อัจฉริยะสมองเพชร 2220-2223

ตอนที่ 2220 คุณทำงานให้ตระกูลฉี?

 

หรือบางที…ความลับของการยกระดับวรยุทธอย่างรวดเร็วของนายน้อยอาจอยู่ที่การกระดกยา?


เพราะถึงอย่างไร ก็เคยมีกรณีที่นักรบสามารถก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการรับเอาพลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลเข้าสู่ร่างกาย


ซุนฉางลูบคางขณะเกิดความคิดพิเรน


จางเซวียนไม่รู้ว่าพ่อบ้านกำลังคิดอะไร เขาหันกลับมาถาม “ตอนที่ผมกำลังฝึกฝนวรยุทธน่ะ คุณหาวิธีเพิ่มพละกำลังให้กายเนื้อได้หรือยัง?”


ซุนฉางขมวดคิ้วกับคำถามของจางเซวียน


ตอนนี้เขาอยากใช้มีดเฉาะหัวชายหนุ่มเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน


ตัวคุณใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธแค่ 3 อึดใจ แล้วจะมาคาดหวังอะไรกับผม? คิดได้ไงว่าจะให้ผมค้นพบนั่นนี่ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที? ความรู้มันจะโผล่ขึ้นมาในหัวสมองของผมทันทีที่ผมต้องการหรือ?


“ผมจะพยายามเดี๋ยวนี้แหละ”


ซุนฉางสูดหายใจลึกเพื่อยับยั้งตัวเองไม่ให้พลั้งปาก แต่ขณะที่กำลังจะจากไป ก็พลันนึกอะไรได้บางอย่าง “นายน้อย จัวเฟิงติดตามเรามาได้สักพักแล้ว เขาบอกว่าอยากตอบแทนความช่วยเหลือของคุณ ในเมื่อเขาเป็นนายพลประจำเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน แถมเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางด้วย ผมคิดว่าเขาคงพอรู้เรื่องพวกนั้นอยู่บ้าง”


จัวเฟิงคือนายพลเกราะเงินคนนั้น


ด้วยตำแหน่งของเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะรู้ข้อมูลที่คนอื่นๆเข้าถึงได้ยาก


เมื่อได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง วิถีทางที่จางเซวียนจะใช้บ่มเพาะกายเนื้อและจิตวิญญาณของเขาก็ดูเหมือนจะมีน้อยลงหลายเท่า อีกอย่าง ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่พอจะใช้การได้สำหรับเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็มีราคาสูงลิ่ว ไม่มีทางที่ใครสักคนจะได้ข้อมูลแบบนั้นมาง่ายๆ


“เชิญเขาไปบ้านพักของเรา” จางเซวียนพูด


ไม่ช้า ทั้งสามก็มาอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่บ้านพักของจางเซวียน


“ปรมาจารย์จาง!” จัวเฟิงทักทาย


ชายหนุ่มคนนี้ช่วยชีวิตลูกชายของเขาและมอบความหวังของอนาคตที่สดใสกว่าเดิมให้ นี่คือบุญคุณครั้งใหญ่ เขาไม่รู้เลยว่าจะชดใช้หนี้บุญคุณครั้งนี้ได้อย่างไร แต่ก็ตัดสินใจจะตอบแทนผู้มีพระคุณของลูกชายของเขาให้ได้


“มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามคุณ” จางเซวียนพูด


“เชิญปรมาจารย์จางถามได้ทุกอย่าง”


“ผมอยากบ่มเพาะกายเนื้อและขัดเกลาจิตวิญญาณ คุณพอรู้วิธีที่ผมจะทำแบบนั้นได้ไหม? ถ้าคุณชี้ทางที่เหมาะสมให้ผมได้ล่ะก็ ผมก็คิดว่าเราหายกัน ไม่จำเป็นต้องติดหนี้บุญคุณอะไรต่อกันอีก”


“คือ…” จั๋วเฟิงคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะถามคำถามง่ายๆแบบนี้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “ผมพอรู้กรรมวิธีบ่มเพาะกายเนื้อจากกองทัพมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ใช้สำหรับนักรบระดับเทพเจ้า ถ้าเป็นคนที่เก่งกาจระดับคุณล่ะก็ ผมพอรู้ว่ามีวิธีที่เหมาะสมกับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างอย่างคุณ แต่ในเวลานี้อาจทำได้ไม่ง่ายๆนัก”


“อย่างนั้นหรือ?”


“ว่ากันว่าสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะกายเนื้อของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคือแอ่งลาวาอมตะ ลาวาอมตะเปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณที่ทำให้นักรบเยียวยาอาการบาดเจ็บทุกชนิดได้อย่างรวดเร็ว เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดต่อการบ่มเพาะและฝึกฝนกายเนื้อ แต่ความร้อนแผดเผาที่เคยมีอยู่ในแอ่งลาวาอมตะได้เหือดหายไปตั้งแต่ 40 ปีก่อน ทำให้ลาวาแข็งตัวไปหมด และจอมราชันย์อมตะก็ไม่เคยฟื้นฟูบูรณะมันนับตั้งแต่ตอนนั้น จึงกลายเป็นดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง” จัวเฟิงพูด


“จอมราชันย์อมตะ?” จางเซวียนสะดุด “1 ใน 9 จอมราชันย์หรือ?”


ชื่อนั้นทำให้เขาคิดอะไรได้บางอย่าง


เขาจำได้ว่าเคยเห็นป้ายหลุมฝังศพของจอมราชันย์อมตะในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายของมิติเบื้องบน ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักวรยุทธระดับขั้นต่างๆของสรวงสวรรค์ และเข้าใจว่าจอมราชันย์อมตะเป็นแค่เทพเจ้าธรรมดา จึงไม่ได้ใส่ใจ


แต่เมื่อได้ยินชื่อนั้นจากปากของจัวเฟิงอีกครั้ง ทุกอย่างก็คลิกทันที


เก้าจอมราชันย์ได้ชื่อว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ พวกเขาอยู่มายาวนานจนไม่มีใครจำความได้ แล้วจะมีจอมราชันย์เสียชีวิตได้อย่างไร?


ป้ายหินหลุมฝังศพนั้นเป็นหลุมศพของจอมราชันย์อมตะจริงๆ หรือเป็นตัวแทนของสิ่งอื่น?


“ใช่” จัวเฟิงพยักหน้า “จอมราชันย์อมตะเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว เขาไม่ปรากฏตัวให้ใครๆเห็นมา 2-3 ทศวรรษแล้ว”


“2-3 ทศวรรษ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “แล้วตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เขาได้ต่อสู้กับจอมราชันย์ผู้พิชิตสวรรค์บ้างหรือเปล่า?”


ถึงตอนนี้ จัวเฟิงเบาเสียงและสื่อสารโดยใช้โทรจิต “นั่นคือสิ่งที่ใครๆพูดกัน แต่ไม่มีรายละเอียดว่าการต่อสู้เกิดขึ้นที่ไหน ผลการต่อสู้เป็นอย่างไร หรือเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆหรือเปล่า ผมรู้มาว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เดินทางไปท้าทายเขา แต่จอมราชันย์อมตะก็กลับยอมแพ้ง่ายๆโดยไม่แม้แต่จะพบหน้าอีกฝ่าย แต่ก็นั่นแหละ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจอมราชันย์โดยตรง พูดให้น้อยเข้าไว้จะดีกว่า”


ถ้าจางเซวียนไม่ใช่ผู้มีพระคุณของลูกชายของเขา จัวเฟิงจะไม่มีวันบอกอะไรมากขนาดนี้ ข้อมูลที่เขาเพิ่งพูดออกมาเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วไปแทบไม่เคยล่วงรู้ แต่ในฐานะเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง เขายังพอได้ข่าวคราวอยู่บ้าง


“ผมเข้าใจ…” จางเซวียนพึมพำ


ถ้าอย่างนั้น ป้ายหินฝังศพของจอมราชันย์อมตะที่เขาเห็นในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายก็น่าจะเป็นของจริง


ว่าแต่…จอมราชันย์ตายได้จริงๆหรือ?


แถมคนตายยังมีสมญานามที่แสนจะย้อนแย้งว่าจอมราชันย์อมตะ!


ถ้าเรื่องนี้เกิดเมื่อ 40 ปีก่อน ก็ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่พลังจิตวิญญาณเริ่มเสื่อมถอย แล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


“ไม่ทราบว่าจอมราชันย์อมตะปกครองน่านฟ้าไหน?” จางเซวียนถาม


เขาอ่านเรื่องราวของเก้าน่านฟ้ามาไม่น้อย แต่ก็น่าแปลกที่แทบไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจอมราชันย์ ทั้งที่เรื่องพวกนั้นน่าจะเป็นข้อมูลทั่วไป ราวกับการพูดถึงพวกเขาเป็นข้อห้าม


“จอมราชันย์อมตะปกครองน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เรียกขานในอีกชื่อหนึ่งว่าน่านฟ้าอมตะ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสรวงสวรรค์ ถัดจากน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเราไปทางฝั่งขวา ความโด่งดังของมันคือแม่น้ำ 5 สายและบึง 3 แห่งซึ่งกินพื้นที่ของดินแดนเป็นบริเวณกว้าง ผมมีโอกาสไปเยือนเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้สำรวจบริเวณรอบนอก และรู้มาว่าเมืองหลวงชั้นในของที่นั่นเจริญรุ่งเรืองมาก เจริญกว่าเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเราเสียอีก แต่ดูเหมือนมันจะล่มสลายไปพร้อมกับจอมราชันย์อมตะตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน…”


จางเซวียนพยักหน้า


เขาได้อ่านเรื่องราวของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเช่นกัน แต่ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับราชันย์อมตะ ถ้าเขารู้ว่าอีกชื่อหนึ่งของมันคือน่านฟ้าอมตะล่ะก็ คงจะปะติดปะต่อ 2 ประเด็นนี้เข้าด้วยกันแล้ว


“สมัยก่อน แอ่งลาวาอมตะเปิดรับผู้คนจากทั้งเก้าน่านฟ้า ทุกปี เก้าน่านฟ้าจะได้รับโควต้าจำนวนหนึ่ง พวกเขาสามารถส่งอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องในดินแดนของตัวเองไปบ่มเพาะร่างกายที่นั่น ในช่วงเวลานั้น การได้รับเลือกให้เข้าสู่แอ่งลาวาอมตะถือเป็นเกียรติสูงสุด แต่เมื่อความร้อนเหือดแห้งไป กระบวนการนี้ก็หยุดชะงัก และจากนั้นเป็นต้นมา ทั้งเก้าน่านฟ้าก็ต้องหาสถานที่ของตัวเองเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อของเหล่านักรบ”


“กองทัพของเราก็มีสถานที่แบบนั้นอยู่ที่หนึ่ง แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นนักรบระดับเทพเจ้า ส่วนสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะร่างกายของเทพเจ้าสวรรค์สร้างในเมืองหลวงแห่งนี้ก็คือทะเลสาบจันทร์กระจ่างของตระกูลฉี เพียงแต่ตระกูลฉีถือตัวมาก ขนาดบริวารเก่าแก่อย่างพวกเราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป” จัวเฟิงพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


“บริวารเก่าแก่ คุณทำงานให้ตระกูลฉี?” จางเซวียนถาม


“ใช่ จะพูดอย่างนั้นก็ได้ ผมเคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตระกูลฉี”


อาจเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับสุดยอดของกองทัพ คำตอบของจัวเฟิงจึงคลุมเครือ


เมื่อจับทางได้ จางเซวียนตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “ก็ช่วยไม่ได้ถ้าตระกูลฉีไม่อนุญาตให้คนนอกใช้สถานที่ของพวกเขา แล้วคุณรู้วิธีบ่มเพาะกายเนื้อวิธีอื่นไหม?”


ตัวเขาเองก็ลักลอบเข้าไปใช้ทรัพยากรของตระกูลฉีไม่ได้เช่นกัน


เขาเป็นแค่พลเมืองธรรมดาสามัญคนหนึ่ง และจะไม่มีวันชกใต้เข็มขัด!


ที่ผ่านมา ถ้าเขาเคยทำอะไรไม่เข้าท่ามาบ้าง นั่นก็เป็นเพราะความโง่เขลาแบบวัยรุ่น


ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ทำให้จางเซวียนต้องตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น


“ผมคิดไม่ออก” จัวเฟิงส่ายหน้า “เทพเจ้าสวรรค์สร้างมีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทาน กรรมวิธีทั่วไปจึงใช้กับพวกเขาไม่ได้ ทรัพยากรส่วนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงก็แสนจะหายาก หรือไม่ก็เป็นสมบัติของทางการและตระกูลใหญ่ๆ นักรบทั่วไปไม่มีโอกาสเข้าถึงหรอก นักรบส่วนใหญ่ใช้แต่พลังงานสวรรค์สร้างของพวกเขาเท่านั้นในการบ่มเพาะร่างกาย…”


จางเซวียนเงียบ


จัวเฟิงพูดถูก


เมื่อเขาได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง จึงได้รู้ว่านักรบระดับนี้ไร้เทียมทานขนาดไหน มีแต่ทรัพยากรที่มีศักยภาพระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะใช้การได้ และข้าวของเหล่านั้นก็แพงลิบลิ่ว นักรบธรรมดาสามัญไม่มีทางมั่งคั่งพอจะซื้อหาได้เลย!


ดังนั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องอาศัยเวลาในการบ่มเพาะกายเนื้อของตัวเอง


“เอ่อ…ถ้าปรมาจารย์จางต้องการใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างจริงๆ ผมพอจะละทิ้งศักดิ์ศรีและร้องขอให้คุณได้ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าโอกาสทำสำเร็จมีน้อยมาก…” จัวเฟิงเสริม


“ผมเข้าใจ เท่านั้นก็เป็นบุญคุณแล้ว” จางเซวียนประสานมือตอบ


เขาจำเป็นต้องเร่งยกระดับวรยุทธ โอกาสในการเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างจึงสำคัญมาก


“ผมจะลองดูก็แล้วกัน” จัวเฟิงพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากบ้านพักของจางเซวียน


หลังจากที่จัวเฟิงจากไปได้ไม่นาน จางเซวียนก็เดินเข้าไปในลานบ้าน เห็นฉีหลิงเอ๋อนั่งอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง ดูเหมือนเธอจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ใบหน้างดงามของเธอแสดงอาการอ่อนล้า ทั้งยังถอนหายใจอย่างจนปัญญาออกมาเป็นระยะๆ


“นายน้อยจาง…”


“การสืบข่าวของคุณไปถึงไหนแล้ว?” จางเซวียนถาม


“ฉันไปตามหาเพื่อนเก่าบางคนที่ตลาดมืดของเมืองหลวง หวังจะได้ข้อมูลจากพวกเขาบ้าง แต่ฉีชุนเอ๋อรู้ว่าฉันกลับมาและจงใจรายงานเรื่องการกลับมาของฉันต่อตระกูลฉี…พวกเขาออกคำสั่งให้ฉันกลับตระกูล ฉันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปที่นั่น” ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้า


“กลับตระกูลฉีเมื่อไหร่ ทุกการเคลื่อนไหวของฉันน่าจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ฉันจึงมาที่นี่เพื่อบอกคุณไว้ก่อน”


จางเซวียนงงเมื่อได้ฟังฉีหลิงเอ๋อ


ทำไมตระกูลฉีต้องเข้มงวดกับการเคลื่อนไหวของเธอเมื่อรู้ว่าเธอกลับมา? ทำอย่างกับเธอเป็นอาชญากร?



 

 

 


ตอนที่ 2221 โล่งอกไปที…

 

เขาพอเข้าใจว่าตระกูลใหญ่มักมีกฎเกณฑ์เข้มงวด แต่แบบนี้ก็ดูจะเกินไป


“ตลาดมืดเป็นเรื่องผิดกฎหมายในสรวงสวรรค์ ชนชั้นสูงส่วนใหญ่รู้ดีว่ามีตลาดมืด แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เข้าใจว่าการจะรักษาความสงบสุขภายในเมืองใหญ่ที่ปราศจากตลาดมืดนั้นเป็นเรื่องยาก จึงมักเอาหูไปนาเอาตาไปไร่…” ฉีหลิงเอ๋อสาธยาย


การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณจากสรวงสวรรค์เป็นหายนะที่ส่งผลกระทบต่อนักรบทุกคน ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการฝึกฝนวรยุทธและการดำรงชีวิต


ทรัพยากรส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ภายในเมืองหลวง มีกลุ่มอำนาจไม่กี่กลุ่มที่ได้ครอบครอง นั่นหมายความว่าเป็นเรื่องยากมากที่นักรบทั่วไปจะได้เข้าถึงทรัพยากรเหล่านั้น ซึ่งนั่นส่งผลให้เกิดความไม่สงบตามมา


ถ้านักรบทั่วไปพบว่าพวกเขาต้องหลังชนฝาเพราะไม่อาจยกระดับวรยุทธได้ ก็มีโอกาสที่ทุกคนจะรวมตัวกันและพยายามทำอะไรบางอย่าง


แน่นอนว่าการปฏิวัติไม่ส่งผลอะไรต่อผู้กุมอำนาจอย่างจอมราชันย์ ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ และราชันย์เทพเจ้า แต่นักรบเหล่านั้นก็ยังมีวิธีการอีกมากมายที่จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นในเมือง การสุมหัวกันตั้งกองโจรก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างชั้นดี


ด้วยเหตุนี้ การมีตลาดมืดอยู่จึงสำคัญมาก มันคือสถานที่ที่นักรบทั่วไปรู้ดีว่าจะเสาะหาทุกอย่างที่ต้องการได้แม้ราคาอาจจะสูงไปบ้าง ซึ่งนั่นช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาออกจากความไม่พอใจในกลุ่มอำนาจที่ปกครองเมือง นำมาซึ่งความมั่นคงและสงบสุข


จะว่าไป เรื่องนี้ก็เหมือนกับในโลกเก่าของจางเซวียนที่มีบางอาชีพถูกมองว่าผิดกฎหมาย แต่ผู้ทำหน้าที่บริหารปกครองก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพราะรู้ดีว่าจำเป็นต้องมีกลุ่มอาชีพเหล่านั้น


ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากก้าวก่าย แต่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงหากตัดสินใจเข้าไปวุ่นวาย


“ตลาดมืดเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลฉี เรื่องนี้อาจฟังดูน่าทึ่ง แต่สำหรับชนชั้นสูง พวกเขามองว่าตลาดมืดเป็นสถานที่ชั่วร้ายและไร้เกียรติ ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลตลาดมืดจึงมักเป็นสมาชิกที่ถูกคนอื่นๆในตระกูลเหยียดหยามและต่อต้าน”


ฉีหลิงเอ๋อยิ้มเจื่อนๆ


กลุ่มชนชั้นนำยอมรับการมีอยู่ของตลาดมืดด้วยความไม่เต็มใจ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าตลาดมืดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย


ต่อให้เธอทำผลงานดีเยี่ยมจากการเป็นผู้จัดการตลาดมืด แต่ก็ไม่อาจโอ้อวดเรื่องนั้นกับใครต่อใครได้!


เรื่องนี้ก็เหมือนกับการที่สายลับไม่อาจประกาศความดีความชอบของพวกเขาแม้จะได้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองมากกว่าเหล่านายพล


“บอกคุณตามตรงนะ สายเลือดของฉันเรียกได้ว่าใกล้ชิดกับสายตรงของตระกูลฉีมาก แต่ด้วยความขัดแย้งของสมาชิกรุ่นก่อนๆ สายเลือดของฉันจึงถูกสายเลือดของฉีชุนเอ๋อต่อต้านมาตลอด เธอรู้ดีว่าพวกเราทำอะไรเธอไม่ได้เพราะติดที่พี่ชายของเธอ จึงทำทุกอย่างตามอำเภอใจ…”


“พี่ชายของเธอ?”


“พี่ชายของเธอคืออัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องที่สุดของตระกูลฉีในเวลานี้ เขาอายุ 30 ปลายๆ แต่เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงแล้ว อีกอย่าง เขาอดทนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ถึงกว่า 4 ชั่วโมง”


“ตามที่เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหารือกัน เขามีสภาวะของราชันย์เทพเจ้า! ได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธอย่างดีที่สุดเท่าที่มีในตระกูลของเรา จึงเป็นธรรมดาที่สถานภาพของเขาจะสูงส่งกว่าเดิมมาก” ฉีหลิงเอ๋อพูด


“ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง?” จางเซวียนทวนคำ


“มันคือสถานที่ที่เหล่าสมาชิกตระกูลฉีใช้ขัดเกลาสายเลือดและบ่มเพาะกายเนื้อ ยิ่งสายเลือดของผู้นั้นมีความบริสุทธิ์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้เวลาอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้นานขึ้น สมาชิกในตระกูลที่อดทนอยู่ในนั้นได้ 1 ชั่วโมงก็ถือเป็นอัจฉริยะชั้นยอดแล้ว ในประวัติศาสตร์ของตระกูลฉี มีเพียง 5 คนเท่านั้น, รวมทั้งตัวเขา ที่อดทนอยู่ในนั้นได้นาน ซึ่ง 4 คนแรกก็ลงเอยด้วยการได้เป็นราชันย์เทพเจ้า!” ฉีหลิงเอ๋อพยักหน้า


ด้วยเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ตระกูลฉีจึงปฏิบัติต่อพี่ชายของฉีชุนเอ๋อในสถานภาพราชันย์เทพเจ้า


บรรดาตระกูลชั้นนำที่แข่งขันกันเพื่อความเป็นเลิศในเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนคือตระกูลที่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ซึ่งบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลฉี, ฉีเหมิง ก็เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนหนึ่ง


สิ่งที่ทำให้ตระกูลเหล่านี้โดดเด่นก็คือจำนวนราชันย์เทพเจ้าที่พวกเขามีอยู่ ดังนั้น ถ้าตระกูลฉีมีราชันย์เทพเจ้าเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ก็จะเหนือชั้นกว่าตระกูลอื่นๆ


ผู้ที่ถูกมองว่ามีศักยภาพพอจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าย่อมมีสถานภาพสูงส่งกว่าใคร เป็นธรรมดาที่ทั้งตระกูลจะพร้อมใจกันต่อต้านคนที่เขาไม่ชอบหน้า


นั่นอธิบายได้ว่าทำไมฉีหลิงเอ๋อถึงลงเอยด้วยการถูกเตะโด่งออกไปถึงเมืองตะวันรอนที่แสนห่างไกลทั้งที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลฉี ดูเหมือนการเมืองในตระกูลฉีจะซับซ้อนและเข้มข้นไม่น้อย


“คุณเคยเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


“ฉันเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง แต่ทนอยู่ที่นั่นได้ไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ” ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้า


ถ้าเธออดทนอยู่ที่นั่นได้ถึง 4 ชั่วโมง ตระกูลฉีจะต้องหันมาทำดีกับเธอแน่ ต่อให้ฉีชุนเอ๋อก็คงก็ไม่กล้าหาเรื่องเธออีก!


ผู้ที่อ่อนแอกว่ามีแต่จะถูกย่ำยี มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้


“คุณอดทนอยู่ในนั้นได้ไม่ถึง 15 นาที? การอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างมันทรมานขนาดนั้นเลยหรือ?”


“พลังงานในทะเลสาบมีอานุภาพรุนแรงมาก สามารถกดข่มจิตวิญญาณและพลังงานสวรรค์สร้างของนักรบได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะใช้พลังงานสวรรค์สร้างปกป้องตัวเองได้เมื่ออยู่ในทะเลสาบ การอดทนอยู่ในนั้นเป็นเรื่องยาก ผู้ที่ทำได้มักเป็นสมาชิกที่มีสายเลือดบริสุทธิ์กว่าและมีความฉลาดปราดเปรื่องมากกว่าใครๆ” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย


ไม่ใช่เพราะเธอไม่พร้อมอดทนกับความเจ็บปวด แต่เธอทำจนสุดความสามารถแล้ว


การเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างทำให้ฉีหลิงเอ๋อรู้สึกเหมือนทุกเซลล์ในร่างกายถูกเฉือนเป็น 2 ท่อนพร้อมๆกัน ถ้าเธอฝืนทนต่อไป คงต้องตายหรือไม่ก็เสียสติแน่


“โดยปกติ ฉันจะหลีกเลี่ยงการเข้ามาเมืองหลวงทุกวิถีทาง เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ในตระกูลฉี แต่หลังจากได้กินยาเม็ดเพิ่มความงามของคุณ ก็รู้ทันทีว่าอาการบอบช้ำที่เคยได้รับนั้นหายไปหมดแล้ว ร่างกายของฉันมีศักยภาพสูงกว่าเดิมมาก ฉันรู้สึกว่าด้วยสภาวะแบบนี้ คงจะอดทนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้นานกว่าเดิม จึงหวังจะกลับตระกูลฉีและลองดูอีกสักครั้ง!” ฉีหลิงเอ๋ออธิบายอย่างค่อนข้างจะลังเล


“แปลว่าคุณอยากให้ผมหลอมยาเม็ดเพิ่มความงามให้คุณอีก เพื่อจะได้เพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างใช่ไหม?” จางเซวียนเดาได้ทันทีว่าเธอคิดอะไร


ตอนที่เขาขอร้องฉีหลิงเอ๋อให้พาเขามาเมืองหลวงและเสนอจะชดเชยที่เธอยอมช่วยเหลือ อีกฝ่ายลังเลอยู่สักพักก่อนสุดท้ายจะตอบตกลง เท่าที่เห็น เรื่องนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับทะเลสาบจันทร์กระจ่าง


ทะเลสาบจันทร์กระจ่างเป็นเครื่องชี้วัดความสามารถของสมาชิกตระกูลฉี ซึ่งผู้ที่อดทนอยู่ในนั้นได้นานกว่าก็จะได้การยอมรับจากคนอื่นๆในตระกูล


เป็นไปได้ว่าฉีหลิงเอ๋อน่าจะกำลังคิดว่าขอแค่เธอมียาเม็ดเพิ่มความงามมากพอ ก็น่าจะรับมือกับพลังงานดุเดือดในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ และอยู่ในนั้นได้นานพอที่จะทำให้สมาชิกในตระกูลยอมรับ


“ใช่…” ฉีหลิงเอ๋อตอบตามตรง


“ได้สิ ผมช่วยคุณได้!” จางเซวียนรับปาก “แต่คุณต้องพาผมไปทะเลสาบจันทร์กระจ่างกับคุณด้วย”


เขากำลังสนใจใคร่รู้ว่าสถานที่ที่ใช้บ่มเพาะกายเนื้อซึ่งขึ้นชื่อในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนนั้นเป็นอย่างไร ก็พอดีกับที่ฉีหลิงเอ๋อพูดถึง เพียงแค่ได้ฟัง ก็พอมองเห็นอานุภาพของมันและหนทางการบ่มเพาะกายเนื้อของเขา


“ขอบคุณมาก นายน้อยจาง!” ฉีหลิงเอ๋อตาโตด้วยความดีใจ


อันที่จริง เป้าหมายของเธอไม่ใช่ยาเม็ดเพิ่มความงาม แต่เป็นตัวจางเซวียน


ปฏิเสธไม่ได้ว่าอานุภาพของยาเม็ดเพิ่มความงามนั้นน่าทึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ก็คงยืดระยะเวลาที่เธอจะอดทนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้อย่างมากก็เพียง 10 นาที


สิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากกว่าคือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจางเซวียน ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เธอได้เห็นแล้วว่าชายหนุ่มสามารถสร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเธอหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมช่วยเหลือเรื่องนี้ ก็น่าจะได้รับอะไรที่คาดไม่ถึง


“ฉันพาคุณไปทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ แต่หากไม่มีสายเลือดตระกูลฉี คุณก็เข้าไปในพื้นที่ไม่ได้หรอก เพราะพลังงานรุนแรงของที่นั่นจะฉีกร่างคุณเป็นชิ้นๆ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


เธอไม่ได้กังวลเรื่องการที่ต้องพาจางเซวียนไปที่นั่น เพราะรู้ว่าทะเลสาบจันทร์กระจ่างมีลักษณะพิเศษอย่างไร ผู้ที่ไม่ได้มาจากตระกูลฉีไม่มีทางเข้าใกล้มันได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส


ด้วยเหตุนี้ ตระกูลฉีจึงไม่ได้เข้มงวดมากนักต่อการห้ามคนนอกไม่ให้เข้าใกล้ เพราะถึงอย่างไรก็ทำไม่ได้


“วางใจเถอะ ผมแค่อยากเห็นว่ามันเป็นอย่างไร” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เขาไม่ได้คิดจะเข้าไปในทะเลสาบนั่น อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ตอนนี้


แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าเห็นได้ชัดว่าเขาสามารถบ่มเพาะกายเนื้อที่นั่นได้ ก็คงไม่มีวันละทิ้งโอกาส ขอแค่เขาทำตัวตามสบายและไม่ทำให้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างเสียหาย ก็ไม่น่าจะมีอะไร…


“โล่งอกไปที…” ฉีหลิงเอ๋อเปรย


เมื่อแก้ปัญหาที่ค้างคาได้ ฉีหลิงเอ๋อรู้สึกเบาตัวเบาใจขึ้นมาก เธอจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็พลันรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังแตกต่างจากที่เคย ทั้งยังสง่างามกว่าแต่ก่อน


“เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ…สูงสุด? คุณฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?”


ฉีหลิงเอ๋อมึนหัวเล็กน้อย


“ผมบังเอิญส้มหล่นน่ะ” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉย


ฉีหลิงเอ๋อยกมือขึ้นกุมหน้าอกขณะรู้สึกเหมือนจะหายใจขัด


ราวกับสวรรค์ส่งชายหนุ่มผู้นี้ลงมาเพื่อทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ!


ถ้าฉันจำไม่ผิด ตอนที่เราพบกันเมื่อสองสามวันก่อน คุณเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ ใช่ไหม?


นี่ก็เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน คุณกลายเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างแล้ว!


วรยุทธนั่นห่างกันถึง 3 ขั้นเต็มๆเชียวนะ!


สายเลือดจอมราชันย์ไร้เทียมทานถึงขนาดทำให้ผู้นั้นก้าวข้ามด่านคอขวดได้ง่ายดายแบบนี้เชียวหรือ?


และที่เลวร้ายกว่าเดิมก็คือท่าทีของหมอนั่น!


การที่เขายกระดับวรยุทธได้อย่างง่ายดายก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขาพูดถึงมันราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จเลยสักนิด…


คุณรู้บ้างไหมว่ามันยากเย็นแค่ไหนกว่าคนอื่นๆจะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง?


สิ่งนี้ทำให้ฉีหลิงเอ๋อแน่ใจในตัวตนของจางเซวียนยิ่งกว่าเดิม



 

 

 


ตอนที่ 2222 อานุภาพของยาเม็ด

 

นอกเสียจากผู้ที่ครอบครองสายเลือดจอมราชันย์ จะมีใครอื่นที่ทำเรื่องยากๆให้สำเร็จได้ง่ายดายแบบนี้?


ตระกูลฉีคือหนึ่งในตระกูลชั้นนำของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน พวกเขาจึงได้สิทธิพิเศษในการพำนักอยู่บนภูเขาลอยฟ้า ฉีหลิงเอ๋อเช่าอสูรสวรรค์บินได้มาตัวหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้าสู่ภูเขาลอยฟ้า


ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนได้มีโอกาสพิจารณาวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงของฉีหลิงเอ๋ออย่างถี่ถ้วน


ถึงวรยุทธของเธอจะอ่อนด้อยกว่าเขา แต่ด้วยความที่สืบทอดสายเลือดจากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ จึงไม่ฉลาดนักหากจะสบประมาทพละกำลังของเธอ


“ในฐานะสมาชิกร่วมตระกูล ชะตากรรมของพวกคุณถูกถักทอเข้าไว้ด้วยกันแล้ว พวกคุณควรจะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาตระกูลให้ก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัยเมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ฉีหลิงเอ๋อบอกไว้เมื่อครู่


“สมัยก่อน ความขัดแย้งในตระกูลไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างตอนนี้หรอก เพราะทรัพยากรที่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้รับน่ะแทบจะเรียกได้ว่ามีไม่จำกัด เหล่าสมาชิกในตระกูลจึงไม่มีความขัดแย้งใดๆต่อกัน การร่วมมือกันทำได้ง่ายกว่าเดี๋ยวนี้มาก”


ฉีหลิงเอ๋อถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียดายและอธิบายต่อ “แต่เมื่อ 40 ปีก่อน ตอนที่พลังจิตวิญญาณในบรรยากาศเกิดการเสื่อมถอย ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่พวกเราเคยได้รับก็ลดปริมาณลงอย่างฮวบฮาบ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้น และเมื่อ 20 ปีก่อน เกิดอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่คร่าชีวิตท่านพ่อของฉีชุนเอ๋อ เรื่องนั้นทำให้เธอจงเกลียดจงชังสายเลือดของฉันอย่างรุนแรง ถึงกับสาบานว่าจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเราได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข…”


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


เมื่อทรัพยากรขาดแคลน แม้พี่น้องสายเลือดเดียวกันก็เข่นฆ่ากันเองได้!


นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์


“ที่ผ่านมา สายเลือดของเราเป็นหนึ่งในสายเลือดที่ทรงพลังที่สุด ฉีชุนเอ๋อจึงไม่กล้าทำอะไร แต่เมื่อพี่ชายของเธอก้าวขึ้นสู่อำนาจ สถานภาพของสายเลือดของพวกเราก็ค่อยๆตกต่ำ…”


เมื่อหวนนึกถึงความทุกข์ที่ได้รับตลอดระยะเวลาหลายปี ฉีหลิงเอ๋อได้แต่ส่ายหน้าอย่างท้อใจ


ถ้าเธอยังอยู่กับตระกูลฉี คงได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างไปนานแล้ว เป็นเพราะความแร้นแค้นของทรัพยากรในเมืองตะวันรอนที่ทำให้เธอต้องติดแหงกอยู่กับวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูง


“เล่าเรื่องพี่ชายของฉีชุนเอ๋อให้ผมฟังหน่อย” จางเซวียนพูด


นักรบที่ดูจะมีศักยภาพพอจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าน่าจะมีอะไรมากกว่ากายเนื้อที่ทรงพลัง เป็นไปได้ว่าเขาคงมีคุณสมบัติบางอย่างที่เหนือชั้นกว่านักรบทั่วไป


“พี่ชายของเธอชื่อฉีเยว่ สายเลือดของเขาบริสุทธิ์กว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลฉี เขาสามารถทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ได้อย่างว่องไว ทำให้พัฒนาตัวเองได้เร็วมาก ตอนนี้ เขารั้งอันดับ 7 ในการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


แม้จะแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน แต่เธอก็ยังออกจะยำเกรงในสติปัญญาและความแข็งแกร่งของฉีเยว่


“การจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า?”


“ใช่ มันคือระบบการจัดอันดับอย่างเป็นทางการของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ทำหน้าที่ประเมินความเป็นไปได้ของการที่ใครสักคนจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้า ในท้ายที่สุด รายชื่อส่วนใหญ่ที่ติดอันดับก็มักไม่อาจก้าวข้ามขั้นสุดท้ายไปได้ แต่นั่นแหละ การที่พวกเขาเคยมีชื่อติดโผการจัดอันดับก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพละกำลังและความแข็งแกร่งที่พวกเขามี” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


“ถ้าฉีเยว่รั้งอันดับ 7 ก็หมายความว่ามีนักรบถึง 6 คนที่ปราดเปรื่องกว่าเขา?” จางเซวียนออกจะอัศจรรย์ใจ


ในฐานะตระกูลของจอมราชันย์ผู้ทรงเกียรติ ตระกูลฉีน่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


ซึ่งก็น่าสงสัยที่ได้รู้ว่าสมาชิกที่ปราดเปรื่องที่สุดในตระกูลของพวกเขา รวมถึงที่ฉีหลิงเอ๋อเคยบอกว่าในประวัติศาสตร์ของตระกูลฉีมีนักรบที่มีความสามารถระดับนี้เพียงแค่ 4 คน-จะรั้งเพียงอันดับ 7 เท่านั้น


“แหม คุณก็คิดน้อยจัง!”


ฉีหลิงเอ๋อรู้ว่าจางเซวียนคิดอย่างไร จึงรีบอธิบายถึงความสำคัญของการจัดอันดับ


“เทพเจ้าสวรรค์สร้างมีอายุขัย 1,000 ปี และนักรบส่วนใหญ่ที่มีชื่ออยู่ใน 10 อันดับแรกก็มีชีวิตอยู่มาอย่างน้อย 500 ปีแล้ว ฉีเยว่เพิ่งอายุ 30 ปลายๆเท่านั้น แต่ก็คว้าอันดับ 7 มาได้ นั่นหมายความว่าในอีก 50 ปีหรือ 100 ปีข้างหน้า เขาก็มีโอกาสไต่ขึ้นไปเป็นที่หนึ่ง!”


จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ


ความอ่อนวัยคือสัญลักษณ์ของพลังและศักยภาพ ผู้นั้นจะมีเวลามากกว่าคนอื่นๆในการผลักดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จแบบที่ใครๆก็ทำไม่ได้


เท่าที่ดูจากความแตกต่างของอายุ ฉีเยว่น่าจะมีโอกาสได้เป็นราชันย์เทพเจ้ามากกว่านักรบคนอื่นๆที่มีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า


หลังจากบินไปได้อีกครู่ใหญ่ ฉีหลิงเอ๋อหันมาถามจางเซวียน “นายน้อยจาง คุณหลอมยาเม็ดที่จะช่วยให้ฉันอดทนกับพลังงานในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้แล้วหรือยัง?”


ทั้งคู่กำลังจะถึงตระกูลฉีแล้ว แต่ตลอดทางที่มาก็ยังไม่เห็นจางเซวียนหลอมยาเม็ดใดๆ เธออดกังวลไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจยังไม่ได้จัดเตรียมสิ่งที่เธอต้องการ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ยืดเวลาออกไปอีกหน่อยย่อมดีกว่า


เพราะทันทีที่ถึงตระกูลฉี ฉีชุนเอ๋อคงไม่ปล่อยให้พวกเธอได้มีเวลาหายใจหรือเตรียมการใดๆแน่


“มันยากอยู่นะที่ผมจะจัดเตรียมสิ่งที่มีประสิทธิภาพหากยังไม่ได้เห็นทะเลสาบจันทร์กระจ่างกับตา อีกอย่าง อานุภาพของยาเม็ดก็อาจลดลงมาก” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“เอาเถอะ…”


เห็นความมั่นใจของจางเซวียน ฉีหลิงเอ๋อตัดสินใจเชื่อเขา


ไม่ช้า ภูเขาลอยฟ้าที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมู่เมฆก็ปรากฏตรงหน้า มันแตกต่างจากสันเขาโดยทั่วไป ให้ความรู้สึกราวกับมีใครสักคนใช้พละกำลังแรงกล้าพลิกภูเขาให้คว่ำลง ส่วนฐานของมันแหลมและตั้งตรง ขณะที่ส่วนยอดราบเรียบราวกับกระจก คฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่บนนั้น นกกระเรียนสวรรค์สร้างจำนวนนับไม่ถ้วนบินอยู่รอบๆภูเขา


ช่างเหมือนกับแหล่งพำนักพักพิงของเหล่าเทพเจ้า


สมกับที่เป็นหนึ่งในตระกูลชั้นนำของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ที่นี่เหนือระดับกว่าใครๆ!


“มีค่ายกลอยู่รอบภูเขาหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถามขณะใช้ดวงตาหยั่งรู้ประเมินภูเขานั้น


เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีค่ายกลล้อมรอบภูเขาลอยฟ้า แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็กลับมองไม่เห็นมันแม้จะเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้


ดวงตาหยั่งรู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมมากหลังจากได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ค่ายกลของที่นี่ก็ยังหลุดรอดสายตาไปได้ นี่หมายความได้อย่างเดียวว่าค่ายกลอันนี้ทรงพลังมาก น่าจะเป็นฝีมือของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของตระกูลฉี


“มีค่ายกลอยู่รอบภูเขา แต่คุณไม่ต้องห่วง มันแยกแยะสายเลือดของบุคคลได้ ขอแค่ผู้มาเยือนอยู่ใกล้ๆกับสมาชิกในตระกูล ค่ายกลก็จะเปิดทางให้โดยอัตโนมัติ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


เป็นอย่างที่เธอบอก อสูรสวรรค์บินได้ไม่ได้ทำให้ค่ายกลรู้สึกถึงความผิดแปลกใดๆขณะที่มันบินตรงไปยังภูเขาลอยฟ้า ไม่ช้าพวกเขาก็มายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่


“พี่ใหญ่หลิงเอ๋อ คุณกลับมาแล้ว!”


ชายหนุ่มสองคนที่อารักขาประตูบานใหญ่จดจำฉีหลิงเอ๋อได้ทันที พวกเขารี่เข้ามาหาพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น


“ฉันมาขอพบหัวหน้าตระกูล!” ฉีหลิงเอ๋อแจ้งความประสงค์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เชิญทางนี้”


สีหน้าของฉีหลิงเอ๋อทำให้พอเดาได้ว่าเธอน่าจะมีธุระสำคัญ ชายหนุ่มคนหนึ่งในนั้นชำเลืองมองจางเซวียนก่อนจะนำทางเข้าสู่คฤหาสน์


ทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปในคฤหาสน์ จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่พุ่งเข้าสู่ร่างของเขาโดยผ่านทางผิวหนัง ทำให้นึกอยากทรุดตัวลงนั่งและฝึกฝนวรยุทธเดี๋ยวนั้น


สมกับที่เป็นกลุ่มอำนาจของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ!


พลังจิตวิญญาณที่มีอยู่ในเมืองหลวงเทียบชั้นกับที่นี่ไม่ได้เลย


จางเซวียนมั่นใจว่าหากฝึกฝนวรยุทธที่นี่ เขาจะต้องได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางโดยเร็วแน่ แม้ไม่มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงก็ตาม


ทั้งคู่ตามชายหนุ่มไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า


พวกเขารออยู่ 2-3 นาทีก่อนที่สองร่างจะเดินเข้ามา


หนึ่งในนั้นคือชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 30 ต้นๆ เขาเดินตรงไปยังที่นั่งใจกลางห้อง


ส่วนอีกคนคือสาวน้อยที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉีหลิงเอ๋อ เธอสวมเสื้อผ้ารัดรูปที่เน้นส่วนโค้งส่วนเว้าชัดเจน เธอยืนประจำที่หลังชายวัยกลางคนผู้นั้น


“ท่านหัวหน้าตระกูล!”


ฉีหลิงเอ๋อประสานมือทักทายชายวัยกลางคน


จางเซวียนรู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่เขาควรพูดอะไร จึงตัดสินใจยืนเงียบๆอยู่ด้านข้างและเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้น


“อือ” ชายวัยกลางคนตอบรับพร้อมกับพยักหน้า


เขาจ้องมองและประเมินฉีหลิงเอ๋อครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูด “ถึงเมืองตะวันรอนจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนไม่เห็นคุณค่าสักเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นทำเลทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญกับพวกเรามาก ผมจำได้ว่าผมบอกคุณให้อยู่รักษาการณ์ที่นั่นเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสาร และคุณจะกลับมาไม่ได้จนกว่าผมจะอนุญาตให้กลับ แล้วทำไมจู่ๆคุณถึงกลับมาโดยไม่แจ้งพวกเรา? ถ้าไม่ใช่เพราะฉีชุนเอ๋อบอกผม ป่านนี้ผมก็คงยังไม่รู้เรื่อง!”


เสียงของเขาไม่ดังเท่าไหร่ แต่เปี่ยมด้วยอำนาจ บรรยากาศบริเวณนั้นหนักอึ้งขึ้นมาทันทีจนแทบหายใจหายคอไม่ออก


ราชันย์เทพเจ้า! จางเซวียนคิด


แม้อีกฝ่ายยังไม่ได้สำแดงวรยุทธ แต่จางเซวียนก็พบว่าเขาไม่อาจหยั่งถึงพละกำลังของชายวัยกลางคนผู้นี้ได้เลย อีกอย่าง การปรากฏตัวของอีกฝ่ายก็ดูจะหลอมรวมและกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อม ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าธรรมชาติคงจะลงโทษใครก็ตามที่กล้าขัดใจเขา


จางเซวียนแอบพิจารณาวรยุทธของอีกฝ่ายและเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ไม่แสดงทีท่าว่าจะเสนอความคิดเห็นใดๆ


เขามาที่นี่เพราะอยากรู้จักทะเลสาบจันทร์กระจ่าง ไม่มีเจตนาจะหาเรื่องขัดแย้งกับราชันย์เทพเจ้าแห่งตระกูลฉี


ด้วยเหตุนี้ ชายวัยกลางคนจึงไม่รู้สึกผิดสังเกตในตัวจางเซวียน เขาคิดว่าชายหนุ่มคงเป็นแค่บริวารคนหนึ่งที่ฉีหลิงเอ๋อพามา จึงไม่ได้ใส่ใจ


“ท่านหัวหน้า ฉัน…”


แรงกดดันหนักหน่วงที่แผ่ออกมาจากร่างของชายวัยกลางคนทำให้ฉีหลิงเอ๋อค่อนข้างกระวนกระวาย เธอกำลังจะแก้ตัว ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายพูดแทรก “ผมจะให้โอกาสคุณแก้ตัวเพียงครั้งเดียวนะ ถ้าคุณให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับผมไม่ได้ ผมก็ต้องใช้กฎระเบียบของตระกูลจัดการ!”


“ฉันเข้าใจแล้ว…” ฉีหลิงเอ๋อสูดหายใจลึกก่อนจะเริ่มพูด “ฉันบังเอิญพบกับความโชคดีครั้งใหญ่ ส่งผลให้ร่างกายของฉันเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันจึงกลับมาที่นี่เพื่อร้องขอโอกาสที่จะได้ฝึกฝนวรยุทธในทะเลสาบจันทร์กระจ่างอีกครั้ง”



 

 

 


ตอนที่ 2223 ทดสอบดูก็ได้

 

“คุณไม่รู้สึกว่าเหตุผลของคุณมันห้วนไปหน่อยหรือไง?”


ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะได้พูดอะไร สาวน้อยที่ยืนอยู่ข้างเขาก็คำราม “ความปราดเปรื่องของนักรบคนหนึ่งถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด คุณจะบอกฉันว่าคุณปัญญานิ่มเสียจนคิดว่าการพัฒนาความปราดเปรื่องของคุณนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้?”


กฎเกณฑ์ของตระกูลฉีกำหนดให้สมาชิกของครอบครัวหลักมีสิทธิ์เข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ 3 ครั้ง ซึ่งฉีหลิงเอ๋อเพิ่งใช้ไปเพียงครั้งเดียว เธอจึงมีสิทธิ์ร้องขอโอกาสที่จะเข้าไปที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง


แต่ก็เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วตระกูลฉีว่าฉีหลิงเอ๋อทำผลงานได้ไม่ดีนักตอนที่เข้าไปครั้งแรก แล้วการเข้าไปอีกครั้งจะมีประโยชน์อะไร?


ถ้าสติปัญญาและความปราดเปรื่องมันพัฒนากันได้ ป่านนี้ตระกูลฉีคงเต็มไปด้วยอัจฉริยะ


“ฉันเองก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ แต่คิดว่าท่านหัวหน้าคงดูออกว่าฉันโกหกหรือไม่” ฉีหลิงเอ๋อตอบอย่างสุขุม


“ผมสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรังสีของคุณ แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่คุณพูดอยู่ดี” ชายวัยกลางคนส่ายหน้า “เหตุผลที่คุณให้ผมน่ะ ผมไม่พอใจนักหรอก…”


“ถ้าคุณแคลงใจ ทดสอบดูก็ได้” ฉีหลิงเอ๋อรีบเสริม


“ทดสอบ? คุณคิดจะให้พวกเราทดสอบความปราดเปรื่องของคุณด้วยวิธีไหน?” สาวน้อยคำรามเยาะ


การทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้และวรยุทธเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่จะทดสอบสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่าง ‘สติปัญญา’ ได้อย่างไร?


“ท่านหัวหน้า คุณถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้แบบเดียวกันให้ทั้งฉีชุนเอ๋อและตัวฉัน จากนั้นก็ให้เวลาพวกเราศึกษามัน 1 ชั่วโมง แล้วเราจะลดระดับวรยุทธให้เท่ากันและแข่งขัน ผู้ที่สามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้ได้ในระดับที่สูงกว่าก็ย่อมมีความปราดเปรื่องมากกว่า ฉีชุนเอ๋อ, คุณคงไม่ขัดข้องหรอกนะ ใช่ไหม?” ฉีหลิงเอ๋อเสนอพร้อมกับยิ้มออกมา


ในฐานะผู้ที่สามารถสร้างรากฐานอำนาจของตัวเองจนมั่นคงและบริหารตลาดมืดมาหลายปีโดยไม่ประสบปัญหาใดๆ ฉีหลิงเอ๋อก็ไม่ใช่คนที่ใครจะสบประมาทได้


คำเย้ยหยันของฉีชุนเอ๋อทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อย จึงตั้งใจว่าจะต้องเอาคืน!


“อ้อ? คุณดูมั่นใจในตัวเองเหลือเกินนะ?”


คำพูดของฉีหลิงเอ๋อไม่ได้ทำให้ฉีชุนเอ๋อตื่นตระหนกสักนิด เธอกลับยิ้มเย้ย “ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็ คราวก่อนคุณอดทนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้แค่ 15 นาทีเองนี่ ใช่ไหม?”


“ใช่” ฉีหลิงเอ๋อตอบโดยไม่กระอักกระอ่วน “ฉันทนได้ไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ แต่ชุนเอ๋อ, คุณอยู่ที่นั่นได้ 1 ชั่วโมงนี่? ด้วยความเก่งกาจของคุณ การทดสอบครั้งนี้คงง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก จริงไหม?”


“แน่อยู่แล้ว ฉันก็แค่เกรงว่าคุณจะต้องอับอายขายหน้า!” ฉีชุนเอ๋อหัวเราะขณะเดินไปยังใจกลางห้อง


“ท่านหัวหน้าตระกูล ฉันเต็มใจรับข้อเสนอของหลิงเอ๋อและแข่งขันกับเธอ แต่ฉันคิดว่าการกระทำของหลิงเอ๋อที่ละทิ้งหน้าที่และโกหกคุณเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ถ้าเธอไม่อาจพิสูจน์ตัวเองได้ล่ะก็ ฉันขอเสนอให้คุณถอดถอนสถานภาพของเธอในฐานะหนึ่งในสมาชิกสายหลัก และนำตัวเธอไปกักขัง”


การถอดถอนสถานภาพสมาชิกสายหลักของฉีหลิงเอ๋อหมายถึงการตัดสายเลือดของเธอออกไป เป็นบทลงโทษที่รุนแรงมาก


โดยปกติ การลงโทษแบบนี้จะใช้กับผู้ที่ทำตัวเป็นกบฏและทรยศตระกูลเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศของตัวเอง ทั้งสายเลือดของเธอก็จะหมองมัวไปด้วย


ดูเหมือนคราวนี้ฉีชุนเอ๋อจะจงใจเล่นงานฉีหลิงเอ๋อให้อยู่หมัด เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากได้อีก


“ชุนเอ๋อ คุณไม่คิดบ้างหรือว่าเดิมพันนี้ควรจะมีผลกับเราทั้งคู่? ถ้าการที่ฉันพ่ายแพ้จะทำให้ต้องถูกลงโทษรุนแรงขนาดนั้นล่ะก็ กฎเกณฑ์นี้ก็ควรใช้กับคุณเหมือนกัน” ฉีหลิงเอ๋อพูด


“ฉันไม่ใช่คนที่ออกจากเมืองตะวันรอนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ฉันไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้าตระกูล! ต่อให้ฉันแพ้ นั่นก็เพียงเพราะการฝึกฝนของฉันยังอ่อนด้อย ก็แล้วทำไมจะต้องถูกลงโทษ?” ฉีชุนเอ๋อคำราม “อีกอย่าง คุณคิดจริงๆหรือว่าน้ำหน้าอย่างคุณจะเอาชนะฉันได้?”


เห็นฉีชุนเอ๋อไม่ตกหลุมพรางการยั่วยุของเธอ ฉีหลิงเอ๋อยักไหล่ “แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่ามันไม่เหมาะสมที่คุณเสนอให้เขี่ยฉันออกจากตระกูลฉีหากฉันไม่ผ่านการทดสอบ? ฉันอดคิดไม่ได้ว่าคุณคงมีความแค้นส่วนตัว ถ้านี่ไม่ใช่เดิมพันล่ะก็ ฉันสรุปเองได้ไหมว่าคุณกำลังพยายามทำตัวเป็นผู้ตัดสินใจแทนหัวหน้าตระกูล?”


“บังอาจ!” ฉีชุนเอ๋อหน้าแดงก่ำเพราะคำกล่าวหานั้น


เธอกำลังจะตอบโต้ฉีหลิงเอ๋อที่บังอาจกล่าวหาเธอ ก็พอดีกับที่หัวหน้าตระกูลโพล่งออกมา “พอที! ความสามารถในการทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้น่ะเป็นเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับสติปัญญาได้ดี ในเมื่อคุณทั้งคู่ไม่ปฏิเสธ เราก็จะดำเนินการตามนั้น”


ราชันย์เทพเจ้ามีอายุขัยกว่าหมื่นปี จึงมีเวลาเหลือเฟือ


แม้เขาจะอาวุโสกว่าฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อถึงหนึ่งชั่วคน แต่ระหว่างทั้งสองรุ่นยังมีสมาชิกตระกูลฉีคั่นกลางอีกมากมาย เขาจึงไม่ได้สนิทสนมกับทั้งสองมากนัก


ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าคำพูดของฉีหลิงเอ๋อไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจพิสูจน์ตัวเอง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยับยั้ง เขามองว่าการแข่งขันครั้งนี้คือการได้หยุดพักจากงานที่มีล้นมือสักระยะหนึ่ง


ถ้าฉีหลิงเอ๋อยกระดับความปราดเปรื่องของเธอได้จริง ก็ถือเป็นโชคดีของตระกูลฉี ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรต้องเสีย


เมื่อพูดจบ หัวหน้าตระกูลสะบัดข้อมือและนำหนังสือเล่มหนึ่งออกมา


“นี่คือเทคนิคการต่อสู้ที่ผมคิดค้นเอง ยังไม่เคยเปิดเผยกับใครมาก่อน พวกคุณวางใจได้ว่าการทดสอบครั้งนี้จะบริสุทธิ์ยุติธรรม”


จากนั้น เขาดีดนิ้ว แล้วธูปก้านหนึ่งที่ปักอยู่บริเวณด้านข้างก็ติดไฟ กลิ่นหอมอ่อนๆอบอวลไปทั่ว


“พวกคุณมีเวลาคนละ 1 ชั่วโมง เริ่มได้”


ทันทีที่พูดจบ หนังสือก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศก่อนจะเริ่มพลิกหน้าหนังสือของมันเอง


ฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อเพ่งสมาธิอย่างหนักที่หนังสือเล่มนั้น


มันพลิกเร็วมาก แต่ในฐานะนักรบผู้ทรงพลัง ทั้งคู่ติดตามรายละเอียดของหนังสือได้โดยไม่มีปัญหา เพียงไม่ถึง 3 นาที ทั้งคู่ก็กวาดสายตาจนทั่วและจดจำเนื้อหาในหนังสือได้ทั้งหมด


ฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อทรุดตัวลงนั่งและตั้งต้นตีความความลับของเทคนิคการต่อสู้ ส่วนจางเซวียนก็แอบชำเลืองหนังสือ


วิ้งงงง!


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หนังสือเล่มใหม่ถูกประมวลขึ้นมา


เขารีบพลิกดูรายละเอียดก่อนจะส่ายหน้าอย่างขัดใจ


มีข้อผิดพลาดมากมายเหลือเกิน!


หอสมุดเทียบฟ้าทำให้จางเซวียนรู้ว่าเทคนิคการต่อสู้นี้มีข้อบกพร่องมากมาย รวมแล้วก็เหยียบร้อย


เขาคิดว่าเทคนิคการต่อสู้ที่ราชันย์เทพเจ้าเป็นผู้คิดค้นขึ้นเองน่าจะใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้ จะเรียกมันว่าเทคนิคการต่อสู้ที่น่าพอใจก็ยังเรียกได้ไม่เต็มปาก


จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


หัวหน้าตระกูลจงใจทำแบบนี้เพื่อท้าทายทั้งคู่หรือเปล่า? เพราะเทคนิคการต่อสู้ที่ถูกหยิบยกมาดูจะมีข้อบกพร่องมากกว่าธรรมดา และไม่ชวนให้ใครอยากทำความเข้าใจมันเอาเสียเลย…


ฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อกำลังแข่งขันกันเพื่อพิสูจน์ความปราดเปรื่องของตัวเอง ซึ่งหากคนใดคนหนึ่งสามารถตีความและระบุข้อบกพร่องของเทคนิคการต่อสู้ได้ ก็จะเป็นเครื่องชี้ชัดถึงสติปัญญาของผู้นั้น


สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนเกิดความอยากรู้และอยากพิจารณาเทคนิคการต่อสู้ให้ถี่ถ้วน แต่ข้อบกพร่อง มากมายในนั้นทำให้เขาเวียนหัวคลื่นไส้ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสลัดมันทิ้งไป


เพียงแค่มองดูมันก็ทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว


เขาเคยชินกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและเทคนิคอื่นๆที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นผลผลิตของหอสมุดเทียบฟ้า


“ช่างมันเถอะ”


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารวบรวมหนังสือในหอสมุดเทียบฟ้าและประมวลมันเข้าด้วยกันเพื่อขจัดข้อบกพร่องของเทคนิคการต่อสู้


ในเมื่อมันเป็นการทดสอบของฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็คงไม่ใช้บททดสอบที่ยากเกินไป และตัวเขาก็เพิ่งถ่ายโอนหนังสือมากมายจากสภาปรมาจารย์มาเมื่อครู่ก่อน การขจัดข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องจึงไม่น่าจะยากเย็น


จางเซวียนรีบพิจารณาเทคนิคการต่อสู้อีกครั้งและขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์สร้างไปตามที่เทคนิคระบุไว้ ไม่ช้าก็สามารถทำความเข้าใจจนเชี่ยวชาญ


ช่างง่ายเหลือเกิน


แบบนี้ก็เรียกว่าการทดสอบหรือ?


อย่างกับของเด็กเล่น!


เขาหันไปมองฉีหลิงเอ๋อเพื่อดูว่าเธอไปถึงไหนแล้ว เห็นอีกฝ่ายเหงื่อตกราวกับกำลังเผชิญความยากลำบากในการตีความบางส่วนของเทคนิคการต่อสู้ ทำให้ไม่อาจฝึกฝนมันได้


รู้แล้ว…จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ


ตั้งแต่ต้น ชายวัยกลางคนไม่ได้จงใจให้ทั้งคู่ฝึกฝนวรยุทธตามที่ระบุไว้ในเทคนิค แต่ต้องการให้ทั้งคู่ปรับเปลี่ยนเทคนิคการต่อสู้นั้นให้กลายเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง!


มีแต่ผู้ที่ก้าวไปได้ไกลเกินกว่าการจดจำแบบนกแก้วนกขุนทองและสามารถถักทอความรู้ที่มีอยู่เข้าด้วยกันได้เท่านั้นถึงจะปีนป่ายขึ้นไปสู่วรยุทธระดับที่สูงขึ้นได้ ซึ่งคนแบบนั้นย่อมคู่ควรกับการได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะ!


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่อยู่มาหลายพันปี เขาย่อมมีความคิดอยู่ในหัวมากมาย


…..


ทำไม? ทำไมแบบนี้ถึงใช้ไม่ได้? ทำไมถึงไม่มีวิธีไหนได้ผลเลย? สติปัญญาของเราอ่อนด้อยขนาดนั้นจริงๆหรือ?


ถ้าสิ่งนี้คือเทคนิคที่หัวหน้าตระกูลคิดค้น เขาก็น่าจะทดสอบแล้วหลายครั้ง ไม่มีทางที่มันจะเป็นเทคนิคการต่อสู้ที่ไม่มีใครสามารถฝึกฝนตามได้ จะต้องมีทางออกสิ เราคงตีความมันผิดวิธีที่จุดไหนสักจุดหนึ่ง


สีหน้าของหญิงสาวทั้งคู่คร่ำเคร่งด้วยความหงุดหงิดและกระวนกระวาย


เดิมพันครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินไป พวกเธอจะยอมแพ้ไม่ได้!


แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะพยายามทดสอบเทคนิคการต่อสู้อย่างไร ก็จะต้องมีบางส่วนที่ไม่อาจเชื่อมโยงถึงกันได้ พวกเธอไม่สามารถใช้เทคนิคการต่อสู้สร้างระบบที่เหมาะสมขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก พวกเธอจะฝึกฝนอะไรสักอย่างที่…ไม่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร?


เวลาผ่านไป เกือบหนึ่งชั่วโมงล่วงเลยไปราวกับติดปีก แต่ทั้งฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อก็ยังจนปัญญา ดูเหมือนโชคชะตาของพวกเธอไม่ได้ถูกกำหนดมาให้สามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้นี้


“น่าเสียดาย!” ชายวัยกลางคนพึมพำขณะมองสภาพของทั้งคู่


เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ เขาจงใจใส่ข้อบกพร่องหลายข้อเข้าไปในเทคนิคการต่อสู้นั้นเพื่อให้ไม่อาจฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญได้หากไม่ปรับเปลี่ยนบางอย่างเสียก่อน แน่นอนว่าเขาตั้งใจปกปิดข้อบกพร่องไว้ด้วย เพื่อให้นักรบทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้โดยง่าย เพราะไม่อย่างนั้น หัวใจของบททดสอบก็จะถูกเปิดเผยง่ายเกินไป


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)