้า


หลังจากความนิยมยาเม็ดเพิ่มความงามพุ่งพรวด เขาก็รีบสั่งการให้บริวารคนหนึ่งซื้อยาเม็ดเพิ่มความงามมา 2 เม็ดเพื่อทำการตรวจสอบ เขาใช้เวลา 3 วันเต็มในการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนจากภายนอกถึงภายใน แต่ข้อสรุปที่ได้ก็คือ…มันเป็นแค่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำธรรมดา!


ในตอนนั้น เขาตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำมีราคาเพียงเม็ดละ 1 เหรียญสวรรค์เท่านั้น แต่ยาเม็ดเพิ่มความงามถูกดันราคาขึ้นไปถึงเม็ดละ 1,500 เหรียญสวรรค์! แต่เขาจะกล่าวหาว่าเรื่องนี้เป็นการหลอกลวงต้มตุ๋นก็ไม่ได้ เพราะเขาได้ทดสอบประสิทธิภาพของมันแล้ว ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามเสียงร่ำลือ


อาการบอบช้ำสาหัสที่เขาต้องทุกข์ทรมานมานานหลายปีถูกขจัดออกไป ผิวพรรณของเขาก็ดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก


นั่นคือสิ่งที่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าทั่วไปไม่สามารถทำได้


ลงท้าย ก็ได้แต่ล้มเลิกความพยายามที่จะทำความเข้าใจยาเม็ดเพิ่มความงาม


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขากระวีกระวาดมาร่วมงาน อยากเห็นว่าใครคืออัจฉริยะผู้หลอมยาน่าทึ่งชนิดนี้


“ผมก็ศึกษายาเม็ดเพิ่มความงามแล้วเหมือนกัน และได้ข้อสรุปแบบเดียวกับคุณ” ผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีดำตั้งข้อสังเกตขณะยิ้มเจื่อนๆ “ผมรู้ว่ามีนักปรุงยาอีกหลายคนที่พยายามศึกษายาเม็ดเพิ่มความงามเช่นกัน อันที่จริง สมาคมนักปรุงยาของเมืองหลวงได้ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีใครล่วงรู้ความลับที่อยู่เบื้องหลังประสิทธิภาพของมัน ผมรู้มาว่าประธานสมาคมนักปรุงยาวุ่นวายใจจนแทบจะเสียสติ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)