อัจฉริยะสมองเพชร 2206-2209

 ตอนที่ 2206 เพราะอะไร?

 

การได้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองย่อมหมายความว่านักรบทั้งสามจะต้องเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองแสงสนธยา ด้วยเหตุนี้ ต่อให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้ในระดับที่จางเซวียนสำแดงออกมาเมื่อครู่ก่อน ฉีหลิงเอ๋อก็ยังไม่คิดว่าโอกาสเอาชนะของเขาจะมีมากนัก


อีกอย่าง สามคนนั้นผ่านการประลองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองมาระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาไม่มีทางยอมจำนนง่ายๆให้กับชายหนุ่มที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่เทพเจ้าสวรรค์สร้าง


“อย่างนั้นหรือ? ถ้างั้นก็ไปตามหาพวกเขากันเถอะ!” จางเซวียนตอบพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก


ในเมื่อเขาทำได้แค่ยกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นสูง-ขั้นต้นมาเป็นเทพเจ้าขั้นสูง-สูงสุด ก็ไม่คิดว่าจะเอาชนะนักรบทั้งสามได้โดยง่ายอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่การต่อสู้ครั้งนี้คงยากลำบากไม่น้อย


แต่ตราบใดที่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยดวงตาหยั่งรู้และหอสมุดเทียบฟ้าของเขา จางเซวียนรู้สึกว่าในท้ายที่สุดเขาจะต้องได้ชัยชนะ


“เราจะไปที่นั่นทั้งแบบนี้หรือ?”


ฉีหลิงเอ๋อไม่รู้ว่าจางเซวียนเอาความมั่นหน้ามาจากไหน และรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ จึงแนะนำด้วยความเป็นห่วง “ทันทีที่คุณท้าทายพวกเขา คุณจะเข้าสู่การแข่งขันอย่างเป็นทางการนะ ซึ่งจนกว่าผลการแข่งขันขั้นสุดท้ายจะออกมา คุณจะต้องเผชิญกับการโจมตีจากพวกเขาอย่างไม่รู้จบ นายน้อยจาง…คุณแน่ใจหรือว่าจะไม่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างก่อน? ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของคุณ คุณน่าจะรับมือกับพวกนั้นได้ง่ายขึ้นมากหากฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ”


 


เธอคงไม่แนะนำแบบนี้กับคนอื่น เพราะการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างเป็นอุปสรรคที่ก้าวข้ามได้ยากเอาการ แต่นี่คือจางเซวียน…


ในเมื่อเขายกระดับวรยุทธได้ถึง 3 ขั้นย่อยภายในไม่กี่วินาที เธอก็ไม่คิดว่าการก้าวไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างของชายหนุ่มจะใช้เวลานานเกินไป บางทีอาจเพียง 3-5 วันเท่านั้น


“ไม่เป็นไรน่ะ ผมรู้ขีดจำกัดของผมดี ไปพบพวกเขากันเถอะ” จางเซวียนยืนกราน


วิธีฝึกฝนวรยุทธของเขาแตกต่างจากคนอื่นๆมาก แม้เขาจะรู้ทิศทางของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการคิดคำนวณกระบวนการทั้งหมด ในเมื่อเป็นอย่างนั้น รีบจัดการเรื่องตำแหน่งเจ้าเมืองก่อนน่าจะดีกว่า


“ถ้าคุณมั่นใจ ฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะห้าม…คุณอยากท้าทายใครก่อนล่ะ?” ฉีหลิงเอ๋อถาม “แม้ตอนนี้หมิงไล่เชียงจะอ่อนด้อยที่สุด แต่ก็ร่ำลือกันว่าเธอนั่นแหละคือคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาผู้ท้าชิงทั้งสามคน ส่วนหลินชีกับหวูหยางแข็งแกร่งพอๆกัน แต่ถ้าจะเทียบ ก็ต้องบอกว่านักรบพเนจรอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ ดังนั้น…คำแนะนำของฉันก็คือคุณควรท้าทายหวูหยางก่อน ซึ่งทันทีที่เอาชนะเขาได้ คุณก็จะได้แทนที่ตำแหน่งของเขา กลุ่มก๊วนของเขาจะต้องหันมาสนับสนุนคุณโดยดุษณี และคุณก็จะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าเดิม การเลือกคู่ต่อสู้คนแรกน่ะสำคัญมากนะ มันจะเป็นข้อมูลที่ช่วยประเมินพละกำลังของคุณและทำให้คนอื่นๆตัดสินใจได้ว่าควรสนับสนุนคุณหรือไม่”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นก็ท้าทายหมิงไล่เชียงก่อน”


ฉีหลิงเอ๋อยืนตัวแข็ง


คำแนะนำของฉันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของคุณหรือไง!


ก็เพิ่งบอกไปหยกๆว่าเธอน่ะน่ากลัวที่สุด!


“เพราะอะไร?” ฉีหลิงเอ๋อเกือบปรี๊ดแตก


“ตอนนี้น่ะเธออยู่ใกล้กับพวกเรามากที่สุด มันจะช่วยให้เราไม่ต้องวุ่นวายเดินทางกลับไปกลับมา” จางเซวียนตอบ


ขณะที่ทั้งกลุ่มเดินมายังกระท่อมของนักรบสามเคราเมื่อครู่ จางเซวียนได้สอบถามเรื่องที่พำนักของผู้ท้าชิงทั้งสาม ซึ่งจากข้อมูลที่เขาได้ ดูเหมือนหมิงไล่เชียงจะอยู่ในจุดที่ใกล้ที่สุดกับบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ในเวลานี้


ฉีหลิงเอ๋อแทบจะทึ้งผมตัวเอง


คุณเป็นมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมาใช่ไหม? คนทั่วไปเขาไม่คิดแบบนี้กันหรอก!


เรากำลังจะเข้าสู่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองนะ! ดูเสียก่อนว่าคู่ต่อสู้ของคุณทรงพลังแค่ไหน เราอาจพ่ายแพ้ก็ได้…สิ่งที่คุณควรคิดคือคิดหาวิธีเอาชนะคู่ต่อสู้ ไม่ใช่ดูว่าใครอยู่ใกล้คุณมากที่สุด!


อีกอย่าง คุณคงไม่คิดจะเอาชนะทั้งสามคนให้ได้รวดเดียวหรอกนะ ถูกไหม?


ไม่คิดจะปรับสภาวะของตัวเองก่อนเพื่อให้มั่นใจว่ามีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุดก่อนที่จะท้าทายพวกเขาหรือไง? แถมยังรนหาที่ จะดวลกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าคุณด้วย! แล้วไม่ต้องการเวลาเยียวยาตัวเองหลังจากจบการต่อสู้แต่ละครั้งหรือ?


คุณได้คิดเรื่องพวกนั้นไหม?


ฉีหลิงเอ๋อพยายามหว่านล้อมให้จางเซวียนเลิกล้มการตัดสินใจอันบุ่มบ่ามนั้น แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่แยแสและยืนกรานจะสู้กับหมิงไล่เชียงก่อน สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยเขา


1 ชั่วโมงต่อมา ทั้งกลุ่มก็มาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง


มันคือบ้านพักของหมิงไล่เชียง


“ยื่นสมุดแนะนำตัวสิ” จางเซวียนเร่ง


“ฉันไม่ได้เตรียมสมุดแนะนำตัวมาหรอก แต่ละเมืองมีกฎกติกาที่ต่างกันในการเข้าท้าทายคู่ต่อสู้ และฉันก็ไม่รู้ว่ากติกาของเมืองแสงสนธยาเป็นอย่างไร” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


ในเมื่อเธอไม่อาจหว่านล้อมให้จางเซวียนเปลี่ยนใจได้ ก็ทำได้แค่ยื้อเวลาออกไปเพื่อให้เขาใจเย็นลงและใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างมีเหตุผลกว่าเดิม


จางเซวียนชำเลืองมองฉีหลิงเอ๋อ เข้าใจเจตนาของเธอ จึงหันไปพูดกับซุนฉาง “งั้นคุณจัดการ”


“ได้” ซุนฉางตอบอย่างกระตือรือร้น


เขาเดินตรงไปยังบ้านพัก จากนั้นก็ส่งเสียงดังในระดับที่สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่ว “นายน้อยของเรากำลังจะเข้าแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเมือง ผู้ที่อยู่ในบ้านหลังนี้กรุณาออกมาตอบรับคำท้าของเขาด้วย เพราะไม่อย่างนั้น เราจะถือว่าคุณพ่ายแพ้!”


ฉีหลิงเอ๋อถึงกับผงะ


ท้าทายแบบนี้ก็ได้หรือ?


เหมือนยั่วยุกันมากกว่า!


การต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองมีความดุเดือดเข้มข้นก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูเพื่อการนี้ แม้จะเป็นผู้แพ้ แต่การต่อสู้ก็อาจลงเอยด้วยบาดแผลเล็กๆน้อยๆเท่านั้น


แต่หลังจากการกระทำอันไร้มารยาทของจางเซวียน ถ้าหมิงไล่เชียงไม่ตอบโต้อย่างสาสมล่ะก็ คนอื่นๆจะเอาไปซุบซิบกันได้แม้เมื่อเธอได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว เธอคงจะต้องใช้กรณีของจางเซวียนเป็นเยี่ยงอย่างเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือ!


“บังอาจ! ใครกล้ามาวุ่นวายถึงบ้านพักของนายหญิงน้อย?”


หลังจากซุนฉางประกาศศักดาได้ไม่นาน ก็เกิดความวุ่นวายใหญ่โตด้านใน ผู้คนที่พักอยู่บริเวณโดยรอบบ้านหลังนั้นต่างก็เดินมาดูว่าเจ้าโง่คนไหนที่กล้าดูถูกหมิงไล่เชียงผู้ยิ่งใหญ่


หมิงไล่เชียงคือผู้ที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองมากที่สุดแม้จะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าใคร


ต่อหน้าคนระดับนั้น เจ้าโง่นั่นก็ยังกล้าทำตัวหยาบคาย


ในสมองของเขาคิดอะไรอยู่?


ซุนฉางยืดอกคำราม “ถ้าคุณหวังจะเป็นเจ้าเมืองล่ะก็ เลิกหลบซ่อนและออกมารับคำท้าของเราเสียดีๆ นายน้อยของเราไม่มีเวลาจะฟังคำพูดอ้อมค้อมของคุณ!”


“หยาบคาย! อวดดีที่สุด! คนอย่างคุณกล้าท้าทายนายหญิงน้อยของเรา…”


แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ สาวน้อยคนหนึ่งก็ส่งเสียง “เข้ามา”


แอ๊ดดดด!


ประตูบ้านพักเปิดออก จางเซวียนกับซุนฉางเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล


ลานบ้านของบ้านพักหลังนั้นกว้างขวางมาก ที่ยืนอยู่ด้านในคือสาวน้อยร่างสูงใหญ่ที่ดูโดดเด่นเป็นสง่า แต่ก็ออกจะขัดๆอยู่สักหน่อยหากจะเรียกเธอว่าสาวน้อย เพราะร่างกายของเธอล่ำสันมาก หากดูแค่รูปร่าง ก็อาจเข้าใจผิดได้โดยง่ายว่าเธอเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง


“คุณอยากเป็นเจ้าเมืองหรือ?” สาวน้อยมองหน้าจางเซวียนและคำรามเยาะ “น้องชาย ดูอายุและระดับวรยุทธของคุณเสียก่อน คนอย่างคุณน่ะควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่ ทะเยอทะยานน่ะมันก็ดี แต่ควรเจียมกะลาหัวด้วย!”


“ดูเหมือนคุณจะเป็นห่วงเป็นใยผมนะ” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ในเมื่อผมประกาศแล้ว ก็ไม่คิดถอยแน่ ผมให้คุณเลือกก็แล้วกัน จะดวลกับผมและแพ้ยับ หรือยอมแพ้เสียเลย แล้วผมจะมอบยาเม็ดเพิ่มความงาม 1 เม็ดให้คุณ”


คำนั้นทำให้หมิงไล่เชียงถึงกับผงะ “ยาเม็ดเพิ่มความงาม คุณคือผู้หลอมยาเม็ดเพิ่มความงามของเมืองตะวันรอนหรือ?”


ยาเม็ดเพิ่มความงามเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก ถึงขนาดที่แทบไม่มีใครที่ไม่รู้กิตติศัพท์ของมัน


หมิงไล่เชียงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


เธอเกิดมาพร้อมกับโครงสร้างแบบคนกระดูกใหญ่ ทำให้มีเรือนร่างเหมือนผู้ชาย ด้วยเหตุนี้ ขณะที่สหายของเธอมีคนรักและแต่งงานกันไปหมด เธอกลับได้แต่ฝึกฝนวรยุทธอย่างเงียบๆตามลำพัง


แต่ก็เพราะสิ่งนี้ที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการฝึกฝนวรยุทธ จนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมือง


เธอเคยได้ยินเรื่องอานุภาพของยาเม็ดเพิ่มความงามจากเมืองตะวันรอน และตั้งใจจะเดินทางไปที่นั่นเพื่อหาซื้อ แต่ปัญหาเดียวก็คือยานั่นมีอยู่แค่ 20 เม็ดและขายหมดเรียบ


ไม่นึกเลยว่าวันต่อมา ผู้หลอมยาเม็ดเพิ่มความงามก็มาตามหาเธอ


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า “ผมคือนักปรุงยาผู้คิดค้นยาเม็ดเพิ่มความงาม ส่วนนี่คือฉีหลิงเอ๋อ คุณคงรู้จักเธอในฐานะผู้ขายยาเม็ดเพิ่มความงามที่เมืองตะวันรอน”


“ฉีหลิงเอ๋อ?”


หมิงไล่เชียงหันไปมอง เห็นสุภาพสตรีที่มีเรือนร่างเย้ายวนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังจางเซวียน แม้เธอจะไม่เคยพบผู้จัดการตลาดมืดใต้ดินของเมืองตะวันรอนมาก่อน แต่เห็นแวบเดียวก็นึกออก


“คารวะคุณหมิง” ฉีหลิงเอ๋อก้าวออกมาและโค้งคำนับเล็กน้อย


“อือ” หมิงไล่เชียงหันไปถามจางเซวียน “ยาเม็ดเพิ่มความงามของคุณน่ะ นอกจากทำให้ดูสวยสดงดงามขึ้นแล้ว มันยังมีอานุภาพในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระดูกด้วยหรือเปล่า?”


หากพูดถึงหน้าตา เธอก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ปัญหาคือโครงสร้างของร่างกายที่มีขนาดใหญ่จนทำให้ผู้คนที่เห็นพากันเกรงกลัว


“ผมเกรงว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของร่างกายคงทำได้ยาก” จางเซวียนส่ายหัว


เขาเปลี่ยนผิวพรรณของคนคนหนึ่งได้ด้วยการใช้พลังปราณเทียบฟ้าบ่มเพาะกายเนื้อและผิวหนัง แต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระดูกต้องใช้กระบวนการรักษาที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก การกินยาเพียงเม็ดเดียวไม่น่าจะช่วยได้


“ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ฉันคงต้องบอกว่าฉันไม่สนใจยาเม็ดเพิ่มความงามของคุณแล้ว สำแดงกระบวนท่าของคุณมาเลย ฉันก็อยากรู้ว่าผู้ที่เก่งกาจถึงขนาดหลอมยาเม็ดเพิ่มความงามได้มีพละกำลังแข็งแกร่งแค่ไหน ถึงได้กล้ามาท้าทายฉันถึงที่นี่!” หมิงไล่เชียงพูดขณะจับจ้องจางเซวียนตั้งแต่หัวจรดเท้า


เธอดูออกว่าจางเซวียนไม่โง่ และการที่เขากล้าปรากฏตัวที่นี่ก็แปลว่าน่าจะมีกลเม็ดเด็ดพรายบางอย่างซ่อนอยู่


“ได้สิ” จางเซวียนพยักหน้าขณะชักดาบออกมา


มันคือดาบที่เขาได้มาจากอู๋ฟังชิงเมื่อครั้งอยู่ที่เมืองตะวันรอน ซึ่งระหว่างการเดินทางมาที่นี่ เขาได้ทำให้มันยอมจำนนเป็นที่เรียบร้อย

 

 

 


ตอนที่ 2207 อนุสาวรีย์อยู่ที่ไหน?

 

ทันทีที่ดาบปรากฏในมือของจางเซวียน รังสีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทุกความรู้สึกหายวับไปจากแววตา เหลือไว้แต่การจับจ้องอย่างเคร่งเครียด


หมิงไล่เชียงตวัดแส้ด้วยการสะบัดข้อมืออย่างแรง แส้นั้นพุ่งเข้าใส่จางเซวียน


สิ่งที่ฉีหลิงเอ๋อกังวลกลายเป็นความจริง แม้หมิงไล่เชียงจะเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอไม่ธรรมดา แข็งแกร่งพอจะยืนหยัดต้านทานได้แม้แต่กับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง


แถมทักษะการใช้แส้ของเธอก็ไร้เทียมทาน เธอควบคุมมันได้ด้วยความแม่นยำสูงสุด


จางเซวียนไม่คิดจะเผชิญหน้ากับแส้นั้นตรงๆ เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งและโยกตัวหลบ ก่อนจะแทงดาบสวน


ความยาวและความยืดหยุ่นของแส้เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน มันสามารถแผ่รัศมีการทำลายล้างเป็นวงกว้าง แต่ในเวลาเดียวกันก็ควบคุมยาก จึงมีนักรบเพียงหยิบมือเดียวที่เลือกจะฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญ


จางเซวียนเพิ่งเคยเผชิญหน้ากับอาวุธชนิดนี้เป็นครั้งแรก เขารีบตรวจสอบหนังสือที่บันทึกรายละเอียดด้านต่างๆของแส้เพื่อทำความเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้


ควั่บ!


หมิงไล่เชียงถอยหลังเพื่อสร้างระยะห่างก่อนจะตวัดแส้เข้าใส่จางเซวียนอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้ง จางเซวียนก็หลบได้แบบเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด


เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเธอไม่ได้ผล หมิงไล่เชียงหน้าดำคร่ำเครียด เธอรีบเปลี่ยนกลยุทธโดยไม่ลังเลและสร้างปราการที่ทำจากแส้ขึ้นแทน


จางเซวียนเผชิญหน้ากับแส้มากมายที่กำลังตวัดอย่างดุเดือด เขาใช้ดาบปัดป้องมันออกไปทีละอัน แม้จะรับมือกับการโจมตีของหมิงไล่เชียงได้ดี แต่ก็ยังไม่คิดจะตอบโต้


“นั่นเขา…กำลังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบหรือ?” ฉีหลิงเอ๋ออดขมวดคิ้วไม่ได้


เห็นได้ชัดว่าหมิงไล่เชียงถือไพ่เหนือกว่าทั้งด้านพละกำลังและความเร็ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ดูเหมือนจางเซวียนจะคาดเดาการโจมตีของอีกฝ่ายได้ล่วงหน้า เขารับมือกับเธอได้ตลอด การโจมตีอันพิสดารพันลึกของแส้แทบไม่ระคายผิวจางเซวียนเลย


การที่จางเซวียนทำแบบนี้ได้ย่อมหมายความว่าเขามีโอกาสสูงที่จะเอาชนะได้สำเร็จ แต่ทุกครั้งที่เขาทำท่าจะตอบโต้ สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการล่าถอยแทนที่จะรุกคืบ ราวกับกลัวว่าจะทำให้หมิงไล่เชียงบาดเจ็บ


ที่สำคัญกว่านั้น สไตล์การต่อสู้ของเขายังเปลี่ยนแปลงไปตลอดระยะเวลาที่สู้กัน


ไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่นักรบคนหนึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงสไตล์การต่อสู้ของเขาในระหว่างการดวล เว้นเสียแต่จะกำลังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ!


ไม่น่าเชื่อว่าคุณยังมีแก่ใจฝึกฝนศิลปะเพลงดาบทั้งๆที่กำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า…


คุณเอาจริงใช่ไหม?


จางเจี้ยตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ


มันไม่รู้ว่านายท่านจงใจทำแบบนี้หรือเปล่า แต่เริ่มจะสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจเป็นโรคบางอย่าง ทำนองเดียวกับโรคเรียกร้องความสนใจ เพราะไม่ว่านายท่านจะไปไหน ก็จะต้องทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ใครต่อใครพากันอ้าปากค้าง


หรือว่ามนุษย์ให้คำจำกัดความของคำว่า ‘เก็บเนื้อเก็บตัว’ ที่ต่างกับคำจำกัดความของอสูรสวรรค์


“ฮึ่มมม!” หมิงไล่เชียงรู้ทันจางเซวียน สีหน้าของเธอเคร่งเครียดจนน่ากลัว


ในฐานะผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองที่มีความแข็งแกร่งสูงสุด เธอไม่เคยถูกใครสบประมาทพละกำลังด้วยวิธีแบบนี้มาก่อน แถมอีกฝ่ายยังอ่อนแอกว่าเธอด้วย


“ดูเหมือนคุณจะดูถูกดูแคลนฉันไปหน่อยนะ หรือไง? แต่เอาเถอะ ฉันจะให้คุณลิ้มรสกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของฉันสักหน่อย เหตุผลที่หลินชีกับหวูหยางไม่กล้าสู้กับฉันก็เพราะพวกนั้นรับมือกับกระบวนท่านี้ไม่ไหว ถ้าคุณอยากเอาชนะฉันล่ะก็ ต้านทานมันให้ได้เสียก่อน!”


หมิงไล่เชียงคำราม แส้ในมือของเธอโบกสะบัดราวกับดาบที่พุ่งตรงเข้าจ่อลำคอของจางเซวียน รวดเร็วเสียจนดูเหมือนจะไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายในชั่วพริบตา


เห็นแส้ของหมิงไล่เชียงว่องไวกว่าศิลปะเพลงดาบของเขา จางเซวียนตาโต


เป็นอย่างที่อีกฝ่ายคิดไว้ ตัวเขากำลังทดลองศิลปะเพลงดาบกับหมิงไล่เชียง


อันที่จริง จางเซวียนพยายามคิดค้นศิลปะเพลงดาบชนิดใหม่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังหาจุดที่เหมาะสมกับตัวเขาไม่ได้ เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าจำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้ของจริงเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจ


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ใช้หอสมุดเทียบฟ้าวิเคราะห์ข้อบกพร่องของหมิงไล่เชียง แต่ตั้งใจจะใช้การดวลครั้งนี้เป็นโอกาสในการทดสอบศิลปะเพลงดาบที่มีอยู่


การดวลเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แต่จางเซวียนก็ได้ประโยชน์มาก พอจะเห็นภาพแล้วว่าตัวเขาต้องการศิลปะเพลงดาบแบบไหน


เท่าที่ดูจากความเร็วในการใช้แส้ของหมิงไล่เชียง ก็ชัดเจนว่าเธอทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดให้กับการโจมตีครั้งนี้ จางเซวียนจึงชูดาบขึ้นและปล่อยกระแสดาบฉีให้ระเบิดเข้าปะทะแส้


ฟึ่บ!


กระแสดาบฉีรวมตัวกันและถักทอเป็นตาข่ายที่สามารถดักทุกอย่างที่เข้าขวางทาง


หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม!


หมิงไล่เชียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ตัวเขาในเวลานี้จะเอาชนะได้ง่ายๆ จางเซวียนจึงไม่อาจออมมือให้กับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอ ไม่อย่างนั้น เขาคงได้จบเห่


“ฮ่า!”


แต่ดูเหมือนหมิงไล่เชียงจะไม่สะทกสะท้านกับกระบวนท่าของจางเซวียน เธอกลับยิ้มออกมาและหัวเราะหึๆ


ฟึ่บ!


หมิงไล่เชียงสะบัดข้อมือ แส้ตวัดเข้าใส่ลำคอของจางเซวียนก่อนจะเลี้ยวลงไปเล่นงานส่วนท้อง


การเปลี่ยนแปลงจุดศูนย์ถ่วงในการโจมตีของเธอนั้นทั้งรวดเร็วดุเดือด และไม่อาจคาดเดาได้อย่างสิ้นเชิง ถึงมันจะไม่เล่นงานลำคอของเขาแล้ว แต่จางเซวียนก็จะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ถ้าโดนแส้ฟาดช่องท้องอย่างจังๆ


“นี่คือเป้าหมายที่เธอตั้งใจไว้แต่แรก…” จางเซวียนเข้าใจทันที


การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอย่างปุบปับ และจางเซวียนก็ไม่ทันระมัดระวังตัว สายไปแล้วที่เขาจะลงมือทำอะไร


ควั่บ!


ฉีหลิงเอ๋อนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึงขณะรีบตรวจสอบอาการของจางเซวียน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตรงข้ามกับที่เธอคาดไว้


ไม่เพียงแต่จางเซวียนจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ยังยิ้มออกด้วย


แต่เมื่อหันไปมองหมิงไล่เชียงที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังใช้มือกุมหน้าอก เลือดสดๆไหลซึมออกจากมุมปาก ร่างของเธอชุ่มเหงื่อ


“เกิดอะไรขึ้น?”


การปะทะเมื่อครู่นี้จบลงในชั่วพริบตา ฉีหลิงเอ๋อยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


“นายน้อยทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบชนิดใหม่ได้ในวินาทีสุดท้ายพอดี ดังนั้น การโจมตีด้วยแส้ของหมิงไล่เชียงจึงย้อนกลับมาเล่นงานเธอเอง ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส” จางเจี้ยอธิบาย


ด้วยสายตาคมกริบของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มันก็เก็บได้ทุกรายละเอียด


อันที่จริง อีกเพียงเสี้ยววินาที จางเซวียนก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ปลดปล่อยกระแสดาบฉีอันทรงพลังออกไปได้ทันเวลา และไม่เพียงแต่การระเบิดอย่างรุนแรงของกระแสดาบฉีจะยับยั้งแส้นั้นไว้ได้ มันยังสะท้อนกลับไปหาหมิงไล่เชียงด้วย ทำให้เธอเจอแรงตีกลับอย่างจัง


ฉีหลิงเอ๋องุนงง


นี่มันไม่ใช่ความกล้าหาญแล้ว หมอนั่นทำราวกับชีวิตตัวเองไม่มีค่าเลย!


จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่อาจทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบได้ในวินาทีสุดท้าย? และถ้าศิลปะเพลงดาบนั้นใช้การไม่ได้ล่ะ?


เจอแส้ฟาดจังๆแบบนั้น มีหวังได้พิการแน่!


บริเวณช่องท้องคือที่อยู่ของจุดตันเถียน หากถูกโจมตีอย่างรุนแรง ผู้นั้นจะต้องสูญเสียวรยุทธไปอย่างถาวร


“นี่แหละ ผลงานของมันล่ะ!”


ขณะที่ผู้ชมกำลังตกตะลึงกับความบ้าบิ่นของจางเซวียน เจ้าตัวก็หัวเราะลั่น


ก่อนหน้านี้เขาติดขัดมาตลอด แต่การปะทะเมื่อครู่ดูจะขจัดสิ่งที่บดบังนัยน์ตาของเขาออกไป ความสับสนและความสงสัยต่างๆหายวับไปหมดสิ้น


“สายสัมพันธ์พี่น้อง…แท้ที่จริง ศิลปะเพลงดาบอยู่ในเทคนิควรยุทธของเรามาตลอด!”จางเซวียนอุทานอย่างตื่นเต้น


สายสัมพันธ์พี่น้องคือความรู้สึกและเทคนิควรยุทธที่เขาบรรลุเมื่อตอนที่เห็นไก่น้อยถูกสังหารต่อหน้าต่อตา


มนุษย์ต่างก็เสาะหาใครสักคนที่เข้าใจพวกเขา แต่จะมีสักกี่คนได้พบผู้ที่เขาจะฝากฝังทั้งชีวิตไว้ได้? ความโทมนัสของการสูญเสียคนแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการถูกกรีดหัวใจ


ตอนที่แส้ของหมิงไล่เชียงกำลังจะฟาดช่องท้องของเขา ทุกอย่างก็พลันกระจ่างขึ้นมา


จางเซวียนปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นนำทางศิลปะเพลงดาบของเขาไป ซึ่งไม่เพียงแต่จะปัดป้องการโจมตีของหมิงไล่เชียงได้ ยังถึงกับทำให้เธอบาดเจ็บด้วย


“ฉันยอมแพ้…” หมิงไล่เชียงยอมจำนน


เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้


เธอแน่ใจมาตลอดว่าจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้แน่ แต่ศิลปะเพลงดาบที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ทำให้เธอไม่ทันระวังตัว และที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือเธอบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร


ถ้าร่างกายของเธอแข็งแกร่งสมบูรณ์ดี ก็คงพอจะทดสอบอีกฝ่ายได้สักเล็กน้อยเพื่อดูว่าจะทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบนั้นได้หรือไม่ แต่โชคร้ายที่การตอบโต้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทำให้เธอบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้


เมื่อเห็นว่าปราบหมิงไล่เชียงได้แล้ว จางเซวียนมองหน้าฉีหลิงเอ๋อ “ไปบ้านพักของหลินชีกันเถอะ”


เขายังเหลือคู่ต่อสู้ให้จัดการอีก 2 คน ซึ่งในเมื่อรับมือกับผู้ที่สร้างปัญหามากที่สุดได้แล้ว การจะเล่นงานอีก 2 คนที่เหลือก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่


“เดี๋ยวก่อน”


เห็นจางเซวียนกำลังจะจากไป หมิงไล่เชียงรีบลุกขึ้นยืน “ด้วยพละกำลังของคุณ ฉันเชื่อว่าหลินชีกับหวูหยางก็สู้คุณไม่ได้หรอก ว่าแต่…เหตุผลที่แท้จริงที่เราทั้งสามไม่อาจขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้น่ะไม่ใช่เพราะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน แต่เป็นเพราะพวกเราไม่อาจซึมซับและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองได้ อนุสาวรีย์นั่นคือสัญลักษณ์ของตัวตนในฐานะเจ้าเมือง หากคุณซึมซาบและหลอมรวมตัวคุณเป็นหนึ่งเดียวกับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองได้ล่ะก็ พวกนั้นก็จะยอมแพ้เอง”


“อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง?” จางเซวียนทวนคำ


“เจ้าเมืองแสงสนธยาคนก่อนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง เขาเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้กับกระแสการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ เมื่อเขาตายไป จิตวิญญาณของเขาได้หลอมรวมเข้ากับอนุสาวรีย์หินอันหนึ่ง ซึ่งการที่ใครสักคนจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนต่อไป ผู้นั้นจะต้องได้การยอมรับจากเขา แต่พวกเราทั้งสามคนไม่มีใครทำแบบนั้นได้เลย” หมิงไล่เชียงอธิบาย


“อนุสาวรีย์อยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม


คงจะง่ายและสบายกว่ากันมากหากเขาทำให้ผู้ท้าชิงอีก 2 คนยอมจำนนได้ด้วยการซึมซับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง จะได้ไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทางไปนู่นมานี่

 

 

 


ตอนที่ 2208 อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง

 

“ฉันจะพาคุณไปที่นั่นเอง แต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ง่ายเลยที่จะได้การยอมรับจากมัน” หมิงไล่เชียงเตือน


ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอมีสติปัญญาและประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือชั้นกว่าธรรมดา การที่เขาเอาชนะเธอได้ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงก็บอกอะไรได้มากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่คิดว่าเขาจะมีโอกาสมากนัก


นั่นก็เพราะหัวใจของการซึมซับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองไม่ได้เกี่ยวข้องกับวรยุทธหรือสติปัญญา แต่อยู่ที่ว่าผู้นั้นจะเข้าตาท่านเจ้าเมืองคนก่อนหรือเปล่า


ในช่วงเวลา 10 ปีนับตั้งแต่เจ้าเมืองคนก่อนเสียชีวิตไป ผู้เชี่ยวชาญมากมายเดินทางมาที่นี่เพื่อพยายามซึมซับมัน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วท่านเจ้าเมืองคนก่อนต้องการอะไร


หมิงไล่เชียงรู้สึกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น


ทั้งกลุ่มรีบออกจากลานบ้านและรุดหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงใจกลางเมือง


มันเป็นจัตุรัสขนาดมหึมา ที่บริเวณใจกลางมีอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ กฎระเบียบและคำสั่งต่างๆของเมืองแสงสนธยาถูกจารึกไว้บนนั้น


อนุสาวรีย์หินมีความสูงกว่า 10 เมตร มีประกายระยิบระยับบนผิวหน้าสีดำสนิทของมัน แม้จะเห็นเป็นครั้งแรก ก็ดูออกว่าวัสดุที่ใช้สกัดอนุสาวรีย์นี้จะต้องไม่ธรรมดา


“นั่นคืออนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง!” หมิงไล่เชียงบอกจางเซวียน


จางเซวียนพยักหน้า เขาเดินตรงเข้าหาอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองและทาบฝ่ามือลงไปเบาๆ


หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้า


“อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง ทำจากหยกมืดมน ปกป้องความอุดมสมบูรณ์ของเมืองแสงสนธยาไว้ มีเศษเสี้ยวเจตจำนงของเทพเจ้าสวรรค์สร้างเย่หยู ข้อบกพร่อง…”


มีรายละเอียดของโครงสร้าง ประวัติศาสตร์ และข้อบกพร่องของอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง แต่ไม่ได้บอกเลยว่าเขาจะซึมซับมันได้อย่างไร


“พวกเรารักษาและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จารึกไว้บนอนุสาวรีย์อย่างเคร่งครัด ทั้งยังแสดงการคารวะสูงสุดต่อจิตวิญญาณของท่านเจ้าเมืองคนก่อนด้วย แต่คงเพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมรับใครเลย” หมิงไล่เชียงพูดอย่างท้อใจ


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า เขาเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้และเริ่มสำรวจอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองอย่างถี่ถ้วน


จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีจิตวิญญาณโกรธเกรี้ยวถูกขังไว้ในอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง มันกำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนและคำรามอย่างดุร้าย ทำเอาจางเซวียนขมวดคิ้ว


เขากัดนิ้วแล้วหยดเลือดที่บรรจุเอาเจตจำนงของเขาไว้ลงไปบนอนุสาวรีย์


ทันทีที่เศษเสี้ยวเจตจำนงของเขาสัมผัสกับอนุสาวรีย์ จางเซวียนรู้สึกได้ว่ามีพละกำลังมหาศาลพุ่งตรงเข้าใส่ ดูเหมือนตั้งใจจะกลืนกินจิตวิญญาณของเขา


“เรื่องนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่…” จางเซวียนผงะ


โดยทั่วไป ถ้านักรบคนหนึ่งไม่สามารถซึมซับของล้ำค่าชิ้นไหน หยดเลือดที่บรรจุเอาเจตจำนงของพวกเขาไว้ก็จะถูกปฏิเสธ


แม้อนุสาวรีย์จะไม่ยอมให้ใครซึมซับ แต่ก็กลืนกินหยดเลือดของเขาลงไป ต่างจากที่เขาเคยเห็นมา


แต่ก็นั่นแหละ สำหรับจางเซวียน เขาไม่ได้รู้สึกอะไร


จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขากำลังจะใช้พลังปราณเทียบฟ้าเล่นงานเจตจำนงที่อยู่ภายในและร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณใส่อนุสาวรีย์อีกครั้ง ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาขมวดคิ้ว


ราวกับจะล่วงรู้เจตนาของเขา จิตวิญญาณที่อยู่ในอนุสาวรีย์รีบแผ่กระจายออกไปจนครอบคลุมทั่ว ถ้าจางเซวียนพยายามทำลายจิตวิญญาณทั้งๆที่อยู่ในสภาพนี้ อนุสาวรีย์จะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก


ซึ่งถ้าผู้คนจับได้ว่าเขาคือผู้ทำลายอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง เขาจะต้องกลายเป็นศัตรูของประชาชนทั่วทั้งเมืองแสงสนธยาแน่ และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คงไม่มีใครยอมรับเขาให้รับตำแหน่งเจ้าเมือง


ดูเหมือนการใช้กำลังจะไม่ได้ผล เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังไม่รู้ว่าจิตวิญญาณในอนุสาวรีย์ต้องการสิ่งใดกันแน่


ช่างเป็นสภาวะที่ตัดสินใจได้ยากจริงๆ


จางเซวียนมีสีหน้าเคร่งเครียด


จางเซวียนหันมาถามฉีหลิงเอ๋อ “เมืองอื่นๆเป็นแบบนี้ไหม? มีอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองที่บรรดาเจ้าเมืองถ่ายทอดเจตจำนงของพวกเขาเข้าไปหรือเปล่า?”


ในเมื่อตัวเธอก็เป็นเจ้าเมือง จึงน่าจะคุ้นเคยกับกระบวนการเหล่านี้ดี


“แต่ละเมืองมีอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองของตัวเอง ใช้เป็นสถานที่จารึกกฎระเบียบของเมืองนั้น แต่ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีเจ้าเมืองของเมืองไหนถ่ายทอดเจตจำนงของเขาเข้าไป การทำแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณใส่อนุสาวรีย์ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นของล้ำค่า ซึ่งจะทำให้จิตปรารถนาของทั้งเมืองมีศูนย์รวมอยู่ที่อนุสาวรีย์นั้น” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


เธอเองก็ออกจะงุนงงหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ไม่คิดว่าจะมีใครทำอะไรแบบนี้


อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองคือเสาหลักของกฎระเบียบของเมือง การถ่ายทอดเจตจำนงของใครสักคนเข้าไปจะทำให้จิตปรารถนาเข้าบ่มเพาะเจตจำนงดังกล่าว ซึ่งสำหรับเจ้าเมือง มันอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป


ข้อแรก เมื่อเจตจำนงได้รับการบ่มเพาะแล้ว ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเศษเสี้ยวของเจตจำนงนั้นจะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา การกระทำแบบนั้นถือว่าอันตรายไม่น้อย


จางเซวียนหันกลับไปถามหมิงไล่เชียง “เทพเจ้าสวรรค์สร้างเย่หยูเป็นคนแบบไหน?”


เทพเจ้าสวรรค์สร้างเย่หยูคือเจ้าเมืองแสงสนธยาคนก่อน เขาเสียชีวิตระหว่างการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ


“ท่านเจ้าเมืองเป็นคนซื่อตรงและเที่ยงธรรม ผู้คนพากันแซ่ซ้องสรรเสริญเขาอยู่เสมอ” หมิงไล่เชียงตอบ “เพราะเราสามคนไม่อาจเทียบชั้นกับเขาได้ จึงไม่สามารถซึมซับและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอนุสาวรีย์ นี่คือเหตุผลที่เมืองแสงสนธยาไม่มีเจ้าเมืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา”


จางเซวียนพยักหน้า


เรื่องนี้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี


ลำพังแค่สิทธิพิเศษในการได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติก็คุ้มค่าพอที่จะทำให้ใครสักคนอยากเป็นเจ้าเมืองแล้ว จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญมากมายเสาะหาไขว่คว้าตำแหน่งนี้ จึงออกจะน่าแปลกที่เมืองแสงสนธยาไร้เจ้าเมืองมาเกือบสิบปี


เท่าที่เห็น การจะได้เป็นเจ้าเมืองคงไม่ง่าย


คงเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้หมิงไล่เชียงดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรแม้จะพ่ายแพ้ให้เขา นั่นเป็นเพราะเธอรู้ว่าผู้ท้าชิงจะต้องผ่านอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองให้ได้ก่อนถึงจะรับตำแหน่งเจ้าเมืองได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ท้าชิงคนอื่นๆ, เหมือนตัวเธอ


ในเมื่อเราทำลายเจตจำนงที่อยู่ภายในไม่ได้ ก็น่าจะลองซึมซับมัน ทำเหมือนมันเป็นอาวุธธรรมดาชิ้นหนึ่ง


แม้นักรบคนอื่นๆจะใช้เวลาหลายปีในการทำให้จิตวิญญาณที่อยู่ภายในของล้ำค่ายอมจำนน แต่จางเซวียนย่นระยะเวลาของกระบวนการอันยาวนานนั้นได้ด้วยความสามารถของเขา


จางเซวียนเดินเข้าหาอนุสาวรีย์สีดำอีกครั้งและเคาะมัน 2-3 ที จากนั้นก็กระซิบเบาๆ


ครืนนนน!


อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองสั่นสะท้านเบาๆ แต่ก็ไม่ยอมจำนนให้เขา


วิธีการโดยปกติของจางเซวียนคือใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ เขาจะยื่นข้อเสนอ 2 ข้อให้กับของล้ำค่าชิ้นนั้น คือยอมจำนนให้เขาและพัฒนาตัวเองสู่ความยิ่งใหญ่ หรือหากยืนกรานปฏิเสธ ก็จะถูกทำลาย


แต่ยุทธวิธีแบบนี้ไม่น่าจะใช้ได้กับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง นั่นก็เพราะมันรู้ดีว่าชายหนุ่มไม่กล้าทำลายมัน


เห็นแบบนั้น จางเซวียนหัวเราะหึๆและกระซิบใส่อนุสาวรีย์ “ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ คุณรู้ดีว่าจะต้องตกอยู่ในอันตราย จึงถ่ายทอดเจตจำนงของคุณเข้าสู่อนุสาวรีย์ไว้ล่วงหน้า หวังว่าจะฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งด้วยจิตปรารถนาของคนทั้งเมือง”


“ผมจะไม่พูดหรอกนะว่านั่นเป็นแผนการที่ไม่เอาไหน แต่คุณคิดคำนวณผิดพลาดเรื่องระยะเวลาที่จะล่วงเลยไปกว่าคุณจะประสบความสำเร็จ เมืองแสงสนธยาไร้เจ้าเมืองมาเกือบ 10 ปีแล้ว ไม่มีใครทำหน้าที่บังคับใช้กฎเกณฑ์ที่คุณตั้งขึ้น ส่งผลให้ปริมาณจิตปรารถนาที่คุณได้รับลดลงอย่างฮวบฮาบ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คุณไม่มีวันประสบความสำเร็จแน่ ซึ่งผมแน่ใจว่าคุณรู้เรื่องนั้นดี”


“ผมไม่ได้อยากเป็นเจ้าเมืองนักหรอก ทั้งหมดที่ผมต้องการก็คือการได้ครอบครองตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองเพื่อที่ผมจะได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติ ถ้าผมได้เป็นเจ้าเมืองล่ะก็ ผมจะสั่งการให้ทั้งเมืองทำตามกฎเกณฑ์ที่คุณเคยตั้งไว้ แถมจะปล่อยให้เจตจำนงของคุณได้พักอาศัยอยู่ในอนุสาวรีย์นี้ด้วย การมีเจ้าเมืองคนใหม่เท่านั้นที่จะนำพาความเป็นระเบียบกลับคืนสู่เมืองแสงสนธยา และสิ่งนั้นจะทำให้คุณได้รับจิตปรารถนาอย่างต่อเนื่อง”


น้ำเสียงของจางเซวียนเจือการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ ทำให้โน้มน้าวอารมณ์ของเจตจำนงที่อยู่ในอนุสาวรีย์ได้ ความขุ่นเคืองและเป็นปฏิปักษ์ที่อยู่ในอนุสาวรีย์ค่อยๆสงบลง


พูดกันตามตรง เขาไม่ได้อยากเป็นเจ้าเมืองสักนิด


ต่อให้ตัวเขาในอนาคตอาจมีความต้องการจิตปรารถนาเหมือนปรมาจารย์ขง แต่ปริมาณจิตปรารถนาที่เขาอยากได้ก็คงมากเกินกว่าที่เมืองแสงสนธยาทั้งเมืองจะมีปัญญามอบให้


จางเซวียนจึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับการที่จะปล่อยให้จิตปรารถนาส่วนใหญ่ตกเป็นของเจ้าเมืองคนก่อน และการที่กฎเกณฑ์ต่างๆไม่เปลี่ยนไปย่อมดีกว่าสำหรับเขา เพราะไม่ต้องมัวเสียเวลาใส่ใจดูแลเรื่องพวกนั้น


“รีบตัดสินใจนะ ผมไม่ใช่คนที่มีน้ำอดน้ำทนสักเท่าไหร่ คุณคงดูออกว่าผมเป็นคนต่างถิ่นและไม่ได้คุ้นเคยกับเมืองแสงสนธยา ซึ่งถ้าผมไม่ได้เป็นเจ้าเมืองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ผมจะทำลายอนุสาวรีย์นี้ให้สิ้นซากก่อนจะออกจากเมืองนี้ไป เพราะฉะนั้น ผมให้เวลาคุณใคร่ครวญสิบอึดใจ”


ผู้ที่ไม่มีอะไรจะเสียนั้นน่าเกรงกลัวที่สุด พวกเขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่สิ้นคิดอย่างไม่ลังเล และไม่มีอะไรทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัวได้


เมื่อพูดจบ จางเซวียนถอยหลังไป 2 ก้าว เฝ้ารอคำตอบของอนุสาวรีย์อย่างอดทน


“เป็นอย่างไรบ้าง? คุณซึมซับมันได้ไหม?” หมิงไล่เชียงถามยิ้มๆ


แม้เธอจะตั้งคำถาม แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าชายหนุ่มทำไม่สำเร็จ ในใจเธอรู้สึกโล่งอกที่อนุสาวรีย์ไม่ตอบรับอีกฝ่าย


คุณอาจแข็งแกร่งและฉลาดกว่าฉัน แต่นั่นก็ไม่ได้สลักสำคัญเมื่ออยู่ต่อหน้าอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง


หมิงไล่เชียงคาดว่าจะได้เห็นชายหนุ่มทำหน้าบึ้ง แต่สิ่งที่เธอเห็นคืออีกฝ่ายอ้าปากนับถอยหลัง “สิบ เก้า แปด เจ็ด…”


“อะไรกัน?” หมิงไล่เชียงชุนงง


ฉันถามคุณว่าคุณซึมซับมันได้ไหม แล้วคุณนับถอยหลังทำไม?


“…สาม สอง หนึ่ง!”


เมื่อนับถึงศูนย์ จางเซวียนพูดกับอนุสาวรีย์ที่อยู่ตรงหน้า “ตัดสินใจเสียที”


ขณะที่พูดคำนั้น จางเซวียนก็รวบรวมกระแสดาบฉีเข้าสู่ปลายนิ้วและชี้ไปที่อนุสาวรีย์ด้วยทีท่าเรียบเฉย อาการผ่อนคลายของเขาบอกชัดว่าไม่ได้ยำเกรงอนุสาวรีย์เลยสักนิด

 

 

 


ตอนที่ 2209 จิตวิญญาณ…

 

เมื่อรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มจะต้องคุกคามแน่ถ้ามันไม่ยอมตกลง เสียงหึ่งก็ดังลั่นจากอนุสาวรีย์ขณะที่มันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


“ต้องแบบนี้สิ” จางเซวียนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ


เขาหยดเลือดหยดหนึ่งที่บรรจุเจตจำนงของเขาไว้ลงบนอนุสาวรีย์ มันถูกซึมซับเข้าไปทันที นี่คือสัญญาณว่าอนุสาวรีย์ยอมรับเขาเป็นเจ้านายแล้ว


“เอ่อ…” หมิงไล่เชียงถึงกับจังงัง


เธอพยายามทุกวิถีทางเท่าที่จะคิดได้เพื่อหว่านล้อมอนุสาวรีย์ให้ตอบตกลง แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้มันก็ไม่เคยตอบรับ แต่สิ่งที่ชายหนุ่มทำมีแค่การนับถอยหลังจากสิบ แล้วอนุสาวรีย์ก็ยอมจำนนให้เขาเสียอย่างนั้น…


ทำไมมันเหลื่อมล้ำกันขนาดนี้?


“ผมซึมซับอนุสาวรีย์ได้แล้ว แปลว่าตอนนี้ผมเป็นเจ้าเมืองแล้วใช่ไหม?” จางเซวียนถาม


เขารู้สึกได้ว่าเศษเสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงของเขาฝังอยู่ภายในอนุสาวรีย์นั้น


หมิงไล่เชียงทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกเสียเกียรติมาก แต่ลงท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้า


ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือยอมรับ


“นี่คือยาเม็ดเพิ่มความงาม ผมให้คุณ ถึงมันจะเปลี่ยนรูปร่างของคุณไม่ได้ แต่ผมก็เชื่อว่าจะสร้างความแตกต่างได้มากทีเดียว” จางเซวียนพูดขณะนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำออกมาเม็ดหนึ่ง


“ส่วนข้อแลกเปลี่ยนก็คือ ผมหวังว่าคุณจะเจรจากับหลินชีและหวูหยางในนามของผม ภายใน 4 ชั่วโมงนับจากนี้ ผมต้องการให้ทั้งเมืองรู้ทั่วกันว่าผมคือเจ้าเมืองคนใหม่ และกฎเกณฑ์ต่างๆที่เจ้าเมืองคนก่อนตั้งไว้จะยังมีผลบังคับใช้อยู่”


จางเซวียนมีความชอบธรรมในการรับตำแหน่งเจ้าเมืองเพราะสามารถซึมซับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองได้ แต่ในแง่ของอิทธิพล เขาเทียบชั้นกับหมิงไล่เชียงไม่ได้เลย คงจะดีกว่าหากมอบหมายภารกิจให้เธอจัดการแทน


“ตามนั้น” หมิงไล่เชียงพยักหน้า


เธอรู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะช่วยหรือไม่ช่วยเขาก็ไม่มีอะไรแตกต่าง เพราะในเมื่อชายหนุ่มได้การยอมรับจากท่านเจ้าเมืองคนก่อนแล้ว ก็ไม่มีใครเลื่อยขาเก้าอี้ของเขาได้


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เธอก็ควรทำหน้าที่แทนเขาและสร้างความสัมพันธ์อันดีเอาไว้จะดีกว่า อันที่จริง ความพยายามของเธอก็ถือว่าคุ้มค่า แม้สิ่งที่ได้มาจะเป็นแค่ยาเม็ดเพิ่มความงาม


หลังจากตอบรับคำขอของจางเซวียนแล้ว หมิงไล่เชียงก็กลืนยาเม็ดเพิ่มความงามลงไป


เธอนำกระจกทองแดงออกมาส่องดูตัวเอง จากนั้นก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น


เกิดปาฏิหาริย์อย่างที่ผู้คนร่ำลือกันจริงๆ ยานี้ออกฤทธิ์ทันทีที่เธอกลืนมันลงไป


ผิวพรรณของเธอกระชับและเรียบเนียนกว่าเดิม ใบหน้าก็สวยโดดเด่นขึ้น แม้รูปร่างเทอะทะใหญ่โตของเธอจะยังไม่เปลี่ยน แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวในแบบที่ทำให้ใครๆต้องเหลียวหลัง


หมิงไล่เชียงมองว่าตัวเธอไม่ใช่คนไร้สาระ แต่ก็คงจะเป็นการโกหกหากจะบอกว่าเธอไม่กังวลเรื่องรูปร่างหน้าตา ด้วยสถานภาพที่เป็นอยู่ เธอไม่จำเป็นต้องพยายามเอาอกเอาใจใคร แต่หากมีทางเลือก ก็อยากจะสวยงดงามและดูเป็นผู้หญิงมากกว่านี้


ดังนั้น เธอจึงแสนจะพอใจกับอานุภาพของยาเม็ดเพิ่มความงาม


หมิงไล่เชียงยิ้มร่า เธอพาจางเซวียนเข้าสู่คฤหาสน์เจ้าเมืองและหาที่ให้นั่ง ก่อนจะรีบขี่อสูรสวรรค์บินได้ตัวหนึ่งออกไปเพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย


ชื่อเสียงของเธอในฐานะผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพียงไม่ถึง 4 ชั่วโมง แทบทุกคนในเมืองแสงสนธยาก็รู้แล้วว่าชายที่ชื่อจางเซวียนกำลังจะรับตำแหน่งเจ้าเมือง


ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ตกเย็น ทางเมืองหลวงก็ส่งตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองมาให้เพื่อยอมรับการครองตำแหน่งของเขา


“เรียบร้อยเสียที…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถใช้ค่ายกลทะลุมิติของเมืองแสงสนธยาเพื่อเดินทางไปยังเมืองหลวงได้ด้วยความรวดเร็ว


“นี่คือตราสัญลักษณ์ของอาณาเขตปกครอง 3 แห่งของเมืองแสงสนธยา” ฉีหลิงเอ๋อพูดขณะยื่นตราสัญลักษณ์สามอันให้จางเซวียน


จะว่าไป เธอถึงกับพูดไม่ออกกับความเก่งกาจของชายหนุ่ม เพราะสำหรับตัวเธอ กว่าจะแก่งแย่งแข่งขันจนได้ตำแหน่งเจ้าเมืองมานั้นก็แทบจะต้องสิ้นชีพ!


แต่ชายหนุ่มทำทุกอย่างได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน แค่คิดก็แทบจะบ้าแล้ว!


จางเซวียนมอบตราสัญลักษณ์ทั้งสามอันให้ซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่ของเขาและพูดว่า “ซึมซับตราสัญลักษณ์นี้เสีย จะได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติ”


จากนั้น เขาหันไปถามฉีหลิงเอ๋ออีกครั้ง “ไก่น้อยกับจางเจี้ยเป็นอสูรของผม ผมพาทั้งคู่เดินทางไปกับผมได้ใช่ไหม?”


“ไม่มีปัญหา” ฉีหลิงเอ๋อตอบพร้อมกับพยักหน้า


ตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองถูกออกแบบมาให้มีอานุภาพครอบคลุมถึงอสูรของผู้ใช้โดยผ่านการทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าเมืองจะเดินทางไปไหนมาไหนพร้อมกับอสูรของเขา


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหันกลับไปมองซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง “ถ้าเป็นไปได้ พยายามซึมซับตราสัญลักษณ์เสียวันนี้เลยนะ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางไปเมืองหลวง!”


…..


ยังมีบางเรื่องที่เขาต้องจัดการในฐานะเจ้าเมืองคนใหม่ อันดับแรกสุดก็คือต้องให้ทุกคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวเขา ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้จิตปรารถนาของคนเหล่านั้นมา


จางเซวียนจึงเดินออกไปยังจัตุรัสขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์เจ้าเมือง เขากระโจนขึ้นไปบนอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองและนั่งลงบนนั้นอย่างสบายใจ


ในเวลานี้ ฝูงชนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้วหลังจากได้ข่าวเรื่องเจ้าเมืองคนใหม่ พวกเขาทั้งอยากรู้อยากเห็นและออกจะหวาดกลัวเล็กน้อยที่จะได้รู้ว่าเจ้าเมืองคนใหม่เป็นใคร


เพราะถึงอย่างไร เจ้าเมืองก็คือผู้ที่มีอำนาจตัดสินชะตากรรมของพวกเขา


“พวกคุณคงรู้แล้ว แต่ก็ขอประกาศอีกครั้ง ผมคือเจ้าเมืองแสงสนธยาคนใหม่ ชื่อจางเซวียน ผมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงกลไกการทำงานของเมืองนี้ แต่ก็ปรารถนาจะเห็นเมืองแสงสนธยาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ใน 4 ชั่วโมงนับจากนี้ ผมจะเปิดการบรรยายเพื่อถ่ายทอดความเข้าใจเรื่องวรยุทธของผมให้กับพวกคุณ” จางเซวียนพูดกับฝูงชนที่อยู่ด้านล่างด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายทว่าทรงอำนาจ


พูดกันตามตรง เขายังไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าจิตปรารถนาคืออะไร แต่เท่าที่รู้มา ก็น่าจะได้รับมันอย่างต่อเนื่องหากทำให้ผู้คนในเมืองเกิดความประทับใจในตัวเขาได้


ซึ่งวิธีที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จางเซวียนคิดออกก็คือเปิดการบรรยาย


เหมือนกับการที่ปรมาจารย์ขงมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาเพราะคำสอนของเขา คำสอนนั้นยังคงเป็นที่จดจำต่อๆกันมายาวนานหลายหมื่นปีในทวีปแห่งปรมาจารย์


กว่าจะถึงวันที่การถ่ายทอดความรู้ของเขาเสื่อมสลายและถูกหลงลืมไป ชื่อของเขาก็คงเป็นที่กล่าวขานของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น


ข่าวเรื่องเจ้าเมืองคนใหม่เปิดการบรรยายแพร่สะพัดออกไปราวกับไฟป่า ตลอด 4 ชั่วโมงให้หลัง นักรบหลายล้านคนก็มาออกันอยู่ในจัตุรัสและบริเวณใกล้เคียง


จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจและตั้งต้นบรรยาย


“วรยุทธอยู่ในหัวใจ และจิตวิญญาณ…”


เสียงของเขาแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ ให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ มีอานุภาพบ่มเพาะผู้ที่ได้ฟัง


ทุกคนถูกการบรรยายนั้นตรึงไว้


คนหนึ่งที่ยืนอยู่ในหมู่ฝูงชนคือหวูหยาง, ผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองอีกคนหนึ่ง เขายังสงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ๆหมิงไล่เชียงถึงยอมจำนนให้ชายหนุ่มที่มีอายุเพียง 20 ต้นๆ แถมยังเตือนเขาด้วยว่าอย่าทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ


หวูหยางจึงมาฟังการบรรยายด้วยตัวเอง ซึ่งสาระสำคัญของถ้อยคำเหล่านั้นก็กระจ่างอยู่ในหัวใจของเขา


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ชายหนุ่มได้เป็นเจ้าเมือง


เพราะลำพังแค่ความเข้าใจเรื่องวรยุทธของอีกฝ่ายก็เหนือชั้นกว่าผู้เชี่ยวชาญคนไหนๆที่เขาเคยพบ


แนวคิดอันลึกซึ้งถูกถ่ายทอดออกมาด้วยคำพูดที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย ทำให้ฝูงชนพากันพยักหน้ารับ ราวกับเกิดภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจ พวกเขาเข้าใจทันทีว่าแนวคิดที่เคยทำให้เกิดความสงสัยมาก่อนนั้น แท้จริงแล้วหมายความว่าอย่างไร


แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ นับจากวันนี้ไป เมืองแสงสนธยาจะไม่มีวันเหมือนเดิม


ด้วยความเก่งกาจเหนือชั้นของหลินชี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลหลินก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองแสงสนธยา พละกำลังของเขาเหนือชั้นกว่าแม้แต่ท่านแม่ของเขา, นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจตัวจริง ความเก่งกาจของทั้งคู่ทำให้แทบไม่มีใครในเมืองแสงสนธยากล้ามีเรื่องกับพวกเขา


ส่วนตระกูลจ้าวคือผู้อ่อนด้อยที่สุดของสามตระกูลใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้สืบทอดหรือหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน ก็เทียบไม่ได้เลยกับหลินชีและท่านแม่ของเขา เหตุผลเดียวที่ตระกูลจ้าวได้เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ก็เพราะกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้านการค้าขายในเมืองเอาไว้ ทำให้พวกเขาเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุด


…..


ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน…


“หลินชี พละกำลังของคุณในเวลานี้ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าหมิงไล่เชียงคนนั้นเลย ทำไมคุณต้องคล้อยตามเธอและถึงกับเลิกล้มการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเมือง? คุณก็รู้นี่ว่าคุณไม่ได้สู้ตามลำพัง มีตระกูลหลินทั้งตระกูลคอยหนุนหลังอยู่!” หัวหน้าตระกูลหลินมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างหงุดหงิด


แน่นอนว่าหลินชีคือหนึ่งในนักรบที่ทรงพลังที่สุดของเมืองแสงสนธยา ทั้งตระกูลหลินตั้งหน้าตั้งตารอวันที่หลินชีจะได้ครอบครองตำแหน่งเจ้าเมืองและนำพาทั้งตระกูลไปสู่ความยิ่งใหญ่กว่าเดิม ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆชายที่มาจากไหนก็ไม่รู้มาตัดหน้าเขาได้?


ต่อให้มีใครสักคนคว้าตำแหน่งเจ้าเมืองไป ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือแย่งชิงตำแหน่งนั้นกลับมา แต่หลินชีกลับเลือกที่จะยอมรับ ไม่แม้แต่จะคิดต่อสู้


ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห


นี่เป็นโอกาสเดียวที่ตระกูลหลินจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของเมืองแสงสนธยา แต่หลินชีกลับขว้างโอกาสนั้นทิ้งไปอย่างง่ายๆ!


“ถ้าหมิงไล่เชียงสู้เขาไม่ได้ ผมก็ปราบเขาไม่ได้เหมือนกัน อีกอย่าง เขาซึมซับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองได้ด้วย แทนที่จะทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า ผมควรยอมรับเสียดีกว่า” หลินชีส่ายหัวและตอบอย่างสุขุม “เอาเถอะ ผมจะฝึกฝนวรยุทธแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่น อย่ารบกวนผมอีก”


เมื่อพูดจบ ก็เตรียมตัวกลับห้อง


ในตอนนั้น พ่อบ้านคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาและประสานมือ “ท่านหัวหน้า, นายน้อยหลินชี เจ้าเมืองคนใหม่ประกาศว่าเขาจะเปิดการบรรยายสาธารณะ ซึ่งเริ่มได้สักครู่หนึ่งแล้ว คนจำนวนหนึ่งไปรวมตัวกันเพื่อฟังการบรรยายของเขา เราควรส่งคนของเราไปฟังด้วยไหม?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)