ข้ามกาลบันดาลรัก 221.3-223.2

ตอนที่ 221-3 กลัว ก็ต้องทน

 

หลังจากมาถึงอำเภอชิงเหอ ก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว พอเข้ามาถึงอำเภอเหวินเปียวก็สอบถามหาร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปก่อน แล้วบังคับรถม้ามุ่งตรงไปทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ลงจากรถม้า มอบเงินให้เหวินเปียว ให้เขาเข้าไปซื้อเสื้อผ้าเอง


 


 


เหวินเปียวซื้อเสื้อผ้าง่ายๆ ออกมาสองชุด โยนให้เหวินหู่ชุดหนึ่ง ใส่เองชุดหนึ่ง


 


 


เหวินเปียวกลับขึ้นมาบนรถม้า กำลังจะบังคับรถม้าไปรับซุนเหลียงไฉที่จวนจู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านรถ สั่งการเหวินหู่ “เจ้าไปรับเหลียงไฉที่จวนจูกลับไปบ้าน บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าข้าติดขัดเรื่องการค้า อีกสองวันถึงจะกลับไป อีกอย่าง ห้ามบอกคนอื่นว่าพวกเราอยู่ในอำเภอ”


 


 


เหวินหู่ขานรับ บังคับรถม้าจากไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียว “ไปโรงเตี๊ยมที่พวกเจ้าเข้าพักครั้งก่อน พวกเราจะพักสองสามวัน รอจนอี้เซวียนหายดีค่อยกลับไป เลี่ยงไม่ให้ท่านพ่อท่านแม่กังวลใจที่เห็นเขาในสภาพนี้”


 


 


เหวินเปียวพยักหน้า บังคับรถม้าไปโรงเตี๊ยม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้องโดยสาร เห็นเมิ่งอี้เซวียนนอนหลับไม่เป็นสุข ขมวดคิ้วเกร็งแน่น


 


 


เหวินเปียวมาถึงโรงเตี๊ยมโดยไว จอดเทียบรถม้า


 


 


เสี่ยวเอ้อร์โรงเตี๊ยมจำเขาได้ เข้ามาไต่ถามอย่างเป็นมิตร “วันนี้ยังคงมากับคุณชายเมิ่งหรือเปล่าขอรับ?”


 


 


เหวินเปียวตอบกลับ “วันนี้คุณหนูของพวกเรามากับคุณชายน้อย”


 


 


“แม่นางเมิ่งมาด้วย” เสี่ยวเอ้อร์ถามด้วยความยินดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดอยู่ในห้องโดยสาร “ข้าเอง รีบไปบอกหลงจู๊ ให้เขาเปิดห้องพักสองห้องให้พวกเรา”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ขานรับ วิ่งเหยาะเข้าไปบอกหลงจู๊ด้านใน


 


 


หลงจู๊แสดงสีหน้ายิ้มกริ่ม หยิบกุญแจสองดอกจากในโต๊ะคิดเงินออกมา คล้องไว้ในมือ เดินออกมาหน้าประตูโรงเตี๊ยม ถามด้วยความดีใจ “แม่นางเมิ่ง ยังเป็นห้องชั้นดีสองห้องนั้นใช่หรือไม่ขอรับ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านรถ ลงจากรถม้า ยกยิ้มพูดว่า “ได้ รบกวนหลงจู๊แล้ว”


 


 


หลงจู๊โบกมือพัลวัน “ไม่รบกวน ไม่รบกวน”


 


 


“น้องชายข้านอนอยู่บนรถม้า รบกวนหลงจู๊ช่วยไปเปิดห้องให้ก่อน พวกเราค่อยตามไปที่หลัง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด


 


 


หลงจู๊พยักหน้า หันหลังเดินขึ้นชั้นสอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียว “อุ้มอี้เซวียนขึ้นไปชั้นสอง”


 


 


เหวินเปียวขานรับ เปิดม่านรถ เตรียมจะอุ้มเมิ่งอี้เซวียน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกลับสะดุ้งตื่น มองเขาด้วยใบหน้าหวาดผวา


 


 


เหวินเปียวถูกเขามองจนขนลุกชัน ยืดตัวตรงพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง คุณชายน้อยตื่นแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา พูดด้วยเสียงละมุน “ตื่นแล้วก็ลงมาเถอะ พวกเรายังไม่กลับบ้าน ข้าจะพาเจ้าเที่ยวเล่นในอำเภอสักสองวัน”


 


 


ในอดีตหากเมิ่งอี้เซวียนได้ยินนางพูดเช่นนี้ จักต้องดีใจลิงโลด ฉีกยิ้มหวานเจิดจ้า ทว่าตอนนี้กลับมองนางด้วยใบหน้าซังกะตาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยปากถามเขา “เจ้าไม่ยินดีหรือ?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้ตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขา “หากเจ้าไม่ยินดี พวกเราก็กลับบ้าน หากเจ้ายินดี ก็จงพูดออกมา”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเสียงเขียว “พูด”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนตกใจตัวสั่น เค้นเสียงพูดอย่างยากลำบาก “ข้ายินดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป เมิ่งอี้เซวียนลังเลเล็กน้อย แล้วจับมือนางลงจากรถม้า เดินตามนางขึ้นไปชั้นบน


 


 


หลงจู๊เปิดห้องพักทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เห็นพวกเขาขึ้นมา ร้องทักทายเมิ่งอี้เซวียนอย่างคุ้นเคย “คุณชายน้อยก็มาแล้ว”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่พูด


 


 


หลงจู๊อึ้งเล็กน้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “น้องชายข้าไม่สบาย พูดน้อยไปบ้าง หากมีตรงไหนไม่เหมาะสม ขอหลงจู๊อย่าเก็บไปใส่ใจ”


 


 


ตัวเองเป็นหลงจู๊โรงเตี๊ยม แต่ละวันต้องแย้มยิ้มต้อนรับคน บางครั้งยังต้องรองรับอารมณ์โกรธเกรี้ยวของลูกค้า ไหนเลยจะเจอลูกค้าที่พูดจาสุภาพกับตนเองเช่นนี้ หลงจู๊เกิดความซาบซึ้งใจ ยิ่งแสดงท่าทีอย่างมีมิตรไมตรี ถามด้วยความห่วงใย “จะให้พวกเราไปเชิญท่านหมอมาดูอาการให้คุณชายน้อยไหมขอรับ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ขอบใจหลงจู๊มาก คงเพราะนั่งรถม้านานก็เลยเป็นแบบนี้ นอนพักสักหน่อยก็คงหายดี”


 


 


หลงจู๊พยักหน้า มองดูคนทั้งหมดเข้าไปในห้อง ถึงหันหลังลงมาชั้นล่าง


 


 


พอเข้ามาในห้อง เมิ่งอี้เซวียนก็เอนตัวนอนลงบนเตียงอีกฝั่งอย่างกะปลกกะเปลี้ย เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “นอนพอหรือยัง ถ้ายังนอนไม่พอก็นอนต่ออีกหน่อย”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า หลับตาลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างตัวเขา เลิกผ้าห่มนวมบนเตียงขึ้น คลุมร่างให้เขา แล้วหันกลับหลัง คิดจะสั่งการบางอย่างกับเหวินเปียว


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้ยินเสียงฝีเท้านางเดินห่างออกไป ลืมตาโพลง ถลึงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง พูดอย่างว้าวุ่นใจ “เจ้าอย่าไป ข้ากลัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า หันกลับมามองสภาพน่าเวทนาของเขา เดินกลับเข้ามา นั่งบนเก้าอี้เตี้ยข้างเตียง พูดอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ไป เจ้านอนเถอะ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนจ้องนางเขม็งครู่หนึ่ง คว้ามือข้างหนึ่งของนางมากุมไว้ ถึงเอนตัวลงอีกครั้ง แล้วหลับตา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มืออีกข้างของตัวเองตีตัวเขาเบาๆ


 


 


แม้จะหลับตาสนิทแล้ว แต่เมิ่งอี้เซวียนกลับไม่ได้หลับ ขนตายาวเป็นแพกะพริบไหว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปิดโปงเขา ตีตัวเขาเบาๆ อย่างอดทน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดเมิ่งอี้เซวียนก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ดึงมือที่ถูกเขากำแน่นออกมา ได้แต่ถอนหายใจยาว ทบทวนเรื่องในวันนี้ หรือจะเป็นตัวเองที่ทำผิดไปจริงๆ


 


 


คิดมาคิดไป ก็ฟุบหลับไปข้างเตียง


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังหลับสนิทรู้สึกว่ามือที่กุมมือตัวเองอยู่นั้น ราวกับหัวแร้งบัดกีที่ถูกเผาจนร้อนระอุ สะดุ้งตกใจตื่น ยื่นมือออกไปทาบหน้าผากเมิ่งอี้เซวียน ตัวร้อนจี๋ตามคาด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดคำสบถ ชักมือของตัวเองออกมา รีบลุกขึ้นออกมาหน้าประตูห้อง ร้องเรียกเหวินเปียวอย่างกระวนกระวาย


 


 


เหวินเปียวกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงว้าวุ่นใจของนาง ไม่ทันได้สวมรองเท้าก็วิ่งออกมาถามไถ่ “แม่นาง มีอะไรหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนรนพูด “อี้เซวียนไข้ขึ้น ข้าจะเขียนใบสั่งยา เจ้าจงรีบตามเสี่ยวเอ้อร์ไปจัดยาที่ร้านยามา” พูดจบ ไม่รอเหวินเปียวขานรับ รีบตรงไปหน้าโต๊ะคิดเงินชั้นล่าง พูดกับหลงจู๊พรวดเดียว “ข้าขอยืมกระดาษกับพู่กันของท่านหน่อยเถิด”


 


 


หลงจู๊เห็นท่าทีร้อนรนของนางรีบส่งกระดาษพู่กันในมือให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เขียนใบสั่งยาอย่างว่องไว


 


 


เหวินเปียวกลับเข้าไปใส่รองเท้าในห้อง แล้วรีบเดินตามลงมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมอบใบสั่งยาให้เขา พูดกับเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนอีกด้าน “น้องชายข้าไข้ขึ้น รบกวนเจ้าช่วยพาเขาไปจัดยามาสองสามเทียบ”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้า ก้าวนำหน้าอาดๆ ออกไป เหวินเปียวก็สาวเท้าก้าวตามหลังไป


 


 


“ข้าจะกลับไปดูแลน้องชายที่ห้อง พอพวกเขาจัดยากลับมาแล้ว หลงจู๊ช่วยให้เสี่ยวเอ้อร์นำไปต้มแล้วส่งมาให้พวกเราที่ห้องด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


หลงจู๊พยักหน้า “เจ้ารีบไปดูแลน้องชายเถอะ ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าจะสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้จัดการเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ จ้ำอ้าววิ่งกลับไปชั้นบน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนจับไข้จนพูดเพ้อแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่ง ชุบน้ำในกะละมัง พับเป็นชั้นแล้ววางไว้บนศีรษะเมิ่งอี้เซวียน ทั้งร้องเรียกเขาเบาๆ


 


 


คล้ายว่าเมิ่งอี้เซวียนจะไม่ได้ยิน เอาแต่พูดเพ้อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคอยใช้มือทาบศีรษะเขา ทั้งนำผ้าขนหนูชุบน้ำวางบนศีรษะเขาใหม่ซ้ำไปซ้ำมา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนจับไข้จนเลอะเลือนแล้ว นอกจากจะเอาแต่พูดเพ้อไม่หยุด ก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าเวลาช่างยาวนาน ยาวนานจนตอนที่นางจะตะโกนร้องด่าเหวินเปียว เสี่ยวเอ้อร์ถึงยกถ้วยยาขึ้นมาพร้อมเหวินเปียว


 


 


ได้ยินเสียงฝีเท้าพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินมาหน้าประตู ออกคำสั่งเหวินเปียว “ยกถ้วยยาเข้ามา”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของนาง คล้ายว่าจะกำลังโกรธ จึงไม่ยืนหยัดอย่างรู้ความ มอบถ้วยยาให้กับเหวินเปียว


 


 


เหวินเปียวได้ยินเมิ่งอี้เซวียนพูดเพ้อลางๆ รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากให้เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน รีบรับถ้วยยาจากมือเสี่ยวเอ้อร์แล้วเดินเข้าไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับเข้ามาในห้อง นั่งบนเตียง โอบร่างท่อนบนของเมิ่งอี้เซวียนขึ้น พิงเข้าหาร่างกายส่วนหน้าของตัวเอง แล้วรับถ้วยยามาจากมือเหวินเปียว พูดกล่อมเสียงแผ่ว “อี้เซวียน อ้าปาก จะได้กินยา”


 


 


ในจิตใต้สำนึกส่วนลึกของเมิ่งอี้เซวียนยังคงเชื่อฟังคำพูดนาง หยุดพูดเพ้อ เผยอปากออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนำถ้วยยาวางข้างปากเขา ค่อยๆ ป้อนใส่ปากเขาทีละน้อย


 


 


หลังจากดื่มยาหมด เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นถ้วยให้เหวินเปียว สั่งการเขา “ไปขอเหล้าจำนวนหนึ่งจากหลงจู๊มา”


 


 


เหวินเปียวขานรับนำถ้วยยาเดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ วางเมิ่งอี้เซวียนลงบนเตียง ห่มผ้านวมให้เขา


 


 


เหวินเปียวนำเหล้าขึ้นมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรินเหล้าลงในถ้วยชา สั่งเหวินเปียวจุดไฟ แล้วให้เขาไปยืนเฝ้าหน้าห้อง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา


 


 


เหวินเปียวสาวเท้าก้าวออกไปด้านนอก ปิดประตู ยืนเฝ้าด้านนอกเงียบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกผ้านวมที่ห่มร่างเมิ่งอี้เซวียนออก แล้วถอดเสื้อผ้าของเขาออกอย่างเหนื่อยยาก หยิบถ้วยชาขึ้น ใช้มือจุ่มลงในเหล้าที่ถูกเผาจนร้อน ออกแรงทาถูไปตามแผ่นอกและแผ่นหลังเขาหนึ่งรอบ


 


 


หลังจากทาถูเสร็จ ก็ล้างมือแล้วนำเสื้อผ้าของเมิ่งอี้เซวียนออกมายื่นให้เหวินเปียวที่หน้าประตู “ไปซื้อเสื้อผ้าให้อี้เซวียนตามขนาดของชุดนี้”


 


 


เหวินเปียวขานรับ ถือเสื้อผ้าลงไปชั้นล่างโดยไว


 


 


พอกินยาเข้าไปไม่นานก็ออกฤทธิ์ หน้าผากของเมิ่งอี้เซวียนมีเหงื่อเม็ดโตผุดพรายออกมาไม่ขาด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าขนหนูอีกผืน นั่งบนเก้าอี้เตี้ยข้างเตียง บรรจงเช็ดเหงื่อที่ผุดซึมออกมาให้เขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่พูดเพ้ออีกแล้ว อาการสงบนิ่งลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงโล่งใจขึ้น เสียใจที่ตัวเองเลินเล่อเกินไป ไม่คาดคิดว่าเมิ่งอี้เซวียนจะตกใจจนมีไข้สูงได้


 


 


เวลาเดินผ่านไป กระทั่งไข้ลดไม่เหลือแล้ว เมิ่งอี้เซวียนเริ่มรู้สึกร้อน พยายามเลิกผ้านวมที่คลุมกายออกอย่างไม่รู้ตัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขาเบาๆ “อี้เซวียน อี้เซวียน”


 


 


ร้องเรียกหลายครั้ง เมิ่งอี้เซวียนถึงงัวๆ เงียๆ ลืมตาขึ้นมองนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงอาการยินดี พูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าจับไข้ เหงื่อออกชุ่มไปทั้งตัว เจ้าอย่าสะบัดผ้าน่วมออก”


 


 


เหมือนเมิ่งอี้เซวียนจะฟังนางเข้าใจ สะลึมสะลือผงกศีรษะ แล้วหลับตานอนสลบไสลไปอีกครั้ง ทว่าไม่ได้เตะผ้านวมออกอีก


 


 


เหวินเปียวเคาะประตูจากด้านนอกสองสามครั้ง “แม่นาง ซื้อเสื้อผ้ามาแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นเดินออกมาด้านนอก รับเสื้อผ้ามา แล้วกำชับเขา “เจ้าไปบอกเสี่ยวเอ้อร์ต้มโจ๊กเข้ามา ประเดี๋ยวอี้เซวียนฟื้นจะได้เอาให้เขากิน”


 


 


เหวินเปียวรับคำ หันหลังลงไปชั้นล่าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนำเสื้อผ้าเข้ามาวางในห้อง แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้เตี้ยข้างเตียงเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาเต็มหน้าผากให้เขา


 


 


ผ่านไปอีกสองเค่อ ในที่สุดใบหน้าแดงร้อนผ่าวของเมิ่งอี้เซวียนก็คลายลง ลมหายใจค่อยๆ กลับมานิ่งสงบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก ถือผ้าขนหนูยื่นเข้าไปในผ้านวม เช็ดเหงื่อตามร่างกาย เขาจะได้นอนหลับสบายขึ้น


 


 


คล้ายว่าเมิ่งอี้เซวียนยังคงหวาดกลัว คว้ามือที่สอดเข้ามาเช็ดตัวของนางหมับ แล้วเกาะกุมไว้ในมือแน่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย กลับไม่ได้ชักมือออก ใช้มืออีกข้างหยิบผ้าขนหนูที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของเขาออกมา โยนไปที่ขอบโต๊ะ นั่งนิ่งคอยดูเขาบนเก้าอี้เตี้ย


 


 


เหวินเปียวยกโจ๊กที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เขาวางไว้บนโต๊ะ


 


 


เหวินเปียวเห็นเมิ่งอี้เซวียนกลับมาเป็นปกติแล้ว พูดเสียงเบา “แม่นาง ข้าจะดูคุณชายเอง ท่านออกไปกินอะไรบ้างเถิด” 

 

 


ตอนที่ 222-1 เจ้าเป็นใคร?

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดว่า “วันนี้เจ้าก็เหนื่อยแย่แล้ว ไปกินก่อนเถอะ กินอิ่มแล้วรีบกลับเข้าห้องพักผ่อน ข้ารอให้อี้เซวียนฟื้นค่อยไปกินข้าว”


 


 


ตอนเช้าเกิดการต่อสู้ดุเดือด ตอนเที่ยงก็ไม่ได้พิถีพิถันกิน เหวินเปียวเริ่มรู้สึกหิวแล้วจริงๆ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็พยักหน้าหันหลังลงไปกินข้าวชั้นล่าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองโจ๊กส่งควันร้อนกรุ่นบนโต๊ะ แล้วมองเมิ่งอี้เซวียนที่กว่าจะหลับลงได้อีกครั้ง เม้มริมฝีปาก ไม่ปลุกเขาตื่น


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหลับไปครั้งนี้จิตใจกระสับกระส่าย ในฝันปรากฏภาพชายฉกรรจ์ถูกตัดคอและท่าทีโหดเ**้ยมอำมหิตของเมิ่งเชี่ยนโยวสลับซ้ำไปมา รวมถึงภาพชายฉกรรจ์ที่ถูกเขาฆ่ากำลังเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ นอนทิ้งร่างหายใจรวยริน หวีดร้องสุดเสียงแล้วลืมตาตื่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตกใจ กำลังจะร้องเรียกเขา กลับเห็นเขาลืมตาขึ้น ถามอย่างยินดี “อี้เซวียน เจ้าฟื้นแล้ว?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยังตกอยู่ในห้วงความฝัน เห็นภาพใบหน้าขยายใหญ่ของเมิ่งเชี่ยนโยวตรงหน้า ร่างสั่นสะท้าน ถามด้วยความหวาดผวา “เจ้าเป็นใคร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบชั่วขณะ สีหน้ายินดีแข็งค้างบนใบหน้า ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากเขา แล้วลองถามเสียงแผ่ว “เจ้าลองดูให้ดีๆ ว่าข้าเป็นใคร”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนที่พอถามออกไป สติก็ค่อยๆ ชัดแจ้งขึ้น ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา เม้มริมฝีปาก ตอบเสียงกระเส่า “เจ้าคือโยวเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “ยังดี ยังดี ไม่เป็นไข้จนสติฟั่นเฟือน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมีสติครบถ้วนแล้ว รู้สึกร่างกายเหนียวเหนอะหนะ แถมไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ใบหน้าน้อยๆ พลันเขินแดง ถามอย่างขวยอาย “เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนดูจะไม่เป็นอะไรแล้ว มีสติสมบูรณ์ เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายความเครียดเกร็งลง กระทั่งมีแก่ใจจะหยอกล้อเขา ตอบว่า “เจ้าไข้ขึ้นสูง เอาแต่พูดเพ้อ พอกินยาก็ยังไม่ดีขึ้น ข้ากลัวเจ้าจะไข้ขึ้นจนสมองเสื่อม ภายหน้าครอบครัวพวกเราจะไม่มีที่พึ่งพา”


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ดวงตาเมิ่งอี้เซวียนกลับมามีชีวิตชีวา พูดรับประกันด้วยน้ำเสียงแหบเครือ “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”


 


 


สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงังทันใด ไม่พูดสิ่งใด ลุกไปยกถ้วยโจ๊กบนโต๊ะ กลับมานั่งบนเก้าอี้เตี้ย “ไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน คงหิวแย่แล้ว กินโจ๊กสักหน่อยเถอะ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยายามลุกขึ้นนั่ง พลันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สวมเสื้อผ้า หน้าแดงก่ำเอนตัวนอนลงตามเดิม ถามเสียงเบา “เสื้อผ้าข้าเล่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทำตามที่ขอ พูดอย่างไม่ไยดี “จะเอาเสื้อผ้าไปทำอะไร เจ้าห่อตัวด้วยผ้านวมแล้วลุกขึ้นนั่ง ข้าป้อนโจ๊กให้เจ้าเอง”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยิ่งหน้าแดงฝาด ดวงตาคู่งามเขินสะท้านจนพูดไม่ออกได้แต่จับจ้องเว้าวอนนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีน่าเอ็นดูของเขา ยิ่งให้อยากแกล้งเขา “โอกาสแบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว เจ้าคิดให้ดีๆ จะสวมเสื้อผ้าหรือจะให้ข้าป้อนโจ๊กให้กิน?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนขมวดคิ้วคิดอย่างเอาจริงเอาจัง ครู่หนึ่งถึงตัดสินใจอย่างลำบากใจได้ “ข้าจะใส่เสื้อผ้า”


 


 


“พู่” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะลั่น ใช้มือหยิกแก้มกลมของเขา “อายอะไร ข้าแค่ป้อนโจ๊กให้เจ้าเท่านั้น ไม่เห็นร่างกายเจ้าเสียหน่อย”


 


 


ใบหน้าขาวผ่องของเมิ่งอี้เซวียนแดงจนจะกลั่นเป็นเลือดได้แล้ว ห่อผ้านวมแนบติดกับร่างตัวเองแน่น


 


 


เห็นเขาเขินตัวม้วน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แกล้งเขาอีก ลุกขึ้นวางถ้วยโจ๊กลง หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่เข้ามา วางไว้ข้างตัวเขา “เสื้อผ้าเจ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าซื้อชุดใหม่มาให้ ใส่เสียเถอะ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับเมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้วถามด้วยแววตา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนที่ห่อหดตัวอยู่ในผ้านวม โผล่ให้เห็นเพียงใบหน้ากะจิริด พูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าหันหลังไปก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหัวเราะก๊าก หากไม่เพราะเมิ่งอี้เซวียนยังป่วยหนัก นางจะต้องแกล้งหยอกเขาให้หนำใจเทียว


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นอาการของนาง ยิ่งให้ขวยอาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหันหลังให้ เมิ่งอี้เซวียนใส่เสื้อผ้าด้วยความเร็วสูง แล้วพูดเสียงแผ่วอย่างกระดากอาย “เสร็จแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับมายกถ้วยโจ๊กบนโต๊ะมานั่งข้างเขา จับคันช้อนตักโจ๊กยื่นไปที่ปากเขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าจะยังได้รับการปฏิบัตินี้ ดวงตากลมโตรวมศูนย์อย่างปลาบปลื้มยินดี เปล่งประกายระยิบระยับสว่างไสวไปทั่วทั้งห้องพลัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะตาบอดมืดเพราะดวงตาคู่นั้น มือสั่นเทิ้ม ช้อนในมือก็เกือบร่วงตกพื้น แอบสบถด่าในใจ “ตัวเสนียด” ถึงระงับสติอารมณ์ลงได้ จับช้อนแน่น ป้อนอาหารให้เขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนดีใจจนออกนอกหน้า ค่อยๆ กินโจ๊กจนหมดถ้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่ถูกความงดงามเย้ายวนให้คำสัตย์กับตัวเอง ต่อไปจะไม่ป้อนอาหารให้ตัวเสนียดนี้อีก


 


 


หลังกินโจ๊กเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนเลียริมฝีปาก แสดงอาการยังอยากกินอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เจ้ายังไม่หายดี ไม่สมควรกินมากเกินไป นอนพักผ่อนก่อนเถอะ หากกลางดึกยังหิวค่อยกินเพิ่ม”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง นอนลงบนเตียงแต่โดยดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยห่มผ้านวมให้เขา จับหน้าผากเขา พูดว่า “เจ้าพักผ่อนในห้องคนเดียวสักครู่ ข้าจะลงไปกินข้าวแล้วค่อยขึ้นมา”


 


 


พอได้ยินว่าตัวเองต้องอยู่ในห้องคนเดียว เมิ่งอี้เซวียนแสดงสีหน้าหวาดกลัว ดวงตาสะท้อนแววสั่นผวา กลับพยายามควบคุมอารมณ์ ผงกศีรษะแผ่วเบา


 


 


ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนคำพูดเสียงอ่อน “ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารขึ้นมาก็แล้วกัน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเบิกบาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปนอกประตู ตะโกนบอกให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารขึ้นมา


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ขานรับคำจากชั้นล่าง นำอาหารขึ้นมาส่งโดยไว เห็นเมิ่งอี้เซวียนนอนบนเตียงด้วยแววตามีชีวิตชีวา ถามด้วยความยินดี “คุณชายน้อยดีขึ้นแล้วหรือขอรับ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ดีขึ้นแล้ว หลังจากนี้อีกระยะหนึ่ง รบกวนเจ้าต้มยาอีกหนึ่งเทียบขึ้นมาด้วย”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้า “ประเดี๋ยวข้าจะไปต้มยาให้ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณด้วยใจจริง “ขอบใจ”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์โบกมืออุตลุด “นี่เป็นหน้าที่ของข้า แม่นางไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”


 


 


กินอาหารค่ำเสร็จ ผ่านไปอีกสองเค่อ เสี่ยวเอ้อร์ยกยาที่ต้มเสร็จแล้วขึ้นมา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นนั่ง ดื่มยาจนหมด แล้วนอนกลับไปตามเดิม


 


 


ดึกมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย ลองจับที่หน้าผากเมิ่งอี้เซวียน เย็นๆ เหมือนกับของตัวเอง รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว จึงวางใจนอนลงบนเตียงอีกตัว หลับตาเตรียมจะเข้าสู่ห้วงฝัน


 


 


เสียงตื่นผวาของเมิ่งอี้เซวียนกลับดังขึ้น “ข้าอยากจะนอนกับเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโพลง มองไปที่เขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมองนางด้วยใบหน้าเว้าวอน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด


 


 


เมิ่งอี้เซวียนทำหน้าหมองเศร้า ท้อแท้ห่อเ**่ยว


 


 


“เข้ามาเถอะ แต่แค่คืนนี้เท่านั้นนะ” เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกลับมากระปรี้กระเปร่าพลัน พยักหน้าดีใจ รีบลุกลงจากเตียง กอดผ้านวมของตัวเอง เดินมาข้างเตียงนางด้วยเท้าเปล่า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เขานอนด้านใน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนปีนขึ้นเตียง ข้ามร่างของนางไปอย่างระวัง นอนหงายบนเตียงด้านใน ห่มผ้านวมของตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยห่มให้เขาด้วย ตอนจับผ้านวมรู้สึกเปียกซื้น ถึงนึกได้ว่าตอนที่เขาจับไข้เหงื่อออก ทำให้ผ้านวมชื้นไปด้วย จึงเลิกผ้านวมเขาออก นำผ้านวมของตัวเองห่มให้เขาแทน พูดว่า “ผ้านวมเจ้าเปียกแล้ว ห่มผืนนี้ไปก่อน ข้าจะไปบอกเสี่ยวเอ้อร์นำอีกผืนขึ้นมา”


 


 


พูดจบ ลุกขึ้นเดินพ้นประตูออกไป ตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อร์ให้นำผ้านวมอีกผืนขึ้นมา


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ตอบสนองเร็ว นำผ้านวมมาให้โดยไว เมิ่งเชี่ยนโยวมอบผ้านวมที่เปียกชื้นให้เขา พูดอย่างรู้สึกผิด “น้องชายข้าเหงื่อออกทำผ้านวมเปียกชื้น เจ้าบอกกับหลงจู๊ ให้คิดค่าผ้านวมลงไปในค่าห้อง ตอนจะคืนห้องค่อยคิดบัญชีทีเดียว”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์รับคำ หอบผ้านวมลงชั้นล่าง บอกเรื่องนี้กับหลงจู๊


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปิดประตู กลับมานอนบนเตียง ห่มผ้านวมให้ตัวเอง แล้วหันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนที่ยังลืมตาแป๋วด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นอนเถอะ นอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา อาการป่วยของเจ้าก็จะหายดี”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องมองเขาเป็นนาน คิดถึงเรื่องที่เขาต้องเผชิญในภายหน้า คิดวนไปมาหลายตลบ กระทั่งความง่วงโจมตี ถึงค่อยๆ หายใจยาว เข้าสู่ห้วงนิทรา


 


 


อาจเพราะอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวมีคนให้อิงแอบ อาจเพราะยาที่กินเข้าไปออกฤทธิ์ อาจเพราะพื้นฐานร่างกายเมิ่งอี้เซวียนมีจิตที่มุ่งมั่น ค่ำคืนวันนี้เมิ่งอี้เซวียนไม่จับไข้แล้ว ทั้งสองต่างนอนหลับสนิทตลอดคืน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตื่นในโมงยามของการฝึกซ้อมเหมือนที่เคย แต่ในยามที่ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้วนั้นนางถูกดวงตาเร่าร้อนคู่หนึ่งจับจ้องจนตื่น เมื่อลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตสุกสกาวคู่นั้นของเมิ่งอี้เซวียนก็ปรากฏตรงหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักงัน รู้สึกหลังจากที่ตื่นแล้วเห็นเมิ่งอี้เซวียนนอนข้างกายตัวเองเป็นเรื่องปกติ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมีสีหน้าสดใสเหมือนเดิมแล้ว เห็นนางลืมตาขึ้น พูดเสียงเบาด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม “เจ้าตื่นแล้ว”


 


 


หัวใจเมิ่งเชี่ยนโยวเต้นกระตุกอย่างประหลาด รีบเบือนสายตา ลุกขึ้นยื่นมือออกไปจับหน้าผากเขากลบเกลื่อน รู้สึกเย็นสบาย ไม่มีไข้สูงแล้ว ถามขึ้น “ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือไม่”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า ลุกขึ้นนั่งตาม “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”


 


 


“แน่ใจนะ?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหนักแน่น


 


 


“รู้สึกว่าข้าอำมหิตมากใช่หรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “เจ้าทำเช่นนั้นถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าวันไหนอาจจะเป็นครอบครัวพวกเราที่ถูกฆ่ายกครัว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ พี่รอง น้องเล็กรวมถึงเจ้าล้วนเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตข้า ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ข้าเชื่อเจ้า”


 


 


“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขม็งไปที่นัยน์ตาเขา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าต้องรู้ว่า โลกใบนี้ไม่ได้มีแต่คนดี เมื่อเจอเรื่องที่เป็นภัยคุกคามตัวเอง ห้ามใจอ่อนมืออ่อนเด็ดขาด จักต้องลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ หากเจ้าลังเลไม่ตัดสินใจ คนที่ตายอาจจะเป็นเจ้าเองก็ได้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ข้าเข้าใจความปรารถนาดีของเจ้า เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าต้องให้ข้าประสบเรื่องราวทั้งหมดนี้? หรือเพราะเจ้าจะให้ข้าไปอยู่ที่อื่นแล้ว?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไปเล็กน้อย แล้วตีเพี๊ยะไปที่ตัวเขา “ยังไม่ตื่นดีหรือไร พูดอะไรเพ้อเจอแต่เช้า เจ้าบอกเองว่าจะสอบขุนนางให้ได้ จะนำเกียรติยศมาสู่วงศ์สกุล ถึงตอนนั้นเจ้าต้องไปรับราชการถิ่นอื่นลำพัง จักต้องรู้จักความโหดเ**้ยมของจิตใจคน ที่ข้าทำเรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เข้าใจหรือไม่?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถูกตีกลับแสดงออกว่ามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ยกยอรอยยิ้มเจิดจ้า 

 

 


ตอนที่ 222-2 เจ้าเป็นใคร?

 

ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอกกำลังจะลงจากเตียง เสียงหยั่งเชิงถามอย่างระวังของเมิ่งอี้เซวียนก็ดังขึ้น “บอกข้าได้หรือไม่ เจ้าเป็นใคร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร่างแข็งค้าง อยู่ในท่าลงจากเตียงนิ่งไม่ขยับ


 


 


เสียงเมิ่งอี้เซวียนยังดังต่อเนื่อง “แม้หลายปีก่อนพวกเราจะไม่เคยพูดคุยกัน แต่อย่างไรพวกเราก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เรื่องเล็กน้อยของเจ้าข้าพอจะได้ยินมาบ้าง เจ้าเป็นเพียงเด็กสาวที่ถูกตามใจจนเสียคน ไม่มีความสามารถพิเศษใดใด แต่ช่วงเวลาเพียงข้ามคืน เจ้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน ไม่เพียงทำการค้าเป็น ยังรู้วรยุทธ์ศาสตร์มืด โดยเฉพาะเมื่อวาน รัศมีเ**้ยมอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเจ้า ไม่มีทางที่เด็กสาวบ้านนาจะมีได้เด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอารมณ์สงบนิ่งลงแล้ว ลงจากเตียงใส่รองเท้า มือกอดอกหันกลับมาเผชิญหน้าเขา ใช้น้ำเสียงเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มพูดว่า “สังเกตได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าบอกเจ้าว่าข้าเป็นผีเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้างุด “เจ้าไม่ใช่ผี ข้าค้นหาดูแล้ว ในหนังสือบอกว่าผีไม่มีเงา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะลั่น ถามขึ้น “ดังนั้นเล่า ข้าควรเป็นใคร?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนแสดงสีหน้าแคลงใจ “เจ้าคือโยวเอ๋อร์ แต่ก็ไม่ใช่โยวเอ๋อร์ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป ออกแรงตีเขาป๊าปใหญ่ ตีจนร่างเมิ่งอี้เซวียนโอนเอน พูดว่า “อย่าบอกว่าเจ้าจับไข้จนสติเสียไปแล้วนะ เอาแต่พูดเพ้อเจ้อ ข้าก็คือข้า ยังจะเปลี่ยนเป็นใครได้อีก ข้าเพียงบังเอิญมีโอกาสได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างก็เท่านั้น เรื่องนี้คนในครอบครัวต่างก็รู้”


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งอี้เซวียนก็โล่งใจ ขยี้หัวตัวเองพูดเก้อเขิน “เมื่อวานข้าคงจะจับไข้จนเลอะเลือนไปจริงๆ เลือนๆ ลางๆ เห็นเจ้าอยู่ในสถานที่ที่ข้าไม่รู้จัก คนและสิ่งของณ ที่แห่งนั้นก็แปลกประหลาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ ไม่เข้าใจว่าเมิ่งอี้เซวียนจับไข้เหตุใดถึงเห็นอดีตชาติของตัวเองได้ ทว่ากลับไม่แสดงสีหน้าตกอกตกใจใดๆ พูดว่า “เมื่อเจ้าคิดฟุ้งซ่านได้ แสดงว่าเจ้าหายดีแล้ว รีบลุกขึ้น กินข้าวเสร็จพวกเราจะได้รีบกลับบ้าน”


 


 


ไม่รู้ว่าพออ้างว่าตัวเองไม่สบาย เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่กล้าทำรุนแรงกับตัวเองหรือไม่ วันนี้เมิ่งอี้เซวียนใจกล้าบ้าบิ่น ยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเอง ล้มตัวนอนลง พูดกระเง้ากระงอด “ข้ายังมึนหัวอยู่เลย เกรงว่าจะยังกลับบ้านไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยเห็นเขางอแงแบบนี้ นิ่งอึ้งแล้วโพล่งขำออกมา พูดว่า “ข้าจะนับหนึ่ง สอง สาม หากเจ้ายังไม่ลุกขึ้น ข้าจะไม่พาเจ้าออกไปเดินเล่น”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนผุดลุกขึ้นมาทันที “เจ้าไม่ต้องนับ ข้าลุกขึ้นมาแล้ว เจ้าต้องพูดจริงทำจริงนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตัวงอ


 


 


เหวินเปียวตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอีกด้าน รีบออกมา เคาะประตู ถามเสียงเบา “แม่นาง คุณชายน้อย พวกท่านตื่นแล้ว จะให้ยกอาหารเช้าเข้ามา หรือลงไปกินข้างล่างขอรับ”


 


 


เสียงกังวานของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยมาจากในห้อง “พวกเรายังไม่ได้ล้างหน้าล้างตา เจ้าลงไปกินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยยกขึ้นมาให้พวกเรา”


 


 


เหวินเปียวขานรับคำอย่างอ่อนน้อม หันหลังลงไปชั้นล่าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตักน้ำล้างหน้า เมิ่งอี้เซวียนเก็บเตียงพับผ้านวม วางไว้เป็นระเบียบ


 


 


ล้างหน้าล้างตาเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดหน้าต่างออก ลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามา นางสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง แล้วยืนมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง


 


 


ฟ้าสว่างแจ้งแล้ว คนบนถนนมีจำนวนมากขึ้น สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านแผงลอย ส่งเสียงร้องเรียกดังเป็นระลอก


 


 


เมิ่งอี้เซวียนล้างหน้าเสร็จก็ชะโงกหน้าเข้ามา มองนอกหน้าต่างอย่างเบิกบานใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าท่าทีไร้ทุกข์ไร้โศกของเขาในตอนนี้ คิดว่าภายหน้าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคนโฉดชั่วอำมหิต ก็ให้ปวดใจแปลบ


 


 


เหวินเปียวยกอาหารขึ้นมา หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จ ก็ตะโกนเรียกเหวินเปียวให้ลงไปหน้าโต๊ะคิดเงินชั้นล่างด้วยกัน


 


 


หลงจู๊เห็นพวกเขาลงมา แย้มยิ้มถาม “คุณชายน้อยไม่เป็นอะไรแล้วนะขอรับ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณหลงจู๊ที่ช่วยเหลือ”


 


 


หลงจู๊ยิ้มแหะๆ โบกมือ “นี่เป็นหนึ่งในงานของข้า แม่นางเกรงใจแล้ว พวกท่านกำลังจะออกไปหรือ?”


 


 


“วันนี้มีเวลาพอดี ข้าจะพาน้องชายออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


คนทั้งหมดเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ให้เหวินเปียวไปบังคับรถม้าออกมา เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่เคยเห็นแผงลอยมาดขนาดนี้มาก่อน ตื่นตาตื่นใจไปกับทุกสิ่ง เหมือนเด็กน้อยไม่ประสาโดยแท้ เดี๋ยวก็มองตรงนั้น เดี๋ยวก็จับตรงนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ว่ากล่าวเขา โอนอ่อนมองตามเขาด้วยแววตาเอ็นดู


 


 


เหวินเปียวคอยตามติดพวกเขาทั้งสองคน


 


 


วันแห่งความเบิกบานผ่านไป กลับมากินอาหารค่ำที่โรงเตี๊ยม คนทั้งหมดพักผ่อนแต่หัวค่ำ เช้าตรู่วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินค่าห้อง ทั้งยืนหยัดจะจ่ายค่าผ้านวม จากนั้นกำชับเหวินเปียวให้บังคับม้ามุ่งหน้ากลับบ้าน


 


 


เหวินหู่ที่กลับมาตั้งแต่เมื่อวาน บอกเมิ่งชื่อที่ว้าวุ่นใจไปตามความจริงว่า เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในจังหวัดต่ออีกวันเพื่อจัดการเรื่องการหมั้นหมายให้จูหลาน


 


 


เมิ่งชื่อได้ฟังก็โล่งอก เอาแต่พูดว่าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ดีแล้ว


 


 


เหวินหู่ยังบอกนางว่า เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ที่จังหวัดคุยเรื่องการค้าต่อ ไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะกลับ


 


 


เมิ่งชื่อถามว่าเจรจากับเถ้าแก่จางเรียบร้อยดีแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดยังต้องอยู่คุยเรื่องการค้าต่อ


 


 


เหวินหู่ทำตาล่อกแล่กตอบกลับว่าเขาเองก็ไม่รู้ เมิ่งเชี่ยนโยวเพียงสั่งกำชับมาเท่านี้ มิได้พูดอะไรอีก


 


 


ซุนเหลียงไฉกลับมาก่อนใคร ยิ่งไม่รู้อะไรเลย


 


 


แม้เมิ่งชื่อจะกังขา แต่พอคิดว่าการค้าเป็นเรื่องใหญ่ การจะเจรจาไม่สำเร็จในเวลาอันสั้นก็มีความเป็นไปได้ จึงยอมวางใจลง


 


 


สะใภ้เหวินหู่มองดูรายละเอียด พบว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


เหวินหู่พูดคำโป้ปดที่คิดเตรียมเอาไว้แล้ว บอกว่าตอนที่ช่วยเถ้าแก่จางขนถ่ายสินค้า เขาและเหวินเปียวต่างไม่ระวังเกี่ยวถูกเสื้อขาด เมิ่งเชี่ยนโยวจึงซื้อชุดใหม่ให้พวกเขา


 


 


สะใภ้เหวินหู่ถามเขาถึงเสื้อผ้าชุดเก่า


 


 


เหวินหู่บอกว่าโยนทิ้งไปแล้ว


 


 


สะใภ้เหวินหู่เจ็บปวดใจนัก ตำหนิว่าเขาไม่รู้จักใช้เงิน “เสียหายเอามาปะชุนก็ยังใส่ได้ เจ้าทิ้งไปน่าเสียดายนัก”


 


 


เหวินหู่ไม่ได้โต้เถียง


 


 


สะใภ้เหวินหู่เห็นเขาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า รีบให้เขาเข้าไปพักผ่อนในบ้าน


 


 


หนึ่งชั่วยามกว่าพวกเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับมาถึงบ้าน เพิ่งจะชำระล้างเสร็จ เมิ่งชื่อที่กำลังจะไปโรงงานเห็นรถม้าลิบๆ จึงยืนรอหน้าประตูบ้าน


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้ามาจอดหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งชื่อยืนอยู่หน้าประตู นึกว่าจะถูกพร่ำสอนอีกชุด ตอนที่กำลังจะใช้วิชาออดอ้อนมาพูดกล่อมให้เมิ่งชื่อสบายใจ เมิ่งชื่อกลับร้อนรนเอ่ยปาก “เมื่อวานท่านอาจารย์มาหา โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บอกว่าภายหน้าหากเจ้าให้อี้เซวียนต้องเสียการเรียนเช่นนี้อีก เขาจะพาทั้งครอบครัวกลับบ้านเกิดทันที”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้ฟัง มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตื่นกังวล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “ช่วงเช้านี้เจ้าเข้าไปพักผ่อนในห้องก่อน ข้าจะไปคุยกับท่านอาจารย์ ตอนบ่ายเจ้าค่อยไปเข้าเรียน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า


 


 


เมิ่งชื่อกำชับนาง “เจ้าไปถึงบ้านท่านอาจารย์แล้ว จะต้องพูดจาประจบเอาใจท่านอาจารย์ให้มาก ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เขาไปไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้า กอดแขนนางอย่างรักใคร่ พูดปลอบใจนาง “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ท่านอาจารย์ไม่มีทางไปหรอก”


 


 


เมิ่งชื่อเอ่ยถึงท่าทีเดือดดาลเมื่อวานของท่านอาจารย์แล้วก็ยังหวาดกลัวไม่หาย พูดว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนที่ท่านอาจารย์บันดาลโทสะน่ากลัวยิ่งนัก ข้าและท่านพ่อเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง”


 


 


“เขาเป็นพระอาจารย์มานานหลายปี บารมีน่าเกรงขามสลักเข้าไปในกระดูกของเขาแล้ว เวลาบันดาลโทสะพวกท่านจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร?” เมิ่งเชี่ยนโยวรู้แก่ใจ แต่ปากกลับไม่กล้าพูดกับเมิ่งชื่อ ทำได้เพียงยิ้มแหะๆ พูดปลอบใจเมิ่งชื่ออีกสองสามคำ


 


 


เมิ่งชื่อเห็นนางไม่ยี่หระใดๆ เริ่มกระวนกระวายใจ เร่งเร้านาง “เจ้ายังไม่รีบไปอีก ไปช้ากว่านี้ท่านอาจารย์อาจจะยิ่งโกรธเกรี้ยวก็เป็นได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้เปลี่ยนชุดมาหลายวันแล้ว เสื้อชุดนี้เหม็นจะแย่แล้ว ข้าไปพบท่านอาจารย์เช่นนี้ เขาเห็นข้าแต่งกายไม่สะอาดหมดจด จะต้องยิ่งโมโหอีกเล่า”


 


 


เมิ่งชื่อเห็นนางยังใส่ชุดตอนที่ออกไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดกำชับนาง “ต่อไปเวลาออกจากบ้านให้นำเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งติดตัวไปด้วย เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหลายวัน คนจะหัวเราะเยาะได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผละออกจากแขนนางเดินเข้ามาในลานบ้าน พูดกระเซ้าเย้าแหย่ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ แม่เฒ่าขี้บ่น”


 


 


เมิ่งชื่อหลุดขำ ส่ายหน้าเดินไปโรงงานกระเป๋านักเรียน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในบ้าน บรรจงอาบน้ำอย่างละเมียด แต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ด้วยเสื้อผ้าสะอาดอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วเดินมาหน้าประตูบ้านท่านอาจารย์ พูดกับคนเฝ้าประตูอย่างมีมารยาท “รบกวนท่านไปเรียนรายงาน บอกว่าข้ามีเรื่องมาขอพบท่านอาจารย์”


 


 


เห็นเมิ่งอี้เซวียนไม่มาเข้าเรียนหลายวัน ท่านอาจารย์อารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก คนในเรือนต่างทำทุกอย่างอย่างระมัดระวัง เกรงจะทำให้เขาไม่พอใจ ถูกว่ากล่าวชุดใหญ่ ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา บ่าวเฝ้าประตูถึงโล่งใจลง รีบวิ่งเข้าไปรายงาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของบ่าว ก็ให้ขบขัน นางนึกว่าการเป็นพระอาจารย์มานานหลายปี จะฝึกฝนท่านอาจารย์ให้กลายเป็นคนสงบนิ่งเยือกเย็น ไม่หวั่นไหวต่อการมีได้มีเสีย ไม่คิดว่าจะเหมือนกับคนปกติทั่วไป มีอารมณ์ฉุนเฉียว แม้แต่คนเฝ้าประตูยังหวาดผวาถึงเพียงนี้


 


 


บ่าวรับใช้วิ่งแจ้นกลับมา ยังไม่ทันได้หายใจดี ก็รีบพูด “แม่นางเมิ่ง นายท่านให้ท่านเข้าไปได้ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามบ่าวที่หายใจกระหืดกระหอบเข้ามาในลานเรือนท่านอาจารย์


 


 


บ่าวยืนกลางลานเรือน รายงานด้วยความอ่อนน้อม “นายท่าน แม่นางเมิ่งมาถึงแล้วขอรับ”


 


 


น้ำเสียงท่านอาจารย์เจือแววฉุนเฉียว “ให้นางเข้ามา”


 


 


บ่าวมองนางอย่างเห็นใจแวบหนึ่ง เปิดม่านประตู ให้นางเข้าไป จากนั้นราวกับมีสิ่งของไล่หลัง รีบวิ่งแนบกลับมาหน้าประตู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ทำความเคารพอย่างเป็นทางการแก่ท่านอาจารย์


 


 


ท่านอาจารย์นั่งบนเก้าอี้ แค่นเสียงหึ “ข้าเป็นเพียงอาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง รับการเคารพชุดใหญ่จากแม่นางเมิ่งไม่ไหวหรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอื้อนเอ่ยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านอาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว ไม่ว่าท่านอยู่ในสถานะใดก็สมควรได้รับการเคารพเต็มรูปแบบนี้”


 


 


ท่านอาจารย์ไม่บอกให้นางนั่งลง แต่พูดอย่างฉุนเฉียว “เมื่อก่อนข้าเป็นพระอาจารย์ แม้จะสอนสั่งแต่บุตรหลานเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่เคยมีใครเป็นเหมือนเมิ่งอี้เซวียน อยากเรียนก็มา ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องมา เจ้าให้ท้ายเขาเช่นนี้ ทำให้เขาไม่มีระเบียบ ภายหน้าจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านอาจารย์เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่มีทางให้ท้ายให้เขาทำเช่นนี้แน่ ที่พวกเรากลับมาช้ากว่าที่ท่านกำหนดไว้ เป็นเพราะพวกเราพบกับเรื่องยุ่งยากบางอย่างเข้า”


 


 


ท่านอาจารย์ไม่เชื่อ “พวกเจ้าเพียงออกไปส่งสินค้ามิใช่หรือ? จะมีเรื่องยุ่งยากอันใดได้?”


 


 


“ถูกคนตามฆ่าถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


ท่านอาจารย์ตกใจลุกพรวด “พวกเจ้าถูกคนตามฆ่า? เพราะสถานะของอี้เซวียนถูกเปิดโปงหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พูดให้ถูกไม่ใช่พวกเราที่ถูกตามฆ่า แต่เป็นเหวินเปียวและเหวินหู่ถูกตามฆ่า”


 


 


ไม่ใช่เมิ่งอี้เซวียน ท่านอาจารย์ก็วางใจลง นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ น้ำเสียงไม่เหลือความเคืองขุ่นแล้ว ชี้เก้าอี้อีกตัวพูดว่า “นั่งลงพูดเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เล่าเรื่องที่เหวินเปียวพบว่าถูกคนสะกดรอยตาม พวกเขาล่อคนพวกนั้นไปยังที่ลับตาคน แล้วฆ่าคนพวกนั้นทิ้ง โดยไม่ปิดบังให้ท่านอาจารย์ฟัง สุดท้ายถึงพูดว่า “พอคิดว่าหลังจากอี้เซวียนกลับคืนฐานันดรแล้ว จะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์มากมาย ข้าจึงตัดสินใจให้เขาได้เห็นทั้งหมดนี้กับตาตัวเอง ไม่คิดว่าเขาจะรับไม่ไหว ตกใจจนไข้ขึ้น ข้ากลัวท่านพ่อท่านแม่เป็นกังวล จึงยังไม่กลับมา อยู่ที่โรงเตี๊ยมสองวัน กระทั่งเขาไม่เป็นอะไรแล้วถึงรีบเดินทางกลับมา”


 


 


น้ำเสียงท่านอาจารย์เจือแววไม่เห็นด้วย “อี้เซวียนยังเล็ก เจ้าให้เขาเผชิญกับเรื่องเ**้ยมอำมหิตเช่นนั้นได้อย่างไร”


 


 


“อี้เซวียนเติบโตในชนบทแต่เด็ก เป็นคนจิตใจ ข้ากลัวหลังจากเขากลับคืนสู่ฐานันดรแล้ว ประสบกับเรื่องที่เป็นภัยต่อตัวเองจะทำใจลงมือฆ่าคนไม่ได้ กลายเป็นภัยถึงแก่ชีวิตของตัวเอง ข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


ท่านอาจารย์ส่ายหน้า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หากท่านอ๋องฉีตามตัวอี้เซวียนกลับไป จะรักใคร่เขาเหมือนไข่ในหิน ไม่มีทางให้เขาถูกทำร้ายแม้เพียงปลายก้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้งกลับ “ท่านอ๋องฉีมีอำนาจบารมีมากเช่นนั้น เหตุใดในตอนนั้นอี้เซวียนถึงถูกทิ้งไว้บนภูเขาได้? หลายปีมานี้เหตุใดถึงไม่มีใครตามพบ? สิ่งที่แอบแฝงอยู่เหล่านี้ คิดว่าไม่ต้องให้ข้าพูดท่านก็คงทราบดี ดังนั้น จวนอ๋องฉีหาได้สุขสงบเหมือนอย่างที่ท่านคิดไม่ หากอี้เซวียนต้องกลับไปจริงๆ ไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดบ้าง ที่ข้ากระทำเช่นนี้ เพราะอยากให้เขารู้ว่า ยามที่ต้องลงมือก็ห้ามมืออ่อน การฆ่าศัตรูให้สิ้นซากถึงจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด”


 


 


ท่านอาจารย์เริ่มครุ่นคิดตกผลึก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ดังนั้น ที่วันนี้ข้ามาหาท่านอาจารย์ นอกจากมาอธิบายสาเหตุที่พวกเรากลับมาช้า ข้ายังต้องการให้ท่านอาจารย์เพิ่มความเร็วในการสอนสั่ง เดิมข้าวางแผนใช้เวลาสามปีให้ท่านสอนสั่งอี้เซวียนอย่างเต็มที่ แต่ช่วงเวลานี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ข้ารู้สึกว่าข้ามองโลกในแง่ดีเกินไป”


 


 


ท่านอาจารย์เอ่ยปาก ถามอย่างแคลงใจ “เหตุใดแม่นางถึงมีความรู้สึกเช่นนี้ได้? คนกลุ่มนั้นพุ่งเป้ามาที่บ่าวของครอบครัวเจ้า เกี่ยวอะไรกับสถานะของอี้เซวียนด้วย?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่เพียงเท่านี้ ขอท่านอาจารย์ให้อภัยที่ข้าไม่อาจแพร่งพรายแก่ท่านได้ แต่ลางสังหรณ์ข้าแม่นยำมาตลอด นับจากวันนี้ไปขอให้ท่านอาจารย์เพิ่มความเร็วในการสอนสั่งด้วยเถอะ”


 


 


ช่วงเวลานี้ท่านอาจารย์พอจะเข้าใจเมิ่งเชี่ยนโยวมากขึ้นแล้ว รู้ว่านางไม่ใช่คนที่ทำการหลักลอย จึงพยักหน้า “ได้ เจ้ากลับไปบอกอี้เซวียน นับแต่วันนี้ไป ทุกวันข้าจะเพิ่มการสอนอีกหนึ่งชั่วยาม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้ซาบซึ้งใจ กล่าวขอบคุณด้วยใจจริง “ขอบคุณท่านอาจารย์”


 


 


ท่านอาจารย์โบกมือ “แม่นางมิต้องขอบใจ อี้เซวียนเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวในชีวิตข้า ที่ทำให้ข้ารู้สึกภาคภูมิใจ ข้าเองก็ไม่อยากให้ภายหน้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเขา ข้าจะสอนสั่งเขาอย่างสุดความสามารถ” หลังจากอธิบายเหตุผล และได้รับคำรับประกันจากท่านอาจารย์ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กล่าวลาท่านอาจารย์ กลับมาที่บ้าน บอกเมิ่งอี้เซวียนที่รอคอยอย่างกระสับกระส่าย ให้ตอนบ่ายเข้าไปเรียนตามเดิม ทว่าจากนี้ไปจะเพิ่มการเรียนขึ้นอีกหนึ่งชั่วยามทุกวัน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนนึกว่าเป็นการตัดสินใจภายใต้โทสะของท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่กล้ามีความเห็นต่าง เพียงพูดว่าตัวเองทราบแล้ว 

 

 


ตอนที่ 222-3 เจ้าเป็นใคร?

 

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกสิ่งก็สงบราบรื่น ช่วงแรกเมิ่งเชี่ยนโยวยังคอยเตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ ทว่าเรื่องที่คาดการณ์ไว้กลับไม่เกิดขึ้นเลย เวลาผ่านไปนานเข้า คิดว่าตัวเองคงคิดมากเกินไป จึงยอมวางใจลง


 


 


ไม่นานผลผลิตในแปลงดินก็สุกงอม เมิ่งเอ้ออิ๋นพาคนทั้งครอบครัวเข้ามาภายใต้สายตาอิจฉาของคนทั้งหมู่บ้าน ใช้เวลาเพียงสองวันก็เก็บเกี่ยวทั้งหมดกลับบ้าน แล้วใช้เวลาอีกหนึ่งวันทำการหว่านไถอีกครั้ง


 


 


ช่วงเวลาปลูกมันฝรั่งฤดูกาลที่สองก็มาถึงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการทุกคนให้ปลูกมันฝรั่งให้เต็มที่ดินทั้งหนึ่งร้อยกว่าหมู่ ครั้งนี้ต้องการคนมาก จึงให้เมิ่งต้าจินไปรับสมัครคนจำนวนมากจากหมู่บ้านใกล้เคียงทั้งสองหมู่บ้านเข้ามา ผู้ใหญ่บ้านทั้งสองต่างดีอกดีใจ เลือกเฟ้นแต่คนเอาการเอางานของหมู่บ้าน ใช้เวลาไม่กี่วัน ก็ปลูกมันฝรั่งทั้งหมดเสร็จ


 


 


มันฝรั่งของเถ้าแก่หวังเปิดตลาดได้ดี ทุกสองสามวันจะส่งรถม้าจำนวนหนึ่งเข้ามารับมันฝรั่งจำนวนมาก มันฝรั่งในโรงงานเพียงมองด้วยสายตาลดน้อยลงไปมาก


 


 


การค้ากระเป๋านักเรียนของเถ้าแก่จางก็ไปได้สวย ต้องการสินค้าไม่ขาด กลุ่มหญิงสาวในโรงงานกระเป๋านักเรียนทำไม่ทัน เมิ่งชื่อจึงหาผู้หญิงที่มีฝีมือเย็บปักดีมาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง หญิงสาวสิบกว่าคนต่างไม่มีเวลาพูดคุยหยอกเย้า ล้วนก้มหน้าก้มตาเย็บกระเป๋านักเรียนในมือตัวเองอย่างขะมักเขม้น


 


 


จูหลานก็ให้คนส่งจดหมายถึงเมิ่งเชี่ยนโยวหนึ่งฉบับ บอกว่าเรื่องงานแต่งงานกับจางลี่ถูกกำหนดแล้ว คงเพราะทั้งสองคนได้คบหากัน เข้าใจกันและกันมากขึ้น เนื้อความในจดหมายของจูหลานล้วนเต็มไปด้วยความชื่นบาน


 


 


การค้ามันฝรั่งแผ่นทอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง โรงงานต้องรับสมัครหญิงสาวเพิ่มอีกสิบกว่าชีวิตก็น่าจะรู้แล้ว


 


 


ทุกวันที่เมิ่งอี้เซวียนเลิกเรียนกลับมา ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า


 


 


เมิ่งชื่อเห็นแล้วก็ให้ปวดใจ กลับไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงคอยผลัดเปลี่ยนทำอาหารหลากหลายให้เขากินทุกวัน


 


 


การเรียนของซุนเหลียงไฉก็เข้ารูปเข้ารอยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่คอยตรวจสอบเขาทุกคืนอีก


 


 


วันเวลาผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่ก็เต็มตื้น ใบหน้าของคนทั้งครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นมีแต่รอยยิ้มเบิกบานทุกวัน ชาวบ้านยิ่งทวีความอิจฉา ทุกวันจะต้องไปเดินวนหน้าประตูโรงงานหลายรอบ ดูว่ายังต้องการรับสมัครคนหรือไม่ ตัวเองจะได้เข้าไปสมัครเป็นคนแรก


 


 


ทั้งหมู่บ้านมีเพียงสองครอบครัวที่ไม่ได้ทำเช่นนี้ หนึ่งคือครอบครัวหนิวโกวจื่อ ถือดีว่าในมือตัวเองมีเงินที่ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด ให้ดูถูกดูแคลนกับการรับสมัครงานของสกุลเมิ่ง


 


 


อีกครอบครัวคือบ้านหลิวกุ้ย นับแต่ที่หลิวกุ้ยร้องเท็จเมิ่งต้าจินไม่สำเร็จ กลับถูกผู้ว่าการตำบลโบยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด คนทั้งครอบครัวต่างก็อยู่อย่างสงบ ไม่กล้าแผลงฤทธิ์เดชอะไรอีก หลิวต้าเป่าออกไปทำงานรับจ้างในตำบลลำพัง สะใภ้หลิวต้าเป่าคอยเลี้ยงลูกสองคนอยู่ที่บ้าน สะใภ้หลิวกุ้ยก็ไม่เหลือความหยิ่งผยองโอหังนั้นแล้ว นอกจากไปทำงานที่แปลงดิน ก็แทบจะไม่ออกไปไหน หดหัวอยู่แต่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยม แม้แต่เด็กน้อยทั้งสองคนก็ไม่ออกมาเล่น


 


 


ช่วงแรกชาวบ้านยังวิพากษ์อยู่บ้าง ภายหลังเวลาผ่านไปนานเข้า หมดความน่าสนใจ หากไม่เพราะมีวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีรถม้าที่หรูหรากว่ารถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแล่นมาจอดเทียบหน้าประตูบ้านนาง ชาวบ้านคงลืมพวกเขาไปแล้ว


 


 


ในวันนี้ ทำการหว่านไถเสร็จแล้ว ชาวบ้านที่ว่างงานต่างออกมาตากแดดข้างนอกตามปกติ รถม้าหรูหราโอ่อ่าคนหนึ่งแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน สองฝั่งของรถม้ายังมีสาวใช้และบ่าวรับใช้อีกจำนวนหนึ่งติดตามมาด้วย


 


 


ชาวบ้านไม่เคยเห็นรถม้าหรูหราสวยงามและขบวนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ต่างถลึงตาโต จับจ้องตาเป็นมัน ต่างแอบคาดเดาในใจ รถม้าคันนี้จะต้องไปที่บ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น


 


 


ไม่คิดว่าหลังจากรถม้าแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่แม้แต่จะสอบถาม พอถึงทางแยก ก็เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง


 


 


ชาวบ้านต่างประหลาดใจ ลุกขึ้นตามหลังไป ดูว่าจะไปบ้านใครกันแน่


 


 


ชาวบ้านต่างคาดไม่ถึงว่า รถม้าจะมาจอดหน้าประตูบ้านหลิวกุ้ย


 


 


รถม้าจอดสนิท สาวใช้คนหนึ่งเดินขึ้นหน้า พูดอย่างอ่อนน้อม “คุณหนู ถึงแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เสียงนุ่มละมุนหวานหนึ่งลอยดังออกมาจากในรถม้า “เจ้าไปเคาะประตูก่อน บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าข้ากลับมาแล้ว ด้านนอกแดดแรงเกินไป จะทำให้ผิวข้าคล้ำดำได้ รอให้พวกเขาออกมาแล้ว เจ้าค่อยมาประคองข้าลงรถม้า”


 


 


สาวใช้รับคำ ก้าวเท้าถี่ไปหน้าบ้านหลิวกุ้ย ใช้มือเคาะประตูเบาๆ


 


 


หลังจากที่หลิวกุ้ยไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนมาบ้านตัวเองอีก ได้ยินเสียงเคาะประตู สะใภ้หลิวกุ้ยที่ซักเสื้อผ้าอยู่ในลานบ้านตกตะลึงเล็กน้อย นึกว่าหลิวต้าเป่าไปก่อเรื่องในตำบล มีคนตามมาหาเรื่องถึงบ้านอีก ใช้น้ำเสียงสั่นผวาและเกรี้ยวกราดถามกลับ “ใครกัน?”


 


 


สาวใช้ที่เคาะประตูตอบอย่างอ่อนน้อม “ฮูหยิน คุณหนูของพวกเรากลับมาแล้ว เชิญท่านเปิดประตูด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยพูดโดยไม่ต้องคิด “คุณหนูของพวกเจ้ากลับมาเกี่ยวอะไรกับบ้านข้า เจ้าเคาะประตูผิดแล้ว”


 


 


สาวใช้มองดู พูดด้วยความแคลงใจ “คุณหนูหลิวชุ่ยของพวกเราบอกว่าที่นี่คือบ้านของนาง จะผิดได้อย่างไรเจ้าคะ?”


 


 


เสื้อผ้าในมือสะใภ้หลิวกุ้ยร่วงใส่ถังซัก นางผงาดลุกขึ้นมา ถามอย่างไม่เชื่อ “คุณหนูของพวกเจ้าเป็นใคร?”


 


 


สาวใช้ตอบเสียงละมุน “ก็คือคุณหนูหลิวชุ่ยเจ้าค่ะ”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยดีใจจนลืมตัว ด้านหนึ่งตะโกนบอกคนในบ้าน “พ่อเอ๊ย ชุ่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว” ด้านหนึ่งสาวเท้าวิ่งไปหน้าประตู เปิดประตูใหญ่ออกเร็วรี่ ร้องถามเสียงหลง “ชุ่ยเอ๋อร์อยู่ที่ไหน รีบมาให้แม่ดูหน้าหน่อยเถิด”


 


 


สาวใช้หน้าประตูทำความเคารพนาง พูดว่า “ท่านก็คือฮูหยินกระมั้ง คุณหนูของพวกเรายังอยู่บนรถ ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปประคองนางมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”


 


 


“ปัดโธ่ เป็นชุ่ยเอ๋อร์ของข้ากลับมาแล้วจริงๆ รีบลงมา มาให้แม่ดูให้เต็มตาหน่อย” สะใภ้หลิวกุ้ยวิ่งไปข้างรถม้าอย่างอดใจรอต่อไปไม่ไหว เปิดม่านบังรถออก ตอนที่เห็นว่าด้านในเป็นหลิวชุ่ยจริงๆ ก็พูดด้วยอารามดีใจระคนตกใจ


 


 


หลิวชุ่ยขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็น และไม่ได้เรียกมารดา ใช้น้ำเสียงเจือความเคืองขุ่นร้องพูด “ชิวจวี๋”


 


 


สาวใช้ที่เคาะประตูเมื่อครู่เดินเข้ามา ปัดมือที่เลิกม่านรถของสะใภ้หลิวกุ้ยออกอย่างแผ่วเบา พูดว่า “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยิน ม่านรถของคุณหนูพวกเราทำมาจากผ้าไหมชั้นดี มือท่านหยาบกร้าน จะทำไหมบนเนื้อผ้าหลุดขาดได้”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยตะลึงค้าง ยืนอึ้งข้างรถม้า มองหลิวชุ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


สาวใช้เดินขึ้นหน้า เบียดนางออกอย่างไม่ให้รู้สึกตัว ยื่นมือออกไป ประคองหลิวชุ่ยลงจากรถม้าอย่างนอบน้อม


 


 


รอบรถม้าล้อมรอบไปด้วยชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก เห็นหลิวชุ่ยใส่เครื่องประดับทองบริสุทธิ์ สวมชุดผ้าไหมแพรพรรณออกมาจากรถม้า ต่างส่งเสียงร้องอุทาน


 


 


หลิวชุ่ยเห็นสะใภ้หลิวกุ้ยยังคงสวมเสื้อผ้ามอซอ นัยน์ตาสะท้อนแววดูแคลน ทว่าเพื่อหน้าตา จึงแสร้งบีบน้ำตาหลายหยด พูดด้วยน้ำเสียงละมุนหวาน “ท่านแม่ ไม่ได้อยู่บ้านเป็นเวลานาน ลูกคิดถึงท่านยิ่งนัก”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยได้สติกลับมาจากอาการตะลึงค้าง เห็นปฏิกิริยาของบุตรสาว พลันลืมเรื่องเมื่อครู่ไปสิ้น พูดอย่างยินดี “แม่ก็คิดถึงเจ้า กลับมาก็ดีแล้ว”


 


 


หลิวชุ่ยคิดจะยื่นมือออกไปจับสะใภ้หลิวกุ้ย ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้หดมือกลับเข้ามา เสแสร้งปาดเช็ดน้ำตา “ช่วงเวลาที่ข้าอยู่หัวเมืองเสิ่ง ได้แต่คิดถึงท่านพ่อท่านแม่ ร่างกายซูบผอมไปหลายเท่า ท่านป้ากลัวข้าจะตรอมใจจนป่วย ตั้งใจให้ข้ากลับมาพักอยู่บ้านหลายวัน”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งให้ดีอกดีใจ “ดีๆๆ หลายวันนี้แม่จะทำทุกวิธีทำของอร่อยให้เจ้ากิน เอาเนื้อที่หายไปของเจ้ากลับคืนมา”


 


 


ร่างหลิวชุ่ยผงะเล็กน้อย


 


 


หลิวกุ้ยได้ยินเสียงตะโกน ก็วิ่งพรวดพราดออกมาจากในบ้าน


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าพาลูกน้อยสองคนเดินรั้งท้ายออกมา


 


 


หลิวชุ่ยหันหลังกลับ ย่อตัวคำนับหลิวกุ้ย ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือของเก๊ น้ำเสียงฟังดูแล้วเจือแววสั่นเครือ “ท่านพ่อ ข้ากลับมาหาท่านแล้ว”


 


 


พอคิดว่านับตั้งแต่ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ตอนนี้ดีแล้ว บุตรสาวกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ตัวเองจะได้เงยหน้าอ้าปากได้เสียที หลิวกุ้ยน้ำตารื้น พูดพร่ำด้วยความตื้นตันใจ “ดีๆๆ กลับมาก็ดีแล้ว”


 


 


หลิวชุ่ยมองไปที่สะใภ้หลิวต้าเป่า ร้องทักอย่างสนิทสนม “พี่สะใภ้”


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าพยักหน้ายกยิ้ม เร่งเร้าเด็กน้อยทั้งสอง “รีบเรียกท่านน้า”


 


 


เด็กน้อยสองคนร้องเรียกอย่างเกร็งๆ พร้อมกัน “ท่านน้า”


 


 


หลิวชุ่ยพยักหน้า สั่งชิวจวี๋ “ตบรางวัล”


 


 


ชิวจวี๋ขานรับคำ เดินขึ้นหน้า ล้วงเงินหนึ่งตำลึงสองก้อนออกมาจากถุงผ้าแพร ยื่นให้เด็กน้อยทั้งสอง “คุณหนูตบรางวัลให้พวกเจ้า ยังไม่รีบขอบคุณคุณหนูอีก”


 


 


เด็กน้อยทั้งสองรับเงินมาด้วยความยินดี กล่าวขอบคุณอย่างเชื่อฟัง


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าเผยอปากค้าง กลับไม่ได้พูดอะไร


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยชะงักอึ้ง ใบหน้าเริ่มมีอาการไม่สู้ดี


 


 


หลิวชุ่ยสังเกตสีหน้าท่าทางพวกเขา รีบพูดตวาดสาวใช้ “พวกเขาเป็นหลานแท้ๆ ของข้า ต้องขอบคุณอะไร หากเจ้ายังไม่รู้ความเช่นนี้ ทำลายความสัมพันธ์ของข้ากับคนในครอบครัว ก็รีบไสหัวกลับไปหัวเมืองเสิ่ง ดูว่าท่านป้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”


 


 


สาวใช้สั่นผวากล่าวยอมรับผิด “ผู้น้อยจำได้แล้ว ขอคุณหนูอย่าส่งผู้น้อยกลับไปเลยนะเจ้าคะ”


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลิวชุ่ยจงใจอวดโอ้บารมีต่อหน้าชาวหน้าหรือไม่ น้ำเสียงยิ่งให้ทวีความแข็งกร้าว “จำคำเจ้าเอาไว้ให้ดี หากยังกระทำผิดอีก ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าแล้ว”


 


 


สาวใช้ร่างสั้นเทิ้ม ก้มศีรษะรับคำอย่างหวาดกลัว


 


 


หลิวชุ่ยไม่สนใจนางอีก


 


 


เห็นชิวจวี๋ถูกตวาดใส่ สาวใช้อีกนางหนึ่งรีบเดินขึ้นหน้า พูดอย่างพินอบพิเทา “คุณหนูเจ้าคะ ด้านนอกร้อนระอุ ข้าประคองท่านเข้าไปเองเจ้าค่ะ”


 


 


หลิวชุ่ยยื่นมือออกมา มองนางด้วยแววชื่นชม “กลับไปข้าจะตบรางวัลให้”


 


 


สาวรับมือนางด้วยความระแวดระวัง ประคองนางค่อยๆ เดินเข้าไปในด้านใน แล้วกล่าวขอบคุณอย่างชื่นบาน “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”


 


 


ภายใต้การประคองของสาวใช้ หลิวชุ่ยเดินกรีดกรายพาร่างกายที่ได้รับน้ำเลี้ยงดี เดินนวยนาดเข้าไปในบ้าน


 


 


ชาวบ้านเห็นนางเดินบิดไปบิดมา ต่างเบิกตาโพลงกันเป็นแทบ


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา นึกว่าเป็นความริษยา กลับคือสู่สภาพจองหองอวดดี พูดกับชาวบ้านที่มามุงดูด้วยน้ำเสียงป่าวประกาศ “ชุ่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว บ้านพวกเรามีหลักให้พึ่งพิงแล้ว พวกที่เคยดูแคลนพวกเราช่วงที่ผ่านมา กลับไปแอบร้องไห้ในบ้านเถอะ” 

 

 


ตอนที่ 223-1 เหิมเกริม

 

คนที่มามุงดูบางคนร้อนตัวก้มหน้า บางคนกลับดูแคลนไม่ไยดี


 


 


สาวใช้และบ่าวถามอย่างอ่อนน้อม “ฮูหยิน จะให้นำรถม้าไว้ที่ไหนขอรับ?”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยมองดูรถม้าหรูหราและม้าตัวสูงใหญ่ คิดว่านี่เป็นของบุตรสาวตนเอง ยืดหลังตั้งตรง “นำเข้ามาในบ้านเถอะ”


 


 


สาวใช้และบ่าวรับคำ บังคับรถม้าเข้ามาในบ้านทั้งหมด


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยมองดูสายตาริษยาของชาวบ้าน แค่นเสียงร้องหึ เดินบิดไปส่ายมาเลียนแบบหลิวลี่กลับเข้าไปในบ้าน แล้วปิดประตูใหญ่ดัง “โครม” สกัดสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านจนสิ้น


 


 


ไม่มีอะไรให้ดูอีก ชาวบ้านที่มามุงดูแยกย้ายกันกลับไปตากแดดตามเดิม ต่างวิพากษ์ถึงการแต่งตัวและขบวนของหลิวลี่อย่างสนุกปาก


 


 


หลิวลี่เดินเข้ามาในลานบ้าน มองเห็นกระท่อมที่ยังคงทรุดโทรม ดวงตาสะท้อนแววเดียดฉันท์ กลับพูดด้วยน้ำเสียงทุกข์เศร้า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ที่หัวเมืองลูกได้อาศัยอยู่เรือนใหญ่ แต่งกายงดงามหรูหรา พวกท่านกลับยังต้องอยู่กระท่อมทรุดโทรมเช่นนี้ ลูกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ไว้เมื่อลูกกลับไป จะไปคุกเข่าขอร้องท่านป้า ให้นางมอบเงินให้พวกท่าน ไปซื้อเรือนสักหลังในอำเภอ ให้พวกท่านทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่ในตำบล”


 


 


ช่วงที่ผ่านมาสะใภ้หลิวกุ้ยไม่กล้าโอหังอวดดี ให้คับอกคับใจมานาน ได้ยินหลิวลี่พูดเช่นนี้ ถามขึ้นด้วยความยินดี “ลี่เอ๋อร์ ที่เจ้าพูดเป็นความจริง น้าหญิงลูกจะให้เงินพวกเราไปซื้อเรือนอาศัยจริงหรือ?”


 


 


หลิวลี่ส่งสายตาเล็กน้อย สาวใช้นางหนึ่งรีบยกเก้าอี้นุ่มออกมาจากรถม้า วางไว้ข้างกายหลิวลี่อย่างระวัง


 


 


สาวใช้ประคองหลิวลี่นั่งบนเก้าอี้เตี้ยอย่างมั่นคง ถึงเอ่ยปากตอบกลับ “ท่านแม่ ท่านน้าหญิงปฏิบัติต่อข้าดั่งบุตรสาวแท้ๆ หากข้าขอร้อง นางจักต้องรับปาก อีกอย่างเรือนหลังหนึ่งก็ใช้เงินไม่กี่มากน้อย แค่เงินค่าเครื่องประทินโฉมเดือนเดียวของลูกก็ซื้อได้แล้ว”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยได้ฟังถลึงตาลุกวาว ถามอย่างไม่เชื่อ “ลี่เอ๋อร์ ค่าเครื่องประทินโฉมต่อเดือนของเจ้าก็หลายร้อยตำลึงแล้วรึ?”


 


 


หลิวลี่ใช้มือลูบไล้ใบหน้าผ่องผุดอ่อนนุ่มอย่างกระหยิ่มใจ พูดว่า “ท่านแม่ ภายหน้าข้าต้องแต่งงานกับคนในเมืองหลวง หากไม่บำรุงรักษาผิวพรรณให้ดี จะมัดใจสามีในอนาคตได้อย่างไรเล่า”


 


 


ตอนที่น้องสาวของตัวเองมารับคนไป บอกเพียงว่าจะเลี้ยงดูหลิวลี่ให้ดี รับประกันว่าภายหน้านางจะต้องได้แต่งงานกับคนสกุลสูงศักดิ์ แต่มิได้บอกว่าจะแต่งไปอยู่เมืองหลวง ครั้นมาได้ยินหลิวลี่กล่าวเช่นนี้ สองสามีภรรยาหลิวต่างตกใจจนพูดไม่ออก


 


 


ครู่ใหญ่ สะใภ้หลิวกุ้ยถึงตบหน้าขาตัวเอง เปล่งน้ำเสียงดีใจร้องดังลั่นว่า “สวรรค์ เมืองหลวงเป็นที่พำนักของใต้ฝ่าพระบาท มีแต่เจ้านายเชื้อพระวงศ์อาศัยอยู่ แปลว่าลี่เอ๋อร์ของพวกเราจะได้แต่งกับขุนนางน่ะสิ?”


 


 


หลิวลี่ยิ่งแสดงสีหน้าลำพองใจ “ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้ว ท่านน้าหญิงบอกว่าพูดคุยกับอีกฝ่ายไว้แล้ว รอให้ข้าถึงวัยปักปิ่นก็จะแต่งงานได้ทันที”


 


 


“โอ้โห เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก รอให้ลี่เอ๋อร์ได้แต่งงานกับข้าราชบริพาร แม่จะต้องเข้าไปเที่ยวในเมืองหลวง ดูว่าเมืองหลวงหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่?” ราวกับว่าสะใภ้หลิวกุ้ยกลัวคนที่เดินผ่านไปมาจะไม่ได้ยิน แผดเสียงพูดดังลั่น


 


 


หลิวลี่ยิ่งสะท้อนแววตาเดียดฉันท์ กลับยกยิ้มพูดว่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ท่านแม่รักใคร่ข้ามาแต่น้อย ข้าร่ำรวยมีอันจะกินแล้ว ย่อมต้องรับท่านไปเสพสุขในเมืองหลวงด้วยกัน”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยหันไปร้องโวยวายใส่หลิวกุ้ย “พ่อเอ๊ย เจ้าได้ยินหรือไม่ อีกสองปีพวกเราก็จะได้ไปเมืองหลวงแล้ว”


 


 


หลิวกุ้ยยืดหลังที่หดงอมานานหลายปี ใบหน้าเผยรอยยิ้มสดใสเหมือนในอดีต พูดดีใจไม่ขาดปาก “ดีๆๆ พวกเราได้อาศัยใบบุญของลี่เอ๋อร์ จะได้เข้าไปเที่ยวในเมืองหลวงแล้ว”


 


 


หลิวลี่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่กล้าตัดบทเขาต่อหน้า นัยน์ตากลิ้งกลอก เห็นเด็กน้อยสองคน จึงกวักมือเรียกพวกเขา “เข้ามาหาอาสิ”


 


 


เด็กน้อยทั้งสองหันมองสะใภ้หลิวต้าเป่า


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าโอบลูกน้อยทั้งสองคนไว้แน่น ยิ้มพูดว่า “เด็กๆ เล่นเนื้อตัวมอมแมม จะทำเสื้อผ้าเจ้าสกปรกได้”


 


 


หลิวลี่เห็นนางรู้ความ ดีกว่าแม่ที่โง่เขลาของตัวเองไม่รู้กี่เท่า พยักหน้าพอใจ ทว่ายังเสแสร้งพูดว่า “ฟังพี่สะใภ้พูดเข้าเถิด ข้ามีหลานชายเพียงสองคนนี้เท่านั้น มีแต่จะรักใคร่เอ็นดู จะรังเกียจว่าพวกเขามอมแมมได้อย่างไร”


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าหัวเราะแหะๆ ไม่ได้พูดอะไร


 


 


เด็กน้อยทั้งสองกำเงินที่หลิวลี่เพิ่งจะให้มาแน่น


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นสะใภ้หลิวต้าเป่าไม่ยอมให้เด็กน้องทั้งสองเข้าใกล้สะใภ้หลิวต้าเป่า ก็ให้เคืองขุ่น พูดตวาดนาง “ลี่เอ๋อร์อยากจะดูหน้าหลานให้ชัดๆ เจ้าก็ให้พวกเขาเข้าไปสิ เจ้ารั้งพวกเขาไว้เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือเห็นน้องสะใภ้สุขสบายแล้ว เจ้าไม่พอใจ?”


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าเผยอปากกลับไม่ได้พูดอะไร


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยยังไม่สาแก่ใจ พูดตำหนินางต่อ “ลี่เอ๋อร์ลงจากรถม้ามาก็ให้เงินเด็กๆ คนละหนึ่งตำลึงทันที เจ้ายังไม่พอใจ ครอบครัวพวกเราเหตุใดถึงมีลูกสะใภ้ไม่รู้จักพอเยี่ยงเจ้าได้”


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าเม้มริมฝีปาก ไม่ยอมปริปาก ปล่อยให้นางว่ากล่าวตามใจ


 


 


หลิวลี่แสร้งเป็นคนดี พูดหว่านล้อม “พอแล้ว ท่านแม่ ข้าไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน พี่สะใภ้และเด็กๆ ไม่สนิทสนมกับข้าก็เป็นเรื่องปกติ”


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าเป็นคนหน้าตาสะสวย ทั้งอาศัยอยู่ในเมืองกับหลิวต้าเป่ามานาน ไม่เคยทำงานเกษตร เห็นแวบแรกเหมือนกับคุณหนูสกุลใหญ่ ตอนที่พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ในเมือง สะใภ้หลิวกุ้ยภาคภูมิใจเป็นหนักหนา เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าตนเองได้สะใภ้ชั้นดีมา ทำเอาชาวบ้านอิจฉากันยกใหญ่ แต่หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดกลับมา สะใภ้หลิวต้าเป่าทำงานเกษตรไม่เป็น ยามปกติยังไม่เป็นไร พอถึงฤดูทำนากลับช่วยอะไรไม่ได้ สะใภ้หลิวกุ้ยเริ่มไม่พอใจ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นหวย[1]ไปเรื่อย สะใภ้หลิวต้าเป่าไม่เคยปริปาก หลิวต้าเป่ากลับไม่พอใจ คอยปกป้องภรรยาตนเอง ทั้งพูดว่าหากนางรู้สึกขวางหูขวางตาภรรยาตนเอง พวกเราทั้งครอบครัวจะย้ายกลับไปอยู่ในเมือง


 


 


บุตรชายที่ตนเองเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากพอแต่งภรรยาก็ลืมมารดา ตนเองเพียงพูดแขวะภรรยาเขาไม่กี่คำก็ไม่พอใจแล้ว สะใภ้หลิวกุ้ยสะสมความคับแค้นใจนี้ไว้ อาศัยจังหวะที่หลิวต้าเป่าไม่อยู่บ้าน ฟาดงวงฟาดงาปฏิบัติต่อสะใภ้หลิวต้าเป่าอย่างไร้เหตุผล


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าอดทนเรื่อยมาไม่เคยปริปาก


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยนึกว่านางหวาดกลัว ยิ่งทวีความเกรี้ยวกราด หลิวกุ้ยอารมณ์ไม่ดี คร้านจะสนใจเรื่องแม่สามีลูกสะใภ้ของพวกนาง วันๆ ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น


 


 


ตอนนี้ได้ยินหลิวลี่พูดเช่นนี้ สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งให้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก่นด่าเสียงลั่น “เจ้าคนไม่ได้เรื่องไร้การอบรม ตัวเองไม่ชอบลี่เอ๋อร์ก็ช่างเถอะ ยังจะสอนลูกทั้งสองคนให้เสียเด็ก ถ้าข้าทนไม่ไหว จะให้เป่าเอ๋อร์หย่ากับเจ้า”


 


 


อยู่ต่อหน้าคนมากมาย สะใภ้หลิวต้าเป่ายิ่งไม่อาจโต้เถียง ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาพลันไหลเป็นสาย


 


 


หลิวลี่เห็นสภาพเช่นนั้นของนาง ก็ให้เจ็บปวดใจยิ่งนัก คิดถึงในอดีต สองสามีภรรยาหลิวรักบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ให้หลิวต้าเป่าไปใช้ชีวิตเสพสุขอยู่ในเมือง กลับให้ตัวเองคอยช่วยพวกเขาทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้าน แม้แต่สะใภ้หลิวต้าเป่าก็ได้รับการพะเนาพะนอตามไปด้วย ทุกครั้งที่กลับมาบ้านสะใภ้หลิวกุ้ยแทบจะอุ้มชูนางไม่วาง หลิวลี่ได้แต่คิดว่าสักวันจะต้องงัดนางลงมาให้ได้ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งด่าก็ยิ่งโมโห ผรุสวาจาบาดหูพรั่งพรูออกมาหมด หลิวกุ้ยทนฟังต่อไปไม่ไหว แผดเสียงเอ็ดนาง “พอได้แล้ว”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยยังคงหวาดกลัวหลิวกุ้ยอยู่บ้าง สงบปากทันที พูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “รีบไสหัวกลับเข้าห้องตัวเองไป ข้าไม่อนุญาตไม่ต้องออกมา จะทำให้ลี่เอ๋อร์เสียอารมณ์เปล่าๆ”


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าปาดน้ำตา พาลูกน้อยทั้งสองเข้าบ้าน


 


 


“ร้องๆๆ รู้จักแต่ร้อง ที่วันนี้ครอบครัวเราตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความซวยที่เจ้าร้องไห้ออกมา” สะใภ้หลิวกุ้ยยังร้องก่นด่าไม่เลิก


 


 


สะใภ้หลิวต้าเป่าไม่กล้าเช็ดน้ำตาแล้ว รีบพาลูกน้อยทั้งสองเข้าบ้านไป


 


 


หลิวลี่คลับคล้ายว่าจะได้ยินบางอย่างจากคำพูดนาง ย่นหัวคิ้วถาม “เกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวพวกเราหรือ?”


 


 


ได้ยินคำถาม สะใภ้หลิวกุ้ยทุกข์ใจตรอมตรม ก้าวมาเบื้องหน้าหลิวลี่ คิดจะจับมือของนาง บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว


 


 


หลิวลี่เบี่ยงหลบอย่างแยบยล สั่งการสาวใช้ “ไปยกเก้าอี้มาให้ฮูหยิน”


 


 


สาวใช้รับคำ เดินตรงไปเปิดม่านประตูเข้าไปในบ้าน ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางข้างสะใภ้หลิวกุ้ย พูดอย่างอ่อนน้อม “ฮูหยิน เชิญนั่งเจ้าค่ะ”


 


 


เป็นครั้งแรกที่สะใภ้หลิวกุ้ยได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้ รู้สึกตกใจที่ได้รับความเอ็นดู รีบร้อนกล่าวขอบคุณ


 


 


สาวใช้ลนลานโบกมือ “ข้าสมควรทำแล้ว ฮูหยินอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”


 


 


หลิวลี่ก็เอ่ยปากพูดว่า “ท่านแม่ พวกนางเป็นคนชั้นต่ำ อย่าว่าแต่ยกเก้าอี้มาให้ท่านเลย ต่อให้ให้พวกนางหมอบเป็นม้านั่งรองก้น พวกนางก็ไม่กล้าอิดออด ไม่เช่นนั้นข้ากลับไปรายงานท่านน้าหญิง พวกนางจะต้องถูกโบยจนตาย”


 


 


สาวใช้ได้ยินเช่นนั้น หดห่อตัวสั่นเทิ้ม


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยกลับตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก


 


 


หลิวลี่ถามต่อ “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับครอบครัวพวกเรากันแน่?”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยได้สติคืนกลับมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโพล่งด่าออกไป “ครอบครัวพวกเราถูกนังสารเลวเมิ่งเชี่ยนโยววางแผนการ แม้แต่ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของบิดาเจ้าก็หมดสิ้นไปด้วย”


 


 


แม้จะดูแคลนพวกเขา แต่อย่างไรก็เป็นบิดามารดาแท้ๆ ของตัวเอง ได้ฟังว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลิวลี่เร่งเร้าถามพลัน “ท่านแม่ ท่านรีบเล่ามาเถิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมาที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งเชี่ยนโยว โดยใส่สีตีไข่ ทั้งกลับขาวเป็นดำ พูดจบก็ก่นด่า “นังตัวดีนั่น จิตใจเ**้ยมอำมหิต ในตอนนั้นไม่เพียงทารุณกรรมพี่ชายเจ้า ยังยุแยงท่านผู้ว่าการตำบลให้โบยบิดาเจ้า หากไม่เพราะบิดาเจ้าร่างกายแข็งแรง ฝืนทนมาได้ เกรงว่าเจ้ากลับมาครั้งนี้คงไม่ได้เห็นบิดาเจ้าแล้ว”


 


 


หนึ่งปีกว่าที่หลิวลี่อาศัยอยู่หัวเมือง ถือตัวว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ไปเสียแล้ว สาเหตุที่กลับมาครั้งนี้ นอกจากมาบอกสองสามีภรรยาหลิวเรื่องที่ตัวเองจะแต่งงานไปอยู่เมืองหลวง ที่มากกว่านั้นก็เพื่อกลับมาโอ้อวดบารมี ให้ชาวบ้านเข้ามาประสบสอพลอนาง เติมเต็มปมด้อยในใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมีหน้ามีตายิ่งกว่าตนเอง


 


 


แค้นเก่าผสมแค้นใหม่ หลิวลี่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ สั่งการสาวใช้ข้างๆ “เจ้านำเทียบเชิญของข้าไปบ้านเมิ่ง บอกว่าข้าต้องการพบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ให้นางรีบเข้ามา”


 


 


คุณหนูสูงศักดิ์ในหัวเมืองก่อนจะนัดพบกันและกัน จะต้องมีหมายเทียบเชิญ เดิมที่ที่แห่งนี้ไม่ต้องใช้ แต่เพื่อแสดงว่าสถานะของตนเองไม่เหมือนในอดีตแล้ว หลิวลี่จึงเจตนาให้สาวใช้ส่งเทียบเชิญไป แค่นางออกโรง ก็กดเมิ่งเชี่ยนโยวที่น่าชิงชังลงไปได้ขั้นหนึ่งแล้ว


 


 


สาวใช้รับคำอย่างอ่อนน้อม หยิบเทียบเชิญหนึ่งแผ่นออกมาจาก**บใบหนึ่งบนรถม้า หลังจากซักถามบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวจากสะใภ้หลิวกุ้ย ก็เปิดประตูออกไปบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ชั่วเวลาเพียงอึดใจเดียวนี้ เรื่องที่หลิวลี่แต่งกายสวยหรู นั่งรถม้าโอ่อ่ากลับมาก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทุกที่มีแต่เสียงวิพากษ์เกี่ยวกับหลิวลี่


 


 


เพราะครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นทำงานอยู่ในโรงงาน จึงไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆ


 


 


สาวใช้ตามหาบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวเจอจากคำบอกเล่าที่ตั้งของสะใภ้หลิวกุ้ย กลับพบว่าประตูใหญ่ปิดสนิท จึงซักถามชาวบ้านอย่างสุภาพ ถึงได้รู้ว่าพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่โรงงาน หลังจากทราบที่ตั้งของโรงงานแล้ว ก็มุ่งหน้าตรงมายังโรงงาน


 


 


วันนี้เถ้าแก่หวังส่งรถม้าหลายคันเข้ามารับมันฝรั่งอีก ทุกคนต่างเข้ามาช่วยบรรทุกมันฝรั่ง มีเพียงหลี่ลิ่วเฝ้าหน้าประตูเพียงคนเดียว


 


 


สาวใช้เดินมาถึงหน้าประตู ถามขึ้น “ไม่ทราบว่า ที่นี่คือโรงงานของบ้านเมิ่งใช่หรือไม่?”


 


 


หลี่ลิ่วมองประเมินนาง ถามอย่างระวัง “เจ้าเป็นใคร สืบถามเรื่องนี้ไปทำไม?”


 


 


สาวใช้ตอบ “ข้าเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนูหลิวลี่ คุณหนูของพวกเราต้องการเชิญแม่นางเมิ่งไปพูดคุย ไม่ทราบว่านางมีเวลาหรือไม่?”


 


 


ตอนที่หลี่ลิ่วมาอยู่บ้านเมิ่ง หลิวลี่ถูกรับตัวไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าบ้านหลิวกุ้ยยังมีบุตรสาวอีกคนชื่อหลิวลี่ ได้ยินสาวใช้พูดเช่นนี้ นึกว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้จักต้องการพบนาง ส่งสาวใช้มาส่งเทียบเชิญ จึงรีบพูดอย่างสุภาพ “ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปตามแม่นางของพวกเราออกมา”


 


 


สาวใช้พยักหน้า กล่าวขอบคุณแล้วยืนรอหน้าประตูโรงงาน


 


 


 


 


[1] 指桑骂槐 (จื่อซังม่าหวย) ชี้ต้นหม่อนด่าต้นหวย หมายถึง การพูดจาเหน็บแนม ตีวัวกระทบคราด 

 

 


ตอนที่ 223-2 เหิมเกริม

 

หลี่ลิ่วปิดประตูใหญ่โรงงาน วิ่งตรงมาหน้าโรงเก็บมันฝรั่ง พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นาง ด้านนอกมีสาวใช้มาขอพบท่าน บอกว่าคุณหนูของนางต้องการเชิญท่านไปพูดคุยขอรับ”


 


 


ได้ฟังรายงานจากหลี่ลิ่ว เมิ่งเชี่ยนโยวให้เกิดความกังขา ตนเองรู้จักคุณหนูเพียงสองคน คนหนึ่งคือซุนฮุ่ย ที่แต่งงานกับเปาอีฝานไปนานแล้ว หากสาวใช้มาขอพบ จักต้องไม่ใช่คำเรียกว่าคุณหนู แต่เป็นฮูหยิน ส่วนอีกคนคือจางลี่ที่อยู่ในจังหวัด แต่หากนางจะมา เถ้าแก่จางจะต้องให้คนมาแจ้งข่าวให้ทราบก่อน


 


 


คิดอยู่เป็นนานก็คิดไม่ออกว่าเป็นคุณหนูท่านไหน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถามว่า “นางได้บอกชื่อแซ่คุณหนูของนางหรือไม่”


 


 


“พูดขอรับ นางบอกว่าคุณหนูของนางมีชื่อว่าหลิวลี่” หลี่ลิ่วตอบกลับ


 


 


แรกเริ่มเมิ่งเชี่ยนโยวยังคิดไม่ออกว่าหลิวลี่เป็นใคร เมิ่งเสียนที่ยืนจดจำนวนมันฝรั่งอยู่ข้างๆ พูดเตือนนาง “หลิวลี่ก็คือบุตรสาวคนเล็กของบ้านหลิวกุ้ย ทว่าถูกรับตัวไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จะเป็นนางหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่ามีบุคคลประเภทนี้ คร้านจะสนใจ สั่งการหลี่ลิ่ว “ไปบอกนางว่าข้าไม่ว่าง”


 


 


หลี่ลิ่วก็ได้ยินที่เมิ่งเสียนพูดแล้ว โมโหที่ตัวเองไม่สอบถามให้ดีก็เข้ามารายงาน หากรู้แต่แรกว่าเป็นน้องสาวหลิวต้าเป่า เขาคงไล่คนไปนานแล้ว ตอนนี้พอได้ยินคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว รีบวิ่งโกยแนบกลับมาหน้าประตูใหญ่ พูดกับสาวใช้อย่างไม่สบอารมณ์ “นายหญิงของพวกเรากำลังยุ่ง ไม่ว่างไปพบคุณหนูของพวกเจ้า”


 


 


สาวใช้รู้นิสัยของหลิวลี่ดี หากวันนี้นางเชิญเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปไม่ได้ ตนเองกลับไปจะต้องถูกลงโทษสถานเดียว จึงพูดวิงวอนขอร้องหลี่ลิ่ว “รบกวนเจ้าให้ข้าพบแม่นางเมิ่งหน่อยเถิดนะ”


 


 


หลี่ลิ่วเริ่มรำคาญ “นายหญิงของพวกเราไม่ใช่ว่าสาวใช้อย่างเจ้าอยากพบก็จะพบได้ รีบไปซะ อย่ามายืนตรงนี้ เกะกะรถม้าที่กำลังจะออกมาของพวกเรา”


 


 


สาวใช้เห็นเขาหงุดหงิดไม่พอใจ จำต้องถอยออกมาหลายก้าว อยู่ห่างจากประตูใหญ่ออกมา แต่ยังคงยืนไม่ไปไหน คอยชะเง้อมองไปทางโรงงาน


 


 


อย่างไรก็ไม่สร้างความยุ่งยาก หลี่ลิ่วจึงไม่สนใจนางอีก


 


 


บรรจุมันฝรั่งเสร็จแล้ว หัวหน้าพนักงานมอบตั๋วเงินให้เมิ่งเสียน แล้วนำคนงานบังคับรถม้ามาถึงหน้าประตูใหญ่ หลี่ลิ่วเปิดประตูใหญ่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรอให้พวกเขาไปหมดแล้ว ถึงเดินไปโรงงานกระเป๋านักเรียนและโรงงานมันฝรั่งแผ่นทอด เห็นว่าทุกอย่างเป็นระบบระเบียบดี จึงหันหลังกลับบ้าน


 


 


เดินมาถึงหน้าประตู หลี่ลิ่วบอกว่า “นายหญิง สาวใช้คนนั้นยังไม่ไปเลยขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ออกมาจากโรงงาน


 


 


สาวใช้เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง แต่งเนื้อแต่งตัวดีกว่าคนอื่นออกมาจากด้านใน รีบเดินขึ้นหน้า ทำความเคารพ ถามอย่างนอบน้อม “ไม่ทราบว่าท่านคือเมิ่งเชี่ยนโยวใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า หันมองนาง


 


 


สาวใช้หยิบเทียบเชิญของหลิวลี่ออกมา พูดว่า “นี่เป็นเทียบเชิญเยี่ยมเยือนจากคุณหนูของพวกเรา นางต้องการให้คุณหนูเข้าไปพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเทียบเชิญมาดู แล้วยิ้มถาม “นี่เป็นเทียบเชิญเยี่ยมเยือน แสดงว่าคุณหนูของพวกเจ้าต้องมาเยี่ยมเยือนข้ามิใช่หรือ? เหตุใดข้าต้องเข้าไปหาด้วย?”


 


 


สาวใช้มึนงง ตอบคำถามนางไม่ได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางเทียบเชิญกลับไปที่มือนาง พูดว่า “กลับไปบอกคุณหนูของพวกเจ้า บอกว่าข้ายุ่งมาก ไม่ว่างไปพบนาง”


 


 


สาวใช้แสดงอาการสั่นผวา “แม่นางเมิ่ง หากข้าเชิญท่านไปไม่ได้ คุณหนูของพวกเราจะตีข้าตาย ขอร้องท่าน ไปกับข้าสักครั้งเถิดนะเจ้าค่ะ”


 


 


“ที่นี่เป็นชนบท หากนางอยากสร้างภาพจำที่ดีให้คนที่นี่เห็น ย่อมต้องไม่ลงมือกับเจ้า เจ้าเพียงนำคำของข้ากลับไปบอกนางอย่าให้มีตกหล่นก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


สาวใช้ไม่เชื่อ ยังคิดจะวิงวอน อู๋ต้าเดินเข้ามาไล่นาง “เจ้าฟังที่นายหญิงของพวกเราพูดไม่เข้าใจหรือไร? นางไม่ว่างไปพบคุณหนูของพวกเจ้า หากเจ้ายังตามตอแยไม่เลิก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”


 


 


สาวใช้หวาดกลัวถอยหลังไปหลายก้าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินกลับบ้าน


 


 


สาวใช้มองนางเดินไปไกล รวบรวมความกล้ากลับไปบ้านหลิวกุ้ย


 


 


หลิวลี่กำลังรออย่างหมดความอดทน เห็นนางกลับมา ร้องก่นด่าพลัน “ดีแต่กิน ทำงานเกียจคร้าน ให้ไปเชิญคนคนเดียวป่านนี้เพิ่งจะกลับมา เจ้าอยากโดนโบยใช่หรือไม่?”


 


 


“พลั่ก” สาวใช้ตกใจคุกเข่ากับพื้นดัง “คุณหนู ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ ข้ามิได้แอบอู้ เพราะที่บ้านแม่นางเมิ่งไม่มีคนอยู่ ข้าจึงตามไปที่โรงงาน ไม่คิดว่านางจะไม่ยอมให้พบ ข้ายืนรออยู่หน้าประตูโรงงานพักใหญ่ กระทั่งนางออกมา ข้าขวางนางไว้ มอบเทียบเชิญของคุณหนูให้นาง ไม่คิดว่านางกลับพูดว่าตนเองยุ่งมาก ไม่ว่างมาพบท่าน ข้าถึงได้เพิ่งกลับมาเจ้าค่ะ”


 


 


หลิวลี่ได้ฟังยิ่งให้เดือดดาล “เศษสวะไม่ได้เรื่อง เสียเวลาไปครึ่งค่อนวันกลับเรียกคนมาไม่ได้ ข้าจะเก็บเจ้าไว้เพื่ออะไรอีก กลับไปข้าจะเอาเจ้าไปขายทิ้ง”


 


 


สาวใช้ตกใจได้แต่โขกศีรษะวิงวอนขอร้อง


 


 


หลิวกุ้ยทนดูต่อไปไม่ไหว พูดว่า “นังเด็กบ้านเมิ่งคนนั้นจัดการยากยิ่งนัก การจะเรียกแล้วไม่มาเป็นเรื่องที่เดาได้ไม่ยาก เจ้าอย่าให้สาวใช้ต้องลำบากใจเลย”


 


 


หลิวลี่ยังพูดเสียงเขียว “เห็นแก่ที่บิดาข้าขอร้องแทนเจ้า ข้าจะอภัยให้เจ้าสักครั้ง หากยังมีครั้งหน้าอีก เจ้าคงรู้นะว่าจะมีจุดจบเช่นไร”


 


 


สาวใช้โขกศีรษะเต็มแรงให้นาง “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”


 


 


แล้วหันไปโขกศีรษะให้หลิวกุ้ย “ขอบคุณนายท่าน”


 


 


เป้าหมายขั้นแรกที่จะกดเมิ่งเชี่ยนโยวให้ต่ำกว่าไม่สำเร็จ หลิวลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ พลันลุกขึ้นพูดอย่างเคียดแค้น “ในเมื่อนางไม่ยอมมาพบข้า เช่นนั้นข้าจะไปหานาง ข้าจะประชันกับนาง ดูว่าใครกันแน่ที่จะเป็นคนมีหน้ามีตาที่สุดของหมู่บ้านนี้”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยก็รู้สึกว่าตอนนี้สถานะของบุตรสาวโดดเด่นกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาก ลุกขึ้นพูดยุยงพลัน “ใช่ ไปหานาง ให้นางได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ตัวจริง คนอย่างนางให้มาถือรองเท้าให้เจ้ายังไม่คู่ควร”


 


 


เดิมหลิวลี่เพียงอายุยังน้อย มีนิสัยชอบเอาชนะ ตอนนี้ได้ยินสะใภ้หลิวกุ้ยกล่าวเช่นนี้ ลุกขึ้นพรวด ปฏิกิริยานั้นทำสาวใช้และบ่าวตกใจสะดุ้ง ได้ยินนางพูดเพียงว่า “พวกเจ้าไปกับข้า หากมีคนไม่ยอมรับความหวังดี พวกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร”


 


 


สาวใช้และบ่าวขานรับอย่างพร้อมเพรียง


 


 


ช่วงเวลานี้หลิวกุ้ยก็อัดอั้นใจจนสุดจะทนแล้ว ศีรษะร้อนวูบวาบ จึงไม่เข้าขัดขวาง


 


 


บ่าวบังคับรถม้าออกมา สาวใช้ประคองหลิวลี่เดินพ้นประตูบ้านออกมา ขึ้นบนรถม้า ไม่แม้แต่จะเชื้อเชิญสองสามีภรรยาหลิว ก็ให้สาวใช้คนเมื่อครู่เป็นคนนำทาง พาบ่าวบังคับรถม้าไปบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


สองสามีภรรยาหลิวก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม เดินตามหลังรถม้าไปอย่างเบิกบานใจ


 


 


คนทั้งหมดเดินเป็นขบวนมุ่งหน้าไปบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ชาวบ้านเห็นพวกเขายกโขยงกันออกมาก็ให้ประหลาดใจ ต่างหันมองดู


 


 


สองสามีภรรยาหลิวเห็นชาวบ้านมองเข้ามา นึกว่าอิจฉาพวกเขา พากันแอ่นอกยืดหลังตรง ทำท่าจองหองพองขน ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาทั้งนั้น


 


 


ชาวบ้านลอบหัวเราะเยาะพวกเขา บุตรสาวตัวเองนั่งรถม้า ผู้เฒ่าสองคนกลับเดินตามต้อยๆ


 


 


หลิวลี่ที่อัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้น ไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆ นี้


 


 


รถม้ามาถึงทางแยก กลับเลี้ยวไปทางบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ชาวบ้านรู้สึกว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ทั้งชายหญิงลูกเด็กเล็กแดงต่างลุกขึ้นตามไปดูเรื่องสนุก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะกลับถึงบ้าน เมิ่งอี้เซวียนก็เลิกเรียนกลับมาพอดี


 


 


เห็นใบหน้าอ่อนล้าของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างปวดใจ “วันนี้ข้าว่าง เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะไปทำให้เจ้า”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนฝืนฉีกยิ้ม “เจ้าทำอะไรข้าก็กินอย่างนั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจ้าไปพักผ่อนในห้องก่อน ทำเสร็จแล้วข้าจะไปเรียกเจ้า”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนผงกศีรษะแผ่วเบา หันหลังกลับเข้าไปในห้องตัวเอง วางกระเป๋านักเรียนลง ทิ้งหัวตุบลงไปบนเตียงเตา ไม่อยากขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในครัวมองดูวัตถุดิบที่มีในบ้าน ตัดสินใจทำเนื้อหมูตุ๋นมันฝรั่งและอาหารจืดๆ อีกสองอย่าง


 


 


หลังจากคิดเสร็จ ก็เริ่มลงมือล้างวัตถุดิบ


 


 


เพิ่งจะล้างวัตถุดิบเสร็จ กำลังเตรียมจะทำอาหาร ได้ยินเสียงร้องท้าทายจากด้านนอกตะโกนเข้ามา “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”


 


 


นับตั้งแต่ที่ครอบครัวเปิดโรงงานเมื่อปีที่แล้ว ชาวบ้านเห็นตนเองต่างให้ความเกรงใจ ไม่มีใครใช้น้ำเสียงเช่นนี้เรียกนางอีก ได้ยินน้ำเสียงไม่ประสงค์ดีนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น วางสิ่งของในมือ เดินจากครัวออกมานอกประตู


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยกำลังเท้าสะเอวเตรียมจะตะโกนเรียกเป็นครั้งที่สอง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา ก็ไม่หวาดกลัว โก่งคอพูดเสียงลั่น “ก็แค่มีเงินเพียงหยิบมือ ถึงกับวางท่าอวดดี ต้องให้ลี่เอ๋อร์ของพวกเราเข้ามาหาเจ้าด้วยตัวเอง”


 


 


หากเป็นในอดีต เมิ่งเชี่ยนโยวคงมีแก่ใจตอบโต้พวกเขาไปบ้าง แต่เมื่อครู่เห็นสภาพอิดโรยของเมิ่งอี้เซวียน ตอนนี้สภาพจิตใจเมิ่งเชี่ยนโยวแย่มาก ชักสีหน้าพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์พลัน “ข้าไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้า ถนนอยู่ทางนั้น เชิญไม่ส่ง”


 


 


พูดจบ หันหลังคิดจะกลับไปที่ครัว


 


 


เสียงแหลมสูงของสะใภ้หลิวกุ้ยดังไล่หลัง “นังตัวดี ข้าจะบอกให้นะ ภายหน้าลี่เอ๋อร์ของพวกเราจะได้แต่งงานเป็นภริยาขุนนาง ตอนนี้มาหาเจ้าด้วยตัวเอง นั่นเพราะให้เกียรติเจ้า เจ้าอย่าได้ดีแล้วไม่รู้จักดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดฝีเท้า เดินตรงเข้าไปในครัว


 


 


เสียงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟของหลิวลี่ดังลอยออกมาจากในรถม้า “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนที่งัวๆ เงียๆ กำลังจะหลับสนิท ถูกเสียงแหลมแสบหูรบกวนจนตื่น เดินขยี้ตาออกมาจากในห้อง ถามเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินเข้ามาในลานบ้าน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


 


 


“ไม่มีอะไร เจ้ากลับเข้าไปนอนต่อเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “เสียงดังเกินไป นอนไม่หลับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหเลือดขึ้นหน้า ก้าวเท้าอาดๆ เดินไปหน้าประตู พูดกับหลิวลี่ที่กำลังให้สาวใช้ประคองลงจากรถม้า “รีบไปให้ไกลจากหน้าประตูบ้านข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจพวกเจ้าแล้ว”


 


 


หลิวลี่ลงจากรถม้าแล้ว ได้ฟังก็แสยะยิ้ม พูดอย่างดูแคลน “เจ้าจะไม่เกรงใจข้าอย่างไรเล่า พูดมาให้ฟังหน่อยเถิด?”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยก็พูดรับเป็นลูกคู่ “ใช่ พวกเราไม่ไป เจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร รีบพูดมาให้ฟังสิ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่ไฟโทสะกำลังลุกโหม ด้านหลังกลับมีเสียงอ่อนโยนของเมิ่งอี้เซวียนดังขึ้น “โมโหเพราะพวกเขาหาได้คุ้มค่าไม่ หากเจ้าไม่อยากรับมือกับพวกเขา ข้าจัดการเอง” หลิวลี่ที่พอเห็นโฉมหน้าของเมิ่งอี้เซวียนถึงกับสูดลมหายใจเข้าปาก เบิกตาลุกวาว มองเขาจนน้ำลายแทบหก


 


 


เมิ่งอี้เซวียนขมวดคิ้วยู่ย่นอย่างเดียดฉันท์ กลับยังพูดอย่างสุภาพว่า “ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเราต้องทำอาหารแล้ว หากไม่มีเรื่องใด เชิญพวกท่านกลับไปเถอะ”


 


 


หลิวลี่มิได้ตอบกลับ เอาแต่มองเมิ่งอี้เซวียนตาไม่กะพริบ


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นหลิวลี่แสดงท่าทางบ้าผู้ชายจนออกนอกหน้า กระแอมเบาๆ สองครั้ง เตือนให้นางรีบได้สติคืนมา


 


 


หลิวลี่ไม่ได้ยิน ยังคงจ้องเมิ่งอี้เซวียนเขม็ง


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยตะโกนเรียกนางเสียงลั่น “ลี่เอ๋อร์”


 


 


หลิวลี่ตกใจสะดุ้งโหยง ได้สติกลับคืนมา โพล่งปากกล่าวตำหนิ “อยากตายหรือไร ตะโกนเสียงดังออกมาได้”


 


 


สะใภ้หลิวกุ้ยนิ่งอึ้ง


 


 


ชาวบ้านที่มุงล้อมส่งเสียงวิพากษ์เซ็งแซ่ทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)