ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 222-225

ตอนที่ 222 เราจะปกป้องเจ้าเอง

 

“องค์หญิงอย่าได้ทรงร้อนพระทัย นางได้รับบาดเจ็บแล้ว คาดว่าคงจะทนต่อไปได้ไม่นาน” ซิวกระซิบที่ข้างพระกรรณของเหยียนเฉียวหลัวเสียงเบา


 


 


คราวนี้ เหยียนเฉียวหลัวค่อยวางใจลงได้บ้าง


 


 


ไม่ต้องรีบร้อน ในเมื่อตู๋กูซิงหลันบาดเจ็บแล้ว นางย่อมไม่อาจเหาะอยู่อย่างนั้นได้ตลอดไป


 


 


“แผนที่กรุสมบัติอยู่กับตัวนาง” หลังจากนั้น ซิวก็ใช้แขนเสื้อมาบังเอาไว้ ให้มีแต่พวกเขาสองคนที่ได้ยินเสียงกระซิบริมพระกรรณของนาง


 


 


มุมปากของเหยียนเฉียวหลัวก็ขยับยกขึ้นมา ดีมาก รอให้ตู๋กูซิงหลันหมดสิ้นเรี่ยวแรง จนร่วงหล่นลงมา ยามนั้นนางก็จะเป็นคนแรกที่เข้าไปกระฉากหน้ากากของนางออกมา


 


 


ตั้งแต่ตอนแรก ไทเฮาน้อยผู้นี้ก็บังอาจมาติติงแผนที่ขุมทรัพย์ของนาง


 


 


ดังนั้นต่อให้ไม่มีสิ่งใดมาชักนำ นางก็ยังจะลงมืออยู่ดี


 


 


คนเช่นนี้ ยังกล้ามาเป็นไทเฮาของต้าโจวอยู่อีกหรือ?


 


 


…………………………..


 


 


อีกด้านหนึ่ง เมื่อตู๋กูซิงหลันรวบรวมพลังทั้งหมดในหยกสรรพชีวิตลงในยันต์แล้วซัดออกไป ศพคืนชีพผู้นั้นก็ถูกกดทับเอาไว้จนหมดหนทาง


 


 


ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตาย แต่ก็สูญเสียพลังชีวิตไปกว่าครึ่ง จนตอนนี้ไม่อาจแผลงฤทธิ์ใดๆ ได้อีก


 


 


อันหร่วนเองก็แฝงกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าทำไมหลายวันนี้นางถึงได้รู้สึกว่าใจไม่สงบอยู่ตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่า บุรุษผู้นั้นจะวางแผนการตลบหลังครั้งใหญ่เอาไว้เช่นนี้


 


 


แต่ว่าหมากตัวนี้ของนายท่าน คงจะต้องถือว่าหมดค่า ใช้การไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นนางจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี


 


 


นางสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ มีผ้าผืนหนึ่งคลุมใบหน้า ซ่อนตนอยู่ในความมืด ดวงตาที่ชราแล้วคู่นั้นแหงนขึ้นไปมองดูสาวน้อยที่อยู่ใต้แสงจันทร์


 


 


นางประหลาดใจอย่างแท้จริง เพราะหมากตัวนั้นมีพละกำลังและความสามารถมหาศาล ชั่วชีวิตของเขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดมาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรก


 


 


พวกเขาประมาทไทเฮาแห่งต้าโจวไปแล้วจริงๆ


 


 


…………………………..


 


 


ใต้แสงจันทรา ตู๋กูซิงหลันใช้พลังทั้งหมดของหยกสรรพชีวิตออกไป ใบหน้าหนังมนุษย์ผืนนั้นต่อสู้กับวิญญาณทมิฬไปหลายสิบตลบ ในที่สุดก็พ่ายแพ้ลง


 


 


ไม่รอให้วิญญาณทมิฬจับมันกลืนกินลงไป ตู๋กูซิงหลันก็ชิงคว้ามันเอามาไว้ในมือของนาง


 


 


แผนที่สมบัติหนังคนยังคงต่อสู้อย่างดื้อดึง ใบหน้าที่มีเขี้ยวยาวแหลมคมยังคงพยายามจะกัดนางให้ได้


 


 


คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันคว้าปากของมันเอาไว้ แล้วฉีกออกเป็นสองส่วนด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล


 


 


แผนที่สมบัติหนังมนุษย์แผ่นนั้นยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา ก็ถูกนางฉีกอีกหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ฉีกล้วนขาดออกจากกันจนสุดแผ่น จนกระทั่งมันกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ นับสิบ ฉีกจนมันไม่กล้าแสดงความคั่งแค้นใดๆ ออกมาอีก


 


 


หลังจากนั้นนางก็ยัดเศษหนังคนเหล่านั้นส่งให้กับวิญญาณทมิฬ


 


 


“เอาไปซุกไว้ในร่างของศพคืนชีพผู้นั้น” พอนางกล่าวประโยคนั้นออกไป เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ก็หมดสิ้น ฝีเท้าเบาหวิว คล้ายกับว่าจะล้มคว่ำลงไปได้ทุกเมื่อ


 


 


พอเห็นว่านางกำลังจะร่วงลงมา สองเนตรของเหยียนเฉียวหลัวก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที


 


 


นางส่งสายตาให้กับซิว ซิวก็รีบพุ่งเข้าไปยังจุดที่ตู๋กูซิงหลันกำลังจะร่วงลงมา


 


 


แต่ว่าเขายังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ ก็เห็นมีเงาดำของของคนกลุมหนึ่งโผล่ออกมาจากรอบด้าน เงาดำเหล่านั้นสกัดเขาเอาไว้ตั้งแต่ครึ่งทาง กีดกัดเขาให้ออกห่าง


 


 


ร่างของตู๋กูซิงหลันตกลงมาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็เหลือเพียงเบาบาง ทรวงอกถูกกัดจนเนื้อหลุดไปหลายแผล ยามนี้เลือดจึงไหลทะลักออกมา มิว่าอย่างไรก็คงไม่ยอมหยุด


 


 


นางเงยหน้าขึ้นไป เห็นพระจันทร์สีเลือดที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศกำลังค่อยกลับคืนเป็นเช่นยามปกติ เมฆดำทั้งหมดกระจายหายไป ท้องฟ้ายามราตรีเปลี่ยนเป็นงดงามดั่งภาพวาด


 


 


นางไม่เคยได้มองดูดวงจันทร์จากมุมนี้มาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่าที่แท้ก็งดงามมากถึงเพียงนี้


 


 


เสียงลมพลิ้วพัดผ่านใบหู ยาวนานราวกับว่านางกำลังจะข้ามผ่านไปอีกโลกหนึ่ง


 


 


นางค่อยๆ ปิดตาลง ปล่อยให้ร่างหล่นลงไปอย่างอิสระ ในสมองก็คิดถึงว่าอีกเดี๋ยวสมควรจะลงท่าไหนดีถึงจะไม่เจ็บมากนัก


 


 


จากนั้น จะอธิบายเรื่องในคืนนี้กับผู้อื่นอย่างไรดีน้า?


 


 


เวลาผ่านไปเพียงอึดใจ แต่ในสมองกลับครุ่นคิดไปนับพันนับหมื่น


 


 


สงสัยว่านางจะเหาะสูงเกินไปแล้ว ตกลงมาตั้งนานถึงได้ยังไม่ถึงพื้นเลยสักที


 


 


เพียงแต่รู้สึกว่าที่ข้างกายอยู่ๆ ก็มีสายลมหนาวพัดเข้ามาหา จากนั้นก็คล้ายจะได้รับสัมผัสบางอย่างที่คุ้นเคย


 


 


นางยังห่างจากพื้นดินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับหล่นลงไปในอ้อมแขนหนึ่งอย่างพอดิบพอดี


 


 


หนาวเหลือเกิน


 


 


ในหน้าที่ปรากฎขึ้นในดวงตาคือดวงพักตร์ที่เย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งของฮ่องเต้


 


 


เพียงแต่ว่าในยามนี้ดวงตาหงส์คู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง


 


 


ท่ามกลางฝุ่นที่ปลิวขึ้นมาจนคลุ้งไปทั้วท้องฟ้า เขาสวมใส่ฉลองพระองค์สีทอง โอบกอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่น “เรามาช้าไป”


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่ปิดตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมามองเป็นเส้นบางๆ นางยังนึกว่าตนเองเห็นภาพหลอนไปเอง


 


 


จีเฉวียน ก็มีช่วงเวลาที่ห่วงใยผู้อื่นกับเขาด้วย?


 


 


“ลูกเอ๋ย ข้าถูกคนตบตีอีกแล้ว อูย อูยๆ ~” ตู๋กูซิงหลันร้องพลางกัดฟัน ริมฝีปากก็มีเลือดไหลออกมาอีก


 


 


จีเฉวียน “……..”


 


 


ดูอย่างไรก็รู้สึกว่าศพคืนชีพชราผู้นั้นถูกกระทืบหนักกว่าอยู่ดี


 


 


“ท่านไม่รู้หรอกว่า ของเล่นนี้น่ากลัวขนาดไหน หน้าตาก็น่าเกลียด ทั้งยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล” ตู๋กูซิงหลันทำท่าหวาดผวาอย่างที่สุด


 


 


“เอาเถอะ เรารู้แล้ว เจ้าพักเสียเถอะ” จีเฉวียนเห็นนางถึงขนาดกระอักเลือดแล้วก็ยังจะเล่นละครต่อไปอีก ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะปวดใจหรือว่าทำเช่นไรดี


 


 


เขายื่นดัชนีออกมาปิดริมฝีปากนางเอาไว้ คล้ายกับว่าจะปลอบประโลมนาง และจ่ายยาเสริมความมั่นใจให้นางไปเม็ดหนึ่ง “เราจะปกป้องเจ้าเอง”


 


 


ตรัสจบเขาก็เปิดปากนางขึ้นมา ยัดยาเม็ดสีแดงดุจโลหิตในมือลงไปหนึ่งเม็ด


 


 


เดิมทีตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างทุกข้อเจ็บปวดจนนางอย่าจะร้องตะโกนเรียกหาบิดามารดา แต่ทันทีที่กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ก็รู้สึกว่าทั่วร่างเบาสบายขึ้นมาก มีกระแสอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังฟื้นฟูร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว


 


 


โดยเฉพาะบาดแผลบริเวณหัวใจ เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาหยุดลงในทันที ปากแผลคันนิดๆ


 


 


ความรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับทำเอาตู๋กูซิงหลันถึงกับลืมเลือนพระดำรัสเมื่อครู่ที่บอกว่าจะปกป้องคุ้มครองนาง


 


 


นางทำตัวเกียจคร้านอยู่ในอ้อมแขนของเขา ยามนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นมา เดิมทีนางคิดว่าจีเฉวียนจะทรงพานางไปจากที่นี่


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่า พอป้อนยาให้นางเสร็จเขากลับอุ้มนางร่อนลงมาจากบนฟ้าเสียอย่างนั้น


 


 


ภาพที่ฮ่องเต้ทรงโอบอุ้มสาวน้อยนางหนึ่งลงมาจากกลางอากาศสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนได้ไม่น้อยไปกว่ายามเมื่อครู่ที่สาวน้อยผู้นั้นกำราบปีศาจ


 


 


เหล่าองครักษ์ขยับเข้ามารายล้อมอยู่รอบองค์ฮ่องเต้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีเพียงสิบกว่าคน แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นดั่งกองทัพที่มีกำลังคนนับพัน


 


 


แรงกดดันนั้นตรึงผู้คนทั้งหมดเอาไว้กับที่ จนกระทั่งฝ่าบาทเสด็จออกมาจากกลุ่มฝุ่นควัน ปรากฎพระองค์ให้พวกเขาได้เห็นกันอย่างชัดเจน ผู้คนทั้งหลายถึงได้สูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว


 


 


หลังจากนั้นทั้งหมดก็พากันคุกเข่าลงไป โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ออกมา


 


 


ที่ด้านหลังของฮ่องเต้คือกำแพงของตำหนักหยู่เฉียนกงที่ถล่มลงมาฝุ่นควันยังไม่ทันจางหายพระองค์ก็สาวพระบาทก้าวออกมาก่อน ดูคล้ายดั่งเป็นราชาปีศาจที่ออกมาทำลายล้างโลก


 


 


ดวงเนตรหงส์เย็นชาดั่งน้ำแข็ง ยามกวาดออกไปก็เย็นวาบไปทั่วทั้งบริเวณ


 


 


ชั่วขณะนั้นเอง ผู้คนทั้งหลายไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยสักคน แต่ละคนละรู้สึกหัวใจเต้นตูมตาม ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจริงๆ?


 


 


ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพระองค์จะทรงเย็นชาประดุจน้ำแข็ง แต่ว่าครั้งนี้ใครๆ ต่างก็รู้สึกได้ว่า ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจริงๆ


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพลันตระหนกขึ้นมา ครั้งก่อนที่นางเคยได้เห็นจีเฉวียนเป็นเช่นนี้ คือยามเมื่ออยู่ในสนามประลองกับสัตว์ร้ายของแคว้นต้าเหยียน


 


 


หนุ่มน้อยผู้นั้นหลั่งเลือดทั่วตัว ปากแผลบนร่างลึกจนถึงกระดูก แต่ก็ยังยืนหยัดจนถึงที่สุด เหยียบย่ำอยู่บนซากสัตว์อสูรนับร้อย ดวงเนตรหงส์คู่นั้นกวาดมองออกไปเหมือนดังในยามนี้ ทำให้หัวใจของทุกผู้คนต้องหวาดผวา


 


 


หนุ่มน้อยในปีนั้น วันนี้เติบโตกลายเป็นฮ่องเต้ของแคว้นหนึ่ง และพระพิโรธยังคงทำให้ผู้คนต้องเหน็บหนาวเช่นเคย 

 

 


ตอนที่ 223 ก็แค่จีเฉวียนทรงยอมเป็นโล่...

 

นางเองก็นึกไม่ถึง ว่าตนเองจะได้มาเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ 


 


 


ทั้งหมดนี้เพื่อตู๋กูซิงหลัน? 


 


 


คนในดวงใจของเขา ไม่ใช่ซูหวงกุ้ยเฟยผู้นั้นหรอกหรือ? 


 


 


ไยจึงจะต้องไปใส่ใจไทเฮาน้อยผู้นั้นมากถึงเพียงนี้? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันหน้าไปอีกทาง แทบจะเอาศีรษะซุกลงไปในอ้อมพระอุระของเขาจนหมด 


 


 


วันนี้ตอนที่นางมาถึงตำหนักหยู่เฉียนกงนั้นก็สวมใส่ชุดดำตลอดทั้งร่าง เพียงแต่เส้นผมที่รวบสูงเป็นหางม้าตอนนี้หลุดลงมา กระจายอยู่ทั่วศีรษะ ตลอดร่างอาบไปด้วยโลหิต 


 


 


ในเมื่อนางซ่อนใบหน้าเอาไว้ ผู้คนก็ไม่กล้ามองมากเกินไป เพียงแต่ในเมื่อซุกๆ ซ่อนๆ เช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจเท่านั้น 


 


 


ทุกคนต่างก็คิดจะกราบกรานท่านเซียน แต่ท่านเซียนทำท่าคล้ายไม่อยากจะรู้จักผู้ใด 


 


 


จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ดวงเนตรหงส์คู่นั้นกวาดมองไปยังฝูงชนด้วยความเย็นชาจนเกิดความเหน็บหนาวไปทั่ว 


 


 


เหล่าพระสนมคุกเข่าอยู่รวมกันด้านหนึ่ง หัวใจของชาววังทั้งหลายต่างก็สั่นสะท้าน ทั้งๆ ที่เป็นต้นฤดูร้อนแล้ว แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเฉียบ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกุมหัตถ์ทั้งสองเอาไว้ ดวงเนตรของนางจดจ้องไปยังจีเฉวียน หลังเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นมา 


 


 


“ฝ่าบาท คืนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ตอนแรกแผนที่กรุสมบัติของแคว้นเหยียนของข้าถูกขโมยไป หลังจากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าเกิดจากภูตผีปีศาจใดผุดขึ้นมา ยังดีที่ข้าไม่ได้อยู่ในตำหนักนั้น มิเช่นนั้นเกรงว่าจะกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อไปแล้ว” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวทูลพลางก็ทำสีหน้าตื่นกลัวไปด้วย 


 


 


“วังหลวงของต้าโจวถึงกับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ทำให้คนต้องขบคิดไปต่างๆ นานาจริงๆ” 


 


 


ว่าแล้ว สายตาของนางก็พุ่งไปยังร่างของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมพระอุระ 


 


 


“มิทราบว่าผู้ที่อยู่ในอ้อมพระอุระของฝ่าบาทที่จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่? ถึงได้สามารถกำราบศพคืนชีพผู้นั้นลงได้ ช่างเป็นการช่วยเปิดหูเปิดตาพวกเราจริงๆ เพคะ” 


 


 


นางมิได้รีบร้อนชี้ตัวตู๋กูซิงหลัน แต่กล่าววาจาชักนำยืดยาว ค่อยตระเตรียมซัดหอกออกไป 


 


 


ถึงแม้สีพระพักตร์จะเย็นชา แต่เหยียนเฉียวหลัวก็ดูออกว่า ขณะที่เขาอุ้มตู๋กูซิงหลันอยู่นี้ ระมัดระวังมากเพียงไหน 


 


 


โอบเอาไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น ราวกับกลัวว่านางจะหล่นลงไป 


 


 


นางไม่เคยเห็นจีเฉวียนปฎิบัติต่อผู้ใดด้วยความจริงจังถึงเพียงนี้มาก่อน 


 


 


ในตอนนั้นเอง เหยียนเฉียวหลัวก็เข้าใจบางสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง 


 


 


เรื่องของซูหวงกุ้ยเฟย จะต้องเป็นจีเฉวียนเอามาใช้เป็นโล่กำบังให้กับตู๋กูซิงหลันเป็นแน่ 


 


 


ต้นไม้ใหญ่เผชิญลมแรง เขาไหนเลยจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ดี 


 


 


ที่ทำเป็นโปรดปรานซูหวงกุ้ยเฟยอย่างที่สุด ทั้งยังให้นางตั้งครรภ์องค์ชายใหญ่ ก็เป็นวิธีที่ใช้แสดงต่อสายตาผู้คน เพื่อปิดบังความรักที่เขามีต่อตู๋กูซิงหลัน 


 


 


นางสมควรจะคิดได้ตั้งแต่แรก นางรู้จักเขาดีถึงขนาดนี้! 


 


 


เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการอยู่ตลอด หากว่ารักใครสักคนเข้าจริงๆ ย่อมต้องครุ่นคิดหาวิธีการร้อยแปดมาปกป้องนาง มิใช่ว่าส่งนางออกไปเผชิญกับคลื่นลมที่โหดร้าย ให้นางต้องทนรับความริษยาทางสี่ทิศแปดทาง และหอกดาบในที่ลับอีกนับไม่ถ้วน 


 


 


ตอนนี้มันชัดเจนเลยว่าซูหวงกุ้ยเฟยก็คือคนที่ต้องเผชิญกับคมหอกคมดาบทั้งในที่ลับและที่แจ้งแทน 


 


 


ส่วนไทเฮาน้อยนั้น …….ก็แค่ถูกนินทาว่าร้ายไปบ้าง แต่ไม่ได้เป็นเภทภัยใดๆ กับนางทั้งสิ้น 


 


 


พอคิดได้แล้ว เหยียนเฉียวหลัวก็ริษยาจนแทบคลุ้มคลั่ง 


 


 


ความริษยาในครั้งนี้ยังรุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่จีเฉวียนทรงตรัสว่ามีคนในพระทัยแล้วเสียอีก 


 


 


เนื่องเพราะว่านางรู้และเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมดเพื่อ “นางในดวงใจ” นั้นจะต้องใช้ความยากลำบากเพียงใด! 


 


 


นางไม่อาจดับเพลิงริษยาที่ลุกโหมอยู่ในใจยามนี้ลงได้ เอาแต่คิดว่าจะต้องกระชากหน้ากากของตู๋กูซิงหลันออกมาให้ได้เท่านั้น 


 


 


นี่ถึงจะเป็นหัวขโมยที่ชั่วร้ายที่สุด! 


 


 


จีเฉวียนเพียงทอดพระเนตรมองดูนางอย่างเงียบๆ ในดวงเนตรทอประทายเย็นชาอย่างล้ำลึก พอทอดพระเนตรออกไป ก็ตรัสกับนางออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวตกตะลึง ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน “หม่อมฉันจะไปทราบว่านางเป็นใครได้อย่างไร? อยู่ห่างกันตั้งไกลขนาดนั้น เมื่อครู่ฝุ่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว จะมองอย่างไรก็มองไม่ชัด” 


 


 


ว่าแล้วนางก็รีบกล่าวต่อไปว่า “แต่ว่าก่อนที่แผนที่ขุมทรัพย์ของหม่อมฉันจะหายไป ซิวก็พบเห็นว่าแม่นางน้อยผู้นี้บุกเข้ามาในตำหนักของหม่อมฉัน” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวทูลแล้ว ก็หันมาส่งสายตาให้กับบุรุษข้างกายครั้งหนึ่ง 


 


 


ซิวรีบก้าวออกมา ถวายคำนับจีเฉวียน “กราบทูลฝ่าบาท ตอนแรกกระหม่อมพบเห็นแม่นางผู้นี้บุกเข้าไปในตำหนักมีทั้งภายในห้องบรรทมขององค์หญิงก็มีขนไก่เส้นหนึ่งตกอยู่ด้วยพะยะค่ะ” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวรีบล้วงเอาขนไก่ออกมา “ใช่ เป็นเส้นนี้เอง” 


 


 


เป็นขนไก่สีดำขลับที่ทั้งยาวและแวววาวเส้นหนึ่ง 


 


 


พอขนไก่เส้นนั้นปรากฏขึ้นมาผู้คนทั้งหมดก็พากันคิดไปถึงเจ้าไก่ดำในตำหนักเฟิ่งหมิงขึ้นมาในทันที เรื่องที่ไทเฮาทรงเลี้ยงดูไก่ตัวอ้วนที่ตะกละตะกลามเอาไว้ตัวหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ผู้คนในวังต่างก็รู้กันจนทั่ว 


 


 


เจ้าไก่จอมอวดดีตัวนั้นลำพองไปทั่วทุกที่ วันนี้ไปจับหนอนที่วังนี้ พรุ่งนี้ไปปีนอยู่บนหลังคาของวังนั้น พวกเขาพบเห็นจนไม่ประหลาดใจอันใดอีกต่อไป 


 


 


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เจ้าไก่นั่นจะกล้าตะกละถึงขนาดนี้ กระทั่งแผนที่สมบัติขององค์หญิงแห้งแคว้นเหยียนก็ยังกล้าขโมย? 


 


 


หากจะบอกว่าเบื้องหลังของมันไม่มีผู้ใดชักจูง พวกเขาก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะว่าไก่ตัวหนึ่งจะไปรู้จักคุณค่าของแผนที่ขุมทรัพย์ได้อย่างไร? 


 


 


หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันแอบมองดูสาวน้อยชุดดำในอ้อมพระอุระของจีเฉวียน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันซุกอยู่ในอ้อมอกของจีเฉวียน นางไม่กล้าส่งเสียงออกมา 


 


 


ได้แต่ใช้ดวงตาดอกท้อที่มีประกายหยดน้ำคลออยู่เต็มจ้องไปยังเขา สื่อความหมายผ่านนัยตาออกไป 


 


 


ไอ้ลูกชาย เจ้าต้องเชื่อแม่นะ!  


 


 


ถึงแม้ว่าแม่จะรักสมบัติ แต่ก็ยังรู้จักเหตุผล เป็นแม่เลี้ยงแสนดีมีคุณธรรมผู้หนึ่ง!  


 


 


จีเฉวียนเหลือบพระเนตรมองดูนางแวบหนึ่ง แสดงออกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกถึงแรงของนางที่คว้าฉลองพระองค์เอาไว้ 


 


 


ความรู้สึกที่ว่านางต้องการเขานั้น ทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


สายพระเนตรที่มองดูตู๋กูซิงหลันแฝงความอ่อนโยน แต่ยามที่เงยพระพักตร์ขึ้นมามองดูเหยียนเฉียวหลัวกลับมีแต่ความเย็นชาอย่างที่สุด 


 


 


“องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียน” 


 


 


จีเฉวียนตรัสเรียกเหยียนเฉียวหลัวออกไปครั้งหนึ่ง 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันที ถูกเขาเรียกชื่อเต็มเช่นนี้ นางตื่นตัวขึ้นมา รู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร 


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสเสียงต่ำๆ ว่า “ในแคว้นต้าโจวของเรา การโกหกนั้นย่อมต้องมีค่าตอบแทน” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหลั่งเหงื่อเย็นๆ ทั่วร่าง เดิมที่นางรู้สึกอิจฉาจนจะเป็นบ้า ยามนี้ในใจยิ่งรู้สึกว่าเพลิงริษยานั้นกำลังแผดเผาตัวนาง 


 


 


นางอ้าปากขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไร ก็เห็นองครักษ์ของฮ่องเต้ลากหัวโล้นๆ ของศพคืนชีพผู้นั้นขึ้นมาจากซากปรักหักพัง 


 


 


แผนที่ขุมทรัพย์ที่ถูกฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหล่นออกมาจากในอกเสื้อของศพคืนชีพผู้นั้นต่อหน้าต่อตาฝูงชนทั้งหมด 


 


 


ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงไป! 


 


 


ที่แท้ แผนที่ขุมทรัพย์แผ่นนั้นก็ถูกศพคืนชีพผู้นี้ขโมยไปนี่เอง! 


 


 


ที่หยวนเฟยทรงคาดเดาเอาไว้ในตอนแรกนั้นก็ถูกต้องแล้ว 


 


 


เช่นนี้แล้วไยองค์หญิงแห่งต้าเหยียนจะต้องมาโกหกกันด้วย? 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวมองดูแผนที่ที่แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในใจมีแต่ความเจ็บปวด นางกำพระหัตถ์เอาไว้จนแน่น ทั้งเจ็บใจและตกตะลึงจนกัดฟันกรอด 


 


 


นางแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ฝ่าบาท นี่…..แผนที่ขุมทรัพย์นี่มาอยู่ที่ศพคืนชีพผู้นี้ได้อย่างไรกัน?” 


 


 


“งั้นท่านหวังจะให้มันอยู่กับท่านเซียนหรืออย่างไร?” หยวนเฟยทนนางมานานแล้ว 


 


 


เมื่อได้มองดูคนในอ้อมพระพาหาใกล้ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเงาหลังในชุดสีดำ นางก็มั่นใจว่า เป็นตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน 


 


 


ยังดีที่พี่ชายของนางตู๋กูจุน มีบุญคุณช่วยชีวิตนางเอาไว้ นางย่อมต้องยืนอยู่ข้างตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน 


 


 


หยวนเฟยกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ทุกสายตาที่มองไปยังเหยียนเฉียวหลัวเปลี่ยนไปทันที 


 


 


“จะว่าไปก็แปลกมาก ศพคืนชีพผู้นั้นก่อนนี้ไม่เคยมา แต่พอท่านเข้ามาอยู่ในตำหนักหยู่เฉียนกงก็โผล่มาในทันที หรือว่ามันกับท่านมีเรื่องราวเกี่ยวพันอันใดที่ไม่อาจให้ผู้คนรับรู้อยู่?”  

 

 


ตอนที่ 224 เราจะให้โอกาสเจ้าเพียงครั้...

 

เมื่อมีหยวนเฟยคอยสาดน้ำมันลงบนกองไฟอยู่ตลอดเวลา เหยียนเฉียวหลัวชิงชังจนอยากจะกระโดดถีบนางให้ตายไปเสียตอนนี้ซะเลย 


 


 


นางกำหมัดจนแน่น ค่อยยิ้มออกมาบางๆ “หยวนเฟยตรัสเช่นนี้ออกจะประหลาดอยู่บ้างแล้ว แคว้นต้าโจวมีตัวประหลาดโผล่ออกมา กลับโยนเรื่องลงมาบนเศียรของเรา นี่นับเป็นเหตุผลอันใดกัน?” 


 


 


ตรัสแล้วนางก็มองไปทางจีเฉวียน ยกหัตถ์ขึ้นมาถวายคำนับเขา “ฝ่าบาท เฉียวหลัวมาที่นี่ เพื่อผูกมิตรกับต้าโจว ความจริงใจนี้พระองค์ก็ทรงทราบดีอยู่แล้ว ไยตอนนี้จึงทรงปล่อยให้ผู้อื่นลบหลู่หม่อมฉันได้กัน?” 


 


 


ทูลแล้ว ดวงเนตรของนางก็มีน้ำคลอหน่วยขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็รินไหลกลายเป็นหยาดน้ำตา มองไปยังจีเฉวียนด้วยความเศร้าที่ได้รับความอยุติธรรม คล้ายดั่งมีความในใจที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ 


 


 


“องค์หญิงพะยะค่ะ…..” ซิวเห็นท่าทางของนางก็เจ็บปวดใจแทน 


 


 


“เป็นเพราะกระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่เพียงทำให้องค์หญิงทรงสูญเสียแผนที่ขุมทรัพย์ในวังหลวงของต้าโจว ทั้งยังต้องมาถูกหลู่พระเกียรติเช่นนี้ ขอทรงส่งข่าวกลับไปยังแคว้นเหยียน ให้ฮ่องเต้ของพวกเราตัดสินความเถอะพะยะค่ะ” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวฟังแล้ว ก็ปาดเช็ดน้ำตา “เรื่องราวยังไม่หนักหนาถึงเพียงนั้น เชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องทรงจัดการให้ข้าอย่างแน่นอน” 


 


 


นางหนึ่งทรงปาดเช็ดน้ำตาทางหนึ่งก็เหลือบมองจีฉวน นางรู้ดีว่าจีเฉวียนให้ความสำคัญกับบ้านเมืองอยู่เหนือสิ่งใด เมื่อซิวกล่าวออกไปเช่นนี้ จีเฉวียนก็ยิ่งต้องคำนึงถึงสถานะของแว่นแคว้น เขาย่อมรู้ดีว่าสมควรจะทำเช่นไร 


 


 


ต่อให้เขาชอบตู๋กูซิงหลันแล้วอย่างไร ยังจะกล้าทำลายความสัมพันธ์ของสองแคว้นเพื่อนางหรือ? 


 


 


เขาย่อมต้องรู้ว่า ตอนนั้นเพราะต้าโจวอ่อนด้อยที่สุดในสามแคว้น เขาจึงต้องไปเป็นองค์ประกันนานถึงสิบปีเพื่อแลกกับความสงบสุขของต้าโจว ความทุกข์ทรมานตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้แต่ต้องอดทนโดยมิอาจขัดขืน แล้วไหนเลยจะมายอมสูญเสียมันไปง่ายๆ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม นางยืนตัวตรงประดุจพู่กัน มิให้ศักดิ์ศรีความเป็นองค์หญิงแห่งต้าเหยียนของตนเองต้องหมองหม่นไป 


 


 


สายพระเนตรของจีเฉวียนยังคงเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง พอนางกล่าวจบสิ้นก็ทรงแย้มยิ้มเย็นชาออกมา เขาโบกพระหัตถ์น้อยๆ เหล่าองครักษ์ลับก็ลากศพคืนชีพผู้นั้นเข้ามาในทันที 


 


 


แม้ว่าศพคืนชีพชราผู้นั้นจะศีรษะแตกและกระดูกหักทั่วทั้งร่าง แต่ก็เป็นเหมือนดั่งเสียนไท่เฟยเป็นศพมีชีวิตที่ไม่หลั่งเลือด บนใบหน้าของศพคืนชีพชราผู้นั้นเกลื่อนไปด้วยเลือดสีดำ ศีรษะแตกยับจนเป็นรู ใบหน้าที่เดิมก็น่าตระหนกอยู่แล้วยามนี้ยิ่งดูน่าหวาดผวากว่าเดิม 


 


 


ร่างของเขาที่ผิดรูปจนแปลกประหลาดถูกคนควบคุมตัวเอาไว้ สองขาหักจนกระดูกแหลก ทั่วร่างมีไอสีดำกำจายออกมาทั้งบนและล่าง 


 


 


ผู้คนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะขยับถอยออกไป แต่ละคนพอคิดถึงฉากเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ยังคงหวาดกลัวไม่หาย 


 


 


กระดูกหักถึงเพียงนี้ก็ยังไม่ตาย ตัวประหลาดเช่นนี้น่ากลัวจริงๆ 


 


 


ศพคืนชีพผู้นั้นถูกองครักษ์ลับกดเอาไว้กับพื้น แต่ยังคงผืนร่างกายลืมตาขึ้นมา มองดูสถานการณ์โดยรอบ 


 


 


เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตนเองจะต้องมาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเด็กสาว 


 


 


ประด็นสำคัญคือนางถึงกับใช้พลังทั้งหมดของหยกสรรพชีวิตมาเล่นงานเขา! 


 


 


ที่ผ่านมาต่อให้เขาต้องเจอกับพวกเดียวกันที่เ**้ยมโหดที่สุดก็ยังไม่ร้ายกาจเท่านาง 


 


 


“เราจะให้โอกาสเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ทอดพระเนตรดูศพคืนชีพแวบหนึ่งอย่างเย็นชา 


 


 


ยามที่สายพระเนตรกวาดออกไป ประกายเย็นยะเยือกในดวงเนตรก็สาดวาบออกมา 


 


 


ไม่มีผู้ใดเห็นว่า ยามที่องครักษ์ลับลากตัวศพคืนชีพออกมานั้น ก็ได้แทงเข็มเข้าไปด้านหลังกระหม่อมของเขาเล่มหนึ่ง 


 


 


เดิมทีศพคืพชีพผู้นั้นก็ไม่ได้รู้ถึงความเจ็บปวดอันใด แต่ยามนี้เมื่อเขาอ้าปากขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหัวสมองปวดร้าว 


 


 


ดวงตาสีดำที่ไม่เหลือกระทั่งลูกตาขาวมีเลือดสีดำซึมออกมา 


 


 


แต่ในเมื่อทั้งหมดเป็นสีเดียวกัน ย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น 


 


 


เข็มที่ฝังอยู่ในหลังกระหม่อมสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเขา เมื่อจีเฉวียนทรงทอดเนตรมองอย่างเฉยชา ปากของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นเอ่ยออกไปว่า “องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียน ไยเจ้าต้องข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน” 


 


 


แค่ประโยคเดียว กลับทำให้คนทั้งหมดต้องตกตะลึง! 


 


 


สีพระพักตร์ของเหยียนเฉียวหลัวย่ำแย่อย่างที่สุด นางแทบจะกระโดดออกไป 


 


 


“ไอ้เฒ่าประหลาด ไยเจ้ากล้าใส่ความองค์หญิงเช่นเรา? เรากับเจ้าไม่รู้จักมักคุ้นกัน เจ้าทำเช่นนี้เพื่อให้ผู้ใดดู? บอกมา ใครหนุนหลังเจ้า? เป็นไทเฮา?” 


 


 


นางพูดพลาง ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปเหลือบมองคนในอ้อมแขนของจีเฉวียน 


 


 


นังคนที่พอมีเรื่องก็เอาแต่หลบอยู่ในอ้อมอกของผู้อื่น นับว่าเป็นตัวอะไร? 


 


 


กล้าเล่นงานนางแต่ไม่กล้าออกมายอมรับ ช่างเป็นขยะที่ไร้ยางอายจริงๆ 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็ไม่เข้าใจ ว่าอยู่ดีๆ ทำไมนางต้องไปพาดพิงถึงไทเฮาน้อยด้วย 


 


 


อ๋อ…. หรือจะเป็นเพราะขนไก่สีดำที่ตกอยู่ในห้องของนาง หากว่าเรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนออกมา ไทเฮาน้อยย่อมไม่อาจสลัดความเกี่ยวข้องทิ้งไป 


 


 


แต่ว่าประเด็นที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่านางและศพคืนชีพมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันหรอกหรือ? 


 


 


องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนผู้นี้ ดูไปแล้วก็สวยดีอยู่ แต่พระทัยกลับร้ายกาจ รำไม่ดีโทษว่าผู้อื่น 


 


 


“แล้วสิ่งนี้ จะอธิบายว่าอย่างไร” เหยียนเฉียวหลัวหยิบขนไก่สีดำขึ้นมา เสด็จไปถึงเบื้องหน้าจีเฉวียน คล้ายจะถามเอาความกับเขา 


 


 


เดิมทีนางคิดว่าด้วยความสัมพันธ์นานปีของพวกเขา ต่อให้เขาไม่ปกป้องนางอย่างน้อยๆ ก็คงไม่ทำให้นางต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ใครจะไปนึก ว่าเขาจะไม่ไว้หน้านางถึงขนาดนี้! 


 


 


คนในวังทั้งหลายเห็นเหยียนเฉียวหลัวยังคงไม่ยอมรับผิด ทั้งยังทำท่าอาละวาดออกมา แต่ละคนก็เคร่งเครียดกว่าเดิม กระทั่งศีรษะยังมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา 


 


 


คิดๆ ดูแล้ว ต่อให้เป็นไทเฮาน้อยที่ชอบหาเรื่องตาย เกรงว่าก็คงยังไม่กล้าถามเอาความกันต่อหน้าฝ่าบาทเช่นนี้ 


 


 


สมแล้วที่เป็นพระธิดายอดดวงใจของฮ่องเต้แคว้นเหยียน ถือทิฐิน่าดู 


 


 


จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง เขายังคงอุ้มสตรีในอ้อมแขนเอาไว้ อุ้มมานานก็ไม่มีท่าทีจะเมื่อยล้า 


 


 


“ดูท่าเจ้าคงคิดจะให้ตัวประหลาดผู้นี้รับผิดไปแต่ผู้เดียวสินะ” ทรงตรัสออกไปประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา 


 


 


ประโยคนี้สำหรับศพคืนชีพแล้ว ราวกับคำสั่งเอาชีวิต 


 


 


ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด ยามนี้พอฮ่องเต้ตรัสถามอะไรออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะตอบออกไป ราวกับไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทั่วทั้งร่างราวกับถูกควบคุมเอาไว้หมด 


 


 


เขาอ้าปากขึ้นมา ยังไม่ทันจะพูดออกไป ก็ได้ยินเสียง “กะกะกะต๊าก” 


 


 


ท่ามกลางค่ำคืน เสียงกะต๊ากนี้ดังก้องออกไป 


 


 


คนในวังทั้งหมดหันสายตาไปมองดู ทันทีที่หันไปก็เห็นว่าภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง เจ้าไก่ขนฟูที่ตัวใหญ่ประมาณนกกระจอกเทศก็ขยับปีกโผเข้ามา 


 


 


ที่ด้านหลังของมันยังมีเงาร่างสีแดงเพลิงผู้หนึ่ง 


 


 


ซูหวงกุ้ยเฟย 


 


 


หวงกุ้ยเฟยผู้นี้ยังคงงดงามจนหยาดเยิ้มเหมือนดังเก่า แม้เส้นผมจะดูกระเซอะกระเซิงไปบ้าง ก็ยังคงเย้ายวนทั้งคนและผีได้อย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“กะ กะ กะต๊าก กะต๊าก กะต๊าก!” พอเจ้าไก่ขนดำมาถึง ก็ตีปีกกวาดมองไปทางตำหนักหยู่เฉวียนกงครั้งหนึ่ง พอกวาดตากลับมาก็จดจ้องอยู่ที่เหยียนเฉียวหลัวกับศพคืนชีพ 


 


 


เฮียไก่รู้สึกแล้วว่าไหวพริบของมันถูกคนลอบกระทืบอย่างโหดเ**้ยม 


 


 


มันถูกลอบเล่นงานเข้าแล้ว! 


 


 


เพราะตัวมัน จึงเป็นสาเหตุให้พี่สาวตัวน้อยต้องบาดเจ็บอย่างสาหัสเช่นนี้! 


 


 


ไอ้พวกคนเลวที่สมควรจิกให้ตายสักพันครั้ง! 


 


 


น้อยนักที่น้ำเสียงของมันจะแสดงความรวดร้าวเช่นนี้ออกมา ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองของมันก็เปี่ยมไปด้วยไอสังสาร 


 


 


พอตู๋กูซิงหลันได้ยินเสียงของเจ้าติ๊งต๊อง ก็ยิ่งอยากจะหันศีรษะออกไป เจ้าไก่โง่นั่นเลือดร้อน นางกลัวว่าพอมันระเบิดอารมณ์ขึ้นมา ก็จะเผาวังหลวงไปครึ่งหนึ่ง 


 


 


พึ่งจะขยับศีรษะหน่อยเดียว ก็ถูกฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตของจีฉวนจับให้หันกลับไป 


 


 


ใบหน้าของนางจมอยู่ในอ้อมอกของเขา ที่หายใจเข้าไปล้วนเป็นกลิ่นอายจากร่างของเขาทั้งสิ้น 


 


 


เย็นมาก แต่ก็ทำให้คนรู้สึกสงบใจได้อย่างแปลกๆ 


 


 


จากนั้นซูเม่ยก็รีบตามมาติดๆ 


 


 


เขามองดูเหยียนเฉียวหลัวอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง ก็ปั้นท่าพระสนมเอกประจำตัวออกมา “ฝ่าบาท หม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์มังกร ดึกดื่นค่อนคืนองค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนผู้นี้ก็ลุกขึ้นมาเอะอะโวยวาย ทำเอาจิตใจของหม่อมฉันไม่สงบ นี่เป็นเพราะนางหวังจะให้ครรภ์มังกรไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่เพคะ?” 


 


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


อาหลันคะ เจ็บแล้วก็พักไปลูก ฉากนี้นอนดูก็พอ หนูปล่อยเวทีให้คนอื่นบ้างนะคะ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัว (燕乔萝) : แซ่เหยียนตัวนี้เป็นคำเดียวกันกับ燕子 ที่แปลว่านกนางแอ่น นกตัวกระจิ๊ดกล้ามาจิกหลังเฮียไก่ ระวังเอาไว้เถอะ จะไม่เหลือ ไรท์เตือนแล้วนะ (นี่เรียกว่าสปอย์ไหม?) 

 

 


ตอนที่ 225 ฝ่าบาททรง ‘ประนีประนอม’ ?

 

ซูเม่ยว่าพลาง ก็โผเข้าไปที่ข้างกายจีเฉวียน นางลูบท้องตนเอง ทำท่าทำทางออดอ้อนออกมา “ฝ่าบาท องค์ชายน้อยไม่สบายพระองค์ เอาแต่ทำหม่อมฉันเจ็บตลอดเลยเพคะ” 


 


 


ผู้คนทั้งหลาย “!!!” 


 


 


หากว่าพวกเขาจำได้ไม่ผิดละก็ ฝ่าบาทพึ่งจะทรงประกาศเรื่องที่หวงกุ้ยเฟยทรงพระครรภ์ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เองไม่ใช่หรือ? 


 


 


องค์ชายน้อยสมควรตัวไม่ใหญ่ไปกว่านิ้วแม่มือละมั้ง ยังจะทำให้นางเจ็บปวดได้อย่างไร? 


 


 


ซูกุ้ยเฟยตั้งพระทัยจะมาหาเรื่องชัดๆ! 


 


 


นับตั้งแต่ที่หวงกุ้ยเฟยผู้นี้ตั้งครรภ์ นางก็ปิดประตูอยู่แต่ในตำหนักชุ่ยเวยมาโดยตลอด นี่จะต้องเป็นเพราะนางได้ข่าวว่าองค์หญิงแคว้นเหยียนมาถวายสมบัติและจะอภิเษกให้ฝ่าบาท ถึงได้ร้อนใจขึ้นมา 


 


 


ดังนั้นจึงฉวยโอกาสที่คืนนี้ในวังเกิดความวุ่นวาย ออกมาสำแดงศักดานุภาพให้องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนได้ประจักษ์เสียก่อน 


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงแคว้นเหยียนอะไรนั่น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีความประสงค์ดี คิดจะทำร้ายครรภ์มังกรของหม่อมฉัน พระองค์ต้องทรงจัดการให้หม่อมฉันนะเพคะ!” ซูเม่ยกล่าวอย่างไม่มีอาย ทั้งยังกระตุกชายฉลองพระองค์ ด้วยลีลาสนมรักตัวร้าย 


 


 


ขณะที่กระตุกชายแขนฉลองพระองค์ เขาก็แอบมองดูตู๋กูซิงหลันในอ้อมพระหัตถ์อยู่หลายรอบ 


 


 


เห็นริมฝีปากนางมีเลือดไหลซึมออกมา หัวใจของเขาก็เจ็บปวดจนเต้นผิดจังหวะ 


 


 


เคราะห์กรรมเข้าหาแล้วจริงๆ นับตั้งแต่ที่บิดามารดาผู้ประเสริฐรู้ว่าเขา ‘ตั้งครรภ์แล้ว’ ก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ มารดายิ่งร้องไห้ไปควานหาเชือกจะเอามาผูกคอตาย 


 


 


วันนี้ยิ่งอาละวาดกันยกใหญ่ ตลอดหลายวันนี้เขาต้องคอยเฝ้าอยู่แต่ในพระตำหนักของหย่งเฉิงอ๋อง ถึงพอจะปลอบใจพวกเขาได้บ้าง 


 


 


หากมิใช่ว่าคืนนี้ในวังเกิดเรื่องอึกทึกคึกโครม เกรงว่าตอนนี้เขาก็คงยังอยู่ในตำหนักอ๋อง 


 


 


พอกลับถึงตำหนักตนเองก็ได้ยินหยู่ฟู่นางกำนัลคนสนิทบอกเรื่องที่เกิดขึ้นมาอย่างคร่าวๆ 


 


 


เขาไม่ต้องใช้เท้าคิดแทนหัวก็รู้แล้วว่า อาหลันเกิดเรื่อง 


 


 


ดังนั้นจึงรีบมาให้ความช่วยเหลือ และถือโอกาสหอบหิ้วไอ้ไก่ปัญญาอ่อนนั่นมาด้วย 


 


 


ตอนนี้พอมองเห็นนางนอนอ่อนเปลี้ยอยู่ในอ้อมแขนของฮ่องเต้ หัวใจของเขาก็เหมือนมีเลือดไหลออกมา 


 


 


ครั้งก่อนเป็นเพราะไอ้เฒ่าศพคืนชีพผู้นี้ นางจึงได้รับบาดเจ็บ โดนพิษ ทั้งยังเกือบแยกจิตออกจากร่าง 


 


 


ครั้งนี้ก็เป็นเพราะไอ้ตัวประหลาดนี้อีก ทำให้นางเกือบตาย! 


 


 


ดวงตาของซูเม่ยเปล่งประกายสีแดงออกมาจางๆ 


 


 


คนที่ทำร้ายอาหลัน! ไม่อาจปล่อยไปแม้แต่ผู้เดียว! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนกอดไว้ ทั้งยังไม่อาจเงยหน้าขึ้นมามองเขา พอได้ยินคำพูดของซูเม่ยเมื่อครู่ นางก็ชักจะเป็นห่วงหลานชายของตนเองขึ้นมา 


 


 


เห็นๆ อยู่ว่าอีกเพียงแค่แปดเก้าเดือนนางก็จะมีหลานน่ารักไร้ที่ติอีกคนหนึ่ง ยามปกตินางก็แทบจะยกซูคนงามให้เป็นบรรพบุรุษของตนเองอยู่แล้ว นางจะยอมให้ซูเม่ยรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวขึ้นมาได้อย่างไรกัน? 


 


 


แต่เพราะจีเฉวียนมีเรี่ยวแรงมากเกินไป กอดแน่นไม่ยอมให้นางได้หันหน้าไปดูบ้างเลยสักนิด 


 


 


ฮ่องเต้ทรงกวาดพระเนตรมามองดูซูเม่ยแวบหนึ่ง ไอเย็นบนร่างก็คลายลงหายส่วน บรรยากาศรอบพระองค์ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา 


 


 


“องค์ชายใหญ่ล้ำค่าเกินใดจะเปรียบ หวงกุ้ยเฟยต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าได้พลั้งเผลอไป” ยามที่ตรัสกับซูเม่ย สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็อ่อนโยนขึ้นมาอีกหลายส่วน 


 


 


ยามนี้ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็อิจฉาริษยากันยกใหญ่ 


 


 


ไม่รู้ว่าชาติก่อนซูหวงกุ้ยเฟยสวดมนต์ไหว้พระขอพระโพธิ์สัตว์อย่างยากลำบากเพียงไร? จึงทำให้ชาตินี้ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทถึงเพียงนี้ 


 


 


ดูเอาเถอะ ในวังหลังทั้งหมด ฝ่าบาททรงเคยแสดงความอ่อนโยนต่อผู้ใดถึงเพียงนี้บ้าง? 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันระมัดระวังมากแล้วนะเพคะ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจห้ามไม่ให้มีคนประสงค์ร้ายต่อครรภ์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำสิ่งใดได้เล่าเพคะ?” ซูเม่ยยังคงกระตุกชายแขนฉลองพระองค์ต่อไป เขาพูดพลางก็เหลือบมองดูเหยียนเฉียวหลัวไปพลางๆ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหันมาสบตาเข้ากับนางพอดี ก่อนหน้านี้นางก็เคยเห็นภาพเหมือนของซูเม่ยมาแล้ว ตอนที่เห็นภาพก็รู้สึกว่าสตรีผู้นี้เย้ายวนเกินกว่าคนทั่วไป ตอนนี้พอได้เห็นตัวจริง ก็ยิ่งรู้สึกว่างดงามเย้ายวนจนใครก็ไม่อาจคลาดสาย 


 


 


มิน่าเล่า…. นางถึงได้ถูกจีเฉวียนเลือกเป็นเป้าธนู 


 


 


อิสตรีไหนเลยจะไม่มีจิตริษยาได้? 


 


 


พวกนางย่อมริษยาสตรีที่มีความงามเหนือกว่าตนเอง 


 


 


เป้าธนูเช่นซูเม่ยนี้ นับว่าจีเฉวียนเลือกได้ดีเยี่ยม 


 


 


“มองทำไม? นี่เจ้าแอบสาปแช่งข้าอยู่ในใจหรือไม่ ทั้งยังแช่งองค์ชายของข้าด้วยใช่ไหม?” ซูเม่ยไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย 


 


 


สตรีที่ตั้งครรภ์มักจะอารมณ์ไม่ดี ทุกคนต่างก็สามารถเข้าใจได้ แต่ดูอย่างไรซูหวงกุ้ยเฟยผู้นี้ก็เหมือนได้รับความโปรดปรานมากจนกลายเป็นความผยองแล้ว 


 


 


แต่เพราะนางตั้งครรภ์องค์ชายใหญ่….ฝ่าบาทจะใส่พระทัยมากหน่อยก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่ 


 


 


“กะกะกะต๊าก!” เจ้าไก่ขนดำก็ส่งเสียงด้วยความขุ่นเคือง แล้วยังหรี่ตามองดูเหยียนเฉียวหลัวและขนไก่สีดำในมือของนางอีกด้วย 


 


 


พอได้ยินเสียงของมัน เหยียนเฉียวหลัวถึงได้คืนสติกลับมา 


 


 


พอเจอเป้าธนูอย่างซูเม่ยเข้าไป นางก็เกือบจะทำเป้าหมายของตนเองหล่นหายเสียแล้ว 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกลับมายืนตรงดุจพู่กันดังเดิม ในมือของนางถือขนไก่สีดำเอาไว้ในมือ พลางทูลจีเฉวียนออกไปว่า “ฝ่าบาทเพคะ ซูหวงกุ้ยเฟยทรงครรภ์ พื้นอารมณ์แปลกไปบ้างเฉียวหลัวไม่โทษว่านาง” 


 


 


“ตอนนี้เจ้าไก่ดำนั่นก็อยู่ในที่นี้พอดี ขอเพียงเปรียบเทียบขนไก่ในมือของเฉียวหลัวกับขนที่อยู่บนตัวของเจ้าไก่นั่น ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าไทเฮาทรงบริสุทธฺ์หรือไม่” 


 


 


“ไทเฮาแห่งต้าโจวศักดิ์ฐานะสูงส่ง ฝ่าบาทเองก็ให้ความสำคัญกับความกตัญญู คิดว่าจะต้องไม่ทรงยอมให้ไทเฮาต้องทรงถูกปรักปรำหรอกใช่ไหมเพคะ?” 


 


 


“ดังนั้นขอฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้ตรวจสอบขนไก่ด้วยเพคะ” 


 


 


ขนไก่เส้นนี้…….ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


อีกประเดี๋ยว นางในดวงใจของจีเฉวียนจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่ 


 


 


“กะกะกะต๊าก!” พอเจ้าติ๊งต๊องเอียงคอมองดูขนเส้นนั้น แล้วก็มองดูขนปีกของตัวเอง มันก็ ‘คล้ายๆ’ จะเกิดอาการ ‘ปอดแหก’ ขึ้นมา 


 


 


เมื่อครู่มันยังทำท่าฮึกเหิมอยู่หยกๆ แต่ว่าตอนนี้กลับถอยหลังไปก้าวเล็กๆ ก้าวหนึ่ง ท่าทางหวาดกลัวการตรวจพิสูจน์อยู่บ้าง 


 


 


“ทูลฝ่าบาท ร่างจริงย่อมไม่กลัวเงาลวงจะเหนือกว่า ขออย่าได้ทรงถือโทษที่องค์หญิงของพวกเรามีข้อสงสัย เพราะเจ้าเฒ่าศพคืนชีพผู้นี้เดิมทีก็เป็นตัวประหลาด คำพูดของเขาไม่อาจเชื่อถือได้ หลักฐานก็อยู่ที่นี่แล้ว ขอเพียงได้พิสูจน์ต่อหน้า ทุกอย่างย่อมกระจ่างแจ้ง” ซิวก้าวออกมาทูลแทนเหยียนเฉียวหลัว 


 


 


ฮ่องเต้ทรงทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สายพระเนตรจับจ้องอยู่บนเจ้าไก่ขนสีดำนั่น พอเห็นมันก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับตู๋กูซิงหลันอย่างยิ่ง 


 


 


จากหยิ่งผยองเปลี่ยนเป็นปอดแหกช่างเร็วเพียงพริบตา 


 


 


เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูสตรีในอ้อมแขนอีกแวบหนึ่ง เจ้าของเป็นอย่างไรก็เลี้ยงไก่ออกมาได้อย่างนั้นจริงๆ 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงยอม ‘ประนีประนอม’ 


 


 


สีพระพักตร์ยังคงเย็นชา ทรงทอดพระเนตรมองเหยียนเฉียวหลัว “เจ้าคิดจะพิสูจน์อย่างไร?” 


 


 


“ถอนขนจากตัวมันมาเส้นหนึ่ง แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกันให้ดีก็รู้แล้วมิใช่หรือเพคะ?” เหยียนเฉียวหลัวยินดีขึ้นมา นางรู้อยู่แล้ว จีเฉวียนจะต้องไม่ลงมือเล่นงานนางหรอก 


 


 


จะอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิงของแคว้นเหยียน ทั้งยังมีความผูกพันกับเขามาตั้งนานหลายปี 


 


 


คราวนี้ ฝ่าบาททรงรับปากอย่างง่ายดาย “ได้” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวอารมณ์ดีขึ้นมาก 


 


 


แต่ว่าครู่เดียวก็เกิดความสงสัยขึ้นมา 


 


 


เขามิใช่ว่าต้องการจะปกป้องตู๋กูซิงหลันจนถึงที่สุดหรอกหรือ ทันทีที่พิสูจน์ว่าขนไก่นี้เป็นแบบเดียวกับขนบนตัวเจ้าไก่นั่น ย่อมไม่เกิดผลดีกับตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน 


 


 


นางมองดูซูเม่ยที่ยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน พอคิดถึงท่าทางของนางเมื่อครู่ที่สุดแสนจะถือดีเพราะเป็นที่โปรดปรานก็อดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา 


 


 


หรือว่านางจะคาดเดาผิดไป? 


 


 


ที่แท้แล้วคนในดวงใจของจีเฉวียนก็คือซูเม่ย? 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร 


 


 


ขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น ก็เห็นองครักษ์ลับของฝ่าบาทเข้าไปจับตัวเจ้าไก่ดำต่อหน้าฝูงชน แล้วถอนขนออกมาจากก้นของมันเส้นหนึ่ง 


 


 


เจ้าไก่ขนดำเจ็บจนหันศีรษะกลับมา มันโกรธมากจนตะกุยอุ้งเท้าลงไปบนพื้น 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)