อัจฉริยะสมองเพชร 2210-2213

 ตอนที่ 2210 ก่อการกบฎ

 

“ส่งคนของเราไปฟัง? หมอนั่นเพิ่งขโมยตำแหน่งเจ้าเมืองไปจากตระกูลหลิน ดีเท่าไหร่แล้วที่เราไม่พยายามเข้าไปป่วนการบรรยายของเขา นับประสาอะไรกับจะเข้าร่วม เขาคาดหวังให้ตระกูลหลินของเราเป็นลูกศิษย์ของเขาจริงๆหรือไง?” หัวหน้าตระกูลโบกมืออย่างโกรธเกรี้ยว


“คือ…” พ่อบ้านดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังโมโห แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพูดอ้อมแอ้ม “เท่าที่ได้รับรายงานจากผู้ที่เข้าฟังการบรรยาย ดูเหมือนการบรรยายสาธารณะครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยต่อการฝึกฝนวรยุทธ มีนักรบมากมายเกิดความรู้แจ้งเพราะคำบรรยายของเขา”


“เกิดความรู้แจ้งเพราะคำบรรยายของเขา? เฮอะ! มันก็แค่ข่าวลือที่หมอนั่นกระพือออกไปเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ผมเจอปาหี่แบบนี้มากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา!” หัวหน้าตระกูลตอบอย่างหมดความอดทน “พอที! กำชับสมาชิกตระกูลเราด้วยว่าห้ามเข้าฟังการบรรยายหรือรับคำสอนของหมอนั่น ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกคัดชื่อออกจากตระกูล และจะไม่มีวันได้เหยียบย่างเข้าสู่คฤหาสน์ของเราอีก!”


“รับทราบ…”


เห็นหัวหน้าตระกูลตัดสินใจเด็ดขาด พ่อบ้านก็ได้แต่กลืนคำพูดของตัวเองและออกจากห้องเพื่อส่งมอบคำสั่งให้กับคนอื่นๆอย่างจนปัญญา


“หลินชี คุณเห็นไหม? หมอนั่นเริ่มซื้อใจผู้คนในเมืองทันทีที่ได้ตำแหน่ง! ถ้าเขาจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ล่ะก็ เมืองแสงสนธยาทั้งเมืองจะต้องตกอยู่ในกำมือของเขา! เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าจะฝึกฝนวรยุทธใช่ไหม? ก็ดี ผมจะให้ผู้อาวุโสทั้ง 8 ใช้ค่ายกลลับของตระกูลหลินเพื่อยกระดับวรยุทธให้คุณ จะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ คุณจะต้องช่วงชิงตำแหน่งเจ้าเมืองกลับมาให้ได้!” หัวหน้าตระกูลกัดฟันพูด


“ค่ายกลลับ? ทำแบบนั้นไม่ได้นะ ผู้อาวุโสทั้ง 8 จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แถมอายุขัยของพวกเขาก็จะสั้นลงด้วย!” หลินชีผงะ


ตระกูลหลินมีค่ายกลลับที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดพละกำลังของนักรบหลายคนให้กับนักรบคนใดคนหนึ่ง ส่งผลให้วรยุทธของผู้นั้นเพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยเหตุที่มันสร้างความบอบช้ำสาหัสให้กับผู้ใช้ค่ายกล จึงแทบไม่มีใครใช้ค่ายกลนี้มาก่อน


หลินชีคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าตระกูลจะยื่นข้อเสนอแบบนี้


“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ขอแค่คุณได้เป็นเจ้าเมือง ทุกอย่างก็คุ้มค่า ตอนนี้มีเรื่องเดียวที่คุณต้องทำ คือปรับสภาวะร่างกายของตัวเอง เตรียมตัวให้พร้อมรับพละกำลังของแปดผู้อาวุโส!” หัวหน้าตระกูลพูดพร้อมกับโบกมือ


ไม่ช้า ผู้อาวุโสทั้ง 8 ของตระกูลหลินซึ่งล้วนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำก็เข้ามาในห้องของหลินชีและรีบจัดเตรียมค่ายกล จากนั้นก็ถ่ายทอดพละกำลังเข้าสู่ร่างของหลินชี


กระบวนการนี้ใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง


…..


หลินชีรู้สึกสดชื่นและกระชุ่มกระชวย เขารู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง ในโลกนี้คงไม่มีสิ่งใดยับยั้งเขาได้


หลินชีรวบรวมพละกำลังทั้งหมดเข้าสู่จุดตันเถียน ระดับวรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้น


เทพเจ้าสวรรค์สร้าง กึ่งขั้นสูง!


แม้เขายังไม่อาจยกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงได้ในรวดเดียว แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประสิทธิภาพการต่อสู้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า


“ด้วยพละกำลังระดับนี้ ตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องตกอยู่ในกำมือของเรา…” หลินชีระบายลมหายใจยาว แววตาของเขาเปล่งประกายมุ่งมั่นทะเยอทะยาน


สมัยก่อน โอกาสที่เขาจะเอาชนะหมิงไล่เชียงได้มีแค่ 50:50 แต่หลังจากซึมซับพละกำลังของ 8 ผู้อาวุโสแล้ว ก็มั่นใจว่าคงเอาชนะเธอได้อย่างง่ายดาย


ตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องเป็นของเขา!


“ขอบคุณมาก ทุกคน…” หลินชีโค้งคำนับอย่างงามด้วยความสำนึกในบุญคุณต่อผู้อาวุโสทั้ง 8 ที่นอนแผ่อยู่กับพื้น ทุกคนมีท่าทีราวกับถูกดูดพลังออกไปจนหมดเกลี้ยง


อันที่จริง ผู้อาวุโสทั้ง 8 ยอมแลกวรยุทธของตัวเองกับการยกระดับวรยุทธให้เขาเพียงเล็กน้อย


การสูญเสียนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำรวดเดียวถึง 8 คนย่อมเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ไม่ว่ากับกลุ่มอำนาจในไหนในเมืองแสงสนธยา ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติ คงไม่มีใครตัดสินใจทำแบบนี้


แต่สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหันบีบให้พวกเขายอมทำทุกอย่าง เพราะหากเจ้าเมืองคนใหม่ได้รับการสนับสนุนและมีรากฐานอำนาจที่มั่นคงขึ้นมาเมื่อไหร่ การจะแย่งชิงตำแหน่งจากอีกฝ่ายก็แทบเป็นไปไม่ได้


ขอแค่เขาได้เป็นเจ้าเมือง จะชดเชยอย่างงามให้กับผู้อาวุโสทั้ง 8 ที่ยอมเสียสละ!


“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว คว้าตำแหน่งเจ้าเมืองมาให้ได้ ต่อให้พวกเราต้องตายก็ถือว่าคุ้ม…” ผู้อาวุโสเคราขาวโพลนตอบอย่างอ่อนแรง


“ไปเถอะ ตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องเป็นของตระกูลหลินของพวกเราเท่านั้น…” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเสริม


“ได้” หลินชีโค้งคำนับอย่างงามให้เหล่าผู้อาวุโสอีกครั้งก่อนจะออกจากห้อง


ขณะที่เขากำลังจะมุ่งหน้าออกไป พ่อบ้านคนเมื่อครู่ก็รีบเข้ามารายงาน “ท่านหัวหน้า นายน้อยหลินชี…นักรบพเนจรหวูหยาง หัวหน้าตระกูลเทียนเฟย และหัวหน้าตระกูลจ้าวเหมิงกับผู้ติดตามมาขอเข้าพบ!”


“พวกเขามาที่นี่? คิดจะทำอะไร?” หัวหน้าตระกูลหลินกับหลินชีสบตากัน


จริงอยู่ว่าทั้ง 3 ตระกูลใหญ่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เพราะอยู่ในสถานภาพที่เป็นคู่แข่ง จึงมีความหวาดระแวงต่อกันและกันด้วย น่าแปลกใจที่พวกนั้นมาที่นี่ในยามวิกาล


“เชิญพวกเขาเข้ามา!” หัวหน้าตระกูลออกคำสั่ง


ไม่ช้าทุกคนก็เข้ามานั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่


“ยินดีที่ได้พบคุณ หัวหน้าตระกูลหลินและนายน้อยหลินชี” ทั้งกลุ่มกล่าวทักทาย


“ยินดีที่ได้พบพวกคุณเช่นกัน ผมอยากรู้เหตุผลที่พวกคุณมาหาผมดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้”


หัวหน้าตระกูลหลินรีบตรงเข้าประเด็น


หัวหน้าตระกูลเทียนหัวเราะเบาๆก่อนจะให้คำตอบ “พวกเราตรงมาที่นี่ทันทีหลังจากได้ฟังการบรรยายของท่านเจ้าเมือง เราเห็นว่าตรงนั้นไม่มีคนจากตระกูลหลินอยู่เลย จึงเดินทางมาที่นี่”


“การบรรยายของเจ้าเมือง? ตระกูลหลินของพวกเราคือตระกูลหมายเลข 1 ของเมืองแสงสนธยา เราไม่สิ้นคิดถึงขนาดไปฟังการบรรยายของคนหนุ่มอวดดีหรอก!” หลินชีโพล่งออกมาเมื่อได้ยินประโยคนั้น “พวกคุณล้อผมเล่นใช่ไหม?”


“หัวหน้าตระกูลหลิน พวกเรามาที่นี่ด้วยความหวังดีนะ เราเกรงว่าคุณจะพลาดของดี เพราะไม่มีสมาชิกในตระกูลของคุณอยู่ในกลุ่มผู้ฟังการบรรยายเลย พวกเราตั้งใจใช้ผลึกบันทึกเก็บคำบรรยายเพื่อนำมาแบ่งปันให้คุณ คุณจะปฏิเสธเราก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่เกินไปหน่อยหรือที่ดูถูกท่านอาจารย์ของพวกเราแบบนั้น?” หัวหน้าตระกูลเทียนถึงกับอารมณ์เสีย


มันเป็นการบรรยายสั้นๆเพียง 4 ชั่วโมง แต่นั่นก็เกินพอจะทำให้เขายำเกรงสุดหัวใจในตัวชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนอนุสาวรีย์หิน ความรู้ที่เขาได้รับจากอีกฝ่ายมากเกินพอที่จะทำให้ยอมรับท่านเจ้าเมืองเป็นอาจารย์


“ท่านอาจารย์ของคุณ? ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมรู้น่ะว่าเขาเป็นเจ้าเมืองคนใหม่ แต่คุณก็ไม่เห็นต้องศิโรราบให้เขารวดเร็วขนาดนั้นนี่!”


“อีกไม่นานก็คงถูกเฉดหัว และคงเป็นเจ้าเมืองที่ครองตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน” หลินชีคำราม


“เฉดหัว? คุณคิดจะก่อการกบฎหรือ?” หัวหน้าตระกูลเทียนถึงกับจังงังก่อนจะหัวเราะลั่น “ผมเข้าใจแล้ว! เพราะคุณฝ่าด่านวรยุทธได้นี่เอง ถึงกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา…”


ในตอนนั้น หวูหยางที่นั่งเงียบมาตลอดก็ออกความเห็น “ในเมื่อพี่หลินฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างกึ่งขั้นสูงได้แล้ว คุณสนใจจะดวลกับผมไหม?”


ทั้งคู่แย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองกันมากว่าครึ่งปีและเคยปะทะกันหลายครั้ง จึงคุ้นเคยกับทักษะของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี


“ผมยินดีรับคำท้าของคุณ!” หลินชีตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ


หลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ เขาก็อยากทดสอบพละกำลังที่ได้มาใหม่ ซึ่งคงจะดีหากได้ทดสอบกับคู่แข่งขันเก่า เพื่อแสดงให้ทุกคนในเมืองแสงสนธยารู้ว่าเขาไม่ใช่หลินชีคนเดิม!


ฟึ่บ!


หลินชีพุ่งออกไปขณะเงื้อฝ่ามือขึ้นเตรียมโจมตีหวูหยาง


ในเมื่อเขาตัดสินใจทดสอบพละกำลังที่ได้มาใหม่กับหวูหยาง ก็คงเยี่ยมยอดหากเล่นงานอีกฝ่ายจนพ่ายแพ้ยับเยินได้


หลินชีจึงใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาตั้งแต่เริ่มต้นโดยไม่คิดจะยั้งมือ


เพียะ!


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ประชิดตัวหวูหยาง ก็พลันเจ็บแปลบที่แก้ม ร่างของเขาหมุนคว้าง 2 รอบกลางอากาศก่อนจะร่วงลงมากระแทกพื้น


ด้วยความงุนงงอย่างหนัก หลินชีพยายามโงหัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นหวูหยางปัดฝุ่นออกจากมืออย่างสบายใจหลังจากที่ตบหน้าเขา


“คุณ…”


หลินชีตาแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะพุ่งออกไปอีกครั้ง


เพียะ! เพียะ! เพียะ!


เขาถูกตบหน้าอย่างจัง 3 ครั้งติดต่อกัน ทำเอาล้มกลิ้งไปกับพื้น หลินชีใช้มือกุมแก้มที่บวมเป่งไว้ขณะจ้องหน้าหวูหยางอย่างงงงัน


“พละกำลังของคุณ…”


ไม่ว่าจะมองอย่างไร หวูหยางก็เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง แล้วอีกฝ่ายทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?


ทั้งคู่เคยต่อสู้กันอย่างสมน้ำสมเนื้อมาก่อน แถมตัวเขาก็เพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาหมาดๆ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะหมดหนทางรับมือกับอีกฝ่าย!


“หลินชี ผมมองคุณเป็นคู่แข่งมาตลอด แต่ตอนนี้คุณไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้นแล้ว!” หวูหยางลดสายตาลงมองหลินชีอย่างดูถูก “และอีกอย่าง ถ้าคุณกล้าพูดถึงท่านเจ้าเมืองแบบแย่ๆอีกครั้งล่ะก็ ผมจะฆ่าคุณเสีย!”


เมื่อพูดจบ หวูหยางก็หันหลังกลับและออกจากคฤหาสน์ไป


“เอ่อ…”


หลินชีแทบเสียสติ


เขาเคยคิดว่าเมื่อฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว ก็คงไม่มีใครในเมืองแสงสนธยาเทียบชั้นกับเขาได้ ใครจะไปรู้ว่าลงท้ายจะถูกคู่แข่งตบหน้าจนหมดสภาพแบบนี้?


จู่ๆหมอนั่นทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?


เมื่อวันก่อนก็เพิ่งสู้กัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีพละกำลังใกล้เคียงกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย


“ในเมื่อความคิดเห็นของพวกเราต่างกันแล้ว เป็นพันธมิตรกันต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ นายน้อยหลิน…เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเรานะ ผมอยากจะแนะนำคุณสักหน่อยก่อนที่ผมจะกลับ อย่าต่อต้านท่านเจ้าเมืองอีกเลย คุณมีแต่จะทำให้ตระกูลหลินล่มจมเร็วขึ้น” หัวหน้าตระกูลเทียนพูดขณะลุกขึ้นยืน


“ฮะ? คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าพูดจาโอหังแบบนี้ต่อหน้าผม?”


เมื่อเห็นว่าแม้แต่หัวหน้าตระกูลเทียนซึ่งเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำยังกล้าพูดจาดูถูกเขา หลินชีหมดความอดทน เขาลุกพรวดและปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่าย


เขาอาจจะสู้หวูหยางไม่ได้ แต่การรับมือกับชายที่อ่อนด้อยกว่าเขามากยอมง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก


เพียะ! เพียะ! เพียะ!


แต่ก็อีกครั้ง ยังไม่ทันที่หมัดของหลินชีจะถึงตัวหัวหน้าตระกูลเทียน เสียงตบรัวๆก็ดังขึ้นที่สองแก้มของเขาอย่างจัง ทำเอาร่วงลงไปกองกับพื้น


การถูกทำร้ายครั้งนี้ทำให้หลินชีสติแตก


โลกทั้งโลกควรเป็นของเขาหลังจากที่เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ

 

 

 


ตอนที่ 2211 สถานการณ์ก็พลิกผัน

 

ทำไมเขาถึงตกต่ำถึงขนาดถูกนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำตบหน้า?


ฟึ่บ!


ขณะที่หลินชีพยายามขบคิด ร่างหนึ่งก็ผงาดเงื้อมเหนือร่างของเขา เมื่อเงยหน้ามอง หลินชีเห็นหัวหน้าตระกูลจ้าวยืนจังก้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง


“ผมก็นิ่งเฉยไม่ได้หรอกเมื่อคุณพูดถึงท่านอาจารย์ของผมในแง่ร้าย”


จากนั้น หัวหน้าตระกูลจ้าวก็เตะท้องน้อยของหลินชีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


หลินชีพยายามหลบ แต่พบว่าแรงเตะนั้นติดตามเขาไปทุกแห่ง ไม่ว่าจะหลบไปทางไหนก็ไม่มีโอกาสหนีพ้น


ฟิ้วววว!


ร่างของหลินชีลอยโด่งขึ้นไปกลางอากาศและกระเด็นไปกว่า 10 เมตร


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร…”


หลินชีคิดไม่ถึงว่าเขาจะสู้ไม่ได้แม้แต่กับจ้าวเหมิงซึ่งมีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม


หมอนั่นเตะเขากระเด็นได้อย่างง่ายดาย…


ถึงตอนนี้ หลินชีเสียสติเอาจริงๆ


ตระกูลหลินยอมเสียอะไรมากมายเพื่อยกระดับวรยุทธของเรา แต่ทำไมถึงดูเหมือนใครๆก็พัฒนาได้รวดเร็วกว่าเราไปหมด?


เราเป็นนักรบที่ไม่ได้เรื่องจริงๆหรือ?


“เทียนเฟย จ้าวเหมิง คุณสองคนจะเกินไปแล้วนะ!”


หัวหน้าตระกูลหลินคิดไม่ถึงว่าอัจฉริยะหมายเลข 1 ของตระกูลของเขาจะถูกทั้งคู่เล่นงาน เขาโมโหเดือดขึ้นทันที


เพียะ! เพียะ! เพียะ!


แต่ก็เหมือนกับหลินชี หลังจากถูกตบไป 2-3 ครั้ง หัวหน้าตระกูลหลินก็ถูกทิ้งให้นั่งงงอยู่กับพื้น


เขาเคยได้รับความเคารพในฐานะหัวหน้าตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด แม้จะยังเทียบชั้นกับหลินชีไม่ได้ แต่ก็รับมือกับคนอย่างเทียนเฟยและจ้าวเหมิงได้สบาย แล้วพวกนั้นไร้เทียมทานกว่าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?


ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง สองคนนั้นดูเหมือนจะมองเห็นทุกกระบวนท่าของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไร อีกฝ่ายก็ปัดป้องและตอบโต้ได้อย่างไร้ที่ติ


“ท้าทายทายาทตระกูลหลินทุกคน จัดการให้พวกนั้นมาคุกเข่าให้ได้!” เทียนเฟยสั่งการ


เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มพิการคนหนึ่งก็เดินกะเผลกออกมาจากด้านหลัง


หัวหน้าตระกูลหลินจำชายหนุ่มพิการคนนี้ได้ เขาคือบุคคลที่รู้กันว่าไร้ค่าในตระกูลเทียน หลังจาก ประสบอุบัติเหตุที่ทำให้ขาพิการ ก็ถูกปฏิเสธและกลายเป็นนักรบที่อ่อนด้อยที่สุดในบรรดานักรบรุ่นเดียวกัน


ชายหนุ่มพิการรี่เข้าหาเหล่าทายาทตระกูลหลิน ด้วยดาบเล่มหนึ่งในมือ เขาไล่ล่าทุกคนราวกับหมาป่าที่อยู่กลางฝูงแกะ


เพียงไม่ถึง 10 นาที ทายาทตระกูลหลินหลายสิบคนก็นอนแผ่ระเกะระกะอยู่กับพื้น


ทุกคนยอมจำนน


หัวหน้าตระกูลหลินแทบเสียสติ


เจ้าขยะคนนี้กลายเป็นนักรบทรงพลังตั้งแต่เมื่อไหร่?


เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเทียน?


1 ชั่วโมงต่อมา ผู้เชี่ยวชาญทุกคนของตระกูลหลินถูกตระกูลเทียนกับตระกูลจ้าวท้าทาย ซึ่งก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน ราวกับโลกกำลังส่งสัญญาณบอกพวกเขาว่าถึงเวลาที่ตระกูลหลินจะต้องก้าวลงจากตำแหน่งตระกูลชั้นนำเสียที


เมื่อตระกูลเทียนกับตระกูลจ้าวจากไป หัวหน้าตระกูลหลินหันมาตวาดพ่อบ้านด้วยความร้อนใจ “เร็วเข้า! รีบไปตรวจสอบซิ จู่ๆพวกนั้นไร้เทียมทานขนาดนี้ได้อย่างไร?”


ในฐานะคู่แข่ง สามตระกูลใหญ่แห่งเมืองแสงสนธยาปะทะกันอยู่เสมอ ทั้งโดยเปิดเผยและที่อยู่ในเงามืด ซึ่งโดยปกติ ตระกูลหลินจะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเพราะมีพละกำลังเหนือกว่า ทำให้อีกสองตระกูลไม่กล้ามีสิทธิ์มีเสียง


แต่ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง สถานการณ์ก็พลิกผัน


หัวหน้าตระกูลหลินรับไม่ได้ สองตระกูลนั้นออมมือมาตลอดเพื่อหลอกให้เขาตายใจหรือเปล่า?


“ขอรับ!”


พ่อบ้านรีบออกจากคฤหาสน์ ไม่ช้าก็กลับมาด้วยใบหน้าฟกช้ำบวมเป่ง


“เกิดอะไรขึ้น พวกนั้นซุ่มรออยู่ข้างนอกเพื่อเล่นงานเราหรือ?” หัวหน้าตระกูลหลินกัดฟันถาม


มันเรื่องอะไรถึงต้องทำขนาดนี้? พวกเขาแค่ตั้งข้อสังเกตนิดหน่อยเกี่ยวกับเจ้าเมืองคนใหม่ ก็แค่นั้นเอง! ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลย ใช่ไหม?


“อ๋อ ไม่ใช่สองตระกูลนั้นหรอก วณิพกสองคนหาเรื่องผมตอนที่ผมกำลังเดินไปตามถนน ผมคิดว่าคงเล่นงานพวกเขาได้สบายด้วยพละกำลังที่มีอยู่ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาอย่างกะทันหัน สุดท้ายผมก็ถูกพวกนั้นซ้อม…”


นัยน์ตาของพ่อบ้านเปี่ยมด้วยความแค้น น้ำตาปริ่มๆจะไหล


“วณิพก?” หัวหน้าตระกูลหลินถึงกับพูดไม่ออก


ไม่น่าเชื่อว่าพ่อบ้านผู้ทรงเกียรติของตระกูลหลินจะถูกวณิพกเล่นงาน!


“จากที่ผู้คนตามท้องถนนร่ำลือกัน ดูเหมือนทุกคนจะกลายเป็นนักรบผู้ทรงพลังขึ้นมาทันทีหลังจากได้ฟังการบรรยายของท่านเจ้าเมือง คำบรรยายนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อทักษะการต่อสู้และวรยุทธของพวกเขา” พ่อบ้านพูด


“เพราะการบรรยายของเจ้าเมือง? แล้วคุณได้บันทึกการบรรยายมาหรือเปล่า?” หลินชีถามอย่างร้อนใจ


“ผมต้องเหนื่อยยากมากมายและจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อจะได้สำเนาของมันมา” พ่อบ้านตอบขณะยื่นผลึกบันทึกอันหนึ่งให้


หลินชีรีบรับผลึกบันทึกมาและถ่ายทอดพลังงานสวรรค์ของเขาเข้าไป ผิวหน้าของผลึกบันทึกสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะเผยให้เห็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนอนุสาวรีย์ อีกฝ่ายกำลังพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมทว่าทรงพลัง


ฟังไปได้แค่เสี้ยวเดียว หลินชีกับหัวหน้าตระกูลหลินก็ตัวแข็งทื่อ


ทั้งคู่เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเพราะอะไรตระกูลเทียนกับตระกูลจ้าวถึงทรงพลังขึ้นมาอย่างปุบปับจนถึงขนาดที่พวกเขาสู้ไม่ได้ เป็นเพราะคนเหล่านั้นได้ฟังคำบรรยายของเจ้าเมืองคนใหม่นี่เอง!


“แค่ฟังคำบรรยายที่อัดไว้น่ะไม่อาจทำให้ได้รับอานุภาพของการบรรยายหรอก สิ่งที่เราได้ย่อมลดน้อยลงมาก ดูเหมือนคราวนี้ตระกูลหลินจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ พวกเรากำลังล้าหลังใครต่อใคร อีกไม่นานก็คงถูกเตะโด่งออกจากตำแหน่งสามตระกูลใหญ่และร่วงลงไปเป็นกลุ่มอำนาจขั้น 2 แน่” หัวหน้าตระกูลหลินพูดอย่างขมขื่น


เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการรู้แจ้งเหมือนนักรบเหล่านั้นเพียงเพราะได้ดูหรือได้ฟังผลึกบันทึก เพราะการบรรยายมีบรรยากาศของการสั่งสมความรู้ที่นำมาซึ่งภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจ ซึ่งพวกเขาพลาดโอกาสทองแล้ว


ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น ความถดถอยของตระกูลหลินเป็นอันรับประกันได้


“ถ้าผมรู้ว่าท่านเจ้าเมืองคนใหม่จะเก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้ คงยอมฟังที่หมิงไล่เชียงบอก” หลินชีโพล่งออกมาขณะน้ำตาไหลอาบแก้ม


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่แม้แต่หมิงไล่เชียงผู้โหดเหี้ยมยังเลือกศิโรราบให้เจ้าเมืองคนใหม่และช่วยเสริมรากฐานอำนาจให้เขา มันคือเกียรติยศและโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้รับใช้เจ้านายผู้เก่งกาจทรงพลังขนาดนั้น


ถ้าพวกเขายอมละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองและเข้าฟังการบรรยายของเจ้าเมืองคนใหม่ ก็คงยังรักษาสถานภาพตระกูลผู้ทรงเกียรติหมายเลข 1 ของเมืองแสงสนธยาไว้ได้ น่าเสียดายที่ไม่มีทางหวนกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆได้อีกแล้ว


ผู้อาวุโสทั้ง 8 ต้องเสียวรยุทธไปเพียงเพื่อให้เขามาพ่ายแพ้เทียนเฟยกับคนอื่นๆ


หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปเมื่อไหร่ หลินชีและตระกูลหลินทั้งตระกูลจะกลายเป็นตัวตลกที่น่าหัวเราะเยาะที่สุดของเมืองแสงสนธยา!


…..


ฉีหลิงเอ๋อไม่รู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเมืองแสงสนธยาที่เป็นผลจากการบรรยายของจางเซวียน เธอมองกลุ่มคนคลาคล่ำตรงหน้าและอธิบาย “นี่คือหัวใจของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน, เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!”


ทั้งกลุ่มกำลังยืนอยู่บนค่ายกลทะลุมิติขนาดมหึมา พวกเขาเพิ่งถูกส่งทะลุมิติมาถึงเมืองหลวง และคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่อยู่โดยรอบก็เบาลงจนอยู่ในระดับที่รับได้


เมื่อคืนก่อน ระหว่างช่วงเวลา 4 ชั่วโมงที่จางเซวียนเปิดการบรรยาย นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำจำนวนมากกลายเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง และนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลางจำนวนมากก็กลายเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง เพียงชั่วข้ามคืน ประสิทธิภาพการต่อสู้โดยรวมของทั้งเมืองแสงสนธยาก็พัฒนาขึ้นมากกว่าที่เคยมีมาตลอด 30 ปี


สิ่งนี้ทำให้เกิดสุญญากาศของพลังจิตวิญญาณเป็นการชั่วคราวบริเวณเหนือเมืองแสงสนธยา


ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ อสูรสวรรค์ หรือแม้แต่ของล้ำค่า ทุกชีวิตที่ได้ฟังการบรรยายของจางเซวียนล้วนเกิดแรงบันดาลใจล้ำลึกจากคำพูดของเขา และต่างก็พัฒนาไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


ด้วยเหตุนี้ ชื่อเสียงของจางเซวียนจึงพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ทำให้เขาได้รับความจงรักภักดีอย่างจริงใจ


แต่แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรกับจางเซวียน เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งจนเขาคร้านจะใส่ใจ


เมื่อคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติจางหายไป ทั้งกลุ่มก็ออกจากค่ายกลทะลุมิติและกวาดสายตาไปรอบๆเมืองหลวง


มองแวบแรก ก็เห็นได้ชัดว่าเมืองหลวงมีขนาดใหญ่โตกว่าเมืองแสงสนธยาหลายเท่า ตึกรามบ้านช่องที่อยู่โดยรอบก็โอ่อ่าหรูหรากว่ากันมาก ถนนหนทางคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ไม่แออัดเหมือนเมืองแสงสนธยา


บริเวณโดยทั่วไปถือว่าสะอาดสะอ้าน การจัดวางผังเมืองก็ทำได้ดี บ่งบอกว่าเมืองนี้มีการบริหารจัดการที่สมบูรณ์แบบ


เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็มีอสูรสวรรค์ทุกชนิดบินไปมา และสิ่งที่น่าสนใจกว่าคือภูเขาขนาดใหญ่ที่สูงเสียดเมฆ ราวกับได้ก้าวออกจากโลกของความเป็นจริงเข้าสู่โลกของเทพนิยาย


“ผู้ที่พำนักอยู่บนภูเขาสวรรค์เหนือเมืองหลวงได้นั้น ส่วนใหญ่มาจากตระกูลและกลุ่มอำนาจใหญ่ ตระกูลและกลุ่มอำนาจเหล่านี้มีผู้นำเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงหรือเหนือกว่า” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย


“เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง…สมกับที่เป็นเมืองหลวง ช่างน่าทึ่งและน่าสะพรึงจริงๆ” จางเจี้ยพึมพำ


แม้เมื่อครั้งที่มันยังเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง ก็สามารถทำอะไรได้ตามใจในเมืองตะวันรอนโดยไม่แยแสแม้แต่เจ้าเมือง แต่เมืองหลวงแห่งนี้มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายจนมันต้องเจียมเนื้อเจียมตัวไว้หากอยากเอาชีวิตรอด


ลำพังแค่มองรอบตัว ก็เห็นอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังกว่ามันถึง 5 ตัวแล้ว


จางเจี้ยเก็บความโอหังไว้และเงียบกริบ


นี่คือลักษณะเดียวกันกับเศรษฐีใหม่ที่ก้าวเข้าสู่สังคมชั้นสูงเป็นครั้งแรก เมื่อได้เห็นว่าคนรวยตัวจริงนั้นเป็นอย่างไร ก็รู้ทันทีว่าตัวเองไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย


“มีอะไรให้ต้องกลัว? พี่ซุนก็อยู่ด้วยทั้งคน! ไม่ช้าพวกเราก็จะครองเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!” ซุนฉางพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจขณะกอดคอจางเจี้ย


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนขมวดคิ้ว


ทุกครั้งที่ซุนฉางพูดอะไรทำนองนี้ เขาจะสังหรณ์ใจทันทีว่าปัญหากำลังจะตามมาในไม่ช้า


จางเจี้ยผลักแขนของซุนฉางออกไปก่อนจะหันไปพูดกับไก่น้อยที่นั่งอยู่บนไหล่ของจางเซวียน มันยิ้มอย่างประจบประแจง “พี่ใหญ่ ผมจะทำอะไรให้คุณได้บ้าง?”


ไก่น้อยไม่แม้แต่จะมองหน้าจางเจี้ย มันตอบหน้าตาเฉย “ผมอยากตาย คุณจะไปตายกับผมไหม?”


จางเซวียยยกมือปิดหน้าด้วยความอับอาย

 

 

 


ตอนที่ 2212 ร่างนั้นควรจะเป็นใคร?

 

นี่เขาพาตัวเองเข้ามาอยู่ในกลุ่มคนชนิดไหนกัน?


จางเซวียนถอนหายใจเฮือก เขาตัดสินใจไม่แยแสตัวประหลาดพวกนี้และหันไปพูดกับฉีหลิงเอ๋อ “หาที่พักกันเถอะ คุณมีอะไรจะแนะนำไหม?”


เขาไม่รังเกียจการค้างอ้างแรมในที่พักง่ายๆหากมาตามลำพัง แต่เมื่อมีท่านพ่อท่านแม่มาด้วย อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องหาสถานที่ที่ดีพอเพื่อให้ทั้งคู่ได้พักผ่อนอย่างสบาย


แม้ค่ายกลทะลุมิติจะพาพวกเขามาถึงที่นี่ในชั่วพริบตา และท่านพ่อท่านแม่ก็ได้รับการปกป้องจากตราสัญลักษณ์ แต่ทั้งคู่ก็ย่อมได้รับความบอบช้ำอยู่บ้างเพราะวรยุทธที่ยังอ่อนด้อย


“ฉันใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉี และเดินทางออกจากเมืองหลวงทันทีที่เป็นอิสระ” ฉีหลิงเอ๋อตอบอ้อมแอ้ม


“ถ้าอย่างนั้นก็หาที่เหมาะๆกันเถอะ” จางเซวียนพูด


แม้ฉีหลิงเอ๋อจะมาจากหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง แต่สถานภาพของเธอก็ไม่ได้สูงส่งพอที่จะพาคนนอกกลับไปด้วยได้


อีกอย่าง ตระกูลผู้ทรงอำนาจส่วนใหญ่มักมีกฎเกณฑ์จุกจิกมากมาย ซึ่งจะทำให้อยู่ยาก คงสะดวกสบายกว่ากันมากหากมีที่พักเป็นของตัวเอง


เมืองหลวงแห่งนี้มีนักเดินทางแวะเวียนมาบ่อยครั้ง การเสาะหาที่พักที่ปลอดภัยจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง ทั้งกลุ่มก็ได้บ้านพักที่น่าพอใจหลังหนึ่ง ติดข้อเดียวตรงที่ราคาสูงกว่าบ้านพักอาศัยในเมืองตะวันรอนมาก แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่จางเซวียนจ่ายไหว


“นี่คือยาเม็ดเพิ่มความงาม 50 เม็ด จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ คุณช่วยขายให้ผมหน่อย อีกอย่าง ผมหวังว่าคุณจะช่วยผมสืบหาข่าวเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” จางเซวียนพูดขณะยื่นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าหลายขวดให้ฉีหลิงเอ๋อ


ระหว่างทาง เขาใช้เงินที่ได้มาก่อนหน้านี้หาซื้อยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำมาเพิ่ม


สำหรับจางเซวียน ยาเม็ดเพิ่มความงามไม่ต่างอะไรกับเงินที่ได้มาฟรีๆ สิ่งที่เขาต้องใช้มีแค่กระแสพลังปราณเท่านั้น


“ได้สิ” ฉีหลิงเอ๋อตอบขณะออกจากลานบ้านไป


จากนั้น จางเซวียนหันไปส่งโทรจิตหาซุนฉาง “ผมอยากให้คุณไปหาข่าวเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองในเมืองหลวง และเมื่อได้ข่าวแล้ว ไปตามหาลู่ชงด้วย เขาถูกจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นนำตัวไป ตอนนี้จึงน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองหลวงนี่แหละ…”


หลังจากลู่ชงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จบนภูเขาสวรรค์สร้าง เพียงไม่นาน จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็มานำตัวเขาไป ดังนั้น ในเวลานี้ลู่ชงจึงน่าจะอยู่ในเมืองหลวง


“รับทราบ” ซุนฉางพยักหน้าก่อนจะออกจากบ้าน


เมื่อสั่งการเรียบร้อย จางเซวียนจัดห้องหับให้ท่านพ่อท่านแม่ของเขาก่อนจะกลับห้องของตัวเอง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็นำจี้สีแดงก่ำที่ห้อยอยู่รอบลำคอของเขาออกมาลูบไล้


ลั่วชิง คุณอยู่ที่ไหน?


ตัวตนที่แท้จริงของคุณในสรวงสวรรค์เป็นใคร?


จากที่จางเซวียนได้พูดคุยกับหลัวลั่วชิง เขาดูออกว่าสถานภาพของเธอในสรวงสวรรค์น่าจะสูงส่งไม่น้อย เพราะไม่อย่างนั้น คงไม่อาจช่วยเหลือเขาได้ในหลายๆด้าน


บางทีเราน่าจะลองหาข้อมูลจากเลือดหยดนี้ก่อน จางเซวียนคิดขณะมองของเหลวสีแดงก่ำที่อยู่ภายในจี้


หลัวลั่วชิงมอบจี้อันนี้ให้เขา เขาไม่แน่ใจว่าเลือดที่อยู่ในนั้นเป็นของเธอหรือเปล่า แต่ต่อให้ไม่ใช่ ก็น่าจะเป็นเงื่อนงำชั้นดีที่จะพาเขาไปหาเธอได้


ต้องลองดู…


ที่ผ่านมา จางเซวียนไม่สามารถถ่ายทอดพลังงานเข้าสู่หยดเลือดเพราะพละกำลังของเขายังอ่อนด้อย แต่ในเวลานี้ ด้วยกายเนื้อ จิตวิญญาณ และพลังปราณที่เข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงแล้ว เขาก็น่าจะทำได้


จางเซวียนรีบติดตั้งค่ายกลอันหนึ่งในห้องของเขาก่อนจะปล่อยจี้ให้ลอยอยู่บริเวณใจกลางค่ายกล


จากนั้นก็เริ่มถ่ายทอดจิตใต้สำนึกของเขาเข้าสู่จี้


เมื่อดูจากภายนอก จี้อันนี้น่าจะทำจากคริสตัลบางชนิดที่มีความแข็งแกร่งทนทานอย่างเหลือเชื่อ ถึงขนาดที่พละกำลังของเขาในเวลานี้ก็ทำลายมันไม่ได้ แต่โชคดีที่จิตใต้สำนึกของเขาสามารถซึมซาบเข้าไปในนั้น แม้จะยากลำบากอยู่สักหน่อย


ไม่ช้า จิตใต้สำนึกของจางเซวียนก็เข้าถึงหยดเลือด


หยดเลือดนั้นนอนนิ่งอยู่ภายในจี้ ไม่บ่งบอกถึงพละกำลังแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะมันเคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง จางเซวียนคงมองข้ามไปเพราะหน้าตาที่แสนจะธรรมดาของมัน


จางเซวียนตัดสินใจจะค้นหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ เขาผลักดันจิตใต้สำนึกเข้าสู่หยดเลือด


ทันทีที่จิตใต้สำนึกของเขาสัมผัสกับมัน ทั้งร่างก็สั่นสะท้านด้วยความอัศจรรย์ใจ รังสีที่คุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา และคำพูดที่เขาเคยได้ยินตอนที่เพิ่งทะลุมิติมายังทวีปแห่งปรมาจารย์ใหม่ๆก็ดังก้องอยู่ในหัว


สรวงสวรรค์โหดร้าย ให้ค่าทุกสิ่งมีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่เป็นหุ่นฟาง


อาทิตย์อัสดง จันทร์ข้างแรม สรวงสวรรค์แหว่งวิ่น…


“สรวงสวรรค์ผู้โอหัง บงการทุกกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ มีอำนาจเหนือทุกชีวิต…”


“สรวงสวรรค์นำพาชีวิตทั้งปวงไปสู่เส้นทางของการรู้แจ้ง…”


ขณะที่ถ้อยคำเหล่านั้นดังก้องอยู่ในหัวของจางเซวียน หอสมุดเทียบฟ้าก็กระตุก โลกรอบตัวเขาหมุนติ้วก่อนทุกอย่างจะมืดมิด


พลั่ก!


จางเซวียนร่วงลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เขาสลบไป


 


จางเซวียนมึนงง เขาเห็นตัวเองยืนอยู่เหนือหมู่เมฆ รอบกายว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรเลย


หมู่เมฆลอยละล่องไปตามสายลมอย่างอิสระเสรี เป็นการเดินทางที่ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ


แต่เมื่อมองอีกที ก็รู้ว่าเข้าใจผิด


มีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่บนหมู่เมฆเช่นกัน


ร่างนั้นกำลังลดสายตาลงมองโลกอันกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง โลกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้าและตึกรามบ้านช่องโอ่อ่า


แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นแค่โลกที่หยุดนิ่งใบหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวหรือหายใจ ราวกับโลกทั้งโลกหยุดหายใจไปชั่วขณะเพื่อต้อนรับการมาถึงของอะไรบางอย่าง


“ผู้อาวุโส…” จางเซวียนเดินไปหาร่างนั้นด้วยความงุนงง


นักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกับเขาแทบจะไม่มีความฝัน จางเซวียนเคยฝันเพียงครั้งเดียวนับตั้งแต่เดินทางทะลุมิติมายังโลกใบนี้ จึงรู้สึกว่าจะต้องมีเหตุผลล้ำลึกบางอย่างที่ทำให้เขาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า


ร่างนั้นไม่มองและไม่พูดกับเขา แต่น้ำเสียงกลับดังก้องอยู่ในหัว “คุณไม่ทำให้ผมผิดหวัง คุณเสาะแสวงหาหนทางของตัวเองได้โดยใช้พละกำลังและความแข็งแกร่งที่มี…เดินตามเส้นทางที่คุณตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองเถอะ แล้วคุณจะปีนป่ายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ควรเร่งรีบกว่านี้สักหน่อย ผมรอนานนักไม่ได้ อีกอย่าง สร้างการยอมรับจากสวรรค์ให้ได้มากกว่านี้ แล้วคุณจะได้รับบางสิ่งที่ช่วยเหลือคุณได้ในระหว่างการเดินทาง…”


ฟึ่บ!


ยังไม่ทันที่ร่างนั้นจะพูดจบ ร่างของจางเซวียนก็พุ่งออกไป ทัศนียภาพรอบตัวเขาหายวับ


เขาลืมตา และพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องเดิม ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพหลอน


“มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”


ช่วงเวลาสั้นนิดเดียว แต่ทุกอย่างดูสมจริงมาก ตอนนี้จางเซวียนแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นความจริงหรือความฝัน


แม้ระดับวรยุทธของจางเซวียนจะไม่สูงนัก แต่ก็มีหอสมุดเทียบฟ้าคอยปกป้อง แถมเจตจำนงกับจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งกว่านักรบทั่วไป ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่เดือดร้อนกับปีศาจใต้สำนึกและภาพลวงตาส่วนใหญ่


แต่คราวนี้ ทั้งประสาทสัมผัสและหัวสมองของเขาเริ่มสับสนกับสิ่งที่เห็น


อีกอย่าง ร่างนั้นควรจะเป็นใคร?


ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เรื่องหน้าหนังสือสีทองด้วย


“หรือเขาคือปรมาจารย์ขง?”


เท่าที่จางเซวียนรู้ ผู้ที่รู้เรื่องหน้าหนังสือสีทองกับหอสมุดเทียบฟ้ามีแต่หลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงเท่านั้น เขาไม่อาจระบุหน้าตาและรูปร่างของร่างที่เห็นได้ แต่ก็ดูออกรางๆว่าอีกฝ่ายเป็นชาย


ในเมื่อเป็นแบบนั้น ร่างที่เห็นก็น่าจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก!


“เขาบอกไว้ว่าเขารอนานนักไม่ได้…นั่นหมายถึงการต่อสู้ระหว่างตัวเขากับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีหรือเปล่า?”


หลังจากที่จางเซวียนมาถึงสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน ก็ได้ข่าวว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีกำลังจะเปิดศึกครั้งใหญ่ ทั้งคู่คือผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของสรวงสวรรค์ จึงไม่มีใครคาดเดาผลของการดวลได้


“ไม่ว่าเราจะคิดถูกหรือไม่ เรื่องจริงก็คือตอนนี้เรายังอ่อนแอเกินไป ไกลเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น…”


ในฐานะนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง ลำพังจะรับมือกับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางก็ยากพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงราชันย์เทพเจ้าและจอมราชันย์


ต่อให้เขาตามหาปรมาจารย์ขงจนเจอ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะถ่วงอีกฝ่ายให้ลำบากกว่าเดิม


สิ่งที่เขาควรให้ความสำคัญในเวลานี้คือการยกระดับวรยุทธและตามหาหลัวลั่วชิง


จางเซวียนสลัดความคิดต่างๆออกจากหัว เขาหันมาเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


การกระตุกของหอสมุดเทียบฟ้าเมื่อครู่ก่อนทำให้เขาสลบไป จางเซวียนจึงอยากสำรวจดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆหรือไม่


แต่หลังจากสำรวจไปได้สักครู่ ก็ไม่พบอะไรผิดปกติเลย ดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทุกอย่างดูเหมือนเดิมอย่างไม่ผิดเพี้ยน


แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำจากการเปลี่ยนแปลงครั้งก่อน นั่นคือหน้าหนังสือสีทอง


หน้าหนังสือสีทองคืออาวุธที่บรรจุอำนาจสวรรค์เอาไว้ หลังจากที่เขาเข้าสู่สรวงสวรรค์ หอสมุดเทียบฟ้าน่าจะฉกฉวยเศษเสี้ยวหนึ่งของอำนาจจากสรวงสวรรค์มา ทำให้หน้าหนังสือสีทองมีพละกำลังเพิ่มขึ้น


ด้วยสิ่งนี้ บางทีอาจจะยกเว้นจอมราชันย์ เขาน่าจะรับมือได้แม้แต่กับราชันย์เทพเจ้าและราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ


ถ้าเขารวบรวมหน้าหนังสือสีทองได้จำนวนหนึ่ง ก็คงจะกลายเป็นนักรบที่ทรงพลังที่สุดในสรวงสวรรค์ รองลงมาจากจอมราชันย์


เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนดึงจี้ออกมาแล้วลุกขึ้นยืน


ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอจะสืบหาต้นกำเนิดของจี้สีแดงก่ำอันนี้ จึงตัดสินใจทิ้งเรื่องนั้นไปก่อน


จางเซวียนผลักประตูที่นำไปสู่ลานบ้านและเดินออกไป เพิ่งตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าสลบไปถึง 4 ชั่วโมง ซุนฉางเสร็จสิ้นการสืบข่าวแล้วและกำลังยืนรอเพื่อจะรายงาน


“นายน้อย!”


ทันทีที่เห็นจางเซวียน ซุนฉางรีบยื่นตราหยกอันหนึ่งให้


จางเซวียนรับตราหยกมาและใช้สมาธิตรวจสอบรายละเอียดที่อยู่ภายใน


ข้อมูลที่อัดแน่นอยู่ในนั้นบอกถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันและการจัดสรรปันส่วนอำนาจระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ดูเหมือนจะเป็นข้อมูลลับสุดยอด


แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้คือจอมราชันย์เฉียนคุ่น ซึ่งเป็น 1 ใน 9 จอมราชันย์

 

 

 


ตอนที่ 2213 พาผมไปดูที

 

จอมราชันย์เฉียนคุ่นไม่แยแสกิจธุระทางโลก รวมถึงการบริหารจัดการและการปกครองดินแดนของเขา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ฝังตัวอยู่ในหอเฉียนคุ่นที่อยู่ภายในตำหนักสวรรค์เฉียนคุ่น จึงแทบไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง


ผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากเขาโดยตรงคือสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ได้แก่บรรพบุรุษเก่าแก่แห่งตระกูลฉีของฉีหลิงเอ๋อ, ฉีเหมิง, บรรพบุรุษเก่าแก่แห่งตระกูลชางกวน, ชางกวนอู๋เฟิง และบรรพบุรุษเก่าแก่แห่งตระกูลหนานกง, หนานกงผิง


เมื่อ 40 ปีก่อน ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณของหนานกงผิงถูกทำลายด้วยน้ำมือของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ส่งผลให้เขาเสียชีวิตเร็วกว่าอายุขัย แต่บรรดาผู้สืบทอดของเขาได้ใช้สระบาดาลบ่มเพาะเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่แหลกสลาย จนเมื่อหลายสิบปีผ่านไป จิตใต้สำนึกของเขาก็กลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งหากเป็นแบบนี้ ไม่ช้าไม่นานก็คงฟื้นคืนชีพ


แถมยังมีราชันย์เทพเจ้าอีก 2 คนคอยปกป้องตระกูลหนานกง สถานภาพของพวกเขาจึงมั่นคงไม่คลอนแคลน


“ส่วนข่าวคราวของนายน้อยลู่ชง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับจอมราชันย์เฉียนคุ่น ตอนนี้ผมจึงยังไม่ได้ข่าวมากนัก แต่ผมก็รู้แล้วว่าจอมราชันย์เฉียนคุ่นพักอยู่ที่ไหน เขาอยู่ในตำหนักลอยเฉียนคุ่นที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง!” ซุนฉางสาธยาย “ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะพาตัวนายน้อยลู่ชงไปที่นั่น เพราะเขาคงตั้งใจจะบ่มเพาะนายน้อยลู่ชงด้วยตัวเอง”


จางเซวียนพยักหน้า


ลูกศิษย์ของเขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายตั้งแต่ต้น และนั่นทำให้ทุกคนมีรากฐานวรยุทธที่แข็งแกร่ง อีกอย่าง พวกเขายังมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเทคนิคการต่อสู้ ทำให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือชั้นกว่านักรบโดยทั่วไปของสรวงสวรรค์


จึงเป็นธรรมดาที่จะเข้าตาจอมราชันย์


ในเมื่อจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นทิ้งข้อความไว้บนภูเขาสวรรค์สร้างด้วยตัวเอง เขาก็ไม่น่าจะคืนคำและทำร้ายลู่ชง


จางเซวียนจึงไม่คิดว่าตอนนี้ลู่ชงจะตกอยู่ในอันตราย


แต่ในฐานะอาจารย์ของลู่ชง เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงอยากรู้ว่าตอนนี้ลู่ชงต้องเจอกับอะไรบ้าง อีกอย่าง เขาก็ไม่รู้จักจอมราชันย์เฉียนคุ่นเป็นการส่วนตัว จึงไม่อาจประเมินนิสัยของอีกฝ่ายได้


ถ้าลูกศิษย์ของเขาต้องทุกข์ทรมานจากการกดขี่ของจอมราชันย์ เขาจะต้องรีบหาทางช่วยเหลือ


“ฉีหลิงเอ๋อกลับมาหรือยัง?”


“ยังเลย แต่เธอให้ผู้ช่วยมาแจ้งว่าตอนนี้ขายยาเม็ดเพิ่มความงามไปได้ 30 เม็ดแล้ว และเงินก็ถูกโอนเข้าบัตรของคุณเรียบร้อย ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ยังไม่มีความคืบหน้า” ซุนฉางพูด


จางเซวียนนำบัตรที่ฉีหลิงเอ๋อมอบให้เขาก่อนหน้านี้ออกมาและเพ่งสมาธิตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายใน ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ตัวเลขในนั้นมีการเปลี่ยนแปลง


ก่อนหน้านี้ เงินที่มีอยู่ในบัตรถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว แต่ตอนนี้จำนวนของมันเพิ่มขึ้นกว่า 45,000 เหรียญสวรรค์


เมื่อคำนวณคร่าวๆ ยาเม็ดเพิ่มความงามน่าจะขายได้ในราคาเม็ดละ 1,500 เหรียญสวรรค์


แม้เมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ในเมืองตะวันรอน ความต้องการยาเม็ดเพิ่มความงามก็พุ่งพรวดล้นหลาม ในเมื่อตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง, เมืองที่นักรบผู้ทรงอิทธิพลส่วนใหญ่ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนพำนักอยู่ ก็เป็นธรรมดาที่ความต้องการยาเม็ดเพิ่มความงามจะเพิ่มสูงขึ้นอีก


สิ่งเดียวที่ฉีหลิงเอ๋อควรพิจารณาในเวลานี้ก็คือจะสร้างตลาดยาเม็ดเพิ่มความงามในเมืองนี้ได้อย่างไร


แต่ก็นั่นแหละ นั่นไม่ใช่เรื่องที่จางเซวียนต้องกังวล ทั้งหมดที่เขาต้องรับผิดชอบก็คือถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า


เมื่อได้ยินว่าฉีหลิงเอ๋อยังไม่ได้ข่าวของหลัวลั่วชิง จางเซวียนก็หมดอารมณ์จะออกจากบ้าน เขาเดินกลับห้องเพื่อขัดเกลาวรยุทธ


หนึ่งคืนผ่านไป จางเซวียนหายดีจากผลข้างเคียงที่ได้รับจากการกระตุกของหอสมุดเทียบฟ้า ถึงจะยังยกระดับวรยุทธไม่ได้ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย


“น่าเสียดายที่เราไม่มีเทคนิควรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่เชื่อมโยงกับเวทนาสวรรค์…”


ตลอดหลายวันที่ผ่านมา จางเซวียนไม่ได้ละเลยหน้าที่ เมื่อมีเวลาว่าง เขาจะทำการขัดเกลาเทคนิควรยุทธของตัวเองทันที


ถึงแม้จะรู้แล้วว่าอยากเดินไปในทิศทางไหน แต่การสร้างเทคนิควรยุทธใหม่โดยเริ่มจากศูนย์ก็ไม่ใช่งานง่าย


ด้วยเหตุนี้ แม้อีกเพียงนิดเดียวก็จะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ แต่จนแล้วจนรอด จางเซวียนก็ไม่อาจก้าวข้ามขั้นสุดท้ายได้


“เราต้องมีข้อมูลมากกว่านี้ ถ้าเราประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้สำเร็จ ก็คงคิดค้นอะไรได้บ้าง…”


ถ้าเขาจะใช้ความสามารถของตัวเองเพียงอย่างเดียว คงต้องการเวลาอย่างน้อย 1 เดือนกว่าจะคิดออก แต่หากประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่เกี่ยวข้องออกมาได้ ก็น่าจะต่อจิ๊กซอว์ที่หายไปและคิดค้นเทคนิควรยุทธได้สำเร็จ


จางเซวียนจึงเดินออกจากห้องเพื่อตามหาซุนฉาง


“มีสภาปรมาจารย์อยู่ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนไหม?”


เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เหล่าปรมาจารย์เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องความใจกว้างในการแบ่งปันความรู้ และพวกเขายังให้ความสำคัญอย่างมากกับสายสัมพันธ์ระหว่างครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ หากเขาหาลูกศิษย์ที่ปราดเปรื่องได้สักคนและถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้อีกฝ่ายได้ ก็น่าจะได้หน้าหนังสือสีทองมา


“ก่อนหน้านี้ สภาปรมาจารย์ในเมืองหลวงถูกสั่งไม่ให้มีบทบาทใดๆ แต่หลังจากการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้ตั้งสาขาอย่างเป็นทางการที่นี่ เพียงแต่นักเรียนที่สภาปรมาจารย์รับไว้มักจะมีสติปัญญาและความปราดเปรื่องอ่อนด้อยกว่านักเรียนของสถาบันการศึกษาอื่นๆในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน” ซุนฉางตอบ


“แต่พูดก็พูดเถอะ ผมได้ยินว่าเหล่าปรมาจารย์ที่นี่เก่งกาจมาก แม้บรรดาลูกศิษย์ของพวกเขาจะไม่ฉลาดปราดเปรื่องสักเท่าไหร่ แต่ปรมาจารย์ก็สามารถบ่มเพาะคนเหล่านั้นให้มีระดับวรยุทธเทียบเท่ากับบรรดาลูกศิษย์ของสถาบันการศึกษาอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกส่งทายาทที่ไม่ปราดเปรื่องนักไปศึกษาเล่าเรียนที่สภาปรมาจารย์”


จางเซวียนพยักหน้า


ปรมาจารย์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการระบุจุดแข็งจุดอ่อนของลูกศิษย์แต่ละคนและออกแบบบทเรียนที่เหมาะสมกับพวกเขา ทำให้ลูกศิษย์พัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ลูกศิษย์ของพวกเขาจะไม่ฉลาดปราดเปรื่องนัก แต่ขอแค่ตั้งใจหมั่นเพียรฝึกฝน ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต


“พาผมไปดูที!”


เมื่อรู้ว่ามีสภาปรมาจารย์ จางเซวียนรีบสั่งการให้ซุนฉางพาเขาไปที่นั่น


แม้น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนจะไม่กีดกันเหล่าปรมาจารย์แล้ว แต่ก็เป็นธรรมดาที่สภาปรมาจารย์ในเมืองหลวงจะไม่ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนสภาปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เพราะสำหรับที่นี่ ปรมาจารย์เป็นเพียงวิชาชีพธรรมดาสามัญอีกอาชีพหนึ่ง เป็นรองช่างตีเหล็กและนักปรุงยาเสียด้วยซ้ำ


ดังนั้น สาขาของพวกเขาจึงมีขนาดเล็กกว่ากันมาก


จางเซวียนมองดูประตูไม้และตัวอาคารที่แสนจะเรียบง่าย เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว


ถึงปรมาจารย์ขงจะเอาชนะจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นได้ และสภาปรมาจารย์ก็เจริญเติบโตขึ้นมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถูกมองเป็นองค์กรที่ผิดหลักการอยู่ดี คนส่วนใหญ่ให้คุณค่าสภาปรมาจารย์ต่ำกว่าสถาบันการศึกษาทั่วไป


“คุณสองคนมาเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ฟ่านเจ๋อใช่ไหม?”


ทันทีที่จางเซวียนกับซุนฉางผลักประตูไม้เข้าไป ชายหนุ่มคนหนึ่งก็รีบเดินมาหาและส่งยิ้มอบอุ่นเป็นการต้อนรับ


“อาจารย์ฟ่านเจ๋อ?”


“อ้อ นี่คงเป็นครั้งแรกที่คุณเข้ามาที่สภาปรมาจารย์สินะ อาจารย์ฟ่านเจ๋อเป็นปรมาจารย์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง เป็นอาจารย์ดาวเด่นของสภาปรมาจารย์ของเรา บทเรียนของเขาให้แรงบันดาลใจล้ำลึกมาก เพราะก่อนหน้านี้มีพ่อแม่บางคนเกิดความคลางแคลงใจในความสามารถของเขา วันนี้เขาจึงตัดสินใจเปิดการบรรยายและอนุญาตให้บรรดาพ่อแม่เข้าฟังด้วย ถ้าคุณอยากเข้าฟังการบรรยาย ผมจะพาคุณไป” ชายหนุ่มพูด


“หัวข้อการบรรยายคืออะไร?” จางเซวียนถาม


นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในสรวงสวรรค์ แต่หากหัวข้อการบรรยายไม่เหมาะสมกับเขา ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาที่นี่


“หัวข้อการบรรยายวันนี้คือการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง รวมถึงการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของเทพเจ้าสวรรค์สร้างและการประเมินประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แท้จริงของพวกเขา” ชายหนุ่มตอบ


“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นผมก็สนใจเข้าฟัง” จางเซวียนพูด


หัวข้อการบรรยายดูจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดี การเข้าฟังคงทำให้ได้แรงบันดาลใจบ้าง


“การบรรยายเปิดให้พ่อแม่และบรรดาลูกศิษย์เข้าฟรี แต่สำหรับพวกคุณ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นเงิน 10 เหรียญสวรรค์” ชายหนุ่มพูดขณะนำตั๋ว 2 ใบออกมา


ราคาดูจะสูงไปสักหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้สำหรับการบรรยายของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง จางเซวียนจัดการให้ซุนฉางนำเงินออกมาจ่ายโดยไม่ลังเล


จากนั้นทั้งคู่ก็ตามชายหนุ่มไปยังห้องบรรยาย


ระหว่างทาง จางเซวียนสำรวจสภาพภายในสภาปรมาจารย์ไปด้วย


พูดได้เลยว่าอาคารนี้ทรุดโทรมกว่าสภาปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์มาก บรรยากาศก็ดูไม่มีชีวิตชีวาเท่าไหร่


อย่างที่ซุนฉางบอกไว้ นักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ไม่ได้เก่งกาจปราดเปรื่องนัก และมีไม่น้อยที่พิการหรือได้รับบาดเจ็บ


ไม่ง่ายเลยที่ปรมาจารย์ขงจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสรวงสวรรค์ เพราะดินแดนส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของ 9 จอมราชันย์


ห้องบรรยายอยู่ที่มุมหนึ่งของสภาปรมาจารย์ จางเซวียนผลักประตูและเดินเข้าไป


ในนั้นมีทั้งพ่อแม่และนักเรียน รวมแล้วก็ประมาณ 50 คน ชายชราที่ดูกระชุ่มกระชวยคนหนึ่งยืนอยู่บนเวทีที่อยู่ด้านหน้าห้องบรรยาย


รังสีของเขาให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ แม้มองจากระยะไกลก็ยังดูโดดเด่นและสง่างาม


จางเซวียนกับซุนฉางสบตากันก่อนจะเดินตรงไปยังที่นั่งตามที่ระบุไว้ในตั๋ว


 


หลังจากรออยู่ราว 10 นาที อาจารย์ฟ่านเจ๋อก็ดูเวลาก่อนจะเอ่ย “เราจะเริ่มการบรรยายเดี๋ยวนี้!”


“สำหรับบทเรียนในวันนี้ ผมจะพูดถึงหัวใจของการก้าวไปสู่วรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง มันคืออุปสรรคที่นักรบมากมายต้องเผชิญ แต่หากก้าวข้ามไปได้ ชีวิตของพวกเขาจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจได้เป็นถึงเจ้าเมืองของเมืองชั้นรอง หรือต่อให้เป็นเมืองหลวงแห่งนี้ วรยุทธระดับนั้นก็ยังเป็นเงื่อนไขต่ำสุดของการที่ใครสักคนจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)