อัจฉริยะสมองเพชร 2200-2205

 ตอนที่ 2200 เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ

คงโง่เง่าเต็มทีหากไม่ยอมศึกษาภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษและพยายามคิดค้นทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะหากทำแบบนั้น ก็มีแต่จะทำให้เหนื่อยยากโดยไม่จำเป็น


มีแต่ฐานข้อมูลความรู้อันกว้างใหญ่เท่านั้นที่จะทำให้เขาคิดค้นเทคนิควรยุทธที่ล้ำลึกกว่าเดิมได้ และนั่นคือวิธีที่เหมาะสมและยั่งยืนที่สุดในการพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งกว่าเดิม


“นายน้อยจางเซวียน ตระกูลของเรามีหนังสือมากมายให้คุณได้ใช้”


“ตระกูลของเราก็สะสมหนังสือไว้มากเอาการ ผมจะให้บริวารของผมนำมาที่นี่ทันที!”


“ผมไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ตระกูลของเราขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายของหนังสือเทคนิควรยุทธที่พวกเรามี…”


ยังไม่ทันที่อู๋ฟังชิงจะได้ตอบ กลุ่มชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังก็รีบอาสาให้บริการ


นี่คือโอกาสวิเศษสุดที่พวกเขาจะได้ประจบประแจงชายหนุ่ม จึงยิ่งกว่ายินดีที่จะทำแบบนั้น


“ผมขอรบกวนพวกคุณด้วยก็แล้วกัน”


เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างกระตือรือร้น จางเซวียนก็รับความปรารถนาดีของพวกเขาไว้ คนพวกนี้คงต้องมีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัวแน่หากเขาไม่ให้โอกาสแก้ตัวที่เคยเย้ยหยันเขาต่างๆนานา


จางเซวียนเข้าสู่หอสมุดของคฤหาสน์เจ้าเมืองเป็นที่แรก เขาใช้เวลา 4 ชั่วโมงสำหรับการถ่ายโอนหนังสือที่อยู่ภายใน


หลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายโอนหนังสือได้ไม่นาน กลุ่มชายวัยกลางคนก็กลับมาพร้อมกับหนังสือทั้งหมดที่พวกเขามี จางเซวียนจึงรีบถ่ายโอนหนังสือเหล่านั้นด้วย


กว่าจะเก็บเรียบก็ใช้เวลาอีก 6 ชั่วโมง


หนังสือส่วนใหญ่ในเมืองตะวันรอนถูกจำกัดอยู่แค่วรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูง มีจำนวนเพียงน้อยนิดที่ครอบคลุมวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าเดิมอีกมากเกี่ยวกับสรวงสวรรค์และเทคนิควรยุทธต่างๆที่ใช้ฝึกฝนกันที่นี่


“เราคิดว่าขั้นต่อไปของเราคงเป็นสายสัมพันธ์ของครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์…” จางเซวียนคิด


หลังจากเหตุการณ์วันนี้ จางเซวียนก็พบทิศทางใหม่สำหรับเวทนาสวรรค์ขั้นต่อไป


แม้จะยังไม่ได้ลงมือทำอะไร แต่เมื่อมีทิศทางที่ชัดเจนแล้ว การจะเติมเต็มแนวคิดให้สมบูรณ์แบบก็คงไม่ต้องใช้เวลานานนัก


และทันทีที่ทุกอย่างลงตัว เขาก็จะกลายเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้อย่างง่ายดาย


เป็นครูบาอาจารย์หนึ่งวัน, เป็นบิดาชั่วชีวิต


ด้วยวัฒนธรรมของทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของอาจารย์กับศิษย์ควรเป็นอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้ใช้เวลากับจ้าวหย่าและคนอื่นๆแล้ว


แม้ทุกคนจะไม่ได้ผูกพันกันโดยสายเลือด แต่ก็เป็นยิ่งกว่าญาติสนิท


การนึกถึงบรรดาลูกศิษย์ของเขาทำให้จางเซวียนเกิดความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเป็นห่วงความปลอดภัย เสียใจที่ต้องพรากจากกัน ยินดีกับความสำเร็จของเด็กพวกนั้น อีกทั้งคาดหวังในอนาคตของพวกเขา…ความรู้สึกเหล่านี้อัดแน่นอยู่ในอก เหมือนของเหลวที่ค่อยๆไหลเลาะเข้าไปเติบโตอยู่ในหัวใจ


แม้จางเซวียนจะมีทุกอย่างพร้อม แต่การจะคิดค้นและฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมสักเทคนิคหนึ่งจนเชี่ยวชาญก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น แทนที่จะรีบร้อน เขาจึงตัดสินใจทำความเข้าใจสรวงสวรรค์ให้มากขึ้นก่อน


จางเซวียนดำดิ่งอยู่กับการศึกษาหาความรู้จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ต่อเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น “นายน้อย!”


เมื่อลืมตา ก็เห็นซุนฉางกับเซียนดาบชิงเหมิงยืนอยู่ตรงหน้า


ทั้งสามได้เป็นเทพเจ้า แถมยังยกระดับวรยุทธจนเป็นระดับเทพเจ้าขั้นสูงเทียบเท่ากับเขาด้วย


ไม่เพียงเท่านั้น จางเซวียนยังรู้สึกได้ถึงความคมกริบของดาบที่เกิดจากการปรากฏตัวของพวกเขา เกิดเป็นรังสีที่ล้ำลึกจนยากจะหยั่งถึง


“ศิลปะเพลงดาบนั่น…” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ในฐานะผู้คิดค้นหัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม เขาคือนักรบคนหนึ่งที่พบเส้นทางเพลงดาบของตัวเองแล้ว สามารถคิดค้นสไตล์ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตัวเองขึ้นได้ นี่คือสิ่งที่บรรดาผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบให้คำจำกัดความว่าเป็นระดับเหนือชั้น


จางเซวียนมองแวบเดียวก็ดูออกว่าเจตจำนงเพลงดาบที่ทั้งสามได้ฝึกฝนนั้นต่างไปจากเดิมมาก


อย่างศิลปะเพลงดาบที่เซียนดาบชิงเคยฝึกฝนก่อนหน้านี้ มันเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ของกาลเวลา ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของการผสมผสานกันระหว่างความรวดเร็วและความเนิบช้า


แต่หลังจากได้ผ่านการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบกับผู้แทนของน่านฟ้าดาบสวรรค์ เจตจำนงเพลงดาบของเซียนดาบชิงก็เปลี่ยนไป มันคล้ายกับป้อมปราการที่ถูกปิดตาย ถูกโอบล้อมด้วยแนวคิดของการ ‘ปกป้อง’


แม้การ ‘ปกป้อง’ จะมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ‘ป้องกันตัว’ แต่สองคำนี้เป็นแนวคิดที่แตกต่างกันมาก


การป้องกันตัวคือการปัดป้องเจตนาร้ายต่างๆที่พุ่งเข้ามา เหมือนการทำหน้าที่ของกระดองเต่า แต่การปกป้องจะรวมถึงแนวคิดของการตอบโต้ด้วย มันคือการใช้ทุกวิถีทางเพื่อกำจัดภยันตราย


“นี่คือศิลปะเพลงดาบของน่านฟ้าดาบสวรรค์หรือ?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้


“มันคือศิลปะเพลงดาบที่ผู้เชี่ยวชาญของน่านฟ้าดาบสวรรค์ถ่ายทอดให้พวกเรา ลูกผ่านความยากลำบากมามากมายตั้งแต่ยังเล็ก และพ่อกับแม่ก็ไม่อาจมอบความรักและการปกป้องในแบบที่พ่อแม่สักคนควรจะมีให้กับลูก เราจึงสาบานกันว่าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดทำอันตรายลูกได้อีก ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของเราก็ตาม” เซียนดาบชิงเหมิงพูดพร้อมกับพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม


การต้องขจัดสายเลือดของลูกชายของเธอออกไปนั้นเกิดเป็นรอยแผลฝังลึกในหัวใจของเซียนดาบเหมิง ซึ่งไม่อาจเยียวยาได้ เธอจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมขึ้นอีก


ซึ่งก็บังเอิญว่าแนวคิดของเจตจำนงเพลงดาบของน่านฟ้าดาบสวรรค์มีความกลมกลืนกับสภาวะจิตของเธอ ทำให้ศิลปะเพลงดาบของเธอพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในเวลาไม่ถึง 1 วัน ไม่เพียงแต่เซียนดาบเหมิงจะก้าวเข้าสู่ความเชี่ยวชาญขั้นใหม่ในศิลปะเพลงดาบ วรยุทธของเธอยังเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


จางเซวียนหันไปมองเซียนดาบชิง แม้อีกฝ่ายจะไม่พูดอะไร แต่แววตาของเขาก็เด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวเหมือนกับเซียนดาบเหมิง


สุดท้าย จางเซวียนหันไปมองซุนฉาง อีกฝ่ายเกาหัวแกรกๆและอธิบาย “นายน้อย คุณคือ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของผมและคอยดูแลผมตลอดมา ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะต้องคอยระมัดระวังความปลอดภัยให้คุณ ถูกไหม? ไม่อย่างนั้น ผมจะคุยโวโอ้อวดกับคนอื่นได้อย่างไร?”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนอดหัวเราะไม่ได้


แม้ศิลปะเพลงดาบของทั้งสามจะยังไม่อาจเทียบชั้นกับเขา แต่จางเซวียนก็ดีใจไม่น้อยที่เห็นว่าในที่สุดพวกเขาก็เก่งกาจพอที่จะปกป้องตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังดูออกด้วยว่าทั้งสามพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างแล้ว


ด้วยอสูรระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างตัวหนึ่งกับระดับเทพเจ้าขั้นสูงอีก 4 ตัว แถมยังมีไก่น้อยด้วย ในที่สุดจางเซวียนก็มีพละกำลังและอำนาจมากพอที่จะมีที่ทางของตัวเองในสรวงสวรรค์


“เจ้าเมืองอู๋ ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินเรื่องของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไหม?” จางเซวียนถาม


ตอนที่เขาถ่ายโอนหนังสือเมื่อครู่ก่อน ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเลย แต่เท่าที่เขาฟังจากตู้ชิงหย่วน หลัวลั่วชิงจะต้องอยู่ในสรวงสวรรค์แน่


ก่อนหน้านี้ ด้วยความที่พละกำลังของเขายังอ่อนด้อย จางเซวียนวิตกว่าการตั้งคำถามมากเกินไปอาจทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก จึงไม่กล้าซักไซ้อะไรมากมาย แต่ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงแล้ว แถมอีกไม่นานก็จะออกจากเมืองตะวันรอน ก็ถึงเวลาที่ควรหาข้อมูลของหลัวลั่วชิงเสียที


การที่เธอเดินทางฝ่าปราการมิติของสรวงสวรรค์ได้ก็หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดเธอน่าจะเป็นราชันย์เทพเจ้า และด้วยจำนวนของราชันย์เทพเจ้าในสรวงสวรรค์ที่มีจำกัด การจะหาข่าวของเธอก็ไม่น่ายากเกินไป


ขณะที่โม่หย่วนไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับราชันย์เทพเจ้าและจอมราชันย์ แต่ในฐานะเจ้าเมืองตะวันรอน อู๋ฟังชิงจะต้องมีความรู้มากกว่าโม่หย่วนแน่


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” อู๋ฟังชิงครุ่นคิดครู่ใหญ่ก่อนจะส่ายหัว “ผมเกรงว่าจะไม่เคยได้ยินชื่อนั้น สรวงสวรรค์ทั้งกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต มีผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนตระเวนอยู่ทั่วดินแดน จึงแน่นอนว่าจะต้องมีผู้คนมากมายที่ผมไม่รู้จัก แต่ก็นั่นแหละ คุณรู้หรือเปล่าว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่คุณพูดถึงมีความสามารถพิเศษแบบไหน หรือเชี่ยวชาญเทคนิคการต่อสู้ใด? ผมคิดว่าหากคุณตั้งต้นสืบเสาะจากตรงนั้น ก็น่าจะดีกว่า”


มีการปลอมตัวและการใช้สมญานามอยู่มากมายในสรวงสวรรค์ แถมบางคนก็มีทั้งตัวปลอมและชื่อปลอมหลายชื่อ ยกตัวอย่าง คนส่วนใหญ่เรียกจอมราชันย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนว่าจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น แต่ก็มีบางคนเรียกเขาว่าปีศาจฮ่องเต้เฉียนคุ่น และอื่นๆ


แม้คำว่า ‘เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ’ จะไม่ได้ทำให้เจ้าเมืองอู๋คิดอะไรออก แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณน่าจะมีความสามารถด้านไหน


“ความสามารถพิเศษ…ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องของการใช้ประโยชน์จากพิธีกรรม เธอสามารถเดินทางทะลุมิติได้ผ่านการประกอบพิธีกรรม” จางเซวียนตอบ


ตอนที่เขาพบหลัวลั่วชิงในทวีปแห่งปรมาจารย์ เทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ส่วนใหญ่ที่เธอสำแดงออกมาก็ล้วนเป็นเทคนิคที่ใช้กันอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จึงไม่มีใครมองว่านั่นคือความสามารถพิเศษ


แต่หากจะพูดถึงวีรกรรมของเธอ การลงมาสู่โลกและขึ้นสู่สรวงสวรรค์ผ่านการประกอบพิธีกรรมก็ถือเป็นความสามารถที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่ง


จากหนังสือที่เขาได้อ่าน เขาพบว่าแม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้


“เดินทางทะลุมิติ?” อู๋ฟังชิงขมวดคิ้ว “การเดินทางทะลุมิติที่คุณพูดถึงคงหมายถึงการเคลื่อนไหวข้ามมิติอย่างฉับพลันใช่ไหม? นั่นเป็นความสามารถที่มีแต่จอมราชันย์เท่านั้นที่ทำได้ ผมไม่คิดว่า ผมจะอยู่ในสถานภาพที่เหมาะสมต่อการพูดเรื่องนี้หรอก…ส่วนเรื่องพิธีกรรม ผมไม่แน่ใจสำหรับอีก 8 น่านฟ้าที่เหลือ แต่ผมรู้ว่าน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเรามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องนั้น เทพเจ้าสวรรค์สร้างและราชันย์เทพเจ้าส่วนใหญ่ในเมืองหลวงสามารถเรียกจิตวิญญาณของคนตายมาได้ผ่านการประกอบพิธีกรรม…”


“น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเชี่ยวชาญเรื่องการประกอบพิธีกรรม?” จางเซวียนประหลาดใจ


“ใช่ ในทุกเมืองใหญ่ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน จะมีสิ่งหนึ่งที่พวกเราเรียกว่า ‘สระบาดาล’ ที่เมืองตะวันรอนก็มี มันซึมซับเอาจิตปรารถนาของผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองเพื่อก่อร่างจิตวิญญาณของวีรชนขึ้นอีกครั้ง กระบวนการนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก แต่ก็ได้ผล” อู๋ฟังชิงพูด


“ซึมซับจิตปรารถนาเพื่อก่อร่างจิตวิญญาณของวีรชนขึ้นอีกครั้ง? จิตปรารถนาคืออะไร แล้วการก่อร่างจิตวิญญาณของวีรชนขึ้นอีกครั้งทำได้ด้วยวิธีไหน?” จางเซวียนออกจะงง



 

 

 


ตอนที่ 2201 นายน้อยจาง!

 

บางทีสิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับความลับของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน จึงไม่มีบันทึกไว้ในหนังสือที่เขาได้อ่าน


ส่วนอู๋ฟังชิงก็รู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขามีสถานภาพสูงส่งขนาดไหน จึงไม่กล้าปิดบังข้อมูลใดๆ


“พูดให้ง่ายเข้า จิตปรารถนาก็คือความมุ่งมาดปรารถนาของใครสักคน ยกตัวอย่าง หากคนที่เรารักคนหนึ่งเสียชีวิตไป ก็เป็นธรรมดาที่เราย่อมอยากให้เขาฟื้นคืนชีพ ความปรารถนานี้เติบโตขึ้นเป็นจิตปรารถนา ซึ่งจะถูกซึมซับและสะสมไว้ในสระบาดาล เมื่อเวลาล่วงเลยไป มันก็ช่วยบ่มเพาะเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่แตกสลายอยู่ภายในสระบาดาลนั้น และนำพาจิตใต้สำนึกกลับคืนสู่พวกเขาอีกครั้ง


“แต่มันเป็นกระบวนการที่กินระยะเวลายาวนานมาก หลายร้อยปี หลายพันปี หรืออาจถึงหลายหมื่นปีเลยทีเดียว มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่อาจมีชีวิตยืนยาวพอที่จะเห็นจุดสิ้นสุดของกระบวนการ เมื่อพวกเขาจากโลกนี้ไป จิตปรารถนาที่ช่วยเติมเต็มเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่แตกสลายจะสิ้นสุดลงเพราะไม่มีใครจดจำพวกเขาได้อีก ดังนั้น ต่อให้นักรบธรรมดาสามัญคนหนึ่งจะฝังจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาล พวกเขาก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ แต่กับทายาทของราชันย์เทพเจ้านั้นไม่เหมือนกัน”


“ราชันย์เทพเจ้ามีอายุขัยยาวนานกว่ามาก ทำให้พวกเขาส่งมอบจิตปรารถนาเข้าสู่สระบาดาลได้อย่างต่อเนื่อง จึงมีบ่อยครั้งที่บุคคลที่พวกเขาตั้งจิตปรารถนาให้สามารถกลับคืนสู่โลกใบนี้ได้ ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่มีความดีความชอบต่อน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็จะได้รับสิทธิพิเศษให้วางป้ายชื่อบรรพบุรุษของพวกเขาไว้บนแท่นบูชาหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป จิตปรารถนาของผู้คนที่พากันมาคารวะเขาจะสั่งสมและก่อตัวขึ้น ทำให้คนเหล่านั้นคืนชีพกลับสู่โลกใบนี้ได้”


“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า


เขานึกไม่ถึงว่าน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนจะทำได้ขนาดนี้ ใช้จิตปรารถนาคืนชีพจิตวิญญาณหลังความตาย…ช่างน่าทึ่งเหลือเกิน


เซียนดาบเหมิงอดถามไม่ได้ “พูดอีกอย่างก็คือ ตราบใดที่ผู้ล่วงลับยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะได้มีชีวิตอมตะในสระบาดาลใช่ไหม?”


“จะพูดแบบนั้นก็ได้” อู๋ฟังชิงพยักหน้า


ตราบใดที่ใครสักคนยังคงเป็นที่จดจำ พวกเขาจะได้รับจิตปรารถนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังมีชีวิตอยู่ได้ในสระบาดาล ซึ่งก็แน่นอนว่าปริมาณของจิตปรารถนาที่คนคนหนึ่งได้รับจะเป็นเครื่องกำหนดว่าผู้นั้นจะได้ร่างกายและจิตใต้สำนึกกลับคืนมาหรือไม่


“แต่เงื่อนไขสำคัญก็คือจะต้องมีการประกอบพิธีกรรมในสระบาดาลให้กับร่างของผู้ล่วงลับ ไม่อย่างนั้น จิตปรารถนาก็ไม่อาจช่วยฟื้นคืนชีพให้กับจิตวิญญาณของผู้นั้นได้” อู๋ฟังชิงอธิบาย


“ผมเข้าใจ แล้วนอกเหนือจากน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน คุณรู้จักกลุ่มอํานาจอื่นที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องการประกอบพิธีกรรมไหม?” จางเซวียนถามต่อ


“ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออก แต่ถ้าคุณอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม การเดินทางสู่เมืองหลวงอาจช่วยได้ ผู้คนที่นั่นมีเครือข่ายข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงถึงกัน คุณน่าจะพบสิ่งที่คุณตามหาได้ง่ายขึ้น…อ้อ พันธมิตรทางธุรกิจของคุณ, ฉีหลิงเอ๋อน่ะมาจากเมืองหลวง เธอน่าจะพอมีเส้นสายที่จะช่วยให้คุณ ได้ข้อมูลที่ต้องการ” อู๋ฟังชิงพูด


“อย่างนั้นหรือ? ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ” จางเซวียนตอบ


…..


หลังจากเสร็จธุระที่คฤหาสน์เจ้าเมือง จางเซวียนรีบกลับบ้านพักและสั่งการให้ซุนฉางส่งข้อความหาฉีหลิงเอ๋อ


เพียงไม่ถึง 15 นาที สุภาพสตรีเรือนร่างยั่วยวนก็มาถึงประตูทางเข้าบ้านพัก


“นายน้อยจาง!”


ท่าทีของฉีหลิงเอ๋อดูนอบน้อมเป็นพิเศษ


แม้เธอจะยังไม่รู้ว่าจางเซวียนมาจากกลุ่มอำนาจไหน แต่ก็รู้ดีว่าคงตายแน่หากคนระดับเธอกล้ามีปัญหากับผู้ที่ครอบครองสายเลือดจอมราชันย์


“ผมอยากให้คุณช่วยผมตามหาบางอย่าง คุณเคยได้ยินคำว่า ‘เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ’ หรือชื่อ ‘หลัวลั่วชิง’ บ้างไหม?” จางเซวียยถาม


ฉีหลิงเอ๋อครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “ฉันไม่เคยได้ยินชื่อพวกนั้นเลย”


“แล้วคุณพอมีเส้นสายที่จะช่วยผมตรวจสอบเรื่องนี้ได้ไหม?” จางเซวียนถามต่อ


“เรื่องนั้นฉันทำได้ แต่ต้องกลับเมืองหลวงก่อน เมืองตะวันรอนน่ะห่างไกลเกินไป อยู่ที่นี่ หาอะไรก็ไม่เจอหรอก” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขอรบกวนคุณฉีให้เดินทางไปเมืองหลวงกับพวกเรา ไม่ทราบว่าคุณพอมีเวลาไหม?” จางเซวียนถาม


แม้แต่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองตะวันรอน, อู๋ฟังชิง ก็เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ถ้าจางเซวียนอยากได้ข้อมูลและเรียนรู้เรื่องสรวงสวรรค์มากกว่านี้ ก็ต้องมุ่งหน้าสู่เมืองที่มีระดับขั้นสูงกว่า


แต่ปัญหาก็คือเขาไม่รู้จักใครและไม่มีเส้นสายใดๆในเมืองหลวง การไปไหนมาไหนจึงทำได้ยาก แน่นอนว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นมากหากใช้เส้นสายของฉีหลิงเอ๋อ


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ถ้าคุณเป็นคนเอ่ยปากล่ะก็ นายน้อยจาง, ฉันยิ่งกว่ายินดีที่จะช่วยคุณ” ฉีหลิงเอ๋อตาโตด้วยความตื่นเต้นขณะรีบตอบรับ


เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนนี้อย่างไร ก็พอดีกับที่โอกาสตกลงมาบนหน้าตัก หัวสมองอันเฉียบคมของเธอคิดคำนวณแล้วว่าจะได้ประโยชน์แค่ไหนหากได้สนิทชิดเชื้อกับผู้ที่มีสายเลือดจอมราชันย์


ฉีหลิงเอ๋อแสร้งทำเป็นลังเลเล็กน้อยและตั้งข้อสังเกตอย่างกังวล “เพียงแต่ว่า…”


“คุณต้องการอะไรก็บอกผมมาเถอะ ผมไม่คิดจะให้คุณช่วยผมฟรีๆอยู่แล้ว” จางเซวียนพูด


เขารู้ดีว่าฉีหลิงเอ๋อไม่ใช่คนใจกว้าง เหตุผลเดียวที่เธอยอมช่วยเขาก็เพราะหวังว่าจะได้รับบางอย่างตอบแทน


“ได้ฟังแบบนี้ก็ค่อยคลายใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ค่อยคุยกันเมื่อเราไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่บีบบังคับให้คุณทำอะไรที่ขัดกับความต้องการของคุณแน่” ฉีหลิงเอ๋อพูด


“ตามนั้น” จางเซวียนพยักหน้า


ในเมื่อเธอไม่อยากพูด ก็ไม่จำเป็นต้องบังคับ


“เมืองหลวงอยู่ไกลจากที่นี่แค่ไหน? เราจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร?” ซุนฉางถาม


“เมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอยู่ไกลจากที่นี่หลายล้านลี้ ถ้าเราขี่อสูรสวรรค์ไป ก็คงเหนื่อยตายเสียก่อนที่จะถึง วิธีที่ดีกว่าคือใช้ค่ายกลทะลุมิติ ซึ่งบังเอิญว่าเมืองตะวันรอนก็มีอยู่อันหนึ่ง” ฉีหลิงเอ๋อพูดยิ้มๆ


“ค่ายกลทะลุมิติ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


มีของแบบนั้นอยู่ในเมืองตะวันรอนจริงๆหรือ? ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน?


ฉีหลิงเอ๋อพยักหน้า “ใช่ ความสามารถในการเคลื่อนย้ายหรือเคลื่อนไหวทะลุมิติคือการเลียนแบบการเคลื่อนที่อย่างฉับพลันของจอมราชันย์ คนคนหนึ่งจะเดินทางไกลได้หลายล้านลี้ในชั่วพริบตาโดยไม่มีอะไรขัดขวาง…แต่ค่ายกลทะลุมิติคือเครื่องอำนวยความสะดวกที่มีแต่ท่านเจ้าเมืองกับขุนนางเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้ นักรบทั่วไปใช้ไม่ได้”


“มีแต่ท่านเจ้าเมืองที่มีสิทธิ์ใช้?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่าการใช้ค่ายกลทะลุมิติจะต้องมีเงื่อนไขเข้มงวด จึงไม่น่าแปลกใจที่นักรบทั่วไปจะไม่เคยได้ยินเรื่องของมันมาก่อน


“ใช่แล้ว นอกจากเป็นสิทธิพิเศษ มันยังเป็นสภาวะที่ช่วยปกป้องผู้ที่ถูกส่งทะลุมิติด้วย อย่างที่คุณคงรู้แล้ว สรวงสวรรค์คือสุดยอดของโลกต่างๆที่มีอยู่หลายใบ ดังนั้น กฎเกณฑ์แห่งมิติที่ควบคุมสรวงสวรรค์จึงทรงพลังมาก แม้แต่จอมราชันย์ผู้ทรงเกียรติก็ยังเอาชนะกฎเกณฑ์เหล่านั้นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ การใช้ค่ายกลทะลุมิติจึงอาจก่อให้เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติอย่างรุนแรงที่เป็นความเสี่ยงต่อผู้ใช้ ผู้ที่แข็งแกร่งไม่มากพออาจถูกฉีกเป็นชิ้นๆได้อย่างง่ายดาย” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย


“ตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองของแต่ละเมืองจะมีจิตปรารถนาของเมืองทั้งเมืองอยู่ ทำให้เขาต้านทานอันตรายจากคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติได้”


“จิตปรารถนา?” จางเซวียนทวนคำ


เขาได้ยินคำนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว


“การทำตามกฎเกณฑ์ที่เจ้าเมืองตั้งขึ้นถือเป็นสัญลักษณ์ของการยอมอยู่ในโอวาท ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเมือง ทั้งเมืองจะเข้าสู่ความปั่นป่วนวุ่นวาย ประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจะประสบกับความยากลำบาก ดังนั้น ความปรารถนาของผู้คนที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและสงบสุขจึงก่อเกิดเป็นจิตปรารถนาที่สะสมอยู่ในตราสัญลักษณ์เจ้าเมือง ช่วยปกป้องความปรารถนาของพวกเขาไว้ ด้วยเหตุผลนี้ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ที่เพิ่งปรากฏตัวจึงตั้งใจแสวงหาการยอมรับจากทั้ง 9 จอมราชันย์ เพราะการได้การยอมรับจาก 9 จอมราชันย์เป็นเครื่องหมายของการยอมรับจากทุกชีวิตที่อยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา สิ่งนี้จะทำให้จอมราชันย์พิชิตสวรรค์รวบรวมจิตปรารถนาได้มากขึ้นอีก” ฉีหลิงเอ๋ออธิบายต่อ


จางเซวียนพยักหน้า


แสดงว่าสิ่งที่เรียกกันว่าจิตปรารถนานั้นทรงพลังและเป็นแรงผลักดันที่สำคัญสำหรับสรวงสวรรค์


จางเซวียนเชื่อว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คือปรมาจารย์ขง และจากข้อมูลที่เขารู้มาเกี่ยวกับครูบาอาจารย์ของโลก อีกฝ่ายคือผู้อุทิศตัวเพื่อการเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น สำหรับเขา ชื่อเสียงและเกียรติยศมีความสำคัญเพียงน้อยนิด


ดังนั้น การกระทำของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ที่พยายามเสาะแสวงหาการยอมรับจาก 9 จอมราชันย์จึงออกจะดูผิดแปลก เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่


แต่ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังการกระทำนี้


การได้การยอมรับจากอีกฝ่ายจะทำให้จอมราชันย์พิชิตสวรรค์รวบรวมจิตปรารถนาได้มากขึ้น และบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วกว่าเดิม


“เพราะฉะนั้น ถ้าผมอยากเดินทางไปเมืองหลวงหรือที่ไหนๆในสรวงสวรรค์โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆมากำหนดล่ะก็ ผมจะต้องได้สถานภาพเจ้าเมืองมาก่อนใช่ไหม?” จางเซวียนถาม


“ใช่” ฉีหลิงเอ๋อตอบยิ้มๆ


“ง่ายนิดเดียว ผมกับเจี้ยน้อยจะไปคฤหาสน์เจ้าเมืองเดี๋ยวนี้ เพื่อปาดคออู๋ฟังชิงซะ” ซุนฉางพูด


น่าตลกไม่น้อยที่หลังจากเสร็จสิ้นการปะทะคารมครั้งแรก ซุนฉางกับอสูรเกราะเรืองแสงก็สนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี กลายเป็นคู่หูที่เออออกันได้ทุกเรื่อง


ต่อให้อู๋ฟังชิงมีของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ก็คงลำบากไม่น้อยหากจะต้องรับมือกับอสูรเกราะเรืองแสง


จางเซวียนส่ายหน้าและปฏิเสธข้อเสนอของซุนฉาง


อู๋ฟังชิงไม่ได้มีเรื่องกับเขา จึงไม่ถูกต้องหากจะสังหารอีกฝ่ายเพื่อยึดครองตำแหน่ง


“ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นหรอก แม้ดูเผินๆสรวงสวรรค์จะเป็นสถานที่ที่สงบสุข แต่ที่จริงน่ะมีการสู้รบเกิดขึ้นทุกหนแห่ง ตอนนี้มีหลายเมืองที่ตำแหน่งเจ้าเมืองยังว่าง” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


“อีกอย่าง ที่จริงฉันเองก็เป็นเจ้าเมือง ดินแดนที่ฉันปกครองอาจไม่ใหญ่โตหรูหราเหมือนเมืองตะวันรอน แต่จิตปรารถนาที่ฉันได้รับจากตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองของฉันก็มากพอจะทำให้ใช้ค่ายกลทะลุมิติได้”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น

 

 

 


ตอนที่ 2202 เขารู้ได้อย่างไร?

 

กลับกลายเป็นว่าในสรวงสวรรค์มีวิธีการหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์อยู่มากมาย ช่างน่าโล่งใจเหลือเกินที่ได้รู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้ตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองมา


เพียงเพื่อให้ได้สิทธิพิเศษในการใช้ค่ายกลทะลุมิติ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆนานาเพื่อให้ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว


เพราะใช่ว่าเขาจะไม่เคยดำรงตำแหน่งสูงส่งมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ หัวหน้าตระกูล หรือเจ้าสำนัก…จะรับตำแหน่งเจ้าเมืองอีกตำแหน่งคงไม่ใช่ปัญหา


จางเซวียนหันไปถามฉีหลิงเอ๋อ “แถวนี้ยังมีเมืองไหนที่ตำแหน่งเจ้าเมืองยังว่างอยู่บ้าง?”


“เมืองแสงสนธยา ใช้เวลาเดินทางจากที่นี่ราว 1 วัน เมืองนี้ยังไม่มีเจ้าเมือง กลุ่มอำนาจใหญ่ๆต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองมากว่าครึ่งปีแล้ว แต่ยังไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” ฉีหลิงเอ๋อตอบยิ้มๆ


เครือข่ายข้อมูลข่าวสารของเธอในฐานะผู้จัดการตลาดมืดใต้ดินถือว่าน่าทึ่งมาก


“แต่เมืองนั้นกว้างใหญ่กว่าเมืองตะวันรอนหลายเท่า ครอบคลุมถึง 3 เขตแดนการปกครอง นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง ซึ่งถ้าขนาดนักรบระดับนั้นยังไม่ได้เป็นเจ้าเมือง การจะได้เป็นเจ้าเมืองก็ถือว่าลำบากไม่น้อย”


“มี 3 เขตแดนการปกครองอยู่ในสังกัดของเมืองแสงสนธยา แล้วผู้ปกครองดินแดนเหล่านั้นมีตราสัญลักษณ์ที่ทำให้พวกเขาใช้ค่ายกลทะลุมิติได้หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


“มีสิ! นายน้อยจาง ก็เพราะฉันรู้ความต้องการของคุณนี่แหละถึงได้แนะนำเมืองแสงสนธยา!” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


เธอรู้ดีว่าจางเซวียนอยากพาซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่ของเขาไปด้วย และเพราะเหตุนั้น เธอจึงเสนอเมืองแสงสนธยาเป็นทางเลือก


ไม่อย่างนั้นก็คงแนะนำเมืองอื่นที่เล็กกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องลำบากลำบนไปถึงเมืองที่เข้าควบคุมได้ยากอย่างเมืองแสงสนธยา


“เยี่ยมเลย ถ้าไม่มีอะไรล่ะก็ ออกเดินทางไปที่นั่นกันเถอะ” จางเซวียนพูด


“ขออภัยด้วยเถอะนายน้อยจาง แต่ฉันต้องเตรียมตัวสักหน่อย เราออกจากที่นี่ในอีก 4 ชั่วโมงข้างหน้าได้ไหม?” ฉีหลิงเอ๋อถาม


จางเซวียนพยักหน้า


ฉีหลิงเอ๋อมีความเชี่ยวชาญในหน้าที่การงานของเธอมาก แม้จะขอเวลา 4 ชั่วโมง แต่ก็กลับมาที่ลานบ้านในอีก 3 ชั่วโมงต่อมา แถมยังพาอสูรสวรรค์บินได้มาอีกหลายตัวเพื่อให้ทุกคนได้ใช้


เมื่อขึ้นขี่หลังอสูรสวรรค์แล้ว ทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางสู่เมืองแสงสนธยา


“พวกเขาไปแล้วหรือ?”


เมื่อได้ยินว่าจางเซวียนออกเดินทางไปแล้ว อู๋ฟังชิงหน้าเสีย เขาตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มในช่วงเวลา 2-3 วันนี้เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ตอบแทนบ้าง ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะรีบจากไป


“ท่านเจ้าเมืองอู๋ นายน้อยจางฝากให้ผมมอบของกำนัลนี้ให้คุณ เพื่อเป็นเครื่องตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือ” หยิงเฟยพูด


“อ้อ?” อู๋ฟังชิงขมวดคิ้วขณะรับตราหยกที่หยิงเฟยยื่นให้


เขาใช้นิ้วแตะมันและถ่ายทอดพลังงานสวรรค์เข้าไป เพียงครู่เดียวก็ตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ


“ฮะ?”


สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในตราหยกคือข้อบกพร่องทั้งหมดในวรยุทธของเขา รวมถึงวิธีแก้ไข


ขอแค่เขาฝึกฝนวรยุทธตามที่มีบันทึกไว้ ก็จะรักษาอาการบอบช้ำต่างๆที่เกิดจากการฝึกฝนวรยุทธได้ อีกทั้งในอนาคตยังมีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงด้วย!


“ว่าแต่…เขารู้ได้อย่างไร?” อู๋ฟังชิงถึงกับจังงัง


ตัวเขาเพิ่งพบจางเซวียนได้เพียงวันเดียว และไม่เคยพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธสักคำ แต่รายละเอียดในตราหยกนั้นบอกทุกอย่างที่แม้เขาเองก็มองข้าม


แล้วชายหนุ่มมองเห็นข้อบกพร่องทั้งหมด แถมยังหาวิธีแก้ไขมันด้วยได้อย่างไร.?


หลังจากงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ อู๋ฟังชิงก็ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือก “การที่เขามีสายเลือดจอมราชันย์คงไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลแน่!”


บางที คงไม่มีประโยชน์หากพยายามจะนำสามัญสำนึกไปใช้กับผู้ที่อยู่เหนือความคาดหมายและความเข้าใจของคนทั่วไป การจะคิดว่าตัวเองเข้าใจอำนาจและความแข็งแกร่งของจอมราชันย์นั้นคือความโอหังอย่างหนึ่ง


…..


การออกเดินทางของจางเซวียนไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆในเมืองตะวันรอน


เพราะที่ผ่านมา เขาเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบตลอดตั้งแต่มาถึง จึงมีผู้คนไม่มากนักที่รู้จักเขา


หลังจากบินไปได้ราว 1 วัน เมืองใหญ่โตแห่งหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า


ในแง่ของความกว้างใหญ่ มันใหญ่กว่าเมืองตะวันรอนราว 3-4 เท่า สองข้างทางถูกขนาบข้างด้วยตึกสูง ผู้คนคลาคล่ำเดินอยู่ทั่วไป


นับตั้งแต่ที่อสูรสวรรค์ร่อนลงแตะพื้นและทั้งกลุ่มเข้าสู่เมืองแสงสนธยา จางเซวียนก็ได้แต่ขมวดคิ้วกับความพลุกพล่านหนาแน่นของถนน ให้ความรู้สึกราวกับกำลังเดินฝ่าดงตั๊กแตน


ฉีหลิงเอ๋อพอจะดูออกว่าจางเซวียนคิดอะไร เธออธิบาย “นับตั้งแต่พลังจิตวิญญาณเริ่มเสื่อมถอย พื้นที่ที่ผู้คนในสรวงสวรรค์พอจะอาศัยอยู่ได้ก็มีอาณาเขตลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องอพยพเข้าเมือง นำมาซึ่งภาวะประชากรหนาแน่นเกินขนาด ใครที่มีบ้านที่มีพื้นที่ 40 ตารางเมตรก็ถือว่าร่ำรวยแล้ว หาสาวๆมาอยู่ข้างกายได้มากมาย”


จางเซวียนพยักหน้า


เรื่องแบบนี้ก็คล้ายคลึงกับเมืองใหญ่ๆในโลกเก่าของเขา ผู้คนส่วนใหญ่อยากเข้ามาเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ในพื้นที่ที่เป็นใจกลางของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความหนาแน่นของประชากรอยู่ในอัตราสูงมาก ตึกรามบ้านช่องจำเป็นต้องสร้างให้สูงขึ้นเรื่อยๆเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ ในเวลาเดียวกัน ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็พุ่งพรวดจนน่าตกใจ สูงขึ้นไปจนถึงระดับที่คนธรรมดาเอื้อมไม่ถึง


สรวงสวรรค์ก็เป็นแบบนั้น ในเวลานี้การอาศัยอยู่นอกเมืองแทบเป็นไปไม่ได้แล้ว ทุกคนจึงพากันอพยพเข้าเมืองและพยายามดิ้นรนสุดตัว


“แล้วเราจะไปประชันขันแข่งเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเมืองได้ที่ไหน?” จางเซวียนถาม


“ไม่ใช่เพราะขาดแคลนตัวเลือกหรอกนะที่ทำให้เมืองแสงสนธยาไม่อาจเฟ้นหาผู้รับตำแหน่งเจ้าเมืองได้ แต่เป็นเพราะกลุ่มอำนาจต่างๆยังคะคานอำนาจกันอย่างหนัก” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย


“รวมแล้ว มี 3 ผู้ท้าชิงหลักที่แข่งขันกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมือง หนึ่งในนั้นคือทายาทของตระกูลผู้เชี่ยวชาญศิลปะเพลงกระบี่, หลินชี นักรบพเนจรผู้เชี่ยวชาญศิลปะเพลงดาบ, หวูหยาง และสาวน้อยที่ใช้ชื่อว่าหมิงไล่เชียง สองคนแรกเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง ประสิทธิภาพการต่อสู้ถือว่าเยี่ยมยอด ส่วนคนสุดท้าย, หมิงไล่เชียง เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แต่ก็ไม่อาจสบประมาทเธอเพราะระดับวรยุทธที่อ่อนด้อยกว่า จากที่ร่ำลือกัน เธอคือคนที่น่าสะพรึงที่สุดในบรรดาสามคนนี้!”


“หมิงไล่เชียง…” จางเซวียนจดจำชื่อนั้นไว้ในใจ


การได้เป็นผู้ท้าชิงตําแหน่งผู้ปกครองเมืองใหญ่ระดับนี้ก็แปลว่าเธอไม่มีทางเป็นนักรบธรรมดา


“การจะได้เป็นเจ้าเมืองนั้นไม่ต้องผ่านกระบวนการซับซ้อน พูดง่ายๆก็คือคุณต้องเอาชนะสามคนนี้ให้ได้และทำให้พวกเขายอมรับคุณจากใจจริง แล้วตำแหน่งเจ้าเมืองก็จะเป็นของคุณ” ฉีหลิงเอ๋อพูด


“เพราะฉะนั้น นายน้อยจาง…เราจะท้าทายใครเป็นคนแรก?”


ในอดีต ผู้เข้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องผ่านกระบวนการซับซ้อนและต้องได้การยอมรับจากหอบาดาลเสียก่อนถึงจะได้เป็นเจ้าเมือง ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งกระบวนการจะต้องกินเวลายาวนานหลายเดือน


แต่การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกิจการงานต่างๆของสรวงสวรรค์ ขั้นตอนของทุกกระบวนการจำเป็นต้องย่นระยะเวลาให้สั้นลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป


ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยของความแร้นแค้น ผู้คนต้องยื้อแย่งแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัด ในเมืองใหญ่ๆหลายเมืองที่มีประชากรมากจนไม่สมดุลกับจำนวนทรัพยากร ก็มีโอกาสที่จะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งและความวุ่นวายต่างๆ


ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นสูงสุดที่เจ้าเมืองจะต้องมีพละกำลังแข็งแกร่งเป็นเลิศเพื่อที่จะปกครองและควบคุมทั้งเมืองให้อยู่ในระเบียบได้ มีแต่ผู้ที่มีคุณสมบัติแบบนั้นถึงจะทำให้ประชากรทุกคนในเมืองยอมทำตามกฎเกณฑ์ และตัวเขาก็จะได้การยอมรับจากน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน


จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “ก่อนอื่น คุณรู้ไหมว่าผมจะหายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางได้ที่ไหน? ผมอยากได้ยานั้นสักหน่อยก่อนจะไปท้าทายพวกเขา”


“ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลาง?” ฉีหลิงเอ๋อไม่คิดว่าจางเซวียนจะถามอะไรปุบปับแบบนี้ เธอชี้นิ้วไปที่ตึกขนาดใหญ่ที่มองเห็นไกลๆแล้วตอบว่า “หาได้จากตลาดที่อยู่ตรงนั้น แต่ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าไม่มีเส้นสาย พวกเขาจะยอมขายให้คุณหรือเปล่า อย่างที่คุณรู้ ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเป็นทรัพยากรที่ผู้คนต่างเสาะแสวงหา รอเดี๋ยวนะ…ฉันคิดว่าฉันพอรู้สถานที่ที่จะซื้อยาได้ในจำนวนมากๆแล้วล่ะ แต่การต่อรองกับผู้นั้นคงไม่ง่าย…”


“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนมองหน้าเธอ “บอกผมมาสิ”


“เขาเป็นนักรบพเนจรคนหนึ่งที่พำนักอยู่ในเมืองแสงสนธยา และถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนเขาจะอายุราว 60 ปี…วรยุทธก็ไม่สูงนัก เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง แต่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านการหลอมยา เพียงแต่เขามักจะเก็บยาที่หลอมได้เอาไว้กินเอง อีกอย่าง เขาหลงใหลกีฬาหมากรุกมาก มักจะเสาะหาผู้คนมาเล่นหมากรุกกับเขาเสมอ ว่ากันว่าทักษะของเขานั้นเยี่ยมยอด ครั้งหนึ่ง เขาเคยประกาศว่าจะมอบยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลาง 1 เม็ดให้ใครก็ตามที่เอาชนะเขาได้ตาหนึ่ง แต่ถึงจะผ่านมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จ” ฉีหลิงเอ๋อพูด


“ถ้าระดับวรยุทธของเขาไม่สูงนัก ทำไมไม่เคยมีใครคิดจะขโมยยาจากเขาล่ะ?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


มันประหลาดพออยู่แล้วที่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงจะมียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางอยู่ในครอบครอง เขาไม่กลัวว่าจะมีใครพยายามขโมยมันบ้างหรือ?


ถ้าเป็นเมืองอื่นๆ บางทีนักรบทั่วไปอาจยังมีความยำเกรงเจ้าเมืองอยู่บ้าง แต่สำหรับเมืองแสงสนธยาที่ตอนนี้ตำแหน่งเจ้าเมืองยังว่างอยู่ ก็ไม่ยากเกินไปที่จะดูออกว่าคงมีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์เกิดขึ้นทั่วไป


“แม้ระดับวรยุทธของเขาจะอ่อนด้อย แต่เขามีน้องชายที่เก่งกาจมากอยู่คนหนึ่ง ตามที่ร่ำลือกัน น้องชายของเขาเป็นราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งของเมืองหลวง และได้มอบตราหยกสัญลักษณ์ไว้ให้พี่ชายเพื่อคุ้มกันตัวเองในสถานการณ์คับขัน เคยมีนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ 2 คนพยายามลอบสังหารเขาเพื่อขโมยทรัพย์สมบัติ แต่สุดท้ายก็ต้องตายเพราะรังสีที่ตราหยกอันนั้นแผ่ออกมา หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ไม่มีใครกล้าทำร้ายเขาอีก” ฉีหลิงเอ๋อสาธยาย

 

 

 


ตอนที่ 2203 นักรบสามเครา

 

“ราชันย์เทพเจ้า?” จางเซวียนพยักหน้า


เขาอ่านหนังสือมามาก จึงพอมีความเข้าใจระดับหนึ่งว่าราชันย์เทพเจ้าเก่งกาจอย่างไร


จอมราชันย์ส่วนใหญ่แทบไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ จึงมีน้อยคนที่จะได้เห็นพวกเขา อีกทั้งคนเหล่านี้ยังล้างมือจากกิจธุระทางโลกแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าผู้กุมอำนาจตัวจริงคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ


ในเก้าน่านฟ้า มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติราว 30 คนเท่านั้น ตกน่านฟ้าละ 3 คน


ส่วนผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคือราชันย์เทพเจ้า ทั้งสรวงสวรรค์มีอยู่ราว 100 คน ซึ่งก็หมายความว่าในแต่ละน่านฟ้ามีราชันย์เทพเจ้าเพียง 10 คนเท่านั้น


พูดอีกอย่างก็คือ ใครสักคนที่เข้าถึงวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุด 10 คนในดินแดนของตัวเอง คือผู้ทรงอำนาจตัวจริงของสรวงสวรรค์


ในเมื่อนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงยังเทียบชั้นกับผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นไม่ได้ ก็ไม่มีทางที่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำจะมีโอกาส แค่อีกฝ่ายใช้ความคิดแวบเดียว ก็คงถูกเล่นงานจนพ่ายแพ้ราบคาบ


จริงอยู่ว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางเป็นของล้ำค่า แต่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับชีวิตของตัวเองมากกว่า


“ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วเขาชื่ออะไร คนส่วนใหญ่เรียกตามเคราขาวสามสายที่ปลายคางของเขา ผู้คนต่างขนานนามเขาว่านักรบสามเครา เขาอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ไม่ไกลจากที่นี่ ถ้าคุณอยากเจอเขาจริงๆล่ะก็ ฉันพาคุณไปที่นั่นได้!” ฉีหลิงเอ๋อพูด


แม้อิทธิพลของเธอในเมืองแสงสนธยาจะมีจำกัด แต่เครือข่ายข้อมูลข่าวสารก็ยังคงใช้งานได้ดีอยู่


“ถ้างั้นก็ไปกันเลย!” จางเซวียนพูด


ถ้าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ด้วยระดับวรยุทธของเขาในเวลานี้ ก็ยังพอมีโอกาสรับมือไหว แต่โชคร้ายที่อีกฝ่ายมีนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางรวมอยู่ด้วย ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจในการรับมือกับคนพวกนั้น


เหตุผลที่ก่อนหน้านี้จางเซวียนระงับการฝึกฝนวรยุทธไว้ก็เพราะยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว ดังนั้น เรื่องด่วนที่สุดตอนนี้ก็คือต้องหาทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มีศักยภาพกว่าเดิมเพื่อยกระดับวรยุทธให้ได้


ที่พักของนักรบสามเคราอยู่ไม่ไกล ทั้งกลุ่มเดินไปราว 1 ชั่วโมงก็มาถึงกระท่อมฟางหลังหนึ่งที่ดูเรียบง่าย ให้ความรู้สึกแปลกแยกอย่างสิ้นเชิงกับตึกสูงตระหง่านที่อยู่รายรอบ


ในเมืองหลวง พื้นที่ทุกตารางนิ้วมีค่ามาก การได้เป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ถึงขนาดสร้างกระท่อมฟางหลังนี้ได้ก็หมายความว่านักรบสามเคราไม่ใช่คนธรรมดา คนส่วนใหญ่ที่คิดจะฉกฉวยทรัพย์สมบัติจากเขาย่อมต้องคิดให้ดีเมื่อได้เห็นความเหนือระดับนี้


ยังไม่ทันจะถึงกระท่อมฟาง ก็ได้ยินเสียงดังจากข้างใน


“ผู้อาวุโส ฝีมือการเล่นหมากรุกของคุณนี่เหนือชั้นจริงๆ ผมสู้คุณไม่ได้เลย”


“คุณเดินหมากพลาดอยู่สองสามครั้ง แต่โดยรวมถือว่าไม่เลว ตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝนให้ดี ในอนาคตคุณก็มีโอกาสเอาชนะผมได้…” เสียงชายชราคนหนึ่งแว่วมาจากข้างใน


“ผู้อาวุโส ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ”


แอ๊ดดดด!


ประตูกระท่อมฟางเปิดออก ชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าหรูหราเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ มีบริวารคนหนึ่งตามหลังมาติดๆ ทั้งคู่เดินผ่านกลุ่มของจางเซวียนและหายไปท่ามกลางตรอกซอกซอยของเมืองแสงสนธยา


“ด้วยฝีมือการเล่นหมากรุกอันเหนือชั้นของนักรบสามเครา จึงมีผู้มาท้าทายถึงกระท่อมของเขาทุกวัน ชายหนุ่มคนนี้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น” ฉีหลิงเอ๋ออธิบายยิ้มๆ


จากนั้นเธอก็เดินตรงไปยังกระท่อมฟางและประกาศดังลั่น “ฉีหลิงเอ๋อจากตระกูลฉีแห่งเมืองหลวงมาขอคารวะผู้อาวุโสนักรบสามเครา หวังว่าคุณจะสละเวลาให้พวกเราสักหน่อย!”


“ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะมาจากตระกูลฉีหรือตระกูลอะไร และไม่อยากพบคุณด้วย กลับไปซะ” ชายชราส่งเสียงตอบมาจากด้านใน


“ผู้อาวุโส ฉันไม่ได้ตั้งใจจะใช้อิทธิพลของตระกูลฉีบีบบังคับคุณให้ทำอะไรทั้งนั้น แค่มาคารวะคุณอย่างจริงใจเพื่อหวังว่าคุณจะรับฟังคำขอร้องของพวกเรา อย่างน้อยที่สุด คุณคงได้ยินพวกเราจากตรงนี้…” ฉีหลิงเอ๋อพูด


ถ้าเป็นคนอื่น กิตติศัพท์ของตระกูลฉีแห่งเมืองหลวงมีแต่จะทำให้พวกเขารีบออกมาเพราะเกรงว่าจะทำให้เธอไม่พอใจ แต่นักรบสามเคราคนนี้ดูจะไม่กลัวสักนิดว่าจะทำให้เธอหงุดหงิดหรือเปล่า


สิ่งที่ผู้คนร่ำลือกันเรื่องความพิสดารพิลึกพิลั่นของเขาน่าจะเป็นเรื่องจริง


แต่ก็นั่นแหละ แม้ตระกูลฉีจะมีอำนาจไร้เทียมทาน แต่อิทธิพลของตระกูลก็อยู่ภายในเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่ อีกอย่าง พวกเธอก็ไม่อาจก่อความวุ่นวายได้เพียงเพราะถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ ทำแบบนั้นจะดูเป็นคนใจแคบเกินไป


“ผมเป็นแค่ตาแก่รักอิสระคนหนึ่ง ไม่คิดว่าจะช่วยอะไรพวกคุณได้ เพราะฉะนั้น…อย่าทำให้ต่างคนต่างเสียเวลาเลยดีไหม?”


ชายชราที่อยู่ในกระท่อมฟางดูจะไม่เต็มใจข้องแวะกับตระกูลฉี


ฉีหลิงเอ๋อขมวดคิ้วอย่างขัดใจ


เธอกำลังจะเดินเข้าไปและพูดต่อ ก็พอดีกับที่จางเซวียนยกมือห้ามไว้


จากนั้นเขาก็เดินไปที่กระท่อมฟางและส่งเสียง “ผู้อาวุโส ผมคือจางเซวียน, นักรบพเนจรคนหนึ่ง ผมเคยศึกษาหมากรุกด้วยตัวเองมาบ้าง และสนใจอยากดวลหมากรุกกับคุณ”


“คุณอยากดวลหมากรุกกับผม?”


ชายชราดูจะเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พูดว่า “วันนี้ผมเล่นหมากรุกมาสามตาแล้ว คุณกลับมาใหม่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”


“สามตา?”


“คุณคงรู้แล้วนะว่าผมคลั่งไคล้หมากรุก แต่เพื่อป้องกันไม่ให้งานอดิเรกของผมกลายเป็นเรื่องอื่น ผมจึงกำหนดให้ตัวเองเล่นหมากรุกได้เพียงสามตาต่อวันเท่านั้น เมื่อครู่นี้ผมก็เล่นตาที่สามไปกับเจ้าหนุ่มนั่นแล้ว คงต้องขอให้คุณกลับมาใหม่พรุ่งนี้ถ้าคุณอยากดวลกับผมจริงๆ” ชายชราตอบ


“เอ่อ…เกรงว่าผมจะไม่มีเวลา ผมต้องออกจากเมืองแสงสนธยาวันนี้…” จางเซวียนส่ายหน้า


“ถ้าคุณต้องกลับ ก็กลับไป มันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ?” ชายชราคำรามอย่างรำคาญ


“ผู้อาวุโส อย่างน้อยที่สุดคุณน่าจะฟังผมก่อน ในเมื่อเราจะดวลกัน ก็ย่อมมีผู้ชนะ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเราไม่พนันกันสักหน่อยล่ะ?” จางเซวียนพูดอย่างสุขุม


“บอกคุณตามตรงนะ ผมน่ะภูมิใจในทักษะการเล่นหมากรุกของผมมาก ยังสงสัยอยู่ว่าในโลกนี้จะมีใครโค่นผมได้หรือเปล่า แต่ก็โชคร้ายที่ยังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่คู่ควรเลยสักคน ถ้าคุณเอาชนะผมได้ ผมจะยอมทำตามที่คุณร้องขอ ตราบใดที่ไม่ขัดกับหลักการของผมนะ คุณต้องการอะไรผมก็จะทำให้ แต่ถ้าผมเอาชนะคุณได้ ก็จะขอให้คุณทำตามคำขอร้องของผมเช่นกัน แบบนี้ฟังดูดีไหม?”


“อ้อ? คุณแน่ใจนะ?” ชายชราย้อนถาม


เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะคุยโตโอ้อวดขนาดนี้


“แน่ใจสิ!” จางเซวียนตอบอย่างวางมาด


“ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ผมอยากได้อสูรตัวที่อยู่ข้างหลังคุณ” ชายชราพูด


ถึงจางเซวียนจะยังไม่ได้เข้ามาข้างใน แต่ชายชราก็เห็นชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง-จางเจี้ย


ถ้าไม่ใช่เพราะจางเจี้ย เขาคงบอกปัดจางเซวียนไปแล้วตั้งแต่แรก


“ต้องขออภัยด้วย ถึงจางเจี้ยจะเป็นอสูรของผม แต่ผมก็เห็นเขาเป็นเหมือนน้องชายและสหายคนหนึ่ง ผมจะไม่มีวันใช้สหายเป็นเดิมพัน คุณคงต้องเรียกร้องอย่างอื่นแทนแล้วล่ะ” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


“นายท่าน…” จางเจี้ยนัยน์ตาแดงก่ำ


ตั้งแต่ได้ฟัง มันก็คิดว่าเจ้านายคงตอบรับเดิมพันโดยไม่ลังเล เพราะถึงอย่างไร อสูรก็ถูกมองเป็นสิ่งไร้ค่าในสรวงสวรรค์อยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากจางเซวียน


เจ้านายของมันเห็นมันเป็นทั้งสหายและน้องชาย…


เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ต่อไปมันก็พร้อมจะฝ่าฟันภยันตรายต่างๆเพื่อเจ้านายโดยไม่ลังเล


“งั้นหรือ?” ชายชราก็ไม่คิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้จากจางเซวียน “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ สิ่งที่คุณมีน่ะ ไม่มีอะไรที่ผมอยากได้หรอก ผมมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพนันกับคุณ”


“คุณรู้สึกว่าผมไม่มีอะไรที่คุณอยากได้อย่างนั้นหรือ? ขอโทษนะ แต่ผมอยากให้คิดใหม่”


จางเซวียนหัวเราะหึๆ จากนั้นก็สะบัดข้อมือ แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ร่างนั้นยืนอยู่หน้าหม้อหลอมยา กำลังดำเนินกระบวนการหลอมยาเม็ด นิ้วของเขาเคลื่อนไหวไปมาอย่างว่องไวและสง่างาม ควบคุมทุกปัจจัยที่อยู่ภายในหม้อได้อย่างแม่นยำ


“ผู้อาวุโส ผมรู้มาว่าคุณก็เชี่ยวชาญด้านการหลอมยาเหมือนกัน ผมอยากรู้ว่าเทคนิคการหลอมยาเทคนิคนี้ของผมดีพอจะทำให้คุณสนใจหรือเปล่า…”


จางเซวียนดีดนิ้ว แล้วร่างนั้นก็หายวับไป


“เทคนิคการหลอมยาของคุณ…” ชายชราอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ


คนอื่นอาจไม่เห็นความพิเศษใดๆจากภาพที่ปรากฏเมื่อครู่ แต่ในฐานะนักปรุงยาผู้เก่งกาจ เขาดูออกว่าท่วงท่าการเคลื่อนไหวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเทคนิคการหลอมยาชั้นยอด อันที่จริง มันเหนือชั้นกว่าเทคนิคที่เขาใช้เสียอีก


ครู่ต่อมา ชายชราก็ส่งเสียงอีกครั้ง “เข้ามาสิ”


พร้อมกันนั้น ประตูกระท่อมฟางก็เปิดออก


คนรับใช้สูงวัยคนหนึ่งก้าวออกมาเชื้อเชิญให้จางเซวียนเข้าไป


จางเซวียนยิ้มและเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ฉีหลิงเอ๋อกับคนอื่นๆตามไปติดๆ


จากหนังสือมากมายที่ได้อ่าน จางเซวียนพบว่าเทคนิคหลอมยาที่ใช้กันในสรวงสวรรค์ไม่ต่างกับเทคนิคที่ใช้ในทวีปแห่งปรมาจารย์ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ความรู้ที่เขาได้ร่ำเรียนตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์สามารถนำมาใช้ที่นี่ได้ เพราะฉะนั้น สำหรับสรวงสวรรค์ เขาก็เป็นนักปรุงยาชั้นยอดคนหนึ่ง


เทคนิคการหลอมยาที่จางเซวียนสำแดงออกไปเมื่อครู่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความสามารถของเขา


ลานบ้านของกระท่อมฟางหลังนั้นไม่กว้างนัก


ที่ใจกลางลานบ้าน ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าม้าหิน เขามีเคราสามสายที่พริ้วไหวตามสายลม ทำให้ดูเหมือนฤาษีผู้รู้แจ้ง


“เริ่มกันเถอะ!”


ชายชราไม่แม้แต่จะเงยหน้า เขาหยิบตัวหมากรุกขึ้นมาและจ้องกระดานหมากรุกเขม็ง ไม่ยอมพูดถึงเดิมพันที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้หรือเทคนิคการหลอมยาที่จางเซวียนเพิ่งสำแดงออกมา


จางเซวียนยิ้มแล้วเดินตรงไปที่ม้าหิน แต่ขณะที่กำลังจะนั่ง ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นตัวหมากรุก


ตอนที่เขาได้ยินคำว่า ‘หมากรุก’ ก็คิดว่าคงเหมือนหมากรุกที่เขาเคยเล่นสมัยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ใครจะไปรู้ว่าจะมาเจอกับชุดตัวหมากรุกที่ไม่รู้จักเลยสักตัวเดียว?


เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนได้อ่านหนังสือมากมายเกี่ยวกับหมากรุก และทักษะของเขาก็เหนือชั้นพอจะทำให้เป็นบรมครูในหมู่บรมครูด้านหมากรุกด้วยกัน แต่ชุดตัวหมากรุกที่แตกต่างจากเดิมย่อมหมายถึงกติกาและรูปแบบการเล่นที่แตกต่างออกไปด้วย แล้วเขาจะเอาชนะเกมที่ตัวเขาไม่รู้กติกาของมันสักข้อได้อย่างไร?

 

 

 


ตอนที่ 2204 การเดินหมากตานั้น

 

บ้าแล้ว! ในเมื่อเป็นเกมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ก็ควรจะใช้คนละชื่อ! ทำแบบนี้ก็เข้าใจผิดกันไปใหญ่!


เห็นชายหนุ่มไม่นั่งสักที สุดท้ายชายชราก็เงยหน้าขึ้นตั้งคำถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “มีอะไร?”


“ผู้อาวุโส ขอเวลาผมสักครู่ได้ไหม? สำหรับผม หมากรุกไม่ได้เป็นแค่งานอดิเรก แต่เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ผมเคารพการเดินหมากรุกทุกตา เพราะฉะนั้น…จะต้องใช้เวลาปรับสภาวะจิตและเตรียมตัวสักครู่หนึ่ง” จางเซวียนพูดโดยไม่แสดงความกระอักกระอ่วนสักนิด


ชายชราตาโตเมื่อได้ยิน


เซียนหมากรุกตัวจริงเท่านั้นถึงจะเข้าใจความลึกซึ้งของเกมหมากรุกและให้ความเคารพสูงสุด


แม้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะอายุยังน้อย แต่ก็น่าชื่นชมที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับสิ่งที่คนอื่นๆมองว่าเป็นแค่เกม


จางเซวียนยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ จากนั้นก็หลับตาและสูดหายใจลึก ท่าทีสงบสุขุมของเขาดูไม่ต่างอะไรกับบรมครูตัวจริง


แต่เรื่องจริงก็คือจางเซวียนกำลังส่งโทรจิตหาฉีหลิงเอ๋อกับจางเจี้ยอย่างเอาเป็นเอาตาย


“พวกคุณรู้กติกาของเกมหมากรุกชนิดนี้ไหม?”


“ฮะ?” ฉีหลิงเอ๋อกับจางเจี้ยถึงกับตกตะลึง


ทั้งสองเพิ่งได้ยินกับหูว่าชายหนุ่มคุยโม้เรื่องทักษะการเล่นหมากรุกของเขา แต่ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่รู้แม้แต่กติกาของมัน!


พี่ชาย…ไม่สายไปหน่อยหรือที่จะมาถามเรื่องกฎกติกากับพวกเราในเวลานี้?


โดยเฉพาะจางเจี้ย มันงงเสียจนยืนตัวแข็งราวกับรูปปั้น


ตอนที่เจ้านายคุยโวเรื่องความเก่งกาจในศิลปะการเล่นหมากรุกของเขาที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ มันก็รู้สึกว่าเจ้านายคือผู้มีความสามารถหลากหลายด้าน หากเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ก็คงไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้


ไม่มีคำไหนจะบรรยายความตกตะลึงของมันได้เมื่อได้ยินเจ้านายถามว่ามันรู้กติกาของเกมนี้ไหม?


คุณคงไม่คิดว่าจะเอาชนะบรมครูหมากรุกตัวจริงได้ด้วยการเรียนรู้แค่กฎกติกาหรอกนะ?


ถึงมันจะเป็นแค่อสูรสวรรค์ แต่ก็เคยศึกษาวิธีการเล่นเกมนี้ในสมัยที่มันปลอมตัวเป็นมนุษย์เดินท่องไปตามถนนสายต่างๆของเมืองตะวันรอน บางครั้ง เมื่อรู้สึกเบื่อมากๆขณะที่อยู่ในถ้ำ ก็จะศึกษากลวิธีการเล่นหมากรุกด้วยความใฝ่รู้


หมากรุกที่นักรบสามเคราเล่นเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘หมากรุกของเทพธิดาหลัวแห่งสรวงสวรรค์’ เป็นหมากรุกที่ซับซ้อนกว่าโกะ


กติกานั้นเรียบง่ายและไม่มีอะไรมาก แต่จำนวนรูปแบบของความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นทำให้การจะเชี่ยวชาญเกมชนิดนี้เป็นไปได้ยาก มันคือเกมที่ใช้ทดสอบความยืดหยุ่นของความคิดและไหวพริบของผู้เล่น


คนจำนวนหนึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตจมดิ่งอยู่กับหมากรุกชนิดนี้ แต่ก็ประสบความสำเร็จไม่มากนัก อันที่จริง ขนาดราชันย์เทพเจ้าหลายคนก็เป็นแฟนตัวยงของเกมหมากรุก แต่ฝีมือก็ถือว่าธรรมดา


การที่ชายชราปราบผู้เชี่ยวชาญทุกคนในเมืองได้ก็แปลว่าเขาคือบรมครูด้านหมากรุกตัวจริง


จางเจี้ยรู้สึกว่านี่คือความหุนหันพลันแล่นอย่างหนักของเจ้านายที่ท้าทายชายชราและวางเดิมพันใหญ่โตทั้งที่ไม่รู้แม้แต่กติกาการเล่น


นายท่าน เราหยุดแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้ายเสียทีได้ไหม? ผมรู้สึกว่าหัวใจผมคงอัดแน่นจนระเบิดเหมือนลูกโป่งเข้าสักวัน…


หลังจากอึ้งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดฉีหลิงเอ๋อก็เริ่มตอบคำถามของจางเซวียน “กติกาของเกมนี้คือ…”


ไม่นานเธอก็พูดจบ


หัวใจของเกมหมากรุกไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนของกติกา แต่เป็นความสามารถในการทำนายและคาดเดาการเดินหมากของคู่ต่อสู้ หากทั้งสองฝ่ายอ่านใจของกันและกันได้ล่วงหน้าหลายขั้น ก็จะกลายเป็นการประลองสติปัญญาอย่างแท้จริง เกิดเป็นความพิเศษที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะ


ส่วนใครก็ตามที่ทำไม่ได้ถึงระดับนั้นก็ย่อมลงเอยด้วยการเป็นมดที่ถูกยักษ์ปักหลั่นเหยียบย่ำ


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากได้ฟังกติกาทั้งหมด


โชคดีที่กติกาไม่ได้ซับซ้อนอะไร ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นปัญหาใหญ่หากเขาต้องคอยขบคิดมันระหว่างที่เกมกำลังดำเนินไป


เมื่อชายชราเห็นว่าในที่สุดจางเซวียนก็ลืมตา เขาตั้งคำถาม “เราจะเริ่มกันได้หรือยัง?”


 


“ได้สิ!” จางเซวียนพยักหน้าขณะทรุดตัวลงนั่ง เขาใช้มือซ้ายหยิบตัวหมากและผายมือไปที่กระดานหมากรุก “เชิญ”


นักรบสามเคราไม่พูดไม่จา เขาหยิบตัวหมากรุกขึ้นมาตัวหนึ่งและวางลงไป


จางเซวียนยิ้มน้อยๆ เขาเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าซึ่งมีหนังสือเล่มหนึ่งปรากฏ


สิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือคือรายละเอียดของกระดานหมากรุก รวมทั้งข้อบกพร่องและตำแหน่งการวางหมากจุดต่างๆบนกระดานแผ่นนั้น


ทุกตำแหน่งบนกระดานหมากรุกมีข้อบกพร่องของมัน บางจุดมีมากกว่าจุดอื่นๆ และมีเพียงจุดเดียวที่ไม่มีข้อบกพร่องเลย


ใช้การได้จริงๆ จางเซวียนคิดอย่างยินดีปรีดา


หลังจากได้เรียนรู้กติกา เขาก็ประมวลความรู้ที่ได้เข้ากับรายละเอียดของกระดานหมากรุกที่อยู่ตรงหน้า ด้วยเหตุนี้ จึงค้นพบข้อบกพร่องทุกข้อของการเดินหมากทุกตา ขอแค่ทำตามการคิดคำนวณอันแม่นยำไร้ที่ติของหอสมุดเทียบฟ้า ก็น่าจะได้ผลลัพธ์อย่างงาม


“การเดินหมากตานั้น…ดูดีทีเดียว”


จางเจี้ยกับฉีหลิงเอ๋อเฝ้ามองการเดินหมากของจางเซวียนอย่างใจจดใจจ่อก่อนจะพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่


พูดตามตรง ทั้งคู่หมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้วหลังจากได้ยินจางเซวียนถามเรื่องกติกาเมื่อครู่ก่อน ทั้งหมดที่พอหวังได้ก็คือหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำให้พวกเขาอับอายขายหน้าจนเกินไป


แม้ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะเดินหมากกันไปเพียงคนละตาเดียว แต่มันคือการเคลื่อนไหวที่ก่อเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของค่ายกล เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ใช่มือใหม่


การเดินหมาก 2-3 ตาแรกคือการตั้งต้นวางโครงสร้างของค่ายกลบนกระดานหมากรุก จึงไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญมากมาย เพียงแค่ประสบการณ์ก็เกินพอจะช่วยให้ผู้นั้นตัดสินใจได้แล้วว่าควรเดินหมากไปทางไหน


นักรบสามเคราวางหมากตัวแล้วตัวเล่าอย่างรวดเร็ว มีจางเซวียนตามไปติดๆ ดูเหมือนทั้งคู่เล่นหมากรุกด้วยสัญชาตญาณ แทบไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิดใดๆ


ภายใน 5 นาที ทั้งสองก็เดินหมากไปคนละ 30 ตา


“เอ่อ…”


จางเจี้ยกับฉีหลิงเอ๋อจับตามองสถานการณ์บนกระดานหมากรุกอย่างใกล้ชิด ทั้งคู่ผงะไปเล็กน้อย


การเดินหมากของจางเซวียนเรียบง่ายและเป็นแบบที่ใช้กันทั่วไป ไม่ต่างกับมือสมัครเล่น ไม่มีกลยุทธที่ซับซ้อนหรือการวางกับดักเพื่อล่อฝ่ายตรงข้ามให้ตกหลุมพราง แต่การเล่นแบบเรียบง่ายนี้กลับสร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้กับผู้ที่ต้องรับมือ


การเดินหมากแต่ละตาของเขาดูจะผ่านการคิดคำนวณอย่างไร้ที่ติเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดและสูญเสียน้อยที่สุด ลงท้าย ตัวหมากของฝ่ายตรงข้ามจึงจนมุม หาทางออกไม่ได้


ในฐานะคู่ต่อสู้ของจางเซวียน นักรบสามเครางุนงงจนทำอะไรไม่ถูก


ทำไมถึงไม่มีทางออกให้เขาเลย?


แม้เกมจะเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แต่เขาก็ดูออกว่านี่คือเกมที่สร้างความปั่นป่วนใจได้มากที่สุดเกมหนึ่งตั้งแต่ที่เคยเล่นมา


เกมนี้ไม่มีแผนการซับซ้อนหรือยุทธศาสตร์น่าทึ่งใดๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คืออีกฝ่ายคำนวณทุกอย่างได้อย่างแม่นยำและสกัดกั้นการเดินหมากของเขาได้ทุกตา


ถ้าเปรียบเทียบหมากรุกนัดนี้เป็นสนามรบและพวกเขาคือแม่ทัพที่นำกองกำลังเข้าต่อสู้ ก็บอกได้เลยว่าค่ายกลและยุทธศาสตร์ของเขาถูกอีกฝ่ายมองทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไรก็จะถูกสกัดไว้ล่วงหน้า ด้วยเหตุนี้ ทั้งตัวเขาและกองกำลังจึงค่อยๆหมดสภาพไป


และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือแม้เขาจะมองเห็นทุกอย่าง แต่ก็ทำอะไรให้ดีขึ้นไม่ได้เลย!


นักรบสามเคราเริ่มเหงื่อตก เขารีบเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้ซับซ้อนและเหนือชั้นกว่าเดิม พยายามงัดเอาทุกกลวิธีที่เคยใช้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาออกมาใช้ ซึ่งหากเป็นคู่ต่อสู้คนอื่น การเปลี่ยนสไตล์การเล่นอย่างปุบปับแบบนี้จะต้องทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้แน่นอน


แต่ชายหนุ่มกลับวางหมากตัวแล้วตัวเล่าด้วยทีท่าที่ดูเหมือนไม่ได้ใช้ความคิดอะไร


ราวกับเขากำลังเล่นหมากรุกกับหุ่นกระบอก ไม่ใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ!


บ่อยครั้งที่นักรบสามเครารู้สึกว่าทิศทางการวางหมากของชายหนุ่มออกจะสิ้นคิดและไม่ส่งผลดี แต่อีกสามตาต่อมา ก็กลับกลายเป็นว่าการวางหมากของอีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งที่ชาญฉลาดเสียจนต้อนเขาให้จนมุมได้


เขารู้สึกเหมือนมีก้างติดคอ กลืนไม่ได้ คายก็ไม่ออก ทำให้คับอกคับใจอย่างหนัก


แบบนี้เป็นไปไม่ได้…


ชายชราเริ่มใช้นิ้วเคาะม้าหินอย่างหมดความอดทน


เขามั่นใจเต็มเปี่ยมในทักษะการเล่นหมากรุกของตัวเอง เขาคือผู้ที่ไม่มีใครปราบได้ทั่วทั้งเมืองแสงสนธยา หรือต่อให้เป็นเมืองหลวง ก็มีเซียนหมากรุกไม่ถึงหยิบมือที่สู้กับเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ!


แม้บรมครูหมากรุกผู้โด่งดังเหล่านั้นจะเอาชนะเขาได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องเดินหมากอย่างน้อยกว่าร้อยตา นี่เขาเพิ่งเล่นกับชายหนุ่มไปเพียง 40 ตาเท่านั้น แต่ก็จนมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาจนปัญญาขนาดนี้


แต่สิ่งที่ทำให้นักรบสามเคราสิ้นหวังยิ่งกว่าก็คือเขามองไม่เห็นหนทางที่จะเอาชนะการดวลหมากรุกนัดนี้ได้เลย


คู่ต่อสู้ของเขาไม่เปิดช่องใดๆทั้งสิ้น การเดินหมากทุกครั้งมีแต่จะทำให้เขาเข้าใกล้หน้าผามากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจะร่วงลงไปได้ทุกขณะและหมดทางเลือก


นักรบสามเคราปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วเดินหมากต่อไปอีกสองสามตา


ซึ่งก็เหมือนเดิม จางเซวียนยังคงวางหมากต่อไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก


ไม่นาน การวางหมากของนักรบสามเคราก็ช้าลงเรื่อยๆ เขาใช้เวลานานขึ้นกว่าจะเดินหมากได้แต่ละครั้ง


แบบนี้ไม่ดี…แบบนั้นก็ไม่ได้…


นักรบสามเคราถือตัวหมากไว้ในมือและเริ่มลังเล ไม่รู้ว่าควรวางหมากต่อไปหรือไม่


“ฝีมือการเล่นหมากรุกของนายน้อย…”


ถึงจางเจี้ยจะไม่ได้เชี่ยวชาญหมากรุกเท่าไหร่ แต่ก็ดูออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มันสบตาฉีหลิงเอ๋อ เห็นอีกฝ่ายตาโตจนแทบทะลุออกจากเบ้า


มันคิดว่านายน้อยคงสร้างหายนะแน่เพราะเพิ่งจะเรียนรู้กฎกติกาไปเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนมันจะประเมินความสามารถของนายน้อยต่ำไป


การวางหมากทุกตาของเขาดูเหมือนผ่านการใคร่ครวญมาแล้วหลายครั้งจนแน่ใจว่าไม่เหลือจุดอ่อนใดๆให้คู่ต่อสู้เล่นงานได้ แม้นักรบสามเคราจะช่ำชองเกมหมากรุก แต่สุดท้ายก็ตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ถูก


“เขาเพิ่งเรียนรู้วิธีเล่นหมากรุกเมื่อกี้เองนี่?” ฉีหลิงเอ๋อกระพริบตาปริบๆขณะจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ


ด้วยความที่เป็นอสูรสวรรค์ ความสามารถในการอ่านเกมหมากรุกของจางเจี้ยจึงยังอ่อนด้อย แต่สำหรับเธอซึ่งมาจากตระกูลผู้ทรงเกียรติ แม้จะไม่ได้สนใจการเล่นหมากรุกมากนัก แต่ก็พอจะคุ้นเคยกับมันอยู่บ้าง


ทักษะและความเจนจัดของนักรบสามเครานั้นมากพอจะรับมือกับเซียนหมากรุกของตระกูลฉีได้เลยทีเดียว แต่เขากลับจนปัญญาเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม…

 

 

 


ตอนที่ 2205 ผมยอมแพ้…

 

พูดให้ง่ายเข้าก็คือ นักรบสามเครากำลังจะจบเห่ เห็นได้ชัดว่าเขาสู้จางเซวียนไม่ได้


ว่าแต่…จางเซวียนเพิ่งศึกษาเกมหมากรุกเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?


เป็นไปได้หรือไงที่ใครสักคนจะเก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้ได้ทั้งที่เพิ่งเล่นเป็นครั้งแรก?


ตัวหมากรุกคาอยู่ในมือของนักรบสามเครา สุดท้ายเขาก็โยนมันทิ้งและส่ายหน้าอย่างท้อใจ “ผมแพ้แล้ว…”


เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ทุกเส้นทางของเขาถูกสกัดกั้นไว้หมด และชายหนุ่มก็ไม่เปิดช่องให้เขาเลยสักนิด หากดันทุรังเล่นต่อไปก็มีแต่จะอับอายขายหน้ากว่าเดิม


“ขอบคุณที่ออมมือให้ผม อันที่จริง ผมก็เพิ่งเรียนรู้เกมนี้ ยังไม่เข้าใจกติกาทั้งหมดของมันอย่างถ่องแท้เสียทีเดียวหรอก” จางเซวียนตอบพร้อมกับประสานมือ


พูดกันตามตรง เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แค่ทำตามกลวิธีอันสมบูรณ์แบบที่หอสมุดเทียบฟ้าบอกไว้ วางหมากลงไปตัวแล้วตัวเล่าตามข้อมูลที่มันให้มา


และยังไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว…คู่ต่อสู้ของเขาก็ยกธงขาวไปแล้วเรียบร้อย!


เพราะเอาชนะได้อย่างง่ายดายแบบนี้ จึงอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงออมมือให้


“ออมมือให้คุณ?” นักรบสามเคราคิดว่าจางเซวียนเยาะเย้ย ใบหน้าของเขาแดงก่ำขณะตอบโต้ “สหาย คุณกำลังใช้คำพูดเชือดเฉือนให้ผมอับอายนะ อันที่จริง ตั้งแต่เดินหมากตาที่สิบ ผมก็รู้แล้วว่าต้องแพ้แน่ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นน่ะเป็นแค่การดิ้นรนหาทางเอาตัวรอด ผมพ่ายแพ้ยับเยินขนาดนี้ คุณควรจะสงวนคำพูดไว้บ้าง ถ้าคนที่มีฝีมือระดับคุณยังไม่เข้าใจกฎกติกาทั้งหมดของมันอย่างถ่องแท้ล่ะก็ ผมก็ไม่รู้แล้วว่าผมควรทำตัวอย่างไร…”


ถ้าเขาพ่ายแพ้เพียงไม่กี่ตา ก็พอเข้าใจได้หากจางเซวียนจะพูดว่าเขาออมมือให้ แต่นี่ก็เห็นกันชัดๆว่าทั้งคู่อยู่คนละชั้น ตัวเขาคือเทพเจ้าขั้นต่ำที่กำลังเผชิญหน้ากับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ!


ต่อให้อยากเย้ยหยัน ก็ควรมีเหตุผลกว่านั้นหน่อย!


“คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไป” จางเซวียนตอบอย่างกระอักกระอ่วน


“เอาเถอะ ในเมื่อผมยอมแพ้แล้ว คุณก็บอกมาเลยว่าอยากร้องขออะไรจากผม” นักรบสามเคราตัดบทพร้อมกับโบกมือ


“ผู้อาวุโส ผมอยากขอซื้อยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางที่คุณมีอยู่ หวังว่าคุณจะยอมขายให้ผมสักหน่อย” จางเซวียนตอบ


“คุณแค่อยากซื้อยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางจากผม?” นักรบสามเคราถึงกับผงะ


เห็นชายหนุ่มลงทุนมาที่นี่พร้อมกับทายาทตระกูลฉี เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะร้องขอเรื่องยากๆ ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการคือเรื่องง่ายแบบนี้?


ถึงยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางจะไม่มีวางขายตามท้องตลาดให้นักรบทั่วไปได้ซื้อหา แต่ใครก็ตามที่พอมีเส้นสายในเมืองแสงสนธยาก็ย่อมหาได้ พ่อค้าและตระกูลผู้มั่งคั่งส่วนใหญ่ก็มักมีเก็บไว้ในครอบครอง


เซียนหมากรุกคนนี้มาท้าทายเขาเพียงเพื่อเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เองหรือ?


จางเซวียนพยักหน้า


“คุณไม่ต้องซื้อหรอก ผมจะมอบยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางทั้ง 30 เม็ดที่ผมมีอยู่ให้คุณ”


นักรบสามเคราสะบัดข้อมือ จากนั้นก็ยื่นขวด 3 ใบให้จางเซวียนโดยไม่ลังเล


“คุณให้ผม? ผมจะรับของล้ำค่าแบบนี้ได้อย่างไร?” จางเซวียนรีบโบกมือปฏิเสธ


เขาสำรวจราคาของยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางมาแล้ว ดูเหมือนจะมีราคาสูงกว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำเป็นร้อยเท่า อีกอย่าง ยานี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ซื้อหาได้ทั่วไปตามท้องตลาด การรับของกำนัลมูลค่าสูงขนาดนี้ไว้ง่ายๆคงไม่เหมาะสมแน่


“ผมหลอมมันด้วยตัวเอง และก็ไม่ได้แพงลิบลิ่วอย่างที่คุณคิด แต่ถ้าคุณไม่สบายใจล่ะก็ ทำไมไม่ดวลกับผมอีกสัก 2-3 ตาล่ะ?” นักรบสามเคราเสนอ


“ผมน่ะยิ่งกว่าเต็มใจที่จะเล่นกับคุณ เพียงแต่…ผู้อาวุโส เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าคุณสาบานไว้ไม่ใช่หรือว่าจะเล่นหมากรุกแค่สามตาต่อวัน?” จางเซวียนถาม


“นั่นเป็นเพราะผมไม่เจอคู่ต่อสู้ที่คู่ควรต่างหาก ถ้าเป็นบรมครูระดับคุณล่ะก็ สามสิบตาก็ไม่พอ!” นักรบสามเคราตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ


จางเซวียนยิ้ม


การจะเล่นหมากรุกกับชายชราอีก 2-3 ตาเพื่อแลกกับยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางจำนวนมากขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือเดินตามเส้นทางที่หอสมุดเทียบฟ้าบอก ไม่ต้องใช้สมองสักนิด


ทั้งคู่รีบเคลียร์กระดานหมากรุกและเริ่มเกมใหม่


5 นาทีต่อมา นักรบสามเคราหน้าแดงก่ำ เขาอุทาน “อีกตา!”


4 นาทีต่อมา “อีกตาเดียวน่ะ!”


3 นาทีต่อมา “เอาอีก…”


1 นาทีต่อมา “ก็ได้ ผมยอมแพ้…”


หลังจากแพ้ติดต่อกันหลายตา ในที่สุดนักรบสามเคราก็เริ่มจะคลางแคลงใจตัวเอง


เขาเคยคิดว่าการที่ชายหนุ่มเล่นหมากรุกได้เหนือชั้นขนาดนี้คงเพราะอาศัยดวงดีเข้าช่วย ใครจะไปรู้ว่าไม่ว่าจะเริ่มเล่นใหม่อีกกี่หน เปลี่ยนสไตล์การเล่นอีกกี่ครั้ง เขาก็ยังต้องหลังชนฝา ไม่มีช่องทางให้คว้าชัยชนะได้เลย


“ในโลกนี้ มีคนไม่มากนักหรอกที่เล่นหมากรุกได้อย่างคุณ คุณเข้าร่วมการประลองหมากรุกเพื่อชิงรางวัลได้เลยนะ…” นักรบสามเครามองจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


“ตอนนี้ผมยังไม่มีแผนจะเข้าร่วมกับอะไรแบบนั้นหรอก” จางเซวียนตอบ


ในสมองของจางเซวียน เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนนอกที่เข้ามาเล่นหมากรุกโดยพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้า ไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมการประลองแบบนั้น


“น่าเสียดาย…” เห็นชายหนุ่มไม่คิดจะเดินตามเส้นทางที่เขาแนะ นักรบสามเคราส่ายหัว


จางเซวียนรีบกล่าวอำลาอีกฝ่าย แล้วทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้ากลับสู่ถนน


ฉีหลิงเอ๋อชำเลืองมองจางเซวียน “หาที่เงียบๆเพื่อซึมซับยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าก่อนไหม?”


เธอดูออกว่าเหตุผลที่จางเซวียนอยากได้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางก็เพื่อมายกระดับวรยุทธของตัวเอง ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เรื่องต่อไปที่เขาอยากทำก็น่าจะเป็นการหาที่สงบๆเพื่อฝึกฝนวรยุทธ


“ไม่ต้องหรอก” จางเซวียนตอบ


คำตอบนั้นทำให้ฉีหลิงเอ๋องุนงง


แบบนี้หมายความว่าอย่างไร?


เขาต้องการยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางเพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่นำมายกระดับวรยุทธของตัวเองหรือ?


ขณะที่เธอกำลังสงสัยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ก็เห็นชายหนุ่มนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางทั้ง 30 เม็ดที่เพิ่งได้รับออกมา จากนั้นก็โยนเข้าปากทีละเม็ดเหมือนกินลูกอม


ฉีหลิงเอ๋อเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางเป็นยาที่มีฤทธิ์รุนแรงแม้แต่กับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนในการฝึกฝนวรยุทธเพื่อซึมซับพลังงานที่อยู่ในยานั้น แต่หมอนี่กินเอาๆราวกับเป็นขนม!


เขาไม่กลัวว่าตัวจะพองจนระเบิดหรือไง?


แต่แล้วรังสีของจางเซวียนที่เจิดจ้าขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตอบข้อสงสัยของเธอ


เทพเจ้าขั้นสูง ขั้นต้น!


เทพเจ้าขั้นสูง ขั้นกลาง!


เทพเจ้าขั้นสูง ขั้นสูง!


เทพเจ้าขั้นสูง ขั้นสูงสุด!


เพียงไม่ถึง 2 อึดใจ จางเซวียนก็ยกระดับวรยุทธไปถึง 3 ขั้นย่อย ทำให้เหลืออีกเพียงขั้นเดียวก็จะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง


ฉีหลิงเอ๋อตัวสั่น


ในฐานะทายาทของตระกูลใหญ่ เธอได้พบเจออัจฉริยะและผู้เชี่ยวชาญมากมาย


แต่ใครคนหนึ่งที่กินยาเม็ดโดยไม่ดูตาม้าตาเรือและฝ่าด่านวรยุทธได้ง่ายดายขนาดนี้…นี่คือสิ่งที่เธอได้เห็นเป็นครั้งแรก!


อย่างกับเขาไม่ใช่มนุษย์!


สายเลือดจอมราชันย์น่าสะพรึงขนาดนี้เชียวหรือ?


จางเจี้ยก็ยืนงง ตอนนั้นเองที่มันเพิ่งรู้ว่าเมื่อครั้งที่นายท่านบ่นว่าตัวเขาฝึกฝนวรยุทธได้ช้าเกินไปนั้นไม่ใช่ความพยายามคุยโวโอ้อวด


ระดับการพัฒนาวรยุทธโดยปกติของเขารวดเร็วแบบนั้นจริงๆ!


นักรบส่วนใหญ่จะต้องปรับสภาวะร่างกายและทบทวนเทคนิควรยุทธของตัวเองก่อนจะพยายามทำลายด่านคอขวด แต่ชายหนุ่มคนนี้ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลย เขาแค่ถ่ายทอดพลังงานเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธในเวลาไหนก็ได้ตามแต่ต้องการ


จู่ๆจางเซวียนก็โพล่งออกมา “เจี้ยน้อย มานี่หน่อย ใช้หมัดของคุณโจมตีผม!”


รู้ดีว่านายน้อยอยากทดสอบพละกำลังที่ได้มาใหม่หลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ จางเจี้ยก้าวออกไป “ได้เลย”


มันก็อยากรู้ว่าตอนนี้นายท่านจะแข็งแกร่งทรงพลังแค่ไหน


นับตั้งแต่มันได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ก็ไม่ได้ย่อหย่อนสักนิด มันตั้งใจฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่นายท่านถ่ายทอดให้ และสามารถเยียวยาอาการบอบช้ำพร้อมกับแก้ไขข้อบกพร่องส่วนใหญ่ในวรยุทธของมันได้เกือบหมด แม้จะผ่านไปเพียงวันเดียว แต่จางเจี้ยก็รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาได้มากกว่าที่เคยทำได้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเสียอีก


พลั่ก!


กำปั้นขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่จางเซวียนด้วยพละกำลังหนักหน่วงราวกับพายุ เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องจนหนวกหู


ภาพนี้ทำให้ฉีหลิงเอ๋อหรี่ตาด้วยความตกใจ


เธอดูออกว่าอสูรเกราะเรืองแสงสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ อีกอย่าง มันก็เพิ่งฝ่าด่านคอขวดมาได้หมาดๆ จึงน่าจะยังต้องการเวลาระยะหนึ่งกว่าจะคุ้นเคยกับพละกำลังที่ได้มาใหม่


แต่พละกำลังที่อสูรเกราะเรืองแสงสำแดงออกมาถือว่าเหนือความคาดหมายของเธอมาก ด้วยความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อและประสิทธิภาพการป้องกันตัวอันไร้เทียมทานของมัน อย่าว่าแต่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ มันน่าจะรับมือได้แม้แต่กับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง!


เธอนึกภาพไม่ออกว่าจางเซวียนที่เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง-สูงสุด จะต้านทานหมัดที่มีอานุภาพทำลายล้างนั้นได้อย่างไร ฉีหลิงเอ๋อมองภาพตรงหน้าอย่างหวั่นใจ เธอเห็นชายหนุ่มยกมือขึ้นโบกเบาๆ


พลั่ก!


จางเจี้ยถูกสอยกระเด็น ตัวมันกระแทกกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ จากนั้นก็ลอยละลิ่วไปอัดกำแพงก่อนที่แรงส่งของการโจมตีจะค่อยๆจางไป มันล้มกลิ้งอยู่กับพื้นขณะอ้าปากหอบหายใจฟืดฟาด


“นายน้อย…” จางเจี้ยไม่มีทางเลือก ต้องยอมจำนนให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของจางเซวียน


มันเคยคิดว่าการพัฒนาวรยุทธครั้งใหม่ของมันน่าจะอุดช่องว่างระหว่างวรยุทธของตัวมันกับนายท่านได้ แต่เท่าที่เห็น ไม่ว่ามันจะพากเพียรฝึกฝนสักแค่ไหน ความเหลื่อมล้ำของทั้งคู่ก็มีแต่จะห่างกันออกไปเรื่อยๆ!


จางเซวียนหันไปถามฉีหลิงเอ๋อ “คุณคิดว่าพละกำลังที่ผมมีอยู่ตอนนี้พอจะทำให้ผมเอาชนะสามคนนั้นได้หรือยัง?”


เหตุผลที่เขาท้าทายจางเจี้ยเมื่อครู่ก่อนก็เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของตัวเอง และอยากฟังจากปากฉีหลิงเอ๋อด้วยว่าผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองทั้งสามคนทรงพลังแค่ไหน


“คุณน่าจะเอาชนะนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำส่วนใหญ่ได้สบาย แต่สำหรับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง คุณก็ยังถือว่าอ่อนด้อยไปสักหน่อย…ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่าคุณไม่มีโอกาส แต่คงเป็นการต่อสู้ที่ลำบากทีเดียว” ฉีหลิงเอ๋อตอบอย่างลังเล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)