อัจฉริยะสมองเพชร 2198-2199

 ตอนที่ 2198 เขาคงมีเงินเยอะ

“ภูเขาสวรรค์สร้างจะเปิดเป็นเวลา 1 วัน แต่ภายในช่วงเวลานี้ ผู้ที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสามารถสำรวจพื้นที่เพื่อเสาะหารังสีสวรรค์ต่อไปได้ ส่วนผู้ที่ทำสำเร็จแล้วจะถูกส่งทะลุมิติกลับมาที่จุดเดิม” อู๋ฟังชิงอธิบาย


จางเซวียนตาโต


“ฮ่าฮ่าฮ่า! นั่นลูกชายของผมเอง เพิ่งผ่านไปแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าแล้ว!” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ในหมู่ฝูงชนหัวเราะลั่นอย่างยินดีปรีดาขณะเดินออกไปที่ลานบ้าน


ต่อให้นักรบสักคนจะตั้งต้นจากยอดเขา แต่ก็ถือเป็นวีรกรรมน่าทึ่งที่ได้รังสีสวรรค์มาภายในเวลา 2 ชั่วโมงและฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วย สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความเก่งกาจของเขาได้เป็นอย่างดี


ผลการทดสอบนี้จะถูกบันทึกไว้ และมีผลต่อการจัดอันดับโดยรวม


“ยินดีด้วย! มีลูกชายที่เก่งกาจแบบนี้ ผมเชื่อว่าในอนาคตตระกูลหูจะต้องรุ่งเรืองแน่!”


“พี่หูชู่ หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ผมคิดว่าผมควรจะร่วมมือทำธุรกิจกับคุณตามที่เราเคยหารือกันไว้ แม้เราจะไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน แต่ผมก็ได้ยินกิตติศัพท์ของคุณมามากมาย และขอบอกเลยว่ารู้สึกสบายใจที่จะร่วมงานกับคุณ”


“พี่หู ทั้งลูกชายและลูกสาวของคุณถึงวัยที่ควรแต่งงานได้แล้วนะ ทำไมถึงไม่รีบจัดการเรื่องนี้?”


ฝูงชนพากันรุมล้อมชายวัยกลางคนที่ชื่อหูชู่ด้วยนัยน์ตาเป็นมัน


การได้พบรังสีสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จภายใน 2 ชั่วโมงถือว่าเกินพอจะทำให้ลูกชายของหูชู่ก้าวขึ้นเป็นสุดยอดนักรบของเมืองตะวันรอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคต


นี่คือโอกาสดีที่สุดที่พวกเขาจะได้ใกล้ชิดหูชู่ เพราะไม่อย่างนั้น ไม่ช้าอีกฝ่ายก็คงอยู่ไกลเกินเอื้อม


หูชู่เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจขณะตอบคำถามของฝูงชนอย่างอดทนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่ต่างอะไรกับสีหน้าของพ่อแม่ที่รู้ข่าวว่าลูกชายได้เข้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำ


หลังจากจัดการฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวแล้ว หูชู่ก็หันมามองจางเซวียนและคำรามเยาะ


จริงอยู่ว่าลูกชายของเขาเพิ่งพ่ายแพ้ให้กับบรรดาลูกศิษย์ของจางเซวียน แต่ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์จะพลิกผัน ลูกชายของเขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ แล้วบรรดาลูกศิษย์ของอีกฝ่ายล่ะ?


พวกนั้นยังคงกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่บนภูเขาสวรรค์สร้าง!


ในท้ายที่สุด ต่อให้มีพละกำลังเหนือชั้นแค่ไหน ศักยภาพก็ยังอ่อนด้อยอยู่ดี การที่พวกนั้นยังเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้งที่อายุขนาดนี้แล้วก็บ่งบอกอะไรได้มาก พวกเขาอาจจะเก่งกาจทรงพลังในหมู่นักรบรุ่นเดียวกัน แต่ความสำเร็จก็คงหยุดอยู่แค่นี้


“นายน้อยจางเซวียน ลูกชายของผมดูจะโชคดีที่ประสบความสำเร็จก่อนบรรดาศิษย์สายตรงของคุณ ผมจะรอดูนะว่าลูกศิษย์ของคุณจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้เป็นเทพเจ้า” หูชู่เดินเข้ามาเยาะเย้ยจางเซวียน


เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่พ่อแม่จะต้องอวดเรื่องความสำเร็จของลูก จะน่าเบื่อขนาดไหนหากอยู่ในโลกที่ใครๆก็ถ่อมตัว!


ในเมื่อเขาเพิ่งถูกหยามหน้า ก็จะต้องเอาคืนกับจางเซวียนให้สาสม


ส่วนจางเซวียนก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังคำพูดของหูชู่


ใช่ว่าเขาจะหงุดหงิดกับการยั่วยุ แค่อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ เพราะในเมื่อเขาถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้ศิษย์สายตรงของเขาแล้ว พวกนั้นก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังจากได้รังสีสวรรค์


ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนานโข แต่ลูกศิษย์ของเขาก็ยังไม่กลับมาสักคน หรือว่า…พวกนั้นเจออันตรายบางอย่าง?


แต่ก็ไม่น่าใช่!


เขายังมั่นใจในความสามารถของจ้าวหย่ากับคนอื่นๆ


ขนาดซุนฉางยังรับมือกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทีละหลายคนได้ จึงยิ่งมีโอกาสน้อยลงไปอีกที่จ้าวหย่ากับพรรคพวกจะพบเจออันตรายบนภูเขาสวรรค์สร้าง


“ผมเชื่อว่าพวกนั้นคงล่าช้าด้วยเหตุผลบางอย่าง” จางเซวียนตอบ


นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่เขาคิดออกในเวลานี้


ด้วยความแตกต่างของมิติระหว่างภูเขาสวรรค์สร้างกับพื้นที่อื่นๆ จางเซวียนจึงไม่อาจรับรู้ได้ว่าพลังปราณเทียบฟ้าที่เขาถ่ายทอดลงไปในยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าที่มอบให้พวกนั้นใช้การได้หรือไม่


“ล่าช้า? ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมขอภาวนาให้ลูกศิษย์ของนายน้อยจางเซวียนแก้ปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ได้ก็แล้วกัน…” ชายวัยกลางคนเย้ยหยันขณะเชิดหน้าสูงกว่าเดิม


ต่อให้ลูกศิษย์ของคุณแข็งแกร่งกว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไป ก็แล้วอย่างไร?


ตราบใดที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธเป็นเทพเจ้า ก็เปล่าประโยชน์!


แอ๊ดดดดด!


ขณะที่ชายวัยกลางคนเดินวนไปมารอบลานบ้านอย่างลิงโลด ประตูที่อยู่ใจกลางจัตุรัสก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นกลุ่มของนักรบ 12 คน


จางเซวียนรีบสำรวจคนกลุ่มนั้น แต่ไม่มีผู้ที่เขากำลังมองหา


“นายน้อยจางเซวียน ดูเหมือนลูกของผมก็กลับมาแล้วเหมือนกัน”


“ศิษย์สายตรงของคุณเข้าไปเป็นกลุ่มแรก ทั้งยังได้ตำแหน่งที่ใกล้ยอดเขาที่สุด ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสที่มากกว่าในการได้รับรังสีสวรรค์ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนะที่ป่านนี้พวกเขายังไม่กลับ…”


“พวกเขามีปัญหาในการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าหรือเปล่า? คงไม่นะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าศักยภาพของพวกเขายังอ่อนด้อย…”


ผู้ที่ถูกจ้าวหย่ากับพรรคพวกหยามหน้าเมื่อครู่นี้พากันเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มสะใจ


ก่อนหน้านี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้เพราะเจ้าเมืองอู๋คอยปกป้องชายหนุ่ม แถมลูกหลานของพวกเขาก็สู้กับศิษย์สายตรงของของอีกฝ่ายไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้ากล้ำกลืนความผิดหวัง แต่ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว จะพลาดโอกาสเยาะเย้ยและเอาคืนชายหนุ่มได้อย่างไร?


ผมยอมรับว่าลูกศิษย์ของคุณทรงพลังสำหรับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่แล้วอย่างไรล่ะ? สุดท้ายสติปัญญาก็ยังอ่อนด้อยอยู่ดี?


หากเปรียบเทียบกับลูกชายผู้ปราดเปรื่องของผม ก็ถือว่าไม่เอาไหน!!


คงกลายเป็นเรื่องตลกของศตวรรษแน่หากพวกนั้นไม่อาจสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าได้ทั้งที่มีเงื่อนไขเหมาะสมขนาดนี้…


“นายน้อยจางเซวียน อย่าใส่ใจพวกนั้นเลย โชคชะตามีผลอย่างมากในการตัดสินว่าใครจะได้พบรังสีสวรรค์หรือไม่ หรือบางที…พวกเขาอาจเป็นกลุ่มต่อไปที่มาถึงก็ได้” อู๋ฟังชิงปลอบอย่างกระอักกระอ่วน


“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือสาหรอก” จางเซวียนส่ายหน้า


เขาไม่รู้ว่าทำไมจ้าวหย่ากับคนอื่นๆถึงยังไม่กลับมา แต่เชื่อมั่นในความสามารถของพวกนั้น อีกอย่าง เขาก็มอบยาเม็ดให้คนละ 5 เม็ดแล้ว ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด


4 ชั่วโมงผ่านไปในชั่วพริบตา นักรบกว่า 300 คนจากจำนวน 1,200 คนที่เข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างต่างก็ทยอยกลับมา แต่จ้าวหย่า ซุนฉาง และคนอื่นๆยังคงไม่ปรากฏตัว


คำล้อเลียนค่อยๆกลายเป็นคำเย้ยหยัน


การที่พวกนั้นไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้ทั้งที่เวลาก็ผ่านไปแล้วเนิ่นนานบ่งบอกชัดว่าสติปัญญาของพวกเขายังอ่อนด้อย ไม่น่าเชื่อว่าท่านเจ้าเมืองอู๋จะยกให้เป็นวีไอพี! คนแบบนี้จะคู่ควรกับการขึ้นมาอยู่ในสถานภาพเดียวกับพวกเขาได้อย่างไร?


“มีบางอย่างผิดปกติแน่…” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาพอเข้าใจที่บรรดาลูกศิษย์ของเขายังไม่กลับมาภายใน 2 ชั่วโมง โดยเป็นไปได้ว่าอาจเจอกับสภาวะของความยากลำบากบางอย่าง แต่ 3 ชั่วโมงก็ผ่านไปแล้ว…ยังไม่มีใครสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าเลยหรือ? แบบนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย!


ในฐานะนักรบผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย พวกนั้นควรจะฝ่าด่านวรยุทธได้เร็วเสียยิ่งกว่าตัวเขากับ ‘เวทนาสวรรค์’ ของเขาเสียอีก ไม่มีทางที่จะต้องใช้เวลามากขนาดนั้น!


แต่ทำไมถึงไม่มีใครปรากฏตัว?


จางเซวียนหันไปถามอู๋ฟังชิงอย่างร้อนใจ “ท่านเจ้าเมืองอู๋ คุณรู้วิธีที่จะตรวจสอบสภาวะของผู้ที่อยู่ในภูเขาสวรรค์สร้างไหม?”


“ตรวจสอบ?” อู๋ฟังชิงพยักหน้า “ทำได้อยู่แล้ว แต่ราคาสูงลิ่ว การตรวจสอบแต่ละครั้งจะต้องใช้เงินถึง 100 เหรียญสวรรค์!”


โดยปกติ ภูเขาสวรรค์สร้างถือว่าปลอดภัย แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เหล่านักรบจะต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ไม่ว่าจะเป็นจากสภาพแวดล้อมหรือจากกลุ่มนักรบด้วยกัน ซึ่งสำหรับผู้ที่กังวล ก็มีวิธีตรวจสอบสภาวะของผู้เข้าท้าทายที่อยู่ภายในได้ เพียงแต่การทำอย่างนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก


โควต้า 1 ที่มีราคาเพียง 1 เหรียญสวรรค์ แต่การตรวจสอบสภาวะของนักรบแต่ละคนต้องใช้เงินถึง 100 เหรียญสวรรค์ ต่างกันสุดขั้ว


จางเซวียนพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ผมจะตรวจสอบสภาวะของคนที่ผมพามา”


เขาไม่อาจปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับท่านพ่อท่านแม่ บรรดาลูกศิษย์ หรือพ่อบ้านของเขาได้ คนเหล่านั้นคือผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขามากที่สุดในโลก เขาคงเป็นบ้าแน่หากเกิดความผิดพลาด


“ผมเข้าใจ ตามผมมา” อู๋ฟังชิงพยักหน้าขณะเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์เจ้าเมือง


“พวกเราควรตามไปดูไหม?”


“มีอะไรให้ต้องดู? ก็แค่ศิษย์สายตรงของเขาฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ ทั้งหมดก็มีเท่านั้นแหละ!”


“เขาคงมีเงินเยอะทีเดียว”


“ไปดูเสียหน่อยก็ไม่ได้เสียเวลามากมาย ถ้าศิษย์สายตรงของเขาพบรังสีสวรรค์แต่ไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้ ก็คงสนุกน่าดูชม คุณไม่คิดแบบนั้นหรือไง?”


“ก็จริง”


ได้ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ กลุ่มชายวัยกลางคนที่เคยเยาะเย้ยจางเซวียนต่างกระหยิ่มยิ้มย่องขณะตามไปติดๆ


ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีเวลาเหลือเฟือ และก็น่ายินดีปรีดาไม่น้อยที่จะได้เห็นชายผู้เคยเย่อหยิ่งถูกจับโยนหัวทิ่มดิน


ทุกคนเดินทะลุคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองเข้าไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องแคบๆห้องหนึ่ง


อู๋ฟังชิงชี้นิ้วไปที่ผนังซึ่งอยู่ตรงหน้าและพูดว่า “เขียนรายชื่อของผู้ที่คุณต้องการตรวจสอบลงไป และวางเงิน 100 เหรียญสวรรค์ไว้บนแท่นตรงนั้น ผนังจะแสดงสภาวะปัจจุบันของผู้ที่คุณกำลังตามหา…”


หลังจากรู้แล้วว่าผนังทำงานอย่างไร จางเซวียนนำเงิน 100 เหรียญสวรรค์ออกมาวางบนแท่นอย่างไม่ลังเล


วิ้งงงง!


เงินหายวับไป ผนังเปล่งแสงสีขาวเป็นประกายระยิบระยับออกมา เกิดเป็นจอภาพ


จางเซวียนรีบเดินเข้าไปเขียนชื่อจ้าวหย่า


ในบรรดาทุกคนที่เข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง ผู้ที่น่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้มากที่สุดควรจะเป็นจ้าวหย่า เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นที่ทำให้เธอไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายใน 6 ชั่วโมง


จอภาพสั่นสะท้านเล็กน้อย ดูเหมือนพร้อมปรากฏภาพได้ทุกขณะ


“นี่คือช่วงวัดใจ…”


“คุณจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับหวังเสี่ยวเมื่อ 3 ปีก่อน? เขาไม่ยอมเชื่อว่าลูกชายของเขาน่ะไม่เอาไหน จึงใช้เงิน 100 เหรียญสวรรค์ตรวจสอบสภาวะของเด็กคนนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าแท้ที่จริงแล้วลูกชายของเขาม่อยหลับไปบนภูเขาสวรรค์สร้าง! จนถึงวันนี้ ผมยังอดหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกถึงสีหน้าของเขาตอนที่เห็นภาพบนผนัง!”


“เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่ว ตระกูลหวังเสื่อมเสียเกียรติยศศักดิ์ศรีในชั่วข้ามคืน ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นหนึ่งในสิบตระกูลชั้นนำของเมืองตะวันรอน แต่เพียงวันเดียวก็ตกต่ำจนถึงจุดที่ไม่อาจเป็นได้แม้ตระกูลขั้น 3!”


“ตัวเขาก็ย่ำแย่ ท่านเจ้าเมืองอู๋มองคนที่ผลงาน เหตุผลเดียวที่เขาปฏิบัติต่อหมอนั่นอย่างดีก็เพราะอาจได้ผลประโยชน์บางอย่าง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหมดค่าหมดราคาไปแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าเมืองจะต้องเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ!”


กลุ่มชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังส่ายหัวพร้อมกับยิ้มเยาะ


ตอนที่ 2199 จอมราชันย์?

ขณะที่พวกเขากำลังตั้งตารอดูความตกต่ำของจางเซวียน ก็รู้สึกได้ว่ามีร่างอันทรงพลังและมีอำนาจอย่างเหลือเชื่อบีบร่างของพวกเขาไว้จนแทบจะบี้แบน


บึ้มมมม!


ราวกับทั้งโลกถล่มเข้าใส่ ห้องนั้นอบอวลไปด้วยความหวาดกลัวรังสีที่ปรากฏ


“นี่มัน…รังสีของจอมราชันย์?”


ใครคนหนึ่งอุทานออกมา ทุกคนทรุดตัวลงคุกเข่าเพื่อแสดงการคารวะ


“ผมคือจอมราชันย์ฟู่เหมิงแห่งน่านฟ้าทองคำแข็งกล้า จ้าวหย่าคือผู้เหมาะสมต่อการฝึกฝนเทคนิควรยุทธของน่านฟ้าของเรา ผมจะพาเธอไปด้วย…”


เสียงที่ไร้อารมณ์และความรู้สึกใดๆอย่างสิ้นเชิงก้องมาจากผนัง


เสียงนั้นไม่ดังนัก แต่ดูเหมือนจะพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของทุกคน ผู้ที่ได้ยินเสียงต่างอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง เมื่ออยู่ต่อหน้าพละกำลังระดับนี้ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดตอบโต้


“จอมราชันย์?”


“จอมราชันย์รับตัวศิษย์สายตรงของเขาไปหรือ?”


ทุกคนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาหันมามองชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาที่สับสนจนแทบจะคลุ้มคลั่ง


พวกเขาคิดว่าศิษย์สายตรงของชายหนุ่มคงเหมือนกับลูกชายของหวังเสี่ยว คือน่าจะเผลอหลับ หรือได้รับบาดเจ็บอยู่ที่ไหนสักแห่งในภูเขาสวรรค์สร้าง ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วเธอเข้าตาจอมราชันย์ ทำให้อีกฝ่ายถึงกับลงมารับด้วยตัวเอง!


ที่สำคัญกว่านั้น จอมราชันย์ยังถึงกับทิ้งข้อความเพื่ออธิบายสถานการณ์ไว้ด้วย…


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่จอมราชันย์จำเป็นต้องอธิบายการตัดสินใจของพวกเขากับใครๆ?


เกียรติยศครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องอื่นใดในโลก!


พวกเขากำลังคิดจะใช้โอกาสนี้เย้ยหยันจางเซวียน ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์จะพลิกผันอย่างที่เห็น?


แต่ละคนหันขวับมามอง คาดว่าจะได้เห็นชายหนุ่มเสียอาการเพราะความยินดีปรีดา แต่สิ่งที่ได้เห็นคือชายหนุ่มขมวดคิ้วเป็นร่องลึกกว่าเดิม


เขาหน้าดำคร่ำเครียดราวกับมีหมึกเปื้อนใบหน้า


ศิษย์สายตรงคนหนึ่งถูกจอมราชันย์รับตัวไปบ่มเพาะด้วยตัวเอง…ไม่มีเกียรติยศไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว เขาควรจะมีความสุขจนแทบกระโดดโลดเต้นไม่ใช่หรือ?


ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น?


“นายน้อยจางเซวียน รีบกล่าวคำขอบคุณจอมราชันย์สำหรับความเมตตาของเขาสิ…” อู๋ฟังชิงกระตุกแขนเสื้อของจางเซวียนและออกปากเร่ง


จะทำให้ใครขุ่นเคืองใจก็ทำได้ แต่สำหรับจอมราชันย์…


ไม่มีใครในโลกนี้จะช่วยชีวิตเขาได้หากจอมราชันย์โกรธกริ้วขึ้นมา!


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง “บ้าแล้ว! จอมราชันย์โอหังมาจากไหนถึงกล้าพาคนของผมไปโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกเขาเป็นจอมโจรที่ไม่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีเลยหรือไง?”


จางเซวียนโมโหจนแทบตัวระเบิด


จอมราชันย์คิดว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจงั้นสิ?


นี่คือศิษย์สายตรงของเขานะ! จะพาเธอไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเขาเลยได้อย่างไรกัน? ไร้ยางอายที่สุด!


“นายท่าน…”


ได้ยินคำนั้น จางเจี้ยแทบปล่อยโฮ


คุณย้ำผมครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่หรือว่าให้นอบน้อมและเก็บเนื้อเก็บตัว?


แต่แล้วคุณก็กลับลืมตัวจนถึงกับติเตียนจอมราชันย์เมื่ออีกฝ่ายพาลูกศิษย์ของคุณไปโดยไม่บอกไม่กล่าว…แบบนี้หรือที่เรียกว่านอบน้อมและเก็บเนื้อเก็บตัว?


ต่อให้จอมราชันย์จะไม่ลดตัวลงมาต่อสู้กับคุณก็เถอะ แต่มันถูกแล้วหรือที่จะหยามหน้าอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยขนาดนี้?


ขณะที่จางเจี้ยเกือบลมจับด้วยความตกใจ ก็เห็นนายน้อยเขียนชื่อของเจิ้งหยางลงไปบนผนัง


ทันทีที่เขียนเสร็จ รังสีทรงพลังอีกสายหนึ่งก็ระเบิดออกมา


“ผมคือจอมราชันย์โจวหยางแห่งน่านฟ้าตะวันแผดเผา เจิ้งหยางมีความเหมาะสมกับเทคนิควรยุทธของน่านฟ้าตะวันแผดเผาของเรา ผมจึงมารับตัวเขาไป”


“อีกแล้ว! พวกคุณไร้ยางอายอะไรขนาดนี้?”


จางเซวียนแทบคลุ้มคลั่ง


เขารีบเขียนชื่อของลู่ชงลงไปบนผนังด้วยความโมโห


“…ผมคือจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ลู่ชงได้แสดงความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งที่เหมาะสมกับเทคนิควรยุทธของน่านฟ้าของเรา ผมจึงมารับตัวเขาไป…”


จางเซวียนยิ่งมึนหนัก เขารีบเขียนชื่อของศิษย์สายตรงคนอื่นๆ


“ฉันคือเทพธิดาหลิงหลงแห่งน่านฟ้าหลิงหลง หวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียนเหมาะสมกับน่านฟ้าของเรา ฉันจึงมารับตัวพวกเธอไป…”


“ผมคือจอมราชันย์มังกรเมฆแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ ขงซือเหยากับหลิวหยางเข้าตาผม ผมจึงจะ…เอ่อ หมายความว่าผมจะพาพวกเขากลับไปด้วย…”


ขณะที่จางเซวียนเขียนรายชื่อของบรรดาศิษย์สายตรงของเขาลงไป จอมราชันย์ก็ปรากฏตัวคนแล้วคนเล่า แต่ละคนทิ้งข้อความไว้ กว่าจะเสร็จเรื่อง อู๋ฟังชิงกับคนอื่นๆก็ถึงกับจังงัง


ชายวัยกลางคนทั้งกลุ่มที่มาเฝ้าดูความพินาศของจางเซวียนต่างก็นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะพลิกผันแบบนี้ ภาพลวงตาของจอมราชันย์ปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับพวกเขากำลังเฝ้าดูขบวนแห่


ใครๆก็รู้ว่าจอมราชันย์คือสุดยอดของโลกใบนี้ ชั่วชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแม้จะได้เห็นพวกเขาสักครั้ง!


แล้วทำไมทุกคนถึงปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกัน?


มันจะเกินไปหน่อยไหม?


กลุ่มชายวัยกลางคนสบตากันและกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ต่างคนต่างเห็นความพรั่นพรึงในดวงตาของอีกฝ่าย


แล้วต่อไปพวกเขาจะกล้าเยาะเย้ยศิษย์สายตรงของชายหนุ่มได้อย่างไร?


หากเปรียบเทียบกับศิษย์สายตรงของจางเซวียน ทายาทของพวกเขาไม่มีความหมายอะไรเลย!


ทุกคนเห็นแล้วว่าทายาทของพวกเขาเก่งกาจปราดเปรื่องไม่พอแม้จะเข้าตาเทพเจ้าสวรรค์สร้างสักคนด้วยซ้ำ ขณะที่ศิษย์สายตรงของชายหนุ่มทำให้จอมราชันย์ลงมารับตัวพวกเขาไปด้วยตัวเอง ยื้อแย่งกันราวกับกลุ่มแม่บ้านที่กลุ้มรุมสินค้าลดราคา…


มาคิดดู ก็น่าหัวเราะเหลือเกินที่เมื่อครู่นี้พวกเขายังรู้สึกว่าตัวเองแสนจะเหนือชั้นกว่าอีกฝ่าย


ทุกคนหันขวับไปมองจางเซวียนอย่างร้อนใจ หวังว่าในอนาคตชายหนุ่มจะไม่เคืองแค้นจนกลับมาเอาคืน แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือชายหนุ่มกำลังชี้นิ้วไปที่ผนังอย่างหงุดหงิดและตวาดก้อง “คุณมันไอ้พวกหน้าไม่อาย พวกเขาคือศิษย์สายตรงของผมนะ…ศิษย์สายตรงของผม!”


ทุกคนตัวสั่นงันงก ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ


หยามหน้าจอมราชันย์…หมอนี่เป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า?


“นายน้อย…เกิดอะไรขึ้นกับความถ่อมเนื้อถ่อมตัวของคุณ?” จางเจี้ยฉุดแขนเสื้อของจางเซวียนขณะร่ำร้องด้วยน้ำตาที่ปริ่มๆจะหยด


มันเคยคิดว่านายท่านเป็นคนฉลาดและไว้วางใจได้ แต่ถึงตอนนี้ ก็แทบจะเห็นภาพของตัวมันเองที่จบเห่เพราะความหุนหันพลันแล่นของเจ้านาย…


ส่วนอู๋ฟังชิงก็หัวหมุน เขาหยิกตัวเองอย่างแรงจนเนื้อแทบขาด แต่ก็ต้องตกใจที่ไม่รู้สึกอะไรเลย


หลังจากตำหนิติเตียนจอมราชันย์อย่างหนักได้สักครู่ จางเซวียนก็ดูจะระงับอารมณ์ได้เล็กน้อย


สำหรับตอนนี้ หากพิจารณาโดยใช้เหตุผล ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าไหร่ที่จอมราชันย์พาตัวจ้าวหย่ากับคนอื่นๆไป


ด้วยปริมาณทรัพยากรอันจำกัดที่เขามีอยู่ในมือ คงยากที่บรรดาศิษย์สายตรงของเขาจะยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็วหากยังคงติดตามเขาอยู่ ถึงจะเกลียดที่ต้องยอมรับ แต่ก็รู้ว่าจอมราชันย์จะต้องมอบสิ่งที่ดีกว่าให้คนเหล่านั้นได้แน่


“แล้วท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางล่ะ?”


จางเซวียนบ่มเพาะศิษย์สายตรงของเขามาตั้งแต่อายุยังน้อย ดูแลและชำระกายเนื้อของคนเหล่านั้นด้วยพลังปราณเทียบฟ้า จึงพอเข้าใจได้ที่พวกเขาจะเข้าตาจอมราชันย์ ว่าแต่…ซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่ล่ะ…


สามคนนั้นยังไม่ได้สร้างรากฐานวรยุทธที่มั่นคงเท่าไหร่ แถมอายุก็มากแล้ว ไม่น่าจะเข้าตาจอมราชันย์คนไหน


จางเซวียนรีบเขียนชื่อท่านแม่ของเขา, หวังเหมิงหยา ลงไปบนผนัง


“ผมคือผู้แทนจากน่านฟ้าดาบสวรรค์ ผมจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้ซุนฉาง จางเฉินชิง และหวังเหมิงหยา แล้วจะส่งพวกเขากลับไปหาคุณหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝน”


คราวนี้เสียงสุขุมดังออกมาจากผนัง


“แม้แต่น่านฟ้าดาบสวรรค์ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครก็ยังส่งผู้แทนมา?” ทุกคนถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง


ก็เหมือนกับน่านฟ้าเสรี น่านฟ้าดาบสวรรค์ปิดตัวเองจากกลุ่มอำนาจอื่นๆที่เหลือในสรวงสวรรค์ ทำให้เป็นผู้ลึกลับในสายตาชาวโลก ด้วยเหตุนี้ จึงน่าฉงนเหลือเกินว่าทำไมพวกเขาจึงเข้ามาร่วมวงด้วยเพียงเพื่อจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 3 คน


สำหรับทั้ง 14 คนที่จางเซวียนพามา, 11 คนถูกนำตัวไป และที่เหลือก็กำลังจะได้ร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบจากผู้แทนของน่านฟ้าดาบสวรรค์…


สวรรค์โปรด โชคดีอะไรกันขนาดนี้…


“เอาเถอะ”


เมื่อเห็นว่าอย่างน้อยที่สุดท่านพ่อท่านแม่ของเขากับซุนฉางก็ไม่ได้ถูกพาตัวไป จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


อย่างน้อยก็ยังเหลือคนอยู่กับเขาบ้าง เขาไม่ต้องอยู่ตามลำพัง


แต่ก็นั่นแหละ คงใช้เวลาสักระยะกว่าท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางจะทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบของน่านฟ้าดาบสวรรค์ได้เสร็จสมบูรณ์


จางเซวียนไม่เคยคิดเลยว่าการเดินทางสู่ภูเขาสวรรค์สร้างจะลงเอยแบบนี้ เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็หันกลับมา เห็นทุกคนกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นและมองมาที่เขาด้วยแววตาเป็นประกาย บ่งบอกการยอมรับ


เขาถึงกับผงะด้วยความตกใจ


จางเซวียนใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อเหล่าศิษย์สายตรงของเขาได้เข้ารับคำชี้แนะจากจอมราชันย์ ก็เป็นธรรมดาที่ในอนาคตคนเหล่านั้นจะต้องกลับมาปกป้องเขา


จางเซวียนส่ายหน้า


“ผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใคร หวังว่าพวกคุณจะเก็บเรื่องที่ได้เห็นวันนี้ไว้เป็นความลับ”


เขานึกภาพออกว่าจะเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่แค่ไหนหากใครๆรู้เรื่องนี้ บางที…อาจมีบางคนเห็นเขาเป็นภัยคุกคามและพยายามเล่นงานเขาก็ได้!


สุดท้าย เก็บเนื้อเก็บตัวไว้และดำเนินชีวิตไปตามเดิมย่อมฉลาดกว่า


“คุณไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใคร…”


ฝูงชนพากันอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดอันแสนจะเหลือเชื่อนั้น


คุณพูดแบบนี้ดูจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นะ หลังจากที่ผมได้เห็นคุณตำหนิติเตียนจอมราชันย์โดยไม่ยั้งปากสักนิด…


แม้ฝูงชนจะคิดแบบนั้น แต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงออกนอกหน้า พวกเขาพยักหน้าอย่างว่าง่ายและตอบว่า “พวกเราเข้าใจ เราจะปิดปากเงียบ”


“ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ” จางเซวียนตอบก่อนจะเดินนำออกจากห้อง


ขณะที่กำลังเดินกลับห้องโถงใหญ่ เขาหันไปถามอู๋ฟังชิง “เจ้าเมืองอู๋ คุณพอมีหนังสือศิลปะเพลงดาบให้ผมได้ดูผ่านๆบ้างไหม?”


จางเซวียนรู้ว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางจะกลับมา และเขาก็ไม่มีทางออกจากที่นี่โดยไม่มีคนพวกนั้น จึงตัดสินใจจัดการเรื่องนี้ก่อน


เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าสำหรับการฝึกฝนเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้แล้ว แต่ก็ยังจำเป็นต้องหาความรู้ใหม่ๆเพื่อเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)