หมอดูยอดอัจฉริยะ 221-225
ตอนที่ 221
ค่ายกล
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คำถามของแกนี่ ช่างหายากจริง ๆ!”
เยี่ยตงผิงได้ยินคำถามของลูกชายก็ยิ้มออกมา “ของพวกนี้น่าจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันแล้ว เป็นของที่เพิ่งถูกขุดขึ้นมาทั้งนั้น แต่ขอแค่ไม่มีคนไปแจ้งทางการ ทางการไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เป็นไร…”
ถ้าเทียบกับยุคปี 80 ความบ้าคลั่งของโจรขุดสุสานลุกโหมขึ้นมา แต่ก็ยังทำกันแบบลับๆ ทางการไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไหร่ ผู้ที่เล่นค้าขายของโบราณเกือบทุกคนต้องเคยข้องเกี่ยวกับคนพวกนี้ไม่มากก็น้อย
เหมือนกับคนที่แนะนำให้เยี่ยตงผิงไปซื้อขายกับแก๊งค์ตี๋หว่างคนนั้น คือพ่อค้าที่คอยรับซื้อวัตถุโบราณโดยเฉพาะแถวเจียงหนาน แต่ที่ปักกิ่ง คนที่ทำธุรกิจนี้ได้ใหญ่โตที่สุดคือคุณชายจี่
จี่หรานใช้ธุรกิจกาารประมูลสินค้าบังหน้า แต่ติดต่อกับกลุ่มโจรขุดสุสานในมณฑลใกล้เคียง เพื่อช่วยพวกนั้นขายวัตถุโบราณที่ขโมยขุดขึ้นมาได้
ทางบ้านของจี่หรานมีภูมิหลังอยู่ อีกทั้งใช้เงินเป็นตัวเปิดทาง ดังนั้นหลายปีมานี้ธุรกิจการค้าการประมูลของคุณชายจี่จึงมีชื่อเสียงขึ้นมา
หลังจากได้เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง คุณชายจี่ถึงรู้ซึ้งว่าการมีภูมิหลังครอบครัวที่ดีนั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าเขาไม่ได้อาศัยชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ก็น่าจะต้องไปกินข้าวแดงในคุกนานแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงพยายามคิดหาวิธีจะเชื่อมสัมพันธ์กับเยี่ยเทียน
ได้ยินที่พ่อพูดจบ เยี่ยเทียนหยุดคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวตอบว่า “พ่อ พรุ่งนี้ผมไปด้วย แต่ธุรกิจแบบนี้ ผมว่าพ่ออย่าเข้าไปยุ่งด้วยจะดีกว่า ทางการไม่ช้าก็เร็วจะต้องเห็นความสำคัญขึ้นมา อย่าให้ถึงตอนนั้นแล้วมาคิดบัญชีกับพ่อทีหลัง!”
ไม่ว่ายุคสมัยไหน การขุดสุสานบรรพบุรุษถือเป็นเรื่องน่าละอายต่อผู้คนและฟ้าดิน โดยเฉพาะเมื่อนำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน ด้วยความรุ่งเรืองของตลาดค้าวัตถุโบราณ คาดว่าภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้ามาเพื่อทำการอนุรักษ์สงวนวัตถุโบราณ
เยี่ยตงผิงพยักหน้า “วางใจเถอะ พ่อรู้ดี หลายปีมานี้สะสมของไว้ก็มาก รอให้ตลาดร้อนขึ้นมาแล้วพ่อแค่เอาของไปปล่อยประมูลแค่นั้น…”
เมื่อเทียบกับคนที่เล่นของเก่าด้วยกันในตลาดค้าของโบราณพานเจียหยวน เยี่ยตงผิงถือว่าเป็นพ่อค้าที่มีสายตาแหลมคมคนหนึ่ง
ที่เยี่ยตงผิงเงินไม่พอใช้นั้น เพราะว่าหลายปีนี้เขาทำธุรกิจของโบราณโดยการซื้อเข้ามากกว่าขายออกหรือไม่ก็ไม่ขายเลย เพื่อรอให้ตลาดงานศิลปะคึกคักขึ้น
ปีๆหนึ่งเยี่ยตงผิงขายของออกไปได้เพียงไม่กี่ชิ้น เพราะของดีๆนั้นเขาเก็บเอาไว้เองหมด
อย่าว่าอย่างอื่นเลย แค่เครื่องเคลือบราชวงศ์ชิงทั้งสามสิบกว่าชิ้นในโกดัง ถ้าหากเยี่ยตงผิงได้นำออกไปขาย คงจะทำให้ถิ่นชาววังมีอันสั่นสะเทือน
หากไม่เป็นอย่างนี้แล้ว เยี่ยตงผิงรู้สึกถึงแรงกดดันทวีคูณ อย่างน้อยเขายังต้องมีเงินกินข้าวบ้างสิ ทั้งยังต้องดูแลครอบครัวน้องสาว ทั้งค่าใช้จ่ายในเรือนสี่ประสานที่ทุกเดือนนั้นมากโขอยู่ ถ้าเขาซื้ออย่างเดียวแต่ไม่ขาย เงินทองในบ้านคงขัดสน
ดังนั้นความหวังของเยี่ยตงผิงจึงฝากไว้กับวัตถุโบราณที่ขุดขึ้นมาจากหลุมศพ ของพวกนี้ หนึ่งยิ่งเก่าแก่ยิ่งราคาสูง สองถ้ารับซื้อมาได้ถูก เงินทุนของเยี่ยตงผิงก็พอจะไปรอดอยู่
“พ่อ มะรืนผมไปกับพ่อด้วย!”
เยี่ยเทียนตกลงแต่ไม่ว่าอะไรต่อ จากนักเรียนคนหนึ่งกลายเป็นพ่อค้าในตลาดใหญ่ การเป็นหัวหน้าครอบครัวเยี่ย ในใจของพ่อต้องมีความลำบากที่พูดไม่ได้
…………………………-
สำหรับวันมะรืนที่ต้องไปร่วมงานตลาดมืดวัตถุโบราณ เยี่ยเทียนหวังว่าจะโชคดี แต่เครื่องรางมันไม่ได้หาได้ง่ายๆทั่วไป
อย่างน้อยเยี่ยเทียนที่มีชีวิตอยู่มายี่สิบปี ติดตามนักพรตเฒ่าเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ จนบัดนี้นอกจากมี “เหรียญโบราณต้าฉีทงเป่า” เครื่องรางที่อาจารย์มอบให้เขาแล้วก็ได้พบเพียงแต่เครื่องราง”อู๋เหิน”เท่านั้น
เยี่ยเทียนจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เช้าวันรุ่งขึ้นไปที่บ้านของตัวเอง เนื่องจากเดือนหน้าเว่ยหงจวินได้รับโครงการใหญ่งานหนึ่ง งานก่อสร้างด้านนี้ก็ก้าวหน้าขึ้นมาก เยี่ยเทียนจึงต้องหมั่นคอยไปตรวจดู
“เยี่ยเทียน งานก่อสร้างใต้ดินน่ะเสร็จเกือบหมดแล้ว การปรับแต่งห้องก็ใกล้เสร็จแล้ว นอกจากสวนดอกไม้ในอีกบางจุด นอกนั้นเป็นงานตกแต่งอย่างละเอียด เธอยังต้องการจะเพิ่มอะไรอีกไหม?”
คนที่อยู่กับเยี่ยเทียนแน่นอนว่าต้องเป็นหวังกง ระยะนี้เว่ยหงจวินยุ่งมาก ติดต่อกับเยี่ยเทียนน้อยลง เพียงแต่โทรศัพท์หาบ้างเท่านั้น
“หวังกง สวนดอกไม้ทั้งสามแห่งต้องสร้างตามภาพที่ผมวาดให้เท่านั้น ขนาดของสระน้ำก็ห้ามเปลี่ยนแปลง…”
สวนทั้งสามที่เยี่ยเทียนกล่าวถึง ด้านหน้ากับด้านหลังสองแห่งเป็นดวงตาของค่ายกล รอให้เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว ถ้ามองจากที่สูงจะเห็นว่าเรือนสี่ประสานนี้เป็นรูปปากั้ว
สวนด้านหน้าและหลังเป็นตำแหน่งของดวงตาในภาพปากั้วไท้เก็ก ส่วนสวนตรงกลางเป็นศูนย์รวมวิญญาณของค่ายกล
พลังหยินและหยางจากสองตำแหน่งไหลซึมเข้ามาสู่เรือนสี่ประสาน เมื่อผ่านค่ายกลหยกขาวใต้ดินและศูนย์รวมวิญญาณตรงสวนกลางคอยชักนำ ทำให้พลังผสมผสาน สุดท้ายเกิดเป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้เยียเทียนใช้ฝึกวิชา
เมื่อดูจากด้านนอก เรือนสี่ประสานนี้ก็เหมือนกับบ้านหลังอื่น นอกเสียจากอิฐกำแพงรั้วเขียวกับกำแพงบ้านที่สร้างใหม่ นอกนั้นไม่ผิดไปจากรูปแบบเดิมของเรือนสี่ประสานเลย
เยี่ยเทียนพอใจมากกับการก่อสร้างปรับปรุงบ้านในครั้งนี้ เขาเคยนำอิฐหินที่ปูพื้นบ้านออก เพื่อดูหยกขาวที่ปูอยู่ข้างใต้ ซึ่งพบว่ามันเป็นไปตามที่เขาต้องการ
แต่หวังกงไม่ได้เข้าใจในวิธีการของเยี่ยเทียนแม้แต่น้อย ความล้ำค่าของหยกขาวอยู่ที่ความสะอาดบริสุทธิ์ของเนื้อหยก เมื่อนำไปแกะสลักลวดลายจะยิ่งงาม แต่เยี่ยเทียนกลับนำไปปูพื้นถนน พอปูเสร็จแล้วยังปูหินอิฐธรรมดาทับลงไปอีก
หวังกงเคยแจ้งเรื่องนี้กับเว่ยหงจวินฟังแล้ว แต่ถูกเว่ยหงจวินตำหนิกลับมา ลูกค้าออกเงินค่าจ้าง ขอแค่ไม่ไปฆ่าคนวางเพลิง แกจะสนใจทำไม?
ได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงสวนดอกไม้ หวังกงยิ้ม “เยี่ยเทียน คุณวางใจเถอะ เพื่อการสร้างระบบไหลเวียนน้ำกับสวนดอกไม้แล้ว ประธานเว่ยยังเรียกช่างออกแบบสวนมาโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณพอใจ!”
“ดี หวังกง คุณไปทำงานเถอะ ผมเดินดูรอบๆก็พอ….” เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ในยุคสมัยนี้การมีเงินนั้นดี ห้องหับที่ผุพังพวกนั้นตอนนี้ซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ ส่วนในห้องทั้งคานทั้งเสาถ้าไม่เปลี่ยนอันก็ทาสีใหม่ ทั้งข้างนอกข้างในดูแล้วทำให้สบายใจ
เยี่ยเทียนยังไม่ได้เข้าไปดูที่ห้องโถงกลางกับโถงด้านข้างที่ต่อเติมห้องน้ำเข้าไป ต่อไปนี้ทุกเช้าไม่ต้องไปเทกระโถนแล้ว คนที่เคยอยู่บ้านแบบทั่วไปต่างรู้ดี ว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเพียงใด
นอกจากนี้ห้องตรงกลางที่มีสามห้องเยี่ยเทียนให้คนตีทะลุเป็นห้องเดียวทำเป็นห้องครัวกับห้องรับประทานอาหาร ถึงเรือนสี่ประสานจะมีด้านนอกกที่ยังคงบรรยากาศของความเก่าแก่ แต่ด้านในกลับรู้สึกถึงความทันสมัย
สวนด้านหลังที่เป็นประตูผีที่เชื่อมกับโรงเลี้ยงม้าเก่า เยี่ยเทียนปรับปรุงให้เป็นโรงจอดรถ ประตูของโรงรถเชื่อมกับถนนอีกด้านหนึ่ง ไม่ไกลนักเป็นกำแพงของพระราชวังต้องห้าม
รอให้บ้านซ่อมเสร็จก็จะกลายเป็นเรือนสี่ประสานที่รวมเป็นหนึ่งเพียงแห่งเดียวในปักกิ่งช่วงปลายของยุคปี90 ถึงจะมีบางคนริเริ่มอยากจะเปลี่ยนแปลงเรือนสี่ประสาน แต่ยังไม่มีใครถึงขนาดสร้างใหม่ทั้งหมดแบบเยี่ยเทียน
แน่นอนว่าเรือนสี่ประสานตกแต่งได้ขนาดนี้เพราะใช้เงินล้วนๆ เยี่ยเทียนจ่ายค่าซื้อบ้านไปเจ็ดแสนกว่าหยวน แต่ค่าซ่อมแซมตกแต่งนั้นถึงหนึ่งล้านห้าแสนหยวน นี่ยังไม่นับรวมเครื่องเรือนและของตกแต่งอย่างอื่น
เยี่ยเทียนไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำอีก จึงได้แต่เดินเล่นไปเรื่อยพลางเล่นกับเจ้าเฟอร์เรตน้อย เจ้านี่โตเร็วมาก ฟันเริ่มผุดขึ้นจากกรามแล้ว ตอนกัดนิ้วของเยี่ยเทียนเล่นจึงเริ่มรู้สึกเจ็บ
เฟอร์เรตน้อยไม่กินนมผง กินแต่เนื้อไก่ ตอนแรกทำให้หญิงชราเอาแต่บ่นไม่หยุด การดูแลรับใช้คุณชายเยี่ยนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ยังต้องมารับใช้เจ้าสัตว์หน้าขนตัวนี้อีก
แต่มันก็ฉลาดแสนรู้ นอกจากเยี่ยเทียนแล้วมีเพียงหญิงชราเท่านั้นที่อุ้มมันได้ ตอนว่างมันมักจะนอนอาบแดดในอ้อมอกของหญิงชรา ทำให้ป้าใหญ่ทั้งรักทั้งหลง ความหงุดหงิดรำคาญใจจึงสลายไป
อยู่ในสวนของตัวเองมาทั้งวัน ตกเย็นเยี่ยเทียนถึงจะกลับบ้าน และถูกบิดาบิดหูสั่งสอนยกใหญ่ เพราะเขาออกไปโดยไม่ได้พกมือถือ
เช้าวันต่อมา เยี่ยตงผิงขับรถเก่ายี่ห้อซานตานาพาเยี่ยเทียนออกไปนอกเมือง ได้ข่าวว่าวันนี้พวกโจรขุดสุสานจากทั้งปักกิ่ง เทียนจิน เหอเป่ยต่างก็มา งานวันนี้ต้องยิ่งใหญ่มาก
เยี่ยตงผิงเพิ่งกลับมาปักกิ่งไม่นาน อีกทั้งการขายของก็ไม่ได้มาก จึงไม่มีชื่อเสียงเท่าไหร่ งานตลาดมืดแบบนี้เขาไม่ได้รับเชิญแน่นอน ครั้งนี้อาศัยบารมีลูกชายจึงมาได้ เยี่ยตงผิงมีความสุขมาตลอดทาง
“เยี่ยเทียน แกดูสิบ้านนอกชนบทดีแค่ไหน ฟ้าใสอากาศสดชื่น วิวสวย ทั้งแข็งแรงทั้งสภาพแสดล้อมสวยงาม…”
เมื่อรถขับผ่านชนบททีหนึ่งเยี่ยตงผิงก็นึกถึงลูกชายที่ไปยุ่งอยู่กับเรือนสี่ประสานทั้งวัน จึงพูดต่อ “ซื้อบ้านนั้นมาด้วยเงินเจ็ดแสน ยังต้องตกแต่งซ่อมแซมอีก ทั้งหมดตั้งเกือบสองล้าน ไม่รู้จริงๆว่าแกคิดยังไง?”
เยี่ยตงผิงอาศัยอยู่ในบ้านเก่า ต่อไปบ้านนี้ก็ต้องยกให้ลูกชายอยู่ดี เขาจึงรู้สึกว่าเยี่ยเทียนซื้อบ้านอีกหลัง เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ตอนนี้คนมีเงินต่างก็อยากย้ายไปอยู่นอกเมืองทั้งนั้น
“อิอิ พ่อ ผมชอบเรือนสี่ประสาน พ่ออย่าลืมสิ ผมโตมาในชนบท เรื่องแข็งแรงหรือสิ่งแวดล้อมอะไรพวกนั้นน่ะไม่เป็นไรหรอก พ่อรู้มั้ย คนบ้านนอกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ที่อยากเข้าเมืองเพื่อสูดควันรถนี่…””
เยี่ยเทียนไม่ได้คุยกับพ่อมานานแล้ว นั่งอยู่บนรถพูดเรื่องโน่นนี่ แต่กลับอารมณ์ดีมาก พ่อลูกคุยเล่นกัน รถมาถึงประตูบานใหญ่ที่มีกำแพงสูงล้อมรอบ บนยอดกำแพงมีเศษกระจกแตกปักคาอยู่เต็มไปหมด
ประตูหน้าเป็นแผ่นเหล็กใหญ่ที่เชื่อมเข้าด้วยกัน กว้างถึงสี่ห้าเมตร ยาวสองเมตรกว่า ทำให้มองจากด้านนอกไม่เห็น
ดูจากป้ายที่แขวนไว้ข้างประตูที่นี่เป็นโรงงานซ่อมบำรุง ที่นี่ไม่ได้ติดถนนหลวง และไม่ได้อยู่ใกล้ถนนใหญ่ คนฉลาดดูก็รู้ว่าที่นี่ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ตอนที่ 222
ผูกขาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่ตอนนี้ประตูใหญ่ด้านหน้าปิดสนิท ภายนอกไม่ได้ยินเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา เยี่ยตงผิงไม่เคยมาที่นี่ จึงควักเอามือถือออกมาโทรศัพท์หาจี่หราน
สองสามนาทีผ่านไป ประตูใหญ่เปิดแง้ม มีคนโผล่หน้าออกมามองที่ทะเบียนรถของเยี่ยตงผิง แล้วเปิดประตูให้กว้างขึ้น
“บ้านนี้น่าสนใจดี”
เยี่ยเทียนนั่งมองจากในรถ โรงงานซ่อมบำรุงนี้ก่อกำแพงสูงลิ่ว จากภายนอกเห็นแต่กำแพงเท่านั้น ไม่เห็นภายในนั้นแม้แต่น้อย
แต่แค่ขับรถเข้าไป ข้างในนั้นกลับเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง
เบื้องหลังเงากำแพงทอดยาว เป็นลานจอดรถขนาดใหญ่ ด้านในมีรถถึงยี่สิบสามสิบคัน ทั้งรถเบนซ์และบีเอ็ม ยังมีรถหรูยี่ห้อที่เยี่ยเทียนไม่รู้จักอีกหลายคัน
ที่ด้านขวาของลานจอนดรถ มีอาคารสองชั้นเล็กๆตั้งอยู่ มองจากภายนอกเป็นเพียงผนังปูนฉาบสีขาวธรรมดา ไม่มีจุดเด่นอะไร
ตรงข้ามกับตึกสีขาวเป็นพื้นที่ว่าง ซึ่งใช้กระเบื้องเคลือบมุงเป็นศาลากว้างขวาง จากที่ไกลขนาดนี้มองไปในลานพักเห็นผู้คนเดินขวักไขว่กันอยู่มากมาย
เยี่ยตงผิงจอดรถเสร็จจี่หรานที่ยืนรออยู่แล้วได้ช่วยเปิดประตูรถให้ ทักทายอย่างอบอุ่นว่า “ลุงเยี่ย เยี่ยเทียน มากันแล้วเหรอ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ!”
ผู้ติดตามนั้นมองด้วยความงุนงง จี่หรานแม้จะไม่ใช่คนสูงส่ง แต่ความหยิ่งทรนงนั้นมีอยู่สูงมาก เขาไม่เคยเห็นจี่หรานวิ่งไปรับใครถึงที่จอดรถมาก่อน?
“ประธานจี่ ขอโทษด้วย ผมไม่รู้ทางเลยมาสายไปหน่อย…” ตอนแรกนัดไว้ตอนแปดโมงครึ่ง แต่เยี่ยตงผิงขับอ้อมไปกว่าจะถึงก็เก้าโมงตรง
จี่หรานโบกมือตอบอย่างเกรงใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตอนแรกผมยังอยากจะเอารถไปรับคุณอยู่เลย ลุงเยี่ย งานด้านในเริ่มขึ้นแล้ว ผมเข้าไปเป็นเพื่อน”
ตามกฎของที่นี่ นอกจากผู้ขายสินค้า ผู้ซื้อไม่สามารถขับรถมาได้ จี่หรานจึงจัดการนำรถไปรับคนจากรอบถิ่นชาววังเข้ามา
แต่ก็มีข้อยกเว้น คู่ค้าบางคนมีภูมิหลังลึกซึ้ง ไม่เหมาะจะทำตามกฎ ไม่เห็นรถหรูราคาแพงที่จอดเรียงรายอยู่ในลานจอดรถนั่น?
“ประธานจี่ ผมรู้กฎดี พวกเราเดินเข้าไปเองได้” เยี่ยตงผิงสั่นศีรษะไม่ยอมให้จี่หรานเข้าไปเป็นเพื่อน มาคุยธุรกิจในที่แบบนี้ ไม่ทำตัวเป็นจุดเด่นได้ยิ่งดี คนอื่นจะได้จดจำไม่ได้
จี่หรานยิ้ม กล่าวตอบว่า”ก็ได้ ลุงเยี่ย ผมไม่เข้าไปเป็นเพื่อนลุงแล้วกัน ลุงเข้าไปดูก่อน ชอบของชิ้นไหนก็คุยกับเจ้าของได้เลย ถ้าคุยกันไม่ได้ ตอนบ่ายยังมีงานประมูลต่อ…”
จี่หรานรู้ว่าคนใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้ เยี่ยตงผิงเป็นคนในวงการค้าวัตถุโบราณ ต่อไปถ้าสนิทกันแแล้ว ต้องมีวิธีเข้าหาเยี่ยเทียนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปลงทุนมากตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะดูจงใจเกินไป
รอให้เยี่ยเทียนพ่อลูกเข้าไปในงานแล้ว คนที่อยู่ข้างกายจี่หรานถามขึ้นมาว่า “พี่จี่ คนนั้น สองคนนั้นเป็นใคร?”
“อวิ๋นชิ่ง พวกเขาแซ่เยี่ย ต่อไปเจอเขาทั้งสองต้องทักทายต้อนรับอย่างดี อย่าทำให้พวกเขาโกรธเป็นอันขาด!”
จี่หรานถึงเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ นอกจากแต่จะมีงานใหญ่ เขาก็ไม่ค่อยมาที่นี่บ่อยนัก เรื่องของที่นี่ให้คนสนิทหลี่อวิ๋นชิ่งเป็นคนดูแล ดังนั้นจึงสั่งการไว้ก่อน เพราะเกรงว่าต่อไปจะไปหาเรื่องคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
“ครับ พี่จี่ ผมรู้แล้ว”
การจะได้รับความไว้วางใจจากจี่หราน แน่นอนว่าหลี่อวิ๋นชิ่งต้องพอมีความสามารถอยู่บ้าง ฟังคำสั่งของจี่หรานจบ ถึงในใจกำลังคาดเดาสถานะของเยี่ยเทียนพ่อลูก แต่ก็ได้เขียนชื่อของคนทั้งสองลงในสมุดรายชื่อลูกค้าชั้นสูง
“ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของคนขุดสุสานจริงๆ?”
ยังเดินไม่ถึงศาลาที่จัดงาน เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว แม้จะอยู่ห่างขนาดนี้ เขายังสัมผัสได้ถึงไอมรณะ พลังรังสีแบบนี้มีแต่ผู้ที่เข้าออกสุสานบ่อยเท่านั้นจึงจะมีไอมรณะในตัว
ไอมรณะนี้เป็นพลังพิฆาตชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วจะไม่เป็นอันตรายกับร่างกายมนุษย์ แต่ถ้าสะสมมากเกินไปเมื่อผู้นั้นชราวัย พลังพิฆาตนี้จะกำเริบขึ้นมา ทำให้ตายอย่างทรมาน
ดังนั้นพวกโจรขุดสุสานน้อยมากที่จะตายอย่างสงบสุข ซึ่งส่วนใหญ่จะได้เรียนรู้ถึงศาสตร์การวิเคราะห์พลัง และรู้ถึงวิธีการหลีกเลี่ยงพลังพิฆาตชนิดนี้
เมื่อผ่านเรื่องตี๋หว่างไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าประมาทกับคนพวกนี้ วิชาอาคมตั้งแต่สมัยโบราณถึงจะใกล้สาบสูญ แต่อาจหลงเหลือบางส่วนที่สืบทอดมาจนปัจจุบัน ไม่แน่ว่าในกลุ่มคนพวกนี้ ยังมีผู้เยี่ยมยุทธปะปนอยู่ด้วย
ปักกิ่งในเดือนเก้าอุณหภูมิระหว่างวันแตกต่างกันมาก ตอนนี้พระอาทิตย์ลอยสูง อากาศข้างนอกประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดองศา แต่พอเข้าไปในศาลาแล้วกลับเย็นสบาย
คนอื่นอาจจะคิดว่าเย็นเพราะหลังคากระเบื้องเคลือบที่ป้องกันความร้อนจากภายนอก แต่เยี่ยเทียนขมวดคิ้วยิ่งแน่น สะกิดเรียกเยี่ยตงผิงแล้วบอกว่า “พ่อ ดูของให้ดีก่อนแล้วบอกผม ของที่นี่ไม่ใช่ว่าอะไรก็จะซื้อได้หมดนะ!”
เพิ่งเดินเข้าไปในศาลา เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ว่าภายในนั้นไม่ค่อยสะอาด เพราะอบอวลไปด้วยพลังพิฆาต บางตำแหน่งมีพลังพิฆาตกระจุกรวมตัวกันอยู่ ซึ่งสามารถส่งผลต่อร่างกายมนุษย์
เยี่ยตงผิงพยักหน้ารับ มองไปรอบๆคราวหนึ่งตอบว่า “ฉันรู้ แกคอยตามฉันแล้วกัน!”
ปกติเยี่ยตงผิงชอบสั่งสอนลูกชายเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะ แต่เขารู้ดีกว่าใครถึงความสามารถของลูกชาย โดยเฉพาะตอนที่หลอกผีคราวก่อน เรื่องแบบนี้เยี่ยตงผิงต้องฟังลูกชายอยู่แล้ว
ในศาลาแบ่งเป็นสามแถวแต่ละแถวยาวประมาณยี่สิบกว่าเมตร มีวัตถุโบราณตั้งเรียงราย ตั้งแต่กระถางทองแดงจนถึงเครื่องเคลือบลายคราม ถ้าไม่ได้ดูสภาพแวดล้อมแล้ว คงรู้สึกเหมือนอยู่ในตลาดค้าของเก่าพานเจียหยวน
ในศาลานอกจากผู้ขายที่นั่งอยู่ด้านหลังสินค้าของตัวเอง มีผู้ซื้ออีกประมาณสามสี่สิบคน เยี่ยตงผิงเล่าตอนขามาว่า คนเหล่านี้เกือบจะผูกขาดการค้าวัตถุโบราณในถิ่นชาววังไปหมด
“เฮ้อ เหล่าเยี่ย มาได้ยังไง?” เยี่ยตงผิงดูไปรอบๆ อยู่ๆมีชายอายุไล่เลี่ยกันกับเขาเดินเข้ามาทักทาย
“อ้าว ประธานอวี๋ คุณก็มาด้วย?”
เยี่ยตงผิงพบผู้ที่เดินมาหา รีบกุลีกุจอทักทาย ถึงเขาจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่อยู่ในปักกิ่งยังไม่นาน ถือว่ายังเป็นคนใหม่ของวงการอยู่
“เหอะๆ ที่นี่จะขาดผมไปได้อย่างไร?”
ผู้มาเยือนหัวเราะ รีบถามต่อว่า”เหล่าเยี่ย มาได้เพราะเส้นสายใครเหรอ?ที่นี่น่ะไม่เข้ามาได้ง่ายๆหรอก ต่อไปธุรกิจค้าของโบราณในถิ่นชาววัง ต้องมีเธอเป็นส่วนร่วมคนหนึ่งแน่ๆ…”
“เหอะๆ ประธานอวี๋พูดเกินไป กระผมยังเป็นแค่น้องใหม่ในวงการ ต่อไปก็หวังว่าประธานอวี๋จะช่วยส่งเสริม…”
เยี่ยตงผิงทักทายกับผู้มาเยือนจนเสร็จแล้วในใจก็รู้สึกฮึกเหิม ตามที่เถ้าแก่อวี๋คู่คนนี้ว่าไว้ การเข้ามาที่นี่ได้ถึงจะเป็นการเข้าถึงศูนย์กลางของการซื้อขายวัตถุโบราณในย่านถิ่นชาววัง
การค้าขายตั้งแต่โบราณมา ต้องทำให้ได้ถึงสองอย่าง อย่างแรกคือเข้าถึงแหล่งที่มาสินค้า อย่างที่สองคือช่องทางการขายออกไป
แต่การค้าวัตถุโบราณ สำคัญที่แหล่งที่มา พวกคนตั้งร้านแบกะดินขายผลงานศิลปะยุคปัจจุบันกลับอยากซื้อวัตถุโบราณ แต่พวกเขาไม่มีลู่ทางหาของเข้าร้าน
ผู้ค้าวัตถุโบราณที่แท้จริงในถิ่นชาววัง ที่สามารถเข้าถึงคู่ค้ารายใหญ่ได้ จำเป็นต้องมีแหล่งนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่
เช่นว่า เมื่อเช้ามีลูกค้ากระเป๋าหนักคนหนึ่งบอกว่าอยากจะหาซื้อโถลายครามสมัยคังซีฮ่องเต้ ตอนบ่ายก็ต้องหามาให้ถึงมือแล้ว อย่างนี้ต่อไปใครต้องการอะไรก็ต้องมาหาเขา การค้าวัตถุโบราณในถิ่นชาววังจึงถูกคนกลุ่มนี้ผูกขาดไปโดยปริยาย
แต่หลายปีก่อนมีความนิยมการไปหารับซื้อวัตถุโบราณตามชนบท ซึ่งตอนนี้ตกยุคไปแล้ว
ประการแรกหลายปีที่ผ่านมา ถึงจะมีของดีอยู่ในมือ ก็ถูกกวาดซื้อไปเกือบหมด ประการที่สองชาวบ้านชนบทก็ได้เรียนรู้ว่า แม้จะนำถ้วยกาไก่ที่ใช้เลี้ยงหมูออกมาขาย ก็กล้าเรียกราคาถึงแปดหมื่นแสนหนึ่งได้เลย
เพราะเหตุนี้ผู้ค้าจึงมุ่งไปที่โจรปล้นสุสาน เพราะหนึ่งได้ของแท้ และสองคือราคาเป็นธรรม อีกอย่างถ้ามีปัญหาพวกเขาก็ไม่กล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ สองปีมานี้ที่จี่หรานทำธุรกิจ ก็นับว่าได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย
เถ้าแก่อวี๋ไม่สามารถล้วงความจริงจากปากเยี่ยตงผิงได้จึงรู้สึกไม่พอใจ ถามต่อว่า “เหล่าเยี่ย ใครแนะนำคุณเข้ามา?”
โบราณว่าในทางธุรกิจไม่มีคำว่าพ่อลูก เยี่ยตงผิงกับประธานอวี๋ถึงจะเป็นเพื่อนกัน ปกติพบเจอก็คุยกันไม่กี่ประโยค แต่การเข้าร่วมงานนี้ของเยี่ยตงผิง จะต้องชิงยอดขายไปอย่างแน่นอน ประธานอวี๋ถามก็เพื่อคาดคะเนเขาเฉยๆ
ถ้าคนที่แนะนำมาเป็นคนไม่สำคัญ เถ้าแก่อวี๋จะร่วมมือกับคนอื่นเพื่อบีบให้เยี่ยตงผิงออกจากวงจรนี้ไป ยังไงธุรกิจนี้ก็ทำยากอยู่แล้ว คู่แข่งยิ่งน้อยยิ่งดี
“เหอะๆ ผมกับประธานจี่สนิทกัน ครั้งนี้มาเพราะเขาเป็นคนเชิญ!” เยี่ยตงผิงมีหรือจะไม่รู้ความหมายของฝ่ายตรงข้าม จึงพูดชื่อจี่หรานออกมาตรงๆ ฝ่ายนั้นจะได้ไม่ต้องมาข่มใส่เขาอีก
ฟังคำของเยี่ยตงผิงแล้ว ประธานอวี๋หน้าเปลี่ยนทันที ฝืนยิ้มตอบว่า “อ๋อ ประธานจี่นี่เอง..เหล่าเยี่ย ช่องทางของคุณกว้างดีนี่ ใช่ละ เมื่อกี้ผมดูของอยู่ทางโน้น งั้นขอตัวก่อน…”
อวี๋คู่อยากจะไปตามหาเพื่อนสนิทคนอื่น เพื่อสืบข่าวเรื่องนี้ ถ้าจี่หรานเป็นคนแนะนำเยี่ยตงผิงมาจริง พวกเขาคงได้แต่ยอมรับ เพราะอย่างน้อยพวกเขาต้องพึ่งประธานจี่ทำมาหากิน
“ธุรกิจแค่นี้ คุ้มเหรอที่ต้องมาต่อสู้แย่งชิงกัน?”
รอจนเถ้าแก่อวี๋จากไป เยี่ยเทียนบ่นพึมพำอยู่ข้างๆพ่อ ตั้งแต่เด็กจนโตเขาก็ชอบการค้าวัตถุโบราณ เพราะว่ามันมีที่มา
คนอย่างเยี่ยเทียน ปกติแล้วมักจะอยู่กับพลังพิฆาตหยินหยาง วัตถุโบราณพวกนี้ถูกตกทอดหลายยุค จนในตัววัตถุมีพลังพิฆาตไหลเวียนอยู่ แน่นอนว่าไม่ต้องรอจนเยี่ยเทียนมาพบเข้าหรอก
ตอนที่ 223
กฎเกณฑ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แกจะไปเข้าใจอะไร หลายปีมานี้ของโบราณในประเทศจีนได้รับความนิยมมากในตลาดศิลปะของต่างประเทศ ไม่ช้าก็เร็วภายในประเทศก็จะถูกกระตุ้นอยู่แล้ว คิดจะทำธุรกิจใหญ่เรอะ? ฉันว่าแกน่ะแค่ปากดีมากกว่า!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะพูดเสียงดังไม่มาก แต่เยี่ยตงผิงก็ได้ยิน พลันถลึงตามองเขาทันที เมื่อปีก่อนได้มีการคำนวณยอดการซื้อขายของบริษัทประมูลแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้มียอดถึง 7.8 ล้าน แบบนี้ก็ถือว่าเป็นธุรกิจใหญ่แล้ว
“โอเค พ่อพูดถูก พ่อครับ รีบไปดูของเถอะ ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวของดีจะถูกคนอื่นเลือกไป!” เยี่ยเทียนยิ้มโดยไม่เถียง เพราะในใจของเขา เรื่องฮวงจุ้ยยังทำเงินได้มากกว่าการค้าขายของโบราณเสียอีก
“ก็จริง ฉันจะมาเถียงกับแกทำไม อ้อใช่ อีกเดี๋ยวอย่าพูดอะไรมั่วซั่วนะ จะได้ไม่ผิดใจกับใครเขา”
เยี่ยตงผิงพยักหน้า พูดกับเยี่ยเทียนสองสามประโยค การซื้อขายของโบราณในสถานที่แบบนี้ หนึ่งห้ามถามถึงที่มา สองห้ามทำตัวสนิทสนมเพื่อล้วงข้อมูล ชอบชองชิ้นไหนก็คุยเรื่องราคาได้เลย ทางที่ดีไม่ต้องพูดอะไรมากถึงจะดีที่สุด
“ครับ ผมรู้แล้ว พ่อ พวกเราแยกกันดูนะ” เยี่ยเทียนโบกมืออย่างรำคาญ แล้วจึงขอแยกกับพ่อไปเลย เพื่อไม่อยากฟังเขาพร่ำบ่น
“ไอ้ลูกคนนี้!” เยี่ยตงผิงไม่รู้จะทำอย่างไรกับลูกชายดี แต่เขารู้ว่าเยี่ยเทียนรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี จึงไม่กังวลว่าลูกชายจะก่อเรื่องอะไร
“แม้ว่าธุรกิจค้าขายของโบราณจะเริ่มดีขึ้น เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะคนที่นี่ทำให้เกิดกระแส” เยี่ยเทียนมองดูคนที่นั่งยองๆ มองดูของที่อยู่บนพื้น ในใจก็เข้าใจทันที
แต่นี่ก็เป็นการแสดงว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราเริ่มดีขึ้น ถึงได้คิดอยากสะสมของโบราณ หากเป็นเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ยังไม่มีข้าวจะกิน คุณส่งให้คนฟรีๆ เกรงว่าคนอื่นยังจะไม่ชอบของพวกนี้เพราะมันกินพื้นที่
เยี่ยเทียนพลางส่ายหน้า เพื่อสะบัดความคิดแปลกประหลาดออกไปจากหัว เขาเดินเล่นอยู่ในนี้ไปเรื่อยๆ พูดตามจริงวันนี้เขามาเป็นเพื่อนพ่อเท่านั้น ไม่ได้คิดจะหาของดีอะไรจากที่นี่หรอก
และแล้วพอเดินดูไปได้เจ็ดแปดร้าน เยี่ยเทียนก็ไม่เจอของดีอะไรเลย แน่นอนว่าก็เป็นแค่การพูดไปเท่านั้น เพราะของเหล่านี้ในสายตาของคนอื่น อาจจะเป็นของล้ำค่าที่มีค่าสูงมาก
คนที่ทำธุรกิจที่นี่ จัดวางของไม่เหมือนกับที่พานเจียหยวน โยนของไว้บนพื้น แล้วคุณก็ดูเอาเองว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ พวกเขาจะไม่เป็นฝ่ายเรียกลูกค้าก่อน ถึงอย่างไรก็เป็นของเก่าคร่ำครึ หากคุณไม่ซื้อเดี๋ยวก็มีคนอื่นมาซื้อเอง
ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังดูโคมไฟหงส์แดง ความสูงประมาณยี่สิบเซนติเมตร หงส์แดงยืดอกเชิดหน้ายกหางขึ้น ขาเหยียบผ่านหลังมังกรที่ไม่มีทางขึ้นสู่สวรรค์ที่ขดตัวบิดเกลียวไปมา ปากคาบถาดไฟ กางปีกเหมือนกำลังจะบิน ถาดไฟนั้นมีลักษณะเป็นวงแหวนแล้วมีร่องเว้าตรงกลาง ภายในแบ่งเป็นสามช่อง แต่ละอันจะเป็นเชิงเทียน
เยี่ยเทียนสังเกตว่าของชิ้นนี้ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของโคมไฟสำริดสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่ขุดพบจากในสุสานเหมือนที่เขาเข้าใจ และเพราะพลังพิฆาตรุนแรงที่แฝงอยู่ในโคมไฟสัมฤทธิ์ น่าจะอยู่ในสถานที่ที่มีกระแสพลังพิฆาตไหลเวียนและถูกสะสมมาเป็นเวลานาน
สำหรับคนที่รู้เรื่องฮวงจุ้ย จึงไม่มีใครที่จะไม่รู้เรื่องการฝังศพในโบราณ เพราะว่าในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นพวกกษัตริย์และขุนนางหรือครอบครัวที่ร่ำรวยก็ตาม ก่อนที่ฝังศพนั้น ต่างก็ต้องหามาคนดูชัยภูมิของฮวงจุ้ยอยู่แล้ว
และสุสานของจักรพรรดิ จะต้องหาอาจารย์ฮวงจุ้ยมาดูชัยภูมิก่อนที่จะเริ่มสร้างสุสาน แม้กระทั่งของที่จะนำไปฝังศพรวมทั้งตำแหน่งการวางโลงศพ ก็ต้องฟังคำแนะนำของอาจารย์ฮวงจุ้ยทั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนมองไปที่ของชิ้นนี้ ก็รู้ว่ามันน่าจะวางไว้บนผนังของประตุสุสานที่อยู่รอบนอก ที่นั้นเป็นสถานที่ของ พลังชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นพลังหยิน จึงได้รับพลังพิฆาตเกาะกินได้ง่ายที่สุด
แต่เยี่ยเทียนแบ่งของสิ่งนี้ตามยุคสมัยไม่ถูก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างหลังแผงขาย “พี่ชาย ของชิ้นนี้มีอายุประมาณกี่ปีแล้วครับ”
ของที่วางอยู่บนแผงขายนั้นมีไม่มากเท่าไร นอกจากโคมไฟสำริดนี้แล้ว ยังมีกระจกสำริดสี่ห้าอันที่ถูกสนิมเกาะเกรอะกรังไม่เป็นรูปแล้ว หรือบางทีอาจจะมีสาเหตุจากของคุณภาพค่อนข้างแย่และค่อนข้างน้อย จึงมีแต่เยี่ยเทียนคนเดียวที่หยุดอยู่ตรงนี้
“ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก!” คนที่วางของขายนี้มีอายุมากกว่าเยี่ยเทียนสองสามปี แต่กลับสุขุมมาก หลังจากพูดคำว่าราชวงศ์ฮั่นตะวันตกอออกมาจากปากแล้ว ก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก
“พี่ชาย ของชิ้นนี้พี่ขายราคาเท่าไรครับ?”
พอเยี่ยเทียนถามออกไป พ่อหนุ่มคนนั้นจึงเงยหน้ามองเขาหนึ่งที จากนั้นจึงใช้มือรวบรวมกระจกสำริดทั้งหมดมารวมกัน แล้วพูดว่า “ชิ้นเดียวไม่ขาย ต้องเหมา!”
“พูดเยอะกว่านี้หน่อยมันจะตายหรือไง?” เยี่ยเทียนคิดในใจ
เยียเทียนหัวเราะกับคำพูดและวิธีการพูดที่ออกมาจากปากของชายคนนี้ เพียงแต่เขาอยากซื้อของชิ้นนี้จริงๆ จึงใช้มือดีดกระจกสำริดที่อยู่ข้างล่างนิดหน่อย แล้วเยี่ยเทียนก็พูดว่า “เหมาก็ได้ เสนอราคามาเลย!”
“มา มาจับมือกัน!”
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจก็คือ ชายหนุ่มคนนั้นยื่นมือขวามาที่ตัวเอง เยี่ยเทียนนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าที่มีอายุมากกว่าตัวเองไม่กี่ปี จะใช้วิธีแบบนี้?
ควรทราบว่า วิธีการจับมือต่อรองราคานั้น เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไปในตอนที่มีการซื้อขายม้าวัวแกะของเขตทางด้านทิศเหนือของกำแพงเมืองจีนในปัจจุบันมานานแล้ว การสวมใส่เสื้อผ้าของคนในเขตด้านทิศเหนือของกำแพงเมืองจีนจะค่อนข้างหลวมใหญ่ ตอนที่ทำการซื้อขายจะเอามือไว้ในแขนเสื้อ โดยอาศัยสัญลักษณ์ของมือในการเจรจา
แต่เมื่อถึงยุคปัจจุบัน วิธีการเจรจาต่อรองแบบนี้ จะมีอยู่ในวงการของพวกเล่นของโบราณเท่านั้น ควรทราบว่า เวลาทำการซื้อขายของโบราณ สิ่งที่เป็นข้อห้ามเลยก็คือห้ามมีบุคคลที่สามมาดูอยู่ข้างๆ
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงซื้อขายในราคาห้าร้อยหยวน ถ้าหากมีคนข้างๆ พูดว่า “ของชิ้นนี้ไม่ถูกนะ” หรือ “มากสุดก็แค่หนึ่งร้อยหยวน” ผู้ซื้อไม่อยากซื้อแล้ว ส่วนผู้ขายก็จะโมโห
ถ้าหากคนนั้นพูดว่า “น้องชาย นายนี่ดวงดีจริงๆ จับพลาด ของชิ้นนี้สามารถขายได้หนึ่งหมื่นหยวน” แน่นอนว่าผู้ขายก็จะไม่ขายทันที แล้วผู้ซื้อก็จะโมโห
ดังนั้นในวงการซื้อขายของโบราณจึงมีกฎเกณฑ์ข้อหนึ่ง คือของที่อยู่ในมือของคนอื่นแล้ว คนข้างๆ ห้ามต่อรองราคาเด็ดขาด และพวกคนแก่ ก็ชอบใช้สัญลักษณ์ของมือในการต่อรองราคากันมาก เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นก่อความวุ่นวาย
แต่วิธีแบบนี้ ก็ทำให้คนที่อยู่ข้างๆ ไม่สามารถรู้ได้ว่าของชิ้นนี้ซื้อขายกันในราคาเท่าไร จึงเป็นผลดีต่อการซื้อขายในวันข้างหน้า
ตอนที่เยี่ยเทียนท่องยุทธภพกับนักพรตเฒ่านั้น เขาได้เรียนรู้วิธีการต่อรองราคาในลักษณะนี้ ถึงในใจจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังยื่นมือขวาออกไป
สองมือจับกัน คนนั้นกระดกนิ้วชี้ขึ้นมา เคาะไปที่มือของเยี่ยเทียน จากนั้นก็เงยหน้ามองเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย ยกนิ้วกลางของมือขวาขึ้นมา เคาะไปที่อีกฝ่ายสามที จากนั้นก็ใช้นิ้วโป้งแตะไปที่นิ้วโป้งของอีกฝ่าย ปิดปากไม่พูดเหมือนกัน พลางจ้องเขม็งไปที่คนนั้น
การใช้สัญลักษณ์มือในการต่อรองราคา ทุกนิ้วล้วนมีความหมาย นิ้วโป้งเท่ากับหนึ่งล้าน นิ้วชี้เท่ากับหนึ่งแสน นิ้วกลางเท่ากับหนึ่งหมื่น นิ้วนางเท่ากับหนึ่งพัน นิ้วก้อยเท่ากับหนึ่งร้อย
แน่นอนว่า ราคาที่แสดงของนิ้วกลางที่เป็นสัญลักษณ์มือของแต่ละพื้นที่นั้นไม่เหมือนกัน แต่ในวงการซื้อขายของโบราณ การใช้วิธีแบบนี้ในการซื้อขายสิ่งของค่อนข้างมีค่าสูง ดังนั้นหน่วยของราคาที่น้อยที่สุดโดยทั่วไปก็มีถึงหลักร้อย
เมื่อครู่คนนั้นที่กระดกนิ้วขวาขึ้น แล้วแตะไปที่มือของเยี่ยเทียน ก็คือราคาหนึ่งแสน แต่เยี่ยเทียนกลับใช้นิ้วกลางเคาะติดต่อกันสามที เพื่อต่อรองราคาเหลือสามหมื่น จากนั้นจึงใช้นิ้วโป้งแตะไปที่อีกฝ่าย หมายความว่านี่คือราคาสุดท้ายแล้ว จะไม่ต่อรองราคาอีกแล้ว
หลังจากการกระทำของเยี่ยเทียน คนคนนั้นก็ตะลึงไปพักหนึ่ง และมองไปที่เยียเทียนอย่างไม่พอใจ พลางพูด ”ราคานี้ต่ำเกินไปหรือเปล่า? นี่โคมไฟหงส์แดงคุณภาพและลักษณะดีมากนะ!”
เยี่ยเทียส่ายหน้าแล้วพูด “เครื่องทองสำริดขายไม่ค่อยดี ถ้าหากไม่อยู่ ต่างประเทศ เกรงว่าราคานี้ก็คงขายไม่ออก ผมให้ราคาที่ถือว่าสูงมากแล้ว!”
เยี่ยตงผิงทำธุรกิจซื้อขายของโบราณมาหลายปี ส่วนเยียเทียนก็ถือว่าไม่คุ้นเคยกับอาชีพนี้ เครื่องทองสำริดถือเป็นสิ่งของที่ห้ามซื้อขายประเทศ ถ้าจับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจับได้ก็ต้องถูกตัดสินลงโทษ ดังนั้นนักสะสมของพวกนี้ภายในประเทศจึงมีไม่มาก
เมื่อคนสะสมน้อย ราคาจึงสูงขึ้นไม่ได้ แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ราคาที่เขาเสนอไปนั้นเป็นราคาเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนี้ราคาเครื่องทองสำริดกลับสูงขึ้นกว่าเมื่อสองปีที่แล้ว ดังนั้นพี่ชายคนนั้นจึงเผยสีหน้าที่เดือดดาลออกมา
“เพิ่มอีกหน่อยได้ไหม?” คนคนนั้นพูดอย่างไม่ยอมแพ้
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ไม่พูดอะไร ควรทราบว่า ของชิ้นนี้ไม่ใช่ของขลังที่เยี่ยเทียนตามหา แต่เป็นอาวุธที่ใช้ทำร้ายที่มีพลังพิฆาตรุนแรงชิ้นหนึ่งเท่านั้น
อาวุธที่ใช้ทำร้ายนั้นบางครั้งก็สามารถทำให้พลังพิฆาตปะทะกัน ส่งผลกระทบที่คาดไม่ถึงต่อเขตฮวงจุ้ย แต่เยี่ยเทียนแค่อยากซื้อเอาไว้เป็นตัวสำรองเท่านั้น สำหรับสิ่งของที่ต้องการหรือไม่ต้องการนั้น อย่างไรก็กัดฟันสู้ราคาแค่นั้น
ตลาดทองสำริดกิจการไม่ค่อยดีก็จริงอยู่ รอมาครึ่งค่อนวันก็มีแต่เยียเทียนที่มาถามราคา หลังชายหนุ่มคนนั้นลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงพยักหน้าพลางพูด “โอเค งั้นก็ตกลงราคานี้!“
“ตกลง คุณรอผมแป๊บหนึ่ง ผมจะไปเอาเงิน” สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว การใช้เงินสามหมื่นหยวนซื้อของชิ้นนี้ ถือว่าไม่ขาดทุน บางครั้งอาวุธที่ใช้ทำร้ายในเขตของฮวงจุ้ยก็อาจจะมีผล กระทั่งยังแรงมากกว่าของขลังเสียอีก
เยี่ยเทียนก็ไม่กลัวว่าเขาจะมีลับลมคมในสับเปลี่ยนของ เพราะพลังพิฆาตนั่นก็เหมือนกับหลอดไฟขนาดใหญ่ในตอนกลางคืน ที่กระพริบแสงอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนตลอดเวลา ถ้าเปลี่ยนเป็นของอย่างอื่นเยี่ยเทียนก็จะรู้สึกได้ทันที
เยี่ยตงผิงที่กำลังต่อรองราคากับใครบางคนที่แผงขายอันหนึ่ง ถูกเยี่ยเทียนดึงออกมา เพราะเงินล้วนอยู่ในกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในมือของเยี่ยตง
ตอนที่กลับมาที่แผงขายนั้น ชายหนุ่มนั้นก็เอาของทั้งหมดใส่เข้าไปในกระสอบแล้ว เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามา ชายหนุ่มจึงเอ่ยพูดว่า “ไปกันเถอะ ไปทำการซื้อขายกันตรงห้องนั้น นายเข้าใจกฎเกณฑ์อยู่ใช่ไหม?”
“กฎเกณฑ์อะไรครับ?”
พอเยี่ยเทียนได้ยินก็ตกตะลึง เพราะตกลงราคาให้เงินแล้วก็รับของ แล้วยังจะมีกฎเกณฑ์อะไรอีก? ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง แต่ก็มีบางครั้งที่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจเหมือนกัน
“นายไม่รู้เหรอ?” เมื่อครู่ตอนที่เห็นเยี่ยเทียนเจรจาเรื่องราคาอย่างช่ำชอง พอมาตอนนี้กลับไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของการซื้อขาย ชายหนุ่มคนนั้นจึงอดเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เข้าใจ น้องชาย ไปกัน พวกเราไปกันเถอะ!”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าลูกชายซื้อของอะไร แต่เมื่อเห็นเยี่ยเทียนถามคำพูดของคนนอกวงการ เยี่ยตงผิงจึงรีบกู้สถานการณ์ แล้วอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังเบาๆ
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ก็จริงนะ ไอ้หนุ่มนั้นไม่ทำความดีฟรีๆ หรอก…” หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อแล้ว เยี่ยเทียนก็เข้าใจทันที
จี่หรานเป็นคนรับผิดชอบความปลอดภัยและสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด เมื่อเสนอให้ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ทุกครั้งหลังจากที่ตกลงการซื้อขายเสร็จจี่หรานก็จะเก็บค่านายหน้าสิบเปอร์เซ็นต์ และค่านายหน้านี้ผู้ซื้อต้องเป็นคนจ่าย
ตอนที่ 224
เพื่อนร่วมวงการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่ทุกคนเดินไปถึงตึกเล็กๆที่เรียงรายกันเป็นแถวนั้น เยี่ยตงผิงดึงแขนเสื้อของบุตรชายเบาๆ กระซิบถามว่า “เยี่ยเทียน แกจะซื้ออะไรเหรอ?”
สถานการณ์ทางการเงินของเยี่ยตงผิงตอนนี้ไม่ค่อยคล่องนัก เพื่อการเจรจาในตลาดค้าของเก่าใต้ดินครั้งนี้ เมื่อวานเขาได้เที่ยวหยิบยืมชาวบ้านไปทั่วจนได้เงินมาห้าแสนกว่า
วัตถุโบราณที่เยี่ยตงผิงเห็นแล้วถูกใจเมื่อครู่ แต่อดใจไว้ไม่ซื้อ เยี่ยเทียนกลับจะใช้เงินไปคราวเดียวสามหมื่นกว่าหยวน ทำให้เยี่ยตงผิงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้
แน่นอนว่าเยี่ยตงผิงเชื่อมั่นในสายตาอันเฉียบคมของบุตรชายอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงขั้นยังไม่ทันดูของเลย ก็เรียกคนมาตกลงราคากันแล้ว
“เป็นเชิงเทียนสำริดสมัยราชวงศ์ฮั่น เดี๋ยวพ่อเห็นก็รู้แล้ว…” เยี่ยเทียนไม่ได้อธิบายต่อ เพราะมีชายหนุ่มคนนั้นเดินนำพวกเขาให้เข้าไปในห้องๆหนึ่งในตัวตึกนั้น
สภาพในห้องช่างแตกต่างจากความทรุดโทรมของตัวตึกภายนอก แม้ห้องจะไม่ใหญ่มาก แต่ตกแต่งอย่างหรูหรา
โคมไฟที่ติดอยู่บนเพดานถูกเปิดติดอีกครั้งหลังจากหลับใหลมานาน ทำให้ทั้งห้องสว่างจ้า เบื้องหน้าโซฟาหนังแท้สีดำมีโต๊ะน้ำชาไม้สักวางอยู่ อีกมุมหนึ่งมีตู้เย็นที่วางเรียงรายด้วยเครื่องดื่มชนิดต่างๆ
“ทุกท่าน อยากจะตกลงราคาซื้อของ?”
เมื่อชายหนุ่มเคาะประตูเข้าไปในห้อง หญิงสาวอายุราวยี่สิบกว่ารีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ ถามต่อว่า “ทุกท่าน อยากจะดื่มอะไรกันบ้างคะ?”
“อะไรก็ได้ครับ…”
“น้ำแร่สองขวด!”
เยี่ยเทียนตอบกลับชายหนุ่มพอเป็นพิธี หญิงสาวเดินไปที่ตู้เย็นหยิบเอาเครื่องดื่มออกมาสามขวด วางลงบนโต๊ะตรงหน้าเยี่ยเทียน
“ทั้งสองท่าน อยากจะดูของอีกครั้งไหมครับ?” เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว คนๆนั้นดูจะพูดมากขึ้นกว่าทุกที เมื่อเห็นเยี่ยตงผิงพยักหน้าแล้ว ก็รีบหยิบเอาสิ่งของหลายชิ้นออกมาจากถุงผ้าป่าน
“เชิงเทียนจูเชวี่ยสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก?”
เชิงเทียนจูเชวี่ยเมื่อถูกหยิบขึ้นมาตั้ง สูงเพียงยี่สิบเซนติเมตร เยี่ยตงผิงมองดูด้วยตาเป็นประกาย ในมุมมองของนักสะสมวัตถุโบราณ เขาชำนาญกว่าบุตรชายหลายเท่า
เพราะยุคโบราณเครื่องสำริดมีน้อย จะพบได้แต่ในสุสานของขุนนางหรือนักรบตระกูลใหญ่ และไม่ค่อยมีใครใช้เชิงเทียนสำริดเป็นเครื่องสังเวยในสุสาน เยี่ยตงผิงจึงสรุปได้ว่า ของสิ่งนี้ต้องมาจากสุสานของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
การประมูลเครื่องสำริดในตลาดค้าวัตถุโบราณไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่เยี่ยตงผิงบังเอิญรู้จักกับลูกค้าเก่าแก่ที่มาจากมณฑลเจ้อเจียง และชอบสะสมวัตถุโบราณประเภทนี้ เชิงเทียนอันนี้สามารถนำไปขายต่อได้ราคาสูงถึงสองแสนหยวน
เเยี่ยตงผิงพออกพอใจกับสินค้าชิ้นนี้มาก ถึงแม้ว่าบุตรชายจะเป็นผู้ตกลงราคาให้ แม้แต่กระจกสำริดที่วางอยู่อันถัดไปยังไม่ทันหยิบขึ้นมา ก็รีบตกลงว่า “ของชิ้นนี้ผมซื้อเลย คุณครับ นี่เงินสามหมื่นหยวน คุณรับไปได้เลย!”
เยี่ยตงผิงหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋าสามปึกโดยที่ยังไม่ได้แกะสายรัดเงินออก แล้วนับออกมาสามสิบใบ พูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “ค่าธรรมเนียมอีกร้อยละสิบใช่ไหม? คุณผู้หญิง คุณช่วยนับอีกที!”
หญิงสาวไม่ได้รับเงินจากเยี่ยตงผิง แต่ถามกลับว่า “คุณผู้ชายท่านนี้ รหัสสมาชิกของคุณคืออะไรคะ? ร้านของเรามีการแบ่งระดับลูกค้าออกเป็นสามระดับ เพื่อจะได้ลดราคาตามความเหมาะสม….”
การค้าขายแบบนี้ยิ่งให้ข้อมูลส่วนตัวไว้น้อยเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัย หลายๆคนไม่อยากให้พนักงานธรรมดารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของตน
จึงได้มีการตั้งรหัสสมาชิกขึ้นมา ลูกค้าทุกคนจะมีรหัสเป็นของตัวเอง เมื่อทำการซื้อขายจะต้องบอกรหัส เพื่อรับส่วนลดตามขั้นของลูกค้า
“รหัสสมาชิก?”
เยี่ยตงผิงอึ้งไป ยิ้มแหยๆแล้วตอบว่า “คุณผู้หญิง ผมยังไม่มีรหัสสมาชิกเลย ช่างเถอะ คุณคิดค่าธรรมเนียมตามจริงได้เลย”
เยี่ยตงผิงยังพูดไม่ทันจบ ประตูห้องถูกผลักเปิดออก จี่หรานแสดงท่าทางขอโทษขอโพยเดินเข้ามา เอ่ยว่า “ลุงเยี่ย ขอโทษด้วยจริงๆครับ เพิ่งได้ยินลูกน้องบอกว่าคุณลุงมาซื้อขายของที่นี่ นี่เป็นบัตรสมาชิกที่ผมทำให้ ต่อไปถ้ามาที่นี่ ลุงจะได้รับสิทธิ์ลดราคาสินค้าห้าสิบเปอร์เซ็นต์…”
แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่ตกลงราคา แต่จี่หรานเฝ้าติดตามดูเยี่ยเทียนพ่อลูกมาตลอด เมื่อครู่เห็นพวกเยี่ยตงผิงเดินเข้ามาในห้องแล้ว ถึงนึกได้ว่าเขายังไม่ได้ทำบัตรสมาชิกให้เยี่ยตงผิงเลย จึงรีบหยิบบัตรใบหนึ่งมามอบให้
เยี่ยตงผิงเข้าใจดีว่าบัตรใบนี้เจ้าของร้านมอบให้เพราะเห็นแก่หน้าบุตรชาย ไม่ได้เกี่ยวของอะไรกับตัวเองเลย จึงยิ้มตอบว่า “ประธานจี่ ขอบคุณมาก”
“คุณผู้ชายท่านนี้ ราคาที่ลดไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์เหลือหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน แล้วนี้ค่าธรรมเนียมอีกพันห้าร้อยหยวน โปรดรับไว้ด้วย!” พนักงานสาวรับเงินที่ถูกวางลงบนโต๊ะขึ้นมานับจนครบหนึ่งพันแปดร้อย ส่งส่วนที่เหลือยื่นกลับไปให้เยี่ยตงผิง พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มกว้างและมองดูเยี่ยตงผิงเพื่อประเมินด้วยสายตา“
เธอทำงานที่นี่มาปีกว่าแล้ว ได้พบปะกับลูกค้าระดับวีไอพีมาไม่น้อยซึ่งได้ส่วนลดเพียงสี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ชายวัยกลางคนตรงหน้าที่หน้าตาการแต่งตัวดูสุดแสนจะธรรมดานี้กลับได้รับส่วนลดถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งเถ้าแก่ยังเป็นคนถือบัตรสมาชิกมาให้ด้วยตัวเอง ทำให้เธอคาดเดาในสถานะของเยี่ยตงผิง
“เอาเถอะ สามหมื่นไม่ผิด ทุกท่าน ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน ประธานจี่ ถ้าถึงเวลาแล้วเรียกผมด้วย” ชายหนุ่มคนนั้นเห็นว่าการซื้อขายเสร็จสิ้นลงแล้วจึงยืนขึ้น โดยที่ยังไม่ได้แตะต้องเครื่องดื่มเลยแม้แต่น้อย
การทำการค้าวัตถุโบราณแบบนี้ ในระหว่างทำการตกลงราคา ห้ามใครคนใดคนหนึ่งออกจากสถานที่ก่อน ต้องรอให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนจบสิ้นลงจึงจะออกไปได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครไปแจ้งตำรวจ
อีกทั้งในสถานที่แบบนี้มักจะติดตั้งเครื่องที่รบกวนคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ นอกจากจี่หรานและพนักงานของเขา คนอื่นเมื่อเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้วโทรศัพท์มือถือส่วนตัวจะใช้การไม่ได้
แต่จี่หรานคิดรอบคอบกว่านั้น ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราภายในตึกเล็กๆนี้ เตรียมไว้สำหรับผู้ที่มาติดต่อซื้อขายโดยเฉพาะ ห้องทุกห้องบนชั้นสองได้ติดตั้งทีวี และวิดีโอเอาไว้ให้ดู ก่อนที่จะตกลงการค้ากันสำเร็จการอยู่ที่นี่จะได้ไม่น่าเบื่อ
ตอนที่ชายหนุ่มจะเดินออกจากห้องไป จู่ๆเยี่ยเทียนก็โพล่งออกมาว่า “พี่ชายท่านนี้ ผมขอถามชื่อของคุณได้ไหมครับ?”
คำถามของเยี่ยเทียนทำเอาคนที่นั่งอยู่ในห้องต่างตกตะลึง จี่หรานลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมาว่า “คุณเยี่ย นี่…นี่ไม่ค่อยถูกกฎเท่าไหร่นะ!”
ผู้ขายเหล่านี้มักจะทำแต่เรื่องที่ผิดกฎหมายจึงไม่ควรเปิดเผยชื่อจริง แม้แต่จี่หรานเองยังไม่กล้าไปสืบหาชื่อจริงของพวกเขา หากว่าพวกเขาต้องการจะบอกชื่อของตัวเองออกมาแล้วส่วนใหญ่มักจะเป็นชื่อปลอม
“เหอะๆ ไม่เป็นไร ผมแค่ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่บอกก็ไม่เป็นไร” เยี่ยเทียนหัวเราะพลางจ้องมองคนหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าลง หันมาสบตากับเยี่ยเทียน แล้วเดินเข้ามาข้างโต๊ะน้ำชาที่เยี่ยเทียนนั่งอยู่ บิดเปิดขวดเครื่องดื่มออกแล้วใช้นิ้วจิ้มน้ำดื่ม เขียนตัวอักษรสามตัวบนโต๊ะ จากนั้นใช้ฝ่ามือลูบผ่านอีกครั้ง บนโต๊ะน้ำชาเหลือแต่รอยเปื้อนน้ำ
เมื่อเห็นตัวอักษรบนโต๊ะแล้ว เยี่ยเทียนยิ้มตอบ “ขอบคุณมาก ผมชื่อเยี่ยเทียน!”
“ไว้พบกันใหม่!” คนๆนั้นพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ หันหลังเดินออกจากห้องไป
แม้การกระทำของเยี่ยเทียนจะเป็นการฝ่าฝืนกฎ แต่ผู้เป็นเจ้าภาพทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบได้ คนอื่นๆก็ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง จี่หรานยิ้มแห้ง พูดว่า “ลุงเยี่ยครับ ของชิ้นนี้ต้องเอาไว้ที่นี่ก่อน ปลอดภัยดีแน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล….”
“ได้ งั้นก็ขอบคุณประธานจี่มาก พวกเราจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย!”
เยี่ยตงผิงยิ้มแย้ม ลากบุตรชายออกมาจากห้อง ตำหนิว่า “เยี่ยเทียน ที่แบบนี้เขาไม่ให้ถามข้อมูลส่วนตัวของคนอื่น!”
“พ่อ ผมรู้น่า ไม่เป็นไรหรอก” เยี่ยเทียนส่ายหัว ตอบปัดไป แต่ในหัวกลับนึกถึงชายคนนั้นที่ชื่อ “โจวเซี่ยวเทียน”
ที่ถามชื่อของเจ้าหนุ่มนั่น เพราะตอนที่การซื้อขายเสร็จสิ้นนั้น เยี่ยเทียนค้นพบโดยบังเอิญว่า ในร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนไม่มีกลิ่นไอของพลังงานพิฆาตจากศพคนตายเลยแม้แต่น้อย
ทำให้เยี่ยเทียนยิ่งประหลาดใจ จึงลองใช้กำลังภายในตรวจสอบพลังลมปราณรอบตัว แล้วพบว่าแท้จริงแล้วชายหนุ่มคนนั้นมีของวิเศษพกติดตัวไว้ และของวิเศษชิ้นนั้นก็คือจานเข็มทิศนั่นเอง
โดยทั่วไปการสืบทอดวิชาดูฮวงจุ้ย จะได้ครอบครองของวิเศษไว้หนึ่งอย่าง ของวิเศษที่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นจานเข็มทิศ เพราะจานเข็มทิศถูกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาช้านาน ผ่านการบ่มเพาะพลังงานจากคนแต่ละรุ่น จนกลายเป็นของวิเศษ
อย่างจานเข็มทิศที่เยี่ยเทียนได้รับตกทอดมาจากนักพรตเฒ่า ก็เป็นของวิเศษในศาสตร์ฮวงจุ้ยเช่นกัน เยี่ยเทียนยังพก “เหรียญต้าฉีทงเป่า” เอาไว้ด้วยจึงไม่ค่อยได้ใช้จานเข็มทิศสักเท่าไหร่
แต่การค้นพบของเยี่ยเทียนบอกได้ว่า พลังงานบนร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนแม้จะไม่สั่นไหว เขาจะต้องเป็นทายาทผู้สืบทอดวิชาของสำนักฮวงจุ้ยแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้เรียนรู้ถึงวิชาที่ถูกที่ควรเท่านั้น
เขาเป็นคนในวงการฮวงจุ้ยที่เยี่ยเทียนได้พบเป็นคนที่สอง จึงอยากรู้ชื่อจริงของฝ่ายนั้น เขายังรู้อีกว่าโจวเซี่ยวเทียนเป็นชื่อที่แท้จริง คนอย่างพวกเขาบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อปลอมเสมอไป
“คนที่อยู่ในวงการตอนนี้ต่างอยู่ยากขึ้นทุกวัน!” เยี่ยเทียนถอนใจ ผู้สืบทอดวิชาฮวงจุ้ยกลับต้องมาขุดสุสานเพื่อหาเลี้ยงชีพ แสดงว่าเหล่านักดูฮวงจุ้ยในสมัยนี้มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก
“เยี่ยเทียน พ่อพูดกับแกไม่ได้ยินหรือ? เหม่ออะไรนักหนา?” เยี่ยเทียนครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่ จึงถูกบิดาตบบ่าเพื่อเรียกสติกลับคืนมา
“หา? พ่อ ว่าอะไรนะ!” เยี่ยเทียนสะดุ้ง หลุดออกมาจากห้วงความคิด
เยี่ยตงผิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เชิงเทียนจูเชวี่ยอันนั้นไม่เลวเลย พ่อมีลูกค้าเก่าแก่คนหนึ่งที่ชอบของแบบนี้ ถ้าเอาไปขายต่อ คงจะได้ราคาสักสองแสนเชียว พ่อว่าแล้วสายตาของแกน่ะดูของดีไม่มีเพี้ยนเลยจริงๆ?”
“พ่อจะขาย?”
เยี่ยเทียนมองพ่อด้วยสายตาแปลกประหลาด “พ่อ ถ้าพ่อไม่อยากให้ลูกค้าคนนั้นอายุสั้นล่ะก็ อย่าได้ขายต่อเชียว ของชิ้นนั้นเป็นอัปมงคล ผมซื้อมาเพราะเผื่อวันหน้าจะได้ใช้…”
ยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตกห่างจากยุคปัจจุบันตั้งสองพันกว่าปี เชิงเทียนอันนี้จึงถูกไอพลังพิฆาตที่สะสมบ่มเพาะให้กลายเป็นสิ่งของอัปมงคล พลังพิฆาตนี้น่าจะไม่ได้ด้อยกว่าเครื่องรางอู่เหินของเยี่ยเทียนเลย หากก้าวไปอีกขั้นกลายเป็นเครื่องรางที่มีพลังเทียบเท่ากับอู่เหินได้ทีเดียว
ของสิ่งนี้หากวางตกแต่งไว้ในบ้าน จะทำให้สมาชิกในครอบครัวเห็นผีบ่อยๆ ถ้าเยี่ยตงผิงนำของชิ้นนี้ขายออกไป จะเป็นการทำร้ายผู้ที่รับซื้อไว้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
“ของ…ของอัปมงคลเหรอ?” ฟังที่เยี่ยเทียนอธิบายจบแล้ว เยี่ยตงผิงถึงกับตาตั้ง ตอนแรกคิดว่าบุตรชายมีสายตาแหลมคม กลับกลายเป็นว่าเขาได้ซื้อของสกปรกเข้ามาไว้ในบ้านเสียนี่
ตอนที่ 225
ขัดแย้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พ่อ เรื่องพวกนี้พ่อไม่เข้าใจหรอก ฉันซื้อมามีประโยชน์ก็พอแล้ว”
เยี่ยเทียนขี้เกียจที่จะอธิบายให้พ่อฟัง เปิดปากพูดว่า ตังค์สามหมื่นนั้นถือว่าเป็นของผม เมื่อไม่กี่วันก่อนมีโชคลาภมาหน่อย หลังจากนั้นลูกชายขอแสดงความกตัญญูกับพ่อหน่อย
“ฉันไม่เอาตังค์ของแก เก็บไว้กับตัวเองอย่าใช้ฟุ่มเฟือยก็พอแล้ว”
เยี่ยตงผิงผงกศีรษะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว ลูกชายก็โตขนาดนี้ หลังจากที่ช่วยนักบวชเต๋าฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาครั้งนั้นก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ยังทำหน้าตาเหมือนกับว่าไม่มีอะไร ทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์
หลังจากกลับไปที่แผงขายของ เยี่ยเทียนก็มองไปทุกหนทุกแห่ง พูดว่า “พ่อ พวกเราต่างคนต่างเดินกันเถอะ”
ตอนนี้เยี่ยเทียนสนใจที่นี้มากขึ้น เมื่อเทียบกับพานเจียหยวนของสิบชิ้นในนั้นก็จะมีของปลอมเกือบสิบชิ้น แต่ว่าที่นี้ของส่วนใหญ่เป็นของแท้ คุณสมบัติของเครื่องรางที่ถูกพบก็แต่งต่างกันมาก
“ได้ แต่ว่าแกอย่าซื้ออาวุธอะไรอีกนะ “เยี่ยตงผิงไม่ไว้ใจเลยสั่งสอนลูกชายสักหน่อย ตอนนี้เงินสดติดตัวเขามีเหลือแค่สี่แสนหยวน จึงทนไม่ได้กับการใช้เงินของเยี่ยเทียน
“พ่อ ไว้ใจผมเถอะ ของพวกนั้นไม่ใช่ว่าจะไปแตะสุ่มสี่สุ่มห้าได้นะ” เยี่ยเทียนหัวเราะ หันหลังกลับแล้วเดินไปยังฝั่งตรงข้ามกับพ่อ
เครื่องลายครามชิ้นหนึ่งใช่เครื่องรางหรือไม่ ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็จะมองไม่ออก และอีกอย่างของที่นี้เต็มไปด้วยพลังงานพิฆาตบาง ๆ ที่สัมผัสได้ เยี่ยเทียนจึงจำเป็นต้องดูของแต่ละชิ้นอย่างละเอียด
ดังนั้นความเร็วของการตรวจสอบดูสิ่งของของเยี่ยเทียนก็ช้าลงไปมาก สองสามชั่วโมงดูไปแล้วประมาณสิบกว่าแผง โชคของเขาดูเหมือนว่าจะไม่มีแล้ว ไม่เจอทั้งหรืออาวุธประเภทนั้นอีกเลย
เยี่ยตงผิงกลับดูของได้หลายชิ้น ช่วงเช้าตกลงซื้อขายสำเร็จไปสี่ห้ารายการแล้ว แต่ก็ต้องคอยเรียกลูกชายมาช่วยดูอยู่ตลอดเวลา เขาก็กลัวว่าจะไปซื้ออาวุธสังหารเข้าบ้าน
แต่ว่าผู้ขายที่นี้ โดยภาพรวมแล้วเป็นคนที่มีคุณธรรม นั่นก็คือถ้าคุณต้องการซื้อก็ต้องเหมา ชิ้นเดียวไม่ขาย อยากจะเลือก ๆ ก็ยิ่งไม่มีทาง ดังนั้นหลังจากตกลงซื้อขายสำเร็จ เงินของเยี่ยตงผิงสี่แสนกว่าก็ใช้จ่ายไปเยอะพอสมควร
ตอนนี้เงินหมดแล้ว แต่ก็ยังกลับออกไปไม่ได้ เนื่องจากกฏ เยี่ยตงผิงจึงเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่า พอเจอของชิ้นดีก็ไม่มีเงินซื้อ ทำให้เยี่ยตงผิงค่อนข้างที่อึดอัดไม่สบายใจ
การซื้อขายที่นี่ตอนเที่ยงก็จะมีอาหารกลางวันแถมให้ฟรี ในตึกเล็กก็จะมีห้องอาหาร ถ้าหากว่าผู้ขายต้องการเข้าไปกินข้าว ก็สามารถให้พนักงานที่อยู่ในนั้นช่วยเฝ้าของได้
พอถึงเวลาเที่ยงนี้ ก็มีคนทยอยกันไปใช้ห้องอาหารแล้ว ในแผงขายของไม่ว่าจะเป็นผู้ขายหรือผู้ซื้อ ก็ดูน้อยลงไปกว่าเดิม
“พ่อ ไปกินข้าวกันเถอะ ผมว่าพ่อก็ไม่มีเงินแล้ว ยังเดินได้อย่างเพลิดเพลินเลยนะ” ตอนที่เยี่ยเทียนกินข้าวก็ไม่เห็นพ่อ พอกินเสร็จแล้วก็เดินออกมา แล้วก็เห็นพ่อกำลังนั่งยอง ๆ อยู่หน้าแผงขายของขยับอะไรอยู่
“ไป ไปไหนก็ไปเลย จะมากวนอะไรนักหนา” เยี่ยตงผิงอารมณ์ไม่ดีจ้องไปที่ลูกชาย คนที่อยู่ที่นี้ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นคนเมืองหลวงมีหน้ามีตาในวงการเครื่องลายคราม ถ้าถูกคนรู้ว่าตัวเองไม่มีเงิน พูดออกไปคนก็จะว่าเป็นเรื่องตลก
ยังดีที่เจ้าของแผงไปกินข้าวกันแล้ว คนที่เฝ้าของให้ก็เป็นพวกพนักงาน แม้ว่าได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เพียงแต่ว่าด้วยมารยาทที่ดีทำให้ใบหน้าของเขาไม่มีอะไรผิดปกติ
“เหล่าเยี่ย ไปเจอของดีเข้าแล้วหรอ” เยี่ยเทียนที่กำลังพูดอยู่กับพ่อ ได้ยินคำพูดของท่านประธานอวี๋ เขาก็เพิ่งออกมาจากห้องอาหาร ในปากยังคาบไม้จิ้มฟันอยู่
“เฮอเฮอ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร คือชุดของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ” เยี่ยตงผิงหัวเราะแล้วยืนขึ้นมา เมื่อลูกชายพูดออกไปแบบนั้น ในตอนนี้เขาก็ได้แค่ดูเท่านั้นเอง
“เอ๋ เครื่องหยกชุดนี้ไม่เลวเลยนะเหล่าเยี่ย ทำไมไม่สนใจหรอ” เยียตงผิงเพิ่งยืนขึ้น อวี๋คู่ก็นั่งลงไป ขยับเล่นของเล็ก ๆ ที่เยี่ยตงผิงเพิ่งขยับเล่นเช่นกัน“
เยี่ยตงผิงยืนขึ้นแล้ว เถ้าแก่อวี๋ก็เพิ่งเข้ามาดูของพวกนี้ มันไม่ใช่มารยาทที่ดี แต่เขาก็เปิดปากถามไป
ในกระเป๋าของเขาไม่มีเงินแล้ว ถึงแม้ว่ากำลังดูเครื่องหยกชุดนี้อยู่ ทำได้แค่เพียงพูดอย่างแค้นใจว่า” ท่านประธานอวี๋ ถ้าเกิดว่าท่านชอบ
“ถึงแม้ว่าท่านชอบก็สายไปแล้ว พวกของพวกนี้ผมซื้อแล้ว” คำพูดของเยี่ยตงผิงหยุดชะงัก เมื่อถูกเยี่ยเทียนขัดจังหวะ
“เหล่าเยี่ย คุณสองคนเป็นอะไรกัน? ” อวี๋คู่ค่อนข้างแปลกใจมองไปที่เยี่ยเทียนคิดในใจว่า เจ้าเด็กนี้เหมือนจะไม่มีมารยาทนะ
เยี่ยตงผิงในใจค่อนข้างรู้สึกโมโห ตำหนิว่า “เยี่ยเทียน ทำไมพูดแบบนี้”
“พ่อ ของชิ้นนี้ผมเอาแล้ว รอให้ผู้ขายกลับมาก่อน” เยี่ยเทียนโบกมือไปมาใส่พ่อ ในขณะเดียวกันก็นั่งล้วงหยกสองชิ้นออกมาจากมือของอวี๋คู่
“นี่ ฉันว่านะเหล่าเยี่ย แบบนี้มันไม่ค่อยดีหรอก”
ตอนแรกอวี๋คู่ก็ไม่คิดจะซื้อเครื่องหยกไม่กี่ชิ้นพวกนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าเขาที่อายุสี่สิบกว่าปีแล้ว ถูกเยี่ยเทียนแย่งของออกไปจากมือ ก็รู้สึกอดกลั้นไว้ไม่ได้แล้ว
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้กาลเทศะ เยี่ยเทียน รีบขอโทษลุงอวี๋”
เยี่ยตงผิงก็มีความรู้สึกว่าลูกชายทำเกินไป ตัวเองที่เพิ่งยืนขึ้นเมื่อกี้ แม้ว่าปากนั้นจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ว่าความเป็นจริงคือยอมแพ้สำหรับเรื่องพวกนี้แล้ว เยี่ยเทียนที่ชอบก่อความวุ่นวาย ก็ทำให้เขารู้สึกค่อนข้าง
หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อ เยี่ยเทียนก็รู้ว่าตัวเองใจร้อนเกินไปแล้ว รีบยิ้มให้กับอวี๋คู่พูดว่า “ลุงอวี๋ ขอโทษครับ คือผมไม่ถูกต้องเอง เฮอเฮอ ผมก็แค่ชอบพวกหยกนี้มาก”
เยี่ยเทียนไม่มีทางที่จะไม่ชอบหยกพวกนี้หรอก เพราะว่าในแผงขายของนี้มีแค่เครื่องหยกหกชิ้นนี้ที่ขนาดเท่านิ้วโป้ง ข้างในคาดไม่ถึงว่าจะแฝงไว้ด้วยพลังชี่ และพลังชี่ในหยกทั้งหกชิ้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งสามารถกลายป็นเครื่องรางได้
ถึงแม้ว่าพวกหยกเหล่านี้จะแฝงไว้ด้วยพลังชี่ แต่ก็ยังแตกต่างกันกับเครื่องรางที่เคยมีมาก่อน ความจริงแล้วก็มีระดับที่เป็นเครื่องรางได้ ที่สำคัญสุดเลยก็คือ เครื่องหยกเหล่านี้เหมาะในการที่จะเปิดค่ายกลภายในเรือนสี่ประสานของเยี่ยนเทียน
ในโลกปัจจุบัน เครื่องรางเป็นสิ่งที่หาได้ยาก นอกจากภายในของวัดในศาสนาพุทธแล้วก็ยังมีบางส่วนที่อยู่ในวัดเต๋า ในหมู่ประชาชนทั่วไปจะมองไม่เห็น ตรงหน้าเขาที่ปรากฏอยู่หกชิ้นนี้ ทำให้เยี่ยเทียนใจเต้นแรง ยั้งสติไม่อยู่
หยกเหล่านี้อาจเป็นหกชิ้นในสิบสองปีนักษัตร “โอ้ พอดีเลยฉันเกิดปีม้า ในนี้มีปีม้าพอดีเลย เสี่ยวเยียฉันว่านะ ยอมให้ลุงเถอะคิดว่าไง”
คนที่ทำการค้าขายเครื่องลายคราม ส่วนใหญ่ล้วนแล้วเป็นคนประเภทหน้าเนื้อใจเสือ เถ้าแก่อวี๋ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนที่อายุน้อยกว่าตัวเองยี่สิบสามสิบปีหัวเราะขึ้นมา ฮาฮา
“ลุงอวี๋ แต่ แต่ว่าผมก็เกิดปีม้าผมว่าลุงยอมให้คนรุ่นหลังดีกว่า เยี่ยเทียนไม่ให้ความเคารพท่านประธานอวี๋แม้แต่นิดเดียว” หลังจากประโยคนี้ที่พูดออกมา เถ้าแก่อวี๋ก็หุบยิ้มทันที
“เสี่ยวเยี่ย ทำตามกฏสิ”
ลุงอวี๋ ตามกฏคือพ่อของผมเป็นคนเห็นของชิ้นนี้ก่อน”
อวี๋คู่พูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ถูกเยี่ยเทียนสกัดอีก ทันใดนั้นก็รู้สึกหายใจไม่ออก พูดทันทีว่า เอาอย่างนี้ “รอให้ผู้ขายมาถึงแล้วเราค่อยว่ากัน”
อันที่จริงแล้วคำพูดที่ว่า เกิดปีม้าพอดี นั้นก็เป็นเรื่องที่ไร้สาระ เมื่อกี้ที่เยี่ยเทียนพูดอวี๋คู่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ บวกกับรู้สึกขัดใจต่อเยี่ยตงผิงที่เข้ามาในกลุ่มของพวกเขา ตั้งใจอยากทำให้เยี่ยเทียนลำบากใจ
เถ้าแก่อวี๋ คิดว่าเมื่อเทียบเขากับเยี่ยเทียนแล้ว ตัวเขาอยู่ในวงการมาก่อน ดังนั้นจึงไม่สามารถถอยได้แล้ว ในตลาดค้าขายวัตถุโบราณนี้ หากเขาถอยออกมาทุกคนจะรู้กันหมดว่าเขาพ่ายแพ้แก่ถูกเด็กรุ่นหลัง
เยี่ยตงผิงรู้ดีว่าลูกชายเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ถ้ามีสิ่งมากระตุ้นก็ เมื่อคิดดูแล้วเยี่ยเทียนก็น่าจะมีเหตุผลที่ดีแน่นอน ที่อยากได้เหล่านั้น จึงหัวเราะขึ้นมาพูดว่า “เหล่าอวี๋ อย่าไปใส่ใจเรื่องเล็กน้อยกับเด็กเลย เมื่อกี้ผมเห็นฝั่งนั้นมีถังซานไฉ่ พวกเราไปดูกันดีกว่า”
ไม่คิดว่าอวี๋คู่เองก็ไม่ไว้หน้าเยี่ยตงผิงแม้แต่นิดเดียว ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือการเข้าสู่สนามรบกับสองพ่อลูกเยี่ย ถังซานไฉ่นั้นแกรีบไปซื้อเถอะ ฉันจะเอาเครื่องหยกพวกนี้”
คนที่ทำการซื้อขายที่นี้ โดยทั่วไปถ้าไม่มีความต้องการ ก็จะไม่เบียดเสียดกัน เมื่อด้านหน้าแผงขายของนี้เห็นเยี่ยเทียนกับอีกคนกำลังถกเถียงกัน ก็เกิดความสนใจขึ้น คนที่เพิ่งออกมาจากห้องอาหาร ก็ค่อย ๆ ล้อมวงกันเข้ามา
“ลุงอวี๋ กับเด็กคนนั้นกำลังแย่งของกันอยู่ ดูเหมือนเด็กคนนั้นทำให้เขาโมโหแล้ว
ไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้ เหล่าเยี่ยก็เดินไปแล้ว เหล่าอวี๋ต้องการซื้อก็ไม่ได้ผิดกฏอะไร
ที่จริงแล้วเรื่องราวนั้นธรรมดามาก หลังจากคนที่มุงกันอยู่เข้าใจก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันออกมา บางคนก็ช่วยเถ้าแก่อวี๋ มีบางคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเยี่ยตงผิง เดิมแผงที่เงียบเหงานี้ก็กลับครึกครื้นขึ้นมา
“ไอ๊หยา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน” ในระหว่างที่โต้เถียงกัน ผู้เฒ่าผอม ๆ คนหนึ่งอายุราวห้าสิบกว่าก็เดินเบียดเข้าไปในกลุ่มคน เขาก็คือคนขายของพวกนี้
“ท่าน ของนี้ราคาเท่าไหร่กัน” เยี่ยเทียนกับอวี๋คู่ถามขึ้นพร้อมกัน ผู้เฒ่าคนนั้นพอได้ยินแล้วถึงกับมึนงง ของที่ตัวเองขายตั้งแต่เช้าไม่มีใครมาดูเลยสักคน กลายเป็นขายดิบขายดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
สุภาษิตกล่าวว่าประสบการณ์จะทำให้คนฉลาดขึ้น คำพูดนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากที่ผู้เฒ่าคนนั้นกวาดสายตาไปรอบ ๆ ยิ้มแล้วพูดว่า ท่านทั้งสอง ของที่อยู่ที่นี้ ต้องเหมาแล้วประมูลนะ ต่ำสุดคือสองหมื่น ถ้ามันมีความหมายต่อท่านทั้งสอง รอตอนที่ประมูลก็ให้ราคากันเยอะ ๆ
หลังจากที่ผู้เฒ่าพูดออกมา เยี่ยเทียนกับอวี๋คู่เกิดอาการมึนงง ของยังเป็นของคนอื่น จะขายอย่างไร ก็เป็นการตัดสินของเจ้าของ
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ประมูลเลย “ เถ้าแก่อวี๋ส่งเสียงไม่พอใจ หันหลังเดินจากไป แย่งของกับเด็กรุ่นหลัง จริง ๆ แล้วเขาก็รุู้สึกขายหน้านิดหน่อย
คนที่มุงดูพอเห็นว่าไม่มีอะไรครึกครื้นน่าสนใจ ก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันออกไป เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังอยู่หน้าแผงขายของผู้เฒ่า มองดูเครื่องหยกเหล่านั้นอย่างละเอียด
เยียตงผิงลากลูกชายไปที่มุมหนึ่ง เปิดปากพูดว่า “เยี่ยเทียน แกกับเหล่าอวี๋แย่งอะไรกันอยู่เ ขาไม่ใช่คนที่ใจกว้าง ถ้าเขาไม่ได้ของก็จะเกิดการเกลียดชังกันขึ้นมา พูดเลยแล้วกัน ตอนนี้ฉันก็ไม่มีเงินสดติดตัวแล้ว”
วิธีดำเนินการของพวกผู้ขายพวกนี้ก็ไม่ปกติ เนื่องจากพวกเกลัวว่าความลับที่เกี่ยวข้องกับตัวเองจะรั่วไหลออกไป การค้าขายนี้ จะไม่มีการโอนเงิน จะมีก็แต่ค้าขายกันด้วยเงินสดถึงจะตกลงกันได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น