ท่านเทพมาแล้ว 221-232

 บทที่ 221 ขอเพียงนางมา

โดย

Ink Stone_Romance

“บังเอิญถึงเพียงนี้” หลิวหยางพูดราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


มู่จิ่วอดไม่ได้ เดินไปคุกเข่านั่งอยู่ข้างโต๊ะเขา “อาจารย์หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”


หลิวหยางถาม “คดีคราวก่อนเรื่องหลีหังกับเฟยอีและชิงผิงของเจ้า ก็มิใช่เกิดขึ้นเมื่อห้าพันปีก่อนหรือ?”


มู่จิ่วตกตะลึง เป็นจริงดั่งที่เขาว่า…


ห้าพันปีก่อนชิงผิงซิงจวินกลับไปเกิดเป็นกษัตริย์ เริ่มพัวพันกันอีกครั้ง และเฟยอีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในตอนนั้น…ประเด็นคือหากบอกว่าเรื่องนี้เพียงแค่เรื่องบังเอิญ คดีนี้ก็ไม่มีข้อสงสัย เช่นนั้นของวิเศษเต็มถ้ำที่หายไปจากยอดเขาเมฆาเพลิงล่ะ?


ของวิเศษกลุ่มนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแส


มู่จิ่วใช้สมองครุ่นคิด แล้วจึงตกตะลึง


หลิวหยางพูดอีก “ไม่แน่ว่าต้องเกี่ยวข้องกันจริงๆ ข้าเพียงเชื่อมโยงได้พอดี และเตือนเจ้าเท่านั้น หากสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันจริง แบบนั้นฐานะของคนผู้นี้ก็น่าสงสัยอย่างมาก ภายหลังเจ้ากระทำเรื่องใดให้ระมัดระวังตนเองก็พอแล้ว สามารถสืบสวนได้ก็สืบ สืบไม่ได้ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับเจ้า”


“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” มู่จิ่วลุกขึ้นมา


หลายวันที่ผ่านไปของมู่จิ่ว สำหรับลู่ยาแล้วกลับเป็นเพียงชั่วเวลาพริบตาเดียว


เขานั่งเอนกายอยู่บนตั่งหยกในวัง มือหนึ่งวางบนหมอนผ้าไหมทอดิ้น อีกมือเท้าขมับไว้ มองอ๋าวเชินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นนานแล้ว


เขาไม่ได้พูดสักประโยค และไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย มองไปแล้วเหมือนกับรูปปั้นหิน


บนหน้าผากอ๋าวเชินมีเหงื่อซึมออกมา เรื่องสมควรตายที่เขาก่อไว้ตอนนั้นได้สะท้อนกลับมาหาเขาแล้วหรือ?


ครั้งนี้เขาไม่ได้อยากมาเลย แต่ก็ไม่อาจไม่มาได้ คำสั่งของลู่ยา ถึงแม้ให้เขาไปกระโดดแท่นประหารเซียนตอนนี้ เขาก็ไม่กล้าไม่กระโดด


แต่ลู่ยาไม่พูดไม่จาแล้วเอาแต่มองเขาแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น?


เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย


อ๋าวเชินก้มหน้าลงไป หลบสายตาลู่ยา วินาทีถัดมาเห็นแขนเสื้อจึงพลันนึกขึ้นมาได้ เขายื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ห่อสิ่งของออกมา “รายงานเซิ่งจุน นี่คือกำไลม่วงทองที่ตอนแรกใต้เท้ากัวให้ลูกชายข้ายืม ตอนนี้ข้าน้อยตั้งใจนำกลับมาคืน ลูกชายข้าไม่รู้ความ ขอเซิ่งจุนโปรดอย่าถือสา”


เขาเปิดผ้าเช็ดหน้าออก เผยให้เห็นกำไลวงหนึ่ง


วันนั้นหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไป เขารีบเดินกลับไปทางเดิมเพื่อหาอ๋าวเจียง หลังจากกลับมาถึงทะเลสาบน้ำแข็ง อ๋าวเจียงก็สลบอยู่หลายวัน ร้องพึมพำชื่อของมู่จิ่วตลอดเวลา นี่ช่างหนักหนานัก? จึงปลุกเขาขึ้นทันที


สายตาลู่ยาสั่นไหวเล็กน้อย มองไปยังกำไลวงนั้น


สักครู่หนึ่งเขายกชาด้านข้างขึ้นมา ก่อนพูด “ของที่ข้าให้ไป แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเอาคืน”


อ๋าวเชินนิ่งตะลึง


ป๋ายเจ๋อเดินเข้ามาจากนอกประตู “รายงานเซิ่งจุน เซิ่งจุนรองกับเซิ่งจุนที่สามเชิญท่านไปทานอาหารที่วังจิตกระจ่าง”


ลู่ยาวางถ้วยชากลับลงไปบนโต๊ะ โยนขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้อ๋าวเชิน ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากประตูไป


ในวังจิตกระจ่างจัดวางกับแกล้มไว้เต็มโต๊ะแล้ว หุนคุนกับหนี่ว์วากำลังพูดอะไรกันอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นลู่ยาเดินเข้ามา ก็มีคนเข้ามารับทันที


“น้องสี่ ทำไมถึงได้หน้านิ่วขมวดคิ้ว?”


หนี่ว์วารอเขานั่งลงก่อนถาม


ลู่ยาไม่ตอบ ดื่มเหล้าตรงหน้าก่อน กินอาหารไปสองคำจึงค่อยหยุดมือ แล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ


หนี่ว์วาเห็นท่าทางแบบนี้ก็ร้อนใจ “เจ้าถูกตาต้องใจของวิเศษบ้านไหน?” ในความทรงจำของนาง ศิษย์น้องคนนี้มีเพียงตอนไม่ได้ของวิเศษที่หมายตาไว้ถึงจะไม่มีความสุข ปีนั้นมีอาจารย์ปลอบเขาโอ๋เขา ปกติเขาอยากได้อะไร ก็จะคิดวิธีวางแผนให้ได้มา ตอนนี้อาจารย์ไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยให้เขาลำบากใจมาก่อน


ลู่ยากลืนอาหารในปากลงไป รินเหล้าเงียบๆ ไม่ตอบคำ


“เลิกดื่มได้แล้ว!” หุนคุนทนดูต่อไปไม่ไหว “เหล้าย้อมใจทำร้ายร่างกาย ไม่คิดแต่งภรรยาแล้วหรือ?”


“ไม่แต่งแล้ว” เขาพูดเสียงเบา ดื่มเหล้าลงไป


หุนคุนสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป แต่เดิมแค่เอ่ยปากถามไปเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าเขากลับตอบรับคำพูดนี้!


คราวนี้คนทั้งสองยิ่งตึงเครียดขึ้น “พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าคิดมาก่อน?” นี่ช่างแปลกใหม่นัก ศิษย์พี่อย่างเขาคนนี้ถึงแม้เป็นโสดเหมือนกัน แต่ในแสนกว่าปีนี้ก็คบหากับเซียนหญิงมาไม่น้อย แต่ลู่ยากลับไม่เคยมีมาก่อนโดยแท้จริง อีกทั้งเขายังถูกเอาอกเอาใจจนเกินปกติ ไหนเลยจะยังชอบพอผู้อื่นได้?


แต่เขากลับมีความคิดจะแต่งภรรยามาก่อน?!


และยังอารมณ์ไม่ดีดื่มเหล้าย้อมใจ?!


ลู่ยามองเขาคราหนึ่ง ไปหยิบกาเหล้ามาอีก


หุนคุนใช้มือข้างหนึ่งกดมือเขาลงไป “พูดมาให้ชัดเจนก่อนค่อยดื่ม!”


ลู่ยาดึงมือกลับมา เงียบอยู่นาน ก่อนยื่นมือแสดงภาพผืนป่าขึ้นบนโต๊ะ “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าที่คุนหลุนตะวันออกมีบึงน้ำดำอยู่?”


“คุนหลุนตะวันออก?” พูดถึงเรื่องเป็นทางการ หุนคุนก็จริงจังขึ้นมา เขามองภาพป่าที่ปรากฏบนโต๊ะอยู่นาน ก่อนพูด “ปีนั้นชือโหยวกับเหยียนหวงทำสงครามกัน ระหว่างทางเคยหนีไปซ่อนที่คุนหลุนตะวันออกสามปี หลังจากออกมาก็ได้กระบี่ไร้เทียมทานมาเล่มหนึ่ง บึงน้ำดำที่เจ้าว่า หรือจะเป็นบึงน้ำที่เขาใช้ชำระกระบี่?”


“ไม่รู้ ขอบบึงไม่มีสัญลักษณ์อะไร” ลู่ยาขมวดคิ้วพูด “พลังวิญญาณของบึงนั้นแข็งแกร่งมาก แต่นี่ยังไม่แปลกเท่าใดนัก สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือ พลังที่ถูกผนึกในร่างนางกับพลังวิญญาณของบึงน้ำดำนี้เข้ากันได้อย่างมาก แต่ชัดเจนว่านางไม่มีเบื้องหลังที่ซับซ้อนอะไร” พูดถึงตรงนี้เขาจึงเม้มริมฝีปากทั้งสอง ในดวงตามีความสลดอยู่บ้าง


หุนคุนเลิกคิ้วขึ้น หมุนถ้วยชาไม่เอ่ยคำ


หนี่ว์วากล่าว “มีพลังผนึกอยู่ในร่างไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ในใต้หล้านี้คนที่มีพลังฤทธิ์สูงมีมากมาย” พวกเขาอยู่มานานขนาดนี้ เรื่องประหลาดอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น? แต่ชัดเจนว่าประเด็นของนางไม่ใช่เรื่องนี้ “นางผู้นี้ที่เจ้าเอ่ยถึงหมายถึงใคร?”


ลู่ยาไม่ตอบนาง เพียงมองภาพสะท้อนบนเหล้าที่เหลือในถ้วยก่อนเอ่ย “แต่นางไม่มีความสามารถในการควบคุมพลังนี้ ข้ากลัวว่ามันจะย้อนทำร้ายตัวนางเอง”


หนี่ว์วาเงียบลง


“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไร?” นางถาม


ลู่ยานิ่งไปสักครู่ พลันวางถ้วยลง ก่อนยืนขึ้นเดินออกจากประตูไป


คิดจะทำเช่นไร? เขาก็ไม่รู้ว่าตนสามารถทำอย่างไรได้


เขาอยู่ที่วังชิงเสวียนมาวันกว่าแล้ว ในโลกเซียนน่าจะเป็นเดือนกว่า


หนึ่งเดือนกว่าแล้วนางก็ยังไม่มาหาเขา เกรงว่านางคงไม่มาแล้ว นางบอกว่าพวกเขาไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกัน บอกว่าพวกเขาไม่ยอมถอยให้กัน บอกว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของนาง แต่ฟ้ารู้ ไม่มีอะไรที่เขาไม่อาจยอมได้ ถึงแม้ตอนนั้นยอมให้ไม่ได้ ตอนนี้ก็ยอมได้แล้ว ขอเพียงนางกลับมา เขายิมยอมกลายเป็นคนไม่มีหลักการ


ขอเพียงนางมา


แน่นอน…เขาก็สามารถไปหานางได้เช่นกัน


เขายืนอยู่บนยอดเขา ร่างกายพลันบิดหมุน พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว


มู่จิ่วยังไม่กำหนดเวลากลับสวรรค์ ในเมื่อซ่างกวนสุ่นพูดเรื่องอ๋าวอวิ๋นสองตระกูลนี้ชัดเจนแล้ว นางก็ปล่อยผ่านไป พอดีกับว่าทำงานมาปีกว่านี้ไม่มีเวลาฝึกฝนมากนัก อาศัยช่วงเวลานี้ก็สามารถเรียนการเขียนยันต์ดูผังดวงชะตาอะไรก็ตามกับหลิวหยางได้ แต่เดิมมู่จิ่วไม่ตั้งใจเพราะนางไม่สนใจ ตอนนี้กลับพบว่าระหว่างทำคดี บางครั้งสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมาก


ตอนนางไปห้องซงอิ๋นก็พาอาฝูกับรุ่ยเจี๋ยไปด้วย


ถึงลู่ยาไปแล้ว นางก็ไม่อาจให้พวกเขาปล่อยวิชาสูญเปล่า


หลิวหยางไม่ได้เป็นพวกหัวโบราณ รุ่ยเจี๋ยกราบอาจารย์อย่างเป็นทางการแล้ว ถึงแม้ไม่ได้พูดว่าชี้แนะพวกเขา แต่กลับไม่รังเกียจที่พวกเขามาคลุกคลีในสำนัก


…………………………………


บทที่ 222 ผู้ลุ่มหลงคนนี้

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนเช้าอากาศดีมาก นางวางโต๊ะเตี้ยที่ระเบียงเปิดโล่ง สามคนนั่งลอกยันต์ตามแบบกันคนละมุม


อาฝูจับพู่กันไม่ได้ แต่ก็อยู่เป็นเพื่อนด้วย ก้มหัวลงมามองพวกเขาวาดภาพ บางครั้งเหมือนกระดูกซี่โครง บางครั้งเหมือนขาแพะ น้ำลายไหลลงมาไม่หยุดเหมือนเส้นตรง ตอนหลิวหยางผ่านมาเห็นเข้าจึงเรียกอาฝูมา พินิจพิเคราะห์ดวงตาเขาอยู่สักพักก่อนพูด “ใกล้ผ่านด่านเคราะห์แล้ว ช่วงนี้อย่าเดินว่อนไปทั่ว”


ปกติเมื่ออาฝูอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้ามักจะอ้าฟันง้างกรงเล็บ แต่อยู่ต่อหน้าเขากลับสงบเสงี่ยม


หลิวหยางป้อนเม็ดยาให้ เขาก็เคี้ยวเหมือนกินถั่วเหลือง


ลู่ยามาถึงหงชางแล้ว ประตูสำนักมีเขตพลังแห่งหนึ่งสร้างไว้อย่างแน่นหนา แต่เมื่อเทียบกับสำนักทั่วไปแล้วเข้มงวดกว่าเล็กน้อย เขาทำลายเขตพลังเข้าไปข้างในอย่างสบายๆ


ในอกมีผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์ภาพดอกไม้บนหน้าผากนางอยู่ จึงหานางได้ง่ายมาก เขานั่งอยู่บนเมฆ อำพรางกายในส่วนลึกของป่าไผ่หน้าลานแห่งหนึ่ง


นางยกพู่กันวาดยันต์บนระเบียงเปิดโล่งขณะแสงอาทิตย์พาดผ่านร่าง ไม่รู้คิดบ้างหรือไม่ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไร้รสชาติอยู่บนสวรรค์อันสูงส่ง


แต่นางไม่มาหาเขา กลับไม่มีใครบอกว่าเขามาหานางไม่ได้


ใช่แล้ว เขาเป็นคนไม่มีหลักการคนนั้น ในเมื่อนางไม่ไปหาเขา แบบนั้นเขามาหานางก็ได้


เขาลงจากเมฆมายืนอยู่หลังนาง ห่างกันแค่นิดเดียว เพียงยื่นมือก็สามารถสัมผัสปอยผมของนางได้ แต่กลับไม่กล้ายื่นมือออกไป ถึงแม้เขาอำพรางกาย แต่ตอนสัมผัสนางความรู้สึกก็ยังคงอยู่ หากโดนตัวกันจะแก้ตัวอย่างไร


หลิวหยางมองผู้ลุ่มหลงที่อยู่ไม่ไกลคนนั้น มือข้างหนึ่งที่แต่เดิมลูบหัวอาฝูอยู่ชะงักไปกลางอากาศ


ลู่ยากลับไม่ได้ระวังเขามากนัก


“อาจารย์ คาถาจับมารบนยันต์นี้ร่ายอย่างไร?”


ขณะที่แต่ละคนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของมู่จิ่วก็ทำให้ทั้งสองคนตกใจ


หลิวหยางละสายตากลับมา หลุบสายตาเงียบไปนานจึงค่อยลุกขึ้น เดินช้าๆ ไปข้างนางประหนึ่งเท้าถ่วงด้วยน้ำหนักพันจิน เขาไม่ได้ใส่ใจความขัดแย้งของมู่จิ่วกับลู่ยา เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาหานาง และยังอำพรางกายอีก…ลู่ยาระมัดระวังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?


เขาชี้บนยันต์หลายจุดก่อนพูด “ชงชามากาหนึ่ง ข้าจะดื่ม”


“เจ้าค่ะ!” มู่จิ่วไม่พูดพร่ำทำเพลงยืนขึ้นมา จากนั้นเดินเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว


หลิวหยางมองคนผู้นั้นที่เดินตามเข้าไป คิ้วก็ขมวดโดยไม่รู้ตัว


ชงชาต้องล้างกาน้ำชา ทั้งยังต้องต้มน้ำค้างหวาน มู่จิ่วจัดการทั้งหมดอย่างยุ่งวุ่นวาย ลู่ยาเพียงยืนเอามือไพล่หลังมองนางทำทุกอย่าง เขาพบว่าเทียบกับการดื่มเหล้าย้อมใจอยู่บนสวรรค์แล้ว ยังมิสู้แค่มองนางเดินไปเดินมา เขาไม่ได้ใจร้ายแบบนาง บอกไม่เจอก็ไม่เจอกันเลยเดือนกว่า


หลังชงชาเสร็จแล้ว มู่จิ่วยกกลับมาที่ระเบียงเปิดโล่ง


หลิวหยางรับชามา เหลือบมองคนนั้นที่เดินตามนางมาด้านหลัง ไม่รู้ควรพูดอะไรดี รอจนชาเย็นแล้ว เขาจิบลงไปช้าๆ จึงค่อยสั่ง “กลางวันข้าอยากกินแกงเห็ดป่า เจ้าไปเก็บบนเขามาสักหน่อย”


“เจ้าค่ะ!”


ถึงแม้มู่จิ่วรู้สึกว่าวันนี้อาจารย์อารมณ์แปรปรวนมากไปหน่อย แต่ก็รีบหยิบตะกร้า พาอาฝูไปบนเขา ปกติเขาเลือกมาก ปรนนิบัติรับใช้ยากยิ่งนัก ยากจนวันนี้เขาเอ่ยปากอยากกินเห็ดป่าก่อน ด้วยความเป็นศิษย์แล้ว แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังอย่างดี


ลู่ยาก็รู้สึกว่าหลิวหยางปัญหาเยอะ ดูไม่ออกเลยว่าอาจารย์ของนางผู้นี้ท่าทางสง่างาม แต่กลับเต็มไปด้วยปัญหา จะอยู่ในสำนักของอาจารย์แบบนี้ต่อไปได้อย่างไร? เขาไม่อาจทำใจเห็นนางถูกใช้ทำนู่นทำนี่ ยิ่งคิดถึงภายหลัง หากเขาต้องการพูดเรื่องแต่งงาน ด้วยนิสัยแบบนี้ของอาจารย์เกรงว่าจะพูดยากแน่นอน


อา เขาคิดมากไปแล้ว


นางแยกทางเดินกับเขามาเดือนกว่าแล้ว


ภูเขาด้านหลังของสำนักหงชางมีพุ่มไม้เยอะมาก เพราะอยู่ในโลกเซียน ฝนตกตามฤดูกาลตลอดปี ดังนั้นพืชป่าแต่ละชนิดจึงมีมากนัก


มู่จิ่วเก็บเห็ดป่ามาครึ่งตะกร้า กอดอาฝูนั่งลงบนเนินเขา


เนินดินฝั่งตรงข้ามคือสำนักตะวันอำพราง ยอดเขาตอนนั้นถูกลู่ยาทำลายไป ตอนนี้พวกสำนักตะวันอำพรางหาที่อยู่ใหม่ได้แล้ว


นางพบกับลู่ยาครั้งแรกที่นี่ พริบตาเดียวก็ผ่านไปปีกว่าแล้ว ตอนนั้นนางไม่ได้คิดแม้แต่นิดว่าคนที่ช่วยนางคือมหาเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ยังเข้าใจว่าเป็นเซียนน้อยที่ออกมาลาดตระเวนจากสำนักไหน เพราะฝ่ามือเดียวโค่นภูเขานั้นล้ม นางถึงต้องไปสวรรค์ คิดแบบนี้แล้วชีวิตคนเราช่างเต็มไปด้วยความบังเอิญจริงๆ


นางกอดเข่า มองยอดเขาที่โล่งเตียน มุมปากยกขึ้นมา


ตอนนี้เอง นางกลับคิดถึงวันคืนในลานบ้านเล็กๆ ที่คึกคักบนสวรรค์ ควันในครัวของเสี่ยวซิง การพูดโอ้อวดของซ่างกวนสุ่น ความซุกซนของอาฝู ความน่ารักฉลาดเฉลียวของรุ่ยเจี๋ย ยังมีลู่ยาที่เป็นเสาหลักของบ้าน ไม่ผิด เขาเป็นเสาหลักของบ้าน ลานบ้านนั้นไม่มีเขาก็เหมือนไม่มีวิญญาณ


นางคิดถึงเขาแล้ว


มู่จิ่วกอดเข่า ซุกหน้าลงไป


ลู่ยายืนอยู่ตรงข้ามนาง มองนางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวกังวล ไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่


ท่าทางนางแบบนี้เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งมีความรักยิ่งนัก


แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเห็นนางเป็นแบบนี้ บางทีความรู้สึกของนางอาจไม่ได้ผลิบานเพราะเขาจริงๆ


เขามองนางอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ก่อนหมุนเมฆออกจากหงชางไป


ครั้นกลับมาถึงห้องซงอิ๋น หลิวหยางเข้าห้องไปแล้ว เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง ท่าทางสง่างามอย่างมาก มู่จิ่ววางตะกร้า เดินไปตรงหน้าโต๊ะก่อนนั่งลง “อาจารย์ ข้าเก็บเห็ดป่ามาแล้ว ข้ามีเรื่องอยากพูดกับอาจารย์เจ้าค่ะ”


หลิวหยางเงยหน้าจากหนังสือสวดมนต์ ปิดหนังสืออย่างช้าๆ ขณะมองนาง “เรื่องอะไร?”


“ข้าอยากกลับสวรรค์”


“อ้อ?” หลิวหยางกวาดตามองความว่างเปล่าที่ด้านหลังนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ ท่าทีสงบไร้คลื่นลม


ไม่ผิด นางคิดจะกลับสวรรค์แล้ว


อยู่บนภูเขามาเดือนกว่าก็นานพอควร ภูมิหลังสืบหามาไม่ได้ นางก็จนปัญญา หลิวหยางบอกว่านางอยากคลี่คลายความลับ ลู่ยาก็สามารถช่วยนางได้ ทว่าแบบนี้นางยิ่งไม่อยากไปหาเขาในเวลานี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับสวรรค์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ฟากนางตัดสินใจแล้ว พูดว่าไปก็ไปทันที คืนนั้นนางไปบอกลาศิษย์พี่


แน่นอนว่าเหล่าศิษย์พี่อาลัยอาวรณ์นาง จึงเปลี่ยนมาให้ของอร่อยไม่ก็ของเล่นกับนางแทน นอกเหนือจากความเพลิดเพลินแล้วนางเข้าใจอย่างมาก ถึงอย่างไรนางจากภูเขาไปแล้วก็เหลือเพียงพวกชิงเสียเด็กสาวไม่กี่คน ชัดเจนว่าชีวิตต้องน่าเบื่อนัก มีศิษย์น้องหญิงอย่างนางให้เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่บนเขา จะมากน้อยก็สามารถเพิ่มความสนุกสนานได้


เมื่อถามพวกเขาว่าทำไมไม่ไปหาเซียนหญิงสักคนจากภูเขาแถวนี้มาเป็นภรรยา พวกเขาพูดอย่างอวดเบ่งว่าแถวนี้ล้วนเป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน ไม่อยากแต่งงานกับพวกหยิ่งยโสเหล่านั้น พูดอย่างกับว่าพวกเขาไม่ใช่พวกหยิ่งทะนงอย่างนั้นแหละ


มู่จิ่วจนปัญญา ทำได้เพียงตบไหล่พวกเขาแล้วปลอบไปหลายประโยค จากนั้นกลับห้องไปเก็บสัมภาระ


รุ่ยเจี๋ยได้ยินว่าจะกลับสวรรค์ก็ดีใจอย่างมาก แต่ก็อาลัยอาวรณ์พวกชิงจู๋ เหล่าเด็กน้อยซุบซิบกันอยู่ในสวนดอกไม้ถึงเที่ยงคืน จนพระจันทร์ใกล้ดับแสงจึงแยกย้าย


เช้าวันถัดมามู่จิ่วไปบอกลาหลิวหยาง หลิวหยางกำชับนางหลายประโยคตามปกติ จากนั้นให้ขวดยานางหลายขวด และให้นางหยิบของวิเศษหลายชิ้นออกมาปลุกเสกใหม่ จากนั้นจึงมองส่งนางลงจากภูเขาไป


…………………………………………


บทที่ 223 เจ้ามาอีกแล้ว?

โดย

Ink Stone_Romance

ในบ้านเหมือนกับก่อนจากไป


มู่จิ่วพักผ่อนอยู่ในบ้านหนึ่งวัน วันถัดมาตอนบ่ายค่อยไปรายงานตัวกับหลิวจวิ้นว่ากลับมาจากลาพักแล้ว


หลิวจวิ้นใช้สายตาแบบเดิมจ้องนางมองอยู่นาน จากนั้นแค่นเสียงเยาะเย้ย “ไม่ใช่ไปเยี่ยมหลุมศพยายเจ้าหรือ? ทำไมกลับมาคราวนี้แม้แต่คู่หมั้นก็หายไป?”


“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าหายตัวไปแล้ว?” มู่จิ่วไม่พอใจ พูดพึมพำ


หลิวจวิ้นหัวเราะเสียงเย็นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก


สหายร่วมงานเดินเข้ามาหลายคน เห็นมู่จิ่วก็ถามไถ่สารทุกข์สุข มู่จิ่วทำได้เพียงยิ้มตอบไป


อันที่จริงอยู่หงชางนางกินมาไม่น้อย จึงไม่ผอมลงอย่างคนอกหักที่คนทั่วไปจินตนาการกัน แต่ชัดเจนว่าเรื่องคืนนั้นที่เขาคุนหลุนตะวันออกแพร่มาถึงสวรรค์ และหลิวจวิ้นได้ส่งคนไปตรวจสอบอีก ย่อมไม่ยากที่จะพบว่าเรื่องนี้มีมู่จิ่วเกี่ยวข้อง


แน่นอนว่าตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นไม่กล้าแพร่งพรายเรื่องนางกับลู่ยาออกไป ดังนั้นทุกคนจึงไม่รู้ว่าคนในเรื่องคือกัวมู่จิ่ว อีกทั้งนางลาพักไปหลายวัน ทุกคนก็เข้าใจไปว่านางกลับบ้านไปรักษาบาดแผล


จากนั้นหลายวันมานี้มักมีคนมาเยี่ยมเยียนอย่างต่อเนื่อง มู่จิ่วรู้ได้จากคำพูดของพวกเขาว่าที่แท้สวรรค์กลับไม่รู้เรื่องเคราะห์กรรมของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงเลย และก็ไม่ได้ทำให้ใครตื่นตกใจ คิดถึงสิ่งที่ลู่ยาพูดในตอนนั้น ชะตากรรมของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของสวรรค์ ดังนั้นสวรรค์จึงไม่ได้ส่งคนไปถาม


วันคืนเหมือนปกติ ถึงแม้ขาดหายไปคนหนึ่ง


ปลาวันนั้นยังคงมีชีวิตอยู่อย่างดีในอ่างหิน


“ก่อนไปข้าให้พวกมันกินยาวิเศษ เพียงพอที่จะอยู่ได้หลายเดือน” เสี่ยวซิงพูดแบบนี้


นอกจากชื่นชมนาง มู่จิ่วก็ไม่มีคำอื่นเหมาะจะพูดแล้ว


……………..


ครั้นลู่ยากลับถึงสวรรค์ชั้นสูง เรื่องแรกที่ทำคือเติมไฟให้เตาเขาแพะ


คืนนี้แต่ละคนในวังล้วนนอนหลับไม่สนิท เพราะเสียงร้องโหยหวนของกระดิ่งเหมือนกับไก่ติดโรคระบาดที่ร้องไม่หยุด


แต่ไม่มีคนกล้าเข้าไปอ้อนวอนแทน เพราะทุกคนล้วนมีเพียงชีวิตเดียว


แน่นอนว่าหุนคุนก็ได้ยินแล้ว ถึงแม้อยู่ห่างไปหลายพันลี้ แต่กระดิ่งนี้เป็นของขวัญเลื่อนขั้นที่ปฐมวิญาณให้แก่เขา กระดิ่งเจ็บปวด! เขาต้องได้ยินแน่!


สรุปคือบนสวรรค์อันสูงส่งสองวันนี้บรรยากาศไม่ผ่อนคลายนัก เจ้าหน้าที่เซียนที่มาส่งบันทึกจากด้านล่างล้วนผ่านวังชิงเสวียนถึงวังจิตกระจ่างและวังมู่สวี่…พวกเขาก็ใช่ว่าไม่มีเรื่องอะไรทำเลย หนึ่งในหน้าที่ปกปักวิถีฟ้าคือดูแลเรื่องในแต่ละภพที่สวรรค์แก้ไขไม่ได้และโต้แย้งข้อถูกผิด จากนั้นตัดสินตามความจริง เพียงแต่เรื่องแบบนี้มีไม่มากนัก


……………….


มู่จิ่วจัดการคดีตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นเรียบร้อยแล้วค่อยนำม้วนคดีส่งขึ้นไป


หลิวจวิ้นเพิ่งมาถึงหน่วยงาน กำลังดื่มชากินซาลาเปา


“ท่านกินอาหารเช้าแบบนี้ทุกวันไม่รู้สึกเป็นการทรมานตัวเองบ้างหรือ?”


มู่จิ่วมาสิบครั้งก็เห็นเขากินอาหารเช้าเป็นซาลาเปาเก้าครั้ง บ้านพวกเขาก็ไม่ขาดคนรับใช้ ไม่เข้าใจว่าทำไมจัดการดูแลได้มิสู้พลทหารสวรรค์ผู้หนึ่ง คนเป็นทหารล้วนรู้จักไปโรงอาหารอย่างสบายๆ หรือไปหาร้านแผงลอยกินอิ่มค่อยกลับมา


“พวกเจ้าคนมีบ้านมีช่อง แน่นอนว่าต้องไม่เข้าใจความลำบากของพวกเราชายหนุ่มโสด! ไหนเลยจะเหมือนเจ้า ออกไปทำงานก็มีคนไปเป็นเพื่อน” หลิวจวิ้นย้อนกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า ชงชาเสร็จหันกลับมาเห็นนางก้มหน้าเศร้าสร้อย ก็อดไม่ได้ถลึงตาใส่อย่างอารมณ์ไม่ดี ทั้งวันเจ้ามาแสดงความรักต่อหน้าพวกเขาเหล่านี้ มิใช่กรรมชั่วคืนสนองหรือ!


แต่สุดท้ายเขากลับยั้งปากไว้สามส่วน ถึงแม้ไม่รู้ว่าพวกเขาทะเลาะอะไรกัน ก็ไม่จำเป็นต้องซ้ำเติม


“เรื่องนี้รอข้าถามตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นว่ามีความเห็นหรือไม่ ค่อยบันทึกความดีให้เจ้า” เขารับม้วนคดีมา


มู่จิ่วไม่มีความเห็น แต่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ กลับพลันนึกถึงหยกประดับที่เก็บได้ตอนไปกินข้าวที่ร้านของเถ้าแก่หงส์คราวก่อน เขาบอกว่าหยกประดับนั้นไม่ใช่ของเขา ต่อมานางยังเก็บไว้ในลิ้นชักไม่ได้ขยับเขยื้อน จนถึงตอนนี้ยังหาเจ้าของไม่เจอ


มู่จิ่วถามขึ้นอย่างทนไม่ได้ “ใต้เท้าทำไมไม่แต่งภรรยา?”


หลิวจวิ้นส่งสายตาคมกริบไป ทิ่มแทงจนนางไปต่อไม่เป็น


“เจ้าว่างขนาดนี้ ข้าส่งเจ้าไปทำงานที่โลกมนุษย์สักสามหรือห้าปีเลยดีหรือไม่” เขาวางถ้วยลงไปบนโต๊ะ ถลึงตาใส่นาง


มู่จิ่วรีบวิ่งออกไป


วันคืนเหมือนกับกระสวยทอผ้าที่ถูกดึงถอยหลัง บางครั้งมู่จิ่วรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วมาก บางครั้งก็รู้สึกมันผ่านไปช้ายิ่งนัก


ตอนรู้สึกเร็วคือตอนปฏิบัติงานอยู่ที่หน่วยทุกวัน ตอนรู้สึกช้าคือยามมองห้องที่ว่างเปล่าทางตะวันออก


สุดท้ายนางยังไม่มีความกล้าไปหาลู่ยา แต่ความอยากกลับเพิ่มพูนขึ้นในใจอย่างบ้าคลั่ง


บางครั้งนางรู้สึกว่าปิดตาลงก็เห็นเขา เพียงนางไป เขาต้องยอมรับนางแน่ แต่บางครั้งนางรู้สึกว่าหลังจากตนฉีกทึ้งความเป็นจริงอย่างเจ็บปวดขนาดนั้น ก็ไม่แน่ว่าเขาจะยังเป็นกันเองแบบเมื่อก่อน


ดังนั้นความคิดนี้จึงเข้าๆ ออกๆ ในใจนางดั่งลมหายใจ จะอย่างไรก็ไม่มีเวลาที่สงบเลย


วันนี้ยามเช้าขณะกำลังไปหน่วยงาน มู่จิ่วจัดการแขนเสื้ออยู่ตรงประตูที่สอง เสี่ยวซิงพลันร้องขึ้นมาจากข้างนอก “เจ้ามาทำไมอีก?”


มู่จิ่วใจเต้น ชักเท้าวิ่งออกไป เห็นเพียงอ๋าวเจียงยืนอยู่ที่พุ่มไม้ไผ่นอกประตู เหม่อลอยมองมู่เสี่ยวซิง


“อ๋าวเจียง?” นางผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือความประหลาดใจ นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาหานาง


อ๋าวเจียงพยักหน้า หมุนตัวมาหา เด็กหนุ่มที่แต่ก่อนใบหน้าอวบอิ่มแก้มเต็มคนหนึ่ง ตอนนี้ผอมจนมีเหลี่ยมมุมออกมา


มู่จิ่วยืนนิ่ง จากนั้นก้าวออกจากประตูไป “เจ้าตั้งใจมาหาข้า?”


สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หน้านางสองวินาที ก่อนฝืนยกริมฝีปากขึ้น


มู่จิ่วยืนนิ่งตะลึงอยู่ที่ธรณีประตู


นางรู้ว่าอ๋าวเจียงไม่ผิด แต่หลังจากทะเลาะกับลู่ยาจนเป็นแบบนี้แล้วพบเขาอีกครั้ง ในใจพลันมีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ นี่ทำให้นางคิดถึงปมในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กำไลนั่น เขาคงเก็บมันไปกระมัง? ตอนนั้นนางออกมาอย่างรีบร้อน ภายหลังก็ไม่ได้คิดถึงสิ่งนั้นอีก


“ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” เขาถาม


มู่จิ่วพยักหน้า พาเขาเข้าเรือนมา


อ๋าวเจียงเงียบมาตลอดทาง ไม่มีท่าทางของลูกมังกรในครั้งก่อนอีกแล้ว


เมื่อนึกถึงท่าทีโกรธขึ้งของเขาตอนพบกันครั้งแรกที่วังเทียมบูรพา ความเอาแต่ใจที่พานางไปลักพาตัวอวิ๋นซี ทั้งหมดล้วนมองไม่เห็นบนใบหน้าเขาตอนนี้ อย่างน้อยก็มองไม่เห็นในวินาทีนี้ ไม่รู้เพราะเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมีผลกระทบต่อเขาและบีบบังคับให้เติบโต หรือเพราะยังซ่อนเรื่องอื่นในใจไว้อีก


มู่จิ่วชงชาให้เขาก่อนพูด “เรื่องในบ้านเป็นอย่างไรบ้าง? พี่สาวของเจ้ากลับมาหรือยัง? แม่ของเจ้าล่ะ?”


เขาเงียบไป จึงค่อยเอ่ย “พี่ใหญ่ข้ากลับมาหลังจากที่แม่ข้ากลับบ้านอาไปแล้ว ในบ้านยังเป็นพ่อข้าดูแล”


“แม่เจ้ากลับบ้านเดิมไปแล้ว?” มู่จิ่วตกใจ


อ๋าวเจียงพยักหน้า “ที่จริงครั้งก่อนตอนข้าไปทิวเขาริ้วหยกนางก็ไปแล้ว แต่เดิมพวกเราเข้าใจว่านางกลับไปเยี่ยม แต่พอพวกเรากลับจากที่นั่น ท่านอาก็นำจดหมายของนางมาส่ง นางต้องการหย่ากับพ่อข้า พ่อข้าคิดไม่ถึงว่านางจะทำแบบนี้ เขาไปที่บ้านท่านอา ต้องการจะเปลี่ยนใจนาง แต่ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ออกมาพบ”


เขาพูดอย่างสงบนิ่งมาก ไม่มีความหวั่นไหวเลยสักนิด


นี่ทำให้มู่จิ่วรู้สึกว่าที่จริงแล้ว ในก้นบึ้งหัวใจเขาก็ยอมรับการตัดสินใจแบบนี้


…………………………………


บทที่ 224 ชอบข้าหรือไม่?

โดย

Ink Stone_Romance

“แต่สุดท้ายแล้วพ่อข้าก็ยินยอม เขาถูกบังคับให้ยินยอม ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าจบอย่างไรล้วนดีทั้งนั้น สำหรับแม่ข้าแล้วก็เป็นการปลดปล่อย อย่างน้อยภายหน้าจะได้ไม่ต้องสับสนระหว่างยอมรับเขาหรือดูถูกเขาต่อไป ตอนนี้ข้าก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าในตอนแรก วังมังกรของพวกเราแท้จริงหดหู่เกินไป หดหู่จนไม่เหมือนบ้านจริงๆ”


พูดถึงตรงนี้เขาจึงหันหน้ามาหามู่จิ่ว “ดังนั้นข้าคิดว่าจะย้ายไปอยู่ที่เกาะเป่ยอี๋ ที่นั่นพลังวิญญาณสมบูรณ์ บึงน้ำเย็นข้างในก็เหมาะแก่การบำเพ็ญของข้า ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ช้าเร็วก็ต้องจากบ้านไป”


มู่จิ่วไม่ได้พูดว่าดีและก็ไม่ได้พูดว่าไม่ดี


หากรู้สึกว่าไม่มีหนทางเผชิญหน้ากับสถานการณ์น่าลำบากใจตรงหน้า บางทีจากไประยะหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแย่ เหมือนกับตัวนาง


สำหรับการจากไปของราชินี ที่จริงนางก็ไม่รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย ไม่ว่าใครเดินมาถึงจุดนี้ คงไม่เหลือกำลังกายกำลังใจที่จะฟื้นฟูอีกครั้งแล้วกระมัง? วันนั้นที่วังเพลงวิหค มู่จิ่วถามราชินีว่าเสียใจภายหลังหรือไม่ นางกลับจากไปเงียบๆ ที่จริงก็เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดแล้ว หลังทุกข์ทรมานมายาวนานหลายปีนี้ นางคงจะเหนื่อยแล้วจริงๆ


การคลุมถุงชนตามประสงค์บิดามารดาในตอนแรก สุดท้ายแล้วก็จบไม่สวยนัก


นางผลักชาไปตรงหน้าอ๋าวเจียง “ดื่มชาหน่อยเถอะ”


อ๋าวเจียงรับชามาก่อนพูดอีก “ยังมีเรื่องน่ายินดีบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ของข้า เป็นของตระกูลอวิ๋น”


มู่จิ่วเงยหน้าขึ้น


“อวิ๋นซีจะแต่งงานแล้ว”


“เร็วเช่นนี้?” มู่จิ่วคาดไม่ถึง


จะว่าไปที่จริงอวิ๋นซีก็ควรแต่งงานแล้ว คนในตระกูลเขาน้อยขนาดนั้น ตอนนี้เป็นเวลาที่ควรรีบเพิ่มจำนวน แต่ภัยพิบัติของตระกูลพวกเขาเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ตระกูลไหนยินยอมให้ลูกสาวแต่งให้เขาในเวลาสั้นขนาดนี้? อีกอย่างยังต้องเตรียมตัวแต่งงานอะไรอีก อย่างไรก็ต้องใช้เวลา?


“เป็นเผ่าพันธุ์หงส์แดงตระกูลกง ลำดับที่สองของบ้านพวกเขา เป็นพาหนะให้องค์ชายสามของอวี้ตี้”


เผ่าพันธุ์หงส์แดงตระกูลกง มู่จิ่วได้ยินชื่อตระกูลกงนี้แล้วก็นึกขึ้นได้ นี่มิใช่บ้านของเถ้าแก่หงส์หรือ


คิดไม่ถึงว่าทั้งสองตระกูลจะกลายเป็นญาติกัน!


และในตอนแรกเถ้าแก่หงส์ยังเอ่ยคำที่เหมือนกับเป็นการดูแคลนตระกูลอวิ๋น!


นางจึงถาม “ตระกูลกงมิใช่รังเกียจตระกูลอวิ๋นที่ผู้สืบทอดไม่เจริญรุ่งเรืองหรือ? ทำไมตอนนี้กลับรับปากให้ลูกสาวแต่งเข้าตระกูลอวิ๋นแล้ว?”


“อวิ๋นซีกับกงหนานเยี่ยนรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ตามคำบอกเล่า ตั้งแต่เรื่องของอวิ๋นเฉี่ยนกับพ่อข้าแพร่งพรายออกไปถึงค่อยไม่ให้พวกเขาไปมาหาสู่กัน” บนใบหน้าของอ๋าวเจียงมีความอับอายอยู่บ้าง เมื่อพูดถึงอวิ๋นเฉี่ยน เขายังคงรังเกียจนางอย่างมาก “เคราะห์กรรมครั้งนี้ของตระกูลอวิ๋นผ่านไปแล้ว กงหนานเยี่ยนมีปากเสียงกับที่บ้าน ตระกูลกงจึงทำได้เพียงตกลง”


มู่จิ่วก็ไม่ได้พูดอะไร


ในเมื่อแต่ละฝั่งต่างมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน คนนอกยังสามารถพูดอะไรได้อีก?


อีกอย่างในเมื่อตระกูลอวิ๋นมีความหวังแล้ว เป็นธรรมดาที่จากนี้ไปควรรีบแต่งเข้าหรือแต่งออก ทำให้เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงเจริญรุ่งเรือง


“เช่นนั้นเจ้าจะไปเป่ยอี๋หรือ?” นางถาม


“ไม่ใช่ อย่างน้อยต้องกลับไปเก็บข้าวของก่อน” อ๋าวเจียงพูด มองนางคราหนึ่ง แล้วพลันหยิบกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ที่จริงข้ามาวันนี้เพราะตั้งใจมาคืนเจ้านี่”


เขาเปิดกล่อง กำไลม่วงทองด้านในพลันส่องแสงสว่างออกมาทั่วฟ้า มู่จิ่วเห็นมันก็ราวกับถูกมีดทิ่มเข้ากระบอกตา ดวงตาแสบร้อนขึ้นมา


นางไม่คิดว่าจะได้เห็นกำไลนี่อีก! นางยังเข้าใจว่าคืนนั้นลู่ยาเอากลับไปแล้ว!


“ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าหลังจากเจ้าไปแล้วจะเจอกับอันตรายใหญ่หลวงขนาดนั้น หากรู้ก่อน ข้าคงไม่ให้เจ้าไปแน่ ทำให้เจ้ากับเขาเป็นแบบนี้ ข้าต้องขอโทษเป็นอย่างมาก”


อ๋าวเจียงผลักกล่องมาไว้ตรงหน้านาง “พ่อข้าไปวังชิงเสวียนมาก่อน เต้าจู่บอกว่าของที่ให้ไปแล้วเขาไม่เคยเอาคืน ข้าคิดว่าเขาไม่ได้โกรธเจ้าแล้ว เจ้าไปหาเขาเถิด” อ๋าวเจียงมองนางก่อนพูดเบาๆ “อันที่จริงที่เขาโกรธไม่ใช่ไร้เหตุผล อย่างไรเขาก็มีใจต่อเจ้าอย่างลึกซึ้ง หากเปลี่ยนข้าเป็นเขา ไม่แน่ว่าอาจจะควบคุมตนเองไม่ได้ขนาดนั้น”


“ในมุมมองของผู้ชาย ข้ารู้สึกว่าความรู้สึกของเขาถูกละเลย ไม่ว่าเจ้าพูดเหตุผลออกมามากมายขนาดไหน สำหรับคนที่รักเจ้าแล้ว นั่นล้วนเป็นความเจ็บปวดแบบหนึ่ง ตอนนั้นสิ่งที่เจ้าพูดไม่ผิด สิ่งที่ทำก็ไม่ผิด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายไม่เหมือนกับคนนอกหรือสหาย ข้าคิดว่าเจ้าสามารถเปลี่ยนวิธีอธิบายกับเขาได้”


“หากตอนนั้นเจ้ายอมถอย ทำให้เขาใจเย็นโดยไม่รีบร้อนอธิบายให้เขาเข้าใจ ข้าคิดว่าเรื่องราวต้องไม่เป็นแบบนี้ เขาเป็นเทพชั้นสูงที่มีหน้าที่ปกปักวิถีฟ้า เขาเข้าใจว่าจะทำอย่างไรกับความดีความชั่วมากกว่าใครอื่น จะไม่เข้าใจความคิดดีงามของเจ้าที่อยากช่วยข้าได้อย่างไร?


“เพียงแต่เขาเก่งกาจอีกเท่าไหร่ ยิ่งชอบเจ้ามากเท่าใด เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เขาต้องไม่ยอมให้เจ้าละเลยความในใจเขา”


มู่จิ่วนำกำไลมาไว้ในมือ ไม่รู้จะพูดอะไรดี


อ๋าวเจียงนำแก้วจรดริมฝีปาก มองเท้าแล้วพูด “ถึงแม้ข้าไม่มีประสบการณ์ แต่ข้ากลับเข้าใจความคิดของชายที่มีความรัก บางครั้งสิ่งที่เขาต้องการมิใช่เหตุผลกับคำอธิบาย เพียงต้องการความใส่ใจของเจ้าสักหน่อย คำพูดของเจ้าในตอนนั้นมาจากการใช้เหตุผล แต่ทำให้เขาที่รักเจ้าไม่มีหนทางลง”


“หากเจ้าปลอบใจเขาหน่อย ก็เท่ากับเป็นการให้ความมั่นใจแก่เขา แท้จริงเพราะเขาใส่ใจเจ้าจึงใส่ใจการกระทำของเจ้า หากเจ้าสามารถใช้การกระทำของตนแสดงให้เขาเห็นความในใจของเจ้าเหมือนกัน เขาจะโกรธเจ้าได้อย่างไร?”


มู่จิ่วพูดไม่ออก ไม่อาจไม่บอกว่าคำพูดนี้ของเขาทำให้นางหวั่นไหว นางเงยหน้าขึ้นมองไปห้องทางตะวันออกที่ยังปิดอยู่ ตัวแข็งทื่อเหมือนหิน


ผ่านไปสักพัก นางถึงเงยหน้าขึ้นพูด “แต่ตอนนี้ข้ายังคิดวนเวียน ไม่ใช่ว่าข้ากล่าวโทษเขาไม่เข้าใจข้า แต่ข้ากำลังพิจารณาตนเองว่าไม่มีจิตไม่มีใจหรือไม่ ชอบเขาไม่พอหรือเปล่า?”


“หากเจ้าไม่ชอบเขา แล้วเจ้าชอบข้าหรือไม่?” อ๋าวเจียงพลันหันมาจ้องนาง


ใจนางพลันสั่นสะท้าน ชักแขนที่ค้ำอยู่กลับมาโดยไม่รู้ตัว


“เจ้าทำแบบนี้กับข้า เรียกว่าไม่ชอบ”


อ๋าวเจียงละสายตากลับมา มองควันเขียวที่ลอยออกมาจากเตากำยาน “เจ้าไม่อาจเข้าใจตนเองได้ว่าชอบหรือไม่ แต่เจ้าต้องรู้ว่าตนเองไม่ชอบหรือไม่”


“เจ้าปฏิบัติต่อข้าไม่ต่างกับปฏิบัติต่อคนอื่น เจ้าช่วยข้าไม่ใช่เพราะรู้สึกพิเศษอื่นใดกับข้า เจ้าเพียงทำเพราะจิตใจดี แต่เจ้าปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนกัน ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนเจ้าชอบใครสักคนหนึ่งจะแสดงออกอย่างไร แต่ข้าเชื่อว่าหากเปลี่ยนคนที่บาดเจ็บในตอนนั้นเป็นลู่ยา เจ้าคงยินยอมตายไปด้วยกันกับเขา”


ริมฝีปากทั้งสองของมู่จิ่วสั่นน้อยๆ ฝืนยิ้มก่อนเอ่ย “ไหนเลยจะหนักหนาขนาดนั้น”


พูดจบกลับเงียบไป


นางสามารถทำเพื่อลู่ยาได้ถึงขั้นไหน นางก็ไม่รู้ แต่อ๋าวเจียงพูดไม่ผิด หากตอนนั้นคนบาดเจ็บคือเขา นางคงเลือกอยู่ต่อ


ทว่าเขาแข็งแกร่งขนาดนั้น ไม่ต้องการการเสียสละเหล่านี้ของนางเลย เขาจะรู้ได้อย่างไร


แต่นางก็หวังว่าเขาจะไม่รู้ตลอดไป


เพราะนางไม่ต้องการให้เขาบาดเจ็บ


“ถึงแม้ข้าไม่อยากเอาพวกเจ้ามาเปรียบกับพ่อข้านัก แต่จากมุมหนึ่งพวกเขาก็เป็นตัวอย่างได้ ข้าคิดว่าหากตอนแรกแม่ข้าสามารถทำอะไรบางอย่างบ้าง เรื่องราวคงไม่เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นจงไปหาเขาเถอะ…”


ตอนอ๋าวเจียงไปนางไม่รู้สึกตัวเลย จนเมื่อสติกลับมา ในห้องก็เหลือเพียงกำยานที่ใกล้มอดดับแล้ว


…………………………………


บทที่ 225

โดย

Ink Stone_Romance

ตลอดทั้งวันนี้นางรู้สึกใจไม่อยู่กับตัวอยู่บ้าง


งานบนโต๊ะแต่เดิมควรจัดการจนเสร็จในแต่ละวัน สิ่งที่ควรจะส่งก็ส่ง สิ่งที่ควรจัดการก็จัดการ แต่ทั้งวันนางทำเพียงนั่งอยู่ในห้องไม่ขยับ อาฝูเข้ามากัดขากางเกงร้องเรียกให้นางกลับไปกินข้าว นางไม่สนใจ ร้องให้นางเตรียมตัวเลิกงาน จนกางเกงของนางเกือบเปียกชุ่มเพราะถูกน้ำลายเขาถึงได้คืนสติแล้วกลับลุกขึ้นมา


หากบอกว่าคำพูดของหลิวหยางเตือนสตินางแล้ว คำพูดของอ๋าวเจียงยิ่งเหมือนกระตุ้นคลื่นพันชั้นในใจนางให้กระเพื่อม


สองเดือนนี้สิ่งที่นางคิดถึงมากกลับไม่ใช่ปัญหาและความขัดแย้งระหว่างนางกับเขาที่นางเอ่ยถึง แต่เป็นตัวเขาเอง เป็นทุกช่วงเวลาที่นางอยู่กับเขา เป็นความสุขทุกข์ของเขา เป็นการเปลี่ยนแปลงของเขา การยอมถอยให้ของเขา ทั้งหมดของเขา ปัญหาเหล่านั้นที่นางพร่ำพูด กลับกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะนึกถึง


ตอนเขาเต็มอกเต็มใจรอนาง แต่นางยังคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเรื่องผิดหลักการหรือไม่


ถึงแม้นางยังเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองทำไม่ผิด แต่เขามีความผิดหรือ?


หากใจนางมีเขา ตอนนั้นก็ไม่ควรกล่าวโทษเขาหรือไม่?


นางพาสมองกลวงเปล่ากลับบ้าน ไม่กินข้าวเย็น ตรงไปยังห้องเลย


คำพูดของอ๋าวเจียงยังคงหลอกหลอนอยู่ในสมองของนางเสมอ ไปหาเขาเถอะ ไปหาเขาเถอะ เหมือนกับเสียงอสุรกายระลอกแล้วระลอกเล่ามัวเมานาง


เขาพูดมามากขนาดนั้น นางกลับจำได้เพียงแค่ประโยคเดียว


นางนั่งจับกำไลอยู่ข้างโต๊ะ วางไว้ตรงหน้าอกพลางถอนหายใจ


หลับตาลงล้วนเห็นแต่ลู่ยา ท่าทางอวดเบ่งของเขา ท่าทางนินทาของเขา ท่าทางโมโหของเขา ท่าทางเอาใจของเขา ท่าทางเจ็บปวดของเขา สุดท้ายคือท่าทีจนปัญญาและใจสลาย จะว่าไปแล้ว ท่าทางเหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่เขาแสดงออกให้นางเห็นเพียงคนเดียว


หากบอกว่าความรู้สึกตอนแรกเริ่มเกิดจากเขายื่นมือเข้าช่วยได้ทันเวลา เช่นนั้นอาการแอบดีใจของนางยามที่เขาอธิบายว่าไม่ได้พบเจออ๋าวเยวี่ยที่วังมังกร ความโอนอ่อนยามที่เขาวาดภาพดอกไม้ลงบนหน้าผากนาง ความชิดใกล้เบิกบานใจยามที่พานางไปอาบแสงจันทร์ริมทางช้างเผือก นับว่านางรู้สึกอย่างไรกันแน่?


ทั้งหมดล้วนเป็นจิตใต้สำนึก


เหมือนกับตอนนางผงะถอยไปโดยไม่รู้ตัวเมื่ออ๋าวเจียงถามนางว่าชอบเขาหรือไม่ เหมือนกับที่นางวิ่งหนีไปตอนที่หลินเจี้ยนหรูต้องการซื้อของให้ในโลกมนุษย์ เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นสัญชาตญาณในการปฏิเสธ


เพียงแต่อย่างหนึ่งเป็นสัญชาตญาณในการยอมรับ อีกอย่างหนึ่งเป็นสัญชาตญาณในการปฏิเสธ


นางเปิดตา ลุกขึ้นนั่งอย่างไม่รู้ตัว


ค่อนข้างยากที่นางจะกดความทุกข์ของความคิดถึงนี้ลงไปได้


เพียงแค่ลู่ยาไม่เคยปรากฏตัวมาตลอด ไม่รู้ตอนนี้เขาคิดอย่างไรบ้าง?


ปล่อยผ่านไปแล้ว? ตัดขาดไปแล้ว? หรือยังรอนางอยู่?


นางพลันอยากไปหาเขาแล้ว


….ก็ไม่แน่ว่าจะเจอเขา แต่ไปสำรวจทางก่อนก็ได้ หากนางไม่กล้าเผชิญหน้าจริงๆ


นางคิดถึงเขาเกินไปแล้ว


ถึงแม้ยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร แต่ก็สามารถไปแอบดูเขาได้มิใช่หรือ?


ไปดูสถานที่ที่เขาอยู่ก็พอ


ดูว่าทุกวันเขาเดินผ่านที่ไหน เดินเล่นที่ไหน หยุดที่ใด


เขารู้จักนางทั้งหมด แต่ตอนนี้นางเพิ่งค้นพบว่าที่แท้นางไม่เคยไปทำความรู้จักเขาเลย


เป็นเขาที่ไม่ให้นางทำความรู้จักหรือ?


ไม่ใช่ ตัดเรื่องปิดบังในตอนแรกไป ภายหลังล้วนเป็นเขาที่เริ่มให้โอกาสนางรู้จักเขาก่อน เพียงแต่นางไม่ใส่ใจมาตลอด


นางรู้สึกเสมอว่าใต้ฟ้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา จิตใต้สำนึกจึงปฏิเสธไม่ให้ถลำลึกลงไป


แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยไม่อยากให้นางทำความรู้จักเขา


ตอนนั้น ที่จริงเขาก็หวังให้นางใคร่รู้เกี่ยวกับตัวเขามากกว่านี้หน่อยแล้วกระมัง?


เขารอนางอย่างช้าๆ มาโดยตลอด…


ใจนางราวกับมีมีดกรีด นางพลันใส่กำไลกลับเข้ามือ จากนั้นเดินออกประตูไป


ลมเย็นพัดมา ทิ่มแทงกระบอกตานางจนเจ็บแปลบขึ้นอีก


เสี่ยวซิงที่ให้อาหารอาฝูอยู่ที่ระเบียงทางเดินถาม “จิ๋วจิ่วเจ้าจะไปไหน?”


นางเงียบไปนานก่อนตอบ “ข้าจะออกไปเดินเล่น”


นางผลักประตูออกไป เมื่อมาถึงบนถนน ตอนแรกยังเดินช้าอยู่บ้าง แต่ภายหลังกลับเร่งรีบขึ้น!


ถนนใหญ่ตรอกเล็กเหล่านี้ นางกับลู่ยาล้วนเคยเดินผ่าน จนวันนี้นางยังเดินอยู่ แต่เขากลับไม่อยู่แล้ว


นางวิ่งออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ พุ่งตัวออกไปยังทะเลเมฆอันกว้างใหญ่


แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยไปสวรรค์ชั้นสามสิบเก้ามาก่อน ก็ไม่รู้ว่าควรเดินทางไปอย่างไร แต่ในเมื่อเหยียบขึ้นมาบนทางนี้แล้ว จะอย่างไรก็คงหาเจอ


หวังว่าเขาคงยังอยู่…


ขอเพียงเขายังอยู่


……………………..


ลู่ยายืนเติมไฟให้กระดิ่งอยู่หน้าเตาเขาแพะ


ทุกๆ หนึ่งชั่วยามเขาต้องมาเติมไฟที่เตา


กระดิ่งโกรธจนตัวสั่น “หากแน่จริงท่านก็หลอมข้าไปเลย!”


ทรมานกันแบบนี้นับเป็นยอดชายชาตรีอะไร เขาเป็นกระดิ่งวิเศษ แต่เดิมก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติแบบนี้!


ลู่ยาไม่สนใจเขา เพียงเติมไฟเข้าไปอีกอย่างไม่อนาทรร้อนใจ


วิชาปราบกระดิ่งที่จริงเขาคิดได้นานแล้ว สิ่งที่เขามีคือเวลาทรมานกระดิ่งอย่างช้าๆ ถึงขนาดกล้าถือว่าตนถูกสร้างโดยปฐมวิญญาณ แม้แต่เขาก็กล้าลงมือ หากกระดิ่งนี่ไม่คิดมีชีวิตอยู่แล้วจะเป็นอะไรได้? เขาจัดการคนอื่นไม่ได้ แต่กับเจ้ากระดิ่งนี่จะจัดการไม่ได้หรือ?


เขาพ่นลมเข้าไปในเตา เปลวเพลิงยิ่งลุกโชนขึ้นมา


กระดิ่งยิ่งแดงขึ้นทันใด ตอนนี้แม้แต่คำพูดดีๆ ยังพูดไม่ออก ทำได้เพียงร้องตะโกนอย่างต่อเนื่อง


“น้องสี่ เจ้าพอได้แล้วกระมัง? อย่างไรกระดิ่งนี้ก็เป็นของที่อาจารย์ให้ข้า เจ้าทำกับเขาแบบนี้ไม่ได้!”


หุนคุนยืนประท้วงอยู่ข้างหลัง พ่อหนุ่มคนนี้ช่างดื้อรั้นนัก ตอนแรกส่งจิ้งจอกเก้าหางมาขโมยกระดิ่งที่วังเขา ขโมยไม่ได้ก็ส่งมาแอบสับเปลี่ยนของ คิดว่าเขาไม่รู้หรือ! นี่ยังดีที่จิ้งจอกเก้าหางทำไม่สำเร็จ ตัวลู่ยากลับมาทำเอง คนผู้นี้ไม่อาจปล่อยให้ว่างได้จริงๆ ให้ไปวุ่นหาหญิงคนนั้นก็ดีแล้ว


“เซิ่งจุนช่วยข้าด้วย!” กระดิ่งเห็นสถานการณ์ก็ร้องห่มร้องไห้


ลู่ยาพูดพลางเป่าลมเข้าไปในเตา ได้ยินเพียงกระดิ่งนั้นส่งเสียงร้องโหยหวน พลันสะบัดตัวร้องอย่างเจ็บปวด


หุนคุนทนดูต่อไปไม่ไหว “หากเจ้าว่างจนเพี้ยนนัก มิสู้ไปช่วยข้าขุดดิน?”


ลู่ยาเห็นระดับไฟได้ที่แล้วจึงยืนขึ้น พลางล้างมือในอ่างน้ำที่วิหคชิงหลวนยกมา จากนั้นนั่งลงบนตั่งก่อนพูด “หากท่านว่างขนาดนี้ มิสู้กลับไปขุดดินของท่านก่อน?”


หุนคุนจนปัญญา


ลู่ยาเหลือบมองเขา อารมณ์ไม่ดีนัก


หลังจากเขาทำกระดิ่งแตก เป็นใครที่แรกสุดมีความสุขบนทุกข์ของคนอื่น? ในเมื่อตอนแรกรู้จักดูเรื่องตลกของเขา ตอนนี้ทำไมถึงรับไม่ได้? เขายังไม่ได้ทำอะไรกับหุนคุนเลย


“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หากไม่ใช่เพราะจื่อจิ้ง เจ้าก็คงไม่เจอเด็กสาวคนนั้นมิใช่หรือ?”


หุนคุนไม่ปะทะกับเขาตรงๆ เรื่องเวรเล็กน้อยเหล่านั้นของลู่ยากับเด็กสาวแซ่กัวนั่น ทำไมเขาจะไม่สืบมาไม่ได้? ไม่เพียงเขารู้ หนี่ว์วาก็รู้ หุนคุนคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลู่ยาจะเลือกหัวเสินน้อยที่แม้แต่เซียนยังไม่ใช่ แน่นอน เลือกคู่ครองแบบไหนสำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง แข็งแกร่งอย่างไรก็ไม่แกร่งไปกว่าพวกเขาสามสี่คนนี้


ที่สำคัญคือ ตัวเจ้าเองเลือกเด็กสาวที่แตกต่างกันขนาดนี้ ต่อไปเกิดเสียใจขึ้นมา ก็ไม่สามารถนำของวิเศษของเขามาพ่นไฟใส่มิใช่หรือ?


“พูดแบบนี้ ข้ายังต้องขอบคุณพวกท่าน”


ลู่ยาส่งสายตาคมกริบไป


“นี่เป็นเรื่องจริง” หุนคุนแบมือพูด “หากไม่ใช่เพราะเขา เจ้าก็ไม่เจอนาง ไม่อาจอยู่กินกับนางได้”


เพื่อความใกล้ชิด กลับยังบอกว่าถูกศิษย์พี่ที่แย่งชิงอำนาจล่าสังหาร? คิดถึงเรื่องนี้เขาก็โกรธจนใจเจ็บ


…………………………………………


บทที่ 226 มีเด็กสาวคนหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง ไม่คิดจะสนใจเขาอีก


หุนคุนก็จนปัญญานัก นั่งลงไปบนเก้าอี้ข้างหน้าต่างพลางมองกระดิ่ง


หากเขาต้องการนำกระดิ่งไปไม่ใช่เรื่องยาก แต่หลังจากเอาไปแล้ว ลู่ยาเจ้าเด็กนั่นต้องทำลายวังจิตกระจ่างของเขาแน่ วังที่ใหญ่ขนาดนั้นของเขาถึงแม้สร้างอย่างง่ายดาย แต่หากต้องการหาหินหยกดีๆ มากมายกลับไม่ง่ายนัก ไม่แน่บางทีอาจทำความเสียหายไปถึงผักของเขา เรื่องแบบนี้ยังต้องระมัดระวังสักหน่อยดีกว่า อย่างมากเขาก็ลำบากหน่อย เฝ้าจับตามองที่นี่ก็ดีแล้ว


เหนือสวรรค์สูงขึ้นไปแต่ละชั้นเหมือนกับเป็นอีกโลกหนึ่ง


ระหว่างสวรรค์แต่ละชั้นล้วนมีภูเขาลำธารและทะเลสาบ ระหว่างแต่ละชั้นห่างกันหมื่นลี้ ดูแล้วแม้ไม่ไกล แต่บินขึ้นมากลับไม่ใช่เรื่องง่าย


การที่สวรรค์ชั้นสามสิบเก้าอยู่กลางหกภพเท่ากับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้านหนึ่งเป็นเพราะพลังบำเพ็ญของเทพทั้งสี่สูงส่ง เวทลึกล้ำ ตำแหน่งก็สูงศักดิ์ อีกด้านหนึ่งก็เพราะหนทางขึ้นสวรรค์ไม่เพียงต้องการพลังบำเพ็ญ ยังต้องการความอดทนด้วย


มู่จิ่วมีพลังบำเพ็ญเพียงสองพันปี บวกกับพลังบำเพ็ญที่จิ้งจอกแดงให้มาอีกพันปีก็เพิ่งสามพันปี เดินมาทางสวรรค์แห่งนี้จึงช้าเป็นพิเศษ


อีกทั้งสวรรค์ทุกชั้นต้องหาประตูสวรรค์ขึ้นไปใหม่ทุกครั้ง มาคราวนี้ ตอนถึงวังโตวลวี่ที่อยู่สวรรค์ชั้นสามสิบสาม นางก็มีอาการเหนื่อยอ่อนแล้ว แต่วังโตวลวี่ก็เป็นสถานที่ที่นางและลู่ยาเคยมา เห็นประตูทางเข้าที่คุ้นเคย นางก็กัดฟันมุ่งขึ้นไปต่อ


นางไม่รู้เช่นกันว่าผ่านมากี่ชั้นแล้ว แต่ตอนมาถึงประตูสวรรค์ชั้นสุดท้าย มือเท้าของนางก็อ่อนแรงหมดแล้ว


หมอบอยู่ตรงประตูไปชั่วเวลาครึ่งถ้วยชา นางจึงยืดตัวขึ้นมา เงยหน้ามอง ตรงหน้ามีป้ายขนาดใหญ่ที่ไม่รู้สลักจากหินอะไรตั้งอยู่ สูงราวเก้าจั้ง กว้างสามฝู สร้างอยู่บนทิวเขา และในประตูสวรรค์สามารถเห็นทะเลดาว ลำธารยอดเขาได้ไกลๆ เพียงแค่ทิวทัศน์นี้ก็ยิ่งใหญ่ไพศาล ทิวทัศน์ในประตูสวรรค์แดนใต้ของสวรรค์ชั้นเก้ายังห่างไกลนักที่จะเปรียบเทียบ!


นางลุกขึ้นมา เงยหน้ามองป้ายประตูที่สูงขึ้นไปในเมฆ ข้างบนมีอักษรโบราณหลายตัวว่า สวรรค์อันสูงส่ง กล้าตั้งชื่อแบบนี้ นอกจากสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าที่เทพทั้งสี่อยู่ด้วยกันแล้วยังมีที่ไหนได้อีก?


นางมาถึงแล้ว!


นี่คือสถานที่ที่เขาอยู่ นี่คือโลกที่เขาอยู่


นางสงบใจที่ตื่นเต้นลงไม่ได้ ยืนขึ้นมาเกาะประตูมองเข้าไปสำรวจข้างใน


ยอดเขาที่นี่แต่ละลูกสูงชัน ระหว่างภูเขากับภูเขามีสะพานหยกเชื่อมต่อ ในเมฆหมอกที่ลอยวนมีมุมหนึ่งของวังโผล่พ้นออกมารางๆ สัตว์เทพสัตว์ปีกวิเศษมากมายใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ก่อนเข้าใจว่าเขตเซียนของสวรรค์ชั้นเก้าสวยงามมากแล้ว ตอนนี้เห็นทิวทัศน์แบบนี้ ถึงได้รู้จักความตื่นตาของจักรวาลอันกว้างใหญ่


นางมองภูเขาลำธารที่อยู่ห่างออกไปไกล ไม่รู้ตอนนี้เขากำลังเดินเล่นบนภูเขา หรือมองทิวทัศน์อยู่ริมแม่น้ำ?


แต่ที่นี่สำหรับนางแล้วแรงกดดันก็สูงมาก


พลังวิญญาณของสวรรค์ชั้นสูงส่งไม่ใช่คนธรรมดาจะรับได้ นางมีความรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านอีกแล้ว แต่ยังดี บางทีอาจเพราะที่นี่เป็นถึงพื้นที่ระหว่างสวรรค์ที่ไอเซียนเข้ากันได้เป็นที่สุด นางจึงรู้สึกปลอดโปร่ง ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้


นางยื่นมือออกไปสัมผัสอากาศที่ปากประตู สัมผัสตรงผนัง สร้างเขตพลังไว้ดังคาด


นางเข้าไปไม่ได้


ความเป็นจริง นางก็ไม่คิดจะเข้าไป


นางเพียงอยากเห็นที่นี่เท่านั้น


นางพิงป้ายนั่งลง มองทะเลเมฆพลิกไหวพลางปรับลมหายใจ


ในวังชิงเสวียน หุนคุนมองกระดิ่งอยู่นาน รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีนัก


หากลู่ยาต้องการดึงดันต่อไป แบบนั้นมังกรเก้าตัวก็ดึงเขาไม่อยู่ หากต้องการช่วยกระดิ่งต้องวางแผนให้ดีๆ


เขาซ่อนแขนเสื้อพลางครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจจะไปหาหนี่ว์วา ตั้งแต่เล็กหนี่ว์วาดูแลลู่ยามากที่สุด หนี่ว์วาเอ็นดูเขาก็เอ็นดูอย่างไร้ขอบเขตไปหน่อย คำพูดของนางลู่ยาไว้หน้าที่สุดมาตลอด หากให้นางออกหน้า ไม่แน่ว่าอาจพลิกสถานการณ์ได้


เขาก้าวเท้าออกจากประตูวังไป ขี่หวงเตี้ยนของเขาไปยังวังเทียนสวี่ของหนี่ว์วาอย่างสบายๆ


เพิ่งเดินถึงทางเลี้ยว พลันมีนกปี่อี้[1]หยุดอยู่ตรงหน้า “เรียนเซิ่งจุน ที่ประตูสวรรค์มีเด็กสาวคนหนึ่งมา ไม่รู้ที่มาเป็นอย่างไร”


เด็กสาว?


หุนคุนชะงักไป ยื่นหน้ามองไปทางประตูสวรรค์


ที่นี่ห่างจากประตูสวรรค์สามพันลี้ แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อสายตา


ใต้ป้ายชื่อสวรรค์อันสูงส่ง มีเด็กสาวตกที่นั่งลำบากนั่งอยู่จริง


สวรรค์สามชั้นสิบเก้านี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีแขกที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กสาวคนนี้ยังเป็นเพียงหัวเสินเลย…


หุนคุนมีแผนการในใจ มุมปากยกขึ้น พลันรีบหมุนกลับไปยังวังชิงเสวียน


ลู่ยายังนิ่งเหม่อลอยอยู่บนตั่ง ทั้งร่างเหมือนเน่าไปแล้ว


หุนคุนเดินมาตรงหน้าเขาก่อนพูด “สาวน้อยผู้บำเพ็ญคนนั้นของเจ้าจนถึงตอนนี้ยังไม่มาหา คงไม่มาแล้ว”


ลู่ยาหน้าตึง จ้องเพดานไม่ขยับเขยื้อน


หุนคุนพูดอีก “คนเขาเพิ่งอายุสองพันปี อายุเท่านางยังพบคนไม่มากพอ จะยินยอมมาหาคนแก่ขนาดเจ้าได้อย่างไร?”


สีหน้าลู่ยายิ่งบึ้งตึงขึ้นอีกหลายส่วน ถลึงตาใส่เขา ก่อนเปิดปากพูด “ข้าแก่เท่าท่านหรือ?”


หุนคุนถูกย้อนจนสำลัก แต่ยังคงพูดต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ “ถึงแม้หน้าเจ้าไม่แก่ แต่อายุหลายแสนปี สำหรับแม่นางน้อยนับว่าแก่มากแล้ว ไม่แน่ว่าอาจแก่จนไม่เป็นประเด็นอีกต่อไป แต่เจ้าชอบเอาชนะขนาดนั้น สิ่งของอะไรเพียงเจ้าชอบแล้วก็ต้องแย่งชิงมาเป็นของตนเองให้ได้ ไม่แน่ว่าแม่นางผู้นี้ก็อาจเหมือนกัน สาวน้อยทะเลาะกับเจ้า ก็เป็นเรื่องยากจะหลีกเลี่ยง”


ลู่ยามองเขาอย่างเพ่งพินิจอยู่นาน ก่อนละสายตากลับมาอีกครั้ง


หุนคุนพูดต่ออย่างไม่กลัวตาย “เหล่าหนุ่มสาวรุ่นเยาว์นั้นปากหวานนัก เจ้าประสบการณ์มากแล้วมีประโยชน์อะไร? แม่นางน้อยต้องการความครื้นเครงสนุกสนาน เจ้าโกรธใส่นางบ่อยๆ นางก็มีคนเข้าหาไม่ขาดสาย ทำไมต้องมาหาเจ้าด้วย?”


ถึงแม้ลู่ยาไม่สนใจเขา นิ่งอยู่บนตั่งพลางมองเพดาน แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความโกรธ


เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าตนเองแก่ขนาดไหนเสียหน่อย ต้องให้หุนคุนพูดหรือ?


ตอนที่นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าฐานะเป็นอุปสรรค บางครั้งเขาก็พิจารณาเรื่องอายุของนางกับเขาอย่างลับๆ ที่จริงเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกมาไม่น้อยแล้ว ถึงแม้รักษาใจไว้ได้คงเดิมเท่าไหร่ สุดท้ายก็มิสู้หลินเจี้ยนหรูที่สามารถนั่งแบ่งอาหารมื้อค่ำกับนางกลางค่ำคืนพร้อมพูดคุยเรื่องราวในใจ มิสู้อ๋าวเจียงที่ดีใจหรือโกรธก็ล้วนแสดงออกบนใบหน้า ใจเต้นก็แสดงออกในพริบตาเดียว


แต่ประสบการณ์กับอดีตของเขาไม่มีหนทางเปลี่ยน ดังนั้นเขาจึงหึงเพราะผู้บำเพ็ญชายที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม และโกรธอย่างมากตอนที่รู้ว่านางให้มังกรที่ไม่เกี่ยวข้องเลยยืมกำไลไป


เขาปิดตาลง นิ่งจนแข็งทื่อขึ้นไปอีก


หุนคุนเดินเข้ามา “หากทั้งชีวิตนี้นางไม่มาหาเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”


ทำอย่างไร? จะทำอย่างไรได้? แน่นอนว่าต้องไปหานาง


นางไม่มาหาเขา ทั้งชีวิตเขาก็จะไม่เจอนางงั้นหรือ?


ใครกำหนดไว้?


แต่ในใจเขายังมีความเศร้าเล็กน้อย


ที่จริงคราวก่อนที่หงชาง ท่าทางที่นางนั่งยิ้มและกังวลอยู่บนเขาทิ่มแทงใจเขามาก


จากเขามานางก็มีท่าทีแบบนี้ เขารู้ทันทีว่าไม่ใช่ปัญหาของนาง แต่เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่แบบที่นางชอบ


หุนคุนเห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเขา พลันรู้สึกว่าน่าเบื่อ เขาตบไหล่ลู่ยาอย่างอารมณ์ไม่ดี “ข้าได้ยินว่าฆ้องหินที่ประตูสวรรค์หักเป็นสองส่วน ถ้าเจ้าอยู่เฉยๆ ที่นี่ได้ มิสู้ไปทำงานสักหน่อย?”


ฆ้องหินนอกประตูสวรรค์เป็นเสียงบอกเวลาเช้า ปีนั้นกงกงสร้างขึ้นมา เป็นของสำคัญมาก


ลู่ยานิ่งอยู่ครู่เดียว ก่อนลุกขึ้นมาปัดปัดปลายเสื้อ จากนั้นสะบัดมือออกนอกประตูไป


…………………………………………………………………..


[1] นกปี่อี้คือนกในตำนานจีนที่มีตาเดียวปีกเดียว ตัวผู้ตัวเมียบินไปด้วยกัน เป็นสัญลักษณ์ของความรักลึกซึ้งระหว่างสามีภรรยา


บทที่ 227 เจ้าติดค้างข้า

โดย

Ink Stone_Romance

วังชิงเสวียนห่างจากประตูสวรรค์สามสี่พันลี้ แต่สำหรับพวกเขาแล้วไม่เป็นปัญหา


พริบตาเดียวเท่านั้น ลู่ยาก็ขี่เมฆมาถึงประตูสวรรค์


ยังห่างจากประตูสวรรค์อีกหลายลี้ เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่เข้าพวกขุมหนึ่ง นี่ไม่ใช่กลิ่นอายส่วนหนึ่งของสวรรค์อันสูงส่ง มันเป็นกลิ่นอายที่มาจากโลกข้างล่าง


มีคนมาหรือ?


เขาลอยเข้าไปใกล้อีกหน่อย กลิ่นอายนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น และยังคุ้นเคยอย่างมาก


กลิ่นอายนี้คุ้นเคยถึงระดับไหน? เขาเพียงตอบสนองเล็กน้อย หัวใจในช่วงอกก็เริ่มเต้นตึกตัก


เขามองไปยังประตูสวรรค์ที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม ใจเต้นเหมือนกับมีอะไรบางอย่างดันออกมา


นอกจากนาง เขาไม่อาจคุ้นเคยกับกลิ่นอายของคนอื่นได้ขนาดนี้!


เขาพุ่งเข้าไปราวกับลม ประตูสวรรค์มีคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นดังคาด กอดเข่าทั้งสองมองนิ่งไปยังชั้นทะเลเมฆด้านหน้า


เป็นนาง นางมาแล้วจริงๆ…


มือทั้งสองของเขากำหมัดแน่น ไม่ง่ายนักที่จะควบคุมตนเองไม่ให้บินเข้าไป!


นางไม่ใช่อยู่ที่หงชางอย่างดีหรือ มีอาจารย์และยังมีศิษย์พี่มากมายขนาดนั้นอยู่ด้วย นางยังจำเขาได้?


ยังรู้จักมาหาเขา?


กลับเพิ่งมาเอาตอนนี้!


มู่จิ่วนั่งอยู่ใต้ป้ายชื่อครู่หนึ่ง กำลังกายฟื้นคืนกลับมามากแล้ว ความคิดก็กระจ่างขึ้นมาก


นางเข้าไปไม่ได้ และก็พบเขาไม่ได้เช่นกัน แต่เพียงจินตนาการว่าเขาเคยผ่านที่นี่มาก่อน บางทีอาจเคยหยุดตรงจุดที่นางอยู่ ใจก็สงบขึ้นมา


นางยืนขึ้นปัดๆ รอยยับบนกระโปรง ก่อนลงชั้นบันไดไป


นางยังสามารถมาได้อีก มารับลู่ยาของนางกลับไป


บันไดมีราวร้อยขั้น แต่ละก้าวราวกับเหยียบลงบนหัวใจ


นางมองท้องฟ้า บนสวรรค์อันสูงส่งแห่งนี้ที่แท้ในเวลาเช้าก็มีดาว เพียงแต่ดาวที่อยู่ใกล้กลายเป็นดาวเล็กๆ ใหญ่ๆ ในจักรวาล เหมือนเพชรขนาดใหญ่หลายเม็ดที่แขวนอยู่บนผืนฟ้า ท่ามกลางดาวมีเมฆลอย ทั้งดูสวยงามและลึกลับ


นางมาชื่นชมทิวทัศน์งดงามนี้ได้อีก สามารถขอให้เขาพานางไปดูทางช้างเผือกดูดาวได้


อารมณ์นางดีขึ้นมากแล้ว นางอาลัยอาวรณ์ทิวทัศน์งามนี้ ยกเท้าที่จะเดินลงไปไม่ขึ้น และตอนนี้ท้องฟ้าที่แต่เดิมสงบเงียบ กลับพลันมีวิหคแดงตัวหนึ่งบินมา มันลากหางยาวๆ เต้นรำอยู่กลางอากาศจนปรากฏเป็นแสงทอง ตามมาด้วยเสียงดนตรีที่ดังขึ้นอย่างช้าๆ


นางเข้าใจว่าเป็นเพียงข้ารับใช้เซียนในประตูสวรรค์ ดูอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเดินลงไปต่อ


แต่ทิวทัศน์งดงามนี้กลับไม่หยุด นางเพิ่งยกเท้าขึ้นก็มีนกชิงหลวนสองตัวมาขวางทางเดินนาง พวกนางใช้ท่วงท่าเต้นรำแบบเดียวกันทำให้ทะเลเมฆด้านหน้าส่องแสงห้าสีออกมา ขณะเดียวกันเสียงหงส์ขับขานกลางอากาศยิ่งมากขึ้น มู่จิ่วเงยหน้าดู นกหงส์ทั้งหมดเจ็ดแปดตัวเต้นรำล้อมรอบนาง แสงเรืองรองเต็มท้องฟ้าพลันส่องมายังนางที่กำลังทุลักทุเลจนอาบไปด้วยสีทอง…


ทิวทัศน์ที่น่าตื่นตะลึงขนาดนี้ นางเคยเห็นมาก่อนเพียงครั้งเดียว


ลู่ยา…


ลู่ยา!


นางพลันหมุนตัวไป เห็นเพียงประตูที่นางอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้พลันปรากฏร่างคนผู้หนึ่งให้เห็น เขานั่งขัดสมาธิบนเมฆ สวมเสื้อสีเรียบซึ่งสง่างามยิ่งกว่าเมฆขาวที่ตนนั่ง ใบหน้าที่ไม่เหมือนใครอาบไปด้วยแสงจันทร์ แววตาเหมือนรวมแสงทั้งฟ้าดินไว้ ขลุ่ยหยกในมือเป็นหยกชั้นหนึ่ง แต่เทียบกับใบหน้าเขาแล้วด้อยกว่าไม่น้อย…


“ลู่ยา…”


ร่างกายมู่จิ่วสั่นเล็กน้อย ชีพจรทั้งร่างราวกับหยุดนิ่ง เสียงหงส์กับเสียงดนตรีที่ริมหูกลายเป็นเสียงรางเลือนซึ่งมาจากขอบฟ้าห่างไกล


นางยกกระโปรงวิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง หอบหายใจแรงยามหยุดตรงหน้าเขา พลางมองใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมาสองเดือน


นางปิดตาก็สามารถวาดเค้าหน้าของเขาออกมาได้ แต่ไหนแต่ไรนางไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ในใจนางอย่างลึกซึ้งขนาดนี้


ลู่ยาช้อนสายตาขึ้นสบตานางที่อยู่ใกล้นัก


สี่สายตาสบกัน ต่างก็เงียบงันกันไป


มู่จิ่วไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แต่เดิมก่อนมาคิดไว้ว่ามีคำพูดมากมายอยากพูดกับเขา แต่เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเจอเขา คำพูดเหล่านั้นจึงติดอยู่ที่คอ พวกมันค่อยๆ รวมตัวกันกระโดดออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีบทสรุปว่าใครจะเป็นฝ่ายพูดก่อน


แต่อย่างไรนางก็ต้องพูด นางมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อนิ่งเงียบ


เช่นนั้นอาจไม่ต้องพูด ทำอะไรบางอย่างก็ได้กระมัง?


นางลังเลอยู่ที่เดิมนานสองนาน เหลือบมองเขาสองครา พลันใจกล้าเดินไปข้างหน้าสองก้าว เมื่อไปถึงตัวเขาก็คุกเข่านั่งลง ยื่นมือไปใต้แขนเสื้อเขาอย่างระมัดระวังแล้วกอดเอวเขาไว้


เขาคงไม่ผลักนางออกหรอกนะ?


ดูจากท่าทางของเขา ช่างไม่แน่นอนเลยจริงๆ


ความคิดทั้งหมดของนางจดจ่ออยู่กับปฏิกิริยาของลู่ยา กลัวว่าเขาจะไม่พอใจโยนนางกลับสวรรค์ชั้นเก้า


แต่เขาไม่ขยับ แม้แต่นิดก็ไม่เคลื่อนไหว


ไม่ไล่นางไปและไม่ตอบสนอง


ลู่ยาก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะอดทนไม่กอดกลับไป เขาเข้าใจว่าตนเพียงรอนางมาก็พอแล้ว แต่ถึงตอนนี้ เขากังวลอย่างมากว่านางจะหุนหันพลันแล่น กังวลว่าเป็นเพราะนางรู้สึกผิด นางเข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่? มิใช่ว่าเคยชินกับการอยู่ด้วยกันมานาน แยกจากกันกะทันหันแล้วปรับตัวไม่ได้จึงมาหาเขาหรือ?


มู่จิ่วสัมผัสได้ นางปล่อยมือก่อนพูด “ลู่ยา ข้าขอโทษ”


เขาส่ายหน้า ยังคงไม่พูด


มู่จิ่วไม่เข้าใจเขา แต่เขาที่เป็นแบบนี้ทำให้ใจนางหนักอึ้ง


บางทีหากเขาโกรธนาง ใส่อารมณ์กับนางคงดีกว่านี้


“เจ้าทำเหมือนแต่ก่อนข้าไม่ได้ชอบเจ้า ทำเหมือนเมื่อก่อนข้าไม่มีหัวจิตหัวใจ ตั้งแต่ตอนนี้ไปข้าเริ่มชอบเจ้าได้หรือไม่?”


หางตาของลู่ยาแสบร้อน เขาลุกขึ้นมาช้าๆ จากนั้นหมุนตัวไป


มู่จิ่วรู้สึกมือทั้งสองเย็นอยู่บ้าง


เดิมทีนางคิดว่าขอเพียงเขามีปฏิกิริยาสักหน่อย นางก็คงมีความมั่นใจนำเขากลับมา


แต่ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าพูดอะไรล้วนเหมือนพูดแก้ตัว


ลู่ยาสูดหายใจเข้าลึก วังบนทิวเขาที่ไกลออกไป ตอนนี้พลันเริ่มพร่ามัว


นางติดค้างเขาขนาดนั้น นางควรพูดความรู้สึกที่ติดค้างเขาทั้งหมดออกมาถึงจะถูก


“ลู่ยา” มู่จิ่วมองเท้า “ไม่อย่างนั้น ภายหลังเปลี่ยนเป็นข้าชอบเจ้า เจ้าไม่ต้องชอบข้า รอจนเจ้ารู้สึกว่าข้าทำให้เจ้าสบายใจขึ้นหน่อยเมื่อไหร่ เจ้าค่อยบอกข้าอีกที ข้ารู้แล้ว หากข้าไม่ชอบเจ้า ชีวิตนี้ข้าคงไม่อาจมีความรู้สึกต่อผู้อื่นได้แล้ว ถึงแม้ข้าอายุยังน้อย แต่เวลาสองพันปีก็เพียงพอจะทำให้ข้าเข้าใจว่าข้าต้องการอะไร ข้าเพียงต้องการอยู่กับเจ้าตลอดไป”


นางเงยหน้ามองแผ่นหลังของเขา ก่อนพูดอีก “แต่เดิมครั้งนี้ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้า ไม่รู้ว่าข้าทำให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่ เดิมทีเพียงคิดว่าจะมาดูสถานที่ที่เจ้าอยู่ ข้าไม่เคยรู้ว่าที่ที่เจ้าอยู่เป็นอย่างไร ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ” นางชะงักไปสักครู่ แล้วจึงเอ่ยอีก “เจ้ารักษาตัวดีๆ”


พูดจบนางเม้มริมฝีปากทั้งสอง หมุนตัวลงชั้นบันไดไป


หยดน้ำตาร่วงหล่นลงบนบันไดหลังจากหมุนตัวมา นี่คงเป็นความรู้สึกใจสลายของเขาในตอนนั้นกระมัง?


ผลกรรมสนองนางโดยแท้แล้ว


“กัวมู่จิ่ว!”


ด้านหลังพลันมีเสียงของเขาดังขึ้น มู่จิ่วหยุดเท้า หันกลับไปมอง


เขามองนางอยู่ภายในเมฆหมอก “เจ้าติดค้างข้า ยังคิดจะคืนหรือไม่?”


ริมฝีปากทั้งสองของมู่จิ่วเม้มแน่น


ลู่ยาเดินลงมาช้าๆ แววตาเหมือนกับดาวยามค่ำคืนมองตรงเข้าไปในตานาง “ปลาที่ซื้อนอกประตูสวรรค์แดนใต้ เจ้ายังไม่ทำให้ข้ากินไม่ใช่หรือ”


น้ำตามู่จิ่วไหลรินลงมา ก่อนนางจะกระโจนเข้าไปในอ้อมอกเขา


………………………………………………


บทที่ 228 น่าตกใจเกินไปแล้ว!

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยากอดนางไว้ กระบอกตาเริ่มแดงแล้ว


แขนแข็งแรงคู่หนึ่งรัดบนร่างนาง ราวกับจะกดนางเข้าไปในกระดูก


เขาสามารถเอาคืนในเรื่องเล็กน้อยได้ สามารถไม่อดทนกับเรื่องเล็กๆ ได้ แต่เมื่อการลงโทษทั้งหมดมาถึงนางแล้วกลับทำไม่ลง


ช่างเรื่องนู้นเรื่องนี้ของเขาเถอะ สิ่งที่เขาไม่ขาดที่สุดคืออายุขัย แค่สละชีวิตนี้ให้นางทำไมจะไม่ได้? มอบให้นางไปทรมานทรกรรมดีแล้ว


นอกและในประตูสวรรค์มีเมฆลอย เหล่านกชิงหลวนและวิหคแดงเริ่มหยุดพักผ่อนบนหิน เสียงดนตรีไม่รู้ว่าหยุดไปตอนไหน รอบด้านสงบลง แม้แต่เสียงโวยวายของกระดิ่งในวังชิงเสวียนก็ไม่ได้ยินแล้ว


ลมรอบด้านเคียงคู่กับเสียงพูดคุยเบาๆ ของพวกเขา ความรู้สึกที่ห่างกันไปสองเดือน ในที่สุดก็ดำเนินต่อไป


ไกลออกไปบนแท่นเมฆหอจูสวี่ หนี่ว์วาพิงรั้วหยกพลางถอนหายใจ “ช่างเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ”


“ใครบอกเล่าว่าไม่ใช่?” หุนคุนยกริมฝีปาก


พวกเขาอายุยืนยาวเท่าฟ้า ในชีวิตไม่มีเคราะห์กรรมขนาดเป็นตาย จุดจบของชีวิตอมตะก็ทำได้เพียงอยู่ที่สวรรค์อันสูงส่งนี้เคียงคู่ไปกับฟ้าดินชั่วนิรันดร์


ดูไปแล้วก็ดี แต่ความโดดเดี่ยวกลางใจกลับไม่มีใครเข้าใจได้


เขาหวังจริงๆ ว่าลู่ยาจะสามารถมีใครสักคนเคียงข้าง ไม่โดดเดี่ยวเหมือนเขาแบบนี้


อันที่จริงสวนผักของเขาใกล้จะเพิ่มเป็นสองสวนแล้ว!


พวกมู่จิ่วอิงแอบกันอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ความรู้สึกนับว่าฟื้นคืนมาแล้ว


สองคนยิ้มมองกันเหมือนคนโง่ ยิ้มไปยิ้มมาก็กอดกันอีก เหล่าวิหคแดงด้านข้างมองจนเหนื่อยและจากไปนานแล้ว พวกเขายังคงใกล้ชิดกันไม่เลิก


แต่เดิมลู่ยาแทบอดกลั้นไม่ไหว อยากพานางไปพบหุนคุนและหนี่ว์วา แต่เพราะคิดว่ามาครั้งนี้นางเสียเวลาไปไม่น้อย รู้ว่าหลิวจวิ้นคนนั้นพูดด้วยยาก ไหนเลยจะยินยอมให้นางถูกต่อว่า? จึงกลับสวรรค์ชั้นเก้าไปกับนางทันที


ตอนกลับถึงสวรรค์ฟ้าก็มืดแล้ว


แต่ท้องฟ้ามืดนี้ไม่ใช่คืนเดียวกับตอนที่มู่จิ่วออกจากบ้านไป หนึ่งวันบนสวรรค์อันสูงส่งเทียบเท่ากับหนึ่งเดือนในสวรรค์ชั้นเก้า ตอนนางเสียเวลาอยู่ที่ประตูสวรรค์ ที่จริงสวรรค์ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว


ในสิบวันนี้เสี่ยวซิงร้อนใจจนเกือบเอาหัวโหม่งกำแพง ตอนมู่จิ่วไปบอกเพียงว่าไปเดินเล่น ผลคือไม่เห็นเงานางเสียหลายวัน! แต่ก่อนยังมีลู่ยาสามารถร้องขอให้ช่วย ตอนนี้แม้แต่ลู่ยาก็ไม่อยู่ ซ่างกวนสุ่นก็ไม่อยู่ เริ่มแรกหลายวันยังทำใจเย็นได้อยู่ แต่ต่อมากลับเหมือนมีใบสนเข็มแผ่อยู่ในผ้าห่ม อย่างไรก็สงบนิ่งไม่ได้แล้ว


ในหน่วยก็มีคนมาถามหาเช่นกัน ก่อนอื่นเป็นคนของกองบัญชาการถิงเว่ย นางอ้างไปว่ามู่จิ่วป่วย ภายหลังหลิวจวิ้นมา นางไม่มีหนทางอื่น จึงทำได้เพียงพูดความจริง ถึงอย่างไรนี่ก็คือการหนีงาน ประพฤติผิดต่อหน้าที่ หลิวจวิ้นโกรธจัด สุดท้ายไม่รู้อย่างไร กลับไม่ทำสิ่งใด เพียงบอกว่าหากนางกลับมาแล้วให้นางไปพบเขาทันที


เสี่ยวซิงกังวลอย่างมาก กลางคืนนอนไม่หลับ ตอนเช้าจึงตื่นสายหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้


ยามลุกขึ้นเดินไปถึงระเบียงทางเดิน เห็นประตูห้องมู่จิ่วเปิดไว้ เมื่อมองไปอีกที ด้านในเหมือนจะมีคน!


เสี่ยวซิงรีบพุ่งเข้าไปถึงปากประตูห้องนาง ยังไม่ทันได้พูด สายตาคมกริบก็พลันมองมา! ลู่ยานั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง มู่จิ่วนอนหนุนตักเขาหลับสนิท!


เสี่ยวซิงสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป นางพลันยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ไม่อาจขยับได้!


เขามาได้อย่างไร?!


มู่จิ่วกลับมาแล้ว?!


กลับมากับเขา?!


ที่แท้นางไปหาเขาที่สวรรค์อันสูงส่ง?!


เช้าตรู่ทำไมเขาถึงอยู่ในห้องนางได้?! และมู่จิ่วยังนอนอยู่หนุนตักเขาด้วย?!


ที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรกับพวกเขากันแน่?!


เสี่ยวซิงรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเป็นลม


แรงกระทบกระเทือนนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าแต่เช้าตรู่ก็ทำให้นางตื่นตกใจแบบนี้! คนถือดีขนาดนั้นไม่กลับมาดูจิ๋วจิ่วตั้งนาน ตอนนี้กลับมาแล้ว คงไม่ใช่ว่าจิ๋วจิ่วสละเรือนร่างตนเองพาเขากลับมาหรอกกระมัง?!


…สวรรค์!


“เสี่ยวซิง เจ้าเป็นอะไร?”


รุ่ยเจี๋ยและอาฝูที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็ออกมาเช่นกัน


ฟากนี้กำลังตื่นตะลึง ด้านในก็มีเสียงลู่ยาดังออกมา “รุ่ยเจี๋ย พาอาฝูไปฝึกฝน!”


คราวนี้รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูพลันเปลี่ยนไปเหมือนเสี่ยวซิง!


รุ่ยเจี๋ยตกใจจนดวงตาจิ้งจอกทั้งสองเบิกกว้างมาก


ถึงแม้ดวงตาอาฝูไม่โตนัก แต่ก็ตกใจจนยืนขึ้นมาแนบชิดกับกำแพง สองอุ้งเท้ายกขึ้นจากพื้น กุมไว้ตรงหน้าอกกลายเป็นแมวแช่แข็งไปแล้ว!


อาจารย์กับอาจิ่ว…


ใครมาบอกพวกเขาที แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น…


หลังจากเหลือบมองพวกเขาอยู่ในห้อง ลู่ยาก็ยื่นมือไปเกี่ยวผมของคนบนตักขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ


ยังเป็นสถานที่ที่มีนางถึงจะอยู่อย่างสบาย วังชิงเสวียนถึงแม้ใหญ่โต ถึงแม้เหล่าวิหคแดงร่ายรำได้งดงาม แต่ไม่มีนางอยู่ อย่างไรในใจก็ว่างเปล่า อยู่ที่นี่ถึงแม้ต้องอบรมสั่งสอนศิษย์ แต่เพียงมีนางอยู่ข้างกาย ถึงแม้เขาจะรับศิษย์สิบกว่าคนก็ไม่เป็นปัญหา


นางที่อยู่บนหน้าตักให้เขาร่ายคาถาสงบใจ ตอนนี้ยังหลับสนิท


ตั้งแต่พบเจอกันเขาก็ตัวติดกับนาง ที่จริงสองสามชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอ


ขณะเขากำลังครุ่นคิด มู่จิ่วก็พลิกตัว แพขนตาขยับก่อนลืมตาขึ้น เมื่อเงยหน้าสายตาก็ตกไปอยู่บนใบหน้าเขา


ตอนลุกขึ้นนั่งแขนนางอ่อนแรงจนเกือบล้มลงไป เมื่อคืนวานตอนกลับถึงบ้านฟ้าใกล้สว่างแล้ว แต่คล้ายจะไม่ง่วงเลย จึงพูดคุยกันต่อในห้อง ราวกับต้องการเอ่ยคำพูดตลอดสองพันปีนี้ออกมาให้หมด ถึงแม้บนหน้าลู่ยายังดีอยู่ ไม่ให้นางได้เห็นอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม แต่นางไม่ใช่คนตาบอด มองรอยฟันนี้ที่เขากัดบนแขนนางก็รู้แล้ว


“เจ็บหรือไม่?”


ขณะกำลังเลิกแขนเสื้อขึ้นดู เขาก็ยื่นมือมาลูบ


นางสบตาเขาก่อนส่ายหน้า “ไม่เจ็บ”


เขาโอบกอดนางเข้ามา จับแขนนางไว้ในมือ ดึงปิ่นจากบนศีรษะมาวาดไปวาดมาบนรอยฟันนั้น


มู่จิ่วก็ไม่ขยับเขยื้อน เพียงมองเขาวาด ปิ่นนั้นไปถึงตรงไหน ตรงนั้นก็มีแสงทองออกมา ไม่นานรอยฟันนั้นก็กลายเป็นดอกบัวทองสามสิบหกชั้นที่เปล่งแสงสีทองดอกหนึ่ง ส่องประกายอยู่บนต้นแขนนาง


“แบบนี้ก็ไม่น่าเกลียดแล้ว มันเปลี่ยนมาจากพลังหยั่งรู้ของข้า เป็นยันต์คุ้มครองเจ้า มีมันอยู่ พลังภายนอกยากจะทำร้ายเจ้า และมีประโยชน์ต่อการควบคุมพลังฤทธิ์ภายในร่างเจ้าด้วย” เขามองดอกบัวนี้ ก่อนมองนางอีก “เพียงแต่วาดไปครั้งนี้แล้ว ก็ลบออกไปไม่ได้อีก”


มู่จิ่วหน้าแดงดึงแขนเสื้อลง กลับไม่ได้พูดสิ่งใด


ก่อนหน้านี้นางรับปากเขาแล้วว่าจะไม่ทิ้งของ สุดท้ายก็ยังทิ้งมันไป หากยังสัญญาอะไรต่อหน้าเขาคงจะดูไม่จริงใจเกินไปหน่อยกระมัง


ให้การกระทำของนางเป็นเครื่องมือยืนยันดีกว่า


ลู่ยาก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน


กระทั่งความคาดหวังเขาก็ยังไม่มี ไม่ใช่ว่าหมดหวังในตัวนาง แต่เขาคิดตกแล้ว หากเป็นตอนนางลำบากจริง แบบนั้นก็ให้นางทิ้งไปดีแล้ว! เพียงนางไม่ได้ตั้งใจทำ อย่างมากเขาก็แค่ให้นางอีก ถึงอย่างไรก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ศึกษาว่าทำอย่างไรถึงให้นางสามารถเก็บสิ่งของไว้ให้ดีกว่านี้ก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งเหมือนกัน


“กำไลนี้ไม่ต้องใส่แล้ว วันหลังข้าค่อยทำให้เจ้าใหม่”


เขาถอดกำไลม่วงทองออกจากมือนาง ของชิ้นนี้ถึงแม้มีความหมาย แต่เก็บไว้มีแต่จะทำให้นางคิดถึงเรื่องไม่มีความสุขเหล่านั้น มิสู้ทิ้งไปเสียดีกว่า แต่ก่อนท่าทางนางไร้หัวจิตหัวใจขนาดไหน เขามองก็สบายใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรกำไลนี้ก็นับว่ามีผลงาน หากไม่ใช่เพราะมัน คงยังไม่รู้ว่าถึงตอนไหนนางถึงจะยอมรับเขา


เขาหยิบมันลุกขึ้นมา พูดกับนางว่า “ต่อไปข้าจะสร้างเจดีย์เก็บของวิเศษให้เจ้า เอาของที่ข้าทำให้เจ้าทั้งหมดใส่เข้าไป ทุกชิ้นเขียนเล่าเรื่องที่มา”


มู่จิ่วลงจากตั่ง “จะไม่เปลืองแรงเปล่าหรือ?”


“ไม่เปลืองแรง” เขาพูด จากนั้นค้อมเอวลงมา เอาหน้าเข้ามาใกล้ “เจ้าจูบข้าก็พอแล้ว”


มู่จิ่วหน้าแดง เขย่งปลายเท้าขึ้น เกาะแขนเขาไว้พลางแนบริมฝีปากลงไปบนหน้าเขา


ใบหน้าลู่ยาก็ร้อนไม่ต่างกัน


………………………………………


บทที่ 229 ดอกไม้ที่มีหยาดน้ำค้าง

โดย

Ink Stone_Romance

เมื่อแสงอาทิตย์อาบจนถึงพื้นหน้าต่าง ในที่สุดมู่จิ่วก็ออกมา


ลู่ยาเดินติดตาม นางไปถึงไหนเขาก็ตามไปถึงนั่น เขาไม่ได้ตั้งใจตาม แต่เพียงเห็นนางอยู่ที่ไหน เท้าก็ก้าวเข้าไปเอง มู่จิ่วเห็นแล้วรู้สึกว่าเกินไปหน่อย จึงให้เขากลับไปรอที่ห้อง ส่วนนางไปทำอาหาร


เสี่ยวซิงดูแล้วรู้สึกขัดตาอยู่บ้าง


ตอนมู่จิ่วมาที่ห้องครัว นางที่กำลังล้างผักอยู่จึงพุ่งเข้าไปเหมือนธนู “จิ๋วจิ่ว หลายวันมานี้เจ้าไปไหน?”


มู่จิ่วจับปลาจากในอ่างหินขึ้นมา หลังจากล้างแล้วจึงส่งให้นางลอกหนัง จากนั้นเด็ดหอมใหญ่ก่อนพูด “แน่นอนว่าไปหาลู่ยา”


เสี่ยวซิงอ้อมไปตรงหน้านาง “เจ้าพาเขากลับมาได้อย่างไร?”


มู่จิ่วคิดสักครู่ “เพียงแก้ไขความเข้าใจผิด ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว”


ลู่ยายังเป็นคนมีเหตุผลนัก ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ นางรู้สึกว่าตนเองโชคดีไม่เลว อย่างไรเสีย มีแฟนหนุ่มที่มีเหตุผลก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่โชค ไม่อาจร้องขอมาได้


เสี่ยวซิงอึ้งไป ก่อนพูดอีก “เขาไม่ได้รังแกเจ้าใช่หรือไม่?”


“จะเป็นไปได้อย่างไร?” มู่จิ่วเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยรังแกข้า”


เสี่ยวซิงพูดไม่ออก ตอนเช้าเห็นชัดๆ ว่าลู่ยาอยู่ในห้องนาง และนางยังนอนอยู่บนตักเขา…


ยังมีอะไรเรียกว่าไม่เคยรังแกนางอีก?


ตอนแรกใครแสร้งทำเป็นอ่อนแอเตรียมตระครุบเหยื่ออยู่ที่นี่? ใครหลอกลวงทำเหมือนนางเป็นคนโง่?


เอาละ เรื่องเก่าๆ เหล่านี้ไม่พูดถึงแล้ว พูดถึงแค่เรื่องนี้เท่านั้น คนสองคนทะเลาะกันมือข้างเดียวตบไม่ดัง ลู่ยาถึงแม้มีเหตุผล มู่จิ่วก็ไม่ได้ดีกว่าสักเท่าไหร่! ทำเหมือนนางไม่รู้ว่าทุกคืนมู่จิ่วนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา! คืนนั้นกลับมาเลือดท่วมขนาดนั้น หรือว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ?


อย่างไรนางก็อยู่ข้างมู่จิ่ว


แต่พวกเขาทั้งสองคืนดีกันแล้ว คำกล่าวเหล่านี้แต่ก่อนไม่เคยพูด ตอนนี้จะพูดทำอะไร


“แบบนั้นเจ้าสบายใจก็ดีแล้ว”


นางค้อนด้วยสายตา หยิบปลาแล้วเดินออกไป


มู่จิ่วไหนเลยจะไม่รู้ความคิดนาง?


ในสายตาของเสี่ยวซิงตนเองเป็นญาติเพียงคนเดียว ถึงแม้นางเล็บฉีกเสี่ยวซิงก็รู้สึกว่าเป็นความผิดของเล็บ


แต่ต่อไปรอเสี่ยวซิงพบคนในใจนางก็รู้เอง เรื่องแบบนี้ไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้ชัดเจน


มู่จิ่วยุ่งอยู่ในครัว รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูเข้าไปในห้องอาหารเหมือนกับลมพัด ถึงแม้ทุกคนไม่รู้ว่าแท้จริงพวกเขาเรื่องทะเลาะอะไรกัน แต่ดูออกว่าหวังให้ลู่ยากลับมานานแล้ว


มู่จิ่วกับลู่ยาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรชัดเจนนักบนโต๊ะอาหาร แต่ถึงแม้ไม่พูดเลยสักคำ เพียงมองสายตานั้นก็มากพอแล้ว


เมื่อกินอาหารต่อไป เสี่ยวซิงก็ขนลุกชันสั่นแล้วสั่นอีก


ทว่าพูดไปพูดมา ที่จริงคนด้านข้างยิ่งมาก การพลอดรักกันย่อมลดน้อยลงไปบ้างเป็นธรรมดา มู่จิ่วต้องไปรับโทษกับหลิวจวิ้นที่หน่วย และลู่ยาต้องเพิ่มบทเรียนให้พวกรุ่ยเจี๋ย จากคำบอกกล่าวอาฝูก็ใกล้ผ่านด่านเคราะห์แล้ว ไม่อาจไม่ระมัดระวังหน่อย ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม


ตอนบ่ายไปหน่วยงาน หลิวจวิ้นไม่อยู่ มู่จิ่วเดินวนไปสำนักบัญชาการสักรอบจึงค่อยกลับมา


คืนนี้ลู่ยาพาพวกรุ่ยเจี๋ยไปฝึกควบคุมลมปราณยังโลกมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ จึงไม่กล่าวถึง


เช้าวันถัดมา มู่จิ่วตื่นขึ้นมาพบว่าตรงประตูมีดอกไม้ที่มีหยาดน้ำค้างสองดอก นางยื่นหน้าไปดูฝั่งตรงข้าม เห็นลู่ยายังไม่ตื่น


มุมปากมู่จิ่วอยากยกยิ้มอยู่ตลอด


นางหาขวดมาปักดอกไม้ลงไป จากนั้นเตรียมตัวไปหน่วยงาน


คิดถึงงานกองนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้ ประเด็นคือหลิวจวิ้นวัวคลั่งนั่นน่ากลัวนัก


เมื่อคืนลู่ยาบอกว่าจะไปเป็นเพื่อนนาง แต่นางปฏิเสธไป


ฐานะของเขาสูงส่งเกินไป หากต้องการรั้งอยู่ที่สวรรค์ อย่างไรก็อาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นไม่น้อย อีกอย่างนี่เป็นเรื่องที่นางต้องเผชิญหน้าเอง หากลู่ยาไปด้วย ถึงแม้สามารถรับประกันได้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องใด แต่ใช้อำนาจกดดันเรื่องแบบนี้ นางไม่คิดอยากทำ


เสี่ยวซิงที่ตกใจมาทั้งวันก็ค่อยๆ สงบลงแล้ว สำหรับนางพวกเขาทั้งสองมีเวลาว่าง หากเป็นเหมือนนางที่ทุกวันยุ่งวุ่นวาย ตอนแรกจะยังมีเวลาไปทะเลาะหรือครุ่นคิดเรื่องเหตุผลของชีวิตที่ไหนกันล่ะ? พูดถึงตรงนี้นางก็คิดถึงซ่างกวนสุ่น เจ้าคนนี้ไม่กลับมาสองเดือนแล้ว เขาจะกลับมาหรือไม่นะ?


กินข้าวเสร็จมู่จิ่วก็ไปหน่วยงาน


หลิวจวิ้นกำลังปฏิบัติงานอยู่ ครั้นเห็นนางมาความโกรธก็พลุ่งพล่าน หยิบม้วนคดีสองม้วนขึ้นมาทุบลงไปบนหัวนาง


“เจ้ายังรู้จักกลับมา!”


มู่จิ่วไม่กล้าตอบกลับ หลบไปด้านข้าง ม้วนคดีนั้นหล่นลงไปบนพื้น


“ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ หลายวันมานี้ที่จริงข้าไปจัดการเรื่องด่วน ไม่ได้ตั้งใจละเลยหน้าที่”


นางทำได้เพียงพูดแบบนี้ คงไม่อาจบอกได้ว่านางไปเพื่อความรัก?


“ข้าเชื่อเจ้าสิถึงจะแปลก!”


หลิวจวิ้นกัดฟันถลึงตาใส่นาง ชี้นางพลางพูด “ข้าต้องบันทึกว่าเจ้าทำผิด! ข้าต้องให้เจ้าจำไว้! ป้องกันไม่ให้เจ้าทำเหมือนงานเป็นเรื่องเล่น!” เขาพูดแล้วหยิบสมุดจากบนชั้นออกมา พลิกไปพลางพูดไปพลาง “คราวก่อนเจ้าไปทำคดีตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นสามารถหักกลบลบกันได้พอดี ข้ายังไม่ทันได้เก็บเข้าบันทึกคดี!”


“ใต้เท้า!”


มู่จิ่วรีบเข้าไปขวาง คดีนั่นของตระกูลอ๋าวนางได้รับความลำบากตั้งเท่าไหร่ที่ทะเลสาบน้ำแข็ง แต่กลับต้องลบมันทิ้ง? นางพูด “หากทำแบบนี้ ระวังข้าจะตายตาไม่หลับ!”


หลิวจวิ้นยิ้มเยาะเย้ย “เจ้าตายตาไม่หลับเกี่ยวอะไรกับข้า?!”


มู่จิ่วตกตะลึง “แบบนั้นท่านก็ลบไม่ได้! ท่านจะลงโทษข้าก็ได้ แต่ผลงานที่ข้าทำมาไม่สามารถลบทิ้ง ข้ายังต้องพึ่งคุณงามความดีเหล่านี้เพื่อเลื่อนขั้นในเร็ววัน!”


หลิวจวิ้นชี้ปลายจมูกนางพลางกัดฟันอยู่นาน จากนั้นกลับไปนั่งที่โต๊ะและถลึงตากล่าว “เจ้าต้องการบันทึกผลงาน? คิดได้ประเสริฐ! ตอนแรกที่ส่งเจ้าไปทำคดีก็เพราะการตายของเฉินผิง ตอนนี้ถึงแม้พบเจอกุญแจจันทราแล้ว แต่นี่ไม่เกี่ยวข้องกับความตั้งใจแรกในการทำคดี เรื่องเฉินผิงจะสรุปอย่างไร?!”


มู่จิ่วได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็นิ่งอึ้ง เขาไม่พูดนางคงลืมแล้ว ทั้งคดีนี้ไม่ว่าใครก็ต้องรับผิดชอบ เฉพาะเฉินผิงเท่านั้นที่ไม่ต้อง เขาเป็นคนที่ไร้ความผิดที่สุด ช่างไม่ยุติธรรมอย่างมาก ดังนั้นจึงรีบพูด “ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีความเห็นอย่างไร?”


หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง “อะไรก็ถามข้า มิสู้ให้ข้ารับผลงานแทนเจ้าไว้เสียเลย!”


มู่จิ่วไร้คำพูด คิดอยู่นานก่อนเอ่ย “ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นใช้ประโยชน์จากกุญแจจันทราหยิน มิฉะนั้นให้ข้าไปร้องขอซือมิ่งซิงจวินให้เฉินผิงไปเกิดในที่ดีๆ? ใต้เท้าอยู่สวรรค์มานานขนาดนี้ ต้องคุ้นเคยกับพวกซือมิ่งซิงจวินแน่ ฉะนั้นแล้วขอให้ใต้เท้าช่วยเรื่องนี้ของข้าน้อยหน่อย กลับมาข้าจะเลี้ยงใต้เท้าตอบแทน”


หลิวจวิ้นตบม้วนคดีลงบนโต๊ะ พูดหน้านิ่ง “กัวมู่จิ่ว นับวันเจ้ายิ่งใจกล้าขึ้น ตอนนี้กล้ากระทั่งเรียกใช้ข้า!”


“ไม่ใช่เรียกใช้ แต่เป็นขอให้ช่วย” มู่จิ่วรีบพูด “หากท่านไม่สะดวกจริงก็ไม่เป็นไร ทำเหมือนว่าข้าไม่ได้พูดก็ได้”


น่าเสียดายที่เรื่องนี้แม้ไปหาลู่ยาก็ไม่มีประโยชน์ ชะตาชีวิตล้วนเป็นสวรรค์จัดการ เว้นแต่ว่าเขาจะออกคำสั่งก้าวก่าย


แต่ลู่ยาตอนนี้ปกปิดฐานะอยู่ข้างกายนาง หากให้เขาออกหน้าเพื่อแทรกแซงเรื่องเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมยิ่งนัก ยังมีอีก เหมือนกับที่หลิวจวิ้นพูดเมื่อครู่ ถ้าเรื่องอะไรล้วนยืมมือคนอื่นแก้ไข นางยังจะยื้อเอาผลงานอะไรมาได้?


………………………………………………


บทที่ 230 ยังต้องสะสมบุญกุศลหรือไม่?

โดย

Ink Stone_Romance

นางพูดแบบนี้จบ หลิวจวิ้นกลับชะงักไปเล็กน้อย


หลังจ้องนางมองอยู่ครู่หนึ่ง เขาถึงพูด “เรื่องนี้เจ้าไปขอร้องซือมิ่งซิงจวิน มิสู้ไปขอร้องอวี้ตี้โดยตรง”


“อวี้ตี้?”


มู่จิ่วเข้าใจไปว่าฟังผิด แม้แต่ไปขอร้องซือมิ่งซิงจวินนางยังไม่กล้า จะให้นางไปขอร้องอวี้ตี้?


“ท่านไม่ได้บอกผิด?”


“ให้เจ้าไปเจ้าก็ไป ไม่ไปก็ช่าง! ทำเหมือนข้าขอร้องให้เจ้าไป”


หลิวจวิ้นสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้น เหลือบมองนางคราหนึ่งก่อนเดินออกไป ทิ้งมู่จิ่วให้มึนงง


กองบัญชาการถิงเว่ยโชคดีที่มีรองผู้บัญชาการสองคน แน่นอนว่าตอนที่มู่จิ่วไม่อยู่นั้นมีมาก ในกองล้วนเคยชินแล้ว ดังนั้นเรื่องใหญ่เล็กจึงจัดการได้อย่างเรียบร้อย ส่วนใหญ่ก็เพราะไม่เคยก่อเรื่องวุ่นวาย หลิวจวิ้นถึงไม่เคยทำอะไรนางจริงจัง


ระหว่างวันนางจัดการงานที่กองอยู่บนโต๊ะอย่างลวกๆ รอบหนึ่ง กลับไปถึงบ้านลู่ยาก็ถามขึ้น “เขาทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่?”


มู่จิ่วเล่าเรื่องที่หลิวจวิ้นเตือนให้เขาฟัง จากนั้นกล่าว “เขากลับให้ข้าไปพบอวี้ตี้”


ลู่ยาครุ่นคิด ก่อนพูด “อวี้ตี้ไม่ใช่คนใหญ่โตอะไร ไปก็ไปสิ”


เฉินผิงใช้ชีวิตอย่างไรเขาไม่สนใจ สิ่งสำคัญคือต้องมีบทสรุปที่ดีถึงนับเป็นผลงานของนางได้ แบบนั้นก็ได้แต่เพียงทำตาม สะสมบุญกุศลได้เร็วก็ยิ่งเลื่อนขั้นได้เร็วหน่อย เมื่อเลื่อนขั้นได้เร็ว พวกเขาถึงสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างแท้จริง ตอนนี้เขาจึงหวังให้นางฝึกฝนให้จบ ได้รับมรรคผลในเร็ววันมากกว่าใคร


แต่เมื่อพูดถึงการเลื่อนขั้น เขาก็คิดถึงเรื่องที่คุนหลุนตะวันออกขึ้นมาได้


พบหน้ากันเมื่อคืนถึงตอนเช้า วุ่นอยู่กับการพลอดรักกันตลอด จึงไม่ทันได้พูดเรื่องอื่น เรื่องนี้สำคัญนัก เขาต้องจริงจัง


เขากวักมือเรียกนางมานั่งด้วย มือจับอยู่บนชีพจรนางก่อนพูด “ช่วงนี้ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”


“ไม่มี” มู่จิ่วตอบอย่างตรงไปตรงมา “อาจารย์ก็พาข้าไปที่ป่าในเขาคุนหลุนตะวันออกเหมือนกัน บอกว่าพลังฤทธิ์ในร่างกายข้าอาจเป็นพลังที่ผนึกไว้ หากไม่มีพลังภายนอกเข้าปะทะหรืออารมณ์กระตุ้นมันจะไม่ออกมา ก่อนหน้านั้นเขาไม่มีความรู้สึกว่าในร่างกายข้าผิดปกติ ยังต้องให้ข้ากระตุ้นบึงน้ำนั้นถึงได้แน่ใจ”


ขณะพูดนางก็เล่าเรื่องที่หลิวหยางพานางไปคุนหลุนตะวันออกอย่างไร


“อาจารย์เจ้า?”


ลู่ยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจำได้ว่าอาจารย์ของนางเป็นจินเซียนผู้หนึ่งบนเขาหงชาง เป็นผู้บำเพ็ญตนสายธรรม จินเซียนคือตำแหน่งพลังบำเพ็ญไม่ต่ำต้อยในโลกเซียน แต่เขากลับสามารถพานางไปสำรวจพลังวิญญาณที่เขาคุนหลุนตะวันออกได้เช่นกัน เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้าง ที่จริงพลังวิญญาณที่บึงน้ำดำนั้นยิ่งใหญ่ ถึงแม้เป็นจินเซียนที่มีพลังบำเพ็ญสูง ไปถึงที่นั่นก็ไม่แน่ว่าจะต้านไหว


อ๋าวเชินและอวิ๋นฉัวเป็นตัวอย่าง พวกเขาแต่ละคนล้วนมีพลังบำเพ็ญแสนปีแล้ว กลับยังถูกพลังวิญญาณนั้นทำให้บาดเจ็บ…แน่นอนว่าพวกเขาถูกโจมตีจึงไม่เหมือนกัน


แต่วันนั้นเขาก็พบหลิวหยางมาก่อนที่ภูเขาหงชาง ถึงแม้ไม่ได้พิจารณาลึกซึ้ง แต่ชั่วเวลานั้นไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายพิเศษเท่าไหร่นัก


“ข้าพูดไว้นานแล้วว่าอาจารย์ข้าเก่งกาจ” มู่จิ่วเน้นย้ำ “ไม่เพียงเท่านี้ เขายังพบว่าข้าไม่มีเรื่องราวในอดีตชาติ หาเจอเพียงชาติก่อนในโลกมนุษย์ของข้า”


คิดไม่ถึงว่ายังรู้จักคุยโวด้วย


ลู่ยาไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่อาจให้นางดูออกได้


เขาคิดๆ ก่อนเอ่ย “หากเขาสืบมาไม่ผิด การไม่มีอดีตชาติแสดงว่ามีความเป็นไปได้มากที่วิญญาณของเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณต้นกำเนิด นี่ยิ่งอธิบายปัญหาได้ดี พื้นเพของพลังเจ้าบริสุทธิ์เป็นพิเศษ สอดคล้องกับความบริสุทธิ์ของวิญญาณต้นกำเนิดตอนบุกเบิกฟ้าดินพอดี เพียงแต่พลังที่เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณต้นกำเนิดมีหลายประเภทมากในฟ้าดิน ตอนนี้ไม่มีหนทางดูว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของประเภทไหน”


มู่จิ่วถอยไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเตี้ย เท้าคางพูด “ข้ารู้สึกว่าข้าไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้น”


“นี่พูดยาก” ลู่ยายกถ้วยขึ้น “เพียงแต่ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร สำหรับข้าแล้วล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง”


มู่จิ่วยักไหล่พูด “หวังว่าจะเป็นไปตามที่ท่านพูด” ก่อนเอ่ยอีก “แบบนั้นสุดท้ายแล้วข้ายังต้องสะสมบุญกุศลเพื่อเลื่อนขั้นหรือไม่?”


ลู่ยาหยิบหนังสือเคาะลงไปบนหัวนาง “แน่นอน!


เช้าวันถัดมาเมื่อไปถึงหน่วยงาน มู่จิ่วยังจำได้ถึงคำที่หลิวจวิ้นพูดเมื่อวาน


ดูแล้วตอนนั้นเขาก็ไม่เหมือนพูดเล่น หรือว่าไปหาอวี้ตี้ได้จริง?


นางจับด้ามพู่กันครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นตัดสินใจออกไปยังวังหลิงเซียว


ไม่ว่ามีประโยชน์หรือไม่ อย่างไรลองไปดูก่อนค่อยว่ากัน และมิใช่ว่านางไม่เคยพบอวี้ตี้มาก่อน นางจะหน้าหนาอีกสักครั้งแล้วกัน


การว่าราชการช่วงเช้าที่วังหลิงเซียวจบลงแล้ว มู่จิ่วส่งป้ายให้ผู้ติดตาม อ้างว่ามีเรื่องต้องการรายงาน ผู้ติดตามจึงช่วยนางแจ้งประสงค์ไป


ไม่นานเขาเดินออกมา “ฝ่าบาทอยู่ที่วังเซวียนหยวน”


พูดจบก็ค้อมหัวนำทางอยู่ข้างหน้า


มู่จิ่วตามอยู่ข้างหลังเขา มุ่งหน้าไปยังวังเซวียนหยวน


ความวิจิตรงดงามของวังในสวรรค์ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ผู้ติดตามเดินช้ามาก เปิดโอกาสให้มู่จิ่วชมทิวทัศน์ระหว่างทางพอดี วังหลิงเซียวตั้งอยู่ตรงใจกลางสวรรค์ ส่วนทางด้านทิศใต้เป็นเขตปฏิบัติงานของหน่วยต่างๆ ทางเหนือเป็นวังหลัง ถนนตะวันออกของวังหลังเป็นสถานที่ที่เหล่าองค์ชายอยู่ ทางตะวันตกเป็นส่วนขององค์หญิง ส่วนทางเหนือเป็นเขตพำนักอาศัยของราชินีและนางสนม


แน่นอน ในความเป็นจริงบริเวณต่างๆ ไม่ได้แบ่งแยกอย่างชัดเจน และพื้นที่ที่ครอบครองแต่ละส่วนก็ไม่เหมือนกัน เพียงวังบรรทมของอวี้ตี้และหวังหมู่ เทียบกับที่ของนางสนมสามคนรวมกันแล้วยังใหญ่กว่า ดังนั้นสิ่งนี้จึงแสดงถึงอำนาจของอวี้ตี้และหวังหมู่เช่นกัน


วังเซวียนหยวนอยู่ที่สระหยกตะวันตก ตอนนี้ดอกบัวในสระหยกบานสะพรั่งในเมฆหมอก ในศาลาริมน้ำมีเสียงขลุ่ยของเหล่าหญิงสาวบรรเลงมา มองทะลุหมอกบางไป คนที่สวมเสื้อเหลืองปักมุกหยกบนศีรษะซึ่งนั่งอยู่ริมรั้วคงเป็นหวังหมู่ เซียนดอกบัวนำนางรำหลายคนร่ายรำอยู่ ดูแล้วหวังหมู่สุขสำราญไม่เลว


ครั้นข้ามผ่านสะพานหยกบนสระหยกไปก็ถึงวังเซวียนหยวน


อวี้ตี้กำลังปิดตาทำสมาธิ เซียนหญิงงดงามสองคนกำลังพัดให้เขา


ผู้ติดตามเดินเข้าไปพูด อวี้ตี้จึงเปิดตาขึ้น จากนั้นมองมาทางมู่จิ่ว


มู่จิ่วรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า ทำความเคารพก่อนเอ่ย “ข้ากัวมู่จิ่วเข้าพบฝ่าบาท”


อวี้ตี้ไม่ขยับ มองมาก่อนกล่าว “เจ้ามีเรื่องอะไร?”


มู่จิ่วเตรียมคำพูดไว้นานแล้ว จึงรายงานเรื่องคดีตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นก่อนตามที่ได้คิดไว้ จากนั้นค่อยพูดถึงเรื่องหลัก “ตอนนี้เหลือเพียงเฉินผิงที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ได้รับความยุติธรรม ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากขอให้ฝ่าบาทเมตตา ช่วยให้เฉินผิงมีอนาคตที่ดี”


“เฉินผิง?” อวี้ตี้ได้ยินชื่อนี้ก็ครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนนั่งขึ้นมาช้าๆ “เขามิใช่ลูกนอกสมรสของอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนหรือ ตายก็ตายแล้ว จะจัดการให้ได้อย่างไร?”


มู่จิ่วเข้าใจความนัยในการปฏิเสธของเขา แต่ยังเหลือช่องว่างให้ต่อรอง จึงสดใสขึ้นมาทันใด นางพูด “ถึงแม้เฉินผิงเป็นลูกนอกสมรส แต่เขาไม่ได้ทำผิดอะไร แม้ทำผิดมาก่อนแต่ก็ถูกหม่อมฉันสังหารตายแล้ว ความหมายของหม่อมฉันมิใช่ให้เขากลับมามีชีวิต แต่คิดจะมาขอให้เขาลงไปเกิดอย่างสงบ”


“ขอให้ฝ่าบาทเห็นแก่ที่หม่อมฉันทำงานอย่างตั้งใจ โปรดไว้หน้าให้ด้วย”


“แบบนี้เอง” อวี้ตี้ลูบแขนเสื้อ สายตายกขึ้นไปมองทางสระหยก จากนั้นยืนขึ้นมาลูบคาง “เรื่องนี้หากเหนียงเหนียงรู้ เกรงว่าจะไม่รับปาก”


………………………………


บทที่ 231 ออกมาเจอเรื่องซวย

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย นี่หมายความว่าอย่างไร?


ไม่รอให้นางคิดได้ อวี้ตี้กลับพูดขึ้น “แต่ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ เด็กคนนั้นก็น่าสงสารอยู่บ้าง หากเจ้าสามารถปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้เหนียงเหนียงรู้ได้ ข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้าสักครั้ง”


มู่จิ่วรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติได้ทันที ที่แท้ต้องการให้นางปิดปากให้สนิท!


เรื่องนี้ง่ายดายนัก


นางตอบทันที “หม่อมฉันรับประกัน ไม่แพร่งพรายออกไปแน่นอน!”


เรื่องอื่นนางไม่กล้ารับประกัน แต่เรื่องเก็บความลับนางสามารถโอ้อวดได้ เพียงเขาไม่ทำพิรุธออกมาเป็นพอ


อวี้ตี้จึงค่อยพยักหน้า กวักมือให้เซียนรับใช้หญิงนำเครื่องเขียนทั้งสี่มา เขียนคำสั่งส่งให้นาง “เอาสิ่งนี้ไปหาซือมิ่งซิงจวินก็พอแล้ว”


มู่จิ่วรีบคุกเข่าลงขอบคุณ ก่อนออกจากประตูไปขณะในใจเต็มไปด้วยดอกไม้แห่งความเบิกบาน


เพียงแต่ง่ายดายขนาดนี้เขาก็รับปากแล้ว ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง และหลิวจวิ้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะรับปาก?


เมื่อเดินไปถึงบนสะพานหยก นางอดหยุดฝีเท้าลงไม่ได้ หันกลับไปมองทางวังเซวียนหยวนอีกครา เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา อวี้ตี้กำลังเดินช้าๆ ไปยังวังหลิวซิน


เรื่องของเขา!


อย่างไรก็บรรลุเป้าหมายแล้ว


คิดดังนี้นางจึงนำผ้าทอสีเหลืองเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างประณีต จากนั้นข้ามสะพานออกจากวังไป


ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งถึงตีนสะพาน ลมหอมกลุ่มหนึ่งก็ลอยปะทะเข้าจมูก จากนั้นเสียงพูดคุยเดี๋ยวขาดตอนเดี๋ยวต่อเนื่องก็ดังเข้ามา ต่อจากนั้น ด้านหลังภูเขาจำลองที่ตีนสะพานพลันปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คนตรงกลางที่มวยผมสูง ผิวอิ่มนวลเนียน งามสง่าเป็นธรรมชาติ นัยน์ตาหงส์ถึงแม้ตอนยิ้มน้อยๆ ก็แอบเจือด้วยประกายเย็นชา เป็นหวังหมู่นี่เอง


มู่จิ่วทำความเคารพโดยสัญชาตญาณ และถอยไปด้านข้าง


“อา นั่นไม่ใช่กัวมู่จิ่วหรือ”


องค์หญิงรองเหมยอิงที่อยู่ข้างกายหวังหมู่อมยิ้มทักทายนาง กลุ่มคนที่เหลือจึงหยุดเดิน


มู่จิ่วชะงักไปราวหนึ่งวินาที ค้อมตัวเดินเข้ามาทันใด “หม่อมฉันกัวมู่จิ่วเข้าพบเหนียงเหนียง เข้าพบองค์หญิงรอง”


หวังหมู่ถาม “กัวมู่จิ่ว เจ้ากลับมาจากทะเลสาบน้ำแข็งแล้วหรือ?”


คำถามนี้ทำให้มู่จิ่วนึกขึ้นได้ว่าตอนที่กลับมารายงานจากทะเลสาบน้ำแข็ง หวังหมู่ไปหากวนอิมที่ป่าไผ่ม่วง เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เรื่องที่นางกลับมา จึงจำต้องอธิบาย “ตอบเหนียงเหนียง กลับมาได้หลายวันแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบจึงเล่าเรื่องที่อ๋าวเชินปล่อยนางกลับมาก่อนได้อย่างไรให้ฟัง


หวังหมู่พยักหน้า เตรียมตัวจะจากไป


ไหนเลยจะรู้ว่าตอนเดินผ่านนาง หวังหมู่พลันหยุดเท้าจ้องแขนเสื้อของนาง


มู่จิ่วรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่นางเก็บผ้าทอสีเหลืองไว้อย่างดีแล้ว จึงไม่กลัวอีกฝ่ายเห็น


แต่หวังหมู่กลับพลันจับข้อมือมู่จิ่ว ทันใดนั้นก็หยิบผ้าทอสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้อนาง! หวังหมู่มองก่อนยิ้มเยาะเอ่ย “ข้าว่าแล้ว! ทำไมบนร่างเจ้าถึงได้มีกลิ่นอำพันทะเล? ที่แท้ซ่อนสิ่งนี้ไว้” พูดจบก็เก็บผ้าทอสีเหลืองไป จากนั้นถามต่อ “เฉินผิงผู้นี้เป็นใคร? เหตุใดถึงต้องวางแผนส่งเขาไปเกิด?”


เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าฝากมู่จิ่ว คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเรื่องนี้


นางเพิ่งรับประกันกับอวี้ตี้ว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป กลับมาเจอหวังหมู่เสียได้ นี่ใครจงใจหาเรื่องนางกัน?


ตอนนี้นางไม่พูดสิ่งใด


หวังหมู่ถาม “ทำไมไม่พูด?”


มู่จิ่วสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของหวังหมู่ ไม่มีทางอื่น ทำได้เพียงรายงานเรื่องตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นให้ฟัง “หม่อมฉันคิดว่ากรรมนี้ของเฉินผิงเกิดจากหม่อมฉันเอง ดังนั้นเมื่อครู่จึงไปร้องขอฝ่าบาทให้ช่วยผ่อนปรน ช่วยให้เฉินผิงไปเกิดใหม่มีชีวิตที่ดีหน่อย ฝ่าบาทแต่เดิมก็ไม่ยอมตกลง แต่ต้านทานความมีเมตตาในใจไม่ได้ ดังนั้นยามที่หม่อมฉันใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อนฝ่าบาทก็ตอบตกลง”


นางทำได้เพียงแก้ต่างแทนอวี้ตี้อย่างสุดความสามารถเท่านั้น


ใครจะรู้ว่านางจะมาเจอกับเรื่องเวรนี่ ตอนนี้หากทำพลาดนางต้องรับโทษจากทั้งสองทาง!


“คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงจะเป็นลูกนอกสมรสของอ๋าวเชิน?!” หวังหมู่โกรธแล้ว “พวกเจ้ากลับดูแลเด็กนอกสมรสคนหนึ่งแบบนี้?!”


มู่จิ่วเหงื่อหลั่งราวกับสายฝน ที่แท้อวี้ตี้ไม่ให้นางบอกหวังหมู่ก็เพราะเหตุผลนี้!


หวังหมู่ไม่เพียงไม่ชอบอ๋าวเชินที่เลี้ยงดูภรรยารอง แต่ยิ่งไม่ชอบผลผลิตจากการลักลอบคบชู้ของพวกเขา!


แย่แล้ว หวังหมู่ต้องไม่คืนผ้าทอสีเหลืองให้นางแน่ และต้องไปคิดบัญชีกับอวี้ตี้!


อวี้ตี้เคยทำอะไรมาก่อนกันแน่? จนหวังหมู่ไม่ชอบเขาแบบนี้!


“เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะ! เป็นหม่อมฉันที่ร้องขอต่อฝ่าบาทเองจริงๆ ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่าบาท” นางกัดฟันพูดออกไป เทพเซียนทะเลาะกัน ผีน้อยกลับรับกรรม ใครจะรู้ว่าภายหลังพวกเขาสามีภรรยาคืนดีกันแล้วจะกลับมาหาเรื่องนางหรือไม่ หากเป็นแบบนี้มิสู้นางรับไปก่อน “เป็นหม่อมฉันที่เห็นเฉินผิงไร้ความผิด จึงร้องขอต่อฝ่าบาทอย่างไม่ลดละ”


ตามหลักเหตุผล เมื่อพูดถึงขนาดนี้หวังหมู่ควรรามือได้แล้ว ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร เฉินผิงเป็นลูกนอกสมรสไม่ผิด แต่สวรรค์เดินตามแบบแผนของลัทธิขงจื่อตั้งแต่เมื่อไหร่? อีกอย่างพวกเขาเป็นเทพเซียนที่น่าเคารพ อย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าไว้สองส่วน หากเรื่องสามีภรรยาขัดกันในเรื่องเล็กนี้แพร่ออกไปก็ไม่ดีนัก


แต่ความคิดของหวังหมู่ไม่ใช่สิ่งที่นางจะมองได้ทะลุปรุโปร่ง หวังหมู่มองนางอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ทำหน้านิ่งก่อนเอ่ย “ตามข้ามา!”


มู่จิ่วไม่รู้เลยว่าหวังหมู่คิดจะทำอะไร ทั้งหัวนางไร้ความรู้สึก แต่เพียงดูก็รู้ว่าไม่ได้เดินไปทางที่พำนักของอวี้ตี้ และข้างกายก็ไม่มีทหารนายพลอะไร สถานที่ที่มุ่งหน้าไปเป็นตำหนักซึ่งเป็นส่วนตัวอย่างมาก จึงพลันวางใจลงได้เล็กน้อย หากอีกฝ่ายต้องการทำร้ายนางจริง คิดแล้วก็ไม่ถึงกับต้องเปลี่ยนสถานที่จึงค่อยลงมือ


นางรีบเดินตามหวังหมู่ไป


เมื่อเดินทางเข้าไปวังหลินจื่อ หวังหมู่สั่งคนที่เหลือให้ถอยร่นไปอยู่ที่ปากประตูวัง จากนั้นเหลือบมองมู่จิ่วก่อนเข้าไปในตำหนัก


มู่จิ่วไม่กล้าชักช้า เดินเคียงเข้าไปทีละก้าว


หลังจากเข้าประตู หวังหมู่นั่งบนตั่งคนงาม ใบหน้าไร้ความรู้สึกยามมองนางที่ก้มหน้ายืนอยู่ เรียกได้ว่าไม่โกรธแต่ยังแผ่ความน่าเกรงขาม


ขณะกำลังกดดัน พลันได้ยินเสียงหวังหมู่ตบโต๊ะดังตึง ถาดลิ้นจี่บนโต๊ะกระเด้งขึ้น อวัยวะภายในของมู่จิ่วก็เหมือนกระโดดตามขึ้นมาเช่นกัน


แต่หลังจากตบเสร็จ หวังหมู่ไม่ได้พูดทันที เมื่อกดดันมู่จิ่วนานพอแล้ว นางถึงได้วางแขนบนที่เท้าแขน สองตาเหลือบมองมู่จิ่วก่อนพูด “เมื่อครู่ตอนพบข้าที่ตีนสะพาน ทำไมทำท่าทางเหมือนขโมย? เจ้ารู้ว่าข้าจะไม่รับปาก?”


“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” มู่จิ่วผ่อนคลายลงมาก “หม่อมฉันเพียงคิดไม่ถึงว่าจะพบเหนียงเหนียงพอดี”


“ยังคิดหลอกลวงข้า” หวังหมู่ยกมุมปาก กลับไม่เจืออารมณ์ขันแม้แต่นิด “กัวมู่จิ่ว เจ้ากินหัวใจหมีดีเสือมาหรือ?”


“หม่อมฉันไม่กล้า!” มู่จิ่วก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงอีก


สายตาของหวังหมู่กวาดมองไปด้านนอกประตูเล็กน้อย บีบลิ้นจี่ในมือ แล้วจึงเอ่ยอีก “ตัวเจ้าไม่รู้ว่าข้าจะไม่รับปาก แน่นอนว่าต้องเป็นฝ่าบาทบอกเจ้าไม่ให้เจ้าบอกข้าใช่หรือไม่?”


เหงื่อของมู่จิ่วไหลออกมาอีกแล้ว หวังหมู่ช่างไม่เสียแรงที่เป็นหวังหมู่ มองคราเดียวเห็นเรื่องราวทั้งหมดปรุโปร่ง


แบบนี้นางยังหวังว่าจะสามารถหลอกอะไรหวังหมู่ได้?


มู่จิ่วกัดฟัน ครุ่นคิดอยู่สักครู่ จึงยกชุดคลุมขึ้นคุกเข่าลงไป “เหนียงเหนียงปรีชาสามารถ ฝ่าบาทไม่ได้พูดแบบนี้ เพียงบอกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะเปิดเผยออกไป เพราะทำให้กฎสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ ความผิดล้วนเป็นของหม่อมฉัน ขอให้เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต”


“ไว้ชีวิต?” หวังหมู่หัวเราะขึ้นมา “ง่ายดายเช่นนั้น?”


มู่จิ่วไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร


หวังหมู่กวาดตามองนาง ไม่ได้รีบร้อนพูดต่อ ทว่าปอกลิ้นจี่ที่หยิบมาจากถาด


……………………………………………………


บทที่ 232 เหนียงเหนียงช่างเก่งกาจ

โดย

Ink Stone_Romance

เหมือนมีกลองรัวอยู่ในใจมู่จิ่ว ไม่รู้ว่าหวังหมู่คิดจะทำอะไร แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอยากจัดการนาง กลับเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องราวใดอยู่ในใจ


หวังหมู่ปอกเปลือกลิ้นจี่ทั้งสิ้นสามลูกถึงได้หยุด นำผ้าเปียกในถาดหยกข้างตัวมาเช็ดมือและเล็บไปเรื่อยๆ พลางพูด “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เจ้าเป็นคนจัดการเรื่องเหม็นเน่าของตระกูลอวิ๋นตระกูลอ๋าว พูดแบบนี้ความสามารถเจ้าก็ไม่น้อยเลย”


“มิกล้า” มู่จิ่วมองพื้น “หม่อมฉันเพียงโชคดีเท่านั้น นับไม่ได้ว่าเป็นความสามารถอะไร”


“โชคดีก็นับเป็นความสามารถ” หวังหมู่ลูบดอกบัวแฝดที่ปักบนผ้าเช็ดหน้า ก่อนพูดเรียบๆ “ข้ากำลังต้องการหาคนที่มีโชค ในเมื่อเจ้ามีโชคดีเช่นนี้ มิสู้ทำงานให้ข้าหน่อย?”


มู่จิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้ ทำงานให้?


นัยน์ตาหงส์ของหวังหมู่เสมองนาง แววตาไร้ความรู้สึกทันที ไม่มีความโกรธ ไม่มีการเย้ยหยัน มีเพียงสีหน้านิ่งสงบจนมองอารมณ์ไม่ออก “เรื่องนี้หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะไม่เอาความเรื่องเจ้ากับฝ่าบาท”


มู่จิ่วกลั้นหายใจมองนางอยู่นาน ถึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมา


“จริงหรือเจ้าค่ะเหนียงเหนียง?”


หวังหมู่ยกริมฝีปากพลางมองนาง “ก็แค่ลูกมังกรเท่านั้น ไหนเลยจะคู่ควรให้ข้าลงมือ คำพูดของข้าย่อมเชื่อถือได้”


มู่จิ่วผ่อนลมหายใจทันที แต่ก็กังวลว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก ดังนั้นจึงเอ่ยปากหยั่งเชิง “มิสู้เหนียงเหนียงลองบอกก่อนว่าต้องการรับสั่งสิ่งใด?”


หวังหมู่กวักมือเรียกนาง รอนางเข้ามาใกล้จึงพูด “ข้าสงสัยเรื่องหนึ่งมาก ช่วงนี้ฝ่าบาทออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราว แต่กลับไม่เดินทางโดยเปิดเผย คล้ายไม่ยินยอมให้คนมองความเคลื่อนไหวออก ไม่รู้ว่าไปพบใคร? ข้าเห็นเจ้าทำงานได้ไม่เลว ช่วยข้าจับตามองเขา ไม่ว่าเขาออกจากวังไปพบใคร จงรายงานข้าให้หมด”


จับตามองอวี้ตี้?!


ลมหายใจของมู่จิ่วไม่รู้ว่าออกจากจมูกหรือออกจากปาก หวังหมู่ให้หัวเสินน้อยอย่างนางจับตามองอวี้ตี้ที่เป็นราชาสวรรค์ผู้น่าเคารพ? หวังหมู่คงไม่ได้มองนางเป็นมหาเทพที่ไม่มีอะไรทำไม่ได้หรอกกระมัง? ถึงแม้เป็นมหาเทพ หากทำเรื่องแบบนี้นางก็ต้องระวังหัวไว้ หากอวี้ตี้รู้จะไม่โยนนางลงแท่นประหารเซียนตอนนั้นเลยหรือ?


หวังหมู่ราวกับมองความคิดนางออก ปรับน้ำเสียงให้ช้าลงก่อนเอ่ย “ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าทำอย่างอื่น เพียงช่วยข้าสืบว่าเขาออกไปพบใครก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไร อีกอย่าง ข้าจะให้ยาเซียนที่สามารถซ่อนพลังฤทธิ์แก่เจ้า ถ้าเจ้าอยู่ห่างจากเขาในระยะสิบลี้ เขาย่อมไม่เห็นร่องรอยเจ้า”


นางพูดพลางหยิบขวดเล็กจากโต๊ะหยกด้านข้าง “สืบได้แล้วกลับมารายงานข้า ไม่อนุญาตให้บอกคนอื่น ไม่อนุญาตให้คนอื่นรู้ และยิ่งไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ หากทำงานได้ไม่ดี ถึงตอนนั้นค่อยรอดูข้าใช้ผ้าทอสีเหลืองนี้จัดการเจ้ากับฝ่าบาทไปพร้อมกัน”


คำพูดนี้กล่าวอย่างอ่อนโยนนัก แต่เหมือนกับโดนดาบหมื่นเล่มฟันลงมา


มู่จิ่วหนังศีรษะชาอยู่บ้าง พูดอยู่นาน ที่แท้ก็ต้องการให้นางไปเป็นคนสอดแนม!


นางเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวน กลับยังต้องทำงานประเภทสะกดรอยตามคน!


พวกเขาสามีภรรยาทั้งสองทะเลาะกันกลับลากนางเข้าไปเกี่ยวด้วย นางต้องใจกล้าขนาดไหนถึงไปสะกดรอยตามอวี้ตี้!


แต่เห็นความดุร้ายบนหน้าหวังหมู่แล้ว นางไม่อาจไม่รับขวดเล็กนี้มา


“ขอบังอาจถามเหนียงเหนียง ทำไมไม่ไปใช้คนอื่น? หรือทำไมเหนียงเหนียงไม่ไปด้วยตนเองเจ้าคะ?” นางมองขวดที่เหมือนเผือกร้อนลวกมืออย่างอึดอัด “หม่อมฉันไม่มั่นใจเรื่องนี้ หม่อมฉันยังเป็นเพียงหัวเสิน แม้แต่เทพเซียนก็ยังไม่ใช่ ไม่รู้ว่าจะทำตามคำสั่งเหนียงเหนียงได้สำเร็จหรือไม่”


“ข้าจะไปเองได้อย่างไร?” หวังหมู่ยืนขึ้น เดินลงมาจากชั้นหยกอย่างช้าๆ “ไม่ต้องพูดถึงข้า หากเป็นคนในวังก็ไม่เหมาะสม ฝ่าบาทมีคาถาของเทพผู้สูงส่งคุ้มครองอยู่ ว่องไวต่อกลิ่นอายของคนที่คุ้นเคยข้างกายอย่างมาก หากข้าไป ไม่ถึงชั่วครู่เขาก็คงจับข้าได้แล้ว ข้าไม่ได้คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา เพียงสืบว่าเขาไปพบใคร และคำนึงถึงความปลอดภัยแทนเขา”


คำนึงถึงความปลอดภัยแทนเขา พูดเสียสวยหรู


มู่จิ่วเยาะเย้ยในใจพลางเอ่ยถาม “เช่นนั้นไม่ทราบว่าทำไมเหนียงเหนียงถึงไว้ใจหม่อมฉัน?”


หวังหมู่ยิ้มก่อนพูด “มิใช่ว่าเจ้ามีจุดอ่อนอยู่ในมือข้าหรือ”


มู่จิ่วพูดไม่ออกอยู่นาน


สุดท้ายจึงทำได้เพียงฝืนเอ่ยไป “เช่นนั้นหม่อมฉันจะลองดูก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลเมื่อไหร่ หากสะกดรอยตามไม่ได้อะไร เหนียงเหนียงก็อย่าได้ถือโทษ”


หวังหมู่พูด “หากทุ่มเททำงาน ข้าย่อมต้องไม่โทษเจ้า แต่หากคิดหลอกลวง เจ้าก็ระวังไว้!”


มู่จิ่วจนปัญญา “หม่อมฉันไม่กล้า”


หวังหมู่นำผ้าทอสีเหลืองวางไว้ใต้ถ้วย ก่อนกล่าว “กลับไปก่อนเถิด ค่อยเริ่มสะกดรอยตามพรุ่งนี้”


มู่จิ่วรู้สึกเพียงหัวจะระเบิดแล้ว


นางกลับไปกองบัญชาการ วันนี้ไม่มีอารมณ์ทำงานแล้ว


ไม่ง่ายนักที่จะทนจนถึงเลิกงาน ได้ยินว่าลู่ยาดูพวกเสี่ยวซิงปลูกผักอยู่ที่สวนผักด้านหลัง ดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปที่นั่น


ใต้เพิงปลูกแตง เขากำลังเก็บแตงกวามาป้อนอาฝู มู่จิ่วพูดอย่างอึดอัด “ยังจะกินแตงอีก!” ก่อนจะเล่าเรื่องนางไปหาหลิวจวิ้น และไปหาอวี้ตี้ตามคำแนะนำของเขา อีกทั้งถูกหวังหมู่จับจุดอ่อนให้นางไปสะกดรอยได้อย่างไรจนหมด “หากรู้แต่แรก เช่นนั้นก่อนออกนอกบ้านข้าคงดูดวงชะตา!”


ลู่ยาฟังจบก็แปลกใจเล็กน้อย “หวังหมู่เก่งกาจขนาดนี้?” ช่างพบเห็นได้ยากนัก


มู่จิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนย้อมถาม “ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรพูดว่า อวี้ตี้กลัวภรรยาถึงขนาดนี้เลยหรือ?”


ลู่ยายิ้มขณะโยนแตงให้อาฝู ยืนขึ้นมาแล้วพูด “จับตามองก็จับตามองไป อย่างไรก็ไม่ต้องให้เจ้าเก็บกวาด”


มู่จิ่วย่อมรู้ว่านางไม่ต้องเก็บกวาด ทว่านี่มันกลัดกลุ้มมิใช่หรอกหรือ


ใครจะรู้ว่าหวังหมู่ให้จับตามองอวี้ตี้เพื่ออะไร?


นางเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ที่เถรตรงคนหนึ่ง แอบไปทำเรื่องสะกดรอยตามแบบนี้ มันน่ารำคาญหรือไม่?


แถมยังสะสมบุญกุศลไม่ได้ด้วย!


แต่เมื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ที่อวี้ตี้ออกไป พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด งานนี้ก็ไม่ยากเหมือนอย่างที่คิด


ก่อนอื่น อวี้ตี้ออกไปข้างนอกไม่บ่อย หากออกไปอย่างเป็นทางการ โดยพื้นฐานทุกคนย่อมคาดเดาสถานที่ที่ไปได้ ที่จริงมู่จิ่วต้องแอบสะกดรอยตามยามที่เขาออกไปข้างนอกอย่างลับๆ ก็พอแล้ว แน่นอน มู่จิ่วไม่รู้ว่าสุดท้ายเขาจะออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ และไม่สามารถรออยู่นอกวังได้ตลอดเวลา ดังนั้นหากหวังหมู่รู้ต้องส่งคนมาแจ้งนาง


หากแม้แต่หวังหมู่ก็ไม่รู้ล่วงหน้าว่าอวี้ตี้จะไปเมื่อไหร่ แบบนั้นหลังจากเกิดเรื่องแล้วค่อยไปสอบถามก็ได้


เมื่อคิดได้แบบนี้ ความกดดันก็ลดลงไปครึ่งหนึ่ง


เช้าวัดถัดมา นางตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส กินอาหารเช้าเสร็จก็มุ่งตรงไปที่หน่วย


ลู่ยาก็ฝึกวิชาให้รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูตามปกติ


รุ่ยเจี๋ยแต่เดิมเคยฝึกเคล็ดวิชาของเผ่าจิ้งจอกเก้าหางมาแล้ว และเผ่าจิ้งจอกเก้าหางฝึกบำเพ็ญตามหนี่ว์วา ดังนั้นเมื่อรับช่วงต่อการฝึกมาจึงไม่มีอะไรยาก แต่เพราะพลังบำเพ็ญของหนี่ว์วาคือพลังเสวียนคง ของลู่ยาคือพลังเสวียนหมิง ยังต้องอาศัยเวลาชั่วระยะหนึ่งในการเปลี่ยนแปลง ช่วงนี้ลู่ยาเลยให้เขาฝึกฝนพลังคงและหมิงผสมผสานกันเป็นหลัก


อาฝูยิ่งง่ายกว่า แต่เดิมเขาไม่เคยฝึกเคล็ดวิชาอะไรมาก่อน ในร่างมีเพียงพลังฤทธิ์แต่กำเนิด ฝึกฝนมาครึ่งปี สามารถเป็นคู่หูให้มู่จิ่วได้แล้ว ตอนนี้หากสอนเคล็ดวิชาง่ายๆ ให้เขา ไม่ถึงสามวันเขาก็สามารถทำได้


ถ้ามีเวลาลู่ยาก็ไม่ลืมชี้แนะเสี่ยวซิง พื้นฐานของนางอ่อนเกินไป เพิ่งมีพลังบำเพ็ญห้าร้อยปี ถึงแม้เขาสอนนาง ในช่วงเวลาสั้นๆ นางก็ยังทำไม่ได้ จึงไม่จำเป็นต้องจับตาดูนางใกล้ชิด ทุกเดือนแค่ต้องดูว่าเคล็ดวิชานางก้าวหน้าไปอย่างไรก็พอแล้ว


…………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)