ยอดหญิงสกุลเสิ่น 221.2-222.1
ตอนที่ 221-2 กลับบ้าน
“ภรรยาโย่วเอ๋อร์ช้าก่อน” พระชายาจิ้นอ๋องรีบสั่งคนไปห้าม “มีอะไรก็พูดกันดีๆ ดูสิทำเสด็จพ่อของพวกเจ้าโมโหแล้ว! ในเมื่อภรรยาโย่วเอ๋อร์คิดว่าแม่จัดการไม่เหมาะสม เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจัดการเช่นไรจึงจะเหมาะสม”
เสิ่นเวยหยุดฝีเท้าด้วยความลังเลใจ คล้ายกับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว กล่าว “หากเป็นจวนจงอู่โหวของพวกข้าทำความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงเช่นนี้แล้วจะต้องโบยยี่สิบครั้งก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยขายทั้งครอบครัวออกไป บ่าวที่ไม่จงรักภักดีทำงานไม่ตั้งใจเช่นนี้ จวนจงอู่โหวของพวกข้าไม่ใช้เป็นอันขาด”
“นี่จะโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือไม่” พระชายาจิ้นอ๋องหนังตากระตุก จางอี้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือด ส่งสายตาอ้อนวอนไปยังพระชายาจิ้นอ๋อง
จิ้นอ๋องเองก็เผยสีหน้าไม่เห็นด้วย ทั้งโบยทั้งขายออกไป ดูจะโหดเ**้ยมเกินไปหน่อย นี่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรมิใช่หรือ อายุแค่นี้แต่วิธีการรุนแรงเช่นนั้น ทำให้คนไม่สบายใจจริงๆ!
“เสด็จพ่อเองก็คิดว่าโหดร้ายเกินไปงั้นหรือ บ่าวสมควรตายผู้นี้ได้รับความไว้ใจจากเสด็จแม่ แต่กลับสร้างความไม่เป็นธรรมให้เสด็จแม่ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ คนแบบนี้ยังเก็บไว้ในจวน คิดดูแล้วก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว วันนี้ละเลยทำผิดพลาดเรื่องของขวัญกลับบ้านของลูกได้ พรุ่งนี้ก็สามารถละเลยเชิญหมอมาล่าช้าได้ เสด็จแม่ ในท้องของน้องสามีสามตั้งครรภ์ทารกอยู่ หากเกิดการสูญเสียเพราะเหตุนี้จะเสียใจก็ไม่ทันแล้ว” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมีเหตุผล “วันนี้ท่านเห็นอกเห็นใจ พรุ่งนี้เขาเองก็ได้รับอภัย จะมีชีวิตอยู่อย่างไร เพราะว่าเสด็จแม่เมตตา บ่าวรับใช้จึงเหยียบจมูกขึ้นหน้า ลืมที่ต่ำที่สูง”
พระชายาจิ้นอ๋องถูกเสิ่นเวยพูดถึงหมอ พูดถึงทารกในครรภ์จนตื่นตระหนกตกใจ ประหนึ่งครรภ์ของหูซื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ จิ้นอ๋องข้างๆ ก็โบกมืออย่างหงุดหงิด “พอแล้ว พอแล้ว ทำตามที่ภรรยาโย่วเอ๋อร์ว่าเถอะ โบยก็ไม่ต้องโบยแล้ว ขายออกไปให้หมดทั้งครอบครัวเถอะ”
จางอี้แข็งงทื่ออยู่บนพื้นทันที ขายออกไปทั้งครอบครัว อย่าว่าแต่ไม่มีอนาคต จะปกป้องชีวิตได้หรือไม่ยังไม่รู้เลย เขาคลานไปข้างหน้าจิ้นอ๋อง “จิ้นอ๋องโปรดไว้ชีวิต บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว พระชายาช่วยบ่าวด้วย บ่าวเพียงแค่…อื้อๆๆ…” ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนอุดปากเขาไว้พอดี เด็กรับใช้สองคนเข้ามาลากเขาออกไปแล้ว จิตใจที่เป็นกังวลของพระชายาจิ้นอ๋องก็วางลงเช่นกัน
“ขอบคุณเสด็จพ่อที่ตัดสินใจแทนลูก วันนี้ลูกยังต้องกลับบ้าน ไม่รบกวนแล้ว ลูกขอลา” เสิ่นเวยรีบทำความเคารพ เดินไปสองก้าวก็หันหน้ากลับมา กล่าวอย่างขลาดกลัว “เสด็จแม่ ของขวัญกลับบ้านยังต้องรบกวนท่านเติมให้ครบด้วย” ไม่เอาก็เสียดาย โวยวายแล้วสร้างเรื่องแล้วเพิ่มความรำคาญใจแล้ว แต่ก็ไม่อาจทิ้งของได้ นั่นล้วนแต่เป็นเงิน!
พระชายาจิ้นอ๋องย่อมตอบรับเต็มปากเต็มคำ
สวีโย่วกับเสิ่นเวยออกไปแล้ว จิ้นอ๋องก็หันหน้ากลับมามองพระชายา คิ้วก็ขมวดขึ้นมาอีกครั้ง “หากเจ้าเหนื่อยเกินไป ก็ให้เสิ่นซื่อกับอู่ซื่อแบ่งเบาภาระเจ้าไปสักหน่อยก็ได้ หูซื่อไม่ใช่ตั้งท้องอยู่หรือ เจ้าดูแลนางให้มากหน่อย” เขาห่วงใยท้องนี้ของหูซื่อเป็นอย่างมาก เขามีลูกชายห้าคน แต่ไม่มีสักคนที่ให้หลานชายแก่เขาได้ อย่าว่าแต่หลานชาย แม้แต่หลานของอนุภรรยายังไม่มีเลยสักคนเดียว เห็นจวนอ๋องตระกูลอื่นอุ้มหลานแล้ว เขาก็ร้อนใจยิ่งนักรู้หรือไม่
หัวใจของพระชายาจิ้นอ๋องจมดิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องแสดงออกต่อนางว่าไม่พอใจ อู่ซื่อเองก็ไม่เป็นไร แต่เสิ่นซื่อ นางไม่มีทางให้นางสอดมือเข้ามาดูแลเรื่องในจวนอ๋องแน่นอน
ด้วยเหตุนี้นางจึงลูบหน้าผากกล่าว “ข้าเชื่อฟังท่านอ๋อง” จากนั้นก็ถอนหายใจกล่าว “ช่วงนี้ข้าอาจจะเหนื่อย มักจะรู้สึกว่ากำลังวังชาไม่เต็มที่เหมือนเมื่อก่อน อู่ซื่อกลับมีความสามารถ ช่วยข้าจัดการเรื่องในจวนมาโดยตลอด เสิ่นซื่อใช่อายุน้อยไปหน่อยหรือไม่ สอดมือเข้ามาจัดการงานในจวนอย่างประมาทจะไม่ค่อยเหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งพวกเขาเพิ่งจะแต่งงาน กำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน อีกสักสามเดือนค่อยให้เสิ่นซื่อมาเรียนรู้ข้างกายข้าก็ได้” นางกระทั่งยืดเวลาออกไปหลังสามเดือน
จิ้นอ๋องคิดๆ ดูแล้วช่วงนี้จวนอ๋องก็จัดงานมงคล พระชายาคงลำบากจริงๆ จึงไม่ได้ตำหนินางอีก “เรื่องนี้เอาตามที่พระชายาเห็นชอบเถอะ เพียงแค่อย่าให้เกิดการสะเพร่าเช่นนี้อีก” จิ้นอ๋องไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้ เขาเอ่ยถึงเสิ่นเวยได้ก็เพียงแค่พูดไปตามใจปาก ขอเพียงไม่เอาเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมารบกวนเขา เขาก็ขี้เกียจจะสนใจ
หลังจิ้นอ๋องออกไปแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องก็รีบเรียกแม่นมซือเข้ามา “แม่นมรีบไป สืบมาว่าครอบครัวจางอี้ถูกขายไปที่ใด ซื้อพวกเขาไว้เงียบๆ ให้พวกเขาไปอยู่ที่หมู่บ้านชานเมืองของข้าก่อน” หลายปีมานี้จางอี้ทำงานแทนนางไม่น้อย ขายออกไปเช่นนี้นางไม่วางใจ
เสิ่นเวยเองก็สั่งเย่ว์กุ้ย “หาคนซื้อครอบครัวจางอี้ไว้” ลางสังหรณ์บอกนางว่าจางอี้ผู้นี้น่าจะมีประโยชน์เล็กน้อย
ครั้งนี้แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรพระชายาจิ้นอ๋องได้ เพียงแค่อาศัยเรื่องนี้ก็ไม่อาจทำอะไรนางได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ดอกผลเลย อย่างน้อยก็ตัดกำลังของนางไปได้หนึ่งคน
ณ จวนจงอู่โหว สวี่ซื่อตื่นแต่เช้ามาจัดการงาน เสิ่นหงเหวินสามพี่น้องก็ลางานรอเขยคนใหม่มาเยี่ยมบ้านอยู่ในจวน เสิ่นเจวี๋ยเองก็หยุดเรียน วิ่งไปหน้าประตูใหญ่ไม่หยุด ชะเง้อคอยาว นายท่านผู้เฒ่าโหวสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ของเขา แม้ใบหน้าจะเรียบเฉย อันที่จริงในใจกลับร้อนรนอยู่นานแล้ว หากไม่ใช่ว่าห่วงศักดิ์ศรี เขาเองก็คงอยากจะออกไปรออยู่นอกประตูใหญ่อย่างยิ่ง
เสิ่นซวง เสิ่นอิงและเสิ่นเสวี่ยเองก็จูงมือสามีกลับจวนโหวอยู่ก่อนแล้ว ในหมู่พวกนางพี่น้องมีเสิ่นเวยที่แต่งงานดีที่สุด ท่านเขยสี่ผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง แต่ยังเป็นจวิ้นอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ บ้านสามีของเสิ่นซวงและคนอื่นๆ ต้องการให้ลูกชายของตนมีความสัมพันธ์อันดีกับคนผู้นี้ แม้แต่หย่งหนิงโหวที่ยึดมั่นในคุณธรรมที่สุดยังสั่งสอนลูกชายว่า ‘พวกเจ้าเป็นสามีของพี่สาว ต้องสนิทสนมกันไว้จึงจะถูก’
ทว่าในใจเว่ยจิ่นอวี้ก็รู้สึกอึดอัด อย่างไรเสียนั่นก็เคยเป็นคู่หมั้นของเขา จิตใจที่คลุมเครือเช่นนี้ก็ไม่มีทางเอ่ยปาก เขาทำได้เพียงมาที่จวนจงอู่โหวด้วยความไม่สบายใจทั้งใจ
“มาแล้ว มาแล้ว คุณหนูสี่กับท่านเขยสี่ใกล้มาถึงหน้าประตูแล้ว” มีเด็กรับใช้ตะโกนด้วยความดีใจ
นายท่านผู้เฒ่าโหวลุกขึ้นยืนทันที บนใบหน้ามีความตื่นเต้นแวบผ่าน กำลังจะเดินออกไปข้างนอก จากนั้นจึงได้สติกลับมา จึงแสร้งจัดระเบียบเสื้อผ้า ไอเบาๆ หนึ่งคราสั่ง “เจวี๋ยเอ๋อร์วิ่งไปไหนอีกแล้ว ยังไม่รีบไปรับพี่สาวเขาอีก”
ทหารอาวุโสคนสนิทข้างๆ ก้มหน้ากลั้นหัวเราะ “นายท่านผู้เฒ่าโหววางใจ คุณชายห้าไปต้อนรับคุณหนูสี่นานแล้ว อ้อ ยังมีท่านเขยสี่ด้วย”
นายท่านผู้เฒ่าโหวถลึงตาใส่ ความหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง เอ่ยถึงเด็กคนนั้นทำไม หากจะบอกว่านายท่านผู้เฒ่าไม่ชอบหน้าใครมากที่สุด ก็คงจะเป็นหมาป่าดุร้ายตัวนี้ที่คาบหลานสาวแสนดีของเขาไปผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ท่านพี่!” เห็นรถม้ามาแต่ไกล เสิ่นเจวี๋ยก็วิ่งเข้าไปทันที ร้องตะโกนด้วยความดีใจ
“น้องเจวี๋ย” เสิ่นเวยมองเห็นน้องชายก็มีความสุขอย่างถึงที่สุดเช่นกัน ถือโอกาสลงรถม้าทันที
สวีโย่วเองก็ตามมาแล้ว เสิ่นเจวี๋ยเรียกเสียงหวานหนึ่งครา “พี่เขย”
สวีโย่วที่เดิมยังหึงอยู่เล็กน้อยได้ยินคำว่าพี่เขยสองคำคิ้วก็เลิกขึ้นทันที “น้องเจวี๋ยวันนี้ไม่ไปโรงเรียนหรือ”
“ไม่ไป ข้าขออาจารย์หยุด วันนี้ท่านพี่กลับบ้าน” เสิ่นเจวี๋ยตอบอย่างซื่อสัตย์ มองดูสีหน้าพี่สาวเขาก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “การบ้านที่สั่งไว้ข้าจะทำตอนกลางคืน”
เสิ่นเวยยิ้ม เดิมคิดจะลูบศีรษะเขา เปลี่ยนความคิดในชั่วขณะ เปลี่ยนเป็นตบบ่าของเขาแทน “ไม่ต้องบีบบังคับตัวเองเกินไป เรียนให้สมดุลกับพักผ่อนจึงจะถูก” สั่งสอนจอมอันธพาลลูกคุณหนูให้กลายเป็นเด็กเรียนเก่งอย่างตอนนี้ได้ เสิ่นเวยทั้งภูมิใจทั้งดีใจ
ประตูกลางจวนจงอู่โหวเปิดกว้าง สองฝั่งประตูใหญ่แขวนโคมแดงสีสดไว้สูง เสียงประทัดทั่วฟ้าดังขึ้นมา สองข้างประตูใหญ่มีคนรับใช้ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย “เคารพคุณหนูสี่และท่านเขยสี่” เสียงดังพร้อมเพรียงและดีอกดีใจ
สวีโย่วและเสิ่นเวยก้าวเข้าไปในจวนโหว หลีฮวานำคนโปรยเงินรางวัล กระเป๋าเงินใบเล็กที่งามประณีตของแต่ละคน ข้างในบรรจุก้อนเงินที่เป็นรูปถั่วลิสงน้ำเต้าต่างๆ ทำให้ทุกคนดีใจอย่างยิ่ง ต้องรู้ว่ากระเป๋าเงินใบเล็กนี้ราคาเท่าเงินเดือนสองเดือนของพวกเขา
จงอู่โหวเสิ่นหงเหวินสามพี่น้องก็ออกมาต้อนรับเช่นกัน ว่ากันตามเหตุผลพวกเขาต่างก็เป็นผู้อาวุโส สงบจิตใจรออยู่ในห้องหนังสือก็ได้ แต่จะทำอย่างไรเมื่อสวีโย่วฐานะสูง เสิ่นหงเหวินก็มีนิสัยรอบคอบ ไตร่ตรองอยู่ครึ่งวันก็ยังคงตัดสินใจออกมาต้อนรับ
มีเพียงนายท่านผู้เฒ่าโหวแค่นเสียงขึ้นจมูก เด็กคนนั้นเป็นชินอ๋อง แต่ก็อย่าได้คิดว่าเขาจะถูกชะตาเลย
สวีโย่วไปเคารพนายหญิงผู้เฒ่าที่เรือนซงเฮ่อกับเสิ่นเวยก่อน จากนั้นก็ถูกเด็กรับใช้พาไปเรือนนอก
เหล่าสตรีรวมตัวกันสนทนาอยู่ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่า หลังทำความเคารพเสร็จแล้ว สวี่ซื่อก็มองประเมิณสีหน้าการแต่งตัวของเสิ่นเวย “เวยเอ๋อร์สบายดีหรือไม่” เดิมนางอยากถามว่าท่านเขยปฏิบัติต่อนางดีหรือไม่ แต่คนเยอะเกินไปจึงไม่ได้ถาม แต่ว่าดูจากสีหน้าของหลานสาวก็รู้คำตอบแล้ว
เสิ่นเวยยิ้มพลางพยักหน้า “ดียิ่งนัก เพียงแต่จวนโหวของพวกเขา ตอนที่อยู่บ้านก็ไม่รู้สึก จากไปแค่คืนเดียวก็คิดถึงจนร้อนใจแล้วจริงๆ”
รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่ซื่อก็ยิ่งกว้าง “สตรีที่เพิ่งแต่งงานคนใดบ้างไม่คิดถึงบ้าน เจ้าลองถามพี่รองและคนอื่นๆ ของเจ้าดู ค่อยๆ คุ้นชินประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“ถูกต้อง เพิ่งจะกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จข้าก็อยากกลับบ้านแล้ว” เสิ่นซวงยิ้มกล่าว มองประเมิณเสิ่นเวยตั้งแต่บนลงล่างรอบหนึ่ง กล่าวหยอกล้อ “ดูจากสีหน้าน้องสี่ก็รู้แล้วว่าใช้ชีวิตในจวนจิ้นอ๋องดีอย่างยิ่ง น้องเขยสี่ดูแลเจ้าดีมากใช่หรือไม่”
หวังว่าเสิ่นเวยจะเขินอายงั้นหรือ นั่นเป็นไปไม่ได้ นางตายิ้มถามกลับ “พูดราวกับว่าพี่เขยรองดูแลท่านไม่ดี เมื่อครู่ข้าเห็นหมดแล้ว พี่เขยรองยังพยุงท่านเดินด้วย ใช่…?” ดวงตาของนางมองไปที่ท้องของเสิ่นซวง
ใบหน้าของเสิ่นซวงแดงขึ้นทันที “เจ้ามันร้ายกาจจริงๆ เด็กแสบ” นางมองท้องน้อยๆ ของตนด้วยสายตาอ่อนโยน แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ
นายหญิงผู้เฒ่ากับสวี่ซื่อดีใจทั้งใบหน้าพร้อมกัน “ซวงเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้วหรือ นานเพียงใดแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ก็จริงๆ เลย เหตุใดถึงปิดบังไม่พูด หู่พั่ว รีบไปเอาเบาะพิงมาให้กูไหน่ไนรองพิง”
เสิ่นซวงอมยิ้ม บนใบหน้าเต็มไปด้วยรสชาติแห่งความสุข “ท่านย่า ท่านแม่ เพิ่งจะเดือนเดียวเอง อายุเดือนยังน้อย”
ทว่านายหญิงผู้เฒ่ากลับทำหน้าดุ “สามเดือนแรกอ่อนแอที่สุดแล้ว เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้กล้าหาญเพียงนั้น ตั้งท้องแล้วยังวิ่งไปไหนต่อไหน วันนี้เจ้าห้ามไปไหนทั้งสิ้น พักอยู่ในห้องย่าก็พอ”
สวี่ซื่อเองก็กล่าว “ใช่ ฟังย่าเจ้าไม่ผิดแน่ เจ้าเด็กคนนี้ หรงเอ๋อร์เองก็เหมือนกัน ตามใจเจ้าเช่นนี้” นางคิดๆ ดูแล้วก็ยังคงหวาดกลัวเล็กน้อยจริงๆ หากไม่ใช่ว่าเวยเอ๋อร์เปิดโปง เด็กคนนี้ก็ยังคิดจะปิดบังพวกนางอยู่ อดถลึงตาใส่ลูกสาวอย่างแรงไม่ได้
“ยินดีกับพี่รองด้วยจริงๆ วันนี้จวนโหวของพวกเรามีเรื่องมงคลสองเรื่องมาถึงบ้านเลย” เสิ่นเวยยกยิ้มกล่าว ยื่นมือลูบท้องของเสิ่นซวงเบาๆ ครู่หนึ่ง “พี่รองท่านต้องบำรุงดีๆ พยายามคลอดหลานชายอ้วนพีให้ข้า”
หนึ่งประโยคสร้างเสียหัวเราะของทุกคนขึ้นมา มีเพียงเสิ่นเสวี่ยที่สายตาน่าสะพรึงกลัว แค่นเสียงเบาๆ หนึ่งครา เสิ่นเวยย่อมได้ยินแล้ว นางอดทนไม่กลอกตาขาว กระทั่งคิดว่านางเป็นอากาศ วันนี้อารมณ์ดี ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับนาง
สวี่ซื่อที่อยู่ใกล้เสิ่นเสวี่ยก็ได้ยินแล้วเช่นกัน แม้ในใจจะไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่นิดเดียว หลานสาวคนนี้ไม่มีเหตุผล วันมงคลใหญ่จะสนใจนางทำไม
ตอนที่ 222-1 สองปู่หลานซุบซิบ
นายท่านผู้เฒ่าโหวเห็นสวีโย่วเข้ามาคนเดียว บนใบหน้าก็มีความผิดหวังหลายส่วน ใครอยากเจอเจ้าเด็กคนนี้ ที่เขาอยากเจอคือหลานสาวแสนดีของเขาต่างหากเล่า
นายท่านผู้เฒ่าโหวปั้นหน้าตายรับการคำนับจากลูกชายและหลายเขยสี่ เห็นคุณชายใหญ่ที่แต่ไหนแต่ไรเย็นชายิ้มบางๆ เป็นธรรมชาติอย่างคาดไม่ถึง แม้จะพูดไม่เยอะ แต่กลับควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้เงียบๆ
หลานเขยคนอื่นๆ ไม่เป็นไร ยังพูดได้ว่าพวกเขาอายุน้อยประสบการณ์น้อย แต่ลูกชายคนโง่ทั้งสามที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงขุนนางกว่าครึ่งชีวิตนั้นของเขาคาดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้หนึ่งจูงจมูกไปด้วย ซ้ำยังพยักหน้าด้วยความชื่นชมทั้งใบหน้า
นี่ทำให้นายท่านผู้เฒ่าโหวเจ็บใจอย่างถึงที่สุด เห็นลูกชายผู้นั้นของคนอื่น แล้วกลับมามองลูกชายเหล่านี้ของตนเอง อยากจะยัดพวกเขากลับไปในครรภ์มารดาแล้วหลอมใหม่อีกครั้งจริงๆ
ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าจิ้นอ๋องเป็นคนโง่ หากไม่ติดที่เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของฝ่าบาท ก็คงจะถูกฝังตายไปนานแล้ว ไผ่แย่แตกหน่อออกมาดี เหตุใดคนโง่เช่นนั้นถึงได้มีบุตรที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้เล่า ช่างทำให้คนตาร้อนจริงๆ!
ด้วยเหตุนี้นายท่านผู้เฒ่าโหวจึงยิ่งไม่ชอบหน้าลูกชายของตน มองสวีโย่วก็ยิ่งไม่เข้าตา ทั่วทั้งจวนมีหลานสี่ที่ถูกชะตาเพียงคนเดียว ซ้ำยังถูกทิ้งไว้ที่เรือนหลังเจอไม่ได้ ทำให้เขาโมโหอย่างยิ่งจริงๆ
ไม่ได้ เขาต้องไปพูดคุยกับหลานสาวแสนดีของเขา เด็กผู้ชายหนึ่งกลุ่มมีอะไรให้น่าดู
นายท่านผู้เฒ่าโหวออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว เรียกพ่อบ้านมาถามว่าเวยเอ๋อร์อยู่ไหน ไม่นานนักพ่อบ้านก็มารายงาน “เรียนนายท่านผู้เฒ่าโหว กูไหน่ไนสี่กลับเรือนเฟิงหวาไปพักผ่อนแล้วขอรับ”
นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่พอใจแล้ว “กูไหน่ไนสี่อะไร ไม่น่าฟังเลย เรียกคุณหนูสี่เหมือนเมื่อก่อนยังดีเสียกว่า”
พ่อบ้านตอบรับด้วยสีหน้าเคารพ ทว่าในใจกลับวิจารณ์ นายท่านผู้เฒ่าโหวท่านลำเอียงเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ ท่านไม่ชอบเรียกว่ากูไหน่ไนสี่เพราะไม่น่าฟัง ท่านเคยใคร่ครวญความรู้สึกของกูไหน่ไนรองและคนอื่นๆ บ้างหรือไม่
นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่ใคร่ครวญความรู้สึกใครทั้งสิ้น หลานสี่ของเขาจึงจะไม่ใช่กูไหน่ไน หลานสี่ของเขาคือคุณหนูของจวนจงอู่โหวตลอดกาล หากเสิ่นเวยอยู่ที่นี่ จะต้องแสยะปากอย่างเหยียดหยาม อาการใจแคบของปู่นางกำเริบอีกแล้ว
เสิ่นเวยกลับไปถึงเรือนเฟิงหวา ไม่ว่ามองไปทางใดก็สบายตามากเป็นพิเศษ อันที่จริงจะว่าไปแล้วนางกลับจวนโหวมายังไม่ถึงหนึ่งปี ช่วงเวลาที่อยู่ในจวนก็ยิ่งมีจำกัด แต่นางก็ยังรู้สึกว่าเรือนเฟิงหวาเป็นความสบายใจ แม้แต่โต๊ะหินที่หักไปมุมหนึ่งในลานบ้านยังดูดีกว่าที่อื่น
ได้ยินสาวใช้รายงานว่านายท่านผู้เฒ่าโหวมาแล้ว เสิ่นเวยก็ยังประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้เห็นว่าเขามาเพียงคนเดียวก็ยิ่งประหลาดใจ
“มองอะไร มองแล้วจะมีดอกไม้บานออกมาหรือ” นายท่านผู้เฒ่าโหวมองหลานสาวที่มองไปข้างหลังเขาไม่ละสายตา กล่าวด้วยความไม่พอใจอย่างถึงที่สุด เพิ่งจะแยกกันได้ไม่นานก็หาแล้วหรือ นางแต่งออกไปหลายวันแล้วยังไม่เห็นนางคิดถึงปู่ผู้นี้ของตนสักเท่าไรเลย นายท่านผู้เฒ่าโหวปวดใจยิ่งนัก ราวกับลูกท้อที่ลำบากลำบนปลูกมา ตนยังไม่ทันได้กินก็ถูกคนเด็ดไปแล้ว
เสิ่นเวยมองใบหน้าที่แทบจะดองหัวไช้เท้าได้ใบนั้นของปู่นาง สนุกแล้ว ไอหยา ปู่นางหึงงั้นหรือ ด้วยเหตุนี้นางจึงกระโดดเข้าไปประคองแขนของเขาอย่างสนิทสนมกล่าว “ท่านปู่ท่านมาแล้ว! หลานคิดถึงท่านจะแย่แล้ว”
นายท่านผู้เฒ่าโหวแค่นเสียงอย่างเหยียดหยามหนึ่งครา “คิดถึงข้าหรือ คิดถึงข้าแต่ไม่รู้จักไปหาข้า! ยังต้องให้คนชราเช่นข้าลากขาแก่ๆ มาหาเจ้า อกตัญญู เจ้ามันอกตัญญู”
เสิ่นเวยก็ยิ่งสนุก ไอหยา เหตุใดปู่นางถึงช่างอดทนเพียงนี้ “หลานกำลังจะไปหาพอดี ไม่ใช่ว่าถูกท่านปู่แซงหน้าแล้วหรือ นี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าพวกเราปู่หลานมีใจเดียวกันอย่างไรเล่า แหะๆ ยังคงเป็นท่านปู่ที่รักข้าที่สุด” เสิ่นเวยตั้งใจประจบ ปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เจ้าโกหกข้า! เด็กเช่นเจ้าอ้าปากก็ขู่ขวัญคนได้แล้ว” นายท่านผู้เฒ่าเป่าหนวดถลึงตา แต่แววตากลับมีรอยยิ้มลึกซึ้งชัดเจน ยังคงเป็นหลานสี่ที่ดี ไม่ว่าเมื่อไรก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างสนิทสนม ใส่ใจยิ่งกว่าลูกสาวลูกชายแท้ๆ เสียอีก
เสิ่นเวยแสดงท่าทีน้อยใจ “ที่หลานพูดเป็นความจริงทั้งนั้น! ท่านปู่หากท่านตัดใจทิ้งหลานไม่ได้จริงๆ วันนี้หลานก็ไม่กลับไปแล้ว อยู่ที่จวนโหวเป็นเพื่อนท่านอีกหลายๆ วันเลย” เสิ่นเวยเสนอด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ดี ลักพาตัวสวีโย่วมารตนนั้นให้อยู่ที่จวนโหวด้วยกัน อย่างดีที่สุดก็จะได้ยั่วโมโหพระชายาจิ้นอ๋องนางมารแก่ตนนั้นให้อกแตกตายได้
เฮ้อ ฟังว่ามีบางพื้นที่กลับบ้านฝั่งมารดาได้เป็นเดือน แต่เมืองหลวงดันไม่มีกฎข้อนี้ คิดๆ ดูแล้วนางก็รู้สึกเสียดาย
นายท่านผู้เฒ่าโหวชายตามองนาง “สามีเจ้าเล่า”
“ไล่เขาออกไปสิ!” เสิ่นเวยแบมือทั้งคู่ พูดอย่างสบายใจ
“ไร้สาระ!” นายท่านผู้เฒ่าโหวถูกหลานสาวหยอกเล่นจนหัวเราะ “อยู่อะไรกัน อยู่ในจวนยั่วโมโหข้างั้นหรือ รีบไสหัวตามสามีเจ้าไป ไม่แน่ว่าปู่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสองปี”
อะไรที่เรียกว่าปากอย่างใจอย่าง ก็คือแบบที่ปู่นางเป็น วันนี้เสิ่นเวยนับว่าได้เห็นแล้ว เห็นชัดๆ ว่าคิดถึงนาง คิดถึงก็คิดถึงสิ นางไม่หัวเราะเขาหรอก ยังจะทำสีหน้ารังเกียจเสียให้ได้ เสแสร้งเกินไปแล้ว! เสิ่นเวยตำหนิในใจ
“ท่านปู่ หลานคิดถึงท่านจริงๆ” เสิ่นเวยบุ้ยปากกล่าวเสียงเบา ในจวนนี้คนที่นางคิดถึงที่สุดก็คือปู่กับน้องชายนาง สำหรับพ่อของนาง หากพูดแบบไม่มีความกตัญญู ปล่อยให้เขาไปอยู่ในที่ที่สบายใจเถอะ
นายท่านผู้เฒ่าโหวมองหลานสาวแสนสวยที่ราวกับบุปผางาม ในใจก็อบอุ่น ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เป็นบุพเพสันนิวาส ลูกหลานของเขารวมถึงหลานสาวของเขานอกจากจะเคารพยำเกรงแล้ว ก็ไม่สนิทสนมเลย มีเพียงเวยเอ๋อร์หลานสี่ที่เห็นเขาเป็นปู่อย่างคนธรรมดาทั่วไป อยู่ต่อหน้าเขาควรร้องไห้ก็ร้องไห้ ควรหัวเราะก็หัวเราะ มีอะไรก็พูด ต่อให้จะยื่นมือขอสิ่งของก็มีเหตุมีผล เจอปัญหายากๆ สร้างเรื่องอะไรมาก็รู้จักวิ่งมาหาปู่
“อยู่ที่จวนจิ้นอ๋องสบายดีหรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าโหวนั่งลงบนเก้าอี้สานพูดกับเสิ่นเวย
เสิ่นเวยท่าทางเกียจคร้าน เท้าข้างหนึ่งเตะม้านั่งตรงหน้า ไม่มีมาดของสตรีเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนนายท่านผู้เฒ่าโหวก็ทำเป็นมองไม่เห็น
เหตุผลที่ไม่ถามว่าเด็กหนุ่มดูแลนางดีหรือไม่ ก็เพราะนายท่านผู้เฒ่าโหวรู้ว่าเด็กหนุ่มนั่นหวงแหนหลานสาวของเขา ครั้นอยู่ที่ซีเจียงก็จับจ้องตลอดทั้งวัน จะปฏิบัติต่อนางไม่ดีได้อย่างไร อีกทั้งนายท่านผู้เฒ่าโหวก็เชื่อมั่นในฝีมือการคุมสามีของหลานสาวอย่างยิ่ง อย่ามองว่าเด็กหนุ่มนั่นเย็นชาท่าทางหยิ่งผยอง เหอะ เอาจริงขึ้นมาแล้วก็ยังเชื่อฟังหลานสาวเขามิใช่หรือ สำหรับเรื่องนี้ นายท่านผู้เฒ่าโหวพอใจยิ่งนัก!
“ยังพอได้! ก็เป็นแบบนั้น ท่านจิ้นอ๋องเป็นคนโง่ จิ้นหวงเฟยหน้าเนื้อใจเสื้อ อู๋ซื่อฉลาดแต่ทะนงตน หูซื่ออวดตนว่าฉลาดขี้เหนียวจิตใจคับแคบ คุณชายสี่เป็นลูกคุณหนูจริงๆ คุณชายห้าเป็นคนพูดจริงทำจริง ซื่อจื่อกับคุณชายสามตอนนี้เห็นเพียงแค่ด้านเดียว มองไม่ค่อยออกนัก” เสิ่นเวยเท้าคางวิจารณ์ทีละคนๆ
“คุณชายใหญ่เล่า” นายท่านผู้เฒ่าโหวมองหลานสาวปราดหนึ่ง
“คุณชายใหญ่หรือ” เสิ่นเวยตาลุกวาว กล่าว “คุณชายใหญ่เป็นคนหน้าตาดี” อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดที่นางเคยเห็น นางคิดว่าเพียงแค่มีใบหน้านั้นนางก็สามารถใช้ชีวิตที่เหลือได้แล้ว
นายท่านผู้เฒ่าโหวแทบพ่นชาออกจากปาก “เจ้าเด็กคนนี้! อย่าได้พูดจาเหลวไหล” ผู้ชายมักมากในกาม หลานสาวเขาเป็นเด็กผู้หญิงคาดไม่ถึงว่าจะพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้
ทว่าเสิ่นเวยกลับแสยะปาก โบราณก็ไม่ดีตรงนี้ ยากที่นางพูดความจริงแล้วจะมีคนเชื่อ
“สามีเจ้าบอกหรือไม่ว่าจะย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องเมื่อไร สวนชิงหยวนนั้นไม่ใช่ซ่อมเสร็จนานแล้วหรือ” นายท่านผู้เฒ่าโหวถามต่อ เรือนหลังจวนจิ้นอ๋องไม่ค่อยสงบสุขนัก หลานสาวของเขาเป็นเหยี่ยวที่โผบินอยู่บนท้องฟ้า ขังอยู่ในเรือนหลังมานานแล้ว ยากจะเลี่ยงไม่ให้กระทบต่อมุมมองของนาง นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่อยากให้หลานสาวของเขาหักปีกกลายเป็นนกกระจอก
เสิ่นเวยกล่าว “เขาเคยพูดครั้งหนึ่ง รอให้เดือนสมรสผ่านไปก่อนแล้วค่อยย้ายเข้าไป แต่ข้าคิดว่าน่าจะย้ายไม่ได้ พระชายาจิ้นอ๋องไม่ยอมปล่อยคนไปง่ายๆ เพียงนั้นหรอก” นางแต่งเข้าไปได้เพียงกี่วัน ก็ปะทะกับนางไม่รู้กี่รอบแล้ว ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าพระชายาจิ้นอ๋องผู้นั้นไม่ได้เป็นคนแบบที่นางแสดงออกมา จะยอมปล่อยพวกเขาออกไปใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างไร
“เช่นนั้นเจ้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร” คิ้วของนายท่านผู้เฒ่าโหวขมวดมุ่น เขาไม่พอใจคู่สมรสของเวยเอ๋อร์ก็ตรงนี้ หากหาตระกูลธรรมดาให้เวยเอ๋อร์ หรือว่าหาคู่หมั้นที่พ่อแม่ตายหมดแล้วให้เสีย ชีวิตก็จะหมดความยุ่งยากไปมาก แต่ว่านี่เป็นการสมรสพระชาทานจากฝ่าบาท เขาอับจนหนทาง
“ทหารมาใช้ขุนพลต้านน้ำมาก็ใช้ดินต้านสิ ท่านปู่วางใจ อย่างไรเสียข้าก็ไม่เสียเปรียบ” เสิ่นเวย
กล่าวอย่างไม่สนใจ หลายครั้งที่ปะทะนางไม่เสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว กลับเป็นพระชายาจิ้นอ๋องที่โยนหินทับเท้าตัวเอง ทำให้ในใจนางสบายอารมณ์อย่างยิ่ง
นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนอย่างเสิ่นเวย “เจ้าเองก็อย่าประมาท น้ำมือของสตรีเรือนหลังเลวร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าจินตนาการ มีแต่เจ้าจะคิดไม่ถึง ไม่มีอะไรที่พวกนางทำไม่ได้ อันตรายยิ่งกว่าสนามรบ อย่างไรเสียเจ้าก็อายุน้อย อย่าได้ตกหลุมพรางคนอื่น”
นายท่านผู้เฒ่าโหวยิ่งพูดก็ยิ่งไม่วางใจ “นางเป็นแม่สามีเจ้า ครอบครองความชอบธรรมต่างๆ ทั้งยังถืออำนาจในเรือนจวนอ๋อง ทั่วทั้งจวนล้วนแต่เป็นคนของนาง หากนางอยากทำอะไรกับเจ้า เจ้าก็ยากจะปกป้อง! ในเมื่อพวกเจ้าไม่อาจย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องได้ชั่วคราว วันนี้เจ้ากลับไปก็นำกำลังคนกลับไปให้มากหน่อย โดยเฉพาะของที่ทางเข้า ต้องระมัดระวัง” แม้เขาจะเป็นผู้ชาย แต่อย่างไรเสียประสบการณ์ชีวิตก็มีอยู่ เพียงแค่เรื่องลับที่มองดูอยู่ข้างๆ ก็มีไม่น้อยแล้ว
เขาเห็นหลานสาวไม่ค่อยเก็บคำพูดของเขามาใส่ใจ อดกล่าวอย่างจริงจังไม่ได้ “ข้างกายเจ้ามีเพียงหมอหลิวคนเดียวไม่ได้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ชาย ไม่อาจตามอยู่ข้างกายเจ้าตลอดเวลาได้ ต้องมีสาวใช้ชำนาญแพทย์ด้วยจึงจะถูก เจ้าถามสามีเจ้า ใต้บังคับบัญชาเขามีคนแบบนี้หรือไม่ หากไม่มี ปู่จะช่วยเจ้าหาสักหนึ่งคน เจ้าอย่าเมินเฉย อาจารย์ซูผู้นั้นข้างกายเจ้าก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดแล้ว หากไม่ใช่อุบายลับเรือนหลัง ด้วยความรู้ความสามารถของเขาอย่างน้อยก็คงได้เป็นอธิการบดีสำนักราชบัณฑิตแล้ว”
ในใจเสิ่นเวยซาบซึ้งแล้วจริงๆ คำพูดเหล่านี้ควรจะเป็นผู้อาวุโสเพศหญิงที่กำชับนาง แต่ตอนนี้ ชายฉกรรจ์ที่นำทัพสู้รบผู้หนึ่งเช่นปู่นางกลับสั่งสอนเรื่องลับภายในบ้านแก่นาง จะไม่ให้นางซาบซึ้งได้อย่างไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น