ยอดหญิงสกุลเสิ่น 222.2-225.1
ตอนที่ 222-2 สองปู่หลานซุบซิบ
เมื่อได้ยินท่านปู่เอ่ยถึงอาจารย์ซู เสิ่นเวยก็สนใจขึ้นมาในชั่วขณะ “ท่านปู่ๆ ท่านรู้จักอาจารย์ซูด้วยหรือ เขามีที่มาอย่างไรกันแน่ เล่าให้หลานฟังหน่อย!” นางเห็นอาจารย์ซูแวบแรกก็รู้สึกแล้วว่าเขามีที่มาไม่ธรรมดา ความรู้สึกนี้กระทั่งเข้าเมืองหลวงมาแล้วก็ยิ่งชัดเจน ให้ตายเถอะ อาจารย์ซูของนางเข้าใจเมืองหลวงดียิ่งนัก ตระกูลไหนจวนไหนเป็นใครบ้าง ชำนาญประหนึ่งเป็นสมบัติที่อยู่ในบ้าน ยังมีกิริยาของอาจารย์ซู นั่นไม่ใช่กิริยาที่ตระกูลธรรมดาจะบ่มเพาะออกมาได้
ดวงตานายท่านผู้เฒ่าโหวกะพริบวาบ “อาจารย์ซูไม่ได้บอกเจ้าหรือ ล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าผ่านมาหลายปีแล้ว ไม่เอ่ยก็ไม่เป็นไร ไม่เอ่ยก็ไม่เป็นไร” เขาโบกมือ ท่าทางไม่อยากเอ่ยมากเท่าไร
เสิ่นเวยเห็นปู่นางไม่ยอมพูด ไหนเลยจะยอมหยุด รบเร้าเขา “อาจารย์ซูพูดเพียงแค่ให้ข้าเลี้ยงดูเขาวัยเกษียณ ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของตัวเองเลย ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยถาม เขาก็พูดทำนองว่าร่อนเร่พเนจร เสียใจจนละทางโลกต่างๆ เพื่อหลอกข้า ท่านปู่ใจดี ท่านบอกหลานหน่อยสิ ดูจากเจตนาในคำพูดของท่านแล้วเขาจะต้องเสียเปรียบจากสวตรีเรือนหลังมาก่อนแน่นอน อีกทั้งฐานะเดิมจะต้องไม่รรมดา ไม่แน่ว่าวันไหนหลานอาจจะพบเข้า ท่านเล่าให้หลานฟังหน่อย หลานจะได้เตรียมป้องกันล่วงหน้า” อันที่จริงนางสนใจเรื่องเล่าในอดีตของอาจารย์ซูอย่างยิ่งจริงๆ
นายท่านผู้เฒ่าโหวคิดครู่หนึ่ง กล่าว “รู้จักมุขมนตรีฟังหัวหน้าคณะเสนาบดีใช่หรือไม่ อาจารย์ซูของเจ้าก็คือบุตรคนโตของเขา ข้างนอกต่างก็พูดว่าเขาเป็นบุตรคนโตของอนุภรรยา แต่ความจริงแล้วเขาเป็นบุตรภรรยาเอก บุตรภรรยาเอกที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ว่ามารดาเขามีฐานะเดิมต้อยต่ำ สู้คนหลังไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”
“ให้ตาย มุขมนตรีฟัง!” เสิ่นเวยปิดปากร้องอุทานหนึ่งครา แม้นางจะไม่สนใจราชสำนัก แต่กลับรู้จักมุขมนตรีฟังผู้นี้ อันที่จริงคนผู้นี้ก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากปู่ของนางนัก ซ้ำยังไม่ใช่บุคคลที่มีความรู้โดดเด่ดอะไร เพราะว่าบ้านยากจน อายุได้ยี่สิบห้ายี่สิบหกปีก็สอบได้บัณฑิตชั้นสูง แต่เขามีอีคิวสูงอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่าดันตัวเองจากชั้นล่างเข้าไปในคณะเสนาบดีได้ ลูกศิษย์มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง จะพูดเช่นนี้ก็ได้ เพียงเขาชูมือเรียก ปัญญาชนใต้หล้าก็ตอบรับกันนับไม่ถ้วน
“เอ๋ ไม่น่าใช่ อาจารย์ซูแซ่ซูไม่ได้แซ่ฟัง อีกทั้งลูกทั้งสามของมุขมนตรีฟังล้วนไม่โดเด่น หากอาจารย์ซูเป็นบุตรคนโตของเขา เหตุใดถึงปล่อยให้เขาเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเล่า ไม่ใช่ควรจะเลี้ยงดูให้ดีเพื่อเป็นผู้สืบทอดหรอกหรือ” เสิ่นเวยสงสัยอย่างถึงที่สุด
นายท่านผู้เฒ่าโหวหัวเราะเยาะหนึ่งครา “นี่ก็คือผลกรรมที่แซ่ฟังอย่างไรเล่า ลูกทั้งสามเทียบไม่ได้แม้แต่พ่อเจ้าลุงเจ้าด้วยซ้ำ ทว่าคนที่โดดเด่นที่สุดผู้นี้กลับถูกตัดชื่อไล่ออกจากบ้าน สมน้ำหน้าที่เขาไม่มีผู้สืบทอด ใครให้เขาลดขั้นภรรยาเอกเป็นอนุภรรยาเล่า เหอะ สมน้ำหน้ากรรมตามสนอง!” นายท่านผู้เฒ่าโหวยินดีบนความโชคร้ายของผู้อื่น
“เรื่องนั้นของอาจารย์ซูของเจ้าพูดขึ้นมาแล้วก็ผ่านมาเกือบยี่สิบกว่าปีแล้ว นั่นยังคงเป็นตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนดำรงตำแหน่งอยู่ ตอนนั้นเขายังอายุน้อยเป็นผู้สอบได้จอหงวน ความรู้นั้น กิริยานั้น ความสุขุมนั้น คุณชายยอดเยี่ยมในเมืองหลวงตอนนี้หากไปอยู่ต่อหน้าเขายังสู้ไม่ได้เลย แต่จู่ๆ วันหนึ่งก็เกิดเรื่องเขาข่มขืนอนุภรรยาของบิดา อีกทั้งยังอยู่ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน ตอนนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ตกตะลึง ภายใต้ความโกรธมุขมนตรีฟังก็ลงโทษเขากับมือด้วยการโบยเขาเกือบตาย จากนั้นก็เปิดศาลบรรพบุรุษลบชื่อของเขาออกจากตระกูล ภายหลังก็ไม่มีใครเห็นเขาอีก” นายท่านผู้เฒ่าโหวทอดถอนใจ
“ตอนแรกที่เห็นเขาที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นปู่ก็รู้สึกว่าเขาคุ้นหน้าหลายส่วน ก่อนหน้านี้บังเอิญเจอมุขมนตรีฟังในวังจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นใคร หน้าตาของเขาเหมือนมุขมนตรีฟังตอนหนุ่มห้าส่วน”
“ท่านปู่ เป็นไปไม่ได้กระมัง อาจารย์ซูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งเช่นนั้นจะข่มขืนอนุภรรยาของบิดาได้อย่างไร จะต้องถูกคนใส่ร้ายแน่นอน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในคณะเสนาบดีคนหนึ่งคาดไม่ถึงว่าแม้แต่ละครฉากนี้ก็ดูไม่ออก เขาจะไม่เชื่อใจลูกชายของตัวเองเลยหรือ ข้าไม่เชื่อ” เสิ่นเวยส่ายหน้า ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว หากมุขมนตรีฟังเป็นคนเลอะเลือนเช่นนี้จริงๆ จะเข้าไปในคณะเสนาบดีได้อย่างไร
“เจ้าไม่เชื่อก็คิดเสียว่าปู่ไม่เคยพูด อย่างไรเสียตอนนั้นมุขมนตรีฟังก็จัดการเช่นนั้นจริงๆ” นายท่านผู้เฒ่าโหวยกมุมปาก เผยรอยยิ้มเหยียดหยาม “แต่ว่าต่อมาก็คล้ายมีข่าวลือว่าเป็นแผนการของฮูหยินมุขมนตรีฟัง เพื่อที่จะกำจัดหนามยอกอกให้ลูกชาย แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงข่าวลือ คนที่เชื่อมีไม่เยอะ เพราะว่าชื่อเสียงของฮูหยินฟังดียิ่งนัก ไม่เพียงแต่ทุกปีแจกจ่ายข้าวสารอาหารแห้งช่วยเหลือคนยากคนจน อีกทั้งอาจารย์ซูของเจ้าก็ถูกเลี้ยงดูโดยฮูหยินฟังผู้นี้ ความสัมพันธ์แม่ลูกดียิ่งนัก หลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว นางก็คุกเข่าขอความเมตตาจากมุขมนตรีฟังด้วยตัวเอง”
“อะไรนะ ความสัมพันธ์แม่ลูกงั้นหรือ” คราวนี้เสิ่นเวยตะลึงงันแล้ว
นายท่านผู้เฒ่าโหวเห็นหลานสาวของเขามีท่าทางมึนงงยากจะเห็นเช่นนั้น ก็กล่าวอย่างแฝงความนัย “เจ้าก็เห็นแล้ว ชัดเจนว่าอาจารย์ซูของเจ้าถูกคนใส่ร้าย แต่กลับตกต่ำจนสูญเสียจุดยืนและชื่อเสียง ทำได้เพียงเปลี่ยนชื่อเดินทางไกลหลบหนีไปยังชนบท ส่วนคนที่ทำร้ายเล่า กลับถูกปุถุชนสรรเสริญเสพสุขสำราญ จึงเป็นเหตุผลว่าเจ้าอย่าได้ชะล่าใจ อย่าคิดว่าตนมียุทธ์ติดตัวไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ส่วนใหญ่เวลาฆ่าคนไหนเลยจะใช้ดาบ”
หยุดครู่หนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าก็กล่าวต่อ “แต่ว่าอาจารย์ซูของเจ้ากลับเป็นคนใจกว้าง เจอเรื่องหนักหนาสาหัสเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นคงซึมเซาไปนานแล้ว แต่เขากลับใช้ชีวิตได้อย่างสบายเช่นนี้ เห็นได้ว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม เจ้ามีเรื่องอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามเขาได้เลย ความสามารถเขาเยอะ”
เสิ่นเวยพยักหน้า คิดว่าจะหาโอกาสไปสืบเรื่องอาจารย์ซูให้แน่ชัดจงได้
คนหลายคนที่พูดคุยกันอยู่ในห้องหนังสือเรือนนอกกำลังสนุกสนาน บรรยากาศดีอย่างยิ่ง แรกเริ่มทุกคนยังกังวลว่าสวีโย่วเป็นจวิ้นอ๋อง อึดอัดเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ค่อยๆ ค้นพบว่าท่านเขยคนใหม่ผู้นี้แม้ว่าจะพูดไม่เยอะ แต่กลับถ่อมตัวมีมารยาทอย่างยิ่ง ไม่วางมาดราชนิกุลเลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะกับผู้อาวุโส ตั้งใจฟังที่พวกเขาพูด มีน้ำอดน้ำทนยิ่งนัก!
ไม่เพียงแต่จิตใจทะนงตนของเสิ่นหงเซวียนที่พึงพอใจอย่างถึงที่สุด แม้แต่เสิ่นหงเหวินกับเสิ่นหงอู่สองพี่น้องก็ยังพยักหน้าชมไม่หยุด รู้สึกว่าเวยเอ๋อร์แต่งงานกับสามีที่ดี
สวี่หรง เหวินเทาและเว่ยจิ่นอวี้เองก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย พวกเขาอายุเท่ากัน ย่อมต้องมีปัญหาเหมือนกัน สวี่หรงและคนทั้งสองต่างก็เป็นปัญญาชน เอ่ยถึงบทกลอนบทความขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากนั้นพวกเขาก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่า น้องเขยสี่ที่เลื่องลือว่าสุขภาพไม่ดีผู้นี้ในด้านการเรียนไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย ไม่ว่าพวกเขาจะพูดคุยอะไร เขาก็จะร่วมวงสนทนา ทั้งยังสามารถเสนอความคิดเห็นของตัวเองได้ และความคิดความอ่านนี้ยังทำให้ทุกคนเปิดมุมมองใหม่ได้อีกด้วย
สวี่หรงกับเหวินเทาราวกับหาเพื่อนเจอแล้ว พูดคุยก็ยิ่งสนิทสนม เว่ยจิ่นอวี้ที่มีความรู้ดีที่สุดกลับรู้สึกสับสนมากเป็นพิเศษ!
เสิ่นเวยที่กลับบ้านวันนี้เคยเป็นคู่หมั้นของเขา ตอนเด็กๆ ไม่รู้ประสา รู้เพียงแค่ว่าตนมีคู่หมั้นคนหนึ่ง เมื่อโตขึ้นรู้เรื่องชายๆ หญิงๆ แล้ว ทุกๆ ครั้งที่อ่านบทกลอน ‘นกจวีจิวขันร้องเรียกหาคู่ อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ หญิงงามอรชร เป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม’ ใน ‘คัมภีร์ซือจิง’ ในสมองก็วาดภาพเงาของหญิงงามผู้หนึ่งอย่างอดไม่ได้ แม้ใครๆ ต่างก็พูดว่าแต่งภรรยาให้แต่งหญิงที่มีคุณธรรม แต่เขาก็ยังคงหวังว่าว่าที่ภรรยาของเขาจะเป็นหญิงงามอรชร
ครั้งนั้นที่ไปงานเลี้ยงที่จวนองค์หญิงใหญ่ เขาตั้งใจวิ่งตามไปที่หน้าประตูใหญ่เพื่อดูคู่หมั้นปราดหนึ่ง หญิงที่งดงามอ่อนโยนผู้นั้นตรงกับคนที่เขาคิดในใจพอดี ด้วยเหตุนี้ เงาร่างของเสิ่นเวยจึงประทับลงในใจเขาทันที
แต่เกิดข้อผิดพลาด พวกเขาไม่มีวาสนาให้เป็นสามีภรรยากัน ท้ายที่สุดเขาแต่งงานกับน้องสาวของนางกลายเป็นน้องเขยของนางแทน ส่วนนางก็แต่งงานกับอีกคน
วันนี้เป็นวันที่นางกลับบ้าน มองเงาร่างที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันของนางกับสามีนาง เขารู้สึกว่าหัวใจของตนราวกับแหว่งไปหนึ่งมุม
เดิมคิดว่าแต่งงานกับคนขี้โรคทำให้นางไม่สมปรารถนา แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เหนียมอายบนใบหน้าของนาง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็หลอกตัวเองไม่ได้
ซ้ำพี่เขยสี่ผู้นี้ยังไม่ใช่คนขี้โรคที่ไร้ประโยชน์อย่างที่เขาคิด ใบหน้างามดั่งหยก เรือนร่างสูงตรง เพียงแค่ด้านความรู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนแล้ว นี่จะไม่ให้เขาริษยาได้อย่างไร เขาเองก็รู้ว่าสุภาพบุรุษทำเช่นนี้ไม่ดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจควบคุมความคิดที่เกิดขึ้นมาในใจไม่หยุดได้
งานเลี้ยงตอนเที่ยงแยกกันนั่ง โต๊ะฝ่ายญาติผู้หญิงตั้งอยู่ที่เรืองซงเฮ่อของนายหญิงผู้เฒ่า โต๊ะของเหล่าบุรุษก็ตั้งอยู่ที่เรือนนอก เสิ่นเวยยังตั้งใจบอกปู่นางว่าสวีโย่วดื่มสุราไม่ได้ ให้เขาคอยดูอย่าให้ใครรินสุราให้เขา นายท่านผู้เฒ่าโหวก็กัดฟันรับปาก
อันที่จริงเสิ่นเวยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีโย่วดื่มสุราได้หรือไม่ แต่นางไม่อยากดมกลิ่นสุรานั่น เช่นนั้น
สวีโย่วก็อย่าดื่มเสียเลยดีกว่า
งานเลี่ยงยามเที่ยงเสิ่นเวยกินด้วยความเปรมปรีอย่างยิ่ง อืม ยังคงเป็นอาหารในจวนโหวที่ถูกปาก เรื่องที่ทำให้เสิ่นเวยประหลาดใจก็คือ ไม่เพียงแต่นายหญิงผู้เฒ่าที่ยิ้มแย้มให้นาง เสิ่นเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าไม่ได้หาเรื่องนางเช่นกัน เมื่อก่อนนางเห็นตนก็จะต้องเสียดสีหลายประโยคอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เสิ่นเวยคิดว่านางเป็นเด็กปีศาจที่ขาดการสั่งสอน ไม่จัดการไม่ได้
วันนี้เป็นอะไรไปเล่า อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือ หรือว่าจวนหย่งหนิงโหวถูกกระตุ้นอะไรมา นึกถึงอวี้ซื่อที่ยากจะจัดการผู้นั้นแล้ว เบื้องลึกในใจเสิ่นเวยก็จุดเทียนให้นางหนึ่งเล่มเงียบๆ น้องห้า ขอให้เจ้าโชคดี!
ความคิดนี้ผ่านมาเพียงแค่แวบเดียวก็ถูกเสิ่นเวยวางไว้ข้างๆ คนที่ไม่ต้องให้ความสำคัญ จะสนใจนางไปทำไม อย่างไรเสียนางเองก็เล่นลูกไม้อะไรไม่ได้อยู่แล้ว
กินเลี้ยงตอนเที่ยงเสร็จสวีโย่วก็ตามเสิ่นเวยไปพักผ่อนที่เรือนเฟิงหวา ปีนกำแพงมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดคราวนี้ก็เดินเล่นได้อย่างเปิดเผยเสียที เสิ่นเวยมองท่าทางสวี่โย่วที่สนใจแม้แต่ต้นหญ้า หัวเราะเยาะหนึ่งครา
ตอนที่ 223-1 วางแผนเอาสินเดิม
ในใจสวีโย่วตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด ปีนกำแพงมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดวันนี้ก็สามารถยืนอยู่ในห้องนอนของน้องสี่ได้อย่างเปิดเผยแล้ว โดยเฉพาะวันเหล่านั้นหลังนายท่านผู้เฒ่ากลับจวน มาตรการป้องกันของจวนจงอู่โหวก็เข้มงวด หากไม่ใช่ว่าวิชาตัวเบาของเขาดี ก็คงจะถูกนายท่านผู้เฒ่าโหวจับได้แล้ว เฮ้อ ไม่คิดแล้ว ล้วนแต่เป็นน้ำตาแห่งความเศร้า!
เข้าไปในห้องนอนแล้วสวีโย่วก็มองประเมิณด้วยความสนใจ มาก็มาหลายครั้งแล้ว แต่ล้วนเป็นกลางคืน มืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงไฟ อีกทั้งตอนนั้นในสายตาเขายังมองเห็นเพียงน้องสี่แซ่เสิ่น ไหนเลยจะสนใจเครื่องเรือนที่จัดวางอยู่ภายในห้อง
ม่านไหมบางสีฟ้าหลังฝนทอลายดอกไม้ใบหญ้า ข้างเตียงมีโต๊ะเครื่องแป้งไม้หวงฮวาหลีหนึ่งตัว ข้างบนมีหนังสือที่เปิดอยู่หนึ่งเล่มสามารถหยิบมาได้ทันที ราวกับวันเจ้าของเพียงแค่ออกไปชั่วคราวประเดี๋ยวก็กลับมา
สวีโย่วเดินอยู่ภายในห้องหนึ่งรอบ ทันใดนั้นใจก็เต้น วิ่งตรงไปยังใต้หมอนบนเตียงใหญ่ เปิดหมอนที่มีกลิ่นหอมออกแต่กลับพบว่าข้างใต้ไม่มีอะไร จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่หยอกล้อของเสิ่นเวยข้างหลัง “ท่านหานี่อยู่หรือ”
ในมือของเสิ่นเวยถือเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ มือซ้ายมือขวาโยนไปมาเช่นนี้ ส่งเสียงกระทบที่กังวานออกมา
สวีโย่วหันตัวทันที ทำให้เสิ่นเวยหัวเราะคิกคัก เหรียญทองแดงเหล่านี้ถูกนางใช้เป็นอาวุธกับสวีโย่ว ไม่รู้ว่าแตะโดนตัวเขามากี่ครั้งแล้ว
“เจ้าวางพวกมันไว้ที่ไหน รีบเก็บขึ้นมา” ที่สวีโย่วคิดกลับเป็นความสัมพันธ์ของเหรียญทองแดงกับการแต่งอนุภรรยา ความคิดแวบขึ้นมา กล่าวถาม “หากข้าแต่งอนุภรรยาจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร”
ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบครู่หนึ่ง “ไม่ใช่บอกแล้วหรือว่าขึ้นอยู่กับเหรียญทองแดง”
“เอาความจริง” สวีโย่วสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ ผู้หญิงคนอื่นแม้ว่าในใจจะไม่พอใจที่สามีแต่งอนุภรรยา แต่กลับไม่กีดกันเช่นนาง บางคนกระทั่งแต่งหน้าสาวใช้ข้างกายส่งให้สามีด้วยตัวเอง เด็กน้อยคนนี้กลับดี ไม่เพียงแต่จะฆ่าอนุภรรยา แม้แต่เขาก็ยังไม่ปล่อย ขี้หึงมากจริงๆ! แต่ว่าเขาชอบ!
“ความจริงหรือ” เสิ่นเวยกลอกตาขาว กล่าว “จะฆ่าพวกท่านจริงๆ ก็คงจะไม่ได้ อย่างไรเสียอนุภรรยาก็ไม่มีความผิด ตัวต้นเหตุคือท่าน ฆ่าท่านกลับยังพอจะเป็นไปได้ แต่ว่าผลที่ตามมารุนแรงเล็กน้อย หรือจะแขวนท่านบนต้นไม้ ข้าไม่เชื่อว่าเดินทางไกลทั่วพันหุบเขาหมื่นย่านน้ำจะหาคนที่หน้าตาดีกว่าท่านไม่เจอ”
หลังจากนั้นก็จ้องมองสวีโย่วอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าว “แต่ว่าก่อนจะไปข้าจะตอนต้นเหตุความชั่วร้ายของท่าน ท่านก็รู้ว่าข้ามีนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบเช่นนี้ คอยดูท่านไร้ทายาทสืบทอด ส่วนข้าก็โอบชายหนุ่มซ้ายขวาอยู่ข้างนอก เท่านั้นข้าก็มีความสุขแล้ว”
สวีโย่ว “อย่าแม้แต่จะคิด” คิดจะทิ้งเขาไปมีชีวิตอิสระงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
“ชีวิตนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว คิดจะทิ้งข้าหรือ หึ รีบเก็บความคิดเหลวไหวนี้ไปเสีย” สวีโย่วกล่าวขู่
เสิ่นเวยถลึงตามองเขาแล้วพูด “ก็ท่านถามข้าไม่ใช่หรือ ข้าเพียงแค่พูดความคิดจริงๆ ที่อยู่ในใจออกมา มีอะไรผิดหรือ รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ท่านหนักจะตายอยู่แล้วรู้ตัวหรือไม่ ยั่วโมโหข้า หึ แม้ว่าข้าจะไม่ชอบปัญหาวุ่นวาย แต่ถ้าปัญหามาหาเองข้าก็ไม่กลัวเหมือนกัน” เสิ่นเวยกางกรงเล็บขู่กลับ
กระทั่งยามเซิน หมดหนทางจะถ่วงเวลาแล้วเสิ่นเวยจึงจากไปพร้อมสวีโย่วด้วยความอาลัยอาวรณ์ เสิ่นเจวี๋ยวิ่งตามหลังรถม้าออกไปไกล เสิ่นเวยเปิดม่านมองไปข้างหลัง ไม่รู้เหตุใดความรู้สึกถึงได้เศร้าโศก ราวกับในใจถูกยัดอะไรบางอย่างไว้ อึดอัดอย่างถึงที่สุด
สวีโย่วเห็นนางไม่มีความสุข ก็กล่าวปลอบ “อยู่ไม่ไกลมาก ตัวข้าเองก็ไม่มีงาน เจ้าอยากกลับเมื่อไรข้าจะกลับมาเป็นเพื่อนเจ้า” เห็นเด็กคนนี้กระโดดโลดเต้นจนชิน พอเห็นนางนิ่งเงียบไม่มีความสุขเช่นนี้ สวีโย่วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก
เสิ่นเวยได้ยินแล้วในใจก็สบายอย่างยิ่ง แต่ปากกลับกล่าว “ด้วยนิสัยสร้างความลำบากใจให้คนอื่นอย่างแม่เลี้ยงของท่าน จะปล่อยพวกเราออกจากจวนง่ายๆ สิแปลก”
“วางใจ” นางยุ่งได้ไม่เยอะเพียงนั้นหรอก” สวีโย่วกล่าวอย่างสบายๆ ไม่ได้เห็นพระชายาจิ้นอ๋องอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว
ดวงตาของเสิ่นเวยลุกวาวในชั่วขณะ พี่ชายจะเปลี่ยนมาเดินบนเส้นทางเจ้านายเผด็จการแล้วหรือ ฮ่าๆ ข้าชอบนัก
“เช่นนั้นพวกเราตกลงกันแล้วนะ ท่านต้องพาข้าออกจวนไปเล่นบ่อยๆ” เสิ่นเวยดึงแขนเสื้อของสวีโย่วพูดอย่างร้อนใจ ก่อนหน้านี้ที่จวนโหวนางอยากออกจวนเมื่อไหรก็ออกจวนเมื่อนั้น
สวีโย่วละสายตามอง กล่าวอย่างแฝงความนัย “ขอเพียงแค่เจ้าทำให้ข้าพอใจ ข้าย่อมทำให้เวยเวยพอใจแน่นอน”
เสิ่นเวยไม่เข้าใจก่อน เมื่อสบสายตาของสวีโย่ว ชั่วขณะก็โมโหอย่างถึงที่สุด เจ้านายเผด็จการอะไร เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนหน้าไม่อายต่างหาก
ให้ตายเถอะ หรือว่านี่จะเป็นอาการตกหลุมรักหัวปักหัวปำในคำเล่าลือ มิเช่นนั้นเหตุใดหมอนี่ถึงได้คิดแต่เรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน
กลับไปถึงจวนจิ้นอ๋อง เสิ่นเวยก็ไปที่เรือนพระชายาจิ้นอ๋องก่อน เป็นถึงลูกสะใภ้ นี่คือมารยาทที่จำเป็นต้องทำ เสิ่นเวยไม่อยากถูกคนจับจุดอ่อน
พระชายาจิ้นอ๋องถามด้วยความเป็นมิตรพักหนึ่ง รู้ว่าพี่รองของเสิ่นเวยตั้งครรภ์ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้าง “ช่างมีวาสนาจริงๆ ภรรยาโย่วเอ๋อร์ก็ตั้งใจให้มากๆ รีบมีทายาทให้โย่วเอ๋อร์ในเร็ววัน”
เพิ่งจะแต่งงาน พระชายาจิ้นอ๋องก็เอ่ยถึงทายาทแล้ว รีบเกินไปหน่อยหรือไม่ ความคิดแวบเข้ามาในใจเสิ่นเวย หน้านางแดงเขินอาย “เสด็จแม่อย่าหยอกล้อลูกสิเพคะ”
ท่าทางอยากจะมุดแผ่นดินหนีนั้นทำให้พระชายาจิ้นอ๋องยิ้มกว้าง จับมือของเสิ่นเวยแล้วกล่าว “ดูสิทำภรรยาโย่วเอ๋อร์เขินแล้ว อย่างไรเสียก็ยังอายุน้อย หน้าบาง มีบุตรสืบสกุลคือเรื่องใหญ่ มีอะไรให้อายหรือ ภรรยาโย่วเอ๋อร์ต้องเพิ่มแรง ให้แม่ได้อุ้มหลานคนโตในเร็ววัน”
“เสด็จแม่ ท่านพูดอะไรกัน” เสิ่นเวยกระทืบเท้าแค้นเคืองจากความเขินอาย ทำให้พระชายาจิ้นอ๋องหัวเราะร่าอีกครั้ง หัวเราะไปพลางปลอบไปพลาง “เอาล่ะๆ แม่ไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว”
พระชายาจิ้นอ๋องให้เสิ่นเวยอยู่กินข้าวเย็นในเรือนนาง เสิ่นเวยปฏิเสธ อย่าว่าแต่กินข้าวเลย แม้แต่น้ำชาในเรือนพระชายาจิ้นอ๋องนางยังไม่กล้าแตะ เหมือนอย่างที่ปู่นางพูด ระวังไว้ก่อนดีกว่า
เสิ่นเวยกลับไปถึงเรือน เถอจือที่อยู่เฝ้าก็เข้ามารายงาน “ฮูหยิน วันนี้ทั้งหมดเป็นปกติ เพียงแต่หลังจากที่ท่านตามคุณชายใหญ่ไปแล้วอิงเกอในเรือนฮูหยินสามก็มาพูดคุยกับบ่าว บอกว่าอยากให้บ่าวสอนเย็บปักถักร้อย แต่พูดวกไปวนมาล้วนแต่สืบถามเรื่องของท่านฮูหยิน ซ้ำยังเอ่ยถึงสินเดิมของท่าน ราวกับสนใจสินเดิมของท่านยิ่งนัก ถูกบ่าวเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงประเด็น นางสืบไม่ได้อะไร ตอนที่ไปก็คล้ายไม่พอใจหลายส่วน”
เสิ่นเวยพยักหน้า แววตาคล้ายครุ่นคิด อิงเกอเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายหูซื่อ เป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดในมือนาง ฝีมือเย็บปักถักร้อยเป็นอันดับหนึ่ง มาขอให้เถาจือสอนเย็บปักงั้นหรือ เกรงว่าจะมีเจตนาอื่นมากกว่ากระมัง
สินเดิมหรือ หูซื่อสืบถามสินเดิมของนางทำไมกัน ฐานะเดิมของนางเป็นถึงจวนไหวเซียงโหว แม้จะเทียบสินสอดทองหมั้นสิบลี้ของนางไม่ได้ แต่ก็ไม่เลวแล้วเช่นกัน พระชายาจิ้นอ๋องไม่มีทางหาบ้านพ่อตาแม่ยายที่ไม่มีแรงสนับสนุนให้ลูกชายแท้ๆ ของตนแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นจวนอู๋กั๋วกงฐานะเดิมของฮูหยินซื่อจื่ออู๋ซื่อหรือว่าจวนไหวเซียงโหวฐานะเดิมของหูซื่อ ในเมืองหลวงก็นับว่าร่ำรวยมีเกียรติ หูซื่อไม่ควรสายตาสั้นขนาดนี้!
“ช่างนางปะไร พวกเราไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องตลอด ไม่ต้องกลัวจะผิดใจพวกนาง อีกอย่าง คุณชายใหญ่จึงจะเป็นบุตรคนโตของภรรยาเอกในจวน พวกเราไม่ต้องกลัวพวกนาง กลับไปเจ้าไปบอกทุกคนให้หมดว่า เพียงแค่มั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมก็พอ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามฮูหยินของพวกเจ้าก็ไม่มีทางทนเห็นพวกเจ้าเสียเปรียบได้” เสิ่นเวยกำชับด้วยความเด็ดขาดอย่างถึงที่สุด
เถาจือถอนหายใจในใจอย่างโล่งอก “เจ้าค่ะ ฮูหยิน บ่าวทราบแล้ว” นางรู้ว่าฮูหยินเป็นคนเก่งที่สามารถปกป้องคนได้ แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นเรือนของพระชายาจิ้นอ๋อง ฮูหยินเพิ่งจะแต่งเข้ามา ไม่มีรากฐานใดๆ พวกนางที่เป็นบ่าวเหล่านี้เกรงว่าจะผิดใจคนอื่นสร้างความเดือดร้อนให้ฮูหยิน ตอนนี้ฮูหยินพูดเช่นนี้นางก็เข้าใจแล้ว ทำเหมือนกับที่อยู่ในจวนโหวก่อนหน้านี้แล้วกัน ไม่หาเรื่องก่อน แต่ก็ไม่อาจขลาดกลัวได้เป็นอันขาด
เสิ่นเวยไม่รู้ว่าคนที่สนใจสินเดิมของนางไม่ได้มีเพียงแค่หูซื่อคนเดียว พระชายาจิ้นอ๋องเองก็สนใจสินเดิมของนางเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 223-2 วางแผนเอาสินเดิม
“ต่างก็ว่ากันว่าสินเดิมของภรรยาโย่วเอ๋อร์เป็นเท่านี้ในเมืองหลวง เจ้าไปดูแล้วหรือยัง” พระชายาจิ้นอ๋องยื่นนิ้วโป้งออกมาเทียบ
แม่นมซือกำลังทาเล็บให้นางด้วยความระมัดระวัง ได้ยินแล้วก็กล่าว “ยังเจ้าค่ะ วันนั้นที่สินเดิมของฮูหยินใหญ่ยกเข้ามาในจวนบ่าวยุ่งอยู่ ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปดูสินเดิมอะไร แต่ได้ยินบ่าวรับใช้ชั้นล่างถกเถียงกัน บอกว่าเยอะอย่างยิ่ง แต่บ่าวตริตรอง นี่น่าจะเป็นคำพูดเกินจริงของบ่าวชั้นล่าง ต่อให้เยอะแล้วจะเยอะสักเท่าไรเชียว เทียบฮูหยินซื่อจื่อกับฮูหยินสามได้หรือ อย่างไรเสียพื้นฐานของจวนจงอู่โหวก็เห็นๆ กันอยู่ เพิ่งจะรุ่งเรืองขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีนี้ ห่างไกลจากจวนอู๋กั๋วกงกับจวนไหวเซียงโหวยิ่งนัก จะมีของดีอะไรได้”
พระชายาจิ้นอ๋องหาวกล่าว “คราวนี้แม่นมพูดผิดแล้ว ใบรายการสินเดิมของภรรยาโย่วเอ๋อร์ท่านอ๋องดูให้ข้าแล้ว ไม่เพียงแต่สินสอดจวนอ๋องของเราถูกนำกลับมาทั้งหมดตามจำนวนเดิม เพียงแค่หมู่บ้านมากกว่าพันหมู่ที่ชานเมืองก็มีเจ็ดแปดแห่งแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นที่ดินชั้นดี เป็นหมู่บ้านดีที่ต่อให้เจ้ามีเงินก็หาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของล้ำค่าหายากต่างๆ ดูท่าแล้วจวนจงอู่โหวจะรุ่งเรืองแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่อาจให้ลูกสาวออกเรือนด้วยสินเดิมหลายแสนตำลึง” สินเดิมส่วนนั้นเยอะยิ่งกว่าของอู๋ซื่อกับหูซื่อรวมกันเสียอีก
“เป็นไปไม่ได้กระมัง” แม่นมซือไม่เชื่ออย่างยิ่ง แม้จวนจงอู่โหวจะร่ำรวย แต่ตระกูลใดบ้างจะตัดใจให้สินเดิมบุตรสาวหลานแสนตำลึง ไม่ใช่ควรเก็บไว้ในลูกชายหรือ ฮูหยินใหญ่ยังมีน้องชายมารดาเดียวกันหนึ่งคนไม่ใช่หรือ
“จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร แม่นมอย่าลืมว่าตอนแรกหร่วนซื่อก็แต่งเข้าจวนจงอู่โหวด้วยสินสอดยาวสิบลี้ หร่วนซื่อไม่อยู่แล้ว ฟังว่าหลิวซื่อฮูหยินแม่เลี้ยงผู้นั้นหันเข้าหาพระธรรมละเรื่องทางโลก สินเดิมของหร่วนซื่อนั้นก็ต้องตกอยู่ในมือภรรยาโย่วเอ๋อร์มิใช่หรือ” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวอย่างไม่สนใจ
“นั่นก็เป็นไปไม่ได้ ฮูหยินใหญ่ไม่ใช่ยังมีน้องชายมารดาเดียวกันอยู่หรือ สินเดิมของหร่วนซื่อจะให้นางครอบครองเพียงคนเดียวได้อย่างไร” แม่นมซือยังคงรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ หากเป็นนาง อย่างมากก็ส่งให้น้อยกว่าครึ่ง ส่วนใหญ่ยังต้องเก็บไว้ให้ลูกชาย อย่างไรเสียลูกชายจึงจะเป็นที่พึ่งในการสืบทอดทายาท
ได้ยินพระชายาจิ้นอ๋องหัวเราะเยาะหนึ่งครา “น้องภรรยาผู้นั้นเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ของอยู่ในมือภรรยาโย่วเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่านางเป็นผู้ตัดสินใจหรือ คนยังมีความเห็นแก่ตัว ใครบ้างที่ไม่คิดเพื่อตัวเอง” เรื่องนี้ภรรยาโย่วเอ๋อร์กลับฉลาด
แม่นมซือคิดๆ ดูก็ถูก หากนางมีของเยอะเพียงนั้น ก็ตัดใจแบ่งให้ผู้อื่นไม่ได้เหมือนกัน อย่าว่าแต่พี่น้อง แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ ต่อให้พ่อแม่จะสนิทไหนเลยจะสนิทเท่าเงิน
“เช่นนั้นฮูหยินใหญ่ก็ทำไม่ถูก” แม่นมซือขมวดคิ้วมุ่น กล่าวอย่างจริงจัง “หากในมือไม่มีก็ไม่เป็นไร สินเดิมของฮูหยินใหญ่เยอะเพียงนั้น ของล้ำค่าหายากในมือเยอะเพียงนั้น คาดไม่ถึงว่าไม่คิดจะแสดงความกตัญญูต่อพระชายาสักชิ้นสองชิ้น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรท่านก็เป็นแม่สามีของนาง”
พระชายาจิ้นอ๋องตาลุกวาว โบกมือกล่าว “สินเดิมภรรยาโย่วเอ๋อร์เยอะ ข้าเองก็ดีใจกับพวกเขาสองสามีภรรยา ข้าเป็นแม่สามี ไหนเลยจะขอสิ่งของจากชนรุ่นหลังได้ หากดังออกไปทุกคนคงหัวเราะแย่ เจ้ารีบปิดปากเสีย พระชายาของเจ้ายังไม่สายตาสั้นเพียงนั้น ข้าเป็นใครรู้ไว้เสียบ้าง”
“พระชายากล่าวผิดแล้ว จะเป็นการขอได้อย่างไร ชนรุ่นหลังแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโสไม่ใช่สิ่งสมควรหรอกหรือ พระชายาไม่ต้องการ นั่นก็หมายความว่าพระชายาเมตตา ฮูหยินใหญ่ไม่แสดงออก นั่นก็หมายความว่านางทำไม่ถูก ฮูหยินซื่อจื่อกับฮูหยินสามแต่งเข้ามาแรกๆ ก็แสดงความกตัญญูต่อพระชายาด้วยของดีๆ หลายชิ้นมิใช่หรือ” แม่นมซือกล่าวโน้มน้าว
หวาอวิ๋นข้างๆ เองก็กล่าวคล้อยตาม “พระชายา แม่นมพูดมีเหตุผล บ่าวคิดว่า ฮูหยินใหญ่ไหนเลยจะสูงศักดิ์กว่าฮูหยินซื่อจื่อกับฮูหยินสาม อย่างไรเสียจวนจงอู่โหวก็หยาบกระด้างเกินไป”
วันนั้นที่ยกน้ำชานางถูกเสิ่นเวยตบหน้าต่อหน้าทุกคน ในใจกำลังเคียดแค้นอยู่ ตอนนี้เห็นโอกาสจะไม่พยายามใส่ความได้อย่างไร
พระชายาจิ้นอ๋องโบกมือต่อ “พอแล้วๆ รู้แล้วว่าพวกเจ้าคิดแทนข้า ข้ายังขาดของชิ้นสองชิ้นนั้นหรืออย่างไร ขอเพียงแค่โย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยามีชีวิตที่ดีได้ จะแสดงความกตัญญูด้วยการให้ของข้าหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ภรรยาโย่วเอ๋อร์อายุยังน้อย ต้องค่อยๆ เรียนรู้ พวกเจ้าน่ะพูดให้น้อยหน่อย ปิดปากให้สนิท หากหลุดพูดอะไรออกไปข้าไม่ปล่อยไว้แน่”
แม่นมซือกับหวาอวิ๋นก็ประจบขึ้นมา บ้างก็ว่าพระชายาเป็นคนใจกว้าง ได้เป็นแม่นมของพระชายาเป็นวาสนาอันดีในชั่วชีวิตนาง บ้างก็ว่าพระชายาโอบอ้อมอารีเกินไป บ่าวรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนท่านต่างๆ นานา ประจบจนรอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องกว้างขึ้นเรื่อยๆ
แม้ปากพระชายาจิ้นอ๋องจะบอกว่าไม่ต้องการ อันที่จริงในใจกำลังวางแผนอยู่ สินเดิมจำนวนมากเพียงนั้น นางจะไม่สนใจได้อย่างไร
“แม่นมยังจำภาพวาดโบราณตกปลาใต้จันทราภาพนั้นได้หรือไม่” จู่ๆ พระชายาจิ้นอ๋องก็เปลี่ยนเรื่อง
แม่นมซือขมวดคิ้วอยู่นานจึงกล่าว “ที่พระชายาจิ้นอ๋องพูดหมายถึงผลงานของจางเต้าจื่อชื่อดังในรัชสมัยที่แล้วใช่หรือไม่”
“ใช่ๆๆ ถูกต้องแล้ว” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวด้วยความดีใจ “ข้าจำได้ว่าภาพตกปลาใต้จันทราภาพนั้นโด่งดังยิ่งนัก ปัญญาชนใต้หล้าต่างก็แย่งกันมาดู ฉบับคัดลอกยังทำเงินได้ถึงห้าพันตำลึง ของแท้ก็ยิ่งมีคนเสนอให้ถึงหนึ่งแสนตำลึง อ้อจริงสิข้าคล้ายจำได้ลางๆ ว่าของแท้อยู่ในมือใคร” นางเท้าศีรษะพยายามหวนนึก
แม่นมซือตาลุกวาว กล่าวเสียงเบา “เรื่องนี้บ่าวจำได้ ของแท้นี้อยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่หร่วน เป็นสินเดิมของฮูหยินแม่ทัพใหญ่ ภายหลังเป็นสินเดิมส่งให้ลูกสาว ตอนนั้นที่หร่วนซื่อเปิดเผยสินเดิมก็สร้างความตกตะลึง ปัญญาชนกวีจำนวนไม่น้อยไปขอเยี่ยมชมที่จวนจงอู่โหว เพียงอยากจะเห็นของแท้กับตาตัวเอง”
“อ้อ ข้านึกออกแล้ว มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ ท่านอ๋องของพวกเราก็เคยไปเยี่ยมจวนจงอู่โหว หลังกลับมาก็ชื่นชมไม่หยุดปาก กลางดึกไม่หลับไม่นอนคัดลอกอยู่ในห้องหนังสือ ราวกับถูกผีสิง ขนาดนั้นเชียวหรือ เฮ้อ ความคิดของปัญญาชนนี้พวกเราสตรีเรือนหลังเหล่านี้ไหนเลยจะเข้าใจ” พระชายาจิ้นอ๋องหวนรำลึกกล่าว
แม่นมซือลอบมองสีหน้าของพระชายาจิ้นอ๋อง กล่าว “พระชายา ฟังว่าไม่กี่วันก่อนพ่อบ้านรองจวนเสนาบดีฉินยังตามหาฉบับคัดลอกของภาพๆ นี้อยู่ข้างนอก บอกว่าท่านเสนาบดีฉินสั่งมา พระชายา หากพวกเราสามารถส่งภาพของแท้นี้ไปให้เสนาบดีฉินได้ เช่นนั้นคู่สมรสของคุณชายสี่ก็เป็นไปได้อย่างยิ่ง”
ในดวงตาพระชายาจิ้นอ๋องมีประกายแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถอนหายใจกล่าว “ใครว่าไม่ใช่เล่า เพื่อฉั่งเอ๋อร์ ผมบนหัวข้าขาวไปไม่รู้กี่เส้นแล้ว ฉั่งเอ๋อร์ไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนพี่ชายทั้งสองของเขา ข้าก็ยิ่งต้องหาบ้านพ่อตาที่มีแรงสนับสนุนให้เขา แม้คุณหนูผู้นั้นของจวนเสนาบดีฉินจะไม่ใช่บ้านนายท่านเสนาบดีฉิน แต่ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของซูเฟยเหนียงเหนียง หลานสาวแท้ๆ ของเสนาบดีฉิน! หากฉั่งเอ๋อร์แต่งงานกับคุณหนูฉินผู้นี้ อย่างไรเสียองค์ชายรองก็สามารถช่วยเขาได้อีกแรง”
“พระชายามีจิตใจของผู้เป็นแม่จริงๆ เจ้าค่ะ! คุณชายสี่เป็นคนกตัญญูรู้คุณ จะต้องเข้าใจความลำบากของพระชายาแน่นอน” แม่นมซือตั้งใจประจบสอพลอ
พระชายาจิ้นอ๋องดูเรื่องสมรสให้ลูกชายคนเล็กสวี่ฉั่งอยู่ เลือกไปเลือกมาก็เลือกจวนเสนาบดีฉิน แม้จะเสียดายที่ท่านเสนาบดีฉินไม่มีบุตรสาวที่อายุเหมาะสม แต่สามารถแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของซูเฟยเหนียงเหนียงได้ก็ดีเหมือนกัน! นางไหว้วานคนไปปล่อยข่าวมาแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นดั่งที่นางหวัง แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เจตนาการปฏิเสธอ้อมๆ นั่นไม่ใช่ชัดเจนอย่างยิ่งหรอกหรือ
พระชายาจิ้นอ๋องโมโหแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงไม่ยอมลดละ องค์ชายรองของซูเฟยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ที่สุด ผูกสัมพันธ์ไมตรีกับนาง ไม่เพียงแต่ลูกชายคนเล็กจะมีอนาคต แม้แต่เยี่ยเอ๋อร์เหยียนเอ๋อร์ก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน
“หากสามารถทำให้ท่านเสนาบดีฉินพูดอะไรได้ เรื่องสมรสนี้ของฉั่งเอ๋อร์ก็สำเร็จแล้ว เพียงแต่ข้าก็เป็นแค่เพียงสตรีคนหนึ่ง เฮ้อ!” พระชายาจิ้นอ๋องถอนหายใจอย่างหนักหน่วงหนึ่งครา
แม่นมซือเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาของพระชายาจิ้นอ๋อง “พระชายา ใกล้ๆ ไม่ใช่มีโอกาสดีอยู่หรือ ท่านเสนาบดีฉินหาภาพวาดตกปลาใต้จันทราอยู่ พวกเราส่งให้เขาเสียก็สิ้นเรื่อง น้ำใจยิ่งใหญ่เพียงนี้ยังไม่พออีกหรือไร”
“แต่ในมือพวกเราไม่มีภาพๆ นั้น!” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
“พวกเราไม่มี แต่ที่ฮูหยินใหญ่มี สินเดิมของหร่วนซื่ออยู่ที่นางทั้งหมดมิใช่หรือ” แม่นมซือกล่าวอย่างสุขุม
พระชายาจิ้นอ๋องดวงตาเป็นประกายทันที ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “นี่คงไม่ดีกระมัง อย่างไรเสียนั่นก็เป็นสินเดิมของภรรยาโย่วเอ๋อร์ ทั้งยังเป็นเงินมหาศาล ภรรยาโย่วเอ๋อร์จะไม่พอใจหรือไม่”
“มีอะไรให้ไม่พอใจ นี่ล้วนแต่เป็นอนาคตคุณชายสี่ของพวกเรา คุณชายสี่เป็นพี่น้องกับคุณชายใหญ่ ช่วยพี่น้องสักแรงไม่ใช่สิ่งสมควรหรือ” แม่นมซือโน้มน้าว
พระชายาจิ้นอ๋องนิ่งเงียบอยู่นาน จึงพยักหน้าเบาๆ กล่าว “ก็ใช่ พรุ่งนี้ข้าจะลองถามภรรยาโย่วเอ๋อร์ดู”
ตอนที่ 224-1 ฝันไปเถอะ
“เคารพฮูหยินใหญ่” หลีฮวาพาหวาเหยียนเดินเข้ามา เห็นเพียงนางแก้มชมพูดวงตากลมโต ท่อนบนสวมเสื้อปี๋เจี่ยสีเขียวอ่อน ท่อนล่างสวมกระโปรงสีชมพูอ่อนลายดอกเหมย เดินอรชรอ้อนแอ้นเข้ามา บอกว่าเป็นสาวใช้ แต่กลับไม่ต่างอะไรจากคุณหนูตระกูลเล็กๆ ข้างนอกนั่น
เสิ่นเวยประหลาดใจเล็กน้อย หวาเยียนผู้นี้คือสาวใช้ใหญ่ที่ถูกใช้ให้ทำหน้าที่สำคัญที่สุดข้างกายพระชายาจิ้นอ๋อง นางมาทำอะไรกัน
“แม่นางหวาเยียนเองหรือ พระชายามีเรื่องอะไรหรือ สั่งสาวใช้เล็กมาก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องลำบากเจ้ามาเอง แม่นางหวาเยียนมาเรือนของพวกเราครั้งแรก หลีฮวา ยังไม่รีบไปเอาขนมดีๆ มารับใช้พี่หวาเยียนของพวกเจ้าอีก” บนใบหน้าเสิ่นเวยมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่เหมาะสมพอดี
หวาเยียนกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “บ่าวเป็นเพียงคนรับใช้ ฮูหยินใหญ่ให้เกียรติบ่าวเกินไปแล้ว ฮูหยินใหญ่ไม่ต้องลำบาก พระชายาสั่งให้บ่าวมาเชิญฮูหยินใหญ่ไปเที่ยวหนึ่ง ขนมอะไรบ่าวไว้ค่อยลองชิมครั้งหน้าเจ้าค่ะ”
“นี่ไหนเลยจะเสียเวลาสักครู่ไม่ได้ แม่นางหวาเยียนมาทั้งที ในเมื่อไม่ชอบกินขนม เช่นนั้นก็เอากระเป๋าเงินนี้ไปเล่นเถอะ” เสิ่นเวยบอกเป็นนัย หลีฮวาก็ยัดกระเป๋าเงินใบเล็กทอลายดอกบัวไว้ในมือของหวาเยียน “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของฮูหยินพวกเรา พี่หวาเยียนอย่าได้รังเกียจ”
“บ่าวขอบคุณฮูหยินที่มอบของให้” หวาเยียนกลับรับไว้ด้วยความใจกว้างอย่างยิ่ง เมื่อเสิ่นเวยจะสืบถามว่าพระชายาจิ้นอ๋องเชิญนางไปมีเรื่องอันใด หวาเยียนกลับยิ้มเพียงเท่านั้น
เสิ่นเวยเองก็ไม่ทำให้นางลำบากใจ คนเป็นบ่าวก็มีความลำบากของบ่าว หากนางถามแล้วหวาเยียนพูดออกมาทั้งหมด เช่นนั้นนางก็จะดูถูกสาวใช้ใหญ่ผู้นี้ข้างกายพระชายาจิ้นอ๋อง อย่างไรเสียอีกประเดี๋ยวก็ได้รู้แล้ว เพียงแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก
เสิ่นเวยไม่ได้ไล่ถามต่อ หวาเยียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกในใจ เบื้องลึกในใจอดเคารพฮูหยินใหญ่ที่เข้าเรือนมาใหม่ผู้นี้เพิ่มขึ้นสองส่วนไม่ได้
“เคารพเสด็จแม่ เสด็จแม่กำลังทำอะไรอยู่หรือเพคะ” เสิ่นเวยยกยิ้มหวานทั่วใบหน้า มองเห็นในมือพระชายาจิ้นอ๋องถือเข็มกับด้ายอยู่ อดเขยิบเข้าไปถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“ภรรยาโย่วเอ๋อร์มาแล้ว!” พระชายาจิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้น ถือโอกาสวางชุดที่กำลังเย็บอยู่ไว้ข้างๆ “ไม่มีอะไร ว่างไม่มีงานทำจึงเย็บชุดให้ท่านอ๋อง” แววตาของนางอ่อนโยนและอบอุ่น เสมือนกับนั่นไม่ใช่แค่ชุด แต่เป็นท่านจิ้นอ๋องยืนอยู่ตรงหน้านาง
“ความรักใคร่ของเสด็จพ่อเสด็จแม่ช่างทำให้คนอิจฉายิ่งนัก! เสด็จแม่งานยุ่งเพียงนั้นยังเย็บชุดให้เสด็จพ่อกับมือ ท่านดีต่อเสด็จพ่อจริงๆ มิน่าเล่าหลายปีเพียงนี้เสด็จพ่อจึงมีแต่เสด็จแม่อยู่ในใจ” บนใบหน้าเสิ่นเวยเต็มไปด้วยความอิจฉา ยื่นมือหยิบชุดขึ้นดู “ชุดนี้เย็บได้ประณีตจริงๆ เสด็จแม่ฝีมือท่านดีจริงๆ หากลูกมีพื้นฐานได้สักครึ่งหนึ่งของท่าน คุณชายใหญ่ก็คงจะไม่รังเกียจที่ลูกโง่”
พระชายาจิ้นอ๋องหลุดหัวเราะ “เจ้าเด็กซื่อคนนี้ คุณชายใหญ่หยอกล้อเจ้าเล่นแล้ว เขาไหนเลยจะรังเกียจเจ้า เสด็จพ่อของพวกเจ้ามีนิสัยเรื่องมาก ไม่ชอบสวมเสื้อผ้าที่หน่วยเย็บปักถักร้อยทำ ข้าจึงทำได้เพียงเจียดเวลาทุกๆ ฤดูมาเย็บให้เขาสองชุด เยอะกว่านี้ก็ไม่มีแรงแล้ว” มุมปากนางอมยิ้ม ท่าทางอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด
เสิ่นเวยได้เปิดมุมมองใหม่จริงๆ อืม จะทำอย่างไรให้ผู้ชายทำดีต่อตนทั้งจิตทั้งใจ วันนี้ได้เรียนรู้อีกหนึ่งข้อแล้ว หรือว่าจะกลับไปเย็บชุดให้สวีโย่วใส่บ้าง แต่ว่าด้วยความช้าของนางคาดว่าคงต้องใช้เวลามากกว่าสามเดือน ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีโย่วจะรอได้หรือไม่
“ภรรยาสวีว วันนี้แม่เชิญเจ้ามาไม่ได้มีเรื่องอะไร เพียงแค่แม่เจอปัญหาหนึ่งเข้าแล้ว อยากเชิญเจ้ามาช่วยหน่อยได้หรือไม่” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบเล็กน้อย นี่หมายความว่าจะวางแผนทำอะไรนางอีกแล้ว ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เสด็จแม่อย่าหยอกล้อลูก ช่วยไม่ช่วยอะไร ท่านมีอะไรก็สั่งมาตรงๆ ได้เลย”
สายตาที่พระชายาจิ้นอ๋องมองนางก็ยิ่งอ่อนโยน “เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าน่ะดูคู่สมรมให้ฉั่งเอ๋อร์แล้ว ฐานะและหน้าตาของแม่นางผู้นั้นเหมาะสมกับฉั่งเอ๋อร์”
พูดถึงตรงนี้นางก็หยุด เสิ่นเวยรีบกล่าวต่ออย่างรู้งาน “สายตาเสด็จแม่จะไม่ดีได้อย่างไร ดูน้องน้องสะใภ้รองกับน้องสะใภ้สามก็รู้แล้ว เสด็จแม่ถูกใจคุณหนูตระกูลใดเล่า”
รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องก็ยิ่งกว้าง “จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่คนนอก คุณหนูผู้นั้นคือคุณหนูเจ็ดบ้านสาม จวนท่านเสนาบดีฉิน เดิมบ้านรองกลับมีคุณหนูผู้หนึ่ง แต่ว่าคู่สมรสของนางหมั้นหมายไว้แล้ว” ในใจพระชายาจิ้นอ๋องเสียดายเล็กน้อย เพราะเดิมคนที่นางดูไว้ก็คือคุณหนูห้าบ้านรองผู้นั้น นางยังไม่ทันได้ลงมือ ก็มีข่าวหมั้นหมายของเขาออกมาแล้ว นางทำได้เพียงหาคนใหม่ก็คือคุณหนูเจ็ดบ้านสาม
คุณหนูเจ็ดบ้านสามท่านเสนาบดีฉินหรือ นั่นไม่ใช่ฉินอิงอิงหรือ นั่นคือคู่อริของนาง เบื้องลึกในใจเสิ่นเวยเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา นางพูดได้หรือว่าสายตาพระชายาจิ้นอ๋องร้ายกาจ เลือกใครไม่เลือก ดันเลือกศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนาง
“คนที่เสด็จแม่พูดถึงก็คือคุณหนูเจ็ดนามว่าอิงอิงผู้นั้นใช่หรือไม่ จะบอกว่าเสด็จแม่สายตาไม่ดีได้อย่างไร คุณหนูเจ็ดแซ่ฉินงามดั่งบุปผา นิสัยก็กระฉับกระเฉง เป็นคู่สร้างคู่สมกับคุณชายสี่ของพวกเราจริงๆ” เสิ่นเวยปากก็กล่าวชม แต่ในใจกลับวิจารณ์ ก็งามดั่งบุปผาจริงๆ ไม่ใช่หรือ อกเป็นอก ก้นเป็นก้น เอวก็เล็กบาง อายุเท่านางก็เจริญเติบโตประหนึ่งลูกท้อที่สุกเต็มที่
ส่วนนิสัยกระฉับกระเฉงน่ะหรือ ปากนางร้ายเพียงนั้น ทั้งยังอาฆาตคนอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ใช่นิสัยกระฉับกระเฉงหรือไร
“อ้อ ภรรยาโย่วเอ๋อร์สนิทกับนางหรือ ดีจริงๆ! พี่สาวน้องสาวกลายเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ช่างยอดเยี่ยม” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวด้วยความดีใจ
ทว่าเสิ่นเวยกลับขวยเขินเหนียมอายขึ้นมา “ไม่ปิดบังเสด็จแม่ ลูกเพียงแค่เคยพบหน้าคุณหนูเจ็ดแซ่ฉิน หากจะบอกว่าสนิทก็คงไม่ได้ เพราะว่ามีการเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ข้าสองคนยังเคยทะเลาะกันด้วย ภายหลัง ภายหลังก็เข้าใจกันแล้ว” เสิ่นเวยพูดกึ่งจริงกึ่งโกหก
พระชายาจิ้นอ๋องตกตะลึง ทันใดนั้นก็ยิ้ม “เฮ้อ ข้าก็คิดว่ามีเรื่องใหญ่ ก็แค่ทะเลาะกันเล็กน้อยมิใช่หรือ คุณหนูอายุน้อยอยู่ด้วยกันมีใครบ้างไม่เคยทะเลาะ ตอนแม่ยังเด็กก็เคยทะเลาะกับพี่น้อง ตอนที่ทะเลาะก็อยากจะเลิกคบเสียให้ได้ แต่ผ่านไปไม่ถึงสองวันก็ดีเหมือนเป็นคนละคนเลย คิดๆ ดูแล้วช่วงเวลาตอนนั้นใช้ชีวิตได้อย่างไร้ความกังวลที่สุด!”
พูดแล้วว่าไม่สนิท แต่พอมาถึงปากพระชายาจิ้นอ๋องกลับกลายเป็นพี่น้อง คำพูดนี้เสิ่นเวยพูดต่อไม่ได้จริงๆ เพียงแค่เม้มริมฝีปากยิ้ม
พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวต่อ “หาคนที่เหมาะสมไปเจรจาถึงบ้าน แต่เขากลับไม่ยินดีนัก รังเกียจที่ฉั่งเอ๋อร์ไม่มีงานเป็นทางการ” นี่หมายความว่าพระชายาจิ้นอ๋องพยายามปิดทองบนหน้าฉั่งเอ๋อร์อยู่จริงๆ อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ใครบ้างไม่รู้ คนอื่นไม่เพียงแต่รังเกียจที่ฉั่งเอ๋อร์ไม่มีงานเป็นทางการ ทุกคนยังรังเกียจที่ฉั่งเอ๋อร์เป็นลูกคุณหนูเล่นพนันเที่ยวผู้หญิง นั่นคือบุตรสาว ไม่ใช่ศัตรู ใครจะยินดีโยนบุตรสาวเข้ากองไฟเล่า
เสิ่นเวยแย้งอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม “ตระกูลของพวกเราเป็นราชนิกุล ต่อให้ไม่หางานก็ร่ำรวยไปทั้งชีวิตแล้ว ไยจะต้องแข่งขันเหมือนปัญญาชนที่มีชีวิตอย่างลำบากเหล่านั้นด้วย คุณชายใหญ่ของพวกเราก็ไม่มีงานเหมือนกันมิใช่หรือ” เสิ่นเวยวางท่าทางเข้าข้าง ลืมเรื่องที่จักรพรรดิยงเซวียนเคยขอให้คุณชายใหญ่ของนางเข้าราชสำนักไปแล้ว
พระชายาจิ้นอ๋องตบมือของเสิ่นเวย “ก็ใช่น่ะสิ ฉั่งเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าไม่มีความสามารถ เขาเพียงแค่ชอบเที่ยวเล่นเล็กน้อย นิสัยยังไม่แน่นอน ตระกูลพวกเรามีเยี่ยเอ๋อร์กับเหยียนเอ๋อร์เข้าราชสำนักทำงานก็พอแล้ว โย่วเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ ฉั่งเอ๋อร์ชอบเที่ยวเล่น ข้าไหนเลยตัดใจบังคับพวกเขาได้”
นางเปลี่ยนเรื่อง กล่าวต่อ “พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกันย่อมรู้เรื่องในบ้านตัวเอง แต่คนนอกไม่รู้! แต่ละคนยังคิดว่าฉั่งเอ๋อร์เป็นลูกคุณหนูไม่พัฒนา พูดจาถือดี พี่ชายพวกเขาหลายคนข้าก็ดูแลเข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก ไหนเลยจะกลายเป็นลูกคุณหนูได้”
“อืมๆๆ เสด็จแม่พูดถูก วิถีจวนจิ้นอ๋องของพวกเราบริสุทธิ์เช่นนี้ ท่านกับเสด็จพ่อก็ไม่ใช่คนตามใจลูก คุณชายสี่เพียงแค่ติดเพื่อน จะเกี่ยวข้องกับลูกคุณหนูได้อย่างไร ทั้งหมดล้วนเป็นคำพูดไร้สาระของคนข้างนอก” เสิ่นเวยมองพระชายาจิ้นอ๋องด้วยสีหน้าเลื่อมใสทั้งใบหน้า
“ยังคงเป็นภรรยาโย่วเอ๋อร์ที่ดูออก” พระชายาจิ้นอ๋องชมเสิ่นเวยหนึ่งประโยค “พวกเราเป็นตระกูลเมตตา ไม่ได้ไปตามอธิบายทีละคนๆ แต่คู่สมรสนี้หมายปองไว้ดีแล้ว ข้าจึงอยากไหว้วานคนไปเจรจาอีกครั้ง เฮ้อ ลูกๆ ล้วนแต่เป็นหนี้ เพื่อฉั่งเอ๋อร์ ข้าเองก็ทำได้เพียงออกหน้าแทน”
เสิ่นเวยพูดในใจ เอาแล้ว
เป็นดังคาด ไม่ต้องให้เสิ่นเวยเอ่ยปากถาม พระชายาจิ้นอ๋องก็พูดเอง “ข้ากำลังไตร่ตรอง คนอื่นพูดก็ไม่มีน้ำหนักอะไร กลับเป็นคำพูดของท่านเสนาบดีฉินพวกเขาจึงจะเชื่อถือ ท่านเสนาบดีฉินเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก สตรีเรือนหลังเช่นพวกเราเหล่านี้ก็ไม่พอจะเจรจา! ท่านอ๋องกลับไปพูดกับเขาได้ แต่เรื่องช่วยคนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็รบกวนท่านอ๋อง ข้าฟังว่าท่านเสนาบดีฉินชอบภาพวาด บังเอิญว่าเขากำลังสั่งคนให้ไปหาภาพผลงาน ‘ตกปลาใต้จันทรา’ ของจางเต้าจื่อในรัชสมัยก่อนอยู่พอดี หากพวกเราส่งภาพวาดนี้ไปให้เขาได้ แล้วค่อยเชิญเขามาเจรจาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วหรือ ภรรยาโย่วเอ๋อร์คิดว่าอย่างไร” นางจ้องมองดวงตาของเสิ่นเวย
อ้อ นี่คือวางแผนจะเอาสินเดิมของนางแล้ว! ในใจเสิ่นเวยเข้าใจดี แต่สีหน้ากลับแสร้งไม่รู้เรื่อง “แต่พวกเราจะไปช่วยเขาหาภาพผืนนั้นจากไหนเล่า”
เมื่อเสิ่นเวยพูดประโยคนี้ออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องก็จางลงหลายส่วน “คนอื่นไม่รู้ ภรรยาโย่วเอ๋อร์จะไม่รู้ได้อย่างไร ภาพ ‘ตกปลาใต้จันทรา’ ภาพนั้นเคยเป็นสินเดิมของแม่เจ้า”
ภรรยาโย่วเอ๋อร์ผู้นี้ อย่ามองว่าพูดจาน่าฟัง อันที่จริงกลับเป็นคนเจ้าเล่ห์เหมือนกัน ตนก็พูดชัดเจนเพียงนั้นแล้ว นางไม่พูดว่าเอาภาพออกมาเองซ้ำยังแสร้งโง่ เหอะ ช่างเป็นคนเนรคุณจับไม่อยู่จริงๆ
“เสด็จแม่จะบอกว่าตอนนี้ภาพผืนนั้นอยู่ในมือลูกงั้นหรือ” ทั้งใบหน้าเสิ่นเวยตกใจจริงๆ “เสด็จแม่อย่าโกรธ ลูกไม่รู้จริงๆ ท่านเองก็ทราบ ลูกเติบโตในชนบท ในด้านกวีหละหลวมจริงๆ ยิ่งไม่เข้าใจอักษรภาพวาดอะไร ลูกจะกลับไปหาให้ หากมีภาพผืนนี้จริงๆ ลูกจะส่งมาให้ท่าน อย่างไรเสียนี่ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องมงคลสมรสของคุณชายสี่ ภาพนี้อยู่ในมือลูกก็ไม่มีประโยชน์ คิดเสียว่าเป็นของขวัญแสดงความกตัญญูของลูกต่อเสด็จแม่” เสิ่นเวยกล่าวอย่างจริงใจ
“ดีๆๆ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเป็นคนดี รอฉั่งเอ๋อร์แต่งงานแล้ว ข้าจะให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปขอบคุณเจ้า” สายตาที่พระชายาจิ้นอ๋องมองเสิ่นเวยก็อ่อนโยนขึ้นมาอีกครั้ง
เสิ่นเวยรีบโบกมือปฏิเสธ “ขอบคุณไม่ขอบคุณอะไร พวกเราต่างก็เป็นคนบ้านเดียวกัน เสด็จแม่พูดเช่นนี้ห่างเหินเกินไปแล้ว ลูกน่ะ หวังเพียงแค่เสด็จแม่จะไม่รังเกียจก็พอแล้ว”
ท่าทางรู้ประสานั้นทำให้พระชายาจิ้นอ๋องพอใจนางมากขึ้นสามส่วน
ตอนที่ 224-2 ฝันไปเถอะ
ตอนที่เสิ่นเวยกลับไปถึงเรือนสวีโย่วก็เพิ่งจะออกไปพอดี ถามคนที่รับใช้ข้างกายเขา บอกว่าไปวัง เสิ่นเวยขมวดคิ้ว ในราชสำนักเกิดเรื่องอะไรอีกแล้วหรือ มิเช่นนั้นฝ่าบาทจะเรียกเขาทำไม ช่วงนี้นางเองก็ค่อยๆ รู้ฐานะลับๆ ของสวีโย่วแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือเป็นหัวหน้าสายลับ ช่วยฝ่าบาทจัดการเรื่องลับที่เปิดเผยไม่ได้จำนวนหนึ่ง มิน่าเล่าลูกน้องเขาจึงมักจะมีคนลอยไปลอยมาเยอะเพียงนั้น
ครั้นอยู่ที่ซีเจียงนางยังขอยืมคนจากเขามาใช้หลายต่อหลายครั้ง คนเหล่านั้นใช้แล้วคล่องมือจริงๆ! ที่แท้แล้วก็เป็นทหารลับที่ราชสำนักอบรมมา มิน่าเล่า
เสิ่นเวยคิดเพียงเท่านี้ก็โยนเรื่องไว้ข้างๆ นางพาคนไปที่ห้องเก็บสินเดิม หา**บเก็บภาพวาดที่มีเพียงฉบับเดียว รื้ออยู่นานก็หาภาพ ‘ตกปลาใต้จันทรา’ ภาพนั้นเจอแล้ว นางจับแกนภาพวาดแล้วค่อยๆ คลี่ออก จันทร์เต็มดวงลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า เรือลำเล็กหนึ่งลำเทียบท่าอยู่บนคลื่นหมอกควันอันกว้างใหญ่ไพศาล บนเรือมีชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่
สิ่งแวดล้อมในภาพวาดสามารถใช้คำสองคำมาอธิบายได้ นั่นก็คือ ‘เงียบสงัด’ ฝีมือการวาดก็ช่ำชองล้ำลึก แต่เสิ่นเวยมองซ้ายมองขวาก็มองไม่ออกว่าเหตุใดภาพๆ นี้ถึงมีมูลค่าหลายเมือง หรือว่าสายตานางจะใช้ไม่ได้
เสิ่นเวยคิดแล้วคิดอีก ม้วนภาพใหม่อีกครั้ง เรียกเย่ว์กุ้ยเข้ามาแล้วกล่าว “ส่งภาพผืนนี้ไปที่จวนจวิ้นอ๋องมอบให้อาจารย์ซู ให้เขาคัดลอกอีกผืน”
เย่ว์กุ้ยพยักหน้าเพิ่งจะหันหลังกลับ เสิ่นเวยก็ตะโกนเรียกนางอีกครั้ง “เก็บของให้ดี อย่าให้คนอื่นเห็น”
เย่ว์กุ้ยพยักหน้าอีกครั้ง ม้วนภาพแล้วม้วนภาพอีก ยัดเข้าไปในแขนเสื้อตัวหลวมของตน เมื่อครู่พี่หลีฮวากับพี่เถาจือล้วนแต่มีงาน นางกับเหอฮวาจึงเป็นคนตามฮูหยินไปที่เรือนพระชายา ดังนั้นเมื่อฮูหยินสั่ง นางก็เข้าใจเจตนาทันที เบื้องลึกในใจนางเองก็กำลังกระวนกระวาย พระชายาพูดคำสองคำก็คิดจะวางแผนเอาของของฮูหยิน เหตุใดถึงวาดฝันสวยเพียงนั้น
แม้แต่นางที่เป็นบ่าวยังรู้ว่าภาพผืนนี้มีมูลค่ามหาศาล ภาพที่แม้แต่ท่านเสนาบดีฉินยังอาลัยอาวรณ์จะไม่มีมูลค่าได้อย่างไร พระชายาที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมเช่นนี้ขอของจากฮูหยินไป แต่ไม่พูดว่าจะชดเชยให้ฮูหยินแม้แต่นิดเดียว เหอะ เป็นถึงพระชายาผู้ยิ่งใหญ่ ดูความขี้งกนั่นสิ!
สวีโย่วเพิ่งจะกลับมาก็ตอนพลบค่ำ ตอนที่เขาเข้าห้องเสิ่นเวยกำลังลากแม่นมมั่วกับหลีฮวาและคนอื่นๆ มาเลือกผ้าด้วยกัน นางจะเย็บชุดให้สวีโย่ว เมื่อนางพูดความคิดนี้ออกไป ก็ได้รับความเห็นพ้องต้องกันของแม่นมมั่วและคนอื่นๆ โดยเฉพาะหลีฮวา ดูจากสีหน้าปลื้มใจบนใบหน้านาง ก็บอกชัดเจนแล้วว่า ในที่สุดฮูหยินก็รู้จักคิดแล้ว
เสิ่นเวยแสยะปาก นางผู้เป็นนาย แย่งงานบ่าวในหน่วยเย็บปักถักร้อยทำจะดีจริงๆ หรือ
แม้ว่าสวีโย่วจะผอมเล็กน้อย แต่กลับมีหุ่นที่ได้มาตรฐาน ใส่สีอะไรก็ดูดี เสิ่นเวยเลือกอยู่นานในที่สุดก็เลือกผ้าสีฟ้าอมเขียวผืนนั้น เขาสวมชุดสีฟ้าอมเขียวทอลายไผ่เขียวแล้วอบอุ่นดั่งหยก ทำให้คนอยากกระโจนเข้าหาเขาอย่างอดไม่ได้
อันที่จริงเสิ่นเวยคิดว่าสวีโย่วใส่ชุดสีแดงดูดีที่สุด กิริยาท่าทางน่าหลงใหล คืนวันแต่งงานเขาสวมชุดมงคลมารับเจ้าสาว เสิ่นเวยยังตกตะลึงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ หากไม่ใช่ว่านางมีภูมิคุ้มกันมาก ก็คงจะหลงเขาจนหัวปักหัวปำไปแล้ว
“กลับมาแล้ว! ฝ่าบาทเรียกท่านทำไมหรือ” เสิ่นเวยเงยหน้ามองสวีโย่ว สั่งเสียงต่ำบอกให้หลีฮวาเอาผ้าเต็มโต๊ะออกไป เหลือไว้เพียงแต่ผ้าสีฟ้าอมเขียวผืนนั้นเพียงผืนเดียว “นี่ ท่านชอบสีนี้หรือไม่”
ไหวพริบสวีโย่วกะพริบวาบ “นี่คือ?” ดวงตาของเขามีความคาดหวังเล็กน้อย ทั้งยังมีความเหลือเชื่ออีกหลายส่วน เวยเวยคงไม่ได้จะเย็บชุดให้เขาใช่หรือไม่ นี่ช่าง ช่างดีจริงๆ เลย สายตาก็ยิ่งมองไปทางเสิ่นเวยด้วยความแรงกล้า
เสิ่นเวยละสายตาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กล่าวอย่างเรียบง่าย “ว่างไม่มีอะไรทำ เลยช่วยเย็บเสื้อให้ท่าน แต่น่าสงสาร แต่งงานกับภรรยาที่เป็นเพียงร่ายรำกระบี่กระบอง ฝีมือข้าแย่ ความเร็วก็ช้า อาจจะต้องรอนานมาก ท่านอย่ารีบร้อนล่ะ”
“ไม่รีบ ไม่รีบ เวยเวยเจ้าทำช้าๆ ไม่ต้องเหนื่อย” สวีโย่วพูดเสียงอ่อน ความสุขแผ่คลุมทั้งใบหน้า “ขอเพียงแค่เวยเวยทำเองกับมือ ข้าก็ชอบทั้งนั้น”
เห็นคนอื่นสวมเสื้อผ้าที่ภรรยาในบ้านทำเองกับมือโอ้อวดอยู่ตรงนั้น อันที่จริงเขาก็อิจฉายิ่งนัก ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากตอนเด็กที่ยายหรูเย็บเสื้อผ้าให้เขาแล้ว เสื้อผ้าของเขาล้วนแต่เย็บโดยหน่วยเย็บปักถักร้อย เดิมคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้สวมชุดที่เวยเวยเย็บให้เขาแล้ว แม้เขาจะเสียดายแต่กลับไม่ตำหนิ อย่างไรเสียก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เขาไม่อาจคาดหวังให้เวยเวยทำเป็นทุกอย่าง ไม่คิดว่าวันนี้เวยเวยจะทำให้เขาประหลาดใจมากเพียงนี้
เห็นท่าทางตกตะลึงที่ดีใจแทบบ้าของสวีโย่ว เสิ่นเวยก็แอบแสยะปาก ขนาดนี้เลยหรือ ก็แค่ชุดหนึ่งชุดไม่ใช่หรือ ทำราวกับนางปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม
“จริงสิ ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าฝ่าบาทเรียกท่านไปทำไม” เสิ่นเวยนึกถึงคำถามเมื่อครู่ขึ้นได้
“ดื่มชา วางหมาก” สวีโย่วตอบอย่างเรียบง่าย
เสิ่นเวยไม่เชื่อ ชายตามองเขาแล้วกล่าว “ฝ่าบาทว่างเพียงนี้เลยหรือ” อาชีพฮ่องเต้นี้ไม่ใช่นอนกลางดึกยามห้าวันทั้งวันงานยุ่งเหน็ดเหนื่อยหรอกหรือ จากมุมมองของเสิ่นเวย ฮ่องเต้เป็นงานที่ลำบากที่สุดในใต้หล้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดเทียบ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเก้าอี้พังๆ หนึ่งตัวยังจะพยายามแย่งชิงกันมาให้ได้เพื่ออะไร
“ดื่มชาวางหมากจริงๆ” สวีโย่วกล่าวซ้ำอีกครั้ง อันที่จริงนอกจากดื่มชาวางหมาก ฝ่าบาทยังพูดเรื่องกองทัพส่วนตัวที่เขาชิงลั่วอีกด้วย แต่ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าประโยคสองประโยคก็จะอธิบายได้ชัดเจน จึงถือโอกาสไม่พูดเสียเลย
“เวยเวยเล่า พระชายาเรียกเจ้ามีเรื่องอะไรหรือ” สวีโย่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา จากนั้นจึงกล่าว “นางจะมีเรื่องอะไรได้ วางแผนจะเอาสินเดิมข้าน่ะสิ” จากนั้นก็เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งรอบ สุดท้ายก็พูดสรุป “คิดจะเอาของของข้า ได้ ไม่เอาเงินมาแลก ก็เอาของมีค่ามาแลก คิดจะจับเสือมือเปล่า ฝันไปเถอะ! ดังนั้นข้าเลยให้เย่ว์กุ้ยเอาภาพไปให้อาจารย์ซูคัดลอก” ดวงตาของนางเผยความเจ้าเล่ห์ราวกับลูกสุนัขจิ้งจอกออกมา
สวีโย่วยกมุมปาก “เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว”
ความตามใจในคำพูดทำให้ความสุขของเสิ่นเวยสูงขึ้นอีกชั้น “แม่เลี้ยงท่านชอบใจจวนเสนาบดีฉิน อยากสู่ขอหลานสาวท่านเสนาบดีฉินเป็นภรรยาของสวีฉั่ง รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร ฉินอิงอิง เด็กคนนั้นไม่เพียงแต่ปากหาเรื่องคน ยังชอบลงมือกับคนอื่นอีกด้วย น้องสี่เจ้ามีวาสนายิ่งนัก! หึๆ แม่เลี้ยงท่านจะก่อกบฏล่วงหน้าหรือ เสด็จพ่อท่านรู้หรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่” เสิ่นเวยดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่น
เจตนาแฝงของพระชายาจิ้นอ๋องไม่ว่าใครก็ดูออก ลูกชายชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่แต่งงานกับลูกสาวขุนนางเล็กๆ ขั้นห้า เสียดายที่นางยังโง่ใจดีพูดว่าเหมาะสม เหมาะสมกับผีน่ะสิ! ภรรยาของสวีเยี่ยกับสวี่เหยียนคนหนึ่งเป็นบุตรสาวของท่านกั๋วกง คนหนึ่งเป็นบุตรสาวของท่านโหว แต่งฉินอิงอิงให้สวีฉั่งเป็นเพียงเพราะชอบที่นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของซูเฟยเหนียงเหนียง อาศัยซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองในวังมาเชื่อมสัมพันธ์ก็เท่านั้นเอง
ช่วงนี้องค์ชายรองที่เป็นบุตรซูเฟยเหนียงเหนียงค่อนข้างทำงานที่เปิดเผยหลายเรื่อง จักรพรรดิยงเซวียนชมเขาหลายครั้งแล้ว ความเฉียบแหลมของเขาก็เหนือกว่าไท่จื่อมานานแล้ว
ภายนอกมีจวนเสนาบดีสนับสนุน ภายในซูเฟยเหนียงเหนียงก็ได้รับความโปรดปราน ตนเองก็มีความสามารถ กำจัดไท่จื่อเข้าแทนที่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอย่างถึงที่สุดหรือ พระชายาจิ้นอ๋องตัดสินใจล่วงหน้าหรือไร
“ปล่อยให้นางทรมานไป!” สวีโย่วเลิกคิ้ว ก้มหน้าดื่มชา
แม้ว่าพระชายาจิ้นอ๋องจะรื้อจวนจิ้นอ๋อง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยสักทองแดงเดียว จวนจิ้นอ๋องไม่มีแล้วก็ดี เขาจะได้ย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องได้อย่างเปิดเผย
เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้วก็ถูก ฟ้าถล่มลงมาก็ยังค้ำได้อยู่ นางจะร้อนใจมากเพียงนั้นทำไมกัน
พระชายาจิ้นอ๋องรอแล้วรออีก รอติดต่อกันมาหลายวันแล้วก็ยังไม่เห็นเสิ่นเวยส่งภาพมาด้วยตัวเอง ในใจก็ไม่พอใจขึ้นมา ใคร่ครวญว่าใช่เสิ่นซื่อผู้นั้นเปลี่ยนใจแล้วหรือไม่ เหอะ คิดว่านางเอามาให้เองไม่ได้แล้วตนจะไม่มีหนทางหรือ แสร้งโง่กับนางหรือ ฝีมือยังต่ำไปหน่อย
เช้าตรู่วันนี้ เสิ่นเวยไปเคารพที่จวนจิ้นอ๋อง ก็เห็นท่านจิ้นอ๋องอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ในใจเสิ่นเวยมีความเข้าใจแวบผ่าน เคารพด้วยความนบนอบ
เสิ่นเวยเพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ทอลาย พระชายาจิ้นอ๋องก็เอ่ยปากแล้ว “ภรรยาโย่วเอ๋อร์ ภาพผืนนั้นที่เจ้าเอ่ยถึงเมื่อหลายวันก่อนเจ้าหาเจอแล้วหรือยัง เหตุใดถึงไม่เอามาเลยเล่า ใช่เจ้าทิ้งไม่ลงจึงเปลี่ยนใจหรือไม่”
เมื่อคำพูดนี้ออกไป สีหน้าท่านจิ้นอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่ค่อยดีนัก “เพียงแค่ภาพวาด มีอะไรให้ทิ้งไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้นที่ให้ยังทำเพื่อการสมรสของน้องชายพวกเขา”
แท้จริงแล้วรากฐานของจวนจงอู่โหวก็ไม่ได้เรื่อง แม้แต่เสิ่นซื่อผู้นี้ยังขี้เหนียวใจแคบ ไม่มีกิริยาของหญิงสูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย โย่วเอ๋อร์ คิดถึงลูกชายคนโตผู้นั้นของเขา ท่านจิ้นอ๋องก็ยิ่งหงุดหงิด
“ไม่ ไม่ใช่ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ท่านฟังลูกพูดก่อน คือว่า คือว่า…” เสิ่นเวยรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทอลาย ระมัดระวัง ขลาดกลัว กระอึกกระอักอยู่นานก็พูดต้นสายปลายเหตุไม่ออก ใบหน้างามทั้งใบกลับร้อนรนจนแดงก่ำ
ตอนที่ 225-1 สวีโย่วออกมือ
เสิ่นเวยร้อนรนจนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว จิ้นอ๋องเห็นแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับมีท่าทางอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ในเมื่อภรรยาโย่วเอ๋อร์ไม่ยินดีก็ไม่เป็น แม่ค่อยคิดหาวิธีอื่น ภรรยาโย่วเอ๋อร์รีบสงบอารมณ์ อีกประเดี๋ยวโย่วเอ๋อร์เห็นเข้า คงจะไม่พอใจข้ากับเสด็จพ่อ” นางกล่าวหยอกล้อหนึ่งประโยค
จิ้นอ๋องที่เดิมคิดจะเอ่ยปากได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็แค่นเสียงหึหนึ่งครา แต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ภาพ ภาพวาดผืนนั้นเป็นของปลอม” เสิ่นเวยที่อ้ำอึ้งอยู่เนิ่นนานในที่สุดก็กล้ำกลืนพูดออกมา ใบหน้าของนางแดงก่ำ ในดวงตาโตๆ มีไอน้ำ ฟันขาวกัดริมฝีปากเบาๆ ราวกับว่าวินาทีถัดไปจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“จะเป็นของปลอมได้อย่างไร ภาพผืนนั้นปีนั้นข้าเคยไปชื่นชมมาแล้ว” ดวงตาจิ้นอ๋องมีความสงสัยแวบผ่าน
พระชายาจิ้นอ๋องเองก็กล่าว “ภรรยาโย่วเอ๋อร์ คำพูดนี้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แม่เพียงแค่ปรึกษาเจ้า ไม่ได้บีบบังคับเจ้า เจ้าไม่ยินดีก็พูดตรงๆ ได้ แต่ไม่อาจพูดโกหกเช่นนี้!” เสิ่นซื่อผู้นี้ไม่รู้อะไรจริงๆ แม้แต่ข้ออ้างเช่นนี้ก็ยังหามาได้ โง่นัก
เสิ่นเวยร้อนใจยิ่งกว่าเดิม บิดผ้าเช็ดหน้ารีบอธิบาย “เป็นของปลอมจริงๆ ลูกจะกล้าหลอกลวงเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ได้อย่างไร วันนั้นหลังกลับไปลูกก็ไปหาภาพตกปลาใต้จันทราภาพนั้นในคลังทันที มองดูแล้วก็ไม่มีตรงไหนแปลกใหม่ เหตุใดถึงถึงมีชื่อเสียงเช่นนี้เล่า ลูกกลัวว่าจะเข้าใจผิด จึงเอาภาพนี้ไปให้คนตรวจสอบรอบหนึ่ง ใครจะรู้ ใครจะรู้ว่าภาพผืนนี้คาดไม่ถึงว่าเป็นของปลอม” เสิ่นเวยเสียใจอย่างถึงที่สุด น้ำตาเม็ดใหญ่ก็ร่วงลงมา ท่าทางลำบากใจอย่างยิ่ง
“ในมือลูกไม่มีของแท้ กลัวว่าจะผิดใจเสด็จแม่ ก็เลย ก็เลย…” เสิ่นเวยสะอื้นเสียงเบา พูดไม่ออกแล้ว
จิ้นอ๋องกับพระชายาจิ้นอ๋องสบตากันปราดหนึ่ง มองหน้าพร้อมกัน ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าภาพวาด ‘ตกปลาใต้จันทรา’ ของแท้ของจางเต้าจื่อในรัชสมัยก่อนอยู่ในมือหร่วนซื่อ จู่ๆ จะกลายเป็นของปลอมได้อย่างไร เชื่อไม่ได้ แต่เห็นท่าทางของเสิ่นเวยก็ไม่เหมือนหลอกลวง แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวอย่างหยั่งเชิง “ภรรยาโย่วเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องกลัว ภาพวาดผืนนั้นแม่ไม่เอาแล้ว เจ้าเก็บไว้ดีๆ เถอะ”
เสิ่นเวยลนลานในชั่วขณะ ดึงแขนเสื้อของพระชายาจิ้นอ๋องกล่าว “เสด็จแม่ ลูกไม่ได้โกหกท่านจริงๆ ลูกไม่รู้ภาพวาดอักษร เก็บมันไว้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อการสมรสของคุณชายสี่ แม้ลูกเพิ่งจะแต่งเข้ามา แต่กลับอยากช่วยแบ่งเบาภาระเสด็จแม่อย่างถึงที่สุด หากท่านไม่เชื่อ ลูกจะเอาภาพวาดมาให้ท่านดูตอนนี้” พูดแล้วก็รีบสั่งเย่ว์กุ้ย “เจ้ารีบไป ไปเอาภาพวาดผืนนั้นในห้องข้ามา”
เย่ว์กุ้ยทำความเคารพ ถอยออกจากห้องแล้วก็ยกกระโปรงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว จิ้นอ๋องกับพระชายาจิ้นอ๋องเห็นแล้ว สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย
เสิ่นเวยก้มหน้าสะอึกสะอื้นไห้ ทว่าในดวงตาที่หลุบลงกลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม หึ อยากได้ของของนาง ของแท้ไม่มี ของปลอมอยากได้เท่าไรก็มีเท่านั้น ขอเพียงแค่เจ้ากล้ารับ ข้าก็กล้าประกาศออกไปข้างนอก
จิ้นอ๋องถูกเสียงสะอื้นของเสิ่นเวยทำให้หงุดหงิดรำคาญใจ กวาดสายตามองหน้าพระชายาจิ้นอ๋องปราดหนึ่ง พระชายาจิ้นอ๋องรีบกล่าว “เด็กดี หยุดร้องก่อน พูดออกมาชัดเจนก็พอแล้ว แม่ไม่ได้โทษเจ้ามิใช่หรือ หวาเยียน รีบพยุงฮูหยินใหญ่ไปเช็ดหน้า”
“ลูกขอบคุณเสด็จแม่” เสิ่นเวยกุมหน้าก้มศีรษะตามหวาเยียนไปจัดการตัวให้เรียบร้อย ตอนที่นางกลับมาอีกครั้งเย่ว์กุ้ยก็นำภาพกลับมาพอดี
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ท่านทั้งสองเชิญดู” เสิ่นเวยประคองภาพด้วยมือทั้งคู่ที่ยื่นออกไป
จิ้นอ๋องรับม้วนภาพ กางออก มองอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่พบว่ามีตรงไหนผิดปกติ เขาเคยไปตรวจดูภาพวาดชื่อดังภาพนี้ที่จวนจงอู่โหวแล้ว แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี แต่ความทรงจำของเขาก็ยังคงลึกซึ้ง ชัดเจนว่าภาพที่เห็นในตอนนั้นไม่มีอะไรต่างจากภาพผืนนี้ตรงหน้าเลย เหตุใดเสิ่นซื่อถึงบอกว่าภาพผืนนี้เป็นของปลอมเล่า ใช่ตอนนั้นก็เป็นของปลอมอยู่แล้ว หรือว่าภายหลังถูกคนใช้กลอุบายมาแอบเปลี่ยนแล้วเขาดูไม่ออก
“ภรรยาโย่วเอ๋อร์ เจ้าให้ใครตรวจสอบ” จิ้นอ๋องถาม เขาเริ่มสงสัยว่าเสิ่นซื่อผู้นี้ใช่ถูกคนหลอกแล้วหรือไม่
“ทูลเสด็จพ่อ เป็นผู้จัดการใหญ่ของเรือนเจี้ยนเป่า” เสิ่นเวยตอบด้วยความเคารพรอบคอบ ดวงตาจ้องมองภาพในมือจิ้นอ๋อง ผ้าเช็ดหน้าในมือก็บิดอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
จิ้นอ๋องพยักหน้า ความสงสัยในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เรือนเจี้ยนเป่าเลื่องชื่อด้านการตีราคาของมีค่า ในเมืองหลวง กระทั่งใต้กล้าล้วนแต่โด่งดังไปทั่ว เชี่ยวชาญเชิงลึก ในเรือนมีผู้จัดการเจ็ดคน แต่ละคนต่างก็เป็นผู้มีความสามารถในการวิเคราะห์ราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้จัดการใหญ่ อาทิเช่นภาพวาดพู่กันหายากที่มีเพียงฉบับเดียว ไม่มีสิ่งไหนที่เขาไม่รู้ที่มา ตั้งแต่ทำงานมาหลายสิบปีก็ไม่เคยพลาด ในเมื่อเขาบอกว่านี่คือของปลอมเช่นนั้นก็เป็นของปลอมอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ของปลอมนี้ก็ทำได้เหมือนเกินไปหรือไม่
ในใจจิ้นอ๋องเสียดายอย่างถึงที่สุด เขายังคิดว่าจะได้เห็นผลงานชื่อดังของจางเต้าจื่ออีกครั้ง ไม่คิดว่ากลับเป็นของปลอม แม้ว่าเขาจะดูไม่ออก แต่นี่ก็คือของปลอม! ต่อให้จะเหมือนก็ไม่ใช่ของจริง มูลค่านั้นลดลงไปมหาศาล
“ท่านอ๋อง ภาพผืนนี้เป็นของปลอมจริงๆ หรือ” พระชายาจิ้นอ๋องจ้องมองใบหน้าของจิ้นอ๋องอย่างแน่นิ่ง เห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าบนใบหน้าเขาอย่างชัดเจน!
“ในเมื่อผู้จัดการใหญ่เรือนเจี้ยนเป่าบอกว่าเป็นของปลอม เช่นนั้นก็คงจะเป็นของปลอม” ท่านจิ้นอ๋องหมดความสนใจ ถือโอกาสส่งม้วนภาพให้พระชายาจิ้นอ๋องข้างๆ “ข้ายังมีงาน พวกเจ้าทั้งสองคุยกันตามสบาย”
หลังจิ้นอ๋องไปแล้ว เสิ่นเวยก็ขานเรียกด้วยท่าทีน่าสงสาร “เสด็จแม่” ดวงตามีน้ำตาคลอ ประหนึ่งลูกสุนัขตัวเท่าอุ้งมือตัวนั้นที่หลานสาวคนโตของนางเลี้ยงไว้
พระชายาจิ้นอ๋องเพ่งมองภาพในมือ เมื่อครู่นางเห็นสีหน้าของท่านอ๋องชัดเจนแจ่มแจ้ง ดูจากท่าทางนั้นของท่านอ๋องก็รู้แล้วว่ามองไม่ออกว่านี่คือของปลอม แม้แต่ท่านอ๋องที่เคยชื่นชมของจริงมาแล้วยังแยกไม่ออก ก็เห็นได้ว่าภาพวาดผืนนี้เหมือนจริงมาก มาถึงขั้นนำของปลอมมาแทนของจริงแล้ว
นางกลับไม่สงสัยว่าตอนแรกภาพนี้จะเป็นของปลอม แม่ทัพใหญ่หร่วนเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ จะเอาของปลอมออกมาแสดงแก่ผู้คนได้อย่างไร นางคิดว่าน่าจะถูกคนสับเปลี่ยนในภายหลัง อย่างไรเสียหร่วนซื่อก็ตายไปนานแล้ว ใครจะรู้ว่าสินเดิมของนางถูกหลิวซื่อภรรยาคนใหม่ทำอุบายไว้หรือไม่
และแน่นอน พระชายาจิ้นอ๋องยังคาดการณ์ไว้อีกอย่าง นั่นก็คือภาพผืนนี้ตรงหน้าก็คือของแท้ ผู้จัดการใหญ่เรือนเจี้ยนเป่ามองผิดไป เสือยังมีเวลางีบ นางไม่เชื่อว่าผู้จัดการใหญ่ผู้นั้นจะไม่เคยผิดพลาดมาก่อน หรือว่าผู้จัดการใหญ่ผู้นั้นเกิดความคิดละโมบ คิดอยากจะวางแผนคอบครองภาพนี้จึงตั้งใจบอกว่าเป็นของปลอม ใจคนยากแท้หยั่งถึง ใครจะรู้ว่าใครคิดดีใครคิดร้าย
คิดถึงตรงนี้ จู่ๆ พระชายาจิ้นอ๋องก็ใจเต้น มองม้วนภาพในมือ คล้ายกำลังครุ่นคิด เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาที่ขลาดกลัวของเสิ่นซื่อพอดี อดยิ้มไม่ได้ “เจ้าเป็นเด็กซื่อสัตย์ เรื่องนี้เจ้าน่าจะบอกแม่ก่อน แม่จะบีบบังคับให้เจ้าเอาของแท้ออกมาได้อย่างไร ของปลอมก็ของปลอม ไว้แม่ค่อยหาวิธีอื่น เพียงแต่ภาพผืนนี้…” พระชายาจิ้นอ๋องมองเสิ่นเวย
“หากเสด็จแม่ชอบก็ส่งให้เสด็จแม่ดูเล่น อย่างไรเสียก็เป็นของปลอม ลูกเองก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์” เสิ่นเวยถอนหายใจอย่างโล่งอกหนึ่งครา ท่าทางในที่สุดก็ส่งเผือกร้อนออกไปได้แล้ว ทันใดนั้นก็เม้มปากกล่าวเสียงเบาด้วยความเขินอาย “ลูกขี้ขลาด หลังจากรู้ว่าเป็นของปลอมก็ตกใจแทบแย่ นอนหลับไม่สนิทหลายต่อหลายคืน ไม่กล้าบอกเสด็จแม่ หากรู้ว่าเสด็จแม่ไม่ตำหนิลูก ลูกก็คงจะเอาภาพมาให้เสด็จแม่ตัดสินใจนานแล้ว”
พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ยิ้ม ท่าทางอารมณ์ดีอย่างยิ่ง “เจ้าน่ะ! รอพวกเราสองคนสนิทกันมากกว่านี้แล้วเจ้าก็จะรู้เอง ข้าใจดีที่สุด มีเรื่องอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้ก็มาถามแม่ได้เสมอ”
“อืมๆ ลูกทราบแล้ว” เสิ่นเวยพยักหน้าทันทีราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก สีหน้าเชื่อใจทั้งใบหน้า นี่ทำให้อารมณ์ของพระชายาจิ้นอ๋องดีขึ้นอีก
ออกจากเรือนพระชายาจิ้นอ๋องแล้วสีหน้าบนใบหน้าของเสิ่นเวยก็หายเกลี้ยงทันที เสียใจลำบากใจอะไร ไหนเลยจะยังมีร่องรอยหลงเหลือแม้แต่นิดเดียว
ดวงตาทั้งคู่ของเสิ่นเวยเหม่อมองฟ้า กดความร้อนใจในจิตใจลง วันคืนนี้เหล่านี้ไม่ใช่ชีวิตของมนุษย์จริงๆ กลั่นแกล้งพระชายาจิ้นอ๋องเป็นเพียงการชดเชยส่วนที่ขาด เป็นความสนุกสนาน แต่การทำติดต่อกันเช่นนี้ก็ทำให้คนรำคาญใจอย่างยิ่งรู้หรือไม่ ดูท่าแล้วยังต้องคิดหาวิธีรีบย้ายออกไปให้เร็วจึงจะถูก
เสิ่นเวยส่งภาพของปลอมที่อาจารย์ซูคัดลอกไปให้พระชายาจิ้นอ๋อง แน่นอนว่าต้องสังเกตความก้าวหน้าของเหตุการณ์ พ่อบ้านซ่งที่ติดตามออกเรือนของพระชายาจิ้นอ๋องเพิ่งจะออกจากประตูใหญ่จวนอ๋อง เสิ่นเวยก็รู้เรื่องแล้ว คนที่ติดตามเขากลับมารายงานว่า พ่อบ้านซ่งผู้นั้นไปจวนเสนาบดีฉินดังคาด
เรื่องนี้เสิ่นเวยไม่ได้ปิดบังสวีโย่ว คนรับใช้รายงานก็รายงานต่อหน้าเขา เสิ่นเวยกระทั่งกล่าวเองว่า “อ้อ ข้าขุดหลุมให้แม่เลี้ยงท่าน รอดูว่านางจะเลือกอ้อมไปหรือกระโดดเข้าไป ตอนนี้ดูท่าแล้วแม่เลี้ยงของท่านจะอ่านสถานการณ์ออกจริงๆ!” เสิ่นเวยลากเสียงยาว ท่าทางภูมิใจอย่างถึงที่สุด
“ขุดหลุมลึกหรือไม่ จะให้ข้าเพิ่มเสียมให้อีกสักสองอันหรือไม่” สวีโย่วถามด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างแฝงความนัย “ข้าละอายใจ! เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังต้องให้เวยเวยออกมือ ลำบากเวยเวยจริงๆ”
เสิ่นเวยเชิดหน้าอย่างทะนงตน ยืดขาออกไป อุ้งมือก็จู่โจมไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของสวีโย่ว “ใครให้ท่านมีใบหน้าที่ทำให้ข้าชอบเล่า ข้าน่ะใจอ่อนกับคนรูปงามเสมอ” ดวงตาของเสิ่นเวยมีความหลงใหลแวบผ่าน เหตุใดหน้าใบนี้ถึงได้ดูดีเพียงนั้นเล่า
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ลุ่มหลงในใบหน้างดงามใบนี้ของเขา สวีโย่วก็คงจะทำหน้าตายใส่ไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับภาคภูมิใจอยู่เงียบๆ โชคดีที่ตนเกิดมามีหน้าตาหล่อเหลา เขายื่นมือไปบีบขาของนาง “เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าต้องให้เวยเวยปกป้องแล้ว”
ถูกหญิงสาวปกป้อง สวีโย่วไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่นิดเดียว กลับยังมั่นอกมั่นใจอย่างถึงที่สุด
เสิ่นเวยถูกสวีโย่วบีบจนหัวเราะคิกคัก “วางใจเถอะ อยู่กับข้ามีเนื้อให้กิน เชื่อฟังก็พอ หลังจากนี้ข้าจะคุ้มครองท่าน” เสิ่ยเวยลูบหน้าสวีโย่วสองครั้งด้วยทีท่าอันธพาลอย่างยิ่ง ท่าทางผึ่งผายราวกับราชินี
สวีโย่วเองก็ยิ้มแล้ว เสมือนสายลมโชยพัดผ่านเนินเขา น้องสี่ของเขาน่าเกรงขามเกินไปแล้วหรือไม่ อยากจะอุ้มนางขึ้นเตียงเสียตอนนี้! เขาจ้องมองความใสซื่อในดวงตาของเสิ่นเวย ท้ายที่สุดก็ยังคงเกลี้ยกล่อมตัวเองให้ล้มเลิกความคิด
ตั้งแต่ที่พ่อบ้านซ่งออกไปจวนเสนาบดีฉิน พระชายาจิ้นอ๋องก็มีความสุขอย่างยิ่ง โดยเฉพาะวันนี้ ยังเตรียมตัวจะไปไหว้พระที่วัดซีซาน
เสิ่นเวยรู้ตั้งแต่แวบแรกแล้ว ไหว้พระเป็นข้ออ้าง แต่ไปพบฉินอิงอิงเป็นเรื่องจริง
เป็นดังคาด พระชายาจิ้นอ๋องกลับมาจากวัดซีซานแล้วก็อารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ คืนนั้นยังเพิ่มกับข้าวที่เรือนของเสิ่นเวยให้อีกสองอย่าง นี่หมายความว่าการหมั้นหมายของสองตระกูลสำเร็จแล้วงั้นหรือ เสิ่นเวยลูบคางคิดเช่นนี้
ไม่ได้ หากว่าการหมั้นหมายสำเร็จ เช่นนั้นนางก็จะเสียแรงขุดหลุมเปล่าไม่ใช่หรือ อีกทั้งฉินอิงอิงกับนางยังเป็นคู่อริ หากนางแต่งเข้ามาตนเห็นแล้วจะต้องอึดอัดใจแน่นอน ไม่ได้ ไม่อาจให้การหมั้นหมายนี้สำเร็จได้เป็นอันขาด
แม้สองตระกูลจะตกลงกันอย่างลับๆ แต่เมืองหลวงยังคงไม่ผู้มีสายตาเฉียบแหลม ทุกคนค่อยๆ รู้เรื่องจวนจิ้นอ๋องจะผูกสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับจวนเสนาบดีฉินแล้ว จากนั้นก็ถกเถียงกันถึงชายหญิงที่มีอายุเหมาะสมของจวนทั้งสองต่อ เจ้าตัวก็ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
นี่เองก็เดาไม่ยาก ผู้ที่มีอายุเหมาะสมยังไม่แต่งงานฝั่งจวนเสนาบดีฉินก็มีเพียงคุณหนูห้าบ้านรองกับคุณหนูเจ็ดบ้านสาม คุณหนูห้าหมั้นหมายไว้แล้ว เช่นนั้นก็เหลือเพียงคุณหนูเจ็ด
ฝั่งจวนจิ้นอ๋องเล่า ในจวนกลับมีคุณชายที่อายุเหมาะสมสองคนคนหนึ่งเป็นบุตรภรรยาเอกคนหนึ่งเป็นบุตรอนุภรรยา แต่คนในสมัยนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องลำดับอาวุโส คุณชายสี่ยังไม่พูดเรื่องแต่งงานจะตกไปถึงตาคุณชายห้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายสี่เป็นบุตรแท้ๆ ของพระชายาจิ้นอ๋อง นางเองก็ไม่อาจยอมให้บุตรอนุภรรยาคนหนึ่งนำหน้าลูกชายของตัวเองได้ เช่นนั้นก็เป็นได้แค่เพียงคุณชายสี่
มิหนำซ้ำยังมีคนที่ฉลาดกังขาในใจ จวนจิ้นอ๋องจะพึ่งองค์ชายรองงั้นหรือ
ฮองเฮาเหนียงเหนียงในวังรู้เรื่องนี้แล้ว โมโหจนเจ็บใจ “ซ่งซื่อผู้นี้ ซ่งซื่อผู้นี้” เพียงแค่หญิงชั่วตำแหน่งสูงที่ใช้อุบายลับๆ ล่อๆ ก็เท่านั้นเอง คาดไม่ถึงว่ากล้าเป็นศัตรูกับนางอย่างเปิดเผย น่าโมโหเกินไปแล้วจริงๆ
จะว่าไปแล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงกับพระชายาจิ้นอ๋องก็มีบุญคุณความแค้นหลายส่วนกันอยู่แล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงอยู่ในวัง เป็นตัวอย่างที่ดีของพระมเหสีทั้งหมด ย่อมไม่ชอบพระชายาจิ้นอ๋องที่ใช้อุบายแน่นอน อีกทั้งฮองเฮาเหนียงเหนียงยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับต้วนซื่อมารดาของสวีโย่วก็ยิ่งเห็นพระชายาไม่เข้าตา ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ไม่ไว้หน้านางต่อหน้าสาธารณะ กลายเป็นศัตรูกันด้วยเหตุนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น