อัจฉริยะสมองเพชร 2194-2197

 ตอนที่ 2194 ผมคนเดียวก็พอ!

“ด้วยเหตุนี้ คนกลุ่มหนึ่งจึงถูกส่งทะลุมิติไปยังบริเวณใจกลางภูเขา หรือแม้แต่ยอดเขาเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีโอกาสสูงขึ้นอีกมากในการได้รับรังสีสวรรค์”


“แต่ด้วยโควต้าของแต่ละเมืองที่มีจำกัด เพื่อรักษาความยุติธรรม คฤหาสน์เจ้าเมืองจึงเปิดประมูลโควต้าที่จะถูกส่งตรงไปสู่ยอดเขา ซึ่งทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ได้โควต้ามาจากการประมูล”


จางเซวียนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น


ในเมื่อทั้งเมืองตะวันรอนได้รับโควต้าเพียง 1,200 ที่ ก็พอเข้าใจได้กับการที่โควต้าที่มุ่งตรงสู่บริเวณยอดเขาหรือใจกลางภูเขาจะมีจำนวนจำกัด ไม่แปลกอะไรที่คนอื่นจะไม่พอใจที่จู่ๆเขาก็ตัดหน้า แถมยังพาพรรคพวกอีก 14 คนมาด้วย


“เรื่องนี้ผมต้องขออภัยด้วย ถ้ากลุ่มผู้เข้าท้าทายของคุณไม่อาจตรงเข้าสู่ใจกลางภูเขาได้ล่ะก็ ผมจะคืนเงินให้” อู๋ฟังชิงประสานมือและกล่าวขอโทษขอโพย


หากจางเซวียนเป็นแค่คนธรรมดาสามัญก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่…อีกฝ่ายน่าจะเป็นทายาทของจอมราชันย์สักคน ต่อให้อู๋ฟังชิงจะเย่อหยิ่งแค่ไหน ก็รู้ดีเกินกว่าจะทำให้คนที่มีสถานภาพระดับนั้นขุ่นเคือง


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้แค่หาวิธีไกล่เกลี่ย


“นี่มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของกติกา!” ชายวัยกลางคนที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ตัดบทอย่างเฉียบขาด


“ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ? ถ้าบรรดาลูกศิษย์ของเขาเอาชนะกลุ่มผู้เข้าท้าทายของพวกเราได้ ผมจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย แต่หากทำไม่ได้ล่ะก็ ผมก็หวังว่าเขาจะขอโทษพวกเราแล้วกลับไปต่อท้ายแถว!”


อู๋ฟังชิงขมวดคิ้วและกำลังจะโต้แย้ง ก็พอดีกับที่จางเซวียนโพล่งออกมา “ผมไม่มีปัญหา”


จากนั้นเขาก็หันไปถามจ้าวหย่ากับพรรคพวก “ใครจะลอง?”


ซุนฉางก้าวออกมาและเอามือเท้าสะเอว “ผมเอง!”


“คุณหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ซุนฉางไม่เคยใส่ใจการฝึกฝนวรยุทธมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หลังจากพยายามอย่างหนักเมื่อครั้งอยู่ในมิติเบื้องบน แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ยังไม่มั่นใจหากจะส่งซุนฉางไปประชันกับเหล่าอัจฉริยะของสรวงสวรรค์


ซุนฉางดูเหมือนจะรับรู้ความกังวลของจางเซวียน เขาพูดเสริม “ผมไม่คิดว่าพวกนั้นจะคู่ควรกับการต่อสู้กับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ ในกรณีเลวร้ายที่สุด คุณให้จ้าวหย่าแก้มือกับพวกเขาก็ได้ถ้าผมแพ้!”


“ตามนั้น” จางเซวียนโบกมือ


“ผมคือคู่ต่อสู้ของคุณ!”


ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีดวงตาคมกริบและท่าทีโอหังก้าวออกมาเพื่อรับคำท้าของซุนฉาง


“เทียนเหิง เอาชนะเขาแบบเบาะๆก็พอนะ ไม่ต้องถึงกับเลือดตกยางออกล่ะ” ชายวัยกลางคนพูด


“รับทราบ!” ชายหนุ่มที่ชื่อเทียนเหิงตอบก่อนจะเดินเข้าหาซุนฉางด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววดูถูก เขายกมือขึ้นแล้วร้องเรียก “อย่ามัวเสียเวลาน่ะ รีบจัดการให้มันเสร็จๆ”


อีกฝ่ายเป็นแค่ชายวัยกลางคนที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้า ถือว่าพลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดของการฝ่าด่านวรยุทธไปแล้ว ต่อให้ได้รังสีสวรรค์มา ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะทำสำเร็จ


“คุณจะท้าทายผมตามลำพังหรือ?” แทนที่จะเริ่มเคลื่อนไหว ซุนฉางกลับชี้นิ้วไปที่คนอื่นๆอย่างเกียจคร้านและพูดต่อ “ทำไมพวกคุณไม่เข้ามาสู้กับผมพร้อมๆกันล่ะ?”


“ผมคนเดียวก็พอ!” เทียนเหิงคำรามขณะปล่อยหมัด

novel-lucky

ความว่องไวจากหมัดของเขาทำให้อากาศถูกบีบอัดอย่างแรง เกิดเสียงดังขวับเหมือนการตวัดแส้


แม้เทียนเหิงจะยังเป็นวัยรุ่น แต่ก็มีทักษะสูงส่งไม่เบา เขาควบคุมพละกำลังของตัวเองและทิศทางของการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี


ซุนฉางส่ายหน้าขณะดึงแขนซ้ายออกจากการไพล่หลัง พริบตาต่อมา แขนซ้ายของเขาก็พร่าเลือน กลายเป็นกำปั้นมากมาย เกิดเป็นภาพติดตาจำนวนนับไม่ถ้วน


พลั่ก!


ยังไม่ทันที่เทียนเหิงจะได้ตอบโต้ ก็ถูกหมัดกระแทกเข้าที่หน้าอก ทำให้ถอยไปสามก้าวก่อนจะสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้า


เห็นภาพนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


แม้ซุนฉางจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายและเทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้า ทั้งยังเคยผ่านการต่อสู้มาหลายครั้งเมื่อสมัยที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบน


ต่อให้ชายหนุ่มจะเก่งกาจปราดเปรื่องไม่น้อย แต่ก็ยังห่างชั้นกับซุนฉาง


“อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ คุณน่ะสู้ผมไม่ได้หรอก จะง่ายกว่าเยอะถ้าพวกคุณเข้ามาหาผมพร้อมๆกันทีเดียว!”


หลังจากเล่นงานเทียนเหิงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ซุนฉางมองบรรดาชายหนุ่มที่เหลือด้วยทีท่าโอหังตามแบบของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีใครปราบได้


หยวนเทาก้าวออกมา “ท่านลุงซุน คุณสู้พอแล้วล่ะ ผมรับมือรอบต่อไปให้ดีไหม?”


“นี่! พวกคุณน่ะพอได้แล้ว! ดูเสียก่อนว่าอยู่ที่ไหน? ให้ผมจัดการแทนก็แล้วกัน!” เจิ้งหยางกวัดแกว่งหอกขณะยืนจังก้า


“เอาล่ะ พวกคุณน่ะเข้ามาหาผมพร้อมๆกันเลย หรือไม่ ถ้าเหล่าผู้อาวุโสอยากมีบทบาทด้วย ก็ลดระดับวรยุทธลงแล้วมาโจมตีผมก็ได้ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ขอความช่วยเหลือจากใครแน่นอน”


“คุณน่ะปากดีเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้ออกรบมานานแล้วนะ!” เว่ยหรูเหยียนพูดขณะยิ้มอย่างสบายใจ


จางเซวียนกุมหน้าผาก


ส่วนจางเจี้ยก็มองมาด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด


เจ้านายบอกไว้ว่าตัวเขาชอบเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ใช่หรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมบรรดาลูกศิษย์ถึงยังสร้างปัญหาล่ะ?


ไม่ว่าจะมองอย่างไร เด็กพวกนั้นก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า ‘เก็บเนื้อเก็บตัว’ เลยสักนิด


“หลงตัวเองเสียเหลือเกิน ก็ได้! ผมจะเป็นคู่ต่อสู้ของคุณ!”


“ผมอยากสู้กับแม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวคนนั้น!”


“ฮ่า ส่วนผมจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าอ้วนนั่น พูดจาโอหังอะไรอย่างนี้ ทำอย่างกับตัวเองเก่งที่สุดในโลก…”


พฤติกรรมของจ้าวหย่ากับพรรคพวกทำให้เหล่าวัยรุ่นที่อยู่ในห้องเกิดบันดาลโทสะ พวกเขาคำรามกร้าวและพุ่งเข้าใส่


แต่ 2-3 อึดใจต่อมา คนเหล่านั้นก็นอนแผ่หราอยู่กับพื้น


แม้พวกเขาจะเก่งกาจกว่านักรบทั่วไปในเมืองตะวันรอน แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะนำมาเทียบชั้นกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆได้ แม้แต่ซุนฉางก็เกินพอที่จะจัดการคนพวกนี้!


“เอ่อ…”


เห็นบรรดาผู้เข้าท้าทายของพวกเขาพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ต่อสู้ให้สมน้ำสมเนื้อ กลุ่มชายวัยกลางคนที่แสดงความแคลงใจในตัวจางเซวียนก่อนหน้านี้ถึงกับมึนหัว พวกเขาแทบกระอักเลือดออกมา


ทุกคนคิดว่าจางเซวียนใช้เส้นสายเพื่อให้ได้ที่นั่งตรงนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขามีพละกำลังพอตัว


ในเมื่อลูกศิษย์ของเขาไร้เทียมทานขนาดนั้น ทำไมถึงยังยอมเสียเงินเพื่อซื้อโควต้า ให้เด็กพวกนี้ต่อสู้เสียตั้งแต่แรกเลยก็ได้!


ทุกคนคงได้ก้าวขึ้นสู่อันดับต้นๆโดยไม่พลาด


ในตอนนั้น แม้แต่อู๋ฟังชิงก็เงียบกริบ เรื่องที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะตอกย้ำความคิดในหัวสมองของเขา

novel-lucky

ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เห็นได้ชัดว่าเด็กวัยรุ่นเหล่านี้เก่งกาจราวกับปีศาจ การได้รับลูกศิษย์ที่เก่งกาจสักคนหนึ่งเอาไว้อาจเรียกว่าโชคดี แต่นี่…ลูกศิษย์ที่เก่งกาจจำนวนมากมายอยู่ภายใต้การชี้แนะของคนคนเดียวกัน


จะต้องมีบางอย่างที่มากกว่าโชคอย่างแน่นอน!


ต่อให้จางเซวียนไม่ได้มีสายเลือดจอมราชันย์ ก็คงไม่ด้อยกว่านั้นเท่าไหร่


“สิ่งนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์หรือยังว่านายน้อยจางเซวียนกับบรรดาลูกศิษย์ของเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะอยู่ตรงนี้?” อู๋ฟังชิงถามยิ้มๆ


“ได้สิ ได้แน่นอน…” คนอื่นๆรีบตอบ


จริงอยู่ว่าการถูกส่งทะลุมิติไปที่ยอดเขาหรือบริเวณใจกลางภูเขาจะช่วยให้มีโอกาสได้รับรังสีสวรรค์เพิ่มขึ้นอีกมาก แต่สุดท้าย จะได้มันมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้นั้นด้วย


ถ้าทั้ง 14 คนทรงพลังขนาดนั้น ก็ไม่มีทางที่เหล่าผู้เข้าท้าทายในสังกัดของพวกเขาจะฉกฉวยรังสีสวรรค์มาได้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ปล่อยไปเสียดีกว่า


ไม่อย่างนั้น หากทั้ง 14 คนจงใจเล่นงานกลุ่มผู้เข้าท้าทายของพวกเขาเมื่อไปถึงภูเขาสวรรค์สร้าง ก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้


“ในเมื่อทุกคนไม่ขัดข้อง เริ่มการทะลุมิติเลยก็แล้วกัน เวลาจวนเจียนเต็มทีแล้ว” อู๋ฟังชิงลุกขึ้นและนำตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองออกมา เขาแตะมันเบาๆ แสงสีขาวบริสุทธิ์เปล่งประกายโอบล้อมทั้งจัตุรัสไว้


จากนั้น ประตูบานมหึมาก็ปรากฏขึ้นบริเวณใจกลางจัตุรัส ดึงดูดฝูงชนให้เข้าไปห้อมล้อม


“นายน้อยจางเซวียน ให้พวกเขาเข้าไปก่อนเถอะ” อู๋ฟังชิงพูดยิ้มๆ


จางเซวียนพิจารณาประตูนั้นอย่างถี่ถ้วน และรู้ว่ามันเป็นแค่ค่ายกลทะลุมิติที่ไม่มีอันตราย เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เรียกจ้าวหย่ากับคนอื่นๆให้มารวมตัวกัน


“รับไปคนละ 5 เม็ดนะ ผมถ่ายทอดพละกำลังของผมเข้าไปในนั้นแล้ว มันจะช่วยให้พวกคุณฝ่าด่านขอขวดและรอดพ้นจากอันตรายในช่วงเวลาคับขันได้”


จางเซวียนกระดิกนิ้ว จากนั้นก็มอบยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าให้จ้าวหย่ากับพรรคพวกคนละขวด


ตอนนี้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าไม่มีประโยชน์ต่อเขามากนัก จึงควรมอบให้คนอื่นดีกว่า เพราะทันทีที่คนเหล่านี้ได้รับรังสีสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าก็จะช่วยให้พวกเขายกระดับวรยุทธได้อีกมาก


“ขอบคุณ นายน้อย!”


“ขอบคุณ เซวียนเอ๋อ!”


“ขอบคุณ ท่านอาจารย์!”


จางเซวียนไม่มีคำสั่งเสียใดๆอีก จึงเร่งให้ทุกคนรีบเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติ


ทั้งกลุ่มผ่านประตูเข้าไปและหายวับไปจากสายตา


ในเมื่อตัวเขาเป็นเทพเจ้าแล้ว จึงไม่อาจผ่านค่ายกลทะลุมิติได้ จำเป็นต้องรออยู่ข้างนอก


ไม่ถึง 1 ชั่วโมง นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 1,200 คนที่อยู่ในจัตุรัสก็ผ่านประตูบานมหึมานั้นเพื่อเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ประตูสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะหายวับไป


“ค่ายกลทะลุมิติจะปรากฏขึ้นอีกครั้งใน 1 วันนับจากนี้ ถ้าพวกคุณไม่รีบร้อนอะไร คฤหาสน์เจ้าเมืองจัดเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ พวกคุณอยู่ที่นั่นเพื่อรอลูกศิษย์ของคุณกลับมาก็ได้” อู๋ฟังชิงพูดยิ้มๆ


“น่าสนใจ!”


ฝูงชนพยักหน้ารับ


สำหรับนักรบ, 1 วันไม่ใช่ระยะเวลายาวนาน


จางเซวียนก็คร้านจะกลับที่พัก จึงตามทั้งกลุ่มเข้าไปในคฤหาสน์เจ้าเมือง


…..


การผ่านประตูให้ความรู้สึกที่ออกจะไม่คุ้นเคย ทำให้จ้าวหย่าสะดุดล้ม พอตั้งตัวได้ ก็เห็นว่าตัวเธอกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ และเมื่อพิจารณาดูให้ดี ก็พบว่าบริเวณนี้อยู่ใกล้กับยอดเขา


ไม่เหมือนกับภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ พื้นที่โดยรอบมีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น เกิดเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเติบโตของพืชพรรณนานาชนิด พลังชีวิตอบอวลทั่วทั้งบริเวณนั้น ไม่มีความแห้งแล้งทุรกันดารให้เห็น


“เราต้องตามหารังสีสวรรค์…”


จ้าวหย่ารู้ดีถึงความสำคัญของการได้เข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง เธอรีบปีนป่ายขึ้นไป


ไม่ช้าก็พบว่าระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามความสูง เป็นไปได้ว่าเธอน่าจะได้พบรังสีสวรรค์


ตอนที่ 2195 เจ้านี่ทรงพลังจริงๆ…

 


หลังจากออกเดินไปได้หลายร้อยเมตร จ้าวหย่าพลันได้ยินเสียงลมพัดกระหน่ำหวีดหวิวอยู่ไม่ไกล เธอรีบหลบหลังต้นไม้ก่อนจะมองไปยังทิศทางของต้นเสียง


มันมาจากลูกธนูดอกหนึ่ง


จากนั้น อสูรสีขาวหน้าตาเหมือนกระต่ายที่กำลังตกใจกลัวก็กระโจนพรวดออกมา ราวกับกำลังหลบหนีนายพราน


“นั่นคือ…รังสีสวรรค์?” จ้าวหย่าตาโต


ซุนฉางได้รวบรวมข้อมูลบางส่วนของภูเขาสวรรค์สร้างและอธิบายให้พวกเธอฟังแล้วเมื่อวันก่อน จากที่เขาบอก รังสีสวรรค์สามารถแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีถิ่นฐานอยู่ในภูเขาสวรรค์สร้าง ทำให้จับตัวพวกมันได้ยาก


“หยุดนะ!”


สองร่างพุ่งออกมาจากหมู่ไม้เพื่อไล่ล่ากระต่าย


ทั้งคู่คือเจ้าของลูกธนูก่อนหน้านี้


ฟิ้วววววว!


ลูกธนูอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งหวือออกไปและยับยั้งกระต่ายที่กำลังวิ่งหนีไว้ได้ กระต่ายตัวนั้นกระเสือกกระสนอยู่กับพื้นครู่หนึ่งก่อนจะสลายตัว กลายเป็นหย่อมของเหลวสีทอง


“ผมไปก่อน!”


1 ใน 2 คนที่ยิงธนูรีบพุ่งเข้าโกยของเหลวสีทองและกลืนมันลงไป


เพียงครู่เดียว จ้าวหย่าก็รู้สึกได้ว่าระดับวรยุทธของอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เท่าที่เห็น ดูเหมือนอีกไม่นานเขาคงก้าวข้ามด่านคอขวดสำเร็จและได้เป็นเทพเจ้า


“เราต้องรีบแล้ว!”


เมื่อเห็นแล้วว่าการไล่ล่ารังสีสวรรค์ไม่ได้ยากเกินไป จ้าวหย่าปีนเขาต่ออย่างไม่ลังเล ระหว่างทาง เธอพบรังสีสวรรค์อีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในรูปของกระต่าย แต่เพราะมีนักรบไล่ล่ามันอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่อาจฉกฉวยจากพวกเขาได้


ไม่นานจ้าวหย่าก็มาถึงยอดเขา


แรงกดดันบริเวณนี้รุนแรงเข้มข้นกว่าที่อื่นมาก จ้าวหย่าเหลียวซ้ายแลขวา แต่ไม่พบใคร ทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็รีบตรวจสอบร่องรอยบนพื้นดินเพื่อหาสัญญาณของรังสีสวรรค์


เธอเห็นรอยเท้าของกระต่ายระหว่างทางที่ปีนขึ้นมา จึงพอระบุตำแหน่งของพวกมันได้


“ร่องรอยดูค่อนข้างจาง และใหญ่เกินกว่าจะเป็นกระต่าย…แต่ไม่เป็นไร!”


เมื่อเห็นเป้าหมาย จ้าวหย่าขับเคลื่อนปราณหยินบริสุทธิ์จนเต็มพิกัดเพื่อสะกดรอยตามไป


ฟึ่บ!


เมื่อสุดทาง เสือสีขาวตัวหนึ่งที่มีรังสีงามสง่าก็กระโจนออกมา


“ฮะ…” จ้าวหย่าถึงกับตะลึง


ขณะที่รังสีสวรรค์ที่คนอื่นๆพบล้วนเป็นกระต่าย ทำไมเธอถึงลงเอยด้วยการสะดุดเข้ากับเสือที่ทั้งตัวใหญ่และดุร้าย?


แต่จ้าวหย่าก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรแตกต่างมากนัก เธอสะบัดข้อมือ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่และเริ่มโจมตีเสือขาวตัวนั้น


ในฐานะศิษย์พี่หมายเลขหนึ่งของบรรดาศิษย์สายตรงทั้งกลุ่มของจางเซวียน จ้าวหย่าเข้มงวดและมีวินัยกับตัวเองเสมอ การขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธประกอบกับประสิทธิภาพของสภาวะพิเศษทำให้เธอไร้เทียมทานในหมู่นักรบรุ่นเดียวกัน ถึงขนาดที่แม้แต่เจิ้งหยางก็เทียบชั้นไม่ได้


เมื่อจ้าวหย่าสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด พื้นที่บริเวณนั้นก็เย็นเยือก


“เจ้านี่ทรงพลังจริงๆ…”


หลังจากสู้กันได้สักพัก เหงื่อเย็นๆก็ไหลลงมาตามหน้าผากของจ้าวหย่า


ถ้าเป็นกระต่ายอย่างที่ผ่านๆมา ขอแค่เธอจับตัวมันได้ กระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียวก็คงเอาชนะมันได้แล้ว ไม่อย่างนั้น พวกมันคงไม่พ่ายแพ้ให้ลูกธนูแบบง่ายดายอย่างที่เห็น


แต่เสือขาวที่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นถือว่าทรงพลังมาก แข็งแกร่งกว่าตัวเธอเสียอีก ในแง่ของพละกำลัง อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเทียบเท่ากับนักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ

novel-lucky

พูดอีกอย่างก็คือ เธอกำลังเผชิญหน้ากับเทพเจ้าตัวจริงทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!


ภายใต้สถานการณ์ปกติ คงยากเอาการที่เธอจะได้ชัยชนะ จ้าวหย่าก็รู้ดี แต่ตอนนี้สายไปแล้วที่จะหลบหนี ทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุด


จ้าวหย่ากัดฟัน จากนั้นก็กลืนยาเม็ดที่ท่านอาจารย์มอบให้


เม็ดยาละลายในปากอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณเทียบฟ้า


ในชั่วพริบตา ความอ่อนล้าและอาการบาดเจ็บที่ได้รับตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมาก็หายวับไป


จ้าวหย่าฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เธอปล่อยพละกำลังและการโจมตีหนักหน่วงเป็นชุดเข้าใส่เสือขาว


เพียงชั่วพริบตา สถานการณ์ก็พลิกผัน


ความแข็งกร้าวของจ้าวหย่าทำให้เสือขาวรับมือไม่ไหว อาการบาดเจ็บของมันค่อยๆสะสมเพิ่มขึ้นทีละน้อย


แต่การที่จ้าวหย่าจะสำแดงพละกำลังหนักหน่วงได้อย่างต่อเนื่องก็ไม่ง่าย แน่นอนว่าพลังชีวิตของเธอจะต้องเหือดแห้งอย่างรวดเร็วหากยังคงใช้เรี่ยวแรงมากขนาดนี้


แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ดูเหมือนพลังของเธอจะร่อยหรอ จ้าวหย่าก็จะโยนยาเม็ดหนึ่งเข้าปากก่อนจะปล่อยการโจมตีต่อไป ไม่นานหลังจากที่เธอกินยาเม็ดที่สาม เสือขาวตัวมหึมาก็หมดเรี่ยวแรงและทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น


เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ จ้าวหย่าปาดเหงื่อที่หน้าผากและถอนหายใจอย่างโล่งอก


ถ้าไม่ใช่เพราะยาเม็ดของท่านอาจารย์และสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ของเธอ เธอไม่มีทางยันไว้ได้นานขนาดนี้แน่ นี่คือการต่อสู้ที่เธอเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อให้ได้ชัยชนะ!


“การได้รังสีสวรรค์มาน่าจะง่ายกว่านี้ไม่ใช่หรือ? มันเกิดอะไรขึ้น?”


จ้าวหย่าหันไปมองเสือขาวที่กองอยู่กับพื้นอย่างงุนงง ซึ่งมันก็สลายตัวทันที ทิ้งไว้แต่ของเหลวสีทองหย่อมใหญ่


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแบบเดียวกันกับฝูงกระต่ายเมื่อครู่ แต่ความแตกต่างก็คือความเฉียบคมของของเหลวสีทองที่ก่อตัวกันเป็นเสือขาว หากจะเปรียบเทียบ ถ้าของเหลวสีทองที่ก่อตัวกันขึ้นเป็นกระต่ายคือลำธาร สิ่งที่เธอกำลังจ้องดูอยู่ตรงหน้าก็เป็นมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต


ซึ่งนั่นทำให้จ้าวหย่าออกจะตกใจไม่น้อย


“หรือว่า…รังสีสวรรค์ก็แบ่งออกเป็นหลายระดับขั้นเหมือนกัน?”


เธอไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าดูจะชี้ไปในทิศทางนั้น


“แต่ถึงจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ ต้องรีบจัดการธุระของเรา…”


รู้ดีว่าไม่มีทางระบุให้แน่ชัดได้ จ้าวหย่ารีบทรุดตัวลงนั่งและเริ่มทำสมาธิ


ฟิ้วววว!


ของเหลวสีทองพุ่งเข้าสู่ร่างของเธอทันที


ทันทีที่พลังงานซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย ด่านคอขวดของจ้าวหย่าก็แตกกระจาย ระดับวรยุทธของเธอพุ่งพรวด


“เป็นรังสีสวรรค์ที่ไร้เทียมทานจริงๆ!” จ้าวหย่าหรี่ตาขณะตั้งข้อสังเกต


รังสีสวรรค์บรรจุรังสีอันเฉียบคมของโลหะไว้ ทำให้ทางเดินพลังปราณของเธอแทบจะฉีกขาดออกจากกัน แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ากระแสดาบฉีที่กำลังพลุ่งพล่านได้ตรงเข้าขจัดอุปสรรคทั้งมวลที่ขวางกั้นอยู่ภายในร่างกายของเธอ

novel-lucky

เพียงไม่ถึง 10 นาที จ้าวหย่าก็ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของตัวเองไปได้และกลายเป็นเทพเจ้าตัวจริง


วิ้งงงงงง!


วินาทีที่เธอได้เป็นเทพเจ้า ลำแสงเจิดจ้าโอบล้อมร่างของจ้าวหย่าและร้อยรัดเธอไว้ ทำให้ดูราวกับเป็นเทพธิดา


แต่จ้าวหย่ายังคงไม่รับรู้อะไร เธอง่วนอยู่กับการซึมซับพลังงานเพื่อยกระดับวรยุทธ


…..


ขณะที่จ้าวหย่ากำลังฝ่าด่านวรยุทธ ลู่ชงก็มาถึงสุดเขตอีกด้านหนึ่งของยอดเขา ซึ่งหลังจากมาถึงได้ไม่นาน ก็เจอกับร่างดำมืดร่างหนึ่ง


ร่างนั้นไม่ใช่ทั้งกระต่ายหรือเสือ มันมีลักษณะเหมือนมนุษย์ แต่ก่อตัวขึ้นจากกลุ่มหมอก


ลู่ชงใช้ยาเม็ดที่ท่านอาจารย์มอบให้ แม้การต่อสู้จะไม่ง่ายสำหรับเขา แต่สุดท้ายก็เอาชนะหมอกมืดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ได้สำเร็จ


ร่างนั้นสลายตัวกลายเป็นหย่อมของเหลวสีทอง เป็นแหล่งพลังงานอันน่าทึ่งสำหรับการเติบโตของจิตวิญญาณของลู่ชง


…..


คนอื่นๆก็เจอสถานการณ์คล้ายกัน


หวังหยิ่งพบต้นไม้ดึกดำบรรพ์ที่ขาวโพลนราวกับหิมะ เจิ้งหยางอย่างพบปีศาจตัวมหึมาที่ทั้งร่างปกคลุมด้วยเปลวไฟ เว่ยหรูเหยียนพบแม่น้ำที่สามารถกลืนกินชีวิตผู้คนได้…


…..


ทางตอนเหนือของสรวงสวรรค์มีมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลอันไร้ขอบเขต


บริเวณใจกลางมหาสมุทรนั้นคือพระราชวังลอยน้ำขนาดใหญ่ มันแผ่แสงเรืองรองเจิดจ้าออกมาราวกับดวงอาทิตย์แผดเผา


น้ำใสที่อยู่ใต้พระราชวังสะท้อนภาพความอลังการหรูหราของมันออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามราวกับอยู่ในความฝัน


ภายในพระราชวัง ผู้อาวุโสหนวดเครารุงรังคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ กำลังจับจ้องความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะครุ่นคิดหนัก


“จอมราชันย์”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาในห้องโอ่อ่านั้นและประสานมือ


ผู้อาวุโสมองลงมาก่อนจะพยักหน้า เขาตั้งคำถาม “การดวลระหว่างน่านฟ้าเสรีกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จะมีขึ้นเมื่อไหร่?”


“การดวลจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ของเดือนหน้า” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก


“วันที่ 15…คืนพระจันทร์เต็มดวง?” ผู้อาวุโสพึมพำ “คนของน่านฟ้าเสรีนั่นตอบรับการดวลเร็วกว่าที่ผมคิดไว้”


“จอมราชันย์ ต้องขออภัยด้วยที่ละลาบละล้วง แต่มีคำถามหนึ่งที่คาใจผมมานานแล้ว” ชายวัยกลางคนพูด


“คุณอยู่กับผมมาก็หลายปี ไม่ต้องกังวลอะไรหรอก ถามข้อสงสัยของคุณมาเถอะ” ผู้อาวุโสตอบ


“ขอบคุณที่เมตตา, จอมราชันย์” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “ผมสงสัยว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คนนั้นเก่งกาจไร้เทียมทานจนถึงขนาดที่อีก 8 จอมราชันย์ก็สู้เขาไม่ได้…จริงหรือเปล่า?”


ผู้อาวุโสครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และตอบว่า “ไม่มีทางหยั่งถึงได้ แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”


“แล้วคนจากน่านฟ้าเสรีล่ะ? พวกนั้นไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณชนเลย จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทรงพลังแค่ไหน หากเทียบกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ใครทรงพลังกว่า?” ชายวัยกลางคนถาม


“คนจากน่านฟ้าเสรีก็แข็งแกร่งจนไม่อาจหยั่งถึงเช่นกัน ผมไม่เคยพบพวกเขามาก่อน แต่รังสีที่คนเหล่านั้นแผ่ออกมาตระหง่านราวกับสวรรค์ยิ่งใหญ่ ดูเหมือนทั้งจักรวาลหมุนรอบตัวพวกเขา มันไม่ใช่พละกำลังที่สิ่งมีชีวิตใดๆในโลกจะรับมือได้ แต่ส่วนใครจะทรงพลังกว่า ผมก็ไม่แน่ใจ” ผู้อาวุโสส่ายหน้า


“นั่นหมายความว่าการต่อสู้ของทั้งคู่จะเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีสรวงสวรรค์มา…” ชายวัยกลางคนตาโต จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆขณะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คงเป็นเกียรติมากหากได้เห็นการต่อสู้ของพวกเขา แต่โชคร้ายที่คนซึ่งมีวรยุทธระดับผมคงมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเสียก่อนที่จะได้เข้าถึงคนพวกนั้น”


ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็อาจถูกสังหารได้อย่างง่ายดายหากเข้าไปอยู่ในการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์


วรยุทธอาจห่างกันเพียงขั้นเดียว แต่ช่องว่างของมันยิ่งใหญ่จนไม่อาจวัดได้ และไม่มีสิ่งใดสามารถเติมเต็มได้ด้วย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ตำแหน่งจอมราชันย์ไม่เคยถูกสั่นคลอนนับตั้งแต่มีสรวงสวรรค์มา


และนี่อาจเป็นคำตอบของข้อสงสัยที่ว่าทำไมสรวงสวรรค์ถึงมีจอมราชันย์เพียง 9 คน นับตั้งแต่ผู้คนเริ่มจำความได้


“คุณอยากเห็นการดวลหรือ? นี่คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเก้าเวหา ล้มเลิกความคิดนั้นเสียเถอะ” ผู้อาวุโสส่ายหน้า


ตอนที่ 2196 น่านฟ้ามังกรเมฆ…

แต่ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ม่านตาของเขาขยายขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึกที่ปั่นป่วน


ชายวัยกลางคนผู้มีสายตาเฉียบแหลมรู้สึกได้ทันทีถึงความผิดปกติ เขาถามอย่างเป็นห่วง “จอมราชันย์ เกิดอะไรขึ้น?”


“คนจากน่านฟ้าเสรีเพิ่งส่งข่าวมา…พวกเขาเชิญพวกเราทั้ง 8 คนเข้าชมการดวล!” ผู้อาวุโสตอบช้าๆด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด ราวกับกำลังพยายามหยั่งถึงเจตนาของอีกฝ่าย


เขาไม่คิดว่าคนจากน่านฟ้าเสรีจะส่งข่าวมา


ขนาดจอมราชันย์คนอื่นๆก็ยังเลือกต่อสู้กับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ในที่มิดชิด ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่เป็นบริวารของพวกเขาก็ยังไม่รู้ผลลัพธ์ของการดวล ถึงจะพอคาดเดาได้ก็ตาม


“นั่นหมายความว่าคนจากน่านฟ้าเสรีมั่นใจว่าจะเอาชนะจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้?” ชายวัยกลางคนตั้งข้อสงสัย


“อาจเป็นอย่างนั้น” ผู้อาวุโสตั้งข้อสังเกต “ความเหลื่อมล้ำของพละกำลังอาจมีไม่มากนักในเมื่อทั้งคู่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกแล้ว มาถึงจุดนี้ บอกได้ยากว่าใครจะชนะ เราทำได้แค่เฝ้าดูเท่านั้น พูดก็พูดเถอะ การไหลบ่าพลังจิตวิญญาณระลอก 4 กำลังจะมาถึงแล้วใช่ไหม? น่านฟ้านรกโลกันต์ของเรามีอัจฉริยะผู้โดดเด่นปรากฏตัวบ้างหรือยัง?”


“ยังเลย” ชายวัยกลางคนตอบ “แม้นักรบส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการฝึกฝนวรยุทธมากขึ้นหลังจากเกิดการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ แต่การจะได้ตัวอัจฉริยะผู้โดดเด่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่าง การที่พวกเขาจะยืนหยัดต้านทานกระแสการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณได้ก็แปลว่าต้องมีความเก่งกาจไม่เบา ซึ่งในที่สุด อย่างน้อยๆ คนระดับนั้นก็จะกลายเป็นราชันย์เทพเจ้า…เฮ่อออ! ตอนนี้เรามีคนน้อยเหลือเกิน”


“ผมรู้มาว่าตาเฒ่าเฉียนคุ่นของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเพิ่งพบจิตวิญญาณที่ปราดเปรื่องดวงหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้” ผู้อาวุโสเปรย


“ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ตามที่ร่ำลือกันมา เขาพบอีกฝ่ายจากโลกเบื้องล่าง และซึมซับจิตวิญญาณของเขาเข้าสู่สระบาดาล จากแหล่งข่าวของเรา ดูเหมือนตอนนี้จอมราชันย์เฉียนคุ่นกำลังช่วยหลอมกายเนื้อร่างใหม่ให้เขา”


“ถ้าจิตวิญญาณดวงนั้นทำให้ตาเฒ่าเฉียนคุ่นลงมือทำอะไรได้จริง ก็แปลว่าความสามารถของเขาจะต้องไม่ธรรมดา น่าเสียดายเหลือเกินที่เขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในน่านฟ้านรกโลกันต์ของเรา ไม่อย่างนั้น ผมจะบ่มเพาะเขาอย่างสุดกำลัง และเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดภายในระยะเวลาอันสั้นที่สุด…”


“จริงด้วย…” ชายวัยกลางคนเห็นพ้องกับผู้อาวุโส “วางใจเถอะ, จอมราชันย์ ผมทิ้งกลไกไว้ในภูเขาสวรรค์สร้างแล้วเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้ตัวอัจฉริยะชั้นยอดทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว!”


ผู้อาวุโสพยักหน้าก่อนจะหลับตา ท่าทีนั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ชายวัยกลางคนออกไป


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงนาฬิกาก็ดังขึ้นนอกห้อง


ผู้อาวุโสลืมตาทันทีและลุกขึ้นยืน “ระฆังของราชันย์ผู้ทรงเกียรติ?”


ชายวัยกลางคนก็ตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงระฆังนั้น


“เสียงระฆังของราชันย์ผู้ทรงเกียรติหมายความว่านักรบคนหนึ่งที่มีศักยภาพพอจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติปรากฏตัวแล้ว!” ชายวัยกลางคนอุทาน


โลกนี้มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอยู่ไม่มาก มากกว่าจอมราชันย์นิดหน่อยเท่านั้น และพละกำลังของพวกเขาก็เป็นรองแค่จอมราชันย์ จึงแน่นอนว่าเป็นที่ต้องการของทุกกลุ่มอำนาจ


“เร็วเข้า เรียกรวมพลอัจฉริยะของเรา!” ผู้อาวุโสสั่งการอย่างเร่งร้อน แต่ก่อนจะพูดจบก็เปลี่ยนใจและพูดว่า “ช่างเถอะ คุณน่ะชักช้าไม่ทันใจ ผมทำเอง!”


จากนั้นผู้อาวุโสก็หายไป


ผู้ที่ได้เป็นจอมราชันย์สามารถทะลุมิติได้ในชั่วพริบตา ต่อให้กฎเกณฑ์ของมิติในสรวงสวรรค์จะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่อาจยับยั้งพวกเขาได้


“ดูเหมือนน่านฟ้านรกโลกันต์ของเราจะพร้อมรับมือกับการไหลบ่าของกระแสพลังจิตวิญญาณแล้ว…”


เห็นจอมราชันย์ออกโรงเพื่อคัดเลือกอัจฉริยะด้วยตัวเอง ชายวัยกลางคนถอนหายใจอย่างโล่งอก


…..


ที่น่านฟ้าทองคำแข็งกล้า…จอมราชันย์ฟู่เหมิงกำลังอยู่ระหว่างการประชุมตอนที่ได้ยินเสียงระฆัง ของราชันย์ผู้ทรงเกียรติดังก้อง


“อัจฉริยะที่คู่ควรกับน่านฟ้าทองคำแข็งกล้าของเราปรากฎตัวแล้ว ผมจะไปรับตัวเขาเอง”


ฟึ่บ! จอมราชันย์ฟู่เหมิงหายวับไป


…..


ที่น่านฟ้ามังกรเมฆ…


“แม้ตลอดประวัติศาสตร์ยาวนานของสรวงสวรรค์ การปรากฏตัวของอัจฉริยะระดับนี้ก็ถือว่ามีน้อยมาก ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นคือจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับเหล่าศิษย์สายตรงของเขา เราจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ พวกคุณที่เหลือเตรียมการอยู่ที่นี่นะ ผมจะไปดูด้วยตัวเอง!”


เกิดการกระตุกเล็กน้อย ราชันย์มังกรเมฆกลับคืนร่างเดิมของเขา, มังกรทองห้ากรงเล็บ, ก่อนจะหายวับไป


…..


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ใครจะไปคิดว่าอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานขนาดนี้จะปรากฏตัวเพื่อน่านฟ้าตะวันแผดเผาของพวกเรา ผมยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเฉียนคุ่นนั่นคุยโวโอ้อวดแค่ไหนเรื่องจิตวิญญาณที่เขาพบ คราวนี้แหละ ผมจะบ่มเพาะอัจฉริยะผู้นั้นด้วยตัวเอง ต่อให้ต้องใช้เวลาแค่ไหน ผมก็มั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก่อนจะเกิดกระแสการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ!”


จอมราชันย์โจวหยางหัวเราะหึๆขณะสะบัดเสื้อคลุม เผยให้เห็นขาอ่อนเปล่าเปลือย


เห็นภาพนั้น บริวารเก่าแก่ที่อยู่เคียงข้างเขามานานรีบเข้ามากระซิบกระซาบอย่างกระอักกระอ่วน “จอมราชันย์, ถ้าคุณจะออกไปข้างนอก ผมขอแนะนำให้คุณใส่กางเกงชั้นในก่อนจะดีไหม? หากใครเห็นเข้า เกียรติยศของคุณจะเสื่อมเสียไม่น้อย!”


“ในฐานะผู้บงการตะวันแผดเผา เปลวเพลิงสวรรค์ในร่างกายของผมจะแผดเผาเสื้อผ้าใดๆก็ตามที่ผมสวมให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน มันยุ่งยากนะที่ต้องสวมใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า! ปล่อยมันไว้อย่างนี้จะดีกว่า!” จอมราชันย์โจวหยางบ่นพึมอย่างหงุดหงิด


“ผมเข้าใจว่าปล่อยไว้อย่างนี้ก็เย็นสบายกว่า แต่คุณกำลังจะออกไปพบใครคนหนึ่งไม่ใช่หรือ? ไปสภาพนี้อาจสร้างความไม่น่าประทับใจนะ” บริวารเก่าแก่แนะนำ


ในฐานะบริวารผู้รับใช้จอมราชันย์โจวหยาง เขาคุ้นเคยกับนิสัยรักสบายของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี คงไม่มีใครคิดว่า 1 ใน 9 จอมราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่จะไม่ยอมใส่กางเกงชั้นใน!


โชคดีที่จอมราชันย์แทบจะไม่ออกจากวังของเขา ไม่อย่างนั้น เกียรติยศและศักดิ์ศรีของน่านฟ้าตะวันแผดเผาคงป่นปี้ไม่มีเหลือ!


“พอที คุณน่ะคิดมากไปแล้ว ผมจะกลับมาพร้อมกับอัจฉริยะผู้นั้น!”


ฟึ่บ!


จอมราชันย์โจวหยางใช้พลังงานสวรรค์นำกางเกงชั้นในมาคลุมบั้นท้ายเปลือยเปล่าของเขา ก่อนจะหายวับไป


นอกจากน่านฟ้าเสรี อีกสถานที่หนึ่งที่ลึกลับที่สุดในสรวงสวรรค์ก็คือกระท่อมดาบ


พระราชวังของเหล่าจอมราชันย์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความโอ่อ่าหรูหรา แต่จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าดาบสวรรค์อาศัยอยู่ในกระท่อมฟางที่แสนจะธรรมดา


“จอมราชันย์…”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในกระท่อมฟางเพื่อรายงานบางอย่าง แต่ก็ถูกขัดก่อนจะทันพูดจบ


“ผมรู้แล้ว อัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาสวรรค์สร้าง”


“ชะ-ใช่ เรื่องนั้นแหละ…” ชายวัยกลางคนพยักหน้า


“ผมเห็นศิลปะเพลงดาบของเขาแล้ว จัดว่าน่าทึ่งมาก เขาสำเร็จแนวคิดในระดับที่เกือบจะทัดเทียมกับพวกเรา…แต่เขาไม่ใช่คนที่เรากำลังตามหา” เสียงสุขุมเยือกเย็นดังมาจากภายในกระท่อมฟาง


“แต่ระฆังแห่งราชันย์ผู้ทรงเกียรติดังขึ้นแล้ว…”


ชายวัยกลางคนชะงัก เขาอุทานออกมาอย่างร้อนใจ “ถ้าเราไม่รีบ กลุ่มอำนาจอื่นๆจะตัดหน้าเราไป ซึ่งนั่นหมายความว่ากระท่อมดาบของเราจะได้รับโควต้าลดลงในการไหลบ่าของกระแสพลังจิตวิญญาณระลอกต่อไป และอาจถูกแย่งชิงดินแดนไปด้วย…”


“เรื่องพวกนั้นสำคัญกับเราหรือ? เป้าหมายของกระท่อมดาบคือบ่มเพาะนักดาบให้สำเร็จเจตจำนงเพลงดาบและแนวคิดที่เป็นแบบเฉพาะของตัวเขา ไม่ใช่การพุ่งเข้าใส่และตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเล่าเรียนอย่างหูหนวกตาบอด” เสียงในกระท่อมฟางดังขึ้นอีก


“ไม่ว่าใครคนหนึ่งจะร่ำเรียนได้ดีสักแค่ไหน ระดับสูงสุดที่เขาจะเข้าถึงได้ก็เป็นแค่ภาพสะท้อนของสิ่งที่คนอื่นๆเคยเรียนรู้มาก่อนเท่านั้น…ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องกระแสการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณหรอก ผู้ที่ผมรอคอยอยู่ปรากฏตัวแล้ว และผมจะไปพบเขาด้วยตัวเองเร็วๆนี้”


“ผมเข้าใจ…”


เห็นจอมราชันย์มีแผนแล้ว ชายวัยกลางคนก้มศีรษะและออกไปจากห้อง


“เฮ่อออออ!”


ทันทีที่ชายวัยกลางคนออกไป เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็ดังขึ้นในกระท่อมฟาง เขาพึมพำ “ผมไม่รู้จริงๆว่าคุณตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่ทำแบบนี้”


…..


บนยอดเขาสูงตระหง่านเสียดเมฆ ผู้อาวุโสร่างสูงมองเหล่าศิษย์สายตรงของเขาที่อยู่ตรงหน้า


คำสอนอันล้ำลึกที่เปรียบได้กับดนตรีที่มีสุนทรียะถูกถ่ายทอดออกมา บรรดาศิษย์สายตรงของเขาพากันยินดีที่ได้ซึมซับความรู้ที่อีกฝ่ายถ่ายทอดให้ ทุกคนรู้สึกว่าระดับวรยุทธของตัวเองเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


“วันนี้พอแค่นี้ก่อน!”


แต่จู่ๆผู้อาวุโสก็หยุดการบรรยายและหันหน้าไปมองทางหนึ่ง


เมื่อรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ชายวัยกลางคนที่อยู่ในหมู่ผู้ฟังลุกขึ้นยืนและประสานมือ ก่อนจะถามว่า “ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”


ท่านอาจารย์ของเขาเชื่อมั่นอย่างล้ำลึกว่าการถ่ายทอดความรู้เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาโลกใบนี้ และทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งนั้น เขาจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าบทเรียนของเขาสมบูรณ์แบบพอ แต่จู่ๆก็เลือกที่จะหยุดกลางคันทั้งที่เวลายังเหลือ


เห็นได้ชัดว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น


“คนของน่านฟ้าเสรีตัดสินใจเลือกวันที่แล้ว การดวลจะมีขึ้นในวันที่ 15 ของเดือนหน้า” ผู้อาวุโสพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


ดูเหมือนเขากำลังพูดถึงคนอื่นแทนจะพูดแทนที่จะพูดถึงตัวเอง ไม่มีร่องรอยของความตึงเครียดหรือกังวลกับการดวลที่กำลังจะเกิดขึ้น


“น่านฟ้าเสรีคือศูนย์กลางของเก้าเวหา และจอมราชันย์ของพวกเขาก็เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุด ท่านอาจารย์…ผมเกรงว่าการที่คุณสู้กับเธอ จะ…”


ชายวัยกลางคนอดรู้สึกกังวลไม่ได้กับการดวลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า


เขาเชื่อมั่นในความเก่งกาจของท่านอาจารย์ แต่ไม่ว่าอย่างไร คู่ต่อสู้ก็เป็นนักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ แม้แต่จอมราชันย์คนอื่นๆยังยอมก้มหัวให้…


มันจะต้องเป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงแม้แต่กับท่านอาจารย์ของเขา


ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ของทั้งคู่จะเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย ไม่เหมือนกับการดวลแบบสบายๆที่ท่านอาจารย์ของเขาเคยดวลกับจอมราชันย์คนอื่นๆ


“ไม่เป็นไรน่ะ” ผู้อาวุโสตอบขณะลูบเครา “ในเมื่อเป็นการดวล ก็ต้องมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ ไม่มีใครชนะได้ตลอดชีวิตหรอก ขอแค่ทำเต็มที่ก็พอ”


“แต่…เพื่อรับมือกับคุณ เธอถึงกับลงไปยังโลกเบื้องล่างเพื่อเสาะหามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจล้ำลึกกว่าเดิมในพละกำลังและอำนาจของคุณ ผมเกรงว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เธอตอบรับคำท้าก็เพราะเธอรู้ความสามารถของคุณแล้ว…ในการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายที่เก่งกาจทัดเทียมกัน การทำความเข้าใจความสามารถของคู่ต่อสู้จะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้มาก!” ชายวัยกลางคนตั้งข้อสังเกตอย่างร้อนใจ


ตอนที่ 2197 นายหญิงน้อย

ท่านอาจารย์ของเขาท้าทายคนของน่านฟ้าเสรีได้สักพักแล้ว แต่ไม่มีคำตอบจนกระทั่งตอนนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาได้ข่าวว่าเธอผู้นั้นลงไปยังโลกเบื้องล่างมาระยะหนึ่ง และทันทีที่กลับมา ก็นัดวันเวลาของการดวลทันที


นี่อาจเป็นสัญญาณที่ยืนยันว่าเธอเตรียมตัวพร้อมแล้วและมั่นใจว่าจะได้ชัยชนะ


ในการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายที่มีพละกำลังทัดเทียมกัน ปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะมักเป็นปริมาณของข้อมูลและความรู้ หากผู้นั้นเข้าใจความสามารถของท่านอาจารย์ของเขาจริงๆ ก็หมายความว่าท่านอาจารย์กำลังเสียเปรียบมาก


“ต่อให้เธอรู้จักความสามารถของผม ก็แล้วอย่างไร? ปราบผมนะไม่ง่ายหรอกนะ!” ผู้อาวุโสมองชายวัยกลางคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


แม้น้ำเสียงของผู้อาวุโสจะดูสบายๆ แต่ก็ผนวกเอาความมั่นใจไว้ด้วย หลังจากเอาชนะจอมราชันย์ได้หลายคน พละกำลังของเขาก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดของสรวงสวรรค์


“ผมไม่เคยแคลงใจในพละกำลังของท่านอาจารย์ แต่ออกจะสับสนอยู่สักหน่อย…ทำไมคุณต้องสู้กับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีด้วย และทำไมถึงต้องเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย?”


ชายวัยกลางคนไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้


ท่านอาจารย์ของเขาได้การยอมรับจากจอมราชันย์ทั้ง 8 และมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วในฐานะจอมราชันย์คนที่ 10 ของสรวงสวรรค์ เพราะฉะนั้น มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องสู้กับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรี?


ทำแบบนี้…มันคู่ควรกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงหรือ?


“นี่คือชะตากรรมที่เราทั้งคู่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คุณคงไม่เข้าใจหรอก” ผู้อาวุโสส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเฮือก


จากนั้นเขาก็มองชายวัยกลางคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าผมเสียชีวิตในการดวล คุณก็แค่รออยู่เงียบๆนะ ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไร รอให้ผู้สืบทอดของผมปรากฏตัว และจากนั้นก็ทำตามคำสั่งของเขา”


“ผู้สืบทอด? ผู้สืบทอดของท่านอาจารย์?” ชายวัยกลางคนถามอย่างงุนงง


เขาติดตามท่านอาจารย์มานานแล้ว ผ่านโลกมาก็หลายใบ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านอาจารย์ของเขามีผู้สืบทอด!


“ใช่ เขามาจากทวีปแห่งปรมาจารย์เหมือนกัน และมีความเก่งกาจพอๆกับผม” ผู้อาวุโสตอบยิ้มๆ


“ไม่ทราบว่าผู้สืบทอดของท่านอาจารย์ชื่ออะไร? เราจะระบุตัวตนของเขาได้ด้วยวิธีไหน?” ชายวัยกลางคนถามต่อ


“คุณพบเขาเมื่อไหร่ก็จะรู้เอง” ผู้อาวุโสตอบด้วยแววตาล้ำลึก “ส่วนชื่อของเขา ผมบอกได้…เขาชื่อจางเซวียน!”


…..


ในเวลาเดียวกัน ในห้องหนึ่งของน่านฟ้าเสรี


ไอน้ำที่จับตัวเป็นก้อนหนาครอบคลุมทั่วทั้งห้อง บดบังสายตาไม่ให้ใครมองเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน


เกิดเสียงน้ำกระเซ็น แล้วร่างงดงามไร้ที่ติร่างหนึ่งก็ก้าวขึ้นจากสระน้ำที่อยู่กลางห้อง


ผมดำยาวสลวยตัดกับผิวพรรณละเอียดอ่อนที่ดูเหมือนเพียงแค่สัมผัสก็อาจบุบสลายได้ ร่างนั้นสวยสดงดงามจนยากจะเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลก


เธอโบกมือด้วยทีท่างามสง่า จากนั้นก็ใช้ผ้าไหมผืนบางปกคลุมร่างไว้


“นายหญิงน้อย!”


แม่สาวคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวรีบเดินเข้ามาและยื่นหวีให้สาวสวยคนนั้น


สาวสวยใช้หวีสางผมของเธออย่างช้าๆ ท่วงท่านั้นงามสง่าและดูเป็นธรรมชาติ เป็นที่เจริญตาแก่ผู้พบเห็น


“คุณปล่อยข่าวหรือยัง?” สาวสวยตั้งคำถาม


“ฉันจัดการแล้ว” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวพยักหน้า


“ปฏิกิริยาตอบรับล่ะ?”


“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวส่ายหัว เธอครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่ว่า…นายหญิงน้อย เราได้พบสิ่งที่คุณถามถึงแล้ว”


“ฮะ?”


นัยน์ตาของสาวสวยเป็นประกายระยิบระยับ เธอหยุดสางผมและหันหน้ามา ส่งสัญญาณให้แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวเล่าต่อ


“ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อจางเซวียนปรากฏตัวขึ้นในเมืองตะวันรอน ตัวเขากับเหล่าศิษย์สายตรงปราดเปรื่องมาก ถึงขนาดที่เมื่อพวกเขาตระเวนไปทั่วภูเขาสวรรค์สร้างเพื่อตามหารังสีสวรรค์ ก็ทำให้ระฆังแห่งราชันย์ผู้ทรงเกียรติดังขึ้นหลายครั้ง!” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวรายงาน


“ใช่เขาจริงๆ…” สาวสวยพึมพำขณะยิ้มหวาน


“นายหญิงน้อย คุณตั้งใจจะพบเขาไหม?” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวตั้งคำถาม


รอยยิ้มหวานจับใจเลือนหายกลายเป็นการขมวดคิ้ว สาวสวยลังเล สีหน้าของเธอดูสับสนครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “ไม่จำเป็นหรอก ฉันต้องเตรียมการสำหรับการดวลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คงไม่พบใครทั้งนั้น โดยเฉพาะเขา…ฉันเกรงว่าจะทำให้ตัวเองวอกแวก”


“นายหญิงน้อย ขออภัยด้วยที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ถ้าคุณหวั่นไหวล่ะก็ ทำไมไม่ถอนตัวจากการต่อสู้เสียล่ะ? จอมราชันย์พิชิตสวรรค์นั้นทรงพลังถึงขนาดเล่นงานจอมราชันย์ที่เหลืออีก 8 คนได้ ฉันกังวลว่า…” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวพูด


นายหญิงน้อยมีพละกำลังที่เป็นสุดยอดของโลกใบนี้ แต่คู่ต่อสู้ที่เธอกำลังจะเผชิญหน้าก็ไม่ได้อ่อนด้อย


ในระยะเวลาอันสั้นเพียง 40 ปี ชายผู้นั้นก็ก้าวขึ้นมาเป็นชนชั้นนำของสรวงสวรรค์ และกลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก


เขาท้าทายจอมราชันย์อีก 8 คน และแม้จะไม่มีใครรู้รายละเอียดของการดวล แต่จากการที่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ให้เป็นจอมราชันย์คนที่ 10 ก็ชัดเจนแล้วว่าตัวเขาเป็นฝ่ายชนะ


ความสำเร็จของเขาเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสรวงสวรรค์เลยทีเดียว


อาจดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ขี้ขลาด แต่การหลบเลี่ยงการต่อสู้ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง อีกอย่าง ต่อให้พวกเขาสู้กันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ ใครจะชนะหรือแพ้ก็ไม่น่ามีอะไรแตกต่าง แล้วจำเป็นจะต้องใช้การดวลแบบชี้เป็นชี้ตายด้วยหรือ?


“มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันต้องฆ่าเขาด้วยน้ำมือของฉันเอง ไม่มีหนทางอื่น…นี่คือภารกิจที่โลกมอบให้ฉัน ฉันไม่อาจปัดความรับผิดชอบครั้งนี้” สาวสวยตอบอย่างเคร่งขรึม


“แต่…”


“คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรื่องนี้มีการตกลงกันเป็นมั่นเหมาะ และจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมันได้” สาวสวยพูดพร้อมกับโบกมือ “เอาล่ะ ฉันจะเข้าปลีกวิเวกเพื่อการฝึกฝนวรยุทธล่ะนะ…”


เมื่อพูดจบ สาวสวยก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป


“นายหญิงน้อย…”


แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวนึกไม่ถึงว่าเจ้านายของเธอจะดื้อรั้นขนาดนี้ แม้เธอจะไม่ค่อยสบายใจกับสิ่งที่ดำเนินไป แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และเก็บความคิดเห็นต่างๆไว้กับตัว


“ผมรู้มาว่ารังสีสวรรค์ของภูเขาสวรรค์สร้างแบ่งออกได้เป็นหลายระดับขั้น”


หลังจากอิ่มท้องด้วยอาหารโอชะและไวน์ชั้นดี กลุ่มชนชั้นสูงของเมืองตะวันรอนก็จับกลุ่มสนทนาสัพเพเหระพร้อมถ้วยไวน์ในมือ


“เอ้อ พอคุณพูดขึ้นมา ผมก็นึกได้ การทำให้รังสีสวรรค์ขั้นสูงกว่ายอมจำนนน่ะยากกว่ากันมาก แต่รังสีสวรรค์ขั้นสูงก็บริสุทธิ์และมีพละกำลังมาก ช่วยบ่มเพาะพลังงานสวรรค์ของผู้นั้นได้ดีกว่า ทำให้เกิดรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธในอนาคต”


“ผมรู้มาว่า 9 จอมราชันย์เป็นผู้ขัดเกลารังสีสวรรค์ขั้นที่สูงกว่าด้วยตัวเอง จึงมีองค์ประกอบของพละกำลังของพวกเขาอยู่ในนั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีสภาวะร่างกายหรือใช้เทคนิควรยุทธที่ต่อต้านอำนาจของจอมราชันย์จะไม่อาจซึมซับมันได้ ดังนั้น จึงมีอัจฉริยะชั้นยอดเพียงหยิบมือที่ทำสำเร็จ”


“พลังจิตวิญญาณเสื่อมถอยมากว่า 40 ปีแล้วนะ และภูเขาสวรรค์สร้างก็เปิดมา 79 ครั้งแล้ว แต่จนถึงวันนี้ มีนักรบเพียง 3 คนเท่านั้นที่ทำให้ระฆังของราชันย์ผู้ทรงเกียรติส่งเสียงได้!”


“เมื่อลองนึกดู พวกเขาก็ดูเหมือนจะเป็นศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์…”


“ผมอยากรู้ว่าคราวนี้ระฆังของราชันย์ผู้ทรงเกียรติจะดังไหม…”


“ไม่น่าจะดังหรอก เพราะผู้ที่จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจะต้องมีสายเลือดที่เหนือชั้นกว่าใครๆ พูดอีกอย่างก็คือ ชะตากรรมของนักรบคนหนึ่งถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่ถือกำเนิด สำหรับเรื่องแบบนี้ ความขยันหมั่นเพียรไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้”


“สายเลือดเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง หากปราศจากสายเลือดที่ทรงพลังพอ ต่อให้เก่งกาจปราดเปรื่องแค่ไหน ความสำเร็จของเขาก็จะถูกจำกัด…”


เสียงหารือทำนองนี้ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งถอนหายใจด้วยความเสียดาย


ได้ยินคำพูดเหล่านั้น จางเซวียนหันไปถามอู๋ฟังชิงด้วยความสงสัย “สายเลือดสำคัญกับนักรบขนาดนั้นเชียวหรือ?”


“ใช่สิ!” อู๋ฟังชิงตอบหนักแน่น “ด้วยสติปัญญา การประสบกับโชคดี และความขยันหมั่นเพียร นักรบธรรมดาสามัญก็มีโอกาสได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่เรื่องพวกนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอต่อการจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้า อุปสรรคนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ในแง่ของความเป็นไปได้ โอกาสที่นักรบที่มีสายเลือดแข็งแกร่งกว่าจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้านั้นสูงกว่านักรบธรรมดาสามัญถึง 100 เท่า เท่าที่ผมรู้ ในบรรดาราชันย์เทพเจ้ากว่า 100 คนของเก้าเวหา คนเดียวที่เข้าถึงวรยุทธ ระดับราชันย์เทพเจ้าโดยไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดก็คือจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับศิษย์สายตรงทั้งสามคนของเขา!”


“ศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์?”


“ใช่ ผมรู้ว่าพวกเขามาจากโลกเบื้องล่าง แต่ไม่มีข้อมูลอื่นนอกเหนือจากนั้น จอมราชันย์พิชิตสวรรค์มีความลับมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย” อู๋ฟังชิงตั้งข้อสังเกต


หากคนอื่นพูดถึงจอมราชันย์ในลักษณะนี้ คงถูกตำหนิในความหยาบคาย ซึ่งถ้าจางเซวียนเป็นทายาทของจอมราชันย์จริงๆ เขาก็น่าจะไม่พอใจ


อู๋ฟังชิงจึงจงใจพูดออกมาเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของอีกฝ่าย


แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าจะเห็นจางเซวียนแค่พยักหน้าอย่างเงียบๆโดยไม่แสดงออกถึงความผิดปกติใดๆ ยากจะอ่านความคิดของเขาได้


เกิดความเงียบงันครู่หนึ่งก่อนที่จางเซวียนจะถามอีก “ไม่ทราบว่าผมจะขอถามได้ไหมว่าระดับขั้นที่ต่างกันของรังสีสวรรค์จะนำมาซึ่งอะไรบ้าง?”


ที่ผ่านมา จางเซวียนคิดว่ารังสีสวรรค์ที่เขาได้รับในมิติเบื้องบนจะเหมือนกันกับรังสีสวรรค์ของที่นี่ ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันแบ่งออกได้เป็นหลายระดับขั้น


“เอ่อ…พูดตามตรงนะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องบอกว่ามันเป็นมากกว่าเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา ว่ากันว่ารังสีสวรรค์นั้นแบ่งออกเป็นหลายขั้น และมีแต่ผู้ที่มีสติปัญญาและปราดเปรื่องกว่าคนอื่นๆเท่านั้นถึงจะได้รับรังสีสวรรค์ขั้นสูงสุด ซึ่งจะช่วยแผ้วถางหนทางไปสู่ความยิ่งใหญ่…” อู๋ฟังชิงตอบอย่างครุ่นคิดก่อนจะหัวเราะหึๆ


“แต่สุดท้าย เรื่องพวกนี้ก็เป็นแค่สิ่งที่ร่ำลือกัน ถือเอาเป็นจริงเป็นจังไม่ได้…”


ขณะที่อู๋ฟังชิงพูด ประตูของจัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์เจ้าเมืองก็เปิดออก ร่างหนึ่งปรากฏ


“มีคนกลับจากภูเขาสวรรค์สร้างแล้วหรือ? โดยทั่วไป การทดสอบต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันนี่?” จางเซวียนนึกสงสัย


สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับทำให้จางเซวียนลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ลานบ้านเพื่อดูเหตุการณ์ แต่ฝูงชนที่เหลือดูจะไม่ประหลาดใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)