กระบี่จงมา 221-222.3

 บทที่ 221 มุงดูเรื่องสนุก

โดย

ProjectZyphon

จวนเจ้าเมือง เมืองแยนจือ


หลังจากขโมยแผนที่ของบิดาตัวเองแล้ว หลิวเกาหวาที่เป็นขโมยขึ้นบ้านตัวเองก็คล้ายวัวสันหลังหวะ รู้สึกว่าเงินห้าสิบตำลึงร้อนลวกมือ อยากจะชดเชยให้บ้าง จึงทิ้งแขกอย่างพวกมือดาบเคราดกสามคนไว้ในห้องรับแขก ส่วนตัวเองวิ่งไปที่ห้องทำงานบิดา บอกว่าการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ของตนได้พบเทพเซียนที่ถูกกล่าวถึงในตำรา ชายฉกรรจ์เคราดกคนหนึ่งในนั้นคือจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ ต่อให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเมืองก็อาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด และยังมีจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์อีกท่านหนึ่ง ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อ มีความรู้ลึกซึ้ง สังหารปีศาจกำราบมารได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ยกมือ สุดท้ายคนที่แซ่เฉินก็ยิ่งร้ายกาจ อย่าเห็นว่าหน้าตาเขาเหมือนเด็กหนุ่ม เพราะอันที่จริงอายุมากถึงแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว เพียงแต่ว่า ‘ฝึกตนประสบความสำเร็จ จึงมีโฉมหน้าอ่อนเยาว์’ เท่านั้น


คำคุยโวของหลิวเกาหวาผู้เป็นบุตรชายทำเอาใต้เท้าเจ้าเมืองเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย จึงพากุนซือของจวนที่มีความรู้กว้างขวางผู้หนึ่งมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขกด้วยกัน ผลคือท่านเจ้าเมืองรู้สึกผิดหวังอย่างมาก บุรุษไม่เห็นเคยภูตผีปีศาจมาก่อนก็จริง แต่สายตาในการมองคนไม่ได้แย่ หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ นั่งลงดื่มชาได้ถ้วยหนึ่งก็หมดสิ้นซึ่งความสนใจ บอกให้หลิวเกาหวารับรองแขกทั้งสามท่านให้ดี จากนั้นก็หาข้ออ้างกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง


ตลอดทางที่เดินไป เจ้าเมืองหลิวส่ายหัวไม่หยุด “จอมยุทธ์ใหญ่ เทียนซืออะไรกัน ไม่เห็นจะสมชื่อ ต้มตุ๋นหลอกลวงมาถึงจวนข้า ช่างใจกล้าเทียมฟ้าซะจริง หากหลังจากนี้พวกเขากล้าเสนอข้อเรียกร้อง ข้าผู้เป็นขุนนางจะให้พวกเขาต้องเปลี่ยนมาสวมชุดนักโทษ กินข้าวแดงกันเสียให้อิ่ม”


กุนซือเฒ่าเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “คงไม่ถึงขนาดมาขอกินฟรีดื่มฟรีหรอก นักพรตหนุ่มกับเด็กหนุ่มสะพายกรอบไม้นั้นยังบอกไม่ได้ แต่มือดาบผู้นั้นมีความสามารถที่แท้จริงอยู่หลายส่วน องค์รักษ์ของจวนต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน ใต้เท้าหลิว ต้องรู้ว่าก่อนที่ข้าจะเข้ามาอยู่ในจวน เคยมีประสบการณ์ในยุทธภพมายี่สิบกว่าปี เคยพบเจอปรมาจารย์แห่งยุทธภพที่มีชื่อเสียงมาหลายคน ทางทิศใต้ของแคว้นไฉ่อีเรามียอดฝีมือน้อยจนนับนิ้วได้ หากพูดกันแค่ด้านบุคลิกท่าทางแล้ว ชายฉกรรจ์เคราดกคนนั้นก็ไม่เป็นรองแม้แต่น้อย สายตาคมกริบ ลักษณะดุดันทรงอำนาจ”


เจ้าเมืองพยักหน้ารับ “ฟังเจ้าพูดอย่างนี้ก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”


กุนซือเฒ่าเตือนเสียงเบา “ใต้เท้าหลิว ท่านลองคิดดูนะ แม่ทัพใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้คือปรมาจารย์ขอบเขตสี่ที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน พวกเราเคยเห็นเขาไกลๆ ในงานเลี้ยง ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าต่อให้เขาจะแค่ดื่มเหล้าหรือพูดคุยกับคนอื่นก็มีพลังอำนาจน่าเกรงขามโดยไม่ต้องแสดงความโกรธ เห็นแล้วน่าตกใจมาก ลองมาย้อนนึกดูอย่างละเอียด จอมยุทธ์ที่เรียกตัวเองว่าแซ่สวีคนนั้นก็มีลักษณะคล้ายเขาอยู่หลายส่วนไม่ใช่หรือ?”


เจ้าเมืองหลิวขมวดคิ้ว “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคือควรจะผูกมิตรไว้สักหน่อย? แต่ได้ยินมาว่าการคบค้าสมาคมกับคนในยุทธภพต้องทุ่มทองเป็นพันตำลึงถึงจะถือว่าใจกว้างมากพอ หากเอาเงินแค่ไม่กี่ตำลึงมาให้เป็นค่าเดินทางกลับไม่เพียงไม่ถูกมองว่าเป็นน้ำใจ ยังกลายเป็นการหมิ่นเกียรติ เท่ากับว่าล่วงเกินพวกชาวยุทธ์เหล่านั้น ข้าเป็นขุนนางมือสะอาดมัธยัสถ์ ไม่มีทรัพย์สมบัติเหลือพอจะเอามาใช้ได้ แบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ? หรือว่าจะต้องไปขอยืมเงินจากพวกคนรวยในเมือง?”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ขุนนางผู้เป็นเสมือนบิดาของราษฎรในเมืองนี้ก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “หากเป็นความสัมพันธ์ที่มีแต่กลิ่นเงินแบบนี้ ข้าไม่เห็นจะต้องการ”


ทัศนคติที่บัณฑิตมีต่อคนในยุทธภพ โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีตำแหน่งขุนนาง แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจยังคงมีความดูแคลนอยู่


กุนซือเฒ่าถอนหายใจอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ในยุทธภพที่มาเยือนถึงบ้านตัวเอง เจ้าเมืองหลิวผู้นี้ก็ยังรับไว้ไม่อยู่ ก็ไม่แปลกที่แม้จะเขียนบทความได้ดี แต่กลับยังเป็นได้แค่ขุนนางระดับสี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ผู้คุมสอบของเจ้าเมืองหลิวเอง ตอนนี้ก็ยังเป็นได้แค่ขุนนางระดับกงในแคว้นไฉ่อีเท่านั้น หากเปลี่ยนมาเป็นเขาที่ได้เป็นเจ้าเมือง อย่าว่าแต่ยืมเงินกับคนรวยเลย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็จะไม่เสียดายแม้แต่น้อย สมมติว่ามือดาบเคราดกคนนั้นคือยอดฝีมือขอบเขตสามระดับปรมาจารย์น้อยในยุทธภพ ขอแค่ผูกความสัมพันธ์ไว้ได้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่ทำได้ใต้โต๊ะก็มีถมเถไป อีกอย่างคำว่าน้ำใจที่มีให้กัน หากไม่มีการไปมาหาสู่จะไปเอาน้ำใจจากไหนมามอบให้กัน คิดจะให้คนอื่นเป็นฝ่ายขอร้องตัวเองเสียทุกเรื่อง ไม่ใช่วิถีแห่งการเป็นขุนนางเสียหน่อย ในเมื่อรู้จักกับตระกูลเศรษฐีในเมือง ยืมเงินแค่ไม่กี่ร้อยตำลึงจะทำให้ท่านเจ้าเมืองหลิวเสียหน้ามากนักหรือ? ผิดแล้ว ต้องบอกว่าเจ้าช่วยให้คนครอบครัวนั้นมีหน้ามีตาต่างหาก เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้เจ้าเมืองหลิวไม่ชอบฟัง ด้วยรู้สึกว่าเป็นการหยามเกียรติ กุนซือเฒ่าเคยพูดครั้งสองครั้งจึงพอจะรู้แกว


พอคิดมาถึงตรงนี้ กุนซือเฒ่าก็ให้รู้สึกหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอีกครั้ง วงการขุนนางเลื้อยลดคดเคี้ยวขนาดนี้ แล้วในยุทธภพจะไม่ใช่ได้อย่างไร? ก่อนหน้าที่เขาจะเปลี่ยนชื่อแซ่ อันที่จริงเคยเป็นที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์คนสนิทของผู้นำกลุ่มยุทธภพทางทิศใต้ของแคว้นไฉ่อี ถือคติมีบุญคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระก็จริง แต่ที่มากกว่านั้นคือรู้ว่าเรื่องราวบนโลกยิบย่อยเหมือนเส้นขน ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญ เปี่ยมไปด้วยปณิธานยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ผ่านไปเพียงไม่กี่ปีพลังเหล่านั้นก็ถูกเผาผลาญกล่อมกลืนจนหมดสิ้น ปีนั้นท่านผู้นำเฒ่าเคยองอาจเกรียงไกรถึงเพียงนั้น สุดท้ายก็กลายเป็นแค่คนที่บ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนกันไม่ใช่หรือ?


หลังจากที่เจ้าเมืองหลิวจากไปด้วยท่าทีเฉยเมย หลิวเกาหวาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย บวกกับเรื่องที่ที่นี่คือจวนของเจ้าเมือง แต่กลับยากจนถึงขนาดหาห้องมารับรองแขกสักห้องสองห้องยังไม่ได้ มือดาบเคราดกจึงให้หลิวเกาหวาพาไปพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ที่สุด ขอแค่นักพรตเฒ่าของสำนักโองการเทพเข้ามาที่จวนเจ้าเมืองจะต้องรีบแจ้งพวกเขาสามคนทันที หลิวเกาหวารับปากอย่างกระตือรือร้น


เพราะสถานที่แห่งนี้ทำเลดี อีกทั้งยังเป็นร้านเก่าแก่ กิจการของโรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงรุ่งเรืองดีมาก ยังดีที่บุตรชายของเจ้าเมืองพอจะมีคนนับหน้าถือตาอยู่บ้าง เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงจัดห้องให้สามห้อง อีกทั้งยังไม่กล้าคิดราคา ส่วนหลิวเกาหวาก็รับน้ำใจนี้ไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ตระหนักถึงความเสียดายอย่างสุดซึ้งของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเลย นี่ทำให้มือดาบเคราดกที่มองดูอยู่รู้สึกขำ แม้แต่นักพรตจางซานเฟิงก็ยังส่ายหน้า


เรื่องราวบนโลกมนุษย์และน้ำใจของคนก็คือความรู้อย่างหนึ่งเช่นกัน ความรู้เหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีเขียนไว้ในหนังสือของอริยะ แต่เมื่อมาอยู่ในยุทธภพ เฉินผิงอันเห็นอยู่ในสายตา จดจำไว้ในหัวใจ


อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดอย่างตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาก็มีเรื่องแบบนี้เช่นกัน


คนทั้งสามพูดคุยกันอยู่ในห้องของชายฉกรรจ์เครารก ตอนที่คุยกันเรื่องของบ้านโบราณก็พูดไปถึงยันต์เทพเดินทางของจางซานเฟิง หลังจากสวีหย่วนเสียถามถึงราคาของมัน แล้วได้รู้ว่ามันแพงขนาดนั้น ก็ให้รู้สึกผิดต่อนักพรตจากกุรุทวีปคนนี้จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า การกำจัดปีศาจปราบมารในครั้งหน้าจะต้องให้มีผลเก็บเกี่ยวถึงจะได้ แม้ว่าจางซานเฟิงจะยากจนจนเกิดเป็นความกลัว แต่ก็ไม่เคยกล่าวโทษฟ้าหรือโทษคนอื่นแม้แต่คำเดียว นี่ทำให้สวีหย่วนเสียต้องหันมามองเขาใหม่ ชายฉกรรจ์รู้ว่าบนเส้นทางของการฝึกตน การสั่งสมทรัพย์สมบัติของผู้ฝึกลมปราณสำคัญมากแค่ไหน สวีหย่วนเสียที่บุกเหนือล่องใต้รู้กฎเกณฑ์บางอย่างของตระกูลเซียนบนภูเขาอย่างละเอียด ผู้ฝึกลมปราณฝึกไปฝึกมา ต้องฝึกตบะฝึกจิตใจ ที่มากกว่านั้นคือฝึกหาเงินหาทอง หากนักพรตหนุ่มมีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงยากที่จะเดินไปบนจุดสูงได้ ต่อให้จิตใจดีงามแค่ไหนก็ทนการทรมานที่เหมือนถูกหั่นเนื้อด้วยมีดทื่อเช่นนี้ไม่ได้


หลังผ่านการพูดคุยกันอย่างสบายๆ เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เข้าใจกับทัศนียภาพของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างอย่างเป็นรูปธรรม


คราวก่อนที่เดินทางกลับจากต้าสุยพร้อมกับ ‘ลูกศิษย์’ อย่างชุยฉาน เพราะตอนนั้นหลินโส่วอีถือเป็นเทพเซียนบนภูเขาครึ่งตัวแล้ว เฉินผิงอันจึงค่อนข้างสงสัยใคร่รู้ มีครั้งหนึ่งที่คนทั้งสองคุยเล่นกัน เฉินผิงอันก็เป็นฝ่ายถามถึงเรื่องการฝึกลมปราณอย่างที่หาได้ยาก


ผลกลับกลายเป็นว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มชุยฉานเหลือกตาใส่เขาโดยตรง พร้อมกับเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ห้าขอบเขตล่าง? มีแต่พวกขยะทั้งนั้น พูดไปก็น่าเบื่อ ถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์อันสูงส่งของอาจารย์ อาจารย์ พวกเรามาคุยถึงห้าขอบเขตบนกันดีไหม? นึกถึงปีนั้นที่ดีๆ ชั่วๆ ศิษย์อย่างข้าก็เป็นถึงขอบเขตสิบสอง…


ตอนนั้นเฉินผิงอันค่อนข้างจะอคติกับเขา จึงไม่เต็มใจจะฟังเด็กหนุ่มชุดขาวคุยโวโอ้อวด จึงลุกขึ้นเดินไปฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งอยู่ไกลๆ


ตอนนี้เฉินผิงอันมาย้อนนึกดู สิ่งที่เขาทำไปเป็นการทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของชุยฉานมากเกินไปหรือเปล่า? เซียนที่ ‘ดีๆ ชั่วๆ’ ก็เคยอยู่ในขอบเขตสิบสองมาก่อน และยังเคยเล่นหมากล้อมท่ามกลางชั้นเมฆหลากสีกับเจ้านครจักรพรรดิขาว…


เฉินผิงอันเกาหัว ก้มหน้าดื่มชา แต่ในใจกลับนึกเสียดายตั๋วเงินสองพันตำลึงที่ส่งไปให้ ‘ชุยตงซาน’ พร้อมกับจดหมาย เกรงใจลูกศิษย์ของตัวเองที่เคยเป็นเซียนมากถึงขนาดนี้ ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย แบบนี้ไม่เท่ากับหมิ่นเกียรติอีกฝ่ายหรอกหรือ


ห้าขอบเขตล่างของผู้ฝึกลมปราณคือห้าขอบเขตของการขึ้นภูเขา ขอบเขตหนังทองแดง ขอบเขตรากหญ้า ขอบเขตเอ็นหลิว ขอบเขตปราณกระดูก และขอบเขตสร้างกระท่อม สี่ขอบเขตแรกแบ่งออกเป็นการฝึกหนัง เนื้อ เส้นเอ็นและกระดูก เรียกว่าผู้ฝึกลมปราณ แต่แท้จริงแล้วการสร้างเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานก็สำคัญมากเหมือนกัน หลักการนั้นง่ายดายมาก หากเปรียบเทียบร่างกายของคนเป็นถ้วยน้ำหนึ่งใบซึ่งจะหลอมลมปราณออกมาได้หนึ่งจิน หากถ้วยน้ำบรรจุได้แค่แปดส่วน ที่เหลืออีกสองส่วนก็ไม่ต้องพูดถึง ขอบเขตสุดท้ายก็คือการผสมผสานรวมทุกอย่าง นำมาหล่อหลอมในเตาเดียวกัน คือขอบเขตที่สร้างภาชนะบรรจุลมปราณของเรือนกายนี้ ความหมายก็คือต้องการบอกว่าสามารถเดินขึ้นเขาได้อย่างเป็นทางการแล้ว


เพราะผีชางหยางหว่างพูดถึงขอบเขตเส้นเอ็นหลิวอยู่หลายครั้ง บอกว่ามันคือ ‘ขอบเขตรั้งคน’ ชายฉกรรจ์เคราดกจึงอธิบายให้เฉินผิงอันที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญฟัง เขาเล่าได้อย่างมีรสชาติ เต็มไปด้วยถ้อยคำหยอกล้อที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวมีต่อเทพเซียนบนภูเขา ทำเอานักพรตหนุ่มที่ขอบเขตหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตสามพอดีระอาใจอย่างยิ่ง


“เคยมีผู้ฝึกลมปราณแซ่หลิวที่เปี่ยมล้นไปด้วยพรสวรรค์คนหนึ่ง ลำพังเพียงแค่เรื่องการหล่อหลอมเส้นเอ็นก็เดินขึ้นสู่ห้าขอบเขตบนได้โดยตรง มีร่างเป็นเซียนที่แข็งแกร่งเกินกว่าใครจะทัดเทียม สามารถเรียกได้ว่าไม่มีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และจะไม่มีอีกในกาลข้างหน้า เป็นเหตุให้ตั้งชื่อขอบเขตนี้ว่าขอบเขตเส้นเอ็นหลิว และมีอีกชื่อว่าขอบเขตรั้งคน เพราะผู้ฝึกตนจำนวนมากที่ปรารถนาจะเดินทางลัดหลงใช้ทางผิด ตั้งใจศึกษาวิชาลับไม่สมบูรณ์ของขอบเขตนี้ที่ผู้ฝึกตนแซ่หลิวทิ้งเอาไว้ ถูกถ่วงรั้งเป็นเวลานานเกินไป สุดท้ายก็เสียเวลาไปทั้งชีวิต”


ชายฉกรรจ์เคราดกดื่มชา แต่กลับคึกคักดั่งดื่มสุรา ถ้อยคำที่เอ่ยสอดแทรกคำหยอกเย้าอยู่เป็นระยะ “ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเรามักจะถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาดูแลน แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรเราก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกลมปราณ นั่นคือทุกก้าวย่างเดินไปอย่างมั่นคง ไม่มีทางลัดอะไรให้เดินทั้งนั้น จริงจังอย่างถึงที่สุด ดังนั้นขอบเขตเส้นเอ็นหลิวนี้จึงรั้งตัวผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ในใจคาดหวังว่าตัวเองจะโชคดีเอาไว้มากมาย อีกอย่างขอแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างไม่ใช่พวกผู้ฝึกกระบี่ของสำนักการทหาร เจอกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสามอย่างพวกเราก็อย่าหวังว่าจะเอาเปรียบเราได้!”


นักพรตหนุ่มคือผู้ฝึกลมปราณคนเดียวที่นั่งอยู่ตรงนั้น เขากล่าวอย่างอัดอั้นว่า “รอให้ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเจ้าหลอมลมปราณถึงขอบเขตสาม แล้วผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราถึงห้าขอบเขตกลางก่อน ค่อยมาแข่งกันดูอีกครั้งไหมล่ะ? ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราต้องมีโอกาสชนะมากกว่าแน่”


ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะหึหึ “พวกเราแข่งกับคนในขอบเขตเดียวกันเท่านั้น ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเก้าโอสถทองคำถือว่าเป็นเทพเซียนได้แล้วไหมล่ะ? มาเจอกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตยอดเขาของพวกเราหน่อยเป็นไง? ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นของต้าหลีผู้นั้น ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเจ้ามีสักกี่คนที่กล้าอวดดีต่อหน้าเขา? ซ่งจ่างจิ้งคนนี้ก็คือคนที่เป็นอย่างนี้ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของแจกันสมบัติทวีปเรา!”


ชายฉกรรจ์เคราดกพูดคำว่าอย่างนี้แล้วยกนิ้วโป้ง


เขาชูนิ้วโป้งตั้งไว้ไม่ยอมเอาลง แถมยังเอ่ยชื่นชมไม่หยุด “ผู้ฝึกยุทธ์ระดับนี้ต่างหากถึงจะเป็นวีรบุรุษในโลกที่แท้จริง ตัวอยู่ด้านล่างภูเขา แต่กลับสามารถมองไปบนภูเขาได้อย่างโอหัง เจ็บใจก็แต่ข้าสวีหย่วนเสียไม่เคยได้พบกับเขา หาไม่แล้วต่อให้ต้องทำตัวหน้าด้านแค่ไหนก็ต้องดื่มคารวะเขาสักจอกให้จงได้!”


เฉินผิงอันสีหน้าปั้นยาก


ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นก็คืออาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซิน เขาเคยมาเยือนตรอกหนีผิง เฉินผิงอันยังเคยพูดจาทักทายเขาสองสามคำ


อีกอย่างผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ขอบเขตพอๆ กับซ่งจ่างจิ้ง แค่เมืองเล็กบ้านเกิดตน ก็ยังมีบิดาของหลี่ไหวอยู่อีกคน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านปู่ของชุยฉาน


เฉินผิงอันดื่มชาเงียบๆ


หลังจากนั้นคนทั้งสามก็ลงไปกินข้าวที่ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม บนโต๊ะอาหารในห้องโถงใหญ่มีเสียงของผู้คนพูดคุยกันดังไม่ขาดระยะ ที่แท้ก็มีเทพเซียนเฒ่าคนหนึ่งกำลังจะมาเยือนเมืองแยนจือ เขามีวิชาอภินิหารอยู่ในมือ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงหลากหลายยากจะคาดเดา เทพเซียนในหนังสือสามารถโปรยถั่วให้เป็นขุนพล ส่วนเขาสามารถโยนกระดาษให้กลายเป็นสาวงาม หลังจากที่กระดาษเหลืองแต่ละแผ่นพลิ้วลงบนพื้น สาวงามเรือนกายอรชนอ้อนแอ้น รูปโฉมงดงามแตกต่างกันออกไปก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากคนมีชีวิตจริงๆ สามารถร้องรำทำเพลง ตอบคำถามพูดคุยได้อย่างคล่องแคล่ว


การเดินทางลงใต้ของเทพเซียนเฒ่าในครั้งนี้ ทำให้ขุนนางและชนชั้นสูงระหว่างทางก่อนจะมาถึงแคว้นไฉ่อีต่างก็อดชื่นชมไม่ได้ เป็นเหตุให้เทพเซียนเฒ่ายังไม่ทันมาถึง คนของแคว้นไฉ่อีที่ขึ้นชื่อเรื่องสาวงามจึงตั้งตารอคอยกันอย่างยิ่ง บุรุษคาดหวังอยากเห็นสาวงามที่จำแลงกายมาจากกระดาษ ด้วยอยากรู้ว่าจะมีอะไรพิเศษหรือไม่ ส่วนสตรีที่หน้าตาดีก็เกิดใจอยากแข่งขัน เพียงแค่กระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งจะมาเอาชนะพวกนางที่เป็นคนจริงๆ ได้อย่างไร?


เฉินผิงอันไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่


ส่วนชายฉกรรจ์เคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงต่างก็หมายมั่นปั้นมือ บอกว่าต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง คนหนึ่งบอกว่าไม่แน่ว่าเทพเซียนเฒ่าผู้นั้นอาจเป็นภูตผีปีศาจที่ห่มหนังคน ส่วนอีกคนก็พยักหน้ารับเออออคล้อยตาม บอกว่าจะอนุญาตให้ปีศาจมาล่อลวงใจคนไม่ได้เด็ดขาด


เฉินผิงอันมองคนทั้งสองที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรม ในใจคิดว่าพวกเจ้าสองคนช่วยเช็ดน้ำลายตรงปากออกก่อนแล้วค่อยพูดได้หรือไม่ แค่อยากเห็นสาวงามไม่ใช่หรือ ก็พูดมาตรงๆ สิ ข้าไม่หัวเราะเยาะพวกเจ้าหรอกน่า


เฮ้อ จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยอย่างแท้จริงมาก่อน ข้อนี้เฉินผิงอันมั่นใจอย่างยิ่ง


เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเคยเห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในใต้หล้าแล้ว


คิ้วของนางดุจภูเขาห่างไกล (คนสมัยโบราณจะบรรยายคิ้วของสาวงามว่าเป็นภูเขาในฤดูใบไม้ผลิ เพราะในสมัยโบราณผู้หญิงจะชอบใช้สีเขียวอมดำเขียนคิ้ว ลักษณะโค้งโก่งซึ่งมองไกลๆ คล้ายภูเขา)


—–


บทที่ 222.1 การจากลาบางครั้งก็สามารถกลับมาพบกันได้ใหม่

โดย

ProjectZyphon

ภูเขาลั่วพั่ว พื้นที่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ถูกบุกเบิกขุดเป็นบ่อน้ำขนาดเล็กหนึ่งบ่อ น้ำใสกระจ่างแต่กลับไม่มีปลา เป็นเพียงบ่อน้ำที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไร แต่เว่ยป้อมักจะมานั่งยองๆ อยู่ริมบ่อน้ำ มองทีหนึ่งใช้เวลาเป็นครึ่งๆ ชั่วยาม แถมยังบอกกับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูว่าครึ่งปีนี้ให้เฝ้าบ่อน้ำไว้ให้ดี ห้ามให้คนนอกเข้ามาใกล้ และอาจเป็นเพราะไม่ค่อยวางใจในตัวเด็กน้อยทั้งสองคน เว่ยป้อจึงถึงขั้นเรียกให้งูดำที่ผิวหนังใต้หน้าท้องเป็นสีทองตัวนั้นย้ายออกจากโพรงที่อยู่อาศัย มาขดตัวนอนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ กับเรือนไม้ไผ่


หลังจากที่เฉินผิงอันจากไป เด็กชายชุดเขียวที่ไม่มีคนให้คอยเปรียบเทียบ อีกทั้งอากาศหนาวของฤดูใบไม้ผลิยังเริ่ม ถดถอยหายไป แสงอาทิตย์ในแต่ละวันอบอุ่นชวนให้คนรู้สึกสบาย เขาจึงเริ่มเกียจคร้านในการฝึกตน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเคยเอ่ยเตือนเขาสองครั้ง เด็กชายชุดเขียวกลับพูดจามีเหตุมีผล บอกว่านี่เรียกว่าการรู้จักยืดหยุ่น ค่อยๆ สั่งสมแล้วเอาออกมาใช้ทีละน้อย จะเรียกว่าสามวันตกปลา สองวันตากแหไม่ได้


วันนี้หลังจากที่เว่ยป้อมาถึงเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง เด็กชายชุดเขียวก็เดินตามหลังเขาไปต้อยๆ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะถามอย่างไร เว่ยป้อก็บอกแค่ว่าให้เขาตั้งตารอดู ไม่ยอมเปิดเผยความจริงให้เขารู้ ทำเอาเด็กชายชุดเขียวรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจ อยากจะเผยร่างจริงกระโดดลงน้ำไปพลิกใต้บ่อดูเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่ว่ากริ่งเกรงในสถานะและตบะของเว่ยป้อ รวมไปถึงนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวลแต่ซ่อนใบมีดไว้ใต้รอยยิ้มของเทพขุนเขาเหนือผู้นี้ งูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงถึงต้องระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้นอกจากจะต้องพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาคนอื่นแล้ว ยังต้องถูกกลั่นแกล้งให้อึดอัดไม่สบายใจ


วันนี้เว่ยป้อก็ยังมานั่งยองอยู่ริมบ่อน้ำ จ้องมองการไหลรินของน้ำเล็กๆ น้อยๆ ในบ่อ น้ำในบ่อแห่งนี้เหมือนน้ำตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ รากฐานของโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าลูกนี้ไม่ได้อยู่ที่ศาลเทพภูเขาบนยอดเขา แต่รากฐานของภูเขาอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ โชคชะตาแม่น้ำก็อยู่ในบ่อน้ำตรงหน้าบ่อนี้ เดิมทีเทพภูเขาซ่งอวี้จางก็แตกหักกับทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือผู้นี้ไปแล้ว บวกกับที่เขาคือขุนนางที่ค่อนข้างจะคร่ำครึ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทุ่มชีวิตทำงานถวายหัวให้แก่ต้าหลี จึงนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กรมพิธีการและกองโหราศาสตร์ทราบอย่างละเอียด คำตอบที่ได้รับมากลับเป็นการบอกให้เขาปิดปากให้สนิท ห้ามแพร่งพรายแก่ใคร ในเมื่อเป็นความต้องการของราชสำนักต้าหลี ซ่งอวี้จางก็ไม่คิดจะตอแยอีก ส่วนเรื่องที่ตบะของเขาถูกพันธนาการ ไม่สามารถควบคุมภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกได้เพราะสาเหตุนี้ ซ่งอวี้จางกลับไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก


ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างซ่งอวี้จางกับผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างเว่ยป้อกลับยิ่งห่างเหินกันทุกขณะ


เด็กชายชุดเขียวเองก็นั่งยองอยู่ริมบ่อน้ำเหมือนกัน เขาไม่รู้เลยว่าน้ำใสในบ่อแห่งนี้ถูกย้ายมาจากไหน แต่ด้วยสถานะของเว่ยป้อ ขอแค่อยู่ในขอบเขตการปกครองของ ‘ขุนเขาเหนือต้าหลี’ ย้ายภูเขาเคลื่อนแม่น้ำถือเป็นเรื่องง่ายเหมือนยกฝ่ามือ


เด็กชายชุดเขียวนั่งมองน้ำใสในบ่อตาปริบๆ ได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองไม่อาจมองหาเบาะแสใดๆ เจอ เขาสัมผัสไม่ได้สักนิดเลยว่าทั้งๆ ที่อยู่ในถิ่นของตัวเองแท้ๆ เว่ยป้อที่นั่งยองอยู่ข้างกายกลับมีสีหน้าเกร็งทื่อเคร่งเครียด เม็ดเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก จะลุกขึ้นยืนก็ลุกไม่ได้เหมือนมีขุนเขากดทับลงบนบ่า


เวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลผันผ่าน เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายเต็มทนอ้าปากหาวหวอด นั่นถึงทำให้เขาสังเกตเห็นว่าข้างกายเว่ยป้อมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ เขายืนค้อมเอว สองมือไพล่หลัง ยิ้มตาหยีจ้องน้ำในบ่อ เขาสวมชุดคลุมนักพรตเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัว อายุยังน้อย หน้าตาถือว่าหล่อเหลา เพียงแต่รอยยิ้มค่อนข้างเจ้าเล่ห์ แค่มองก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นพวกที่ใช้ข้ออ้างขอดูลายมือเพื่อฉวยโอกาสจับมือสาวๆ หากเป็นเหมือนก่อนตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียง ด้วยนิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหของเด็กชายชุดเขียว คงบอกให้นักพรตหนุ่มคนนี้ไสหัวไปไกลๆ แล้ว เพียงแต่ว่ามาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ผ่านลมผ่านฝนมากหลายครั้ง เด็กชายชุดเขียวจึงสำรวมขึ้นเยอะมาก กระนั้นพอคิดว่าข้างกายของตนคือทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่มีร่างทองเปล่งประกาย ในเรือนไม้ไผ่ยังมีปรมาจารย์ใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ซึ่งน่ากลัวอย่างถึงที่สุดอยู่อีกท่านหนึ่ง เรายังต้องกลัวอะไรอีก?


เด็กชายชุดเขียวจึงรีบลุกขึ้นยืน กระแอมให้คอโล่ง “นี่ๆๆ นักพรตท่านนี้ ทำไมถึงไม่มีมารยาทเอาซะเลย บุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวทักทาย? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเฉินผิงอันนายท่านผู้เฒ่าของข้าคือเจ้าของภูเขาลูกนี้ทั้งลูก? อีกอย่างใกล้ๆ กับเรือนไม้ไผ่ยังมีงูดำตัวใหญ่ที่ดุร้ายอยู่อีกตัว มันชอบกินคนมากที่สุด ที่เจ้ามีชีวิตรอดมาได้ ต้องขอบคุณที่นายท่านใหญ่อย่างข้าคอยเกลี้ยกล่อมงูดำตัวนั้นด้วยความหวังดีทุกวันว่าต้องกินเจ ต้องกินเจ หาไม่แล้วตอนนี้เจ้าก็คง…หึหึ!”


เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนขึ้นกอดอก เชิดจมูกขึ้นสูง


แต่ในใจกลับหัวเราะเสียงดัง วะฮะฮ่า อดทนอดกลั้นมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็เจอกับคนธรรมดาที่ตนสามารถดุด่าสั่งสอนได้แล้ว! ไม่ง่ายเลยจริงๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ เด็กชายชุดเขียวยิ่งมองนักพรตหนุ่มคนนั้นก็ยิ่งถูกชะตา แทบจะเอ่ยเรียกเขาเป็นพี่เป็นน้องกับตน


“แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าข้าผู้เป็นนักพรตได้พึ่งใบบุญของเจ้าน่ะสิ ถึงได้รอดพ้นหายนะมาได้” นักพรตหนุ่มยิ้มสดใส รีบเอ่ยขอบคุณ


เมื่อท่าทางเช่นนี้ของนักพรตแปลกหน้าปรากฏอยู่ในสายตาของเด็กชายชุดเขียว เขาก็ให้รู้สึกว่าพี่ชายผู้นี้จริงใจกว่าเว่ยป้อที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่เหมือนสำลีซ่อมเข็มมากนัก แต่หลังจากเด็กชายชุดเขียวมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน พอถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี เห็นต้นไม้ใบหญ้าก็หวาดระแวงไปหมด จึงมองประเมินนักพรตอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีกลิ่นอายของผู้ฝึกลมปราณแม้แต่น้อย เขาก็ดีใจจนเกือบน้ำตาคลอเบ้า เดินอาดๆ เข้าไปหาแล้ว แล้วกระโดดสูงตบไหล่ของนักพรตหนุ่มหนึ่งที “ขอบคุณอะไรกัน ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันนายท่านผู้เฒ่าของข้าจะลงจากเขาไปได้บอกไว้แล้วว่า ตอนที่เขาไม่อยู่บ้าน ข้าต้องแบกรับภาระสำคัญ ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี ในฐานะที่เจ้าเป็นแขก ข้าจะปล่อยให้เจ้าตกใจขวัญเสียได้อย่างไร”


ผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ยืนอยู่หลังหน้าต่างบนเรือนไม้ไผ่เห็นภาพนี้เข้าก็หัวเราะเสียงดัง “ถ้าเจ้าแน่จริงก็ตบไหล่นักพรตท่านนี้อีกครั้งสิ”


ในใจเด็กชายชุดเขียวเกิดความระแวง เงยหน้ามองนักพรตหนุ่มคนนั้นหันไปมองผู้เฒ่าวิปลาสที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองอีกหลายที แล้วค่อยหันมามองนักพรตที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ ถามหยั่งเชิงว่า “พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ เจ้าเป็นเจินเหรินใหญ่ขอบเขตสิบ หรือเทียนจวินขอบเขตสิบเอ็ดสิบสองของลัทธิเต๋า?”


นักพรตหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”


เด็กชายชุดเขียวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “พี่ชายท่านนี้ พวกเราต่างก็เป็นคนในยุทธภพ ไม่ว่าวัยวุฒิจะสูงต่ำ ตบะจะลึกล้ำหรือตื้นเขิน ต่างก็พิถีพิถันในเรื่องการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ห้ามโกหกคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ?”


นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับ “ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ”


ต่ำกว่าขอบเขตสิบ อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้ตนเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ยังมีเว่ยป้อกับผู้เฒ่าเสียสติไม่ใช่หรือ หากยังหวาดผวาเกรงกลัวอยู่อีกก็ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ!


เด็กชายชุดเขียววิเคราะห์อย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าตนอยู่ในสถานะมิพ่ายแล้วก็พลันยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง กระโดดขึ้นสูงแล้วตบไหล่นักพรตอีกครั้ง “ข้าเห็นว่าฐานกระดูกของเจ้างดงามโดดเด่นไม่น้อย อย่าหมดอาลัยตายอยากเลย ก็แค่เทพเซียนพสุธาขอบเขตก่อกำเนิดของลัทธิเต๋าเท่านั้น เจ้าพยายามอีกไม่กี่ร้อยปี ถือว่ายังพอมีความหวัง หากไม่ได้จริงๆ วันหน้าโดนใครรังแก เจ้าก็บอกชื่อของข้าไปได้เลย บอกไปว่าเจ้ารู้จักกับ…ปลาขาวน้อยโต้คลื่นแม่น้ำอวี้เจียง หรือไม่ก็ราชามังกรน้อยแห่งภูเขาลั่วพั่ว สองฉายานี้เป็นอย่างไร? อันหนึ่งมีท่วงทำนองแห่งความสุนทรี อีกอันหนึ่งเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี…”


ผู้เฒ่าบนชั้นสองหัวเราะเสียงดังอย่างสำราญใจ ชูนิ้วโป้งให้เด็กชายชุดเขียว “งูน้ำน้อย ถือว่าเจ้าแน่จริง หากวันนี้เจ้าไม่ตาย วันหน้าเจ้าก็เอาเรื่องนี้ไปโม้ได้ตลอดชีวิตแล้ว!”


เด็กชายชุดเขียวกลืนน้ำลาย กลอกตาไปมา กระแอมหนึ่งที ไหล่ลู่คอตกเตรียมจะถอยหนี ปากก็พร่ำพูดไปด้วยว่า “ไปฝึกตนดีกว่า ไปฝึกตน การฝึกตนของวันนี้จะมัวล่าช้าอีกไม่ได้แล้ว”


นักพรตหนุ่มคลี่ยิ้ม พยักหน้ารับพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การฝึกตนไม่ควรล่าช้าจริงๆ นั่นแหละ ไปๆๆ ข้าผู้เป็นนักพรตพอจะมีความเข้าใจในการฝึกตนอยู่บ้าง เจ้าถามข้าตอบ ช่วยออกความคิดให้เจ้าได้”


จากนั้นเด็กชายชุดเขียวก็ตาพร่าลาย จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมาเดินเคียงบ่ากับตน นี่ยังไม่ถือว่าแปลก ที่แปลกก็คือข้างกายเว่ยป้อก็มีคนนั่งยองอยู่คนหนึ่ง ที่ประหลาดมากกว่านั้นก็คือตรงหน้าต่างชั้นสองก็มีคนยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเปลือยเท้า ส่วนด้านหลังนังเด็กโง่ที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ซึ่งกำลังยื่นหน้าออกมามองทางเขาก็มีคนผู้หนึ่งทำท่าลับๆ ล่อๆ มองมาเหมือนนางเช่นกัน


ทุกคนล้วนคือนักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัว!


เด็กชายชุดเขียวหลับตา ทำท่าเดินคลำทางไปข้างหน้าเหมือนคนตาบอด “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้ากำลังเดินละเมอ ข้ากำลังเดินละเมออีกครั้ง…”


ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบดวงตากลมโตคลอประกายน้ำปริบๆ เมื่อเทียบกับความไม่เคารพนับถือของเด็กชายก่อนหน้านี้แล้ว นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่าหวาดกลัว นักพรตหนุ่ม ‘คนนั้น’ ที่ยืนอยู่ข้างกายนางเอาสองมือสอดเข้าไปในชายแขนเสื้อ มองยันต์ตัวอักษรแต่ละตัวที่ปรากฏขึ้นบนกำแพงแล้วจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ตัวอักษรยังน่าสนใจขนาดนี้ ไม่เสียแรงที่ช่วย… ฮ่าๆ ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย”


ส่วนบนชั้นสอง นักพรตหนุ่มยืนพิงหน้าต่าง เอ่ยถามยิ้มๆ “ได้ยินว่าเจ้าอยากจะต่อสู้?”


ผู้เฒ่าเปลือยเท้าทำท่าคารวะตามหลักของลัทธิขงจื๊อก่อน ใช้สถานะบัณฑิตของสกุลชุยคำนับอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นถึงยืดตัวขึ้นตรง ถอยหลังไปสองก้าว กุมหมัดคารวะด้วยตัวตนของผู้ฝึกยุทธิ์ ไม่เหลือความเคารพยำเกรงใดๆ อีก กล่าวด้วยสายตาที่ฉายประกายเร่าร้อน “หวังว่าท่านเจ้าลัทธิลู่จะช่วยชี้แนะสักคำสองคำ!”


นักพรตหนุ่มแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้งและโล่งอก กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ได้เลยๆ หากแค่คำสองคำก็ได้อยู่ แต่ถ้าสามสี่ห้าคำล่ะก็ ข้าผู้เป็นนักพรตคงลำบากใจมาก เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ร่างอยู่ในใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้า สองขาก็เหมือนย่ำอยู่ในปลักโคลน เดินได้ไม่เร็ว กระโดดได้ไม่สูง”


ข้างบ่อน้ำ นักพรตหนุ่มที่นั่งยองเคียงข้างเว่ยป้อเอ่ยถามว่า “เทพภูเขาใหญ่เว่ย ช่วยบอกข้าผู้เป็นนักพรตหน่อยได้ไหมว่า น้ำที่อยู่ในบ่อ รวมไปถึงเมล็ดดอกบัวทองที่ฝังอยู่ข้างใต้มีที่มาอย่างไร?”


เว่ยป้อยังคงลุกขึ้นยืนไม่ได้ ได้แต่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ตอบบุรพาจารย์เจ้าลัทธิ น้ำนี้ข้าแอบขโมยมาจากน้ำพุสามหมื่นจินของแคว้นเสินสุ่ยก่อนหน้าที่แคว้นเสินสุ่ยจะล่มสลาย ส่วนเมล็ดดอกบัวทองเมล็ดนั้นก็เป็นของโบราณที่อยู่ในคลังสมบัติเชื้อพระวงศ์แคว้นเสินสุ่ย ปีนั้นแม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์และผู้เฒ่ากองโหราศาสตร์ก็ยังบอกที่มาของมันได้ไม่แน่ชัด รู้แค่ว่าได้รับสืบทอดอย่างทะนุถนอมมาหลายยุคหลายสมัย หลังจากที่แคว้นเสินสุ่ยสิ้นชาติ ตอนที่พวกเขาอพยพหลบหนีได้เดินทางผ่านภูเขาฉีตุน เจอเข้ากับข้า สุดท้ายข้าจึงได้เมล็ดพันธ์นี้มา เลยคิดว่าจะสามารถอาศัยน้ำของน้ำพุวิเศษมาเพาะพันธ์ดอกบัวม่วงทองที่มีเฉพาะในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาซึ่งกล่าวถึงไว้ในตำนานได้หรือไม่”


เพราะเว่ยป้อคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ เป็นเจ้าของเทือกเขาทั้งหมด ชะตาชีวิตของเขาและเทือกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าเป็นทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคี ทว่าบางครั้งหายนะก็มาพร้อมกับโชคช่วย นี่จึงกลายมาเป็นพันธนาการขององค์เทพแห่งแม่น้ำและขุนเขา หลังจากที่นักพรตเต๋าสวมกวานดอกบัวคนนี้ปรากฏตัว เว่ยป้อก็ถูกนักพรตเต๋าเหยียบจนไม่อาจขยับเขยื้อน ต่อให้นักพรตจะเหยียบลงบนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น แต่อันที่จริงกลับไม่ต่างอะไรไปจากเหยียบลงบนศีรษะของเขาเว่ยป้อ


หากนักพรตเหยียบให้ภูเขาลั่วพั่วพังทลาย ถ้าเช่นนั้นร่างทองของเว่ยป้อที่อยู่บนภูเขาพีอวิ๋นก็อาจจะเสียแขนไปเกินครึ่ง


นักพรตหนุ่มส่ายหน้าเอ่ยตอบโต้ว่า “ไม่ได้มีแค่ในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาแห่งเดียวเท่านั้น จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีบงกชม่วงทองที่คุณภาพยอดเยี่ยมอยู่สามต้น แถมยังเติบโตได้ไม่เลว สูงตั้งสิบกว่าจั้ง”


เว่ยป้อไร้คำพูดตอบโต้


—–


บทที่ 222.2 การจากลาบางครั้งก็สามารถกลับมาพบกันได้ใหม่

โดย

ProjectZyphon

นักพรตเต๋าคนนี้ก็คือลูกศิษย์คนที่สามของมรรคาจารย์เต๋าแห่งใต้หล้ามืดสลัว ลู่เฉิน


ลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวแบ่งออกเป็นอีกสามลัทธิ เจ้าลัทธิของลัทธิทั้งสามนี้มีตำแหน่งสูงส่งเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คน เทียบเท่ากับหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและเหวินเซิ่งของใต้หล้าไพศาล


ลู่เฉินตบศีรษะของเด็กชายชุดเขียว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พอเถอะ เลิกทำเป็นหูหนวกตาบอดได้แล้ว หากข้าผู้เป็นนักพรตคิดจะทำอะไรกับเจ้าจริงๆ เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะมีประโยชน์งั้นหรือ?”


จนถึงตอนนี้เด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่รู้ตัวตนของลู่เฉิน แต่ดูจากวิชาอภินิหารของนักพรตเต๋าสวมกวานดอกบัวผู้นี้ ประเด็นสำคัญคืออีกฝ่ายยังใช้มันต่อหน้าเว่ยป้อและผู้เฒ่าวิปลาสด้วย เด็กชายชุดเขียวจึงรู้ว่าตัวเองมาชนตอเข้าอีกแล้ว อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้มากว่าตอนี้จะแข็งกว่าทุกครั้งที่เคยพบมาก่อนหน้านี้มากนัก


“ท่านผู้นี้” ลู่เฉินเดินไปทางหน้าผาเป็นเพื่อนเด็กชายชุดเขียว เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เคยได้ยินเรื่องปิดหูขโมยกระดิ่งหรือไม่?”


เด็กชายชุดเขียวยกหลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดเหมือนสะอื้น “เคย”


ลู่เฉินถามว่า “แล้วรู้สึกว่าอย่างไร? บอกมาตามความรู้สึกที่แท้จริง”


เด็กชายชุดเขียวสูดน้ำมูก “แค่รู้สึกว่าสนุก”


ลู่เฉินทอดถอนใจ “เด็กมีอนาคตสามารถสั่งสอนได้”


เด็กชายชุดเขียวพลันนั่งยองลงไป ยกสองมือกุมหัว ทอดสายตามองไปยังทิศไกลอย่างเหม่อลอย ใบหน้าเต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยากน่าเวทนายิ่ง


เขาเริ่มคิดถึงเฉินผิงอันแล้ว หากเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย ต่อให้ขอบเขตของนายท่านผู้เฒ่าคนนี้จะไม่สูงมากพอ แต่เด็กชายชุดเขียวกลับรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา


ลู่เฉินลบสีหน้าเมตตาปราณีทิ้งอย่างสิ้นเชิง เบี่ยงตัวก้มหน้าลงมองเด็กน้อยที่กำลังเหม่อลอย เอ่ยถามเสียงเบาว่า “งูน้ำน้อย อยากติดตามข้าผู้เป็นนักพรตไปยังใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่?”


เด็กชายชุดเขียวเงยหน้า น้ำตานองเต็มใบหน้า ดวงหน้าเล็กๆ ยับยุ่ง ปากบิดเบ้ พูดน่าสงสาร “หากข้าปฏิเสธ ท่านจะยกเท้าเหยียบให้หัวข้าเละเลยหรือไม่?”


ลู่เฉินส่ายหน้ายิ้ม “แน่นอนว่าไม่ ข้าผู้เป็นนักพรตก็แค่จะย้ายบ่อน้ำบ่อนั้นไป เพราะไม่ว่าจะน้ำพุข้างในก็ดี หรือเมล็ดพันธ์บัวทองก็ช่าง ต่างก็ถือเป็นของที่ข้าผู้เป็นนักพรตทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันสูญเสียโชควาสนาครั้งใหญ่ไป เจ้ามักจะชมตัวเองว่าเป็นวีรบุรุษเป็นชายชาตรีไม่ใช่หรือ? เจ้ากินดื่มของคนอื่นเขาโดยไม่จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียวมาตลอดทาง จะไม่มีน้ำใจสักหน่อยหรือ? จะดีจะชั่วก็ควรทำอะไรเพื่อเฉินผิงอันบ้างไม่ใช่หรือไง?”


เด็กชายชุดเขียวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตายังพร่ามัวไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่มีน้ำใจแค่ครั้งสองครั้ง เฉินผิงอันก็ไม่ตำหนิข้าหรอก”


ลู่เฉินกุมขมับ มาเจอเข้ากับคนซื่อบื้อแบบนี้ เขาก็จนปัญญาเหมือนกัน ช่างเถอะ วาสนายังมาไม่ถึง ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน


เขาถอนหายใจ เอ่ยกับเด็กชายชุดเขียวว่า “วันหน้าบอกกับเฉินผิงอันด้วยว่า เรื่องของบ่อน้ำ เขาติดค้างน้ำใจข้าหนึ่งครั้ง อนาคตยังต้องคืนให้ข้า ส่วนเจ้า ตอนที่จะลงน้ำกลายเป็นเจียว สามารถไปที่แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตกของกุรุทวีป หากสามารถประคองตัวไปได้จนถึงแม่น้ำตอนบนก็เท่ากับเจ้าประสบความสำเร็จ ถึงเวลานั้นสามารถให้เฉินผิงอันช่วยคุ้มกันให้กับเจ้าได้ อืม นี่ก็คือน้ำใจที่เขาต้องใช้คืนให้ข้าผู้เป็นนักพรต”


เด็กชายชุดเขียวถามหยั่งเชิง “เหตุใดท่านเซียนถึงดีกับข้าขนาดนี้?”


ลู่เฉินมองความคิดของเจ้าตัวน้อยออกจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หนึ่ง ข้าผู้เป็นนักพรตมิใช่บิดาหรือบรรพบุรุษที่พลัดพรากจากเจ้าไปนานหลายปี สอง ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้สนใจในเนื้อหนังเจียวหลงของเจ้าหลังจากที่เจ้ากลายร่างเป็นเจียวแล้ว สาม การที่ข้าผู้เป็นนักพรตแนะนำเจ้าก็เพราะชาติกำเนิดของเจ้าค่อนข้างจะพิเศษ อีกทั้งวันหน้ายังอาจจะถามเจ้าอีกครั้งว่าอยากไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่”


แล้วร่างของลู่เฉินก็วูบหายไป


เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืนมองไป ข้างกายของนังเด็กโง่กับเว่ยป้อก็ไม่มีนักพรตสวมกวานดอกบัวแล้ว


วินาทีนั้นเขาที่น้ำหูน้ำตาไหลเต็มหน้าพลันหัวเราะ เดินอาดๆ กลับไปหาเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่ตรงเรือนไม้ไผ่ กล่าวอย่างฮึกเหิมว่า “นังเด็กโง่ รู้หรือไม่! ท่านเซียนผู้เฒ่าชมว่าพรสวรรค์ของข้ายอดเยี่ยมมาก เกือบจะคุกเข่าขอรับข้าไปเป็นลูกศิษย์ แถมยังบอกด้วยว่าจะพาข้าไปใช้ชีวิตเสวยสุขอยู่ที่ใต้หล้าอะไรสักอย่างนี่แหละ! ข้าเป็นใครกัน ในเมื่อยอมรับเฉินผิงอันเป็นนายท่านผู้เฒ่าแล้ว ก็ควรจะต้องมีคุณธรรมของคนในยุทธภพถูกหรือไม่? ก็เลยปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล เจ้าไม่เห็นว่าตอนนั้นในดวงตาของท่านเซียนผู้เฒ่าเปล่งวูบวาบไปด้วยประกายน้ำตา เฮ้อ น่าสงสารท่านเซียนผู้เฒ่าที่มีความจริงใจ จะโทษก็ต้องโทษที่เฉินผิงอันโชคดีเกินไป รับข้าเป็นเด็กรับใช้ แล้วก็ต้องโทษข้าที่มีน้ำใจเกินไป! อ้อ ใช่แล้ว นังเด็กโง่ ท่านเซียนผู้เฒ่าพูดอะไรกับเจ้ารึ?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูชูมือเล็กๆ ขึ้นมา ในมือมีแสงสีทองเปล่งระยิบระยับ นางกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านเซียนผู้เฒ่าคุยเรื่องกฎการเขียนตัวอักษรบางอย่างกับข้า สุดท้ายบอกว่าเจ้าต้องมาพูดจาเหลวไหลให้ข้าฟังแน่นอน เลยให้ข้าตบหน้าเจ้าแทนเขา”


แล้วเสียงเพี๊ยะก็ดังกังวาน


เด็กชายชุดเขียวถูกฝ่ามือสีทองตบลงบนใบหน้าเต็มแรง ร่างทั้งร่างหมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายตลบกว่าจะร่วงลงพื้น เด็กชายชุดเขียวนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น แกล้งตายมันเสียเลย


เว่ยป้อที่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำหันไปมองชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ที่เงียบสงบด้วยความกังวลใจ


……


แคว้นกู่อวี๋ จวนส่วนตัวที่มีนามว่า ‘จวนต้าเม่า’ มีบัณฑิตหน้าตาหล่อเหลาเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งที่ใบหน้าซีดขาวคล้ายป่วยไข้กำลังกินปลาเปรี้ยวหวานดอกท้อซึ่งเพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ มือข้างซ้ายของเขาถือช้อนเงินที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ มือข้างขวาถือตะเกียบสีเขียวคู่หนึ่ง รับประทานอาหารเลิศรสมื้อนี้อย่างเชื่องช้า ข้างมือยังมีเหล้าหมักของบรรณาการจากแคว้นกู่อวี๋วางไว้หนึ่งกา บางครั้งเขาจะวางตะเกียบลงแล้วยกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งคำ


หน้าโต๊ะอาหารของบัณฑิตผู้สง่างามมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณระดับสูงสุดซึ่งมีชื่อเสียงสยบหนึ่งทิศทางของแคว้นกู่อวี๋ยืนอยู่


ปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่มีวรยุทธ์เป็นขอบเขตสี่ขั้นสูงสุดฝึกฝนเล่าเรียนด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จ จิตสังหารรุนแรงอย่างถึงที่สุด เขาที่อยู่ในยุทธภพของแคว้นกู่อวี๋และแคว้นรอบๆ อีกหลายแคว้นมีทั้งชื่อเสียงดีและเลวปะปนกันไป เป็นที่ยอมรับกันว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์สูง แต่กลับไร้คุณธรรม มีเพียงผู้ที่เลื่อมใสปรมาจารย์ท่านนี้เท่านั้นที่จะเชื่อมั่นในตัวเขา ขอเพียงแค่เจอกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างไม่ว่าจากสำนักใดก็ตาม เขาก็สามารถกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง


นักฆ่าขอบเขตสี่คนหนึ่งที่ไม่ได้ปกปิดโฉมหน้า คือชายฉกรรจ์หยาบกระด้างไม่สะดุดตาคนหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาสวมหน้ากากใบหน้าปลอมเอาไว้ คนผู้นี้คือเจ้าของหอหม่ายตู๋ (ซื้อกล่อง) แห่งแคว้นกู่อวี๋ หอหม่ายตู่คือองค์กรนักฆ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปหลายแคว้น ความหมายก็คือราคายุติธรรม ผู้ว่าจ้างแค่เอาเงินใส่กล่องไม้มาก็จะได้รับของตอบแทนเป็นไข่มุก (มาจากสำนวนหม่ายตู๋หวนจู ซื้อกล่องคืนไข่มุก ใช้เปรียบเทียบกับผู้ที่มีตาแต่หามีแววไม่ ไม่อาจแยกแยะว่าสิ่งใดมีคุณค่าที่แท้จริง สิ่งใดเป็นเพียงเครื่องปรุงแต่ง)


เขาเคยรับงานมาทำเองงานหนึ่ง คือการสังหารผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง อีกนิดเดียวก็เกือบจะทำสำเร็จ หากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีสมบัติของสำนักที่ไม่แพร่งพรายชิ้นหนึ่ง เกรงว่าเขาคงทำสำเร็จแล้ว หลังจากนั้นมาหอหม่ายตู๋ก็เจอกับการแก้แค้นที่หนักหน่วงรุนแรงดุจสายฟ้าหนักหมื่นชั่งจนเกือบจะต้องทำตัวหายเข้ากลีบเมฆ ทว่าช่วงเวลานี้หอหม่ายตู๋ก็ได้แสดงให้เห็นถึงเลือดนักสู้แห่งยุทธภพที่มากพอ พวกเขาไล่ล่าสังหารลูกศิษย์ของตระกูลเซียนแห่งนั้นที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์โดยเฉพาะ พัวพันโรมรันกันอยู่เป็นเวลายาวนานถึงยี่สิบกว่าปี ฝ่ายหนึ่งเกือบจะพินาศดับสูญ อีกฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายราชครูของแคว้นกู่อวี๋ต้องออกหน้ากำราบด้วยตัวเอง ทั้งสองฝ่ายถึงยุติการต่อสู้ลง


เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าสำนักในยุทธภพไม่ได้มีเพียงผู้ที่เอาตัวรอดไปวันๆ หรือผู้ที่ยืมจมูกคนอื่นหายใจเท่านั้น ยังมีความห้าวหาญเยี่ยงวีรบุรุษผู้กล้าที่ยอมทุ่มสุดตัว กล้ากระชากเทพเซียนลงมาจากภูเขาด้วย


ผู้ฝึกลมปราณที่เหลืออีกสองคน สตรีโตเต็มวัยเรือนร่างเย้ายวนคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนอิสระ เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ มีวิธีการมากมายไม่ซ้ำรูปแบบ สามารถทำให้จิตวิญญาณของคนเน่าเปื่อยยุ่ยสลายได้โดยที่ป้องกันอย่างไรก็ไม่เป็นผล ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพหรือเทพเซียนบนภูเขาก็ไม่มีใครยินดีที่จะหาเรื่อง ‘ฮูหยินอสรพิษ’ ผู้นี้


แต่ผู้ฝึกลมปราณอีกคนหนึ่งกลับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนในราชสำนักแคว้นกู่อวี๋


เหตุผลที่ทำให้บุคคลยิ่งใหญ่ทั้งสี่มารวมตัวกันนั้นง่ายมาก คนหนุ่มที่มองแล้วดูคล้ายบัณฑิตที่เดินทางมาสอบในเมืองหลวงผู้นั้นก็คือราชครูของแคว้นกู่อวี๋


กินปลาเปรี้ยวหวานดอกท้อสดใหม่รสชาติดีเยี่ยมจานนั้นอิ่มแล้ว เขาก็ควักกระดาษสามแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ แต่ละแผ่นล้วนวาดภาพเหมือนของบุคคลหนึ่งเอาไว้ เขางอนิ้วเคาะลงไปยังภาพของเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลัง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในคลังสมบัติมีสมบัติอาคมระดับสามอยู่ชิ้นหนึ่ง ใครที่สามารถฆ่าคนผู้นี้ได้สำเร็จก็เอามันไปด้วยกันได้เลย บอกไว้ก่อนว่ามีความเป็นได้มากที่เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหก ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสามเป็นแค่ภาพลวงตา อย่าถูกเขาหลอกเด็ดขาด ข้าสนแค่หัวของเขาเท่านั้น ส่วนข้อที่ว่าจะฆ่าอย่างไร ข้าไม่สนใจ คนอื่นๆ อีกสองคน หากฆ่าได้ก็มีรางวัลเหมือนกัน ทุกท่านวางใจได้”


คนทั้งสามทยอยกันจากไป เหลือเพียงผู้ฝึกลมปราณที่ชื่อเสียงไม่โดดเด่นคนนั้น


เขาเอ่ยเย้ยว่า “ราชครูฉู่ ใช้ทรัพย์สินของผู้อื่นมาหลอกให้คนทำประโยชน์แก่ตน ไม่ค่อยดีกระมัง?”


บัณฑิตยิ้มบางๆ ถามว่า “คือความหมายของเจ้า หรือความหมายของฮ่องเต้ล่ะ?”


คนผู้นั้นเงียบไม่ตอบคำถาม


บัณฑิตเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แค่เจ้าเอาศีรษะคนมาได้ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? ของก็ยังเป็นของในคลังสมบัติสกุลฉู่ ก็แค่มาเปลี่ยนมือที่ข้าเท่านั้น”


คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นแล้วหมุนกายจากไป


……


หลังจากหยุดจอดที่แคว้นหนันเจี้ยน เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวลำนั้นก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะยานลมลงใต้ไปอีกครั้ง


เรือคุนที่ขับเคลื่อนอยู่กลางอากาศตำแหน่งกึ่งกลางค่อนไปทางใต้ของแจกันสมบัติทวีปยังคงพบเจอกับสภาพอากาศดีที่ลมพลิ้วไหวเมฆเคลื่อนคล้อย


ยามสนธยาของวันนี้ ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมหมวกขนเตียวที่ฟันหักไปซี่หนึ่งเดินออกมาจากเรือนพักหลังเดี่ยวที่หรูหราของตน มายังหัวเรือที่การมองเห็นเปิดกว้างอย่างถึงที่สุด ดวงอาทิตย์กลมโตตกลงทางทิศตะวันตก เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่งามจับตา


ผู้เฒ่ามองภาพนี้อยู่นาน โดยไม่ทันรู้ตัวก็มีสตรีผู้หนึ่งที่ออกมาเดินเล่นเช่นเดียวกันมายืนอยู่ข้างกาย ใช้กระบี่บินขนาดเล็กชื่อว่า ‘สายฟ้าแลบ’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งกุรุทวีปมาเป็นปิ่นปักผม นางเองก็มีจินตนาการที่เลิศล้ำยิ่งนัก แน่นอนว่าที่มากกว่านั้นคือการยอมจ่ายเงินมือเติบอย่างใจกว้าง


ตรงปลายหางของสายฟ้าแลบมีไข่มุกเม็ดหนึ่งห้อยอยู่ เหตุผลยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ เป็นเพราะบิดาของหญิงสาวกลัวว่าสายฟ้าแลบเร็วเกินไป บุตรสาวจะไม่สามารถควบคุมมันได้ จึงไปหาไข่มุกชือ (ชือคือมังกรที่ไม่มีเขาในตำนาน) เม็ดหนึ่งมาจากพื้นที่ลับของวังมังกรแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขายังยอมหลอมกระบี่ขึ้นมาใหม่รอบหนึ่ง เพื่อใช้มันเจาะรูให้กับไข่มุก หวังชะลอความเร็วของกระบี่บิน


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อไม่ได้หันหน้าไปมองเด็กสาวที่เพิ่ง ‘ผูกปมแค้น’ กันเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เฒ่าหัวเราะ แต่ริมฝีปากไม่ขยับ เขาทำเพียงแค่ส่งเสียงในใจไปให้นาง “แม่นางน้อย เจ้าไม่ควรมาพบข้า ระวังว่าจะเผยพิรุธ ถึงเวลานั้นต่อให้บิดาของเจ้าจะรักเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”


เด็กสาวสีหน้าเย็นชา ตอบกลับด้วยเสียงในใจ “ผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่ง เหตุใดเจ้าต้องทำอะไรแบบนี้ เจ้าไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีลูกหลาน แล้วก็ไม่มีลูกศิษย์…”


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อยกมือลูบหมวกขนเตียว คราวนี้เขาเปล่งเสียงพูดออกมาโดยตรงอย่างไม่คิดปิดบังอีกต่อไป “แม่นางน้อย หากเจ้าไม่ชอบคุณชายหูลวี่ผู้นั้นก็พูดออกมาตรงๆ สิ ไม่ต้องรู้สึกว่าผู้ชายคนหนึ่งถ้าเป็นคนดี แล้วเจ้าจะต้องชอบเขาได้ วันหน้าหากเจอกับบุรุษที่เจ้าชอบจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนเลว แล้วเจ้าจะต้องไม่ชอบเขาคนนั้น”


ใบหน้าของเด็กสาวแดงก่ำเล็กน้อย


ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ระหกระเหินมาทั้งชีวิต สี่สมุทรคือบ้าน สุดท้ายกลับรู้สึกว่าเรือนเล็กๆ บนเรือคุนหลังนี้ทำให้คนสงบจิตใจได้ โชคดีที่ก่อนจะขึ้นเรือนำตำรามาด้วยหนึ่งหลัง ทุกวันพอเปิดประตูออกมาก็เห็นทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล เห็นภูเขาแม่น้ำ ดวงตะวันดวงจันทรา ช่างสบายตาสบายใจซะจริง กลับไปแล้วปิดประตูลงก็คือตำราที่วางไว้เต็มโต๊ะ บทความแห่งคุณธรรมสามารถฝึกจิตใจได้…”


เด็กสาวถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที


การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ บิดาของนางเป็นคนจัดการให้ บอกว่าจะต้องให้นางออกจากบ้านมาผ่อนคลายจิตใจให้ได้


แรกเริ่มบิดาของนางคิดจะเปิดโอกาสให้นางกับคุณชายหูลวี่คนนั้น จนกระทั่งมาถึงท่าเรือภูเขาอู๋ถงแห่งราชวงศ์ต้าหลีถึงได้รู้ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่นางคิด


เมื่อวานนางถึงเพิ่งรู้เรื่องภายในอย่างแท้จริง เพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งผู้นี้กลับเป็นหมากสำคัญ


เป็นกระดานหมากที่กว้างใหญ่ยิ่งนัก


นางถึงขั้นคิดว่าตัวเองก็ตกเป็นหมากในกระดานนี้ด้วย


—–


บทที่ 222.3 การจากลาบางครั้งก็สามารถกลับมาพบกันได้ใหม่

โดย

ProjectZyphon

ผู้เฒ่าสวมหมวกขนเตียวโบกมือ “ไปเถอะๆ ข้าไม่ใช่หนุ่มน้อยหล่อเหลาอะไร เจ้าเป็นสาวเป็นนาง มายืนดูพระอาทิตย์ตกกับตาแก่คนหนึ่ง เจ้าไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ข้ากลับครั่นเนื้อครั่นตัว”


เด็กสาวเดินจากไปเงียบๆ พอกลับมาถึงเรือนของตัวเองก็กลั้นหายใจทำสมาธิ รอการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง


ผู้ฝึกตนวัยชราจากกุรุทวีปที่มีฉายาว่าเจี้ยนเวิ่งจุ๊ปากเดาะลิ้น ถอดหมวกขนเตียวลง ตบลงไปบนหมวกหนักๆ สองครั้ง แล้วโยนมันออกไปนอกเรือคุน ปล่อยให้มันปลิวไปกับสายลม “ไปเถอะ เจ้าเพื่อนยาก”


ผู้เฒ่าหันกลับไปมองทางทิศเหนือ ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม เขาเคยเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่มีคุณสมบัติว่าจะได้เป็นวิญญูชนของกุรุทวีป แต่เพราะนิสัยเลวร้ายเกินไป หยิ่งยโสโอหังด้วยถือดีว่ามีความรู้ความสามารถ ตั้งแต่เช้ายันเย็น ตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีก็เอาแต่ด่าทอ ด่าว่าขุนนางในราชสำนักว่าเข้าครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างโดยไม่ยอมทำงาน ด่าขุนพลฝ่ายบู๊ว่าดีแต่กินข้าวร่ำสุราแต่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ด่าฮ่องเต้ว่าเป็นกษัตริย์โง่เขลา ด่าไปด่ามาก็ด่ามาถึงตัวเองที่เป็นบัณฑิตไร้ประโยชน์


ภายหลังเมื่อไม่มีทั้งบ้านและแคว้น ผู้เฒ่าก็ด่าไม่ออกอีก


ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ไม่มีหมวกขนเตียวแล้วเดินกลับไปยังลานบ้านขนาดเล็ก ตลอดทางที่เจอกับพวกคนงานหรือผู้คุมของภูเขาต่าเจี้ยว ทุกคนต่างก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความนอบน้อม ในใจผู้เฒ่ารู้สึกละอายเล็กน้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงเป็นปกติ เอ่ยทักทายพวกเขา พูดคุยหยอกล้อ ทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดสนิทใจมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เทียบกับคุณชายหูลวี่ที่ไม่ชอบพูดไม่ชอบยิ้ม หรือชิงกู่ฮูหยินที่มีนิสัยเหี้ยมอำมหิตแล้ว ผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งคนนี้ ‘น่ารัก’ กว่าเป็นไหนๆ


ท่ามกลางแสงสายัณห์ ผู้เฒ่าเดินกลับห้องของตัวเอง หยิบตำราเล่มหนึ่งของลัทธิขงจื๊อมานั่งอยู่ในลานบ้าน ไม่ได้เปิดหน้าหนังสือออกอ่าน เพียงแค่หลับตาลงแล้วเริ่มงีบหลับ


อาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ด้านล่างเรือคุนคือพื้นที่ของราชวงศ์จูอิ๋ง เป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในแจกันสมบัติทวีป เล่าลือกันว่าปีนั้นที่เว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาแห่งศาลลมหิมะออกเดินทางในยุทธภพเป็นครั้งแรก เคยได้มาอยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งเป็นเวลานานมาก เขาเปิดฉากสังหารอยู่หลายครั้ง คู่ต่อสู้ของเขาล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ประสบความสำเร็จของราชวงศ์จูอิ๋ง


ราชวงศ์จูอิ๋งคือกองกำลังที่เจริญรุ่งโรจน์ทางภาคใต้ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ รัฐเล็กๆ ใต้อาณัติมีมากถึงสิบกว่าแห่ง ลำพังเพียงแค่ที่ดินของแคว้นก็เป็นรองแค่ต้าหลีที่ฮุบรวมสกุลหลูทางทิศเหนือเท่านั้น และในบรรดาลูกหลานมังกรของอดีตฮ่องเต้แคว้นจูอิ๋ง ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่ตัดสินใจสละบัลลังก์ตั้งแต่แรกอย่างเด็ดขาดก็มีถึงสองคน ในกลุ่มสี่ผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบคนหนึ่งเคยประมือกับหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมหิมะซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งเบื้องล่างห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปมาถึงสามครั้ง แม้ว่าจะแพ้ทั้งสามครั้ง แต่ก็เพราะขีดจำกัดด้านความต่าง ไม่อย่างนั้นหลี่ถวนจิ่งก็ไม่มีทางตอบรับการท้ารบสองครั้งสุดท้าย


ก่อนหน้านี้สองราชวงศ์ใหญ่ที่อยู่ทางเหนือของสำนักศึกษากวานหูทำสงครามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บสาหัส สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล ราชวงศ์จูอิ๋งที่อยู่ทางทิศใต้ห่างมาไม่ไกลนักทำเพียงนั่งดูไฟชายฝั่ง คนทั่วทั้งราชสำนักต่างก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น


แจกันสมบัติทวีปมีแคว้นมากมายเหมือนต้นไม้ในผืนป่า ทว่า ‘ราชวงศ์’ ที่สมกับชื่ออย่างแท้จริงก็มีจำนวนแค่สองมือนับเท่านั้น


ราชวงศ์สกุลหลูทางทิศเหนือเป็นดั่งกลุ่มควันที่ลอยผ่านสายตาไปแล้ว ว่ากันว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่แขวนคอตายก็แขวนคอตาย ที่กระโดดบ่อน้ำก็กระโดดบ่อน้ำ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลายไปเป็นนักโทษลี้ภัย ถูกบีบให้ไปบุกเบิกภูเขาขุดดินให้กับสกุลซ่งต้าหลี สกุลเกาต้าสุยเป็นดั่งฝ่ามือข้างเดียวที่ตบไม่ดัง ขยับลงใต้ไปอีกก็คือสองราชวงศ์คู่แค้นที่ทำสงครามกันอย่างดุเดือด แม้แต่สมบัติน้อยนิดที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ก็เอาไปทุ่มในสงครามจนหมด สู้กันจนพินาศวอดวายทั้งสองฝ่าย ศพกลาดเกลื่อนเต็มพื้น เลือดไหลนองไปพันลี้ สถานที่ที่สองราชวงศ์เลือกเป็นสนามตัดสินชะตากรรมถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องกลายเป็นซากปรักหักพังของสมรภูมิรบแห่งหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์


ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่เหนือแคว้นหนันเจี้ยนและสำนักศึกษากวานหูขึ้นมาเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน


ทางทิศใต้กลับยังคงสงบสุข ผู้คนระบำรำฟ้อนเฉลิมฉลอง


ทว่ายามพลบค่ำของวันนี้ บนยอดเขาไม่ทราบชื่อในขอบเขตของราชวงศ์จูอิ๋งพลันมีปราณกระบี่นับพันนับหมื่นเส้นผุดพวยพุ่ง ส่องให้รัศมีหลายสิบลี้โดยรอบสว่างไสวราวกับยามกลางวัน ปราณกระบี่พุ่งเข้าไปยังชั้นเมฆเหมือนม่านน้ำตกที่ทวนกระแสพุ่งจากเบื้องล่างขึ้นสู่งเบื้องบน ระบายปราณอันเดือดพล่านเข้าใส่เรือคุนที่ลอยลำอยู่กลางอากาศพอดี


เพียงเสี้ยววินาที เรือคุณขนาดมโหฬารที่เดินทางข้ามผ่านทวีปก็ทะลุเป็นหลุมเป็นรูนับร้อยนับพัน คนหลายร้อยคนตายอนาถคาที่ ปลาคุนที่ถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัสร้องโหยหวนดิ้นสะบัดอย่างรุนแรง เดิมทีเมื่อถูกปราณกระบี่โจมตี ค่ายกลที่ใช้ยึดสิ่งปลูกสร้างมากมายให้ตั้งอยู่บนบนสันหลังของเรือคุนอย่างมั่นคงก็พังทลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว พอปลาคุนสะบัดตัวแบบนี้ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างลงบนหิมะ บวกกับที่บนท้องฟ้ามีพายุลมกรดพัดกระโชกแรง คนอีกหลายร้อยคนจึงพัดวูบตกจากสันหลังปลาคุน ร่างกระแทกพื้นดินตายอยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋ง


เรือคุนถูกทำลายคือสถานการณ์ที่ถูกกำหนดมาไว้แน่นอนแล้ว ผู้ฝึกลมปราณของภูเขาต่าเจี้ยวซึ่งรวมไปถึงเจ้าของเรือต่างก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองปลาคุนที่ดิ้นรนก่อนตายดิ่งวูบลงไปบนพื้นอย่างต่อเนื่อง


ระหว่างนั้นมีนักพรตใหญ่ที่ตระหนกลนลานทะยานตัวขึ้นกลางอากาศเป็นระยะ พวกชิงกู่ฮูหยินก็คือคนกลุ่มหนึ่งในนั้น


ชิงกู่ฮูหยินที่ร่างผอมแห้งสูงโปร่งสีหน้าเขียวคล้ำ พอดวงตาที่แคบยาวหรี่ลงก็ยิ่งฉายประกายคมกริบ มือหนึ่งของนางอุ้มลูกชาย อีกมือหนึ่งคว้าคอของสามี จ้องเขม็งไปยังเรือคุนที่ดิ่งวูบลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ย้ายสายตาไปมองต้นกำเนิดของปราณกระบี่เหล่านั้น ราวกับว่าต้องการตามหาตัวการร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องครั้งนี้


มีนักพรตที่มองไกลๆ ร่างเล็กเหมือนเมล็ดข้าวสารทะยานตัวขึ้นกลางอากาศไม่ขาดสาย พยายามหนีห่างจากเรือคุนให้ได้โดยเร็วที่สุด


ทว่าพวกผู้ฝึกลมปราณที่ไม่อาจบินกลางอากาศกลับถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องปล่อยชะตาชีวิตให้เป็นไปตามลิขิตของสวรรค์ อีกอย่างหากร่างของปลาคุนกระแทกลงพื้นดิน ทุกคนต้องตายกันหมดอย่างแน่นอน ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรอดหายนะครั้งนี้มาได้เลย


แต่เวลานี้เองกลับมีแสงสีทองที่ยาวมากเส้นหนึ่งวาดเส้นโค้งมาจากทางทิศเหนือ


แสงทองมาหยุดอยู่ใต้เรือคุน


นั่นคือหลวงจีนวัยกลางคนที่ใบหน้าแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว เห็นเพียงว่าเขาใช้สองมือยันปลาคุนเอาไว้ คำรามกร้าวอย่างเดือดดาล หัวเข่าสองข้างงอเล็กน้อย ใต้ฝ่าเท้ามีดอกบัวสีทองขนาดใหญ่ผุดลอยขึ้นมา


ทว่าการร่วงดิ่งของเรือคุนรุนแรงถึงเพียงนั้น นี่จึงไม่ต่างจากขุนเขาที่กดทับลงมาบนศีรษะของเขา


หลวงจีนถูกกดทับจนร่างลดต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ดอกบัวใต้ฝ่าเท้าพากันปริแตก แม้ว่าการปรากฎตัวของเขาจะช่วยชะลอความเร็วในการร่วงลงของเรือคุนไว้ได้ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าหลวงจีนเองก็คงต้องถูกศีรษะของปลาคุนพากระแทกลงไปใต้ดินหลายสิบจั้ง


เลือดสดๆ ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของหลวงจีนวัยกลางคน ทว่าเลือดของเขาไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีเหลืองทอง


เขามีร่างอรหันต์ทองคำของศาสนาพุทธ!


หลวงจีนไม่มีความคิดที่จะล้มเลิก หลังจากตวาดกร้าวเสียงดังก็หมุนตัวกลับฉับพลัน โก่งหลังงอขึ้นเหมือนคนที่แบกของไว้บนหลังแล้วห้อตะบึงไปเบื้องหน้า มือสองข้างที่ว่างอยู่เริ่มสร้างตราผนึกขึ้นตรงหน้าอกของตัวเอง


ผู้บำเพ็ญตบะของศาสนาพุทธท่านนี้ตั้งปลายแขนข้างขวาขึ้น นิ้วกางขึ้นด้านบนเหมือนเทือกเขาหลายลูก ฝ่ามือหันออกไปด้านนอก


นี่ก็คือตราประทับไร้ยำเกรงของลัทธิพุทธ


เลือดสดสีทองของหลวงจีนวัยกลางคนหลั่งออกมาไม่ขาดสาย ทว่าสีหน้าของเขากลับยังนิ่งสงบ เขาไม่สนใจและเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บปวดมหาศาลที่ร่างกายตัวเองได้รับ และตบะที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากซึ่งไหลหายไปพรวดพราดแม้แต่น้อย


เมื่อเท้าทั้งสองข้างของหลวงจีนวัยกลางคนสัมผัสโดนพื้น การร่วงดิ่งลงของเรือคุนก็อยู่ในสภาวะที่มั่นคงแล้ว ทว่าสุดท้ายร่างของหลวงจีนก็ยังถูกกดทับให้จมลงไปใต้ดิน เมื่อเรือคุนจอดลงเสียงดังครืนครั่นก็มองไม่เห็นร่างของหลวงจีนแล้ว ผ่านไปพักใหญ่ ผิวดินเริ่มขยับคลายตัว หลวงจีนที่ร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผงและเลือดสีทองแหวกหน้าดินขึ้นมา เดินออกจากใต้ท้องปลาคุน สีหน้าของหลวงจีนเต็มไปด้วยความเวทนาสงสาร เขาหมุนตัวกลับ ยกสิบนิ้วขึ้นพนม ก้มหน้าเอ่ยเบาๆ ว่าอามิตตาพุทธ


ท่ามกลางม่านราตรี หลวงจีนเดินอยู่บนสันหลังของปลาคุนที่ตายไปแล้ว สิ่งปลูกสร้างล้มระเนระนาด เศษอิฐเศษกระเบื้องแตกกระจาย ทุกที่มีแต่คนตายและคนบาดเจ็บพิการ


หลวงจีนเดินผ่านคนที่ยังรอดชีวิตพยายามให้การดูแลเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กสาวคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด หลวงจีนถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง เห็นว่านางไม่เป็นอะไรมากจึงยกมือขึ้นพนมแล้วเดินจากไปเงียบๆ


สองตาของเด็กสาวไร้ประกายชีวิตชีวา อ้อมแขนของนางโอบกอดเด็กสาวที่อายุเท่ากันไว้คนหนึ่ง ใบหน้าของศพนั้นมองเห็นไม่ชัดเจนอีกแล้ว ทว่าตรงเอวของนางมีถุงหอมปักลายงดงามห้อยกระรุ่งกระริ่ง


เด็กสาวที่ยังมีชีวิตอยู่ตบไหล่ของศพนั้นเบาๆ พูดย้ำซ้ำๆ ว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว”


……


แคว้นไฉ่อี เมืองแยนจือ


ดวงอาทิตย์เจิดจ้าลอยตัวขึ้นสูง ถนนน้อยใหญ่ในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดยัดเยียด บนถนนทางหลวงนอกเมืองมีพ่อค้าและนักเดินทางเดินสวนกันขวักไขว่


เทพเซียนเฒ่าเข้าพักที่เรือนขนาดใหญ่หลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจวนเจ้าเมืองไม่ไกล เจ้าของบ้านที่เป็นเศรษฐีในท้องถิ่นแจกจ่ายเทียบเชิญ เชื้อเชิญคนตระกูลผู้สูงศักดิ์น้อยใหญ่ในเมืองมาเป็นแขกที่บ้านเขา ด้วยเรื่องในครั้งนี้เขายังตั้งใจสร้างหอสูงขึ้นมาใจกลางทะเลสาบ ไม่รอให้ฟ้ามืดก็แขวนโคมไฟหลากหลายสีสัน แขกที่ทยอยกันมาเยือนเดินตามกันมาไม่ขาดสาย แต่ละคนพาคนในครอบครัวตัวเองมาด้วย คาดการณ์ดูแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่าสามร้อยคน


อาศัยใบบุญจากหลิวเกาหวาบุตรชายท่านเจ้าเมือง พวกเฉินผิงอันสามคนจึงได้เข้าร่วมงานด้วย เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่นั่งไม่เหมาะนัก อยู่ในระเบียงทางเดินรอบทะเลสาบเส้นหนึ่ง มีม้านั่งยาววางไว้สองตัว แต่ยังดีที่มีโต๊ะเล็กซึ่งจัดวางผลไม้และของทานเล่นเอาไว้ให้ เมื่อเทียบกับแขกโต๊ะใกล้เคียงที่มีเพียงที่นั่ง ไม่มีการรับรองอย่างอื่นแล้ว นับว่ายังพอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง และโต๊ะนี้ถูกเอามาจัดวางก็เพราะหลิวเกาหัวไม่ไปนั่งอยู่กับใต้เท้าเจ้าเมือง แต่จะนั่งอยู่กับสหาย ทางจวนถึงได้จัดเสริมมาให้เป็นพิเศษ


เฉินผิงอันอยากจะฝึกท่าเจี้ยนหลู แต่กังวลว่าจะสะดุดตาผู้คนมากเกินไป จึงได้แต่ปลดน้ำเต้าเอามาดื่มเหล้าช้าๆ


หลิวเกาหวานั่งคั่นกลางระหว่างชายฉกรรจ์เคราดกกับนักพรตจางซานเฟิง คุยกับคนทั้งสองเบาๆ ถึงความร่ำรวยของคนตระกูลนี้ รวมไปถึงความสัมพันธ์ลับๆ ที่พวกเขามีกับแม่ทัพใหญ่ท่านหนึ่ง


เทพเซียนเฒ่ากับสาวงามกระดาษเหลืองของเขามาถึงตามเวลานัดหมาย พวกเขาบินทะยานจากหอสูงที่อยู่ห่างไปไกลแห่งหนึ่งมาถึงกลางทะเลสาบ จากนั้นก็ค่อยๆ พลิ้วกายลงบนหอสูง ตอนที่สัมผัสโดนพื้นก็เหมือนกบแตะผิวน้ำ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สะบัดพลิ้ว เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียน ท่วงท่านี้ของเขาเรียกเสียงปรบมือไชโยโห่ร้องจากผู้คนที่อยู่โดยรอบทะเลสาบดังสนั่นหวั่นไหว


ใบหน้าของเทพเซียนผู้เฒ่าแดงปลั่ง เรือนกายผอมเพรียวแต่สง่างาม แต่งกายเรียบๆ เหมือนสุภาพชนผู้มีชื่อเสียง หลังพลิ้วกายลงบนพื้นก็ไม่พูดไร้สาระมากความ แม้แต่พูดคุยตามมารยาทกับเจ้าเมืองและแม่ทัพฝ่ายบู๊พิทักษ์เมืองก็ยังไม่ทำ เขาสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง นิ้วทั้งสองที่ประกบกันก็มียันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา หากเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพที่สายตาดีหน่อยจะเห็นได้ว่าด้านบนแผ่นยันต์วาดลายเส้นเป็นรูปร่างผู้หญิงเอาไว้ อยู่ไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่ามีชีวิตชีวาเสมือนจริง


เทพเซียนผู้เฒ่าดีดนิ้วเบาๆ กระดาษสีเหลืองที่อยู่ระหว่างร่องนิ้วก็ดีดตัวออกมา ตอนที่สัมผัสโดนพื้นก็ระเบิดกลายมาเป็นกลุ่มควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่ค่อยๆ แผ่ขยายออกไป


หญิงสาวร่างอรชรสวมชุดสีสันสดใสคนหนึ่งเดินกรีดกรายออกมาจากในกลุ่มควัน ครั้นจึงหันไปยอบตัวคำนับแขกผู้มีเกียรติที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ


มือดาบเคราดกกับนักพรตหนุ่มเห็นแล้วก็จุ๊ปากชื่นชม หลิวเกาหวาก็ยิ่งปรบมือโห่ร้องชอบใจ


แต่เฉินผิงอันกลับเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดสูงกะทันหัน


เวลาเดียวกันนั้นก็มีคนมองมาที่เขาพอดี


คนผู้นั้นนั่งยองอยู่บนกำแพงเรือนที่ห่างไปไกล กำลังแสยะปากยิ้มกว้างมาให้เฉินผิงอัน


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างไม่กระโตกกระตาก บอกกับจางซานเฟิงว่าจะไปเข้าห้องน้ำ นักพรตหนุ่มบอกให้เขารีบไปรีบกลับ อย่าได้พลาดการแสดงที่ตระการตาเด็ดขาด เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ


เมื่อเฉินผิงอันเดินลงบันไดของระเบียงที่ทอดยาวออกมา เด็กหนุ่มชุดดำที่อายุพอๆ กับเฉินผิงอันก็เริ่มออกเดินบนหัวกำแพงแล้วเช่นกัน


ระยะห่างของสองฝ่ายขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ


การจากลาบางครั้งก็ไม่หวังให้พบเจอกันอีก แต่ก็มักจะต้องพบเจอกันโดยบังเอิญเสมอ


ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันกับเจ้าเด็กที่ชื่อว่าหม่าขู่เสวียนคนนั้น


การจากลาบางครั้งซึ่งทั้งๆ ที่หวังว่าจะได้พบเจอกันอีก แต่กลับไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันกับเด็กสาวที่ชื่อชิวสือคนนั้น


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)