กระบี่จงมา 219.3-220.2

 บทที่ 219.3 นักพรตเต๋าขับบทกวี

โดย

ProjectZyphon

นักพรตจางซานเฟิงหันมาเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ “เซียนกระบี่ เซียนกระบี่ เห็นหรือยัง เซียนกระบี่ที่ยังอายุน้อยขนาดนี้ ร้ายกาจใช่ไหมล่ะ?”


เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย


ฝนหยุดตกแล้ว นักพรตหนุ่มเงยหน้ามองม่านราตรี กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “อยากจะขับบทกวีสักบทจริงๆ”


มือดาบหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างอารมณ์ดี


ไม่ว่าอย่างไร เรื่องราวในครั้งนี้ก็ถือว่าจบลงด้วยดีแล้ว


นี่ทำให้ชายฉกรรจ์เคราดกปิติยินดีได้มากกว่าเวลาปกติที่ผดุงความเป็นธรรม ปราบปีศาจสำเร็จแล้วดื่มเหล้ากินอาหารเลิศรสอย่างเต็มคราบเสียอีก


ในที่สุดหญิงชราที่สลบไสลอยู่ในเรือนชั้นสามก็ฟื้นคืนสติ นางรีบบินพรวดเข้ามา ผลกลับกลายเป็นว่าเห็นเจ้านายชายหญิงของตนยังคงสุขสบายดี นางจึงพอจะวางใจลงได้ หยางหว่างหันมาพูดกับหญิงชรายิ้มๆ ว่า “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องเป็นกังวลกับพวกคนถ่อยที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นอีกแล้ว”


หญิงชราตกตะลึงไปก่อน จากนั้นก็หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ร้องไห้จนแทบไม่เป็นเสียง


ผีสาวที่มีชื่อแท้จริงว่าอิงอิงขยับร่างของตัวเองอย่างเชื่องช้า ‘ล่องลอย’ ไปหานาง โอบประคองไหล่ของหญิงชราไว้เบาๆ ส่งเสียงอืออาคล้ายกำลังปลอบหญิงชราอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”


เมื่อไม่มีเรื่องให้กังวลก็ตัวเบา หยางหว่างผีชางที่ไม่เหลือสีหน้าห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาหัวเราะเสียงดัง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี จางเซียนซือและคุณชายเฉิน! หากไม่รังเกียจก็ให้พวกเราแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านสักหน่อยเถอะนะ ให้พวกเราได้เตรียมอาหารและเหล้าดีๆ ให้พวกเจ้า เรามาดื่มกันอย่างสบายอารมณ์สักครั้ง?”


สวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หันไปถามนักพรตจางซานเฟิงกับเฉินผิงอันว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”


นักพรตจางซานเฟิงยิ้มตอบ “ทำไมจะไม่ได้เล่า?”


เฉินผิงอันเองก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตบไปที่น้ำเต้าตรงเอวตัวเอง “หากเป็นไปได้ล่ะก็ ข้าอยากจะขอซื้อเหล้าจากพวกเจ้าสักหน่อย”


หยางหว่างโบกมือ พูดอย่างใจกว้าง เหมือนกลับไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพที่เต็มไปด้วยปณิธานห้าวเหิมในปีนั้นอีกครั้ง “ซื้อเหล้าอะไรกัน? เหล้าต้มที่ในบ้านหมักกันเองไม่ถือเป็นเหล้าชั้นเยี่ยมอะไร แต่รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ หลังกินอาหารค่ำกันเต็มอิ่มแล้ว คุณชายเฉินเอาไปได้เท่าที่ต้องการเลย!”


ทุกคนหัวเราะเสียงดังครึกครื้น ในบ้านโบราณไม่เหลือบรรยากาศอึมครึมอีกต่อไป มีเพียงกลิ่นอายของชาวยุทธ์ที่แม้จะยังไม่ได้ดื่มเหล้าก็ทำให้คนเมามายได้แล้ว


หลังจากนั้นก็เป็นหญิงชราที่คลี่ยิ้ม รีบก้มหน้าเช็ดน้ำตาสาวเท้าเดินเร็วๆ เข้าห้องครัวไปทำอาหาร


สองสามีภรรยารับรองแขกอยู่ในห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม กำลังพูดคุยเรื่องในยุทธภพกับมือดาบเคราดก


นักพรตจางซานเฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังเรียกให้เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียงด้านข้าง เอ่ยขออภัยว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงชื่อจริงของข้านักพรตน้อยคือจางซานเฟิง ไม่ใช่จางซาน ขอโทษด้วย เป็นสหายกัน แต่กลับปิดบังเจ้ามานานขนาดนี้ ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไหร่”


เฉินผิงอันนั่งบนราวระเบียง ยิ้มพูดอย่างไม่ถือสา “เดินทางอยู่ในยุทธภพ ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี ยังมีอะไรผิดไม่ผิดอีก”


นักพรตหนุ่มดวงตาเป็นประกาย หัวเราะร่า “เจ้าเองก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริงในยุทธภพใช่ไหม? ก็ว่าแล้ว ถึงแม้ว่าชื่อเฉินผิงอันนี้จะความหมายดีมาก แต่ถึงอย่างไรก็ธรรมดาไปสักหน่อย…”


เฉินผิงอันมองค้อน “คือชื่อจริง!”


นักพรตหนุ่มพลันกระอักกระอ่วน เงียบไปครู่หนึ่ง เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามเบาๆ “ลูกกลมๆ ที่เจ้ามอบให้ข้าก่อนหน้านี้เอาไว้ทำอะไรหรือ?”


เฉินผิงอันพูดขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจ จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงก่อนหน้านี้การต่อสู้กันของเรือนฝั่งตรงข้ามรุนแรงมาก ข้าก็เลยออกมาสังเกตการณ์ ที่แท้บัณฑิตแซ่ฉู่คือปีศาจต้นไม้ตัวหนึ่ง หลังจากเขาถูก…เซียนกระบี่สังหารไปก็ทิ้งอาวุธอาคมที่เหมือนจะเรียกว่าลูกกลมเสื้อเกราะเอาไว้ เซียนกระบี่ผู้นั้นจากไปอย่างไม่แยแสมัน ข้าก็เลยแอบไปเก็บมันมา”


เฉินผิงอันยื่นมือส่งลูกกลมนั้นไปให้อีกฝ่าย


“เซียนกระบี่น่าจะเป็นเด็กสาวของสำนักโองการเทพคนนั้น” นักพรตหนุ่มพลันกระจ่างแจ้ง รับมาแล้วก็เอามาชั่งน้ำหนักในมือ น้ำหนักไม่มาก ก้มหน้าลงมองอย่างละเอียด กลิ้งมันในฝ่ามือเบาๆ ยังพอจะเห็นรอยปริแตกที่เล็กบางเสี้ยวหนึ่ง นักพรตแห่งกุรุทวีปที่มีชื่อว่าจางซานเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด คืนมันให้กับเฉินผิงอัน “เหมือนเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารในตำนานอย่างมาก แต่เม็ดเสื้อเกราะชิ้นนี้น่าจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงมาก่อน จึงเกิดรอยร้าวขึ้นมาเส้นหนึ่ง ทว่าถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว เม็ดเสื้อเกราะถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง แม้ว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ว่าราคาของมันสูงแค่ไหนกันแน่ แต่ก็แน่ใจได้ว่าต้องเป็นของดีที่มีมูลค่าควรเมือง เจ้าเก็บไว้ให้ดี อย่าให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด ขอแค่วันหน้าเจอยอดฝีมือที่สามารถซ่อมแซมมันได้ก็สามารถเอามาสวมใส่ได้อย่างสบายใจ เท่ากับเป็นยันต์คุ้มกันกายระดับเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว!”


เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเม็ดนี้ หากอิงตามคำบอกของบัณฑิตแซ่ฉู่ นับเป็นสมบัติในคลังเก็บสมบัติลำดับสองของเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋ มีมูลค่าสามพันเงินเกล็ดหิมะ


เฉินผิงอันไม่ได้เอาเก็บซ่อนไว้ในสมบัติฟางชุ่น แต่พูดเหมือนหยั่งเชิงว่า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งวิชาหมัดที่ข้าเรียนมาก็เน้นย้ำในด้านการรุดไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ไม่อาจพึ่งพิงวัตถุนอกกายมากเกินไปนัก หาไม่แล้วจะกลับกลายเป็นทำให้ปณิธานหมัดของตนไม่รวดเร็วมากพอ ดังนั้นข้าเก็บเม็ดเสื้อเกราะเม็ดนี้ไว้ก็ไร้ประโยชน์ ขายให้เจ้าแล้วกัน สามร้อยเงินเกล็ดหิมะ เป็นไง?”


นักพรตหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “อย่าว่าแต่สามร้อยเงินเกล็ดหิมะเลย ต่อให้เป็นหนึ่งพันสองพันเงินเกล็ดหิมะ สมบัติที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจครอบครองแบบนี้ ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตมีทรัพย์สมบัติติดกาย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อเอาไว้ให้ได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตยากจนจะแย่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนอยู่เรือคุนก็คงไม่ถึงขั้นจะกินข้าวให้อิ่มท้องสักมื้อยังเป็นเรื่องยาก”


เฉินผิงอันโยนลูกกลมให้นักพรตจางซานเฟิงเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าติดเงินข้าสามร้อยเกล็ดหิมะแล้วกัน ไม่ต้องรีบร้อนปฏิเสธ เจ้าลองคิดดูนะ ด้วยร่างกายที่แค่ตากฝนก็หมดสติของเจ้า วันหน้าหากพวกเราสองคนยังเจอกับภูตผีปีศาจอีก ทีนี้จะสู้กับพวกมันอย่างไร? หากเจ้าสวมเม็ดเสื้อเกราะ ไม่แน่ว่าโอกาสที่พวกเราจะชนะคงเพิ่มขึ้นมาก และถ้าได้รับผลเก็บเกี่ยวก็ล้วนเป็นของข้าทั้งหมด ถือว่าเจ้าชดใช้เงินคืนให้ข้า ตกลงไหม?”


นักพรตหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เก็บเม็ดเสื้อเกราะที่ในอดีตแม้แต่ฝันยังไม่กล้าคิดหวังลงไปอย่างระมัดระวัง เขานั่งเคียงไหล่กับเฉินผิงอันบนราวระเบียง เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยเรียกเสียงเบา “เฉินผิงอัน…”


จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ราวกับว่ามีถ้อยคำมากมาย แต่กลับพูดไม่ออก


เฉินผิงอันเท้ามือสองข้างไว้บนราวระเบียง “เจ้าก็เห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจที่ข้าเป็นตัวถ่วงนี่นา”


นักพรตหนุ่มเกาหัว พอเขาพูดอย่างนี้ก็เหมือนจะคลายใจได้หลายส่วน เฉินผิงอันเห็นตัวเองเป็นสหาย ตนเองก็เห็นเขาเป็นสหายเหมือนกัน ระหว่างสหายไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันทำตามกฎเกณฑ์ไปทุกเรื่องใช่หรือไม่?


จู่ๆ เขาก็หัวเราะเสียงดัง “ลูบเคราที่แข็งดุจง้าว จอมยุทธ์ผู้กล้าพกดาบวิเศษ”


เฉินผิงอันหัวเราะ ใช้ได้เลย นี่กำลังชื่นชมสวีหย่วนเสียชายฉกรรจ์เคราดกนี่นา


จากนั้นนักพรตหนุ่มก็พูดอีกว่า “ละทิ้งความรู้ท่องพเนจรทั่วขุนเขาและมหาสมุทร ค้นหาความจริงอย่างยากลำบาก”


ดีนักนะ นี่น่าจะพูดถึงตัวเขาเอง


นักพรตจางซานเฟิงหันหน้ากลับมา “เฉินผิงอัน ตอนนี้ยังคิดถึงบทกลอนที่เกี่ยวกับเจ้าไม่ออก วันหน้ารอให้ข้าผู้เป็นนักพรตเกิดแรงบันดาลใจ ต้องคิดได้แน่ วางใจเถอะ ข้าผู้เป็นนักพรตรับรองว่าต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วก็ไม่อยากจะขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีของเขา จึงได้แต่เออออคล้อยตามว่า “ตกลงๆ”


เฉินผิงอันกระโดดลงจากราวระเบียง วิ่งไปทางห้องครัว หันหน้ากลับมาตะโกน “ข้าจะไปช่วยทำอาหาร”


นักพรตจางซานเฟิงเฟิงอืมรับหนึ่งที นั่งอยู่ที่เดิม ความคิดมากมายประดังประเดกันเข้ามา


ทางฝ่ายของห้องโถงหลักมีเสียงหัวเราะดังกังวานของชายฉกรรจ์เคราดกดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ


นักพรตหนุ่มเปลี่ยนท่านั่ง เอนหลังพิงระเบียง ยกสองมือกอดอก นึกถึงภูเขาสูงลูกนั้นของบ้านเกิด เขาหลับตาลง คลอเพลงเบาๆ ที่แต่งขึ้นมาเอง โครงศีรษะไปตามจังหวะเพลงอย่างสบายอารมณ์


สุดท้ายพอลืมตาขึ้น นักพรตหนุ่มพึมพำเบาๆ “จะถามว่าเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง? จางซานเฟิงแห่งภูเขาอู่ตัง!” (บู๊ตึ๊ง)


อันที่จริงเฉินผิงอันกำลังคิดถึงเรื่องบางเรื่องอยู่


ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับบัณฑิตแซ่ฉู่ เฉินผิงอันพอจะรู้น้ำหนักของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามของตนอย่างคร่าวๆ แล้ว ในบรรดาวิชาหมัดมากมายที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้าถ่ายทอดให้ กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าคือกระบวนท่าที่มีพลานุภาพยิ่งใหญ่มากที่สุด ตอนนั้นเฉินผิงอันอาศัยยันต์ย่อพื้นที่ชิ้นหนึ่ง หนึ่งหมัดต่อยโดนศัตรู จากนั้นก็ต่อยโดนรัวๆ อีกหลายหมัด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ บัณฑิตภูตต้นไม้ของแคว้นกู่อวี๋ที่แม้จะมีเม็ดเสื้อเกราะซึ่งกลายมาเป็นเกราะกวางหมิงคุ้มกันกาย แต่อันที่จริงเป็นเพราะวิชาหมัดของเฉินผิงอันมีจำกัด นั่นก็คือมีแค่กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ายี่สิบหมัดเท่านั้น ไม่อาจเพิ่มมากกว่านั้นได้อีกแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะกระบี่บินในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาสังหารศัตรู เกรงว่าเขาคงถูกบัณฑิตคนนั้นเผาผลาญพลังของตัวเองจนหมด หากกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าใช้พลังเฮือกหนึ่งจนหมดสิ้น อีกฝ่ายมีเวลาว่างเรียกเอาสมบัติอาคมโจมตีศัตรูชิ้นสองชิ้นออกมาใช้ได้ เขาเฉินผิงอันจะทำอย่างไร?


หนีคงไม่ยาก แต่คิดจะเอาชนะ หรือถึงขั้นสังหารศัตรูกลับยากมาก


แต่ว่าสามารถนำวิชาหมัดของตัวเองมาประสานกับการจู่โจมของกระบี่บินชูอีและสืออู่ อีกทั้งยังแทบจะไม่มีช่องโหว่ นั่นก็ถือว่าเป็นผลเก็บเกี่ยวครั้งหนึ่ง


ทว่าลึกๆ ในใจเฉินผิงอันรู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจมากพอ ราวกับว่ายังขาดอะไรบางอย่างไปอีกเล็กน้อย


คำตอบที่แท้จริงดูเหมือนจะง่ายดายมาก นั่นคือยังคงเป็นเพราะเขาเฉินผิงอันออกหมัดไม่เร็วพอ! ไม่ดุดันมากพอ!


เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลง ฝึกหมัดก็ดี ในอนาคตฝึกกระบี่ก็ช่าง ล้วนรีบร้อนไม่ได้ ต้องค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคง


เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตัวเอง หัวเราะเบาๆ “ครั้งนี้ขอบคุณมาก”


ด้านในน้ำเต้ามีการตอบรับ สืออู่เริ่มบินไปบินมาด้วยความลิงโลดสุดขีด


แต่จู่ๆ เฉินผิงอันกลับพูดว่า “แต่ว่าวันหน้าหากพวกเจ้าขึ้นเวทีต่อสู้เมื่อไหร่ อย่าได้…ชิงความโดดเด่นกันแบบนี้อีกได้ไหม? พวกเราสามคนไม่ได้ประลองฝีมือด้านวรยุทธ์กับคนอื่นที่ก่อนจะลงมือจำเป็นต้องมีการบอกชื่อ แสดงอาวุธของตัวเองอะไรทำนองนั้นเสียก่อน เวลาลงสนามสังหารศัตรู พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้แล้วกระมัง? แค่แอบหลบออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็พอแล้ว พวกเจ้าคิดว่าข้าพูดแบบนี้ถูกหรือไม่?”


สืออู่พลันหยุดนิ่งไม่ยอมขยับ ดูคล้ายจะโมโหอยู่บ้าง


ชูอียิ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ บุกเข้าไปก่อเรื่องในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันโดยตรง


ยังดีที่สำหรับเฉินผิงอันตอนนี้ ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้เรียกได้ว่าผ่อนคลายเบาสบาย เขาจึงวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังห้องครัวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า


การควบคุมกระบี่บินแห่งชีวิตแค่ต้องใช้พลังจิตเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ลมปราณที่แท้จริง แต่หากกระบี่บินสังหารศัตรู จะมีขีดจำกัดอยู่ที่ระยะทาง เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือระดับความมั่นคงของจิตใจ คิดจะทำลายอุปสรรคของระยะทางนี้ก็มีทางลัดให้เดินเหมือนกัน สำหรับผู้ฝึกกระบี่ก็คือขอบเขตที่พุ่งขึ้นสูง สำหรับเฉินผิงอันที่เพิ่งได้รับคำชมจากผู้ฝึกยุทธ์ว่าเป็น ‘เซียนกระบี่’ ก็คือจำเป็นต้องใช้ลมปราณเฮือกเดียวกับที่ใช้โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดบุกเข้าไปในช่องโพรงรวดเดียวให้ได้มากกว่าเดิม


ตอนนี้ระยะห่างของชูอีคือรอบรัศมีสิบจั้ง ของสืออู่คือแปดจั้ง


ห่างออกไปไม่ไกลก็คือห้องครัวแล้ว พอจะมองเห็นแสงสว่างได้เลือนราง


“ชื่อจางซานเฟิงดีกว่าชื่อเฉินผิงอันตรงไหนกัน?”


เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้รู้สึกไม่ยอมแพ้ แต่จู่ๆ เขากลับยิ้มกว้าง หัวเราะกับตัวเองอย่างสนุกสนาน “หึ เซียนกระบี่!”


 —–



บทที่ 220.1 ตราประทับภูเขาและแม่น้ำ

โดย

ProjectZyphon

หญิงชรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัว พอเห็นเฉินผิงอันก็ตกตะลึงเล็กน้อย บุรุษต้องอยู่ห่างจากห้องครัว นี่คือคำสอนของอริยะ แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าไม่กินอาหารที่ไม่สด ไม่ใหม่ ไม่สะอาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหล่าวิญญูชนและนักปราชญ์จะต้องลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง ทว่าเพียงไม่นานหญิงชราก็โล่งใจได้ เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เดินทางไปทั่วสารทิศ เคยชินกับการนอนกลางดินกินกลางทราย อีกอย่างเขาก็ดูไม่เหมือนลูกหลานตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ แต่ถึงกระนั้นหญิงชราก็ไม่คิดว่าเฉินผิงอันจะช่วยอะไรได้มาก จึงให้เขาช่วยทำงานเล็กน้อยๆ อย่างคัดเลือกผัก แล้วก็ช่วยดูไฟที่ตุ๋นอาหาร เฉินผิงอันไม่ได้ยืนกรานอะไร เพียงแค่ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่นางบอก สุดท้ายในห้องครัวที่อากาศอบอุ่นก็มีเสียงสับผักบนเขียงดังปั่กๆๆ อย่างคล่องแคล่วของหญิงชรา เฉินผิงอันนั่งปอกหน่อไม้อยู่บนม้านั่งตัวเล็ก กลิ่นหอมสดชื่นของพืชหญ้าลอยเข้าจมูกมาเป็นระลอก


หญิงชราถามชวนคุย “คุณชายเฉิน มือซ้ายของเจ้าไปโดนอะไรมา?”


เฉินผิงอันชำเลืองมองมือซ้ายที่พันผ้าฝ้ายของตัวเอง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หกล้มโดยไม่ทันระวัง ไม่เป็นอะไรมาก”


ยากนักกว่าที่หญิงชราจะหาคนมาพูดคุยด้วยได้ จึงพูดยิ้มๆ “ฝนตกพื้นลื่น ทำให้คุณชายได้รับบาดเจ็บแล้ว บ้านหลังนี้ของพวกเราอยู่มานานหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ตกอยู่ในสภาพยากลำบากเพราะถูกพวกเสือและหมาป่ารุมล้อมจ้องเล่นงาน เลยยิ่งไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเข้าไปใหญ่ อย่างมากสุดก็แค่ซ่อมแซมกำแพงบ้านเท่านั้น เวลากลางคืนก็น้อยครั้งนักที่จะแขวนโคมไฟ เพราะกลัวว่าจะทำให้ชาวบ้านตกใจ หลายปีที่ผ่านมานี้จึงไม่กล้าเชิญพวกช่างมาช่วยซ่อมแซมให้ ล้วนเป็นข้าที่ซ่อมเองอย่างส่งเดช แน่นอนว่าฝีมือย่อมไม่น่ามอง ก้อนหินอิฐปูพื้นหลายจุดเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่ราบเรียบ หากไปอยู่ในบ้านของคนตระกูลใหญ่ในเมือง ไม่เพียงแต่คนในบ้านตัวเองที่เห็นแล้วรำคาญตา หากคนบ้านอื่นมาเห็นเข้า คงถูกหัวเราะเยาะตายแน่ แถมยังจะต้องถูกคนเอาไปพูดลับหลัง คำพูดไม่น่าฟังมีหมดทุกรูปแบบ ยังดีที่นายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ นี่ถือเป็นวาสนาของข้า”


น้ำเสียงของหญิงชราราบเรียบ เนิบช้าดุจน้ำนิ่งที่ไหลลึก ระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมา อารมณ์สุขทุกข์เศร้าเบิกบานล้วนตกตะกอนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนางทีละนิด


นี่คือวาสนาของข้า


นี่น่าจะเป็นข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงที่หญิงชรามีให้กับชีวิตของตัวเอง


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “บ้านหลังนี้มีท่านยายคอยให้ความช่วยเหลือก็ถือเป็นความโชคดีของพวกเขาสองสามีภรรยาเช่นกัน”


หญิงชราอึ้งงันไปเล็กน้อย หันหน้ามาเอ่ยสัพยอกด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ มองดูเหมือนเป็นคนซื่อๆ แต่ทำไมรู้จักพูดขนาดนี้?”


เฉินผิงอันเอาหน่อไม้ทั้งหมดที่ปอกเสร็จแล้ววางไว้ในตะกร้าไม้ไผ่สะอาดใบหนึ่ง เงยหน้าขึ้นกล่าว “ท่านยาย ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงนะ”


หญิงชรามองดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของเด็กหนุ่มแล้ว “อืม” รับหนึ่งคำ ตอนที่หันตัวกลับไป รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งฉีกกว้างกว่าเดิม ชวนคุยต่ออีกครั้งว่า “คุณชายเฉิน มีผู้หญิงที่ชอบแล้วหรือยัง ผู้หญิงในเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อีเรามีชื่อเสียงด้านความงดงาม หากไม่รีบร้อนเดินทางก็สามารถไปเดินเล่นงานวัด ไม่แน่ว่าอาจจะพบเจอเนื้อคู่ก็เป็นได้ อีกอย่างถึงแม้ว่าวิถีวรยุทธ์ของคุณชายจะไม่สูง แต่หากมาอยู่ในสถานที่เล็กๆ ที่ไม่มีเทพไม่มีเซียนอย่างเมืองแยนจือนี้ก็ไม่ถือว่าเลวร้าย หากยินดีลงหลักปักฐานที่นี่ คิดจะเป็นแม่ทัพนายกองก็เหลือเฟือ ถึงเวลานั้นแต่งงานกับคุณหนูในตระกูลผู้มีความรู้สักคนก็ดีมากไม่ใช่หรือ”


เฉินผิงอันเขินอายเล็กน้อย อึกๆ อักๆ ไม่กล้าต่อบทสนทนานี้


หญิงชราหันหน้ากลับมาชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่ใบหน้าคิ้วตาเริ่มปรากฎความหล่อเหลา แล้วยิ้มอย่างเข้าใจ เอ่ยเบาๆ ว่า “เข้าใจแล้ว คุณชายเฉินต้องมีผู้หญิงที่รักอยู่แล้วแน่ๆ”


เฉินผิงอันเงียบไปนานกว่าจะเอ่ยถามหน้าแดงก่ำ “ท่านยาย หากผู้หญิงที่ข้าชอบเคยถามข้าว่าข้าชอบนางหรือไม่ ตอนนั้นข้าบอกว่าไม่ชอบ แต่ตอนนี้จะไปหานางแล้วบอกว่าข้าชอบนาง ท่านว่านางจะคิดว่าข้าเป็นคนขี้โกหกเชื่อถือไม่ได้หรือไม่?”


“คุณชายเฉิน เจ้าพูดวกไปวนมาซะจริง”


หญิงชราหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ นึ่งกับข้าวจานหนึ่งทิ้งไว้แล้วนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กข้างเตาไฟ ถามยิ้มๆ ว่า “ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงไม่บอกว่าชอบนางล่ะ? เพราะขี้ขลาดหรือว่าลำบากใจ? หรือรู้สึกว่าถ้าพยักหน้าตอบว่าใช่จะขายหน้านาง ก็เลยแสร้งวางตัวเป็นวีรบุรุษ?”


เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างตั้งใจแล้วให้คำตอบที่จากใจจริง “ข้าคงโง่กระมัง”


คราวนี้หญิงชราถูกหยอกให้ขำเข้าจริงๆ นางหัวเราะจนใบหน้าแก่ชราดูอ่อนโยนลง “ข้ารู้สึกว่าผู้หญิงที่เจ้าชอบน่าจะไม่โกรธ ผู้หญิงคนหนึ่ง หากมีคนมาชอบ อีกทั้งยังเป็นความชอบแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องที่งดงามเรื่องหนึ่ง”


เฉินผิงอันงุ่นง่านเล็กน้อย ยกตะกร้าใส่หน่อไม้ไปวางไว้ข้างเตาไฟ “แต่แม่นางคนนั้นบอกกับข้าว่า นางจะชอบแค่เซียนกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น…”


หญิงชรากลั้นยิ้ม “โอ้โห ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ เซียนกระบี่ใหญ่จะอย่างไรก็ต้องเป็นเทพเซียนขอบเขตหก คุณชายของข้าพรสวรรค์ดีเยี่ยมถึงขนาดนั้น ในอดีตเคยฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่สูงส่งอย่างสำนักโองการเทพก็ยังไม่เคยได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ไม่ได้กลายเป็นขอบเขตถ้ำสถิตในตำนาน คุณชายเฉิน ยายแก่อย่างข้าขอให้คำแนะนำเจ้าสักคำ เจ้าลองปรึกษากับแม่นางคนนั้นดูว่าจะเปลี่ยนข้อเรียกร้องจากเซียนกระบี่ใหญ่มาเป็นเซียนกระบี่เล็ก หรือเซียนกระบี่ธรรมดาได้หรือไม่? ขอบเขตถ้ำสถิตสูงเกินไปแล้ว ขอบเขตสี่ ขอบเขตห้าเป็นอย่างไร? ต้องรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้านี้ ต่อให้ขอบเขตจะต่ำแค่ไหนก็ยังมีชีวิตที่สุขสบายมาก ขอบเขตสี่ห้าก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว”


เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด


เซียนกระบี่ใหญ่ที่แม่นางหนิงพูดถึง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นขอบเขตสิบสองแน่นอน!


ต่อให้หนิงเหยาจะพูดคุยง่ายอย่างที่คิดไว้ ยอมลดระดับข้อเรียกลงให้ตนจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นขอบเขตเซียนกระบี่อย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะนั่นกระมัง?


เฉินผิงอันถอนหายใจ จู่ๆ ก็เอ่ยเตือนว่า “ท่านยาย กับข้าวสุกแล้ว”


หญิงชรารีบลุกขึ้นยืน เปิดฝาหม้อออก เพียงไม่นานอาหารที่ครบทั้งกลิ่นและสีดูน่ารับประทานก็ถูกตักใส่จาน นางให้เฉินผิงอันยกอาหารจานนั้นไปส่งที่ห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม แถมยังบอกกับเขาว่าส่งเสร็จแล้วก็ไม่ต้องกลับมา อยู่กินอาหารที่นั่นไปเลย หลังจากนี้นางจะเป็นคนยกอาหารไปให้เอง เฉินผิงอันวิ่งปรู๊ดจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เห็นว่าหญิงชราแสร้งทำเป็นโมโห เฉินผิงอันเลยถามยิ้มๆ ว่า “ท่านยาย ข้ามาเอาเหล้า อีกอย่างข้าคุยกับผู้เฒ่าหยางมาก่อนแล้ว เขารับปากว่าจะยกเหล้าให้ข้า…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าขึ้นมาส่าย ยิ้มกว้างสดใส “ใส่ไว้ในนี้ได้จนกว่าจะเต็ม”


หญิงชราหยิบกระบวยตักเหล้าออกมาจากในชั้นเก่าแก่ทาสีแดง จากนั้นก็ชี้ไปยังไหเหล้าใบใหญ่หลายใบที่วางไว้ตรงมุมกำแพงด้วยรอยยิ้ม “ยกไหใบที่ยังไม่ได้เปิดออกไป ด้านบนมีอีกไหหนึ่งที่เปิดผนึกแล้ว ข้างในเป็นเหล้าต้มเองซึ่งยังเหลืออีกเกือบครึ่งไห เจ้าสามารถเอาบรรจุไว้ในน้ำเต้าได้ ถึงอย่างไรก็น่าจะพอ”


จากนั้นหญิงชราก็ไม่สนใจเด็กหนุ่มที่นั่งยองลงมุมกำแพงเพื่อตักเหล้าใส่น้ำเต้าอีก หันมาตั้งหน้าตั้งหน้าผัดกับข้าวของตัวเอง สุดท้ายเฉินผิงอันจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็บอกหญิงชราคำหนึ่งแล้วยกไหเหล้าออกไปจากห้องครัว


หญิงชราหันมามองตามด้วยรอยยิ้ม น้ำเต้าสีชาดตรงเอวเด็กหนุ่มดูเก่าแก่เป็นปกติ ไม่มีอะไรสะดุดตา เด็กคนนี้อายุยังน้อยก็เป็นผีขี้เหล้าแล้วรึ?


ไม่รู้ว่าหลังเจอกับแม่นางที่อยู่ในใจคนนั้นแล้ว เหล้าในน้ำเต้าจะกลายเป็นเหล้ามงคลหรือเหล้าดับทุกข์กันแน่


แต่หญิงชราก็ยังหวังให้เด็กหนุ่มสมปรารถนา เหมือนคุณชายกับคุณหนูที่กลายมาเป็นคู่สามีภรรยากัน


ห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม บรรยากาศด้านในชื่นมื่นปรองดอง


เจ้าบ้านชายหญิง ผีชางหยางหว่างกับผีสาวภูตต้นไม้ที่ชื่อแท้จริงคืออิงอิงนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือ มือดาบเคราดกถูกเชิญให้นั่งบนตำแหน่งประธาน สวีหย่วนเสียเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมาจึงคร้านที่จะปฏิเสธ นักพรตจางซานนั่งอยู่ทางฝั่งขวามือ ตอนที่เฉินผิงอันยกอาหารและสุราเข้ามาส่ง พวกเขาก็เริ่มกินดื่มกันอย่างสำราญ ส่วนผีสาวนั้นค่อนข้างจะน่าตลก รากต้นไม้ที่ยาวเหยียดของนางเหมือนเถาวัลย์สีเขียวที่ทอดยาวมาจากทางหอซิ่วโหลว ผ่านประตูหอเข้ามาทางห้องโถงหลัก เพื่อไม่ทำให้ทุกคนหมดสนุก นางยังจงใจสวมผ้าคลุมหน้าผืนหนาเพื่อบดบังโฉมหน้าของตัวเองด้วย


ก่อนหน้านี้มือดาบเคราดกก็ถามแล้วว่ามีเวทลับของตระกูลเซียนอะไรหรือไม่ที่สามารถช่วยให้ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้กลับคืนสู่โฉมหน้าดั้งเดิมได้ หยางหว่างส่ายหน้ายิ้มเจื่อน เล่าต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียดโดยไม่คิดจะปิดบังความจริง ที่แท้นี่เกี่ยวพันกับเวทลับค่ายกลบทสรรเสริญคำเขียวซึ่งเป็นวิชานอกรีตของสำนักโองการเทพ รวมไปถึงแกนต้นไม้บรรพบุรุษต้นอวี๋ของแคว้นกู่อวี๋ ซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อน กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่การนำค่ายกลของบ้านโบราณมาผสานรวมกับแก่นต้นอวี๋โบราณ ไม่อาจจะเคลื่อนย้ายได้ อีกทั้งเดิมทีรัศมีหลายร้อยลี้รอบพื้นที่แห่งนี้เดิมทีก็เป็นสุสานระเกะระกะแห่งหนึ่งอยู่แล้ว เพราะเมื่อสองร้อยปีก่อนแคว้นไฉ่อีเจอกับโรคระบาดชนิดหนึ่ง คนหลายแสนคนเป็นโรคตายเฉียบพลัน ศพส่วนใหญ่ล้วนถูกนำมาฝังที่เมืองแยนจือ ฮ่องเต้หลายพระองค์ของแคว้นไฉ่อีหวังอยากจะเปลี่ยนฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้ ทว่าต่อให้เป็นตอนนั้นที่มีเทพเซียนลัทธิเต๋าขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวผ่านมายังแคว้นไฉ่อี ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าเฝ้า และได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ลงมือทำอะไรไปมากมาย ลำพังแค่จัดพิธีกรรมปัดเป่าภัยพิบัติสองครั้งใหญ่ก็สูญเงินไปเกือบล้านตำลึงเงิน เสียดายก็แต่ดีได้ไม่กี่ปี ภาพเหตุการณ์น่าสังเวชที่ไอสกปรกอบอวล ผีและวิญญาณล่องลอยเร่ร่อนไปทั่วก็กลับคืนมาอีกครั้ง แม้แต่เทพเซียนก็ยังจนปัญญา


รากที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้เป็นทั้งยาช่วยชีวิตของผีสาว แต่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการดื่มยาพิษดับกระหาย ในที่สุดวันหนึ่งนางก็ต้องกลายมาเป็นผีร้าย ข้อนี้ผีชางอย่างหยางหว่างบอกตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ผีสาวเองก็ยอมรับอย่างเปิดเผย ที่แท้สองสามีภรรยาคู่นี้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า หากวันนั้นมาถึงจริงๆ พวกเขาจะฆ่าตัวตายกันทั้งคู่ จะได้ไม่ต้องสร้างหายนะให้กับชาวบ้าน


อันที่จริงแก่นของต้นอวี๋โบราณนั้นเกิดมาก็สะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเขารีบร้อนรั้งวิญญาณของอิงอิงผีสาวเอาไว้ บวกกับที่ภายหลังเหมือนคนป่วยหนักแล้วรักษาส่งเดช ไม่ทันคิดให้รอบคอบ ถึงเป็นเหตุให้ดวงวิญญาณของนางก้าวไปสู่ความชั่วร้ายทีละนิด หากสามารถดูดซับปราณวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง อันที่จริงก็มีหวังที่สติปัญญาของนางจะกลับคืนมา อีกทั้งยังสามารถหันหลับมาเลี้ยงดูโชคชะตาของพื้นที่แห่งนี้ กลายมาเป็นบุคคลที่คล้ายคลึงกับเทพภูเขาเถื่อน แต่ด้วยนิสัยดั้งเดิมของนาง รวมไปถึงความเกี่ยวข้องกับต้นอวี๋โบราณนั้น นางจะต้องแตกต่างไปจากคนแซ่ฉินอย่างสิ้นเชิง นางจะสร้างความสุขและโชควาสนาให้กับพื้นที่แถบนี้ ไม่เหมือนกับเทพภูเขาแซ่ฉินที่มีแต่จะทำลายพวกมัน


สุดท้ายหยางหว่างเอ่ยหยอกเย้าอย่างใจกว้างว่า อย่างมากที่สุดอีกสามสิบปี บ้านหลังนี้ก็น่าจะไม่มีคน ไม่มีสุราและไม่มีอาหารแล้ว ดังนั้นหวังว่าท่านทั้งสามจะมาเยือนที่แห่งนี้อีกครั้งก่อนถึงเวลานั้น อย่างน้อยที่นี่ก็ยังพอมีห้องพักสะอาด มีผ้าห่ม สามารถเป็นที่พักเท้าได้ อีกทั้งยังสามารถมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนอย่างในคืนนี้


เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำในรัศมีหลายร้อยลี้ มือดาบเคราดกและนักพรตจางซานเฟิงต่างก็ไม่อาจหาคำมาตอบโต้ได้ พวกเขาไม่มีวิธีที่ได้ผลมาเสนอจริงๆ เพราะมีเพียงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติ ‘ชี้มือชี้ไม้’ กับสถานที่แห่งนี้ ขอบเขตสิบเรียกว่าอริยะ นี่คือกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ช่วงแรกๆ พวกเขาจะได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากราชวงศ์ในโลกมนุษย์อย่างมาก เพราะเทพเซียนห้าขอบเขตบนนั้นมีน้อยเกินไป ทว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสิบกลับจำเป็นต้องยึดครองถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานในการสั่งสมตบะ เวลาที่เจอกับทางตันหรือภาวะยากลำบาก บางครั้งก็จะมีการคบค้าสมาคมกับแม่ทัพหรือไม่ก็จักรพรรดิด้านล่างภูเขา ด้วยเหตุนี้คำเรียกขานที่ว่าอริยะของลัทธิขงจื๊อ เทพเซียนพสุธาของลัทธิเต๋า หรืออรหันต์ร่างทองคำของลัทธิพุทธต่างก็ถูกนับรวมอยู่ในนี้


ตอนนี้เฉินผิงอันชอบดื่มเหล้าก็จริง แต่ทุกครั้งจะดื่มไม่มากนัก มือดาบเคราดกกลับมีนิสัยชอบดื่มเหล้าถ้วยใหญ่กินเนื้อคำโต นักพรตจางซานเฟิงกินเหล้าเก่งสู้เฉินผิงอันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ดันเป็นคนหน้าบาง ถูกหยางหว่างและสวีหย่วนเสียชวนคำสองคำก็กระดกดื่มหมดไปทีละครึ่งถ้วย ถ้วยแล้วถ้วยเล่า จนถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็ต้องรินเหล้าต้มให้เขาแค่เล็กน้อย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้นักพรตหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อก็ยังนั่งตัวโงนเงน ใบหน้าแดงปลั่ง พูดเสียงดังกว่าเดิมมาก คุยเรื่องประสบการณ์ในยุทธภพกับชายฉกรรจ์เคราดก พูดคุยเรื่องบทกวีกับหยางหว่างผีชางที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลปัญญาชน พูดคุยกันอย่างถูกคอ อารมณ์ดีมาก


หญิงชราคอยยกอาหารมาส่งให้เป็นระยะ เห็นว่าไหเหล้าเกลี้ยงแล้วก็ไปยกไหใหม่มาให้


ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็สบายใจ อารมณ์แจ่มใส


ในขณะที่เหล้าไหที่สองใกล้จะหมด เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “พี่ฉู่ พี่ฉู่! เจ้าไปไหนแล้ว อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียวสิ!”


เพียงไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงสะอื้น “นักพรตน้อย เจ้าคนแซ่เฉิน ทำไมพวกเจ้าก็หายไปด้วยล่ะ หรือว่าถูกปีศาจร้ายจับกินจนเกลี้ยงไปหมดแล้ว? ไม่นะ ปีศาจในบ้านหลังนี้ หากเจ้าคิดจะกินคนก็กินไปให้หมดสิ อย่ากินข้าเป็นคนสุดท้าย…”


ตอนนั้นหญิงชรากำลังยกอาหารเข้ามาพอดี จึงเตรียมจะไปปลอบใจลูกหลานตระกูลขุนนางแซ่หลิวเพื่ออธิบายต้นสายปลายเหตุให้เขาฟัง


เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนบอกว่าเขาไปเองดีกว่า หญิงชราคิดแล้วก็รู้สึกว่าถูก หากนางไป เกรงว่าบัณฑิตน่าสงสารคนนั้นคงตกใจจนหมดสติเป็นแน่


ตอนที่บัณฑิตแซ่หลิวถูกเฉินผิงอันพาเดินเข้ามาในเรือนพักชั้นสาม สองขาของเขาสั่นระริก ริมฝีปากซีดเขียว พอเห็นมือดาบเคราดกคนนั้นอาการก็พอจะดีขึ้นบ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าพอเห็นรากต้นไม้น่ากลัวที่อ้อมจากประตูด้านหลังเข้ามาในห้องโถงหลัก ดวงตาสองข้างของเขาก็เหลือกขึ้น อีกนิดเดียวจะเป็นลมหมดสติ เพียงแต่ว่าถูกเฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักมือบีบแขนของเขาแรงๆ เขาเจ็บจนได้สติ บัณฑิตหนุ่มหน้ามุ่ยคอตกบ่นพึมไม่หยุด “ให้ข้าเป็นลมหมดสติไปก็ดีแล้วนี่นา”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากไม่ไหวจริงๆ ก็ดื่มเหล้าเพิ่มความกล้าซะ จะได้เมาให้หลับไป ความกล้าแค่นี้ อย่างไรก็ควรต้องมีบ้างกระมัง?”


บัณฑิตแซ่หลิวกล่าวอย่างน่าสงสาร “ไม่มีไม่ได้หรือ?”


เฉินผิงอันโมโหจนกลายเป็นขำ พูดจริงจัง “ไม่ได้!”


มองสีหน้าของเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง ดูไม่เหมือนว่ากำลังแสร้งข่มขู่เขา บัณฑิตแซ่หลิวได้แต่ถอนหายใจอย่างเศร้าใจ พูดเหมือนเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง “ดื่มก็ดื่ม! ต่อให้เป็นเหล้าที่ดื่มแล้วตายก็คือเหล้าเหมือนกัน!”


พอไปนั่งที่โต๊ะ บัณฑิตหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองใคร เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว


 —–


บทที่ 220.2 ตราประทับภูเขาและแม่น้ำ

โดย

ProjectZyphon

มือดาบหนวดดกถามยิ้มๆ “เหตุใดบัณฑิตอย่างเจ้าถึงได้ดวงซวยขนาดนี้ ดันไปเป็นเพื่อนกับภูตจอมปลอมผู้นั้นได้? แถมยังท่องเที่ยวมาด้วยกันตลอดทาง ถูกเขาหลอกพามาถึงที่นี่ แต่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ได้มานั่งดื่มเหล้าร่วมกับพวกเราก็ถือว่าเจ้าดวงแข็งมากแล้ว ดูจากเสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่คงเป็นลูกหลานคนรวยแคว้นไฉ่อีกระมัง?”


บัณฑิตแซ่หลิวตอบเสียงสั่น “บิดาของข้าคือเจ้าเมืองเมืองแยนจือ แต่ที่บ้านไม่มีเงินจริงๆ ไม่ถือว่าเป็นลูกหลานคนรวยอะไร”


มือดาบเคราดกไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำไม ข้าผู้แซ่สวีหน้าตาเหมือนมหาโจรอย่างนั้นหรือ?!”


บัณฑิตเงยหน้ามองชายฉกรรจ์ที่มีหนวดเครารกครึ้มแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าเหมือนจนเหมือนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว


มือดาบเคราดกไม่คิดจะข่มขู่บัณฑิตอ่อนแอผู้นี้อีกต่อไป แต่จู่ๆ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล “พี่หยาง นักพรตเฒ่าผู้นั้นจะจัดการกับเทพภูเขาเถื่อนจริงๆ หรือ? เขาจะจงใจปล่อยอีกฝ่ายไว้เพื่อสร้างความสะอิดสะเอียนใจให้กับพวกเจ้าหรือเปล่า?”


บุรุษส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อเรื่องนี้มีอาจารย์อาท่านนั้นคอยจับตามอง ทางฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพก็จะต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกกลุ่มที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์จะต้องถูกตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ในช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นการทำอย่างรอบคอบและระมัดระวังอย่างถึงที่สุด ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือให้จ้าวหลิวตัดสินใจทำอะไรโดยพลการ”


จู่ๆ หยางหว่างก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ตอนนี้ข้ากังวลก็แต่ทางฝ่ายเทพภูเขาเถื่อนจะมีที่พึ่ง ด้วยกลอุบายที่มากมายของจ้าวหลิว หากเขาคิดจะใช้ข้ออ้างบอกว่าไม่ยินดีอาศัยกำลังที่มากกว่ามารังแกคนอ่อนแอกว่า จากนั้นก็ไปปรึกษาเรื่องนี้กับขุนนางระดับสูงของเมือง บอกว่าปรึกษา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการช่วยเหลืออย่างลับๆ ถ้าอย่างนั้นก็อันตรายแล้ว หากสุดท้ายจ้าวหลิวสามารถโน้มน้าวให้ราชสำนักและกรมพิธีการของแคว้นไฉ่อีเชื่อ จนพวกเขาเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เก็บศาลเถื่อนแห่งนั้นเอาไว้ หรืออาจถึงขั้นเปลี่ยนตำแหน่งเขาให้กลายเป็นเทพภูเขาที่ถูกต้อง กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของพื้นที่แถบหนึ่งอย่างแท้จริง แบบนั้นต้องยุ่งยากมากแน่ แม้จะบอกว่าเทพแห่งห้าขุนเขาของแคว้นไฉ่อีไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเทพประเภทเดียวกันของแคว้นอื่นๆ มีเพียงอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกถึงจะสามารถสำแดงศักยภาพที่แท้จริงของขอบเขตชมมหาสมุทรของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างไรเจ้าคนแซ่ฉินผู้นั้นก็เป็นเทพภูเขาที่มีร่างทองคำแล้ว ขอแค่จ้าวหลิวแอบช่วยให้เขาได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ ไม่แน่ว่าก็อาจจะมีศักยภาพเป็นขอบเขตถ้ำสถิตก็ได้ เซียนซือที่มาจากสำนักโองการเทพ แค่พูดง่ายๆ ไม่กี่คำ ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีก็จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดีแล้ว”


เขากล่าวจบ มือดาบเคราดก นักพรตเต๋าจางซานเฟิงและเฉินผิงอันก็หันขวับไปมองบัณฑิตที่ตัวสั่นเทาแทบจะพร้อมเพรียงกัน


บัณฑิตหนุ่มมึนงงเล็กน้อย เทพห้าขุนเขา เทพภูเขาเถื่อน ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตถ้ำสถิตอะไรพวกนั้น เขาฟังไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว จึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “บิดาข้าเป็นแค่เจ้าเมืองระดับสี่ เทพภูเขาไม่เทพภูเขาอะไร บิดาข้าคงไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาช่วยอะไรไม่ได้หรอก”


มือดาบเคราดกเอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ไม่ได้จะให้บิดาเจ้าช่วย แค่ป้องกันไม่ให้เขาช่วยให้เสียเรื่องก็พอ พรุ่งนี้เช้าตรู่ ข้าจะกลับไปเมืองแยนจือพร้อมกับเจ้า ควบม้าเร็วไปพบท่านเจ้าเมือง ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้จ้าวหลิวผู้นั้นชิงลงมือก่อนไม่ได้ เชื่อว่าขอแค่จ้าวหลิวได้เห็นข้าผู้แซ่สวีในจวนเจ้าเมืองต้องเข้าใจได้เอง รู้ว่าแผนการที่เขาวางไว้ใช้ไม่ได้ ต่อให้ใช้ได้ก็ต้องระวังกลัวว่าพวกเราจะไปโวยวายที่สำนักโองการเทพ เหมือนที่พวกชาวบ้านไปตีกลองร้องทุกข์หน้าที่ว่าการ ปากก็พร่ำร้องตะโกนขอให้สวรรค์ช่วยทวงคืนความเป็นธรรม”


กล่าวมาถึงช่วงท้าย มือดาบเคราดกก็หัวเราะร่าเสียงดัง


ผีชางหยางหว่างลุกขึ้นยืน กุมมือคารวะ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอขอบคุณพี่สวีก่อนแล้ว!”


สีหน้าของมือดาบเคราดกเปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด ยกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งคำแล้วกล่าวอย่างอัดอั้น “พี่สวีอะไรกัน ข้าอายุขนาดนี้ให้เป็นหลานชายเจ้าก็ยังแก่เกินไป!”


หยางหว่างหัวเราะร่าเสียงดัง “วีรบุรุษไม่ถามเรื่องชาติกำเนิด สหายไม่พูดคุยเรื่องอายุ!”


แม้แต่ผีสาวก็ยังหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากผ้าคลุมหน้า


ทำเอาความกล้าหาญน้อยนิดที่บัณฑิตขี้ขลาดรวบรวมขึ้นมาได้อย่างยากลำบากปลิวหายกระเจิดกระเจิง ตกใจหน้าซีดขาวเพราะ ‘เสียงที่เศร้าเคล้าสุข’ นี้ของนาง


คืนนั้นนักพรตหนุ่มดื่มเหล้าจนเมามาย แต่บัณฑิตที่ชื่อว่าหลิวเกาหวากลับไม่กล้าดื่มมากนัก ด้วยกลัวว่าหากเมาพับไปจะไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้อีก สุดท้ายคนทั้งสี่ไปพักอยู่ในเรือนชั้นที่สองด้วยกัน เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงพักอยู่ในห้องอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนบัณฑิตกับมือดาบพักอยู่ห้องติดกัน


หนึ่งคืนผ่านไปอย่างสงบ


ตอนที่ฟ้าสาง จางซานเฟิงลุกขึ้นมาเปิดประตูก็เห็นว่าเฉินผิงอันกำลังฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้าน เมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน รู้สึกว่าการเดินของเขายิ่งช้ามากขึ้นเรื่อยๆ


กินอาหารเช้าที่หญิงชราเตรียมไว้ให้ คนทั้งสี่ก็พากันบอกลาแล้วจากไป เพราะว่าดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงแล้ว เจ้าบ้านชายหญิงไม่ชอบแสงแดด จึงไม่ได้เดินออกมาส่งนอกประตู เพียงยืนบนหอซิ่วโหลว โบกมืออำลา


มือดาบเคราดกหาวหวอด หรี่ตามองแสงแดดที่เริ่มแยงตามากขึ้นเรื่อยๆ พลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน “วันใหม่อีกวันหนึ่งแล้ว”


นักพรตจางซานเฟิงกำลังพูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของเมืองแยนจือกับบัณฑิตหลิวเกาหวา หลังเดินออกมาจากบ้านโบราณหลังนั้น หลิวเกาหวาก็สดชื่นขึ้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เหมือนถูกฉีดเลือดไก่ พูดจ้อไม่หยุด คุยกับนักพรตหนุ่มอย่างถูกคอ


เฉินผิงอันพลันหันกลับไปมองทางธรณีประตู พูดกับหญิงชราเบาๆ ว่า “ท่านยาย ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้น ท่านสามารถส่งจดหมายไปยังเมืองหลงเฉวียนของต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุด ส่งไปหา…คน…ที่ชื่อว่าเว่ยป้อ บอกไปว่าพี่ใหญ่หยางหว่างคือสหายของข้า เฉินผิงอันติดค้างสุราดีๆ ของพวกท่านไว้มาก”


หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนี้


ความหวังดีบางอย่างก็เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องท่ามกลาอากาศเหน็บหนาวของฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่ามีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ทำไมต้องปฏิเสธด้วยเล่า?


เฉินผิงอันยื่นมือมอบเงินเกล็ดหิมะเจ็ดแปดเหรียญไปให้อีกฝ่าย “หลงเฉวียนต้าหลีกับแคว้นไฉ่อีอยู่ห่างไกลกันมาก ถึงเวลาท่านยายก็เอาเงินนี้ไว้ใช้ส่งจดหมาย”


บ้านหลังนี้เผาผลาญทรัพย์สมบัติทั้งหมดของหยางหว่างจนหมดสิ้นไปนานแล้ว พวกเขาต้องใช้ชีวิตกันอย่างอัตคัดขัดสน เป็นเหตุให้แม้แต่สุราก็ยังต้องหมักกันเอง ส่วนอาหารก็ล้วนเป็นหญิงชราที่ไปหาเก็บมาจากที่ไกลๆ


หญิงชราลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รับเงินเกล็ดหิมะพวกนั้นเอาไว้


การส่งจดหมายไปยังราชวงศ์ต้าหลีซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป แน่นอนว่าย่อมต้องใช้เงินไม่น้อย แต่ไม่มีทางมากถึงขนาดที่เด็กหนุ่มมอบให้แน่นอน


แต่เด็กหนุ่มกลับยัดเงินกำนั้นมาให้เหมือนพวกมันเป็นเงินเหรียญทองแดงที่พวกชาวบ้านใช้กัน เงินกำเล็กๆ นี้ไม่มากไม่น้อย หากปฏิเสธหรือแสร้งรับมาแค่ไม่กี่เหรียญ ก็อาจดูเหมือนไม่รับน้ำใจอีกฝ่าย หรือไม่ก็ไร้เหตุผลเกินไป นางจึงรับมาไว้อย่างตรงไปตรงมา เพราะนี่ก็ไม่ถือว่าเป็นการติดค้างน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าอะไร


หญิงชราพลันทอดถอนใจ อายุน้อยแค่นี้ก็รู้จักใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น ไม่รู้ว่าตอนเด็กต้องลำบากมามากขนาดไหนถึงรู้จักแยกแยะได้อย่างถูกต้องเหมาะสมขนาดนี้


นักพรตจางซานเฟิงหันมากวักมือเรียกยิ้มๆ “เฉินผิงอัน ไปกันได้แล้ว!”


เฉินผิงอันตอบรับหนึ่งคำ จากนั้นก็บอกลากับหญิงชรา วิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็หันมองไปทางหอซิ่วโหลว ตะโกนเสียงดังว่า “ในหนังสือบอกไว้ว่า ขอให้คนรักกันได้ครองเรือนเคียงคู่กันในท้ายที่สุด!”


ผีชางและผีสาวที่อยู่บนหอซิ่วโหลวหันมาส่งยิ้มรู้ใจให้แก่กัน


แม้ว่าสองสามีภรรยาจะไม่ใช่ “คน” มานานแล้ว แต่นี่จะเป็นอะไรไปเล่า


เด็กหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกรอบไม้ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าวิ่งถอยหลังไปทั้งอย่างนั้น โบกมือบอกลากับหญิงชราอีกครั้ง “ท่านยาย ท่านทำหน่อไม้ผัดเนื้อได้อร่อยสุดๆ ไปเลย! คราวหน้าข้าจะมาหาใหม่นะ!”


หญิงชรายืนอยู่ตรงหน้าประตู คลี่ยิ้มอ่อนโยน มองเด็กหนุ่มที่ร่างอาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงแดดแล้วถอนหายใจเบาๆ


……


คนทั้งกลุ่มมาถึงจวนเจ้าเมืองของเมืองแยนจือ ตัวใต้เท้าเจ้าเมืองกำลังจัดการกิจธุระอยู่ในห้องทำงาน มือดาบเคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงนั่งอยู่ในห้องรับแขกที่เรียบง่ายสง่างาม ดื่มน้ำชาที่สาวใช้ยกมาวางให้ ส่วนหลิวเกาหวานั้นพาเฉินผิงอันไปยังห้องหนังสือของบิดาเขา ทำท่าลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมย เพราะเฉินผิงอันขอแผนที่เมืองแยนจือจากเขา แถมยังต้องเป็นฉบับที่มีตราประทับจากทางราชสำนักด้วย แม้ว่าหลิวเกาหวาจะไม่เข้าใจ แต่พอนึกถึงว่าครั้งนี้สามารถรอดชีวิตออกมาจากบ้านโบราณได้ แถมยังได้พบเจอภูตผีปีศาจกับตาตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้นั่งดื่มสุราร่วมโต๊ะกับนาง พอคิดถึงเรื่องนี้ หลิวเกาหวาก็พลันห้าวเหิม เห็นใครก็ถูกตาไปหมด จึงตบอกตอบรับว่าจะช่วยเฉินผิงอันขโมยแผนที่ลักษณะชัยภูมิเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อี ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันจ่ายเงินให้เขาถึงห้าสิบตำลึง เดิมทีหลิวเกาหวาอยากจะเอ่ยถ้อยคำประมาณว่าสหายที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมา พูดเรื่องเงินๆ ทองๆ จะทำร้ายความสัมพันธ์ แต่พอเงินหนักๆ เข้ามาอยู่ในมือก็พลันรู้สึกว่าทำร้ายความสัมพันธ์ก็ทำร้ายไปเถอะ ถึงอย่างไรหลังจากนี้ก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้เจอหน้ากันอีกแล้ว


หลิวเกาหวาเดินย่องพาเฉินผิงอันมายังห้องหนังสือ พอปิดประตูแล้วก็เดินไปค้นตามชั้นหนังสือ กว่าจะเจอม้วนภาพเก่าแก่ม้วนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นก็คือแผนที่เมืองแยนจือเก่าคร่ำคร่าส่งกลิ่นหอมเบาบาง นี่คือแผนที่สำรอง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ ภาพแผนที่ที่ทางกองสำนักโหราศาสตร์ของราชสำนักเป็นผู้วาดขึ้นจะวาดสองแผ่น แต่เลือกใช้แผ่นเดียว ภาพหนึ่งต้องแขวนไว้ในห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการ ส่วนอีกภาพหนึ่งมอบให้แม่ทัพฝ่ายบู๊ของท้องถิ่นเป็นผู้เก็บรักษา มีเพียงภาพสำรองนี้เท่านั้นที่ถูกนำมาเก็บไว้ให้ฝุ่นเกาะอยู่ที่นี่


หลังจากแน่ใจว่าไม่ผิดอัน เฉินผิงอันก็พยักหน้าให้ “คืออันนี้แหละ”


เขาต้องจ่ายเงินห้าสิบตำลึงเพื่อซื้อความเป็นไปได้หนึ่งที่มีทางสำเร็จริบหรี่


อาจารย์ฉีเคยบอกว่า หากเจอกับแผนที่ที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกสบายตาสบายใจ สามารถเอาตราประทับแม่น้ำและภูเขาคู่นั้นออกมาประทับลงไปด้านบน โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้หมึก


หลังจากที่ถามตำแหน่งของบ้านโบราณหลังนั้นที่ตั้งอยู่บนแผนที่แล้ว เฉินผิงอันก็หาข้ออ้างบอกให้หลิวเกาหวาช่วยไปเลือกบันทึกการเดินทางอีกสักสองสามเล่มมาจากชั้นหนังสือ ฉวยโอกาสที่บัณฑิตหันตัวกลับไป ฝ่ามือของเฉินผิงอันก็มีตราประทับสองชิ้นที่สมกับคำว่า ‘ภูเขาและแม่น้ำมาบรรจบ’ ปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือตราประทับที่ฉีจิ้งชิ้นเป็นผู้แกะสลักโดยใช้หินดีงูที่ดีที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจู


เฉินผิงอันเป่าลมแรงๆ ใส่ตราประทับทั้งสองชิ้น จากนั้นก็กดลงไปเบาๆ ตรงตำแหน่งที่ตั้งของบ้านโบราณ


ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น เฉินผิงอันจึงม้วนแผนที่มาสอดไว้ใต้รักแร้ หันไปพูดกับหลิวเกาหวาว่า “เรียบร้อยแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ อย่าให้บิดาของเจ้าจับได้ เพราะถ้าถึงเวลานั้นข้าก็ไม่สนใจหรอกนะ ให้เงินเจ้าไปแล้ว แม้ข้าจะไม่ขอคืนจากเจ้าก็จริง แต่ถ้าเจ้าถูกใต้เท้าท่านเจ้าเมืองทุบตีปางตาย อย่างมากข้าก็แค่ช่วยออกเงินค่ายาให้เท่านั้น”


หลิวเกาหวาหยิบหนังสือสองเล่มส่งให้เฉินผิงอันลวกๆ แล้วพากันออกไปจากห้องหนังสือ


เฉินผิงอันแอบถอนหายใจ ในใจคิดว่าแผนการที่ตนวาดไว้ในใจนั้นคงจะไม่สำเร็จแล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ แค่ประทับตราไปทีเดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของฮวงจุ้ยที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยลี้ได้อย่างไร ตนไม่ใช่เทพเซียนสักหน่อย


แต่เฉินผิงอันคิดผิดไปอย่างหนึ่ง


แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เทพเซียน


แต่อาจารย์ผู้ที่สลักตราประทับสองชิ้นนี้


คือเทพเซียนในเทพเซียน


ดังนั้นในรัศมีหลายร้อยลี้ซึ่งมีบ้านโบราณเป็นจุดศูนย์กลาง น้ำและภูเขาพลิกกลับ ไอสกปรกถดถอยสลายหายไป แทนที่มาด้วยปราณวิญญาณที่สะอาดสดชื่น


ศาลเทพภูเขาของเทพภูเขาเถื่อนผู้นั้นแหลกสลายไปในชั่วพริบตา ร่างทองของเทพภูเขาแซ่ฉินก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ


ต่อให้นักพรตเฒ่าแห่งสำนักโองการเทพจะยอมละเว้นเขา มาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ถ่ายทอดแผนการอันยอดเยี่ยมให้ นี่ทำให้เทพภูเขาดีใจสุดขีด รู้สึกเพียงว่าเมื่อความทุกข์ยากผ่านพ้น ความสุขสมหวังก็มาเยือน ในที่สุดโชคดีของตนก็มาแล้ว! ไม่ต้องเป็นเทพภูเขาเถื่อนที่มีชีวิตอยู่รอดไปเพียงวันๆ อีกต่อไป จะได้กลายมาเป็นองค์เทพที่แท้จริงซึ่งมีสำนักโองการเทพให้การสนับสนุน!


ดังนั้นนาทีที่ร่างทองของเขาแหลกสลาย เขาก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนแท่นบูชาสูง ปล่อยให้ร่างของตัวเองแหลกสลายไปทั้งอย่างนั้น


ตอนนั้นจ้าวหลิวแห่งสำนักโองการเทพกำลังพาเด็กรุ่นหลังออกไปจากเมืองเล็ก เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ในทันที


จ้าวหลิวนักพรตเฒ่าอึ้งงันราวกับไก่ไม้


หรือว่ากุมารทองของสำนักลงมือเอง?


แต่ต่อให้เป็นกุมารทอง ตอนนี้เขาก็ยังไม่มีวิชาอภินิหารระดับนี้กระมัง?


เด็กรุ่นหลังของสำนักโองการเทพคนอื่นๆ ก็ยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข


มีเพียงนักพรตน้อยที่มองดูเหมือนหวาดผวาคนนั้นที่ก้มหน้าลง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เด็กชายกำลังแอบหัวเราะกับตัวเอง “มารดามันเถอะ มารดามันเถอะ ข้าก็บอกแล้วไงว่าไอ้หมอนั่นคือตะพาบเฒ่าที่มีอายุหลายร้อยปีแล้ว เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของเขาแน่นอน ฮ่าๆ กลับไปเจออาจารย์ในสำนักเมื่อไหร่ ข้าจะต้องโอ้อวดกับเขาสักหน่อยว่าคราวนี้ข้าได้เจอกับเซียนห้าขอบเขตบนแล้ว!”


 ทางฝั่งของหอซิ่วโหลว ผีชางหยางหว่างไม่สนใจแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาเผาไหม้ดวงวิญญาณอีกต่อไป เขาบินทะยานขึ้นไปบนหลังคาของหอซิ่วโหลวอย่างรวดเร็ว เพ่งสายตามองไป รอบด้านมีแต่พลังแห่งชีวิตชีวา ปราณวิญญาณเป็นเส้นๆ ไหลมารวมกันจากสี่ด้านแปดทิศ ใบหน้าของบุรุษเต็มไปด้วยความตกตะลึงและดีใจอย่างบ้าคลั่ง


ผีสาวก็ยิ่งแหวกหลังคาหอเรือนให้ทะลุ ปล่อยให้เรือนกายอัปลักษณ์เบื้องล่างกระโปรงเผยตัวออกมาท่ามกลางแสงแดด นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงอากาศสดชื่น สูดลมหายใจได้อย่างราบรื่น


หยางหว่างตาแดงก่ำ กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ต้องมีอริยะให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน! ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของอาจารย์อา ภาพเหตุการณ์ของที่แห่งนี้จึงปรากฎอยู่ในสายตาของเทพเซียนเฒ่าบางคนในสำนักโองการเทพ จึงประทานความเมตตามาให้ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือเรื่องดีที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า เป็นเรื่องดีที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าฝันถึง…”


บุรุษสะอื้นในลำคอ พอคืนสติก็รีบลงไปนั่งคุกเข่า โขกหัวคำนับให้กับสี่ทิศทาง


ผีสาวก็คุกเข่าคารวะไปสี่ทิศอย่างจริงใจเช่นกัน


……


หญิงชราที่ยืนอยู่ในเรือนพักชั้นสามก็กำลังคำนับฟ้าดินสี่ทิศ


หญิงชราที่ทั้งชีวิตนี้แทบไม่เคยดื่มเหล้าจู่ๆ กลับอยากจะเทเหล้าให้ตัวเองดื่มสักถ้วย ไม่อร่อยก็ไม่อร่อยเถอะ ถึงอย่างไรชีวิตนี้ก็อยู่มาจนคุ้มแล้ว ยาวนานเท่ากับสองชีวิตของคนอื่นแล้ว


หญิงชราเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องครัว มือหนึ่งถือถ้วยเหล้า อีกมือหนึ่งถือกระบวยตักเหล้า สอดกระบวยเข้าไปในไหเหล้าใบหนึ่งที่ถูกปิดผนึกด้วยดินเหนียวมานานปี ทำไมเหล้าถึงได้เหลือน้อยแค่นี้ ไม่มีเหตุผลเลย หญิงชราอึ้งตะลึงด้วยความกังขาเล็กน้อย จากนั้นหัวคิ้วของนางก็ขมวดมุ่น สุดท้ายถึงกับรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ หญิงชราโยนกระบวยตักเหล้าลงบนพื้น ลุกพรวดขึ้นยืน พึมพำกับตัวเอง “จะเป็นไปได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร!”


นางปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มได้ หยิบกระบวยขึ้นมาใหม่ เอาไปตักเหล้าที่เหลือไม่ถึงครึ่งไห จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องครัว นั่งลงบนม้านั่งตัวยาวบนระเบียง มองแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนพื้นดินของลานบ้านอย่างเงียบสงบ หญิงชราจิบเหล้าอึกเล็กๆ น้อยครั้งนักที่นางซึ่งมีเส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะจะมีเวลาว่าง ในมือไม่มีงานให้ทำ ในใจไม่มีเรื่องให้เป็นกังวลอย่างในเวลานี้


ก่อนหน้านี้ก็เป็นวันที่มีแสงอาทิตย์อบอุ่นสาดส่องอย่างในเวลานี้ มีเด็กหนุ่มผู้มาจากทางทิศเหนือคนหนึ่งชื่อว่าเฉินผิงอัน เขาสะพายกล่องไม้ วิ่งเหยาะๆ ถอยหลัง โบกมือบอกลากับหญิงชราด้วยรอยยิ้ม


ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเล็กๆ สีชาด ด้านในมีเหล้า มีกระบี่ มียุทธภพ


ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มเซียนกระบี่ขี้เมาคนหนึ่ง


หญิงชราดื่มเหล้าพลางอมยิ้มครุ่นคิด เด็กหนุ่มนิสัยดีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นเด็กสาวที่เขาชอบ จะเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดไหน?


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)