ข้ามกาลบันดาลรัก 221.1-221.2
ตอนที่ 221-1 กลัว ก็ต้องทน
กลุ่มชายฉกรรจ์ต่างตะลึงจังงังอยู่บนหลังม้า มองสาวน้อยตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ เห็นนางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แม้จะฉีกยิ้มหวาน ทว่ากลับเปล่งรัศมีอาฆาตราวมีดปลายแหลมคมกริบ
แม้กลุ่มชายฉกรรจ์จะเคยผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน ต่างก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ เอาแต่นั่งบนหลังม้าไม่กล้าขยับ กลัวการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของตัวเอง จะกลายเป็นเป้าหมายให้นางลงมือเป็นคนแรก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาไม่มีใครยอมพูด ขมวดคิ้วยู่ย่น ถอนคืนแรงอาฆาตรอบตัว ถามด้วยความกังขา “หรือข้าถามผิดไป พวกเจ้าต้องการชิงรถม้าพวกเรา?”
กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ฟัง ต่างโยกย้ายร่างบนหลังพร้อมกัน จนเกือบจะตกลงมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นคนทั้งหมดยังไม่ยอมปริปาก สั่งการเหวินหู่ “เหวินหู่ เมื่อคนพวกนี้ต้องการรถม้า ก็มอบให้พวกเขาสักคันเถอะ พวกเราเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม เห็นขอทานยังทำทานด้วยหมั่นโถว นับประสาอะไรกับคนทั้งโขยงที่ตามพวกเรามาหลายวันแล้ว”
เหวินหู่กลั้นขำ ตอบด้วยความนอบน้อม “ทราบแล้ว แม่นาง”
ชายฉกรรจ์นายหนึ่งเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนตนเองเป็นขอทาน ก็ให้เดือดดาล ร้องคำรามตวาด “นังตัวดีมีตาแต่ไม่มีแวว เบิกตาสุนัขของเจ้าดูเสียใหม่ อย่างพวกข้าดูเหมือนคนไม่มีปัญญาซื้อรถม้าหรือไร?”
ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวที่พอได้ยินวาจาระคายหูก็ไม่โมโห กลับพยักหน้าจริงจัง ตอบอย่างมาดมั่น “เหมือน”
เหวินเปียวและเหวินหู่อดทนต่อไปไม่ไหว โพล่งหัวเราะลั่น
ชายฉกรรจ์โมโหเกือบจะกระอักเลือดออกมา น้ำเสียงฉุนเฉียวกราดเกรี้ยว “นังตัวดีไม่รู้จักที่ตาย หากยังกล้าดูแคลนพวกเรา ระวังชีวิตเจ้าไว้ให้ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึมอึมครึม น้ำเสียงเจือความเคืองขุ่นหลายส่วน “ข้าเห็นพวกเจ้าลำบากติดตามพวกเรา หวังดีจะมอบรถม้าให้สักคัน เจ้าไม่เพียงไม่รับน้ำใจ ยังใช้วาจาสามหาว เพราะเห็นข้าเป็นเด็กแล้วจะฆ่าพวกเจ้าไม่ได้หรือไร?”
ชายฉกรรจ์นายนั้นคิดจะตอบกลับ ชายฉกรรจ์อีกคนข้างๆ ร้องห้ามเขา “เจ้าสี่ หุบปาก”
ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้าสี่เงียบปากอย่างไม่เต็มใจ จับจ้องเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยแววตาเคียดแค้น
ชายฉกรรจ์ที่ออกหน้าพูดห้ามเจ้าสี่ กำหมัดประสานมือ พูดอย่างมีมารยาท “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว พวกเรามิได้จะชิงทรัพย์และชิงสวาท ยิ่งมิได้ต้องการรถม้าของพวกเจ้า”
“เช่นนั้นด้วยเหตุผลใด?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างแคลงใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นพวกเขาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว กลับปล่อยให้ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ ชายฉกรรจ์ไม่กล้าดูแคลนนางอีก ตัดสินใจหงายไพ่ตาย ชี้เหวินเปียวและเหวินหู่พูดว่า “พวกเรามาเพราะพวกเขา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหวีดร้องเสียงสูงพลัน “มาเพราะพวกเขา?”
เสียงหวีดร้องเล็กแหลมกระทบโสตประสาทดังวิ้งๆ กลุ่มชายฉกรรจ์ยกมืออุดหูจาละหวั่น
เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่เห็นปฏิกิริยาของพวกเขา ตบหน้าอกตัวเอง พูดเหมือนคนหวาดผวา “มาเพราะพวกเขาก็ไม่บอกแต่เนิ่นๆ ทำข้านึกว่าพวกเจ้าต้องการทรัพย์สินของพวกเรา หวาดกลัวตั้งแต่เมื่อวานมาถึงตอนนี้”
คาดว่าชายฉกรรจ์ที่เปิดปากพูดจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา ได้ฟังวาจาของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงหยั่งเชิงถาม “แม่นางยินดีจะมอบพวกเขาให้พวกเรา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างไม่ลังเล โต้กลับทันควัน “เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ควรต่อกรกับพวกท่าน ข้ามิกล้าล่วงเกินพวกท่านหรอก”
เจ้าสี่แค่นเสียงหึ “ยังนับว่ารู้ความ”
“ทว่า” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ข้าใช้เงินก้อนโตซื้อพวกเขามา หากพวกท่านต้องการคนก็จงนำเงินมาไถ่ตัวพวกเขาไป”
เจ้าสี่รู้สึกเหมือนถูกปั่นหัว กำลังจะบันดาลโทสะ หัวหน้าชายฉกรรจ์รั้งเขาไว้ ถามเขา “แม่นางซื้อพวกเขามาจ่ายเงินไปเท่าใด?”
“ตอนซื้อมาจ่ายเงินไม่มาก เพียงหกร้อยตำลึง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ทว่าช่วงที่อยู่ด้วยกันมาข้าดูแลการกินอยู่ใช้สอยให้พวกเขา ใช้จ่ายเงินไปไม่นอน เอาอย่างนี้เถอะ พวกเจ้าไม่ต้องให้มาก หกพันตำลึงพอเป็นพิธีก็พอ”
เจ้าสี่โมโหร้องลั่น “จะปล้นกันหรือไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหดตัวหงอ “เป็นพวกเจ้าแท้ๆ ที่ปล้นพวกเรา เหตุใดถึงโยนมาให้ข้าเล่า?”
หัวหน้าชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วเกร็ง “จากที่ข้ารู้ แม่นางซื้อพวกเขาทั้งครอบครัวสิบกว่าชีวิต โดยจ่ายเงินไปเพียงหนึ่งร้อยกว่าตำลึง การเรียกเงินหกพันตำลึงเป็นการโก่งราคาที่มากเกินไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ยอมรับ “เจ้าจำผิดแล้ว คนมากมายเช่นนั้นข้าจะจ่ายเงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงได้อย่างไร”
“พี่ใหญ่ข้าเป็นคนถามป้าหวังเอง ไม่มีทางผิดพลาด” เจ้าสี่พูดอย่างอดรนต่อไปไม่ไหว
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหึๆ พูดหน้าเป็นว่า “เช่นนั้นเจ้าคงจำผิดแล้ว ทว่า อย่างไรตอนนี้ข้าจะเรียกพวกเจ้าหกพันตำลึง พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
เจ้าสี่เป็นคนอารมณ์ร้อน ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวสะกิดต่อมครั้งแล้วครั้งเล่า จนทนต่อไปไม่ไหว ชักอาวุธข้างเอวออกมาชี้หน้านาง พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “หากยังกล้าปั่นหัวพวกเราอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเป็นคนย้ายศีรษะของเจ้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แสดงสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย ยังคงยกยิ้มเจื้อยแจ่ว “ข้าเป็นคนซื้อพวกเขาสิบกว่าชีวิตมา เจ้าฆ่าข้าทิ้ง ไม่อยากรู้ที่อยู่ของคนอื่นๆ หรอกหรือ?”
หัวหน้าชายฉกรรจ์ตวาดเจ้าสี่อีกครั้ง “เจ้าสี่ วางดาบลง หากเจ้ายังใช้อารมณ์เช่นนี้ ต่อไปไม่ต้องตามพวกเราออกมา”
เจ้าสี่เก็บคืนอาวุธอย่างไม่เต็มใจ กลับไปยืนด้านหลังกับคนอื่นๆ
หัวหน้าชายฉกรรจ์พูดว่า “แม่นาง เมื่อเจ้ารู้เป้าประสงค์ของพวกเราแล้ว พวกเราก็เปิดอกพูดอย่างตรงไปตรงมาเถอะ ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมมอบพวกเขาทั้งครอบครัวให้พวกเรา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างเบิกบาน “จะมอบคนให้พวกเจ้าก็ได้ แต่ข้าควรได้รู้ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงต้องการพวกเขาทั้งครอบครัว?”
ชายฉกรรจ์หรี่นัยต์ตาลงมองนางแวบหนึ่ง แล้วพูดเตือน “ยิ่งรู้เรื่องมาก ก็ยิ่งตายเร็ว ข้าขอเตือนแม่นางอย่ารู้จะดีกว่า”
ชายฉกรรจ์พูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เพียงไม่หวาดกลัว กลับพูดอย่างใคร่รู้ “โย๊ะ เจ้าพูดเช่นนี้ ทำให้ข้ายิ่งอยากรู้แล้วสิ”
ชายฉกรรจ์เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงเย็นเยียบ ถามว่า “แม่นางแน่ใจว่าอยากรู้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหงึก
ชายฉกรรจ์จ้องเขม็งไปที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบเลี่ยงปะทะสายตากับเขา
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ชายฉกรรจ์เป็นฝ่ายยอมแพ้ พูดว่า “ข้าเตือนแม่นางแล้ว แม่นางไม่ฟังคำเตือนข้า รั้นจะรู้ให้ได้ หากภายหน้านำพามาซึ่งภัยพิบัตถึงแก่ชีวิต อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวทันควัน “เหตุใดท่านถึงขี้บ่นยิ่งกว่ายายแก่อายุแปดสิบอีก รีบพูดมา”
ยามชายฉกรรจ์ปฏิบัติภารกิจสังหารคนดั่งผักปลา นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกเวทนาต่อเด็กสาว ไม่คิดว่านางจะไม่รับน้ำใจ โทสะในใจให้ลุกฮือ ไม่ตักเตือนใดๆ อีก กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือแววเ**้ยมเกรียม “พวกเราเป็นคนของคุณชายใหญ่แห่งจวนท่านมหาเสนาบดี…”
เหวินเปียวและเหวินหู่ได้ยินเพียงเท่านั้น เบิกตาโพลงพลัน หยิบมีดใหญ่ข้างตัว ท่าทีหมายจะเอาชีวิตคนพวกนั้น
ชายฉกรรจ์ราวกับจะรับรู้ถึงแรงอาฆาตของพวกเขา ปลายลิ้นหยุดชะงัก มองพวกเขาอย่างระแวดระวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเกร็ง ร้องตวาด “ดูแลรถม้าให้ดี ถ่วงเวลาข้าฟังเรื่องสนุก คอยดูเถิดกลับไปข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร”
เหวินเปียวและเหวินหู่หันสบตากันแวบหนึ่ง เก็บคืนแรงอาฆาต ค่อยๆ วางมีดกลับคืนที่เดิม
เห็นพวกเขาเชื่อฟังเช่นนั้น หัวหน้าชายฉกรรจ์มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาครุ่นคิด แล้วพูดต่อว่า “เมื่อหลายเดือนก่อน คุณชายใหญ่ของพวกเราฝากสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนคุ้มกันสินค้าหนึ่งเที่ยว ให้นำเครื่องประดับหยกประเมินค่าไม่ได้หนึ่งชิ้นส่งมอบให้บ้านฝ่ายมารดาคุณนายน้อยทางใต้ ไม่คิดว่าพวกคนสำนักคุ้มภัยจะเกิดความละโมบ นำเครื่องประดับหยกไปซ่อน แล้วป่าวประกาศว่าถูกโจรป่าชิงไประหว่างทาง คุณชายของพวกเรามีเมตตา ไม่ถามหาความรับผิดชอบจากพวกเขา ขอเพียงพวกเขาชดใช้เป็นเงินหนึ่งแสนตำลึงก็พอ ไม่คิดว่าเจ้าสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนจะบอกว่าตนเองไม่มีเงินมากเช่นนั้น คิดจะบ่ายเบี่ยง คุณชายใหญ่ของพวกเราเดือดดาลฟ้องร้องพวกเขาถึงเขตซุนเทียน ใต้เท้าผู้ว่าการตัดสินโทษเนรเทศคนของสำนักคุ้มภัยทั้งหมด คุณชายของพวกเรานับถือในความประพฤติในอดีตของเหล่านายน้อยสำนักคุ้มภัย ถึงกับขอร้องต่อหน้าใต้เท้าผู้ว่าการแทนพวกเขา ใต้เท้าผู้ว่าการถึงยอมมีเมตตา ตัดสินโทษให้พวกเขาทั้งสกุลไปเป็นทาสหลวง ถูกคุ้มตัวไปขายได้ตามอำเภอใจที่อำเภอชิงเหอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “จากนั้นเล่า? คุณชายใหญ่ของพวกเจ้าส่งคนออกตามหาพวกเขาไปทั่วด้วยจุดประสงค์ใด?”
ชายฉกรรจ์ตอบกลับ “เดิมทีคุณชายใหญ่ของพวกเราเตรียมการไว้แล้ว หลังจากที่พวกเขาถึงอำเภอชิงเหอ จะส่งคนไปไถ่ตัวพวกเขา ขอเพียงพวกเขายอมบอกที่ซ่อนของเครื่องประดับหยก ก็จะคืนอิสรภาพให้พวกเขา ไม่คิดว่าพวกเราจะช้าไปหนึ่งก้าว ถูกแม่นางซื้อพวกเขาไปเสียก่อน หลายเดือนมานี้พวกเราคอยสืบถามที่อยู่ของพวกเขาไปทั่ว ในที่สุดเมื่อวานก็ได้เห็นพวกเขาในจังหวัด ถึงติดตามมาถึงตอนนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดโปงพวกเขาอย่างไม่ไว้หน้า “เจ้าพูดโป้ปด ป้าหวังหาได้บอกข้าเช่นนี้ไม่ นางบอกข้าว่า มีคนให้นางขายพวกผู้หญิงไปที่หอนางโลม ส่วนผู้ชายขายให้หอนายโลม”
ชายฉกรรจ์กะพริบตาปริบๆ อย่างร้อนตัว ตอบความเสียงกระท่อนกระแท่น “แม่นางจักต้องเข้าใจอะไรผิด คุณชายของพวกเราจิตใจดี ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้โต้กลับเขา ตะโกนถามเหวินเปียวและเหวินหู่ “ที่พวกเขาพูดมาเป็นความสัตย์จริงหรือไม่?”
เหวินเปียวตอบกลับด้วยความเคียดแค้นเสียงลั่น “พวกเขาโป้ปดมดเท็จทั้งเพ ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พวกเขาสมคบคิดกันใส่ความพวกเรา ให้คนปลอมเป็นโจรมาชิงเครื่องประดับหยกไประหว่างทาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวแบมือ “เห็นหรือไม่ แม้แต่พวกเขาก็พูดว่าพวกเจ้าโป้ปด เมื่อพวกเจ้าไม่มีความจริงใจ เช่นนั้นข้าคงไม่อาจมอบคนให้พวกเจ้าได้”
ชายฉกรรจ์ชักสีหน้า ร้องคำราม “เจ้ากล้าปั่นหัวพวกเรา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “เป็นพวกเจ้าที่ไร้สัจจะก่อน จะโทษข้าไม่ได้”
ชายฉกรรจ์ถามเสียงเ**้ยม “แม่นางทำเช่นนี้ คิดถึงผลลัพธ์ดีแล้วหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตอบอย่างแน่วแน่ “คิดดีแล้ว”
“เมื่อแม่นางคิดดีแล้ว ยังจะทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าหลังจากพวกเราตามเจอพวกเขาทั้งสกุลแล้ว แม้แต่ครอบครัวของพวกเจ้าก็จะถูกฆ่าพร้อมกันไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม กลับคืนสู่พลังสังหารสะท้านทรวง พูดด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียม “พวกเจ้ามิได้มีโอกาสนั้นหรอก”
เป็นอีกครั้งที่ชายฉกรรจ์รับรู้ได้ถึงพลังสังหารอำมหิต ชักมีดใหญ่ข้างเอวออกมาพลัน ถามขึ้น “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “จะบอกจุดจบของพวกเจ้าให้เอาบุญ ก็คือฆ่าพวกเจ้าไม่ให้เหลือ แล้วโยนเข้าป่าให้จิ้งจอกกิน”
ชายฉกรรจ์แค่นเสียงเย็นเยียบ พูดอย่างดูแคลน “แค่พวกเขาและเด็กสาวตัวกระเปี๊ยกอย่างเจ้าเรอะ ฝันกลางวันเกินไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะพูดว่า “ฝันกลางวันหรือไม่ พวกเจ้าไปอยู่ต่อหน้ายมบาลก็จะรู้เอง”
เจ้าสี่อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ควบม้าขึ้นหน้า ถืออาวุธในมือตรงเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วฟันฉับลงไป “นังเด็กไม่รู้จักที่ตาย ข้าจะส่งเจ้าไปรายงานต่อหน้ายมบาลก่อนเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ย่อตัวลง มุดไปใต้ท้องม้า ล้วงกริชในอกเสื้อออกมา ตวัดตัดขาม้าข้างหนึ่ง แล้วถอยห่างออกมา
ม้าถูกตัดขาข้างหนึ่ง ส่งเสียงโห่ร้อง ร่างมหึมาล้มพับไปกับพื้น สลัดเจ้าสี่กระเด็นกระดอนไปไกล
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสที่ทุกคนยังไม่ได้สติกลับมา กระโดดตัวลอย ตรงรี่เข้าไปเบื้องหน้าเจ้าสี่ที่กำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้น ปักกริชในมือลงไปที่หัวใจเขาสุดแรงเกิด เจ้าสี่สิ้นลมหายใจทันที โดยที่ยังไม่ทันได้ร้องสักแอะ
ตอนที่ 221-2 กลัว ก็ต้องทน
กลุ่มชายฉกรรจ์ส่งเสียงหวีดร้องขึ้นพร้อมกัน “เจ้าสี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวชักกริชออกมาอย่างรวดเร็ว แทงซ้ำไปที่ลำคอของเจ้าสี่อีกครั้งตามความเคยชิน แล้วลุกขึ้นยืน จ้องมองชายฉกรรจ์ที่เหลือที่ห้าคนอย่างเ**้ยมเกรียม
หัวหน้าชายฉกรรจ์เห็นเจ้าสี่สิ้นลมหายใจแล้ว โกรธเลือดเข้าตา ควบม้าตรงเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวกำกริชในมือแน่น
เหวินเปียวและเหวินหู่เห็นเช่นนั้น หยิบมีดใหญ่ข้างกายกระโดดเข้ามา
เมิ่งอี้เซวียนที่คอยฟังความเคลื่อนไหวนอกรถม้า รับรู้ได้ว่าเหวินเปียวและเหวินหู่ไปจากรถม้าแล้ว จึงเปิดม่านรถเดินลงมาจากรถม้า มองไปเห็นสภาพเ**้ยมอำมหิตของเมิ่งเชี่ยนโยว ตะลึงค้างจังงัง
ชายฉกรรจ์อีกคนเข้าไปขวางหัวหน้าชายฉกรรจ์ไว้ พูดเสียงเบา “พี่ใหญ่ นังตัวแสบนี่ร้ายกายไม่เบา พวกเราอย่าได้ประมาทเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเราที่จะเสียเปรียบ”
เหวินเปียวและเหวินหู่กระโดดลอยตัวเข้ามา แยกกันยืนสองข้างของเมิ่งเชี่ยนโยว
ชายฉกรรจ์ที่เหลือนั่งอยู่บนม้าไม่กล้าบุ่มบ่าม
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยอมุมปากแสยะยิ้มเ**้ยม พูดอย่างสบประมาท “ว่าอย่างไร แค่นี้ก็กลัวแล้ว? อย่าบอกข้าว่าเป็นถึงคุณชายใหญ่มหาเสนาบดีกลับเลี้ยงแต่พวกเสียข้าวสุกไว้”
ความหวาดผวาผ่านไปแล้ว หัวหน้าชายฉกรรจ์กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง ถามเสียงเข้ม “เพื่อบ่าวเพียงไม่กี่คน เจ้าคิดจะเป็นปรปักษ์กับพวกเราจริงๆ ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน “ในสายตาพวกเจ้าพวกเขาเป็นเพียงบ่าว ในสายตาข้าพวกเขาเป็นคนในครอบครัว หากใครบังอาจมาแตะต้องคนในครอบครัวข้า…” พูดถึงตรงนี้ แล้วใช้กริชปลายแหลมชี้เจ้าสี่ที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว “นี่ก็คือจุดจบของมัน”
วาจาสามหาวนี้กระตุ้นโทสะของหัวหน้าชายฉกรรจ์ เขาบันดาลโทสะ แผดเสียงดังสนั่น “พี่น้องเรา ลุย”
กลุ่มชายฉกรรจ์ควบม้าเข้ามา เหวินเปียวและเหวินหู่เข้าขวางเมิ่งเชี่ยนโยวไว้เบื้องหลัง ยกมีดใหญ่ในมือขึ้นต้านทานพวกชายฉกรรจ์
เมิ่งเชี่ยนโยวเล็งช่องโหว่หนึ่งไว้ พุ่งกริชในมือเข้าหาชายฉกรรจ์คนหนึ่ง กริชลอยวนออกไป
ชายฉกรรจ์ถูกปักเข้าอย่างจัง ทิ้งร่างตกหลังมา นอนดิ้นทุรนทุรายบนพื้น
ชายฉกรรจ์ที่กำลังปะมือกับเหวินเปียวได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเขา เกิดเสียสมาธิ ถูกมีดของเหวินเปียวฟันเป็นแผลใหญ่ที่ขา ลงไปนอนแดดิ้นกรีดร้องกับพื้นเช่นกัน
หัวหน้าชายฉกรรจ์เห็นพี่น้องสองคนได้รับบาดเจ็บติดต่อกัน ตะเบ็งเสียงคำรามลั่น “พี่น้องเรา ลงจากหลังม้า”
หลังจากพวกชายฉกรรจ์เข้าโรมรันอย่างบ้าคลั่งหลายกระบวนท่า สบจังหวะเหมาะ กระโดดลงจากหลังม้าอย่างปราดเปรียว แล้วยืนผนึกกำลังด้วยกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวควงกริชที่ลอยกลับเข้ามาในมือ พูดอย่างสงบนิ่ง “ตอนนี้สามต่อสาม ในที่สุดก็ยุติธรรมแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนที่ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ตรงหน้าตั้งแต่แรก ได้แต่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
หัวหน้าชายฉกรรจ์สอดสายตาล่อกแล่ก พลันเห็นเขาเข้า กระโดดลอยตัวไปตรงหน้าเขา เมิ่งอี้เซวียนยังไม่ทันได้สติกลับมา ก็เอามีดใหญ่ในมือจ่อที่คอหอยของเขาแล้ว
เหวินเปียวและเหวินหู่ร้องตะโกนสุดเสียง “คุณชายน้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกร็งค้าง กริชที่หมุนควงอยู่เกือบร่วงหล่นพื้น
หัวหน้าชายฉกรรจ์แสยะยิ้ม “ทิ้งอาวุธในมือพวกเจ้าซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่ามันทิ้ง”
เหวินเปียวและเหวินหู่ไม่ลังเล โยนมีดใหญ่ในมือทิ้งลงพื้นทันควัน
เมิ่งเชี่ยนโยวกำกริชในมือแน่น ถามด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “รู้หรือไม่ว่าทำร้ายคนในครอบครัวข้าจะมีจุดจบเช่นไร?”
หัวหน้าชายฉกรรจ์ขยับมีดเข้าใกล้คอหอยเมิ่งอี้เซวียน ใบมีดคมกริบบาดผิวเนื้อ เลือดสดไหลซิบๆ ออกมาจากผิวหนังนวลขาวของเมิ่งอี้เซวียนพลัน “ไม่ต้องพูดเพ้อเจ้อ โยนกริชในมือทิ้งซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะปั่นคอมันทิ้งเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้าเปลี่ยนสลับไปมาหลายครั้ง ย่อตัวลงวางปลายมีดชี้ไปทางชายฉกรรจ์ลงบนพื้น
หัวหน้าชายฉกรรจ์เปล่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง “แม่นางน้อย คิดจะสู้กับพวกเรา เจ้ายังอ่อนเกินไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะ “งั้นหรือ?”
หัวหน้าชายฉกรรจ์สั่งพี่น้องสองคนที่เหลือ “เก็บอาวุธของพวกมันมา”
ชายฉกรรจ์สองคนขานรับ เดินเข้าหาทั้งสามคนอย่างย่ามใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเมิ่งอี้เซวียนเขม็ง เปล่งเสียงพูดภาษาอังกฤษสองสามคำ
เมิ่งอี้เซวียนกะพริบตาตอบรับ
ชายฉกรรจ์ทั้งหมดมึนงง
หัวหน้าชายฉกรรจ์ไม่เข้าใจว่านางพูดอะไร แผดเสียงร้องคำราม “นังตัวดี เจ้าเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เท้าเตะกริชบนพื้นไปทางหัวหน้าชายฉกรรจ์
หัวหน้าชายฉกรรจ์ตกใจลนลาน คิดจะเบี่ยงตัวหลบ
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องลั่น “อี้เซวียน ลงมือได้”
เมิ่งอี้เซวียนฉวยโอกาสตอนที่ชายฉกรรจ์สติหลุด ล้วงกริชอีกด้ามในมือออกมา แทงกลับหลังเข้าที่หน้าอกชายฉกรรจ์เต็มแรง
ชายฉกรรจ์เบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ หงายหลังล้มตึงลงไป มีดใหญ่ในมือร่วงสู่พื้น
“พี่ใหญ่” ชายฉกรรจ์ที่เหลือเพียงสองคนวิ่งร้องลั่นเข้าหาหัวหน้าชายฉกรรจ์
เมิ่งอี้เซวียนมองดูสองมือของตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือก นิ่งงันไม่เคลื่อนไหว
เมิ่งเชี่ยนโยวสบถเสียงต่ำ ลอยตัวไปเบื้องหน้าเขาอย่างไม่สนใจอันตราย
เหวินเปียวและเหวินหู่รีบเก็บมีดใหญ่ขึ้นมาตามนางไป
ชายฉกรรจ์สองคนเห็นเมิ่งอี้เซวียนอยู่ตรงหน้ารอมร่อแล้ว
ภายใต้ความร้อนใจ เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเศษเงินในอกเสื้อออกมาดีดใส่ทั้งสองคน
ชายฉกรรจ์สองคนนึกว่าเป็นอาวุธลับ เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสนี้เข้าไปยืนเบื้องหน้าเมิ่งอี้เซวียน เหวินเปียวและเหวินหู่ก็ตามมาจนทัน คุ้มกันอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง
เมิ่งอี้เซวียนเงยใบหน้าซีดขาวขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเลื่อนลอย พูดงึมๆ งำๆ “ข้าฆ่าคน”
“ยังไม่ตายเสียหน่อย เจ้าเพียงแทงเขาบาดเจ็บเท่านั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงละมุน
เมิ่งอี้เซวียนมองชายฉกรรจ์ที่นอนหายใจรวยรินบนพื้น เม้มริมฝีปาก กระเถิบตัวเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว
ชายฉกรรจ์หกคนยังเหลืออีกสองคน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ “รีบจัดการให้เร็วที่สุด”
ทั้งสองพยักหน้า ถือมีดใหญ่เข้าปะทะกับชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกสองคน
ชายฉกรรจ์มิได้มีวรยุทธ์อ่อนด้อย เพียงแค่ต้องสูญเสียพี่น้องไปติดๆ กันถึงสี่คน แม้แต่หัวหน้าชายฉกรรจ์ก็ถูกแทง คนที่เหลือสติกระเจิง กระบวนท่าปรวนแปร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหวินเปียวและเหวินหู่อีกต่อไป เพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็ถูกตัดแขนตัดขาไปอย่างละคน นอนกรีดร้องโหยหวนบนพื้น
พริบตาเดียว ถนนทั้งสายก็ดังก้องไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของพวกเขา
เมิ่งอี้เซวียนยิ่งให้กระแซะเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวหมุนตัวเขาเข้ามา จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาเขา ถามขึ้น “กลัวหรือ?”
เมิ่งอี้เซวียนที่ใบหน้าซีดเผือก ผงกหัวหงึกๆ เหมือนลูกไก่จิกข้าวสาร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึงขัง “หากพวกเราไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าพวกเรา กระทั่งอาจจะเป็นภัยมาถึงคนในครอบครัว ดังนั้นต่อให้เจ้า กลัว ก็ต้องอดทน”
เมิ่งอี้เซวียนริมฝีปากสั่นระริก คิดจะพูดบางอย่าง กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขึงขังจริงจัง “อี้เซวียน เจ้าต้องรู้ว่า ชีวิตคนเราจะต้องเจอเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่ เจ้าจักต้องเรียนรู้ที่จะยืนหยัดเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เหมือนกับวันนี้ เมื่อครู่หากไม่ใช่เจ้าแทงเขาบาดเจ็บ บางทีตอนนี้คนที่นอนอยู่บนพื้นก็คือพวกเรา ดังนั้น เรื่องบางอย่างเจ้าหวาดกลัวได้ แต่เรื่องบางอย่างเจ้าจักต้องไม่กลัว”
เมิ่งอี้เซวียนมองแววตาวาดหวังคู่นั้นของเมิ่งเชี่ยนโยว ความสับสนลนลานในใจค่อยๆ สงบลง แม้ใบหน้าจะยังคงซีดขาว แต่เห็นชัดว่ามิได้หวาดกลัวมากแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวหันตัวเขาไปทางชายฉกรรจ์ที่บาดเจ็บพวกนั้น พูดอย่างเ**้ยมเกรียม “ดังนั้น เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เจ้าต้องดูให้ดี ต่อให้หวาดกลัว ก็ต้องอดทน”
เมิ่งอี้เซวียนมองนางด้วยความกังขา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เหวินเปียว
เหวินเปียวพยักหน้า เดินไปตรงหน้าชายฉกรรจ์บาดเจ็บคนหนึ่ง ยกมีดขึ้นฟันฉับ ศีรษะและร่างของชายฉกรรจ์แยกเป็นสองส่วน
เมิ่งอี้เซวียนตกใจกรีดร้อง คิดจะปิดตาทั้งคู่ของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะใจอ่อน แต่พอคิดว่าหลังจากเขากลับคืนฐานันดรตัวเอง ไม่แน่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนโฉดชั่วอำมหิต หากใจดีอ่อนข้อให้ จะต้องถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ฝืนกัดฟัน พูดตวาดเสียงแข็ง “อี้เซวียน ลืมสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดกับเจ้าไปแล้วเรอะ? ลืมตาของเจ้า แล้วมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ไว้ให้ดี”
เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงปลั่ง แสดงอาการหวาดกลัวสุดขีด มองนางอย่างน่าเวทนา
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหัวใจสั่นคลอนแวบหนึ่ง ต้องใช้กำลังภายในมหาศาลถึงควบคุมลงได้ ไม่บอกให้เขากลับไปนั่งรอในรถม้า
เมิ่งอี้เซวียนพูดวิงวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าไม่ดูได้หรือไม่? ข้าหวาดกลัวจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพลัน “ไม่ได้”
ดวงตาคู่งามของเมิ่งอี้เซวียนสูญสิ้นแววระยิบระยับ ค่อยๆ หันหน้ามองไปยังชายฉกรรจ์ที่ร้องโหยหวน
เหวินเปียวกำลังจะเดินเข้าไป จบชีวิตชายฉกรรจ์อีกคน แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำใจไม่ได้ พูดว่า “ช้าก่อน”
เหวินเปียวชะงักฝ่าเท้า หันกลับมามองนางอย่างกังขา
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งทั้งสองคน “นำตัวไปจัดการในป่าเถอะ จำไว้ ห้ามให้มีชีวิตรอดเด็ดขาด”
เหวินเปียวและเหวินหู่ขานรับ แยกกันลากชายฉกรรจ์ที่ร้องโหยหวนเข้าไปในป่า ทำเช่นนี้กลับไปกลับมาสามรอบ ชายฉกรรจ์ทั้งหกคนถึงถูกลากออกไปจนครบ
เมิ่งอี้เซวียนมองการกระทำของพวกเขาด้วยแววตาเลื่อนลอย
เหวินเปียวและเหวินหู่จัดการเรียบร้อย เช็ดกริชทั้งสองด้ามจนสะอาด สองมือประคองมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนอย่างอ่อนน้อม
เมิ่งอี้เซวียนเหม่อลอยไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
เมิ่งเชี่ยนโยวจำต้องรับมาทั้งสองด้าม ถามขึ้น “จัดการอย่างไร?”
เหวินเปียวตอบกลับ “หลังจากปั่นศีรษะพวกเขาแยกออกจากร่าง ก็ทำตามที่ท่านสั่ง โยนให้เป็นอาหารจิ้งจอกในป่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไล่ม้าทั้งหกตัวนี้ไป แล้วมุ่งหน้าไปตัวอำเภอ”
ทั้งสองขานรับคำ ใช้สันมีดตีร่างม้าทั้งหกตัว ม้าเจ็บปวด วิ่งกระเจิงไปคนละทิศละทาง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูคราบเลือดเต็มตัวพวกเขา ขมวดคิ้วแน่น “หาที่โยนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ทิ้งไป พอถึงตัวอำเภอให้ตรงไปซื้อเสื้อผ้าก่อนคนละชุด”
ทั้งสองรับคำ
เมิ่งอี้เซวียนยังคงมองทั้งสองคนด้วยแววตาเลื่อนลอย ไม่รับรู้ในบทสนทนาของพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงปฏิกิริยาของตัวเองครั้งแรกที่ฆ่าคนในชาติก่อน แอบถอนหายใจ ยื่นมือออกไปดึงเมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้า “ไปเถอะ”
หลังจากกำจัดพวกสะกดรอยตามได้ เหวินเปียวและหิมราวกับยกภูเขาออกจากอก ต่างบังคับม้าไล่ตามกันมุ่งหน้าเข้าอำเภออย่างสบายอกสบายใจ ระหว่างทางหาสถานที่เหมาะสม โยนเสื้อผ้าที่ใส่ทิ้งไป
เมิ่งอี้เซวียนถูกเมิ่งเชี่ยนโยวลากขึ้นรถม้า นั่งเหม่อลอยไม่ไหวติงอยู่ในห้องโดยสาร
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ พูดเสียงอ่อน “เอนตัวนอนสักงีบเถอะ พอเจ้าตื่น ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”
เมิ่งอี้เซวียนทำตามอย่างเชื่อฟัง ขดร่างกายเอนตัวนอนลง เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้านวมมาคลุมร่างเขา ตีตัวเขาเบาๆ ราวกับกล่อมเด็กน้อย
เมิ่งอี้เซวียนค่อยๆ หลับตาลง คล้ายว่าจะหลับไปแล้ว
เห็นเขาอยู่ในห้วงนิทราแล้ว ยังห่อหดร่างกายด้วยความตื่นกลัว เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกเสียใจที่ให้เขาประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เร็วเกินไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น