อัจฉริยะสมองเพชร 2214-2219

ตอนที่ 2214 นี่มันผิดกฎ

 

“อย่างที่รู้กันทั่วไป มี 2 เส้นทางหลักในการก้าวไปสู่วรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง เส้นทางแรกคือผ่านสายเลือดบริสุทธิ์ ด้วยสายเลือดอันบริสุทธิ์ ต่อให้นักรบผู้นั้นไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธสักเท่าไหร่ ก็จะยังฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์มังกรแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ ผู้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์จะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างเมื่ออายุล่วงเข้าวัยผู้ใหญ่ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเป็นที่อิจฉาตาร้อนของนักรบที่เป็นมนุษย์ทั่วไป เช่นเดียวกันกับทายาทรุ่นแรกผู้สืบเชื้อสายจากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ พวกเขาจะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วนทายาทรุ่น 2 ความเป็นไปได้จะลดลงไปอยู่ที่ 90% และรุ่น 3 ความเป็นไปได้จะลดลงจนเหลือเพียง 80%…โดยทั่วไป เมื่อสายเลือดถูกส่งต่อสืบทอดกันไปเรื่อยๆ ก็มีแต่จะเบาบางลง จนกระทั่งเมื่อถึงวันหนึ่ง โอกาสของการได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบทั่วไป”


“สายเลือดของนักรบคนหนึ่งถูกกำหนดไว้แต่กำเนิด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมันได้ ดังนั้นนักรบส่วนใหญ่จึงพึ่งพาได้เฉพาะเส้นทางที่ 2 ในการฝ่าด่านวรยุทธ ซึ่งก็คือการฝึกฝนวรยุทธนั่นเอง ปฏิเสธไม่ได้ว่าการฝึกฝนวรยุทธเพื่อก้าวไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งผมก็มั่นใจว่าพวกคุณส่วนใหญ่เห็นด้วยในข้อนี้ ไม่เพียงแต่นักรบจะต้องเสาะหาเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเอง ยังต้องมีความมั่นใจและความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นอย่างไม่คลอนแคลน ทั้งยังต้องอาศัยความโชคดีไม่น้อย รวมแล้ว มีนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงไม่ถึงหนึ่งในร้อยคนที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้สำเร็จ”


“ด้วยเหตุนี้ วรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างจึงไม่ใช่สิ่งที่ได้กันมาง่ายๆ อันดับแรก ผมจะขอกล่าวถึงกรรมวิธีที่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงทั่วไปใช้ในการยกระดับวรยุทธ…”


ฟ่านเจ๋อตั้งต้นบรรยาย


หลังจากฟังไปได้ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า


แม้บทเรียนที่ฟ่านเจ๋อเตรียมไว้ออกจะหนักทฤษฎีไปสักหน่อย ทำให้ผู้ฟังเกิดอาการเบื่อได้ง่าย แต่ความรู้ที่เขาถ่ายทอดออกมานั้นถือว่าตรงประเด็น เขาแสดงให้เห็นภาพรวมก่อนจะวิเคราะห์รายละเอียดทีละจุด อีกทั้งข้อมูลที่รวบรวมมาก็ละเอียดถี่ถ้วน สำหรับผู้ที่ใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วย่อมได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากการฟังบทเรียนของเขา


หลังจากฟังการบรรยายไปสักครู่ จางเซวียนก็ได้รับความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าการได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างนั้นมีความสำคัญอย่างไร


แต่นอกเหนือจากนั้น เนื้อหาการบรรยายส่วนใหญ่คือสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ฟังต่อ


จางเซวียนลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวจะออกจากห้องบรรยาย แต่แล้วประตูที่ปิดสนิทก็ระเบิดตูม


ฟึ่บ!


จากนั้น สองร่างก็ก้าวเข้ามาในห้องบรรยาย คนที่เดินนำหน้าเป็นชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ สวมชุดเกราะสีเงิน การเคลื่อนไหวของเขาดูขึงขัง สายตาเฉยชาสอดส่ายไปทั่วห้อง


มองแวบเดียวก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคือนายทหารผู้ช่ำชองสนามรบ


ที่เดินตามหลังคือชายหนุ่มหน้าตาซีดเซียวคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างบอบบาง รังสีของเขาอ่อนระโหยโรยแรง บ่งบอกว่าได้รับความบอบช้ำภายในอย่างสาหัส แม้เขาจะยังไม่ใกล้ตาย แต่ความบอบช้ำที่ได้รับก็น่าจะทำให้การยกระดับวรยุทธในอนาคตเป็นไปได้ยาก


“นายพลเกราะเงินแห่งกองทัพ!”


“เขาจะต้องมีวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางเป็นอย่างน้อยถึงจะได้เป็นนายพลเกราะเงินใช่ไหม?”


“ก็ไม่เชิงนะ นอกจากวรยุทธที่ทรงพลัง ยังต้องสำแดงประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือชั้นและทำคุณงามความดีอย่างใหญ่หลวงต่อกองทัพ…”


“แล้วคนระดับนั้นมาที่นี่ทำไม?”


“นั่นลูกชายของเขา เพราะลูกชายของเขาไม่เชี่ยวชาญวรยุทธสักเท่าไหร่ จึงถูกสถาบันการศึกษาต่างๆในเมืองหลวงปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจพาลูกชายมาร่ำเรียนกับอาจารย์ฟ่านเจ๋อ…”


เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทั่วห้อง


“นายพลเกราะเงิน?” จางเซวียนพึมพำขณะประเมินชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า


ก็จริง เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่สั่นระริกอยู่ในร่างกายของอีกฝ่าย ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เขาน่าจะทรงพลังกว่าหมิงไล่เชียงกับคนอื่นๆหลายเท่า


“คุณคือฟ่านเจ๋อใช่ไหม?”


นายพลเกราะเงินเดินตรงไปที่ใจกลางห้องบรรยายขณะหรี่ตามองฟ่านเจ๋อ การปรากฏตัวของเขาฉายความโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน


“ใช่ ผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง?” ฟ่านเจ๋อตอบ


“คุณมันอาจารย์ห่วยแตก! วันนี้แหละ ผมจะสั่งสอนบทเรียนให้คุณที่พาลูกชายของผมไปในทางผิดๆ!”


นายพลเกราะเงินคำรามกร้าว เขากระโจนพรวดเข้าไปและปล่อยหมัดใส่ฟ่านเจ๋ออย่างจัง


แม้ยังอยู่ระหว่างการเคลื่อนไหว แต่พละกำลังจากหมัดของเขาก็บีบอัดอากาศโดยรอบอย่างหนัก จนถึงขนาดที่เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง


“คุณ…”


ฟ่านเจ๋อผงะ เขารีบถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว


โครมมมม!


คลื่นความสั่นสะเทือนของหมัดนั้นทรงพลังถึงขนาดทำลายโพเดียมไม้ด้านข้างจนยับเยิน ฟ่านเจ๋อรีบยกแขนขึ้นเพื่อตอบโต้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ถึงกฎเกณฑ์ของสภาปรมาจารย์ ก็กัดฟันและเปลี่ยนไปใช้ท่าเตรียมพร้อมเพื่อการป้องกันตัว


พลั่ก!


เขาถูกเล่นงานอย่างจังที่หน้าอก และกระเด็นไปจนหลังกระแทกกำแพง เลือดสดๆกระอักออกมา


ในแง่พละกำลัง ตัวเขาถือว่าทัดเทียมกับนายพลเกราะเงิน แต่สำหรับประสบการณ์ในสนามรบ นายพลเกราะเงินผ่านความโหดร้ายกระหายเลือดมามากมายจนทำให้ยากที่ใครจะเล่นงานเขาได้


ไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้ากับอสูรที่กำลังคลุ้มคลั่ง


“ช้าก่อน!”


“ถ้าคุณมีปัญหาอะไร เราคุยกันได้นะ”


“คุณทำอะไรน่ะ? นี่มันผิดกฎ!”


ถึงตอนนี้ คนอื่นๆในห้องบรรยายต่างก็หายจากอาการตกตะลึง พ่อแม่ 2-3 คู่รีบพุ่งออกไปเพื่อรั้งตัวนายพลเกราะเงินไว้


นายพลเกราะเงินตวาดก้องด้วยความโมโห “พวกคุณคิดว่ากำลังทำอะไร? อาจารย์ห่วยแตกคนนี้ไม่คู่ควรจะได้มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อีกแล้ว!”


ฟ่านเจ๋อกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เขารีบสูดหายใจลึกเพื่อเรียกพลังงานกลับคืนมาก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับนายพลเกราะเงิน


“ขออภัยด้วยเถอะ คุณพ่อ, แต่ถ้าคุณอยากฆ่าผม อย่างน้อยก็ควรบอกผมให้รู้ตัวว่าผมทำอะไรผิด และเปิดโอกาสให้ผมอธิบาย!”


เขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นชายวัยกลางคนผู้นี้มาก่อน


ส่วนนายพลเกราะเงินก็โมโหหนักกว่าเดิมเมื่อพบว่าฟ่านเฉิงไม่รู้สักนิดว่าตัวเองทำอะไรผิด เขาชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มอาการสาหัสที่ยืนอยู่ด้านหลังและตั้งคำถาม “คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด? เฮอะ! คุณรับลูกชายของผม, จัวเหยียน เป็นลูกศิษย์ของคุณใช่ไหม?”


ฟ่านเจ๋อพยักหน้า


“ผมไว้ใจฝากฝังลูกชายกับคุณ แต่ดูซิว่าคุณทำอะไรลงไป? แทนที่จะสั่งสอนเขาให้ดี คุณกลับบีบบังคับให้เขาเรียนพิเศษหลังจากจบชั้นเรียนปกติ และเก็บค่าเรียนพิเศษด้วย ผมพอเข้าใจว่าคุณอาจเดือดร้อนเรื่องเงิน จึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย แต่อย่างน้อยที่สุด คุณก็ควรจะสั่งสอนเขาให้ถูกต้อง! แต่แล้วคุณก็กลับถ่ายทอดเทคนิควรยุทธผิดๆให้เขา ทำให้วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก คุณจะมีหน้ามองใครต่อใครในโลกใบนี้ต่อไปได้อย่างไร?” นายพลเกราะเงินคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว


“วรยุทธของจัวเหยียนถูกธาตุไฟเข้าแทรก?” ฟ่านเจ๋อถึงกับผงะ


เขารีบหันไปมองชายหนุ่ม และรู้ทันทีว่าอาการบอบช้ำภายในของอีกฝ่ายเป็นเรื่องผิดปกติ มีร่องรอยของการที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรกจริงๆ ฟ่านเจ๋อสายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อและพูดต่อ “สิ่งที่ผมสอนเขาคือเทคนิควรยุทธขั้นพื้นฐาน ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดหรอก แล้วกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”


ฟ่านเจ๋อระงับความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บไว้ จากนั้นก็เดินไปหาจัวเหยียนและทาบนิ้วลงบนชีพจรของอีกฝ่าย


ระหว่างนั้น จางเซวียนที่ก่อนหน้านี้คิดจะกลับไปก็ตัดสินใจรั้งรอเพื่อดูว่าเรื่องนี้จะลงเอยแบบไหน


เขาอดนึกถึงตัวตนเก่าของเขาไม่ได้ หมอนั่นก็เคยถ่ายทอดความรู้ผิดๆให้ลูกศิษย์เช่นกัน ทำให้วรยุทธของอีกฝ่ายถูกธาตุไฟเข้าแทรก แต่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ครูบาอาจารย์มีสถานภาพสูงส่งเสียจนแม้แต่พ่อแม่ก็ยังต้องใคร่ครวญให้ดีหากจะมาเอาเรื่องหรือเล่นงานอีกฝ่าย


แต่นายพลเกราะเงินบุกพรวดพราดเข้ามาในสภาปรมาจารย์เพื่อเล่นงานอาจารย์ดาวเด่น…


ดูเหมือนสถานภาพของปรมาจารย์ที่นี่จะไม่ได้สูงส่งนัก


บางที อาจเป็นเพราะปรมาจารย์ขงเพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์ได้เพียงไม่กี่สิบปี ถ้ามรดกตกทอดของเขาถูกส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นได้ราวพันปีหรือมากกว่านั้น ผู้คนก็คงเริ่มเห็นคุณค่าของปรมาจารย์และให้ความเคารพพวกเขามากกว่านี้


แต่ก็นั่นแหละ ถ้าสิ่งที่นายพลเกราะเงินพูดเป็นความจริง ฟ่านเจ๋อก็ทำผิดกฎของปรมาจารย์อย่างร้ายแรง ครูบาอาจารย์ควรเต็มใจถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ แต่ฟ่านเจ๋อกลับจงใจขยักบทเรียนไว้และบีบบังคับให้ลูกศิษย์ของเขาจ่ายค่าเรียนพิเศษเพื่อให้ตัวเองร่ำรวยกว่าเดิม


หากมองเรื่องนี้จากจุดยืนทางศีลธรรม ฟ่านเจ๋อก็ขาดคุณสมบัติในการเป็นอาจารย์


ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าครูบาอาจารย์จะต้องไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัวและความโลภอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ควรรักษาความเป็นมืออาชีพไว้ ความกระหายเงินไม่ควรเป็นเหตุที่ทำให้ละเลยหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง


“วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกจริงๆ” ฟ่านเจ๋อพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว


“คุณยอมรับออกมาเสียทีก็ดี ผมจะสังหารคุณเสียวันนี้แหละ กำจัดครูห่วยแตกให้สิ้นซากไปจากโลก!” ได้ยินคำนั้น นายพลเกราะเงินเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ฟ่านเจ๋ออีกรอบ


“ใจเย็น ใจเย็นก่อน!”


พ่อแม่คนอื่นๆ รีบเข้ามารั้งนายพลไว้ไม่ให้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น


ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ดินแดนที่จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่มกุมอำนาจ ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองจะต้องทำตามคำสั่งของเขา แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่อย่างนั้นก็อาจถูกเนรเทศ


“ท่านพ่อของจัวเหยียน กรุณาใจเย็นก่อน เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งที่ผมถ่ายทอดให้เขาจะมีข้อผิดพลาด เหตุผลที่วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกอาจเป็นเพราะความผิดพลาดบางอย่างที่เขาทำให้เกิดกับวรยุทธของตัวเอง ค้นหาให้เจอก่อนเถอะว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คืออะไร และรีบแก้ปัญหา ดีไหม?” ฟ่านเจ๋อพูดพร้อมกับโบกมือ


จากนั้นเขาก็หันไปหาชายหนุ่ม “บอกผมมาว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่วรยุทธของคุณจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก เล่าให้ละเอียดนะ…”


“เมื่อวานนี้ หลังจากเสร็จสิ้นการเรียนพิเศษกับท่านอาจารย์ ผมก็กลับบ้านและฝึกฝนวรยุทธตามที่คุณสอน…แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ลงท้ายก็กลับกลายเป็นแบบนี้!” ชายหนุ่มพูดไปตัวสั่นไป


“มันเกิดขึ้นหลังจากคุณฝึกฝนตามเทคนิควรยุทธของผม? บอกผมมาว่าคุณทำอะไรบ้าง? ทีละขั้นนะ” ฟ่านเจ๋อสั่งการ


“ก็อย่างที่คุณสอน ผมถ่ายทอดพลังงานสวรรค์ของผมผ่านสามทางเดินพลังปราณตะวันฉายในฝ่ามือ ก่อนจะปล่อยมันเข้าสู่จุดชีพจรฉงหยาง…สุดท้าย ผมก็เก็บมันไว้ในจุดตันเถียน!” ชายหนุ่มรีบลำดับขั้นตอนการฝึกฝนเทคนิควรยุทธตามที่ได้ร่ำเรียนมา


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนขมวดคิ้ว



 

 

 


ตอนที่ 2215 ห่วยแตก

 

สิ่งที่จัวเหยียนเพิ่งอธิบายคือเทคนิควรยุทธที่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำใช้ฝึกฝนเพื่อยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง เพราะจางเซวียนเคยประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นนี้ จึงคุ้นเคยกับมันดี


แม้วิธีการที่จัวเหยียนสาธยายจะอ่อนด้อยกว่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้ามาก แต่สำหรับนักรบทั่วไปก็ถือว่าน่าพอใจ ข้อบกพร่องมีไม่มาก


ด้วยวิธีนี้ ขอแค่จัวเหยียนรวบรวมพลังงานสวรรค์ได้มากพอ การจะฝ่าด่านวรยุทธก็คงไม่ยากเกินไป แล้ววรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างไร? อีกอย่าง เท่าที่ดูจากความรุนแรงของอาการบอบช้ำ อีกฝ่ายก็ดูจะสาหัสไม่เบา


“ไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้…”


ฟ่านเจ๋อกำลังคิดว่าจัวเหยียนจดจำเทคนิควรยุทธไปผิดๆ ทำให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ระหว่างการฝึกฝนวรยุทธ แต่กลับตรงกันข้าม สิ่งที่จัวเหยียนอธิบายล้วนถูกต้อง


เรื่องนี้ทำให้ฟ่านเจ๋องุนงงอย่างหนัก


การที่อาจารย์คนหนึ่งทำให้วรยุทธของลูกศิษย์ถูกธาตุไฟเข้าแทรกถือเป็นความผิดร้ายแรง ต่อให้เขาเป็นปรมาจารย์ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดที่ตัวเขาจะแบกรับไหว


“ถ้าไม่มีข้อผิดพลาด ลูกชายของผมจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? เห็นๆกันอยู่ว่าความห่วยแตกของคุณทำให้เป็นแบบนี้!” นายพลเกราะเงินตวาดก้อง


“กรุณาใจเย็นก่อนเถอะ มาดูกันว่าจะรักษาลูกชายของคุณได้อย่างไร” ฟ่านเจ๋อพูดขณะถ่ายทอดพลังงานสวรรค์ของเขาเข้าสู่ร่างของจัวเหยียนเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด


วรยุทธของจัวเหยียนถูกธาตุไฟเข้าแทรกจริงๆ และเท่าที่ดูจากอาการบาดเจ็บของชายหนุ่ม สาเหตุก็น่าจะมาจากเทคนิควรยุทธที่เขาเคยถ่ายทอดให้…


หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่ได้ถ่ายทอดเทคนิควรยุทธที่ผิดเพี้ยน และจัวเหยียนก็ไม่ได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธแบบผิดๆ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง วรยุทธของอีกฝ่ายกลับถูกธาตุไฟเข้าแทรก


“มันผิดพลาดตรงไหน?”


ฟ่านเจ๋อถึงกับจนปัญญา


เขาเป็นปรมาจารย์มา 15 ปีแล้ว มีลูกศิษย์ลูกหาอย่างน้อยกว่า 8,000 คน นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเจอกับสถานการณ์พิลึกพิลั่น


เมื่อหาคำตอบไม่ได้ ฟ่านเจ๋อก็หันไปสั่งการลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เชิญนายแพทย์หยูเฟิงมา!”


“นายแพทย์หยูเฟิงคือหนึ่งในนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองหลวง เขาน่าจะแก้ปัญหานี้ได้สบาย”


“ขอแค่เราระบุต้นตอของปัญหาได้ การจะแก้ไขก็คงไม่ใช่เรื่องยาก!”


“รักษาลูกชายของคุณก่อนเถอะ เรายังมีเวลาอีกมากที่จะหารือเรื่องเหตุผลที่ทำให้วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก แต่ขอให้เขาหายดีเสียก่อน”


“ก็จริง แต่จะว่าไป ผมขอบอกเลยว่าฟ่านเจ๋อคนนั้นทำหน้าที่ครูบาอาจารย์ล้มเหลว แทนที่จะสอนในชั้นเรียนให้ดี กลับเลือกที่จะสอนพิเศษเพื่อให้ได้เงินเพิ่ม ผมรู้เรื่องนี้มานานแล้ว”


“ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวของผมก็ร่ำเรียนกับเขา ผมคงสั่งสอนบทเรียนให้เขาไปแล้ว เป็นเพราะเกรงว่าเขาจะไม่หวังดีกับลูกสาวของผมหรอก ผมถึงยั้งมือไว้ เพราะถ้าเขาสั่งสอนลูกสาวของผมผิดๆล่ะก็ อนาคตของเธอคงป่นปี้ไม่มีเหลือ!”


“ผมได้ยินว่าเขาขายที่นั่งพิเศษในชั้นเรียนด้วย พ่อแม่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเก็บที่นั่งแถวหน้าไว้ให้ลูกๆของพวกเขา…”


เสียงออกความเห็นเซ็งแซ่ของฝูงชนทำให้จางเซวียนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม


ถ้าสิ่งที่คนอื่นๆคุยกันเป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าฟ่านเจ๋อขาดคุณสมบัติของการเป็นปรมาจารย์ ต่อให้เป็นอาจารย์ที่เก่งกาจแค่ไหนก็ตาม


การตัดสินคนคนหนึ่งนั้นควรเริ่มที่หลักการ ตามด้วยความสามารถ


ทวีปแห่งปรมาจารย์มีวัฒนธรรมที่เหล่าครูบาอาจารย์ได้รับความเคารพสูงสุด พวกเขาถูกคาดหวังให้ปฏิบัติตัวในรูปแบบที่สูงส่งและปราศจากความเห็นแก่ตัว ด้วยอิทธิพลนั้น แม้บางอย่างจะเปลี่ยนไปบ้างตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ปรมาจารย์ส่วนใหญ่ก็ยังภาคภูมิใจในการกระทำของพวกเขา ไม่เคยลดมาตรฐานของตัวเองลงมา


แต่ฟ่านเจ๋อเลือกที่จะละทิ้งความรับผิดชอบ ไม่ใส่ใจความเป็นมืออาชีพ เพียงเพื่อจะหาเงินให้ได้มากกว่าเดิม


ทั้งๆที่เขาควรเอาใจใส่ว่าลูกศิษย์ต้องการอะไร ในหัวสมองก็กลับเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะเก็บงำบทเรียนเอาไว้แค่ไหนเพื่อรีดเงินจากลูกศิษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…


ไม่น่าแปลกใจที่นายพลเกราะเงินโมโหเดือดจนใช้กำลังกับฟ่านเจ๋อ แม้จะรู้ดีว่าตัวเองกำลังฝ่าฝืนกฎ


เพราะการให้ลูกศิษย์โดยปราศจากความเห็นแก่ตัว เหล่าปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์จึงได้รับความเคารพอย่างสูง


ด้วยสิ่งที่ฟ่านเจ๋อกำลังทำอยู่ ต่อให้เขามีความสามารถหรือเก่งกาจแค่ไหน ก็ย่อมถูกผู้คนดูหมิ่นดูแคลน


ฝูงชนไม่คิดจะลดเสียง ฟ่านเฉิงจึงได้ยินทุกอย่างถนัดชัดเจน เขาหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีด้วยความร้อนใจ อยากจะปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นและบอกทุกคนว่าพวกเขาคิดผิด แต่ก็ทำไม่ได้


ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าชายชราคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องบรรยาย


นายแพทย์หยูเฟิง


“ขอผมดูคนไข้หน่อย!”


หยูเฟิงไม่ทักทายใครและไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเดินเข้าไปตรวจสอบสภาพร่างกายของจัวเหยียน สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย


“อวัยวะภายในของเขาบอบช้ำอย่างหนัก ทางเดินพลังปราณเสียหายในระดับรุนแรง โชคดีที่คุณรักษาเขาทันเวลาและสามารถระงับไม่ให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่านี้ แต่พลังงานสวรรค์ของเขาเหือดแห้งไปจากร่างจนหมดแล้ว หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เขื่อนที่คอยกักเก็บพละกำลังของเขาอยู่ถูกทำลาย ทำให้พลังงานรั่วไหลออกไปทุกหนแห่ง ผมเกรงว่าการเยียวยาเขาให้กลับคืนสภาพเดิมน่าจะทำได้ยาก…”


คำพูดนั้นทำให้ฟ่านเจ๋อเลิกคิ้ว


ถ้าอาการของจัวเหยียนมีทางรักษา เขาก็ยังมีโอกาสไกล่เกลี่ยกับนายพลเกราะเงินได้ แต่หากคำวินิจฉัยของหยูเฟิงถูกต้อง เขาก็ตกที่นั่งลำบาก เพราะหากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป เขาคงไม่มีทางประกอบอาชีพเป็นปรมาจารย์อยู่ในเมืองหลวงได้อีก


“คุณมันไอ้ครูสารเลว! ต่อให้กองทัพจะลงโทษผม ผมก็สาบานว่าวันนี้ผมจะต้องฆ่าคุณให้ได้!”


คำวินิจฉัยของหยูเฟิงกระพือโทสะให้ลุกโพลงในหัวอกของนายพลเกราะเงิน เขาคำรามก้อง จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ฟ่านเจ๋ออย่างแรง


ถึงลูกชายของเขาจะไม่เก่งกาจปราดเปรื่องเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคาดหวังในตัวอีกฝ่าย นายพลเกราะเงินหวังว่าลูกชายจะกลายเป็นบุคคลที่ได้รับการเคารพยกย่องในเมืองหลวงเหมือนกับตัวเขา และก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขาตัดสินใจส่งลูกชายมาศึกษาที่สภาปรมาจารย์


เพราะถึงอย่างไร จัวเหยียนก็เป็นผู้สืบทอดยีนของเขา ขอแค่ตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก แม้สุดท้ายจะไม่ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ก็น่าจะได้เป็นเทพเจ้าขั้นสูงและใช้ชีวิตอย่างสบาย…


แต่ตอนนี้…


เขาเสียเงินไปก้อนใหญ่เพียงเพื่อให้ไอ้สารเลวฟ่านเฉิงทำลายอนาคตของลูกชายของเขา!


จะให้เขายอมรับได้อย่างไร?


ฟึ่บ!


ฟ่านเจ๋อรีบยกแขนขึ้นเพื่อป้องกันตัว แต่เรี่ยวแรงมหาศาลของนายพลเกราะเงินทำให้เขาถอยกรูดไปหลายก้าว แถมกระอักเลือดออกมาอีกรอบ


“อย่าทำกับผมเหมือนไอ้โง่เพียงเพราะผมไม่ตอบโต้นะ!” ฟ่านเจ๋อตะโกนก้องขณะเริ่มขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์


เขารู้ดีว่าไม่อาจใช้วิธีการแบบสันติคลี่คลายเรื่องนี้ได้แล้ว และหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงต้องตายแน่ จึงตัดสินใจตอบโต้


ในฐานะปรมาจารย์ที่เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง แม้ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจะอ่อนด้อยกว่านายพลเกราะเงิน แต่ก็ไม่อาจสบประมาทประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เขามีอยู่ได้


ทั้งคู่พุ่งใส่กันและแลกหมัดกันหลายครั้ง เพียงเพื่อจะพบว่ากินกันไม่ลง แรงตีกลับทำให้ทั้งนายพลเกราะเงินและฟ่านเจ๋อถอยกรูดไปพร้อมกัน คลื่นความสั่นสะเทือนทำลายเก้าอี้หลายตัวในห้องจนพังพินาศ


“ผมขอสาบานด้วยแซ่ของผมเลยว่าวันนี้จะต้องลากคุณลงนรกให้ได้!” นายพลเกราะเงินคำรามกร้าว


เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่กำลังบ้าเลือด ฟ่านเจ๋อก็ไม่กล้ายั้งมือ เขาชักดาบออกมาและขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์จนเต็มพิกัด


ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทะกันอีกรอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ช้าก่อนเถอะ พวกคุณจะปล่อยให้ผมตรวจสอบอาการของชายหนุ่มผู้บาดเจ็บคนนี้เพื่อดูว่าจะรักษาอย่างไรก่อนได้ไหม? แล้วค่อยสู้กันต่อ”


ทุกคนหันขวับไปมอง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา มีชายร่างตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งเดินตามหลัง


“คุณอยากรักษาเขา? ทางเดินพลังปราณของเขาเสียหายหมดแล้วเพราะผลจากการที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรก คุณคิดจะรักษาเขาอย่างไร?” หยูเฟิงคำราม


“คุณคือ…” ฟ่านเจ๋อตั้งคำถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกล้าเข้ามาขัดจังหวะในสถานการณ์คับขันแบบนี้


“ผมชื่อจางเซวียน เคยศึกษาเรื่องการรักษาโรคมาบ้าง ถึงทักษะของผมจะอ่อนด้อยกว่านายแพทย์หยูเฟิง แต่ก็เคยมีประสบการณ์การรักษานักรบที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรก ผมคิดว่าผมรู้วิธีรักษาเขา” จางเซวียนพูด


เขาดูออกว่าถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไป จะต้องมีใครสักคนตายไปข้าง จึงอดไม่ได้ที่จะต้องขัดจังหวะ


จางเซวียนไม่ชอบก้าวก่ายกิจธุระที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง เมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่ฟ่านเจ๋อทำลงไป ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างหนักหากจะนิ่งเฉยและปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างที่เป็นอยู่


เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็เดินไปหาจัวเหยียนโดยไม่รอคำตอบของทั้งคู่


เด็กหนุ่มดูจะมีอายุราว 17 หรือ 18 ปี แต่ใบหน้าของเขาซีดเหลืองและอมโรค เขาเหงื่อโชกเพราะกำลังอดกลั้นกับความเจ็บปวดแสนสาหัส


จางเซวียนทาบนิ้วลงบนชีพจรของชายหนุ่มและถ่ายทอดพลังงานสวรรค์ของเขาเข้าสู่ร่างของอีกฝ่ายเพื่อทำการวินิจฉัยเบื้องต้น


ครู่ต่อมาก็ชักนิ้วกลับ


เป็นอย่างที่หยูเฟิงบอกไว้ ก่อนหน้านี้วรยุทธของจัวเหยียนถูกธาตุไฟเข้าแทรก ส่งผลให้ร่างกายได้รับความบอบช้ำอย่างรุนแรง ทางเดินพลังปราณหลายเส้นถูกทำลาย ทำให้พลังงานสวรรค์รั่วไหลออกมาหลายแห่ง สร้างความบอบช้ำให้กับอวัยวะภายในของเขา


นายพลเกราะเงินน่าจะใช้ยาเม็ดล้ำค่าหลายขนานเพื่อป้องกันไม่ให้อาการของลูกชายย่ำแย่ไปกว่านี้ ซึ่งหากไม่ทำอย่างนั้น ป่านนี้เด็กหนุ่มคงตายไปแล้ว


ด้วยเหตุนี้ จึงพอเข้าใจได้ว่าทำไมนายพลเกราะเงินถึงโมโหหนัก


ใครก็ตามที่อยู่ในสถานภาพเดียวกับเขาก็ต้องเป็นแบบนี้


“คุณได้ความคิดอะไรบ้างไหม?” นายพลเกราะเงินตั้งคำถาม


เขาไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวจางเซวียนหลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายอายุยังน้อย แต่เพราะอาการร่อแร่ของลูกชาย จึงต้องคว้าฟางทุกเส้นที่พอจะคว้าได้


“ผมคิดออกนะ เพียงแต่…” จางเซวียนตอบอย่างลังเล


“ผมพร้อมจ่ายเท่าไหร่เท่ากัน ขอแค่คุณทำให้ลูกชายของผมกลับมาเป็นเหมือนเดิม!”


นายพลเกราะเงินเข้าใจเจตนาของจางเซวียนผิด เขารีบนำบัตรใบหนึ่งออกมายื่นให้



Home  อัจฉริยะสมองเพชร  ตอนที่ 2216 เหลือเชื่อ!

 

 

 


ตอนที่ 2216 เหลือเชื่อ!

 

“ในบัตรใบนี้มีเงิน 100 เหรียญสวรรค์ ทั้งหมดที่ผมอยากขอร้องคุณก็คือช่วยรักษาลูกชายของผมอย่างสุดความสามารถ ถ้าเขาหายดี ผมจะจ่ายให้คุณเพิ่มเป็น 10 เท่าของมูลค่าในบัตรใบนี้สำหรับความดีความชอบของคุณ!”


รวมแล้ว นายพลเกราะเงินกำลังเสนอเงินถึง 1,000 เหรียญสวรรค์ให้จางเซวียนเป็นค่ารักษาลูกชายของเขา มันคือเงินจำนวนสูงลิ่วแม้จะใช้มาตรฐานของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


คำพูดนั้นทำให้ฝูงชนที่อยู่โดยรอบอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ


“ผมไม่รับเงินของคุณหรอก เก็บไปเถอะ” จางเซวียนส่ายหน้า


เขาพอเข้าใจว่าทำไมฟ่านเจ๋อถึงเปิดสอนพิเศษเพื่อหาเงินเพิ่ม


นับตั้งแต่เกิดการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ สิ่งมีชีวิตทุกประเภทในสรวงสวรรค์ก็หลั่งไหลเข้ามาแออัดกันอยู่ในเมือง ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์และค่าครองชีพพุ่งพรวด


เงินและทรัพยากรที่มากพอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี อีกอย่าง บรรดาพ่อแม่ก็ยินดีจ่ายเพิ่มอยู่แล้วหากจะเป็นประโยชน์กับลูกๆของพวกเขา ฟ่านเจ๋อจึงพ่ายแพ้ต่อความเย้ายวนนี้


ถ้าไม่ใช่เพราะคนอื่นๆพร้อมใจมอบเงินและทรัพยากรต่างๆให้ ฟ่านเจ๋อก็คงไม่คิดจะเปิดชั้นสอนพิเศษและอื่นๆอย่างที่เขาทำอยู่


หลังจากปฏิเสธนายพลเกราะเงินแล้ว จางเซวียนหันกลับมามองจัวเหยียนและสั่งการ “ออกหมัดพื้นฐานซิ ผมอยากรู้ว่าคุณยังขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์ได้หรือไม่”


จัวเหยียนออกจะลังเล แต่เมื่อเห็นทีท่าอ่อนโยนและแววตาแจ่มใสของจางเซวียน ก็ยอมกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้และยกแขนขึ้นเพื่อออกหมัดพื้นฐาน


วิ้ง!


หนังสือเล่มหนึ่งถูกประมวลขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


“จัวเหยียน, พลเมืองของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ…ด้วยความผิดพลาดในการฝึกฝนวรยุทธ วรยุทธของเขาจึงถูกธาตุไฟเข้าแทรก…”


ไม่ช้าจางเซวียนก็อ่านจบ เขาส่ายหน้า


กลับกลายเป็นว่าความโกรธเกรี้ยวของนายพลเกราะเงินไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล ที่จัวเหยียนลงเอยด้วยสภาพนี้จะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับฟ่านเจ๋อ, อาจารย์ของเขาอย่างแน่นอน


“เป็นอย่างไรบ้าง?” นายพลเกราะเงินถามอย่างวิตกเมื่อเห็นทีท่าของจางเซวียน


“อาการของเขาไม่ค่อยดี แต่ผมคิดว่าผมรักษาได้” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ


“คุณรักษาได้?” นายพลเกราะเงินตาโตก่อนจะประสานมืออย่างร้อนใจ “ได้โปรดช่วยชีวิตลูกชายของผมด้วย ผมพร้อมทำทุกอย่างให้คุณ ขอแค่เขากลับมาหายดี!”


“ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นหรอก ผมจะทำเต็มที่”


จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำเข็มเงินออกมาหลายเล่มก่อนจะสั่งจัวเหยียน “อดทนไว้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าต่อต้านผม”


จากนั้นเขาก็ปล่อยเข็มเงินทั้งหมดให้พุ่งเข้าปักจุดชีพจรของเด็กหนุ่ม


จัวเหยียนกำลังสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงอาการชาที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แล้วพลังงานประหลาดก็ซึมซาบเข้าสู่ร่างของเขา


ขณะที่พลังงานประหลาดนั้นไหลเวียนไปทั่ว ทางเดินพลังปราณที่เคยเสียหายจากผลของการที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรกก็เยียวยาตัวเองอย่างรวดเร็ว กลับคืนสู่สภาพเดิม


“ฮะ…”


จัวเหยียนตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ


เขาอาจยังหนุ่ม แต่เพราะมาจากตระกูลของนายพล จึงได้รู้เห็นอะไรมากมาย


เมื่อทางเดินพลังปราณของเขาถูกทำลายหลังจากที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรก เขาก็รู้ทันทีว่าชีวิตนักรบของเขาจบเห่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิม ที่น่ากังวลมากกว่าก็คือจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน…


แต่ด้วยเข็มเพียงไม่กี่เล่ม ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็เยียวยาทางเดินพลังปราณของเขาให้กลับสู่สภาพเดิมได้ ไม่เพียงเท่านั้น พลังงานสวรรค์ที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขายังค่อยๆไปรวมตัวกันที่จุดตันเถียนด้วย!


มันน่าทึ่งจนเขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้สุดแสนจะเหลือเชื่อ


นายพลเกราะเงินเห็นสายตาประหลาดของลูกชายหลังจากที่เข็มเงินปักเข้าที่จุดชีพจร เขารีบถามด้วยความกังวล “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”


“ท่านพ่อ ผมคิดว่า…ผมหายแล้ว”


ขณะที่พูด จัวเหยียนผู้อ่อนระโหยโรยแรงก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วตั้งท่าพร้อมต่อสู้


ในชั่วพริบตา เขาก็สำแดงเทคนิคเพลงหมัดอันทรงพลังที่ทำให้ลมหอบใหญ่พัดหวีดหวิวไปทั่วห้อง “ผะ-ผมตาฝาดหรือเปล่า?”


“เขาหายดีหลังจากถูกฝังเข็มเงินเพียงไม่กี่เล่ม?”


“เหลือเชื่อ! ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย…”


ฝูงชนพากันงงงัน


เมื่อครู่นี้พวกเขาเห็นแล้วว่าอาการของจัวเหยียนสาหัสขนาดไหน ขนาดนายแพทย์หยูเฟิงผู้ทรงเกียรติก็ทำได้แค่ให้คำวินิจฉัยในแง่ร้าย พวกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มคงต้องพิการไปตลอดชีวิต ใครจะไปรู้ว่าชายหนุ่มจะหายดีได้ด้วยการฝังเข็มเพียงไม่กี่เล่ม?


แถมอีกฝ่ายยังดูกระชุ่มกระชวยกว่าเดิมด้วย


เหลือเชื่อจริงๆ!


“น้องจาง นี่มัน…”


นายพลเกราะเงินพูดไม่ออก


ถ้าไม่ใช่เพราะคนป่วยคือลูกชายของเขาและเขาได้พยายามรักษาทุกวิถีทางแล้ว ก็คงจะสงสัยว่าสองคนนี้รวมหัวกันเล่นละครตบตาเขาหรือเปล่า


จางเซวียนลุกขึ้นยืน “ผมส่งพลังงานสวรรค์ของเขากลับสู่จุดตันเถียน พร้อมกับซ่อมแซมทางเดินพลังปราณที่ถูกทำลาย”


ฟ่านเจ๋อกับหยูเฟิงกลอกตา


การที่วรยุทธของนักรบคนหนึ่งถูกธาตุไฟเข้าแทรกหมายความว่าพลังงานในร่างของเขาจะเสียหายและผิดเพี้ยนไป อีกฝ่ายดึงพลังงานนั้นกลับมาได้ แถมซ่อมแซมทางเดินพลังปราณที่ถูกทำลายได้ด้วย…เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?


“ในเมื่อคุณรักษาเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ ผมก็เชื่อว่าคุณน่าจะรู้ว่าวรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกเพราะอะไร ผมก็สอนเขาเหมือนที่สอนลูกศิษย์คนอื่นๆ ไม่มีใครเคยเจออะไรแบบนี้ แล้วทำไมถึงเกิดปัญหากับจัวเหยียน?” ฟ่านเจ๋อถาม


หากเขาไม่ขุดเรื่องนี้ คงต้องถูกตราหน้าไปตลอดว่าเป็นอาจารย์ห่วยแตก


“ผมรู้ว่าทำไมวรยุทธของเขาถึงถูกธาตุไฟเข้าแทรก” จางเซวียนพูด “คุณอยากรู้จริงๆหรือ?”


“ใช่ ผมอยากรู้” ฟ่านเจ๋อพยักหน้า


คนอื่นๆในห้องก็มองมาด้วยความสนใจ


พวกเขาพบว่ามันแสนจะเหลือเชื่อที่วรยุทธของนักรบคนหนึ่งจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกเพียงเพราะฝึกฝนเทคนิควรยุทธขั้นพื้นฐาน ดังนั้น หากรู้เบื้องหลังของความผิดปกติครั้งนี้ ในอนาคตก็น่าจะป้องกันได้


“มันมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการสอนพิเศษของคุณ” จางเซวียนพูด


“การสอนพิเศษ?” ฟ่านเจ๋อถึงกับงง


จางเซวียนหันไปมองนายพลเกราะเงิน “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบนายพลเกราะเงินคนนี้ แต่เท่าที่ผมรู้มา ดูเหมือนคุณคาดหวังจะได้เห็นลูกชายประสบความสำเร็จในชีวิต อยากให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเหมือนคุณ”


ชายวัยกลางคนพยักหน้า ไม่ปฏิเสธสักคำ


ในฐานะนายพลของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน เขามีอิทธิพลและเกียรติยศมากมาย ทุกคนต่างคิดว่าลูกชายของเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ปราดเปรื่องเท่าไหร่ ถึงขนาดไม่สามารถผ่านการทดสอบเข้าสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ได้


เป็นธรรมดาที่นายพลเกราะเงินจะรู้สึกร้อนใจและพยายามผลักดันลูกชายของเขาอย่างเต็มที่


การที่เขาส่งจัวเหยียนมาเรียนที่นี่และให้เรียนพิเศษทุกรูปแบบคือหลักฐานที่บอกชัด นายพลเกราะเงินหวังว่าลูกชายของเขาคนนี้จะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง และสืบทอดชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลต่อไป


ในตอนแรก เขาแสนจะยินดีปรีดาที่ได้เห็นวรยุทธของลูกชายเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นเทพเจ้าขั้นต่ำ แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่การฝ่าด่านวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำไปเป็นเทพเจ้าขั้นกลาง วรยุทธของลูกชายของเขาก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรก ทำเอาเกือบเสียชีวิต


นายพลเกราะเงินติดภารกิจของกองทัพเสมอ และเพิ่งได้หยุดพักเมื่อ 2-3 วันก่อน ต้องขอบคุณวันหยุดที่ทำให้เขาเห็นความผิดปกติของลูกชายและช่วยชีวิตได้ทันเวลา หากเขาติดภารกิจอยู่ข้างนอก กว่าจะรู้ข่าวก็คงสายเกินไป


เขาจะรู้สึกผิดและโทษตัวเองขนาดไหนหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้น?


แค่คิดก็ทำให้เขาหวาดผวาอย่างหนัก ทำให้คุมสติไม่อยู่และบุกพรวดพราดเข้ามา


“ตั้งแต่ยังเด็ก…” จางเซวียนพูด “จัวเหยียนถูกปลูกฝังความคิดที่ว่าเขาจะต้องได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างเหมือนคุณ แม้สติปัญญาของเขาจะอ่อนด้อย แต่ก็ต้องแบกรับความกดดันทุกรูปแบบ ต้องขยันศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก เรียนพิเศษครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหวังว่าจะไม่ถูกทิ้งให้ล้าหลังเพื่อนรุ่นเดียวกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่มีเวลาหยุดพักจากการฝึกฝนวรยุทธเลยแม้แต่วันเดียว!”


จัวเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังก้มหน้างุดและเงียบกริบ


ส่วนนายพลเกราะเงินก็โพล่งออกมา “นักรบควรผลักดันตัวเองอย่างสุดกำลังขณะที่อายุยังน้อย หากอายุเท่าผมแล้ว การผลักดันตัวเองจะมีประโยชน์อะไร? ผมทำแบบนี้ก็เพราะเห็นแก่อนาคตของเขา! อีกอย่าง ถ้าเขาไม่ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ด้วยอายุขัยของนักรบระดับเทพเจ้าโดยทั่วไป การจะมีชีวิตอยู่ให้ถึง 100 ปีก็เป็นเรื่องยาก ผมน่ะมีอายุขัย 1,000 ปีนะ แล้วผมจะต้องทนดูลูกชายของผมแก่ตัวและตายไปก่อนโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?”


“ผมไม่ได้จะบอกว่าสิ่งที่คุณวางแผนไว้ให้ลูกชายนั้นไม่ยุติธรรม แต่การฝึกฝนวรยุทธไม่ใช่การตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนไม่รู้จบ” จางเซวียนตอบ “ความก้าวหน้าจะต้องมาคู่กับความสมดุล นอกจากการยกระดับวรยุทธ นักรบจะต้องบ่มเพาะเจตจำนงและสภาวะจิตของเขาด้วย หากดันทุรังฝึกฝนโดยไม่มีเวลาหยุดพักและสำรวจสภาวะของตัวเอง ก็ยากที่จะเดินไปถึงเป้าหมายที่วางไว้”


จางเซวียนพอเข้าใจหัวอกของพ่อแม่ที่อยากเห็นลูกได้ดี เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับบรรดาศิษย์สายตรงของเขา แต่เรื่องแบบนี้จะคิดน้อยเกินไปไม่ได้


การประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นจากปัจจัยหลายอย่าง เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะทำสำเร็จเหมือนกันหมด


“จัวเหยียนพยายามอย่างหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามความคาดหวังของคุณ ถึงขนาดทุ่มสุดตัวเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธก่อนที่จะทันได้ขัดเกลาวรยุทธของตัวเองเสียอีก ความกดดันใหญ่หลวงทำให้เจตจำนงของเขาอ่อนแอและไม่อาจรวบรวมสมาธิเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนอาจารย์ฟ่านเจ๋อจะบอกอะไรบางอย่างกับจัวเหยียนระหว่างการเรียนพิเศษ ซึ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้น”


ฟ่านเจ๋อดูจะสับสนเล็กน้อยก่อนจะตาโตด้วยความตกใจ


“เขาเรียนพิเศษกับคุณมาก็ระยะหนึ่งแล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง” จางเซวียนพูดต่อ “ผมเดาว่าคุณยื่นคำขาดกับเขา สั่งให้เขาฝ่าด่านวรยุทธให้ได้ภายในคืนนี้!”


“เจตจำนงของเขาอ่อนล้าอยู่แล้วจากความเครียดและความกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ ซึ่งคำพูดของคุณคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ เขาหมดความอดทน ทำให้ปีศาจใต้สำนึกมีอำนาจเหนือกว่า ส่งผลให้เกิดสภาพอย่างที่พวกเราเห็น”


นายพลเกราะเงินเงียบกริบก่อนจะมองหน้าจัวเหยียนด้วยสีหน้าที่อธิบายได้ยาก “ที่น้องจางพูดเป็นความจริงหรือเปล่า?”



Home  อัจฉริยะสมองเพชร  ตอนที่ 2217 พูดมาเลย

 

 

 


ตอนที่ 2217 พูดมาเลย

 

เขาอยากให้ลูกชายได้ดี แต่จะมีประโยชน์อะไรหากเกิดเรื่องแบบนี้กับลูกชายของเขา?


“ชะ-ใช่…” จัวเหยียนตอบอ้อมแอ้มขณะมองท่านพ่ออย่างไม่สบายใจ


เขาไม่เคยเห็นท่านพ่อมีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้มาก่อน และเกรงจะถูกตำหนิเรื่องความอ่อนแอ


ในฐานะเจ้าตัว เขารู้ดีว่าตัวเขาลงเอยด้วยการตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่จางเซวียนพูด


นายพลเกราะเงินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากอย่างคนที่ถอดใจแล้ว “พ่อจะไม่บังคับเจ้าอีก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องฝืนเกินกว่าที่ตัวเองทนไหว อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้นเถอะ”


ถ้านั่นคือชะตากรรมของลูกชายของเขา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องพยายาม


เขาอยากจะตำหนิฟ่านเจ๋อที่บีบบังคับลูกชายของเขามากเกินไป แต่รู้ว่าตัวเองก็มีความผิดไม่แพ้กัน เรื่องนี้ทำให้นายพลเกราะเงินเกิดความขัดแย้งสับสนในใจอย่างหนัก เขาสงสัยว่าสิ่งที่ตัวเขาทำมาตลอดคงจะผิดทาง


นายพลเกราะเงินส่ายหน้าและหันไปพูดกับจางเซวียน “น้องจาง คุณช่วยชีวิตลูกชายของผมและมอบชีวิตใหม่ให้เขา ผม, จัวเฟิง ติดหนี้บุญคุณต่อคุณ ไม่ว่าต่อไปคุณจะร้องขอให้ผมทำอะไร ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะทำตามที่คุณต้องการอย่างสุดความสามารถโดยไม่ปริปาก!”


“นายพลจัว คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไป…ผมไม่ได้ช่วยลูกชายของคุณเพราะอยากได้สิ่งตอบแทน ผมแค่หวังว่าชื่อเสียงของปรมาจารย์จะไม่ด่างพร้อยเพราะใครบางคนที่นี่ ผมพูดไม่ได้หรอกนะว่าปรมาจารย์ทุกคนปราศจากความเห็นแก่ตัว แต่พวกเขาถือเอาประโยชน์ของลูกศิษย์เป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งอื่น ผมจะสำนึกในบุญคุณอย่างมากหากคุณไม่มองเหล่าปรมาจารย์ในแง่ร้ายเพียงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เขารับบทบาทอาจารย์ตั้งแต่ถูกส่งทะลุมิติมายังโลกใบนี้ และมองอาชีพครูบาอาจารย์ในฐานะอาชีพที่ปรมาจารย์ขงก่อตั้งขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นใครๆมองครูบาอาจารย์ว่าต่ำต้อยด้อยค่า


“หรือว่า…น้องจาง, คุณก็เป็นปรมาจารย์ใช่ไหม?” ฟ่านเจ๋อถาม


คนอื่นๆพากันหันมามองด้วยความอยากรู้


พวกเขาไม่เคยพบจางเซวียนมาก่อน แต่การที่ชายหนุ่มรักษาจัวเหยียนได้อย่างง่ายดายบ่งบอกว่าทักษะการรักษาโรคของเขาเหนือชั้นกว่านายแพทย์หยูเฟิงเสียอีก หรือว่าแท้ที่จริง…เขาคือปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่ง?


ปรมาจารย์ทั่วไปไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากนักสำหรับสรวงสวรรค์ แต่เหล่าศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายวิชาชีพ แม้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาจะยังหนุ่ม แต่ก็อาจเป็นได้ว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


“จะพูดอย่างนั้นก็ได้” จางเซวียนตอบตามตรง


เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด และก็เหมือนกับปรมาจารย์ขง คือได้รับการขนานนามว่าเป็นครูบาอาจารย์ของโลก แต่ก็นั่นแหละ สภาปรมาจารย์ในสรวงสวรรค์น่าจะมีการทดสอบเป็นรูปแบบเฉพาะของพวกเขาสำหรับประเมินคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เป็นปรมาจารย์ ซึ่งจางเซวียนก็ยังไม่เคยผ่านกระบวนการที่เป็นทางการแบบนั้น


“ผมเข้าใจแล้ว โล่งอกไปที” ฟ่านเจ๋อถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาพ่ายแพ้ให้กับความละโมบโลภมากของตัวเอง แต่ก็ยังรู้สึกผูกพันเหนียวแน่นกับอาชีพนี้ เขายังจำวันคืนเก่าๆที่อุทิศตัวให้กับการสั่งสอนลูกศิษย์ได้ และถือเอาวันคืนเหล่านั้นเป็นความภาคภูมิใจสูงสุด


ฟ่านเจ๋อดีใจที่จางเซวียนอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้น ความผิดพลาดของเขาคงกลายเป็นสนิมที่กัดกร่อนและแปดเปื้อนชื่อเสียงของสภาปรมาจารย์


“อาจารย์ฟ่านเจ๋อ ผมขอแนะนำอะไรสักหน่อยได้ไหม? จางเซวียนถาม


“พูดมาเลย” ฟ่านเจ๋อประสานมือ


แม้จะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่า แต่ความรู้ของอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าเขามาก อีกอย่าง เมื่อครู่นี้ชายหนุ่มก็เพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้จากสถานการณ์คับขัน เขาจึงพร้อมรับฟังทุกคำแนะนำที่ชายหนุ่มจะมอบให้


“ความเกียจคร้านน่ะเป็นเรื่องธรรมดาของนักรบส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกับวัยรุ่น หากพูดกันด้วยเหตุผล ผมไม่คิดว่าการเปิดสอนพิเศษของคุณนั้นเสียหายอะไร เพราะลูกศิษย์ของคุณก็จะได้มีเวลาศึกษาเล่าเรียนมากขึ้น แต่การเรียนหนักเกินไปมีแต่จะบั่นทอนแรงบันดาลใจและความอดทนของพวกเขา สุดท้าย หลายคนอาจลงเอยด้วยเส้นทางเดียวกันกับจัวเหยียน และความพยายามทั้งหมดของคุณก็จะสูญเปล่า”


ฟ่านเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้า “แล้วมีวิธีอื่นไหม?”


มีบ้างที่ลูกศิษย์ของเขาได้รับประโยชน์มากจากการสอนพิเศษ แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าส่วนใหญ่แทบไม่ได้พัฒนาเลย


เขาพยายามค้นหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ซึ่งข้อสรุปที่ได้ก็คือเด็กๆเหล่านั้นเหนื่อยหน่ายกับการฝึกฝนวรยุทธ แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าจะมีวิธีไหนช่วยแก้ปัญหาได้


การฝึกฝนวรยุทธคือกระบวนการที่เหนื่อยหนักอยู่แล้ว ไม่มีหนทางหลีกเลี่ยง


“ในฐานะอาจารย์ คุณควรพิจารณาบุคลิกเฉพาะตัวของลูกศิษย์เพื่อเลือกใช้รูปแบบการบ่มเพาะที่เหมาะสม การสอนนั้นไม่มีสูตรตายตัว คุณจะต้องปรับใช้ให้เข้ากับความต้องการของลูกศิษย์แต่ละคน ใช้บุคลิกเฉพาะตัวของพวกเขาสร้างนิสัยใฝ่รู้ให้เกิดขึ้นในตัวเด็กๆเหล่านั้น และทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะเอาชนะความเกียจคร้านของตัวเอง หากความใฝ่รู้ฝังรากลึกในหัวใจของพวกเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะหาเส้นทางของตัวเองจนเจอและเดินต่อไปได้” จางเซวียนพูด


“ใช้บุคลิกเฉพาะตัวของพวกเขาสร้างนิสัยใฝ่รู้…” ฟ่านเจ๋อทวนคำก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “แต่เรื่องแบบนั้นน่ะ พูดง่ายกว่าทำมากนะ!”


การเข้าถึงจิตใจของใครสักคนและเข้าใจอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แถมเขายังต้องดูแลลูกศิษย์พร้อมกันทีเดียวหลายสิบคน ต่อให้เขาอยากทำแบบนั้น ก็ไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงมากพอ


“สิ่งที่คุณทำได้น่ะมีจำกัด แต่ทุกย่างก้าวเล็กๆจะสร้างผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ อย่างจัวเหยียน เขาต้องเผชิญกับแรงกดดันใหญ่หลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งการที่เขาไม่อาจทำได้ตามความคาดหวังของใครๆก็ทำลายความมั่นใจของเขาจนหมดสิ้น ถ้าคุณให้กำลังใจเขาสักหน่อย ก็จะช่วยได้มาก”


ถึงตอนนี้ จางเซวียนหันไปพูดกับจัวเหยียน “คุณคงได้ยินที่ผมพูดแล้วนะ ตอนที่ผมตรวจสอบสภาวะร่างกายของคุณก่อนหน้านี้ ผมพบว่าสติปัญญาของคุณไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนที่คุณได้ยินจากใครๆ กลับตรงกันข้าม คุณมีสติปัญญาและความปราดเปรื่องเหนือชั้นกว่าเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่เสียอีก เพียงแต่คุณไม่สามารถนำมันมาใช้ได้อย่างถูกต้อง”


“สติปัญญาและความปราดเปรื่องของผมเหนือชั้นกว่าเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่?” จัวเหยียนมองจางเซวียนอย่างแคลงใจก่อนจะส่ายหน้า


แต่ในส่วนลึกของดวงตาก็ปรากฏประกายของความหวังที่ไม่อาจตีความเป็นอื่นได้


เขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่เอาไหนตั้งแต่เด็ก ทรัพยากรใดๆก็ตามที่ถูกนำมาใช้กับเขาย่อมเสียเปล่า แม้แต่สถาบันการศึกษาทั่วไปก็ปฏิเสธเขา


ความคิดเห็นของคนรอบข้างถูกหล่อหลอมขึ้นเป็นมุมมองที่เขามีต่อตัวเอง จัวเหยียนจึงรู้สึกว่าเขาไม่อาจทำใจยอมรับคำชมจากคนอื่นได้


“ผมไม่ได้พูดพล่อยๆนะ คุณไม่ต้องแคลงใจในตัวผมหรอก ความกดดันที่คุณได้รับทำให้คุณเกิดความหวาดกลัว มันกีดกันคุณไว้ไม่ให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ฟังผม เปิดใจฝึกฝนตามกระบวนการที่อาจารย์ฟ่านเจ๋อถ่ายทอดให้ จากนั้นก็พยายามฝ่าด่านวรยุทธอีกสักครั้ง…”


จางเซวียนใช้การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ ทำให้จัวเหยียนคล้อยตาม ชายหนุ่มโอนอ่อนตามคำพูดนั้นโดยอัตโนมัติและทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


ตอนแรก นัยน์ตาของเขายังเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นขึ้นเรื่อยๆเพราะการให้กำลังใจของจางเซวียน จัวเหยียนกัดฟัน เขาสูดหายใจลึกและเริ่มขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์ให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง


บึ้มมมมมม!


เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ด่านคอขวดที่กดเขาไว้ให้เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำระเบิดและสลายตัวไป วรยุทธของจัวเหยียนพุ่งพรวดขึ้นมาเป็นระดับเทพเจ้าขั้นกลาง


อันที่จริง มุมมองที่ใครๆมีต่อจัวเหยียนนั้นไม่ได้ผิดพลาด เด็กหนุ่มมีสติปัญญาอ่อนด้อยจริงๆ จะบอกว่าเขาไม่เหมาะจะเป็นนักรบก็ว่าได้


เป็นเพราะนายพลเกราะเงินทุ่มเททรัพยากรมากมาย จึงยกระดับวรยุทธของจัวเหยียนได้จนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ แต่ก็มีโอกาสสูงที่ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิต เด็กหนุ่มก็คงไม่อาจพัฒนาตัวเองไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง


แต่ตอนที่จางเซวียนเยียวยาอาการบาดเจ็บของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ก่อน เขาได้บ่มเพาะร่างกายของอีกฝ่ายด้วยพลังปราณเทียบฟ้า ปรับเปลี่ยนสภาวะร่างกายของอีกฝ่ายไป


ด้วยเหตุนี้ แม้สติปัญญาของจัวเหยียนจะยังไม่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นนักรบชั้นยอด แต่ก็ทัดเทียมกับนักรบรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่


สิ่งที่เขาขาดอยู่ในเวลานี้คือความมั่นใจ ขอแค่เรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคต


“ปรมาจารย์จาง ผมไม่รู้จริงๆว่าจะขอบคุณอย่างไรสำหรับความช่วยเหลือของคุณ…” นายพลเกราะเงินก้มศีรษะ


“นั่นคือสิ่งที่ผมควรทำ” จางเซวียนตอบยิ้มๆก่อนจะเงียบไป


ถึงตอนนี้ เขาอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัวขนาดไหนนับตั้งแต่ตัดตัวโคลนออกไปจากชีวิต สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนรู้สึกมั่นใจขึ้นมาก


ฟึ่บ!


ครู่ต่อมา จัวเหยียนลืมตาเพื่อซึมซับพลังงานดุเดือดที่ไหลพล่านไปทั่วร่าง นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ เขาต่อสู้กับตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าจางเซวียน “อาจารย์จาง ได้โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วย!”


เขาติดตามฟ่านเจ๋อมาหลายปีแล้ว ซึ่งก็พัฒนาวรยุทธได้เพียงน้อยนิด แต่เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จทั้งที่เพิ่งพบจางเซวียนเพียงครู่เดียว


จัวเหยียนรู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ถ้าเขาได้ชายหนุ่มเป็นอาจารย์ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคงไร้ขีดจำกัด


“ใช่-ใช่แล้ว ปรมาจารย์จาง ผมขอวิงวอนให้คุณรับลูกชายของผมเป็นศิษย์ด้วย!” จัวเฟิงรีบพยักหน้า


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าลูกชายของเขาสมองช้า แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเฉียบแหลมไม่เบาเมื่อเป็นเรื่องนี้


ในเวลาเดียวกัน จัวเฟิงก็เปลี่ยนคำเรียกขานจาก ‘น้องจาง’ เป็น ‘ปรมาจารย์จาง’ เพื่อแสดงความเคารพ


“ถ้าคุณอยากให้ผมเป็นอาจารย์ของคุณจริงๆ ผมก็ไม่รังเกียจที่จะรับคุณเป็นศิษย์เช่นกัน” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เพราะจัวเหยียนไม่ได้สั่งสมรากฐานวรยุทธอย่างแน่นหนา จางเซวียนจึงไม่คิดจะรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์สายตรง แต่หากเป็นเพียงลูกศิษย์ธรรมดาที่เขามีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้บางส่วนให้ เขาก็ไม่รังเกียจอะไร


“ศิษย์จัวเหยียนคารวะอาจารย์จาง!” จัวเหยียนคุกเข่าและโค้งคำนับอย่างงาม



 

 

 


ตอนที่ 2218 ง่ายดายที่สุดในโลก!

 

ในสรวงสวรรค์ก็มีความแตกต่างไม่น้อยระหว่างศิษย์ธรรมดากับศิษย์สายตรง


ถึงจางเซวียนจะไม่ได้รับเขาเป็นศิษย์สายตรง แต่จัวเหยียนก็ยินดีปรีดาแล้วที่ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ผู้เก่งกาจระดับนี้


“ในเมื่อคุณเรียกขานผมว่าอาจารย์ ผมก็ควรถ่ายทอดอะไรให้คุณบ้าง” จางเซวียนส่งโทรจิตหาจัวเหยียน “ผมจะให้เทคนิควรยุทธที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของคุณ ขอแค่คุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝนตามนั้น ในอนาคตคุณก็มีโอกาสที่จะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง”


จางเซวียนคุ้นเคยดีกับเทคนิควรยุทธที่ต่ำกว่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างลงไป ซึ่งตอนที่เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบสภาวะร่างกายของจัวเหยียนก่อนหน้านี้ ก็ได้ความคิดบางอย่าง


จางเซวียนใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นการถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้เด็กหนุ่ม


หลังจากซึมซับรายละเอียดทั้งหมดแล้ว จัวเหยียนตาโตด้วยความยินดีปรีดา เขารีบโค้งคำนับอย่างงามให้จางเซวียนอีกครั้งเพื่อแสดงความสำนึกในบุญคุณ


วรยุทธของเขาอาจอ่อนด้อย แต่เขาก็มาจากตระกูลผู้ทรงเกียรติและมีโอกาสได้สัมผัสกับเทคนิคการต่อสู้อันไร้เทียมทานมากมาย แต่ในแง่ของความเป็นสุดยอด ไม่มีเทคนิคไหนเทียบได้กับสิ่งที่ท่านอาจารย์เพิ่งถ่ายทอดให้


ขอแค่เขาตั้งใจฝึกฝน ก็คงฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงได้สำเร็จ และในอนาคตอันใกล้ก็คงพัฒนาได้มากกว่านี้!


มูลค่าของเทคนิควรยุทธที่ไร้เทียมทานนั้นเรียกได้ว่าประเมินค่ามิได้!


แต่อีกฝ่ายมอบให้เขาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน…นี่คือครูบาอาจารย์ที่แท้จริง!


เขาเป็นคนไม่เอาไหนในสายตาของใครๆตลอดมา นี่เป็นครั้งแรกที่ใครคนหนึ่งให้คุณค่าตัวเขา ซึ่งนั่นทำให้เขาเกิดความรู้สึกสับสนปนเปที่อธิบายได้ยาก


จางเซวียนเดินเข้าไปพยุงชายหนุ่มให้ลุกขึ้น


วิ้งงงง!


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หน้าหนังสือสีทองหน้าหนึ่งปรากฏ


จางเซวียนตาโต


ดูเหมือนการเดินทางมาสภาปรมาจารย์ของเขาจะไม่สูญเปล่า หน้าหนังสือสีทองหน้านี้จะช่วยคุ้มกันตัวเขาจากผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในสรวงสวรรค์ได้


ไม่เพียงเท่านั้น การได้สัมผัสกับสภาปรมาจารย์ของสรวงสวรรค์และรูปแบบการสอนของปรมาจารย์คนอื่นๆก็ทำให้เขาได้รับความรู้ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับการศึกษา และได้เข้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ด้วย


จ้าวหย่าเป็นคนถือเนื้อถือตัว การถ่ายทอดความรู้แบบกระชับรัดกุมจึงดีที่สุด เจิ้งหยางเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่กลัวใคร จึงเหมาะกับการถ่ายทอดความรู้แบบตรงเข้าประเด็น หวังหยิ่งมีนิสัยละเอียดอ่อนและช่างสังเกต รายละเอียดต่างๆจึงสำคัญกับเธอเมื่อเธออยากเรียนรู้อะไรสักอย่าง หยวนเทาเป็นคนใจกว้างและไม่ชอบเรื่องจุกจิก การถ่ายทอดความรู้แบบเน้นภาพรวมจึงเหมาะกับเขา ส่วนหลิวหยางไม่ได้มีความแข็งแกร่งหรือข้อบกพร่องใดๆเป็นพิเศษ แต่มีหัวใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเหมือนจัวเหยียน…


บุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของลูกศิษย์แต่ละคนของจางเซวียนลอยเข้ามาในหัว ทำให้เขายิ้มออก


ลู่ชงเป็นคนดื้อดึงและมีน้ำอดน้ำทน ซึ่งหากตัดสินใจสิ่งใดแล้ว ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนใจเขาได้


เว่ยหรูเหยียนเป็นคนเย็นชาและชอบเก็บงำความรู้สึก เธอจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงกับคนที่สนิทสนมด้วยเท่านั้น ความเป็นความตายของผู้ที่อยู่ไกลตัวไม่เคยทำให้เธอใส่ใจ


จางจิ่วเซี่ยวออกจะทะเยอทะยานอยากประสบความสำเร็จ ซึ่งหลังจากได้เป็นลูกศิษย์ของเขา ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่


ขงซือเหยามาจากตระกูลดัง และนั่นทำให้เธอมองสิ่งต่างๆจากมุมมองที่สูงส่งกว่าคนอื่นๆ


ตั้นเฉี่ยวเทียนไร้เดียงสาและมองโลกในแง่ดี แม้จะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ก็รับมือกับมันได้โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง น้ำใจและความบริสุทธิ์ของเขาถือเป็นเพชรล้ำค่าที่หายากในโลกใบนี้


ไป๋เหรินชิงเหมือนกับลู่ชงเรื่องการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น แต่ไม่เหมือนตรงที่เธอไม่เคยระงับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง มักแสดงทุกอย่างออกมาชัดเจนเสมอ ไป๋เหรินชิงจึงไม่เคยเก็บงำความแค้นฝังใจกับใคร เธอเลือกที่จะโอบกอดความหวังไว้มากกว่า


ลูกศิษย์แต่ละคนของจางเซวียนมีบุคลิกและนิสัยเฉพาะตัว เขาจึงออกแบบเทคนิควรยุทธและวิธีการฝึกฝนที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน ดูแลทุกคนเป็นการส่วนตัว แม้เวลาที่เขาใช้ไปกับบรรดาลูกศิษย์จะมีจำกัด แต่การลงทุนลงแรงนั้นถือว่ามากมาย


เขาไม่ได้สอนลูกศิษย์ด้วยความหวังว่าในอนาคตจะได้สิ่งตอบแทน เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาถือเป็นผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว


ทั้งหมดที่จางเซวียนหวังก็คือหวังว่าลูกศิษย์ทุกคนของเขาจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคตเพราะความรู้ต่างๆที่เขาถ่ายทอดให้


นี่คือความหมายที่แท้จริงของการเป็นครูบาอาจารย์ เป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ที่สุดระหว่างครูกับลูกศิษย์คนหนึ่ง


“ดอกไม้ไม่ได้ร่วงลงจากต้นเพราะมันไร้หัวใจ แต่มันตั้งใจปล่อยตัวเองให้ร่วงลงสู่ผืนดินของฤดูใบไม้ผลิเพื่อบ่มเพาะดอกไม้รุ่นต่อไป…” จางเซวียนพึมพำ


ฟิ้ววววว!


พลังจิตวิญญาณพุ่งเข้าหาจางเซวียนด้วยความเร็วดุเดือด ยังไม่ทันที่ใครจะรู้ตัว เขาก็ก้าวข้ามด่านคอขวดขั้นสุดท้าย เข้าสู่วรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง


“เขาได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างแล้ว?”


“แต่เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”


“ผมลำบากลำบนแทบตายเพื่อให้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ทำไมสำหรับเขา…ทุกอย่างถึงง่ายดายนัก?”


“สงสัยเหลือเกินว่าแรงบันดาลใจแบบไหนที่ทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้ปุบปับแบบนั้น…”


ทุกคนงงจนพูดไม่ออกกับภาพที่เห็นตรงหน้า


การได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างคือเป้าหมายที่นักรบส่วนใหญ่หมายตาและทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อไขว่คว้า ความยากเย็นของการฝ่าด่านวรยุทธนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พวกเขาต้องใช้เวลาเตรียมตัวหลายปี แถมด้วยทรัพยากรกองใหญ่เป็นภูเขาเลากาเพื่อพยายามฝ่าด่านวรยุทธ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งกระบวนการก็ยังเต็มไปด้วยอันตราย


แต่ชายหนุ่มคนนี้ฝ่าด่านวรยุทธได้ขณะที่กำลังสนทนากับพวกเขา!


นี่คงเป็นการฝ่าด่านวรยุทธที่หักมุมและง่ายดายที่สุดในโลก!


พลังงานสวรรค์ไหลเวียนไปตามทางเดินพลังปราณของจางเซวียนเหมือนน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่ในลำธารสงบนิ่ง เกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งราวกับระฆัง


จางเซวียนกำลังอยู่ในสภาวะที่ตัวเขาอธิบายได้ยาก


ความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ที่สุดระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ทำให้ทั้งสองฝ่าย ‘ให้’ กันและกันโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว มีแต่ความผูกพันเหนียวแน่นที่ไร้ความละโมบและความเย้ายวนใจอื่นๆเท่านั้นที่จะคงความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวไว้ได้


ในตอนแรก เขารับหวังหยิ่งกับลูกศิษย์คนอื่นๆไว้เพียงเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกไล่ออกจากโรงเรียนหงเทียน แต่หลังจากที่ได้รู้จักทุกคนดีขึ้น ความรู้สึกที่จางเซวียนมีให้เด็กๆเหล่านั้นก็ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว เขาก็จมดิ่งลงไปในหลุมดำแบบถอนตัวไม่ขึ้น


สำหรับลูกศิษย์ของเขา เขาเต็มใจให้ทุกอย่าง และเด็กๆเหล่านั้นก็พร้อมเสียสละตัวเองเพื่อเขาเช่นกัน


นี่คือสายสัมพันธ์ซึ่งก่อเกิดจากความรู้สึกล้ำลึกของทั้งสองฝ่าย แม้จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ความผูกพันกลับเหนียวแน่นกว่านั้น


ดอกไม้ไม่ได้ร่วงหล่นจากต้นเพราะมันไร้หัวใจ แต่มันตั้งใจปล่อยให้ตัวเองร่วงลงสู่ผืนดินของฤดูใบไม้ผลิเพื่อบ่มเพาะดอกไม้รุ่นต่อไป


ขณะที่พลังจิตวิญญาณไหลเวียนไปทั่วร่างของจางเซวียน ทั้งจิตวิญญาณ กายเนื้อ และพลังปราณของเขาก็ได้รับการขัดเกลาอย่างรวดเร็ว จางเซวียนรีบกลืนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางที่เหลือลงไปเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีพลังงานมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ


เพราะวรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้น สภาวะร่างกายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วย


“นายน้อยยังเจ๋งเหมือนเดิม” ซุนฉางเปรยอย่างภาคภูมิใจ


ไม่ว่าจะเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์ มิติเบื้องบน หรือสรวงสวรรค์ นายน้อยของเขาก็ยังเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสแจ่มจ้าที่สุด


นายน้อยเหมือนหิ่งห้อย เขาปล่อยแสงเจิดจ้าที่ทำให้เป็นจุดสนใจของผู้คนในทุกหนแห่งที่ไป ราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้จะบดบังความเจิดจรัสของเขาได้


ทุกคนที่อยู่ในห้องพากันจับจ้องจางเซวียนด้วยสีหน้าต่างๆกันไป มีทั้งตกตะลึง อิจฉาตาร้อน และยำเกรง


ส่วนผู้ที่ดีอกดีใจที่สุดในห้องก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจัวเหยียน เขารู้สึกว่าตัวเองส้มหล่นครั้งใหญ่ที่ได้พบคนแบบนี้ และตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักต่อไปเพื่อไม่ให้ท่านอาจารย์ต้องอับอาย


เขาจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนจนประสบความสำเร็จแบบที่ท่านพ่อก็ยังทำไม่ได้ ต่อให้จางเซวียนก็จะต้องประหลาดใจเมื่อได้พบตัวเขาอีกครั้ง


แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องของอนาคต


“เทพเจ้าสวรรค์สร้างเป็นแบบนี้นี่เอง” จางเซวียนพึมพำเมื่อพลันเข้าใจกระจ่าง


ตอนที่เขาได้เป็นเทพเจ้า พลังปราณของเขาปรับตัวเข้ากับอำนาจของสรวงสวรรค์จนกลายเป็นพลังงานสวรรค์ และเมื่อเขาก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมจนได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง พลังงานสวรรค์นั้นก็แปรสภาพไปเป็นพลังงานสวรรค์สร้าง


การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก่อให้เกิดความแตกต่างใหญ่หลวงในเรื่องพละกำลัง


เทพเจ้าสวรรค์สร้างสามารถเข้าถึงเสี้ยวหนึ่งของพลังโดยธรรมชาติของสรวงสวรรค์ได้ และถึงแม้พลังที่พวกเขาเรียกมาได้จะมีจำกัด แต่ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับสภาพแวดล้อม


แต่สำหรับนักรบระดับเทพเจ้า พวกเขาต้องพึ่งพาวรยุทธของตัวเองเท่านั้น


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเดิม แม้ที่ผ่านมาเขาจะเผชิญหน้ากับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในเวลานี้ ก็มั่นใจว่าจะต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อแม้แต่กับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง!


ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปด้วย อายุขัยจะเพิ่มขึ้นจาก 100 ปีไปเป็น 1,000 ปี


พันปีในสรวงสวรรค์เทียบเท่ากับ 1 ล้านปีในทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งแม้แต่ประวัติศาสตร์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ก็ยังมีมาไม่ยาวนานขนาดนั้น…


หากมองด้วยมุมมองของผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์ ตัวเขาก็เรียกได้ว่าเป็นอมตะ


เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่การรับรู้จิตวิญญาณและใช้ประสาทสัมผัสสำรวจจนทั่ว เขาพบว่าสามารถรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรัศมี 100 เมตรได้อย่างชัดเจน


เพราะจางเซวียนกินยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางที่เหลืออยู่ไม่มากจนหมดแล้ว จึงไม่อาจยกระดับวรยุทธให้สูงกว่านี้ได้อีก เขาระบายลมหายใจยาวและค่อยๆลืมตา


เป็นอีกครั้งที่เขาขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ


ถ้าเขามียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ามากพอและหาวิธียกระดับวรยุทธให้จิตวิญญาณและกายเนื้อได้ ก็น่าจะสามารถผลักดันวรยุทธไปจนได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง และอาจทำได้ถึงขั้นฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้า!



 

 

 


ตอนที่ 2219 มนุษย์ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?

 

แม้เทคนิควรยุทธที่เราคิดค้นขึ้นเองจะทำให้พึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าน้อยลง แต่กระบวนการต่างๆก็ดำเนินไปได้ช้ากว่าเดิมมาก ความเร็วของการยกระดับวรยุทธลดลงอย่างเห็นได้ชัด จางเซวียนคิดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่


เทคนิควรยุทธที่ก่อเกิดขึ้นจากอารมณ์และความรู้สึกต่างๆในชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลก เขาไม่อาจพึ่งพาภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษได้อีก


จางเซวียนจะต้องสรรค์สร้างเส้นทางของเขาเองหากอยากยกระดับวรยุทธให้สูงกว่านี้ แต่การพูดก็ง่ายกว่าทำมาก ยกตัวอย่าง, เขาต้องใช้เวลาถึง 2 วันเต็มกว่าจะยกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้สำเร็จ ซึ่งหากเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็เท่ากับ 2,000 วัน หรือ 5 ปีเต็มๆเลยทีเดียว!


เขาไม่เคยอืดอาดยืดยาดขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่เริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธมา


เมื่อกลับถึงที่พัก เราจะต้องตรวจสอบให้ละเอียดกว่านี้ว่าความสามารถของเราในฐานะเทพเจ้าสวรรค์สร้างมีอะไรบ้าง จางเซวียนคิด


เหตุผลหลักที่เขาเดินทางมาสภาปรมาจารย์ก็เพื่อจะถ่ายโอนหนังสือที่คนเหล่านี้เก็บรักษาไว้ หวังว่าจะได้แรงบันดาลใจและภูมิปัญญาบางอย่างสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่เข้าไปขัดจังหวะเพื่อหาทางคลี่คลายความขัดแย้งครั้งหนึ่ง ก็กลับลงเอยด้วยการได้แรงบันดาลใจให้ตัวเองและฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ


สำหรับตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องตามหาหนังสืออีกแล้ว


แต่ก็แน่นอนว่าถ้าเขารวบรวมความรู้ได้มากกว่านี้ ก็จะให้คำชี้แนะกับคนอื่นๆได้ง่ายกว่าเดิม และนั่นคือกุญแจที่จะทำให้เขาได้หน้าหนังสือสีทอง


“ปรมาจารย์จาง…”


รังสีเทพเจ้าสวรรค์สร้างของจางเซวียนเจิดจ้าและหนักแน่นมั่นคง ฝูงชนพากันส่งเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ ฟ่านเจ๋อแทบทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความตกใจ


ผมก็พอเข้าใจได้ที่คุณฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จในชั่วพริบตา เพราะคุณอาจสะสมรากฐานวรยุทธและยกระดับวรยุทธได้สูงพอจนพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะ…


แต่นี่…คุณเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น มันเรื่องอะไรถึงขัดเกลาวรยุทธและพัฒนาจิตวิญญาณจนเฉียบคมกว่าเดิมได้ด้วยในชั่วพริบตา?


มนุษย์ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?


เสียงของจางเซวียนฉุดฟ่านเจ๋อที่กำลังตกตะลึงอย่างหนักให้หลุดออกจากภวังค์ “อาจารย์ฟ่านเจ๋อ ไม่ทราบว่าผมจะขอเข้าหอสมุดของสภาปรมาจารย์ได้ไหม? ผมอยากเห็นหนังสือที่พวกคุณเก็บไว้ที่นี่”


“หอสมุด? โดยทั่วไป มีแต่เหล่าปรมาจารย์ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าหอสมุดได้ แต่ในเมื่อคุณปกป้องชื่อเสียงของเหล่าปรมาจารย์ แถมยังช่วยชีวิตนักเรียนคนหนึ่งไว้ด้วย…ปรมาจารย์จาง พวกเรายิ่งกว่าเต็มใจให้คุณได้เห็นทุกอย่างที่เรามีอยู่ที่นี่!” ฟ่านเจ๋อตอบพร้อมกับยิ้มให้


 


2 ชั่วโมงต่อมา จางเซวียนเดินออกจากหอสมุดของสภาปรมาจารย์ในเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


สมกับเป็นสภาปรมาจารย์ที่ตั้งอยู่ในทำเลทอง แม้จะดูไม่โอ่อ่าหรูหราเมื่อเทียบกับสภาปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ปริมาณหนังสือที่พวกเขามีก็ถือว่าไม่ธรรมดา


มีทั้งหนังสือเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ตั้งแต่ระดับเทพเจ้าขั้นต่ำไปจนถึงเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง เมื่อถ่ายโอนทั้งหมดแล้ว ไม่ช้าจางเซวียนก็ประมวลเทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้าได้สำเร็จ


น่าเสียดายที่ไม่มีหนังสือเทคนิควรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้า


แต่เมื่อคิดดูอีกที ในสรวงสวรรค์แห่งนี้ก็มีราชันย์เทพเจ้าอยู่ไม่มากนัก และส่วนใหญ่ก็มาจากตระกูลใหญ่โต จึงเป็นธรรมดาที่มรดกตกทอดของพวกเขาจะสืบทอดกันเฉพาะภายในตระกูล แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะได้แตะต้องเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ของพวกเขา


“ยังเร็วเกินไปที่เราจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้า คงต้องรออีกสัก 2-3 วัน สำหรับตอนนี้ เราควรขัดเกลาวรยุทธและหาวิธียกระดับไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงก่อน”


จางเซวียนรู้ดีว่าหากอยากมีรากฐานวรยุทธที่มั่นคง ก็ต้องก้าวทีละขั้น จึงไม่คิดจะรีบร้อน


แม้ตอนนี้การพัฒนาของเขาจะเชื่องช้ามาก แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมาย เขาเชื่อว่าขอแค่มีความอดทนมากพอ สุดท้ายก็จะได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่!


“ก่อนอื่น เราต้องหายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางหรือขั้นสูงให้ได้สักจำนวนหนึ่ง”


เขากินยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางที่มีไปหมดแล้วเมื่อตอนฝ่าด่านวรยุทธเมื่อครู่ จึงไม่อาจขัดเกลาวรยุทธได้ ซึ่งหากดันทุรังฝึกฝนต่อไปโดยใช้แค่การซึมซับพลังจิตวิญญาณในอากาศ ใครจะไปรู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะทำสำเร็จ?


แบบนั้นก็ชักช้าเกินไป


เวลานี้ ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางใช้กับเขาไม่ได้ผลแล้ว เขารู้สึกได้ว่าประสิทธิภาพของยาลดลงมากหลังจากฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ มีความเป็นไปได้สูงที่เร็วๆนี้คงใช้มันไม่ได้อีก


จางเซวียนรู้ตัวว่าต้องรีบหายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงมาให้ได้ แต่ปัญหาเดียวก็คือเขาไม่รู้เลยว่าจะหาได้ที่ไหน


“มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางวางขายที่ตลาดหมิงหยวน อยู่ไม่ไกลจากที่นี่” ฟ่านเจ๋อบอกจางเซวียน “ส่วนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงถือเป็นทรัพยากรควบคุมของเมืองหลวง คุณหามันไม่ได้ง่ายๆหรอก”


ในฐานะเมืองหลวงของหนึ่งในเก้าเวหา เมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเรียกได้ว่าเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของสรวงสวรรค์ จึงเป็นธรรมดาที่ระดับขั้นของสินค้าที่วางขายที่นี่จะสูงกว่าที่เมืองแสงสนธยามาก


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางที่หาซื้อได้ยากเย็นในเมืองแสงสนธยามีวางขายให้ซื้อหากันมากมายในเมืองนี้


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางคือทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่จำเป็นกับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ซึ่งในเมืองหลวงก็มีนักรบระดับนี้อยู่มากมาย คงเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แน่หากผู้ปกครองเมืองจำกัดการซื้อขายยานั้น


แต่ส่วนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูง ผู้ใช้ส่วนใหญ่คือนักรบระดับราชันย์เทพเจ้า ความยากในการซื้อหามันจึงเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง


แต่สำหรับตอนนี้ จางเซวียนจะต้องยกระดับวรยุทธของเขาโดยใช้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางก่อน แล้วดูว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน


จางเซวียนปฏิเสธคำเชิญร่วมมื้ออาหารเย็นของฟ่านเจ๋อก่อนจะมุ่งหน้าสู่ตลาดหมิงหยวนพร้อมกับซุนฉาง ด้วยเงินที่มีติดตัวอยู่ 40,000 เหรียญสวรรค์ เขาคงจะซื้อหายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางได้จำนวนหนึ่ง


ไม่ช้า ซุนฉางก็เดินกลับมาด้วยรอยยิ้มเริงร่าของผู้ชนะพร้อมกับยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งที่มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลาง 400 เม็ดอยู่ภายใน


โดยทั่วไป สนนราคาของยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางอยู่ที่เม็ดละ 100 เหรียญสวรรค์ เพราะยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางไม่ได้หาซื้อง่ายเหมือนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำ การจะขายออกทีละมากๆจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ อันที่จริง พ่อค้าส่วนใหญ่มักพยายามโก่งราคาเมื่อเจอกับผู้ซื้อที่ต้องการยาในปริมาณมาก


“นายน้อย คุณอยากให้ผมเช่าห้องส่วนตัวเพื่อให้คุณได้ฝึกฝนวรยุทธไหม?” ซุนฉางถาม


“ห้องส่วนตัว?” จางเซวียนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เราเหลือเงินไม่มากแล้ว เก็บไว้ใช้เรื่องจำเป็นดีกว่า”


“ถ้าอย่างนั้น เราจะกลับที่พักไหม?” ซุนฉางถามต่อ


ด้วยความเอาจริงเอาจังในการฝึกฝนวรยุทธของนายน้อย ซุนฉางคิดว่าชายหนุ่มคงอยากฝึกฝนวรยุทธทันทีที่ได้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางมา แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่อีกฝ่ายดูจะไม่แยแสมากนักเมื่อได้มันมาแล้ว


“กลับสิ แต่รอก่อน” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เขานำขวดหยกทุกใบออกจากแหวนเก็บสมบัติและกระดกยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางขวดแล้วขวดเล่าใส่ปาก


เพียงไม่กี่วินาที จางเซวียนก็กลืนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางลงไปกว่า 100 เม็ด


ขณะที่ซุนฉางกำลังสงสัยว่านายน้อยจะทำอะไร วรยุทธของอีกฝ่ายก็พุ่งพรวดจนเห็นได้ชัด


เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นต้น…


เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นกลาง…


2 อึดใจต่อมา เขาก็สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-สูงสุด!


จางเซวียนกลืนยาเม็ดลงไปอีกขวด แต่ระดับวรยุทธของเขาไม่เพิ่มขึ้นแล้ว เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ดูเหมือนด่านคอขวดของผมจะมาเร็วกว่าที่คิด…”


เขาเคยคิดว่าตัวเขาน่าจะยกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางได้ด้วยยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางทั้งหมดที่ซื้อมา แต่ดูเหมือนจะมองโลกในแง่ดีเกินไป


วรยุทธของเขาไม่เพิ่มสูงขึ้นอีกเลยหลังจากที่ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-สูงสุด


แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้น่าสงสัย เพราะแม้ตอนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า จางเซวียนก็ต้องใช้พลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลเพื่อการยกระดับวรยุทธ ซึ่งก็มีบ่อยครั้งที่ประสบปัญหาในการเสาะหาทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธตามที่เขาต้องการ


ในเมื่อตอนนี้เขากำลังฝึกฝนสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าแม้แต่เวทนาสวรรค์ ปริมาณพลังจิตวิญญาณที่เขาต้องใช้จึงสูงกว่าแต่ก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


“เอาเถอะ ตอนนี้ทำอย่างไรเราก็คงฝ่าด่านวรยุทธไม่ได้หรอก แต่เพื่อรักษาสภาวะสมดุลไว้ เราจะต้องตรวจสอบจนแน่ใจก่อนว่ากายเนื้อและจิตวิญญาณของผมอยู่ในระดับทัดเทียมกันกับระดับวรยุทธ”


ความสามารถในการเข้าถึงพละกำลังของธรรมชาติหมายความว่านักรบผู้นั้นจะต้องต้านทานแรงกดดันจากธรรมชาติได้ด้วย เพราะเหตุผลนี้ การรักษาความสมดุลระหว่างพลังปราณ จิตวิญญาณ และกายเนื้อจึงมีความสำคัญ


ไม่อย่างนั้น จุดอ่อนที่เกิดขึ้นก็มีแต่จะทำให้ระดับวรยุทธตกต่ำลงไป


จางเซวียนเข้าใจเหตุผลเรื่องนี้ดี แต่ปัญหาก็คือทั้งที่หอสมุดของสภาปรมาจารย์มีหนังสือเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้อยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีเล่มไหนพูดถึงการเพิ่มพละกำลังให้กับวรยุทธของจิตวิญญาณและกายเนื้อ


เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องหาวิธีอื่นในการเพิ่มพละกำลังให้กับจิตวิญญาณและกายเนื้อของตัวเอง


รวมแล้ว จางเซวียนใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธและครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ไม่เกิน 3 วินาที ซึ่งเมื่อมองไปอีกครั้ง ก็เห็นซุนฉางกำลังทำตาโตจ้องเขา ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น


“นายน้อย คุณฝึกฝนวรยุทธเสร็จแล้วหรือ?”


ซุนฉางนึกอิจฉาความรวดเร็วในการฝึกวรยุทธของจางเซวียนมาตลอด และรู้สึกเหมือนกับว่านายน้อยคงไม่อาจทำอะไรให้เขาประหลาดใจได้อีกแล้ว แต่คราวนี้ก็อดทึ่งไม่ได้ที่พบว่าอีกฝ่ายใช้ระยะเวลาในการฝ่าด่านวรยุทธน้อยลงเมื่อมาถึงสรวงสวรรค์


ที่ผ่านมา จางเซวียนมักใช้เวลาราว 2 ถึง 4 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ แต่เขาไม่ต้องการเวลายาวนานขนาดนั้นอีกแล้ว ดูเหมือนความเร็วในการฝ่าด่านวรยุทธของอีกฝ่ายขึ้นอยู่กับว่าเขากระดกยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเข้าปากได้เร็วแค่ไหน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)