ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 222-225
ตอนที่ 222 เราจะปกป้องเจ้าเอง
“องค์หญิงอย่าได้ทรงร้อนพระทัย นางได้รับบาดเจ็บแล้ว คาดว่าคงจะทนต่อไปได้ไม่นาน” ซิวกระซิบที่ข้างพระกรรณของเหยียนเฉียวหลัวเสียงเบา
คราวนี้ เหยียนเฉียวหลัวค่อยวางใจลงได้บ้าง
ไม่ต้องรีบร้อน ในเมื่อตู๋กูซิงหลันบาดเจ็บแล้ว นางย่อมไม่อาจเหาะอยู่อย่างนั้นได้ตลอดไป
“แผนที่กรุสมบัติอยู่กับตัวนาง” หลังจากนั้น ซิวก็ใช้แขนเสื้อมาบังเอาไว้ ให้มีแต่พวกเขาสองคนที่ได้ยินเสียงกระซิบริมพระกรรณของนาง
มุมปากของเหยียนเฉียวหลัวก็ขยับยกขึ้นมา ดีมาก รอให้ตู๋กูซิงหลันหมดสิ้นเรี่ยวแรง จนร่วงหล่นลงมา ยามนั้นนางก็จะเป็นคนแรกที่เข้าไปกระฉากหน้ากากของนางออกมา
ตั้งแต่ตอนแรก ไทเฮาน้อยผู้นี้ก็บังอาจมาติติงแผนที่ขุมทรัพย์ของนาง
ดังนั้นต่อให้ไม่มีสิ่งใดมาชักนำ นางก็ยังจะลงมืออยู่ดี
คนเช่นนี้ ยังกล้ามาเป็นไทเฮาของต้าโจวอยู่อีกหรือ?
…………………………..
อีกด้านหนึ่ง เมื่อตู๋กูซิงหลันรวบรวมพลังทั้งหมดในหยกสรรพชีวิตลงในยันต์แล้วซัดออกไป ศพคืนชีพผู้นั้นก็ถูกกดทับเอาไว้จนหมดหนทาง
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตาย แต่ก็สูญเสียพลังชีวิตไปกว่าครึ่ง จนตอนนี้ไม่อาจแผลงฤทธิ์ใดๆ ได้อีก
อันหร่วนเองก็แฝงกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าทำไมหลายวันนี้นางถึงได้รู้สึกว่าใจไม่สงบอยู่ตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่า บุรุษผู้นั้นจะวางแผนการตลบหลังครั้งใหญ่เอาไว้เช่นนี้
แต่ว่าหมากตัวนี้ของนายท่าน คงจะต้องถือว่าหมดค่า ใช้การไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นนางจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี
นางสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ มีผ้าผืนหนึ่งคลุมใบหน้า ซ่อนตนอยู่ในความมืด ดวงตาที่ชราแล้วคู่นั้นแหงนขึ้นไปมองดูสาวน้อยที่อยู่ใต้แสงจันทร์
นางประหลาดใจอย่างแท้จริง เพราะหมากตัวนั้นมีพละกำลังและความสามารถมหาศาล ชั่วชีวิตของเขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดมาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรก
พวกเขาประมาทไทเฮาแห่งต้าโจวไปแล้วจริงๆ
…………………………..
ใต้แสงจันทรา ตู๋กูซิงหลันใช้พลังทั้งหมดของหยกสรรพชีวิตออกไป ใบหน้าหนังมนุษย์ผืนนั้นต่อสู้กับวิญญาณทมิฬไปหลายสิบตลบ ในที่สุดก็พ่ายแพ้ลง
ไม่รอให้วิญญาณทมิฬจับมันกลืนกินลงไป ตู๋กูซิงหลันก็ชิงคว้ามันเอามาไว้ในมือของนาง
แผนที่สมบัติหนังคนยังคงต่อสู้อย่างดื้อดึง ใบหน้าที่มีเขี้ยวยาวแหลมคมยังคงพยายามจะกัดนางให้ได้
คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันคว้าปากของมันเอาไว้ แล้วฉีกออกเป็นสองส่วนด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล
แผนที่สมบัติหนังมนุษย์แผ่นนั้นยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา ก็ถูกนางฉีกอีกหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ฉีกล้วนขาดออกจากกันจนสุดแผ่น จนกระทั่งมันกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ นับสิบ ฉีกจนมันไม่กล้าแสดงความคั่งแค้นใดๆ ออกมาอีก
หลังจากนั้นนางก็ยัดเศษหนังคนเหล่านั้นส่งให้กับวิญญาณทมิฬ
“เอาไปซุกไว้ในร่างของศพคืนชีพผู้นั้น” พอนางกล่าวประโยคนั้นออกไป เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ก็หมดสิ้น ฝีเท้าเบาหวิว คล้ายกับว่าจะล้มคว่ำลงไปได้ทุกเมื่อ
พอเห็นว่านางกำลังจะร่วงลงมา สองเนตรของเหยียนเฉียวหลัวก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที
นางส่งสายตาให้กับซิว ซิวก็รีบพุ่งเข้าไปยังจุดที่ตู๋กูซิงหลันกำลังจะร่วงลงมา
แต่ว่าเขายังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ ก็เห็นมีเงาดำของของคนกลุมหนึ่งโผล่ออกมาจากรอบด้าน เงาดำเหล่านั้นสกัดเขาเอาไว้ตั้งแต่ครึ่งทาง กีดกัดเขาให้ออกห่าง
ร่างของตู๋กูซิงหลันตกลงมาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็เหลือเพียงเบาบาง ทรวงอกถูกกัดจนเนื้อหลุดไปหลายแผล ยามนี้เลือดจึงไหลทะลักออกมา มิว่าอย่างไรก็คงไม่ยอมหยุด
นางเงยหน้าขึ้นไป เห็นพระจันทร์สีเลือดที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศกำลังค่อยกลับคืนเป็นเช่นยามปกติ เมฆดำทั้งหมดกระจายหายไป ท้องฟ้ายามราตรีเปลี่ยนเป็นงดงามดั่งภาพวาด
นางไม่เคยได้มองดูดวงจันทร์จากมุมนี้มาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่าที่แท้ก็งดงามมากถึงเพียงนี้
เสียงลมพลิ้วพัดผ่านใบหู ยาวนานราวกับว่านางกำลังจะข้ามผ่านไปอีกโลกหนึ่ง
นางค่อยๆ ปิดตาลง ปล่อยให้ร่างหล่นลงไปอย่างอิสระ ในสมองก็คิดถึงว่าอีกเดี๋ยวสมควรจะลงท่าไหนดีถึงจะไม่เจ็บมากนัก
จากนั้น จะอธิบายเรื่องในคืนนี้กับผู้อื่นอย่างไรดีน้า?
เวลาผ่านไปเพียงอึดใจ แต่ในสมองกลับครุ่นคิดไปนับพันนับหมื่น
สงสัยว่านางจะเหาะสูงเกินไปแล้ว ตกลงมาตั้งนานถึงได้ยังไม่ถึงพื้นเลยสักที
เพียงแต่รู้สึกว่าที่ข้างกายอยู่ๆ ก็มีสายลมหนาวพัดเข้ามาหา จากนั้นก็คล้ายจะได้รับสัมผัสบางอย่างที่คุ้นเคย
นางยังห่างจากพื้นดินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับหล่นลงไปในอ้อมแขนหนึ่งอย่างพอดิบพอดี
หนาวเหลือเกิน
ในหน้าที่ปรากฎขึ้นในดวงตาคือดวงพักตร์ที่เย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งของฮ่องเต้
เพียงแต่ว่าในยามนี้ดวงตาหงส์คู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
ท่ามกลางฝุ่นที่ปลิวขึ้นมาจนคลุ้งไปทั้วท้องฟ้า เขาสวมใส่ฉลองพระองค์สีทอง โอบกอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่น “เรามาช้าไป”
ตู๋กูซิงหลันที่ปิดตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมามองเป็นเส้นบางๆ นางยังนึกว่าตนเองเห็นภาพหลอนไปเอง
จีเฉวียน ก็มีช่วงเวลาที่ห่วงใยผู้อื่นกับเขาด้วย?
“ลูกเอ๋ย ข้าถูกคนตบตีอีกแล้ว อูย อูยๆ ~” ตู๋กูซิงหลันร้องพลางกัดฟัน ริมฝีปากก็มีเลือดไหลออกมาอีก
จีเฉวียน “……..”
ดูอย่างไรก็รู้สึกว่าศพคืนชีพชราผู้นั้นถูกกระทืบหนักกว่าอยู่ดี
“ท่านไม่รู้หรอกว่า ของเล่นนี้น่ากลัวขนาดไหน หน้าตาก็น่าเกลียด ทั้งยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล” ตู๋กูซิงหลันทำท่าหวาดผวาอย่างที่สุด
“เอาเถอะ เรารู้แล้ว เจ้าพักเสียเถอะ” จีเฉวียนเห็นนางถึงขนาดกระอักเลือดแล้วก็ยังจะเล่นละครต่อไปอีก ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะปวดใจหรือว่าทำเช่นไรดี
เขายื่นดัชนีออกมาปิดริมฝีปากนางเอาไว้ คล้ายกับว่าจะปลอบประโลมนาง และจ่ายยาเสริมความมั่นใจให้นางไปเม็ดหนึ่ง “เราจะปกป้องเจ้าเอง”
ตรัสจบเขาก็เปิดปากนางขึ้นมา ยัดยาเม็ดสีแดงดุจโลหิตในมือลงไปหนึ่งเม็ด
เดิมทีตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างทุกข้อเจ็บปวดจนนางอย่าจะร้องตะโกนเรียกหาบิดามารดา แต่ทันทีที่กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ก็รู้สึกว่าทั่วร่างเบาสบายขึ้นมาก มีกระแสอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังฟื้นฟูร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะบาดแผลบริเวณหัวใจ เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาหยุดลงในทันที ปากแผลคันนิดๆ
ความรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับทำเอาตู๋กูซิงหลันถึงกับลืมเลือนพระดำรัสเมื่อครู่ที่บอกว่าจะปกป้องคุ้มครองนาง
นางทำตัวเกียจคร้านอยู่ในอ้อมแขนของเขา ยามนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นมา เดิมทีนางคิดว่าจีเฉวียนจะทรงพานางไปจากที่นี่
แต่คิดไม่ถึงว่า พอป้อนยาให้นางเสร็จเขากลับอุ้มนางร่อนลงมาจากบนฟ้าเสียอย่างนั้น
ภาพที่ฮ่องเต้ทรงโอบอุ้มสาวน้อยนางหนึ่งลงมาจากกลางอากาศสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนได้ไม่น้อยไปกว่ายามเมื่อครู่ที่สาวน้อยผู้นั้นกำราบปีศาจ
เหล่าองครักษ์ขยับเข้ามารายล้อมอยู่รอบองค์ฮ่องเต้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีเพียงสิบกว่าคน แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นดั่งกองทัพที่มีกำลังคนนับพัน
แรงกดดันนั้นตรึงผู้คนทั้งหมดเอาไว้กับที่ จนกระทั่งฝ่าบาทเสด็จออกมาจากกลุ่มฝุ่นควัน ปรากฎพระองค์ให้พวกเขาได้เห็นกันอย่างชัดเจน ผู้คนทั้งหลายถึงได้สูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
หลังจากนั้นทั้งหมดก็พากันคุกเข่าลงไป โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ออกมา
ที่ด้านหลังของฮ่องเต้คือกำแพงของตำหนักหยู่เฉียนกงที่ถล่มลงมาฝุ่นควันยังไม่ทันจางหายพระองค์ก็สาวพระบาทก้าวออกมาก่อน ดูคล้ายดั่งเป็นราชาปีศาจที่ออกมาทำลายล้างโลก
ดวงเนตรหงส์เย็นชาดั่งน้ำแข็ง ยามกวาดออกไปก็เย็นวาบไปทั่วทั้งบริเวณ
ชั่วขณะนั้นเอง ผู้คนทั้งหลายไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยสักคน แต่ละคนละรู้สึกหัวใจเต้นตูมตาม ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจริงๆ?
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพระองค์จะทรงเย็นชาประดุจน้ำแข็ง แต่ว่าครั้งนี้ใครๆ ต่างก็รู้สึกได้ว่า ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจริงๆ
เหยียนเฉียวหลัวพลันตระหนกขึ้นมา ครั้งก่อนที่นางเคยได้เห็นจีเฉวียนเป็นเช่นนี้ คือยามเมื่ออยู่ในสนามประลองกับสัตว์ร้ายของแคว้นต้าเหยียน
หนุ่มน้อยผู้นั้นหลั่งเลือดทั่วตัว ปากแผลบนร่างลึกจนถึงกระดูก แต่ก็ยังยืนหยัดจนถึงที่สุด เหยียบย่ำอยู่บนซากสัตว์อสูรนับร้อย ดวงเนตรหงส์คู่นั้นกวาดมองออกไปเหมือนดังในยามนี้ ทำให้หัวใจของทุกผู้คนต้องหวาดผวา
หนุ่มน้อยในปีนั้น วันนี้เติบโตกลายเป็นฮ่องเต้ของแคว้นหนึ่ง และพระพิโรธยังคงทำให้ผู้คนต้องเหน็บหนาวเช่นเคย
ตอนที่ 223 ก็แค่จีเฉวียนทรงยอมเป็นโล่...
นางเองก็นึกไม่ถึง ว่าตนเองจะได้มาเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้
ทั้งหมดนี้เพื่อตู๋กูซิงหลัน?
คนในดวงใจของเขา ไม่ใช่ซูหวงกุ้ยเฟยผู้นั้นหรอกหรือ?
ไยจึงจะต้องไปใส่ใจไทเฮาน้อยผู้นั้นมากถึงเพียงนี้?
ตู๋กูซิงหลันหันหน้าไปอีกทาง แทบจะเอาศีรษะซุกลงไปในอ้อมพระอุระของเขาจนหมด
วันนี้ตอนที่นางมาถึงตำหนักหยู่เฉียนกงนั้นก็สวมใส่ชุดดำตลอดทั้งร่าง เพียงแต่เส้นผมที่รวบสูงเป็นหางม้าตอนนี้หลุดลงมา กระจายอยู่ทั่วศีรษะ ตลอดร่างอาบไปด้วยโลหิต
ในเมื่อนางซ่อนใบหน้าเอาไว้ ผู้คนก็ไม่กล้ามองมากเกินไป เพียงแต่ในเมื่อซุกๆ ซ่อนๆ เช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจเท่านั้น
ทุกคนต่างก็คิดจะกราบกรานท่านเซียน แต่ท่านเซียนทำท่าคล้ายไม่อยากจะรู้จักผู้ใด
จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ดวงเนตรหงส์คู่นั้นกวาดมองไปยังฝูงชนด้วยความเย็นชาจนเกิดความเหน็บหนาวไปทั่ว
เหล่าพระสนมคุกเข่าอยู่รวมกันด้านหนึ่ง หัวใจของชาววังทั้งหลายต่างก็สั่นสะท้าน ทั้งๆ ที่เป็นต้นฤดูร้อนแล้ว แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเฉียบ
เหยียนเฉียวหลัวกุมหัตถ์ทั้งสองเอาไว้ ดวงเนตรของนางจดจ้องไปยังจีเฉวียน หลังเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นมา
“ฝ่าบาท คืนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ตอนแรกแผนที่กรุสมบัติของแคว้นเหยียนของข้าถูกขโมยไป หลังจากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าเกิดจากภูตผีปีศาจใดผุดขึ้นมา ยังดีที่ข้าไม่ได้อยู่ในตำหนักนั้น มิเช่นนั้นเกรงว่าจะกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อไปแล้ว”
เหยียนเฉียวหลัวทูลพลางก็ทำสีหน้าตื่นกลัวไปด้วย
“วังหลวงของต้าโจวถึงกับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ทำให้คนต้องขบคิดไปต่างๆ นานาจริงๆ”
ว่าแล้ว สายตาของนางก็พุ่งไปยังร่างของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมพระอุระ
“มิทราบว่าผู้ที่อยู่ในอ้อมพระอุระของฝ่าบาทที่จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่? ถึงได้สามารถกำราบศพคืนชีพผู้นั้นลงได้ ช่างเป็นการช่วยเปิดหูเปิดตาพวกเราจริงๆ เพคะ”
นางมิได้รีบร้อนชี้ตัวตู๋กูซิงหลัน แต่กล่าววาจาชักนำยืดยาว ค่อยตระเตรียมซัดหอกออกไป
ถึงแม้สีพระพักตร์จะเย็นชา แต่เหยียนเฉียวหลัวก็ดูออกว่า ขณะที่เขาอุ้มตู๋กูซิงหลันอยู่นี้ ระมัดระวังมากเพียงไหน
โอบเอาไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น ราวกับกลัวว่านางจะหล่นลงไป
นางไม่เคยเห็นจีเฉวียนปฎิบัติต่อผู้ใดด้วยความจริงจังถึงเพียงนี้มาก่อน
ในตอนนั้นเอง เหยียนเฉียวหลัวก็เข้าใจบางสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง
เรื่องของซูหวงกุ้ยเฟย จะต้องเป็นจีเฉวียนเอามาใช้เป็นโล่กำบังให้กับตู๋กูซิงหลันเป็นแน่
ต้นไม้ใหญ่เผชิญลมแรง เขาไหนเลยจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ดี
ที่ทำเป็นโปรดปรานซูหวงกุ้ยเฟยอย่างที่สุด ทั้งยังให้นางตั้งครรภ์องค์ชายใหญ่ ก็เป็นวิธีที่ใช้แสดงต่อสายตาผู้คน เพื่อปิดบังความรักที่เขามีต่อตู๋กูซิงหลัน
นางสมควรจะคิดได้ตั้งแต่แรก นางรู้จักเขาดีถึงขนาดนี้!
เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการอยู่ตลอด หากว่ารักใครสักคนเข้าจริงๆ ย่อมต้องครุ่นคิดหาวิธีการร้อยแปดมาปกป้องนาง มิใช่ว่าส่งนางออกไปเผชิญกับคลื่นลมที่โหดร้าย ให้นางต้องทนรับความริษยาทางสี่ทิศแปดทาง และหอกดาบในที่ลับอีกนับไม่ถ้วน
ตอนนี้มันชัดเจนเลยว่าซูหวงกุ้ยเฟยก็คือคนที่ต้องเผชิญกับคมหอกคมดาบทั้งในที่ลับและที่แจ้งแทน
ส่วนไทเฮาน้อยนั้น …….ก็แค่ถูกนินทาว่าร้ายไปบ้าง แต่ไม่ได้เป็นเภทภัยใดๆ กับนางทั้งสิ้น
พอคิดได้แล้ว เหยียนเฉียวหลัวก็ริษยาจนแทบคลุ้มคลั่ง
ความริษยาในครั้งนี้ยังรุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่จีเฉวียนทรงตรัสว่ามีคนในพระทัยแล้วเสียอีก
เนื่องเพราะว่านางรู้และเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมดเพื่อ “นางในดวงใจ” นั้นจะต้องใช้ความยากลำบากเพียงใด!
นางไม่อาจดับเพลิงริษยาที่ลุกโหมอยู่ในใจยามนี้ลงได้ เอาแต่คิดว่าจะต้องกระชากหน้ากากของตู๋กูซิงหลันออกมาให้ได้เท่านั้น
นี่ถึงจะเป็นหัวขโมยที่ชั่วร้ายที่สุด!
จีเฉวียนเพียงทอดพระเนตรมองดูนางอย่างเงียบๆ ในดวงเนตรทอประทายเย็นชาอย่างล้ำลึก พอทอดพระเนตรออกไป ก็ตรัสกับนางออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
เหยียนเฉียวหลัวตกตะลึง ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน “หม่อมฉันจะไปทราบว่านางเป็นใครได้อย่างไร? อยู่ห่างกันตั้งไกลขนาดนั้น เมื่อครู่ฝุ่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว จะมองอย่างไรก็มองไม่ชัด”
ว่าแล้วนางก็รีบกล่าวต่อไปว่า “แต่ว่าก่อนที่แผนที่ขุมทรัพย์ของหม่อมฉันจะหายไป ซิวก็พบเห็นว่าแม่นางน้อยผู้นี้บุกเข้ามาในตำหนักของหม่อมฉัน”
เหยียนเฉียวหลัวทูลแล้ว ก็หันมาส่งสายตาให้กับบุรุษข้างกายครั้งหนึ่ง
ซิวรีบก้าวออกมา ถวายคำนับจีเฉวียน “กราบทูลฝ่าบาท ตอนแรกกระหม่อมพบเห็นแม่นางผู้นี้บุกเข้าไปในตำหนักมีทั้งภายในห้องบรรทมขององค์หญิงก็มีขนไก่เส้นหนึ่งตกอยู่ด้วยพะยะค่ะ”
เหยียนเฉียวหลัวรีบล้วงเอาขนไก่ออกมา “ใช่ เป็นเส้นนี้เอง”
เป็นขนไก่สีดำขลับที่ทั้งยาวและแวววาวเส้นหนึ่ง
พอขนไก่เส้นนั้นปรากฏขึ้นมาผู้คนทั้งหมดก็พากันคิดไปถึงเจ้าไก่ดำในตำหนักเฟิ่งหมิงขึ้นมาในทันที เรื่องที่ไทเฮาทรงเลี้ยงดูไก่ตัวอ้วนที่ตะกละตะกลามเอาไว้ตัวหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ผู้คนในวังต่างก็รู้กันจนทั่ว
เจ้าไก่จอมอวดดีตัวนั้นลำพองไปทั่วทุกที่ วันนี้ไปจับหนอนที่วังนี้ พรุ่งนี้ไปปีนอยู่บนหลังคาของวังนั้น พวกเขาพบเห็นจนไม่ประหลาดใจอันใดอีกต่อไป
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เจ้าไก่นั่นจะกล้าตะกละถึงขนาดนี้ กระทั่งแผนที่สมบัติขององค์หญิงแห้งแคว้นเหยียนก็ยังกล้าขโมย?
หากจะบอกว่าเบื้องหลังของมันไม่มีผู้ใดชักจูง พวกเขาก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะว่าไก่ตัวหนึ่งจะไปรู้จักคุณค่าของแผนที่ขุมทรัพย์ได้อย่างไร?
หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันแอบมองดูสาวน้อยชุดดำในอ้อมพระอุระของจีเฉวียน
ตู๋กูซิงหลันซุกอยู่ในอ้อมอกของจีเฉวียน นางไม่กล้าส่งเสียงออกมา
ได้แต่ใช้ดวงตาดอกท้อที่มีประกายหยดน้ำคลออยู่เต็มจ้องไปยังเขา สื่อความหมายผ่านนัยตาออกไป
ไอ้ลูกชาย เจ้าต้องเชื่อแม่นะ!
ถึงแม้ว่าแม่จะรักสมบัติ แต่ก็ยังรู้จักเหตุผล เป็นแม่เลี้ยงแสนดีมีคุณธรรมผู้หนึ่ง!
จีเฉวียนเหลือบพระเนตรมองดูนางแวบหนึ่ง แสดงออกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกถึงแรงของนางที่คว้าฉลองพระองค์เอาไว้
ความรู้สึกที่ว่านางต้องการเขานั้น ทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างบอกไม่ถูก
สายพระเนตรที่มองดูตู๋กูซิงหลันแฝงความอ่อนโยน แต่ยามที่เงยพระพักตร์ขึ้นมามองดูเหยียนเฉียวหลัวกลับมีแต่ความเย็นชาอย่างที่สุด
“องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียน”
จีเฉวียนตรัสเรียกเหยียนเฉียวหลัวออกไปครั้งหนึ่ง
เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันที ถูกเขาเรียกชื่อเต็มเช่นนี้ นางตื่นตัวขึ้นมา รู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร
จากนั้นก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสเสียงต่ำๆ ว่า “ในแคว้นต้าโจวของเรา การโกหกนั้นย่อมต้องมีค่าตอบแทน”
เหยียนเฉียวหลัวหลั่งเหงื่อเย็นๆ ทั่วร่าง เดิมที่นางรู้สึกอิจฉาจนจะเป็นบ้า ยามนี้ในใจยิ่งรู้สึกว่าเพลิงริษยานั้นกำลังแผดเผาตัวนาง
นางอ้าปากขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไร ก็เห็นองครักษ์ของฮ่องเต้ลากหัวโล้นๆ ของศพคืนชีพผู้นั้นขึ้นมาจากซากปรักหักพัง
แผนที่ขุมทรัพย์ที่ถูกฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหล่นออกมาจากในอกเสื้อของศพคืนชีพผู้นั้นต่อหน้าต่อตาฝูงชนทั้งหมด
ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงไป!
ที่แท้ แผนที่ขุมทรัพย์แผ่นนั้นก็ถูกศพคืนชีพผู้นี้ขโมยไปนี่เอง!
ที่หยวนเฟยทรงคาดเดาเอาไว้ในตอนแรกนั้นก็ถูกต้องแล้ว
เช่นนี้แล้วไยองค์หญิงแห่งต้าเหยียนจะต้องมาโกหกกันด้วย?
เหยียนเฉียวหลัวมองดูแผนที่ที่แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในใจมีแต่ความเจ็บปวด นางกำพระหัตถ์เอาไว้จนแน่น ทั้งเจ็บใจและตกตะลึงจนกัดฟันกรอด
นางแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ฝ่าบาท นี่…..แผนที่ขุมทรัพย์นี่มาอยู่ที่ศพคืนชีพผู้นี้ได้อย่างไรกัน?”
“งั้นท่านหวังจะให้มันอยู่กับท่านเซียนหรืออย่างไร?” หยวนเฟยทนนางมานานแล้ว
เมื่อได้มองดูคนในอ้อมพระพาหาใกล้ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเงาหลังในชุดสีดำ นางก็มั่นใจว่า เป็นตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน
ยังดีที่พี่ชายของนางตู๋กูจุน มีบุญคุณช่วยชีวิตนางเอาไว้ นางย่อมต้องยืนอยู่ข้างตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน
หยวนเฟยกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ทุกสายตาที่มองไปยังเหยียนเฉียวหลัวเปลี่ยนไปทันที
“จะว่าไปก็แปลกมาก ศพคืนชีพผู้นั้นก่อนนี้ไม่เคยมา แต่พอท่านเข้ามาอยู่ในตำหนักหยู่เฉียนกงก็โผล่มาในทันที หรือว่ามันกับท่านมีเรื่องราวเกี่ยวพันอันใดที่ไม่อาจให้ผู้คนรับรู้อยู่?”
ตอนที่ 224 เราจะให้โอกาสเจ้าเพียงครั้...
เมื่อมีหยวนเฟยคอยสาดน้ำมันลงบนกองไฟอยู่ตลอดเวลา เหยียนเฉียวหลัวชิงชังจนอยากจะกระโดดถีบนางให้ตายไปเสียตอนนี้ซะเลย
นางกำหมัดจนแน่น ค่อยยิ้มออกมาบางๆ “หยวนเฟยตรัสเช่นนี้ออกจะประหลาดอยู่บ้างแล้ว แคว้นต้าโจวมีตัวประหลาดโผล่ออกมา กลับโยนเรื่องลงมาบนเศียรของเรา นี่นับเป็นเหตุผลอันใดกัน?”
ตรัสแล้วนางก็มองไปทางจีเฉวียน ยกหัตถ์ขึ้นมาถวายคำนับเขา “ฝ่าบาท เฉียวหลัวมาที่นี่ เพื่อผูกมิตรกับต้าโจว ความจริงใจนี้พระองค์ก็ทรงทราบดีอยู่แล้ว ไยตอนนี้จึงทรงปล่อยให้ผู้อื่นลบหลู่หม่อมฉันได้กัน?”
ทูลแล้ว ดวงเนตรของนางก็มีน้ำคลอหน่วยขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็รินไหลกลายเป็นหยาดน้ำตา มองไปยังจีเฉวียนด้วยความเศร้าที่ได้รับความอยุติธรรม คล้ายดั่งมีความในใจที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้
“องค์หญิงพะยะค่ะ…..” ซิวเห็นท่าทางของนางก็เจ็บปวดใจแทน
“เป็นเพราะกระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่เพียงทำให้องค์หญิงทรงสูญเสียแผนที่ขุมทรัพย์ในวังหลวงของต้าโจว ทั้งยังต้องมาถูกหลู่พระเกียรติเช่นนี้ ขอทรงส่งข่าวกลับไปยังแคว้นเหยียน ให้ฮ่องเต้ของพวกเราตัดสินความเถอะพะยะค่ะ”
เหยียนเฉียวหลัวฟังแล้ว ก็ปาดเช็ดน้ำตา “เรื่องราวยังไม่หนักหนาถึงเพียงนั้น เชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องทรงจัดการให้ข้าอย่างแน่นอน”
นางหนึ่งทรงปาดเช็ดน้ำตาทางหนึ่งก็เหลือบมองจีฉวน นางรู้ดีว่าจีเฉวียนให้ความสำคัญกับบ้านเมืองอยู่เหนือสิ่งใด เมื่อซิวกล่าวออกไปเช่นนี้ จีเฉวียนก็ยิ่งต้องคำนึงถึงสถานะของแว่นแคว้น เขาย่อมรู้ดีว่าสมควรจะทำเช่นไร
ต่อให้เขาชอบตู๋กูซิงหลันแล้วอย่างไร ยังจะกล้าทำลายความสัมพันธ์ของสองแคว้นเพื่อนางหรือ?
เขาย่อมต้องรู้ว่า ตอนนั้นเพราะต้าโจวอ่อนด้อยที่สุดในสามแคว้น เขาจึงต้องไปเป็นองค์ประกันนานถึงสิบปีเพื่อแลกกับความสงบสุขของต้าโจว ความทุกข์ทรมานตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้แต่ต้องอดทนโดยมิอาจขัดขืน แล้วไหนเลยจะมายอมสูญเสียมันไปง่ายๆ
เหยียนเฉียวหลัวมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม นางยืนตัวตรงประดุจพู่กัน มิให้ศักดิ์ศรีความเป็นองค์หญิงแห่งต้าเหยียนของตนเองต้องหมองหม่นไป
สายพระเนตรของจีเฉวียนยังคงเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง พอนางกล่าวจบสิ้นก็ทรงแย้มยิ้มเย็นชาออกมา เขาโบกพระหัตถ์น้อยๆ เหล่าองครักษ์ลับก็ลากศพคืนชีพผู้นั้นเข้ามาในทันที
แม้ว่าศพคืนชีพชราผู้นั้นจะศีรษะแตกและกระดูกหักทั่วทั้งร่าง แต่ก็เป็นเหมือนดั่งเสียนไท่เฟยเป็นศพมีชีวิตที่ไม่หลั่งเลือด บนใบหน้าของศพคืนชีพชราผู้นั้นเกลื่อนไปด้วยเลือดสีดำ ศีรษะแตกยับจนเป็นรู ใบหน้าที่เดิมก็น่าตระหนกอยู่แล้วยามนี้ยิ่งดูน่าหวาดผวากว่าเดิม
ร่างของเขาที่ผิดรูปจนแปลกประหลาดถูกคนควบคุมตัวเอาไว้ สองขาหักจนกระดูกแหลก ทั่วร่างมีไอสีดำกำจายออกมาทั้งบนและล่าง
ผู้คนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะขยับถอยออกไป แต่ละคนพอคิดถึงฉากเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ยังคงหวาดกลัวไม่หาย
กระดูกหักถึงเพียงนี้ก็ยังไม่ตาย ตัวประหลาดเช่นนี้น่ากลัวจริงๆ
ศพคืนชีพผู้นั้นถูกองครักษ์ลับกดเอาไว้กับพื้น แต่ยังคงผืนร่างกายลืมตาขึ้นมา มองดูสถานการณ์โดยรอบ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตนเองจะต้องมาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเด็กสาว
ประด็นสำคัญคือนางถึงกับใช้พลังทั้งหมดของหยกสรรพชีวิตมาเล่นงานเขา!
ที่ผ่านมาต่อให้เขาต้องเจอกับพวกเดียวกันที่เ**้ยมโหดที่สุดก็ยังไม่ร้ายกาจเท่านาง
“เราจะให้โอกาสเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ทอดพระเนตรดูศพคืนชีพแวบหนึ่งอย่างเย็นชา
ยามที่สายพระเนตรกวาดออกไป ประกายเย็นยะเยือกในดวงเนตรก็สาดวาบออกมา
ไม่มีผู้ใดเห็นว่า ยามที่องครักษ์ลับลากตัวศพคืนชีพออกมานั้น ก็ได้แทงเข็มเข้าไปด้านหลังกระหม่อมของเขาเล่มหนึ่ง
เดิมทีศพคืพชีพผู้นั้นก็ไม่ได้รู้ถึงความเจ็บปวดอันใด แต่ยามนี้เมื่อเขาอ้าปากขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหัวสมองปวดร้าว
ดวงตาสีดำที่ไม่เหลือกระทั่งลูกตาขาวมีเลือดสีดำซึมออกมา
แต่ในเมื่อทั้งหมดเป็นสีเดียวกัน ย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
เข็มที่ฝังอยู่ในหลังกระหม่อมสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเขา เมื่อจีเฉวียนทรงทอดเนตรมองอย่างเฉยชา ปากของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นเอ่ยออกไปว่า “องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียน ไยเจ้าต้องข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน”
แค่ประโยคเดียว กลับทำให้คนทั้งหมดต้องตกตะลึง!
สีพระพักตร์ของเหยียนเฉียวหลัวย่ำแย่อย่างที่สุด นางแทบจะกระโดดออกไป
“ไอ้เฒ่าประหลาด ไยเจ้ากล้าใส่ความองค์หญิงเช่นเรา? เรากับเจ้าไม่รู้จักมักคุ้นกัน เจ้าทำเช่นนี้เพื่อให้ผู้ใดดู? บอกมา ใครหนุนหลังเจ้า? เป็นไทเฮา?”
นางพูดพลาง ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปเหลือบมองคนในอ้อมแขนของจีเฉวียน
นังคนที่พอมีเรื่องก็เอาแต่หลบอยู่ในอ้อมอกของผู้อื่น นับว่าเป็นตัวอะไร?
กล้าเล่นงานนางแต่ไม่กล้าออกมายอมรับ ช่างเป็นขยะที่ไร้ยางอายจริงๆ
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ไม่เข้าใจ ว่าอยู่ดีๆ ทำไมนางต้องไปพาดพิงถึงไทเฮาน้อยด้วย
อ๋อ…. หรือจะเป็นเพราะขนไก่สีดำที่ตกอยู่ในห้องของนาง หากว่าเรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนออกมา ไทเฮาน้อยย่อมไม่อาจสลัดความเกี่ยวข้องทิ้งไป
แต่ว่าประเด็นที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่านางและศพคืนชีพมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันหรอกหรือ?
องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนผู้นี้ ดูไปแล้วก็สวยดีอยู่ แต่พระทัยกลับร้ายกาจ รำไม่ดีโทษว่าผู้อื่น
“แล้วสิ่งนี้ จะอธิบายว่าอย่างไร” เหยียนเฉียวหลัวหยิบขนไก่สีดำขึ้นมา เสด็จไปถึงเบื้องหน้าจีเฉวียน คล้ายจะถามเอาความกับเขา
เดิมทีนางคิดว่าด้วยความสัมพันธ์นานปีของพวกเขา ต่อให้เขาไม่ปกป้องนางอย่างน้อยๆ ก็คงไม่ทำให้นางต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ใครจะไปนึก ว่าเขาจะไม่ไว้หน้านางถึงขนาดนี้!
คนในวังทั้งหลายเห็นเหยียนเฉียวหลัวยังคงไม่ยอมรับผิด ทั้งยังทำท่าอาละวาดออกมา แต่ละคนก็เคร่งเครียดกว่าเดิม กระทั่งศีรษะยังมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา
คิดๆ ดูแล้ว ต่อให้เป็นไทเฮาน้อยที่ชอบหาเรื่องตาย เกรงว่าก็คงยังไม่กล้าถามเอาความกันต่อหน้าฝ่าบาทเช่นนี้
สมแล้วที่เป็นพระธิดายอดดวงใจของฮ่องเต้แคว้นเหยียน ถือทิฐิน่าดู
จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง เขายังคงอุ้มสตรีในอ้อมแขนเอาไว้ อุ้มมานานก็ไม่มีท่าทีจะเมื่อยล้า
“ดูท่าเจ้าคงคิดจะให้ตัวประหลาดผู้นี้รับผิดไปแต่ผู้เดียวสินะ” ทรงตรัสออกไปประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ประโยคนี้สำหรับศพคืนชีพแล้ว ราวกับคำสั่งเอาชีวิต
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด ยามนี้พอฮ่องเต้ตรัสถามอะไรออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะตอบออกไป ราวกับไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทั่วทั้งร่างราวกับถูกควบคุมเอาไว้หมด
เขาอ้าปากขึ้นมา ยังไม่ทันจะพูดออกไป ก็ได้ยินเสียง “กะกะกะต๊าก”
ท่ามกลางค่ำคืน เสียงกะต๊ากนี้ดังก้องออกไป
คนในวังทั้งหมดหันสายตาไปมองดู ทันทีที่หันไปก็เห็นว่าภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง เจ้าไก่ขนฟูที่ตัวใหญ่ประมาณนกกระจอกเทศก็ขยับปีกโผเข้ามา
ที่ด้านหลังของมันยังมีเงาร่างสีแดงเพลิงผู้หนึ่ง
ซูหวงกุ้ยเฟย
หวงกุ้ยเฟยผู้นี้ยังคงงดงามจนหยาดเยิ้มเหมือนดังเก่า แม้เส้นผมจะดูกระเซอะกระเซิงไปบ้าง ก็ยังคงเย้ายวนทั้งคนและผีได้อย่างบอกไม่ถูก
“กะ กะ กะต๊าก กะต๊าก กะต๊าก!” พอเจ้าไก่ขนดำมาถึง ก็ตีปีกกวาดมองไปทางตำหนักหยู่เฉวียนกงครั้งหนึ่ง พอกวาดตากลับมาก็จดจ้องอยู่ที่เหยียนเฉียวหลัวกับศพคืนชีพ
เฮียไก่รู้สึกแล้วว่าไหวพริบของมันถูกคนลอบกระทืบอย่างโหดเ**้ยม
มันถูกลอบเล่นงานเข้าแล้ว!
เพราะตัวมัน จึงเป็นสาเหตุให้พี่สาวตัวน้อยต้องบาดเจ็บอย่างสาหัสเช่นนี้!
ไอ้พวกคนเลวที่สมควรจิกให้ตายสักพันครั้ง!
น้อยนักที่น้ำเสียงของมันจะแสดงความรวดร้าวเช่นนี้ออกมา ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองของมันก็เปี่ยมไปด้วยไอสังสาร
พอตู๋กูซิงหลันได้ยินเสียงของเจ้าติ๊งต๊อง ก็ยิ่งอยากจะหันศีรษะออกไป เจ้าไก่โง่นั่นเลือดร้อน นางกลัวว่าพอมันระเบิดอารมณ์ขึ้นมา ก็จะเผาวังหลวงไปครึ่งหนึ่ง
พึ่งจะขยับศีรษะหน่อยเดียว ก็ถูกฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตของจีฉวนจับให้หันกลับไป
ใบหน้าของนางจมอยู่ในอ้อมอกของเขา ที่หายใจเข้าไปล้วนเป็นกลิ่นอายจากร่างของเขาทั้งสิ้น
เย็นมาก แต่ก็ทำให้คนรู้สึกสงบใจได้อย่างแปลกๆ
จากนั้นซูเม่ยก็รีบตามมาติดๆ
เขามองดูเหยียนเฉียวหลัวอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง ก็ปั้นท่าพระสนมเอกประจำตัวออกมา “ฝ่าบาท หม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์มังกร ดึกดื่นค่อนคืนองค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนผู้นี้ก็ลุกขึ้นมาเอะอะโวยวาย ทำเอาจิตใจของหม่อมฉันไม่สงบ นี่เป็นเพราะนางหวังจะให้ครรภ์มังกรไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่เพคะ?”
——
คุยกันนิดนึง:
อาหลันคะ เจ็บแล้วก็พักไปลูก ฉากนี้นอนดูก็พอ หนูปล่อยเวทีให้คนอื่นบ้างนะคะ
เหยียนเฉียวหลัว (燕乔萝) : แซ่เหยียนตัวนี้เป็นคำเดียวกันกับ燕子 ที่แปลว่านกนางแอ่น นกตัวกระจิ๊ดกล้ามาจิกหลังเฮียไก่ ระวังเอาไว้เถอะ จะไม่เหลือ ไรท์เตือนแล้วนะ (นี่เรียกว่าสปอย์ไหม?)
ตอนที่ 225 ฝ่าบาททรง ‘ประนีประนอม’ ?
ซูเม่ยว่าพลาง ก็โผเข้าไปที่ข้างกายจีเฉวียน นางลูบท้องตนเอง ทำท่าทำทางออดอ้อนออกมา “ฝ่าบาท องค์ชายน้อยไม่สบายพระองค์ เอาแต่ทำหม่อมฉันเจ็บตลอดเลยเพคะ”
ผู้คนทั้งหลาย “!!!”
หากว่าพวกเขาจำได้ไม่ผิดละก็ ฝ่าบาทพึ่งจะทรงประกาศเรื่องที่หวงกุ้ยเฟยทรงพระครรภ์ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เองไม่ใช่หรือ?
องค์ชายน้อยสมควรตัวไม่ใหญ่ไปกว่านิ้วแม่มือละมั้ง ยังจะทำให้นางเจ็บปวดได้อย่างไร?
ซูกุ้ยเฟยตั้งพระทัยจะมาหาเรื่องชัดๆ!
นับตั้งแต่ที่หวงกุ้ยเฟยผู้นี้ตั้งครรภ์ นางก็ปิดประตูอยู่แต่ในตำหนักชุ่ยเวยมาโดยตลอด นี่จะต้องเป็นเพราะนางได้ข่าวว่าองค์หญิงแคว้นเหยียนมาถวายสมบัติและจะอภิเษกให้ฝ่าบาท ถึงได้ร้อนใจขึ้นมา
ดังนั้นจึงฉวยโอกาสที่คืนนี้ในวังเกิดความวุ่นวาย ออกมาสำแดงศักดานุภาพให้องค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนได้ประจักษ์เสียก่อน
“ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงแคว้นเหยียนอะไรนั่น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีความประสงค์ดี คิดจะทำร้ายครรภ์มังกรของหม่อมฉัน พระองค์ต้องทรงจัดการให้หม่อมฉันนะเพคะ!” ซูเม่ยกล่าวอย่างไม่มีอาย ทั้งยังกระตุกชายฉลองพระองค์ ด้วยลีลาสนมรักตัวร้าย
ขณะที่กระตุกชายแขนฉลองพระองค์ เขาก็แอบมองดูตู๋กูซิงหลันในอ้อมพระหัตถ์อยู่หลายรอบ
เห็นริมฝีปากนางมีเลือดไหลซึมออกมา หัวใจของเขาก็เจ็บปวดจนเต้นผิดจังหวะ
เคราะห์กรรมเข้าหาแล้วจริงๆ นับตั้งแต่ที่บิดามารดาผู้ประเสริฐรู้ว่าเขา ‘ตั้งครรภ์แล้ว’ ก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ มารดายิ่งร้องไห้ไปควานหาเชือกจะเอามาผูกคอตาย
วันนี้ยิ่งอาละวาดกันยกใหญ่ ตลอดหลายวันนี้เขาต้องคอยเฝ้าอยู่แต่ในพระตำหนักของหย่งเฉิงอ๋อง ถึงพอจะปลอบใจพวกเขาได้บ้าง
หากมิใช่ว่าคืนนี้ในวังเกิดเรื่องอึกทึกคึกโครม เกรงว่าตอนนี้เขาก็คงยังอยู่ในตำหนักอ๋อง
พอกลับถึงตำหนักตนเองก็ได้ยินหยู่ฟู่นางกำนัลคนสนิทบอกเรื่องที่เกิดขึ้นมาอย่างคร่าวๆ
เขาไม่ต้องใช้เท้าคิดแทนหัวก็รู้แล้วว่า อาหลันเกิดเรื่อง
ดังนั้นจึงรีบมาให้ความช่วยเหลือ และถือโอกาสหอบหิ้วไอ้ไก่ปัญญาอ่อนนั่นมาด้วย
ตอนนี้พอมองเห็นนางนอนอ่อนเปลี้ยอยู่ในอ้อมแขนของฮ่องเต้ หัวใจของเขาก็เหมือนมีเลือดไหลออกมา
ครั้งก่อนเป็นเพราะไอ้เฒ่าศพคืนชีพผู้นี้ นางจึงได้รับบาดเจ็บ โดนพิษ ทั้งยังเกือบแยกจิตออกจากร่าง
ครั้งนี้ก็เป็นเพราะไอ้ตัวประหลาดนี้อีก ทำให้นางเกือบตาย!
ดวงตาของซูเม่ยเปล่งประกายสีแดงออกมาจางๆ
คนที่ทำร้ายอาหลัน! ไม่อาจปล่อยไปแม้แต่ผู้เดียว!
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนกอดไว้ ทั้งยังไม่อาจเงยหน้าขึ้นมามองเขา พอได้ยินคำพูดของซูเม่ยเมื่อครู่ นางก็ชักจะเป็นห่วงหลานชายของตนเองขึ้นมา
เห็นๆ อยู่ว่าอีกเพียงแค่แปดเก้าเดือนนางก็จะมีหลานน่ารักไร้ที่ติอีกคนหนึ่ง ยามปกตินางก็แทบจะยกซูคนงามให้เป็นบรรพบุรุษของตนเองอยู่แล้ว นางจะยอมให้ซูเม่ยรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
แต่เพราะจีเฉวียนมีเรี่ยวแรงมากเกินไป กอดแน่นไม่ยอมให้นางได้หันหน้าไปดูบ้างเลยสักนิด
ฮ่องเต้ทรงกวาดพระเนตรมามองดูซูเม่ยแวบหนึ่ง ไอเย็นบนร่างก็คลายลงหายส่วน บรรยากาศรอบพระองค์ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา
“องค์ชายใหญ่ล้ำค่าเกินใดจะเปรียบ หวงกุ้ยเฟยต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าได้พลั้งเผลอไป” ยามที่ตรัสกับซูเม่ย สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็อ่อนโยนขึ้นมาอีกหลายส่วน
ยามนี้ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็อิจฉาริษยากันยกใหญ่
ไม่รู้ว่าชาติก่อนซูหวงกุ้ยเฟยสวดมนต์ไหว้พระขอพระโพธิ์สัตว์อย่างยากลำบากเพียงไร? จึงทำให้ชาตินี้ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทถึงเพียงนี้
ดูเอาเถอะ ในวังหลังทั้งหมด ฝ่าบาททรงเคยแสดงความอ่อนโยนต่อผู้ใดถึงเพียงนี้บ้าง?
“ฝ่าบาท หม่อมฉันระมัดระวังมากแล้วนะเพคะ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจห้ามไม่ให้มีคนประสงค์ร้ายต่อครรภ์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำสิ่งใดได้เล่าเพคะ?” ซูเม่ยยังคงกระตุกชายแขนฉลองพระองค์ต่อไป เขาพูดพลางก็เหลือบมองดูเหยียนเฉียวหลัวไปพลางๆ
เหยียนเฉียวหลัวหันมาสบตาเข้ากับนางพอดี ก่อนหน้านี้นางก็เคยเห็นภาพเหมือนของซูเม่ยมาแล้ว ตอนที่เห็นภาพก็รู้สึกว่าสตรีผู้นี้เย้ายวนเกินกว่าคนทั่วไป ตอนนี้พอได้เห็นตัวจริง ก็ยิ่งรู้สึกว่างดงามเย้ายวนจนใครก็ไม่อาจคลาดสาย
มิน่าเล่า…. นางถึงได้ถูกจีเฉวียนเลือกเป็นเป้าธนู
อิสตรีไหนเลยจะไม่มีจิตริษยาได้?
พวกนางย่อมริษยาสตรีที่มีความงามเหนือกว่าตนเอง
เป้าธนูเช่นซูเม่ยนี้ นับว่าจีเฉวียนเลือกได้ดีเยี่ยม
“มองทำไม? นี่เจ้าแอบสาปแช่งข้าอยู่ในใจหรือไม่ ทั้งยังแช่งองค์ชายของข้าด้วยใช่ไหม?” ซูเม่ยไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย
สตรีที่ตั้งครรภ์มักจะอารมณ์ไม่ดี ทุกคนต่างก็สามารถเข้าใจได้ แต่ดูอย่างไรซูหวงกุ้ยเฟยผู้นี้ก็เหมือนได้รับความโปรดปรานมากจนกลายเป็นความผยองแล้ว
แต่เพราะนางตั้งครรภ์องค์ชายใหญ่….ฝ่าบาทจะใส่พระทัยมากหน่อยก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่
“กะกะกะต๊าก!” เจ้าไก่ขนดำก็ส่งเสียงด้วยความขุ่นเคือง แล้วยังหรี่ตามองดูเหยียนเฉียวหลัวและขนไก่สีดำในมือของนางอีกด้วย
พอได้ยินเสียงของมัน เหยียนเฉียวหลัวถึงได้คืนสติกลับมา
พอเจอเป้าธนูอย่างซูเม่ยเข้าไป นางก็เกือบจะทำเป้าหมายของตนเองหล่นหายเสียแล้ว
เหยียนเฉียวหลัวกลับมายืนตรงดุจพู่กันดังเดิม ในมือของนางถือขนไก่สีดำเอาไว้ในมือ พลางทูลจีเฉวียนออกไปว่า “ฝ่าบาทเพคะ ซูหวงกุ้ยเฟยทรงครรภ์ พื้นอารมณ์แปลกไปบ้างเฉียวหลัวไม่โทษว่านาง”
“ตอนนี้เจ้าไก่ดำนั่นก็อยู่ในที่นี้พอดี ขอเพียงเปรียบเทียบขนไก่ในมือของเฉียวหลัวกับขนที่อยู่บนตัวของเจ้าไก่นั่น ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าไทเฮาทรงบริสุทธฺ์หรือไม่”
“ไทเฮาแห่งต้าโจวศักดิ์ฐานะสูงส่ง ฝ่าบาทเองก็ให้ความสำคัญกับความกตัญญู คิดว่าจะต้องไม่ทรงยอมให้ไทเฮาต้องทรงถูกปรักปรำหรอกใช่ไหมเพคะ?”
“ดังนั้นขอฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้ตรวจสอบขนไก่ด้วยเพคะ”
ขนไก่เส้นนี้…….ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
อีกประเดี๋ยว นางในดวงใจของจีเฉวียนจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่
“กะกะกะต๊าก!” พอเจ้าติ๊งต๊องเอียงคอมองดูขนเส้นนั้น แล้วก็มองดูขนปีกของตัวเอง มันก็ ‘คล้ายๆ’ จะเกิดอาการ ‘ปอดแหก’ ขึ้นมา
เมื่อครู่มันยังทำท่าฮึกเหิมอยู่หยกๆ แต่ว่าตอนนี้กลับถอยหลังไปก้าวเล็กๆ ก้าวหนึ่ง ท่าทางหวาดกลัวการตรวจพิสูจน์อยู่บ้าง
“ทูลฝ่าบาท ร่างจริงย่อมไม่กลัวเงาลวงจะเหนือกว่า ขออย่าได้ทรงถือโทษที่องค์หญิงของพวกเรามีข้อสงสัย เพราะเจ้าเฒ่าศพคืนชีพผู้นี้เดิมทีก็เป็นตัวประหลาด คำพูดของเขาไม่อาจเชื่อถือได้ หลักฐานก็อยู่ที่นี่แล้ว ขอเพียงได้พิสูจน์ต่อหน้า ทุกอย่างย่อมกระจ่างแจ้ง” ซิวก้าวออกมาทูลแทนเหยียนเฉียวหลัว
ฮ่องเต้ทรงทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สายพระเนตรจับจ้องอยู่บนเจ้าไก่ขนสีดำนั่น พอเห็นมันก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับตู๋กูซิงหลันอย่างยิ่ง
จากหยิ่งผยองเปลี่ยนเป็นปอดแหกช่างเร็วเพียงพริบตา
เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูสตรีในอ้อมแขนอีกแวบหนึ่ง เจ้าของเป็นอย่างไรก็เลี้ยงไก่ออกมาได้อย่างนั้นจริงๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงยอม ‘ประนีประนอม’
สีพระพักตร์ยังคงเย็นชา ทรงทอดพระเนตรมองเหยียนเฉียวหลัว “เจ้าคิดจะพิสูจน์อย่างไร?”
“ถอนขนจากตัวมันมาเส้นหนึ่ง แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกันให้ดีก็รู้แล้วมิใช่หรือเพคะ?” เหยียนเฉียวหลัวยินดีขึ้นมา นางรู้อยู่แล้ว จีเฉวียนจะต้องไม่ลงมือเล่นงานนางหรอก
จะอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิงของแคว้นเหยียน ทั้งยังมีความผูกพันกับเขามาตั้งนานหลายปี
คราวนี้ ฝ่าบาททรงรับปากอย่างง่ายดาย “ได้”
เหยียนเฉียวหลัวอารมณ์ดีขึ้นมาก
แต่ว่าครู่เดียวก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
เขามิใช่ว่าต้องการจะปกป้องตู๋กูซิงหลันจนถึงที่สุดหรอกหรือ ทันทีที่พิสูจน์ว่าขนไก่นี้เป็นแบบเดียวกับขนบนตัวเจ้าไก่นั่น ย่อมไม่เกิดผลดีกับตู๋กูซิงหลันอย่างแน่นอน
นางมองดูซูเม่ยที่ยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน พอคิดถึงท่าทางของนางเมื่อครู่ที่สุดแสนจะถือดีเพราะเป็นที่โปรดปรานก็อดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา
หรือว่านางจะคาดเดาผิดไป?
ที่แท้แล้วคนในดวงใจของจีเฉวียนก็คือซูเม่ย?
เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น ก็เห็นองครักษ์ลับของฝ่าบาทเข้าไปจับตัวเจ้าไก่ดำต่อหน้าฝูงชน แล้วถอนขนออกมาจากก้นของมันเส้นหนึ่ง
เจ้าไก่ขนดำเจ็บจนหันศีรษะกลับมา มันโกรธมากจนตะกุยอุ้งเท้าลงไปบนพื้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น