อัจฉริยะสมองเพชร 2192-2193

 ตอนที่ 2192 ปลีกวิเวก

ตอนที่จางเซวียนไต่เต้าขึ้นมา จิตวิญญาณของเขาได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้า เปลวเพลิงสวรรค์ และทรัพยากรทางธรรมชาติทุกชนิด ทำให้มีความแข็งแกร่งเหนือชั้น ด้วยเหตุนี้ การฝ่าด่านวรยุทธของเขาจึงยากกว่ากันมากหากเปรียบเทียบกับนักรบคนอื่นๆ


แม้เลือดของอสูรหม่าหยางกับหญ้าโบราณอสูรเขียวจะมีศักยภาพสูง แต่ก็เพียงพอให้เขายกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงเท่านั้น ยังห่างไกลจากการเข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง


แต่ก็นั่นแหละ เมื่อทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ สุดท้ายจางเซวียนก็ยกระดับวรยุทธของพลังปราณได้ด้วย


จางเซวียนใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณครู่หนึ่งก่อนจะนำขวดยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าออกมา เขากลืนมันลงไปโดยไม่ลังเล และถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณผ่านเส้นทางการไหลเวียนแบบพิเศษของเทคนิควรยุทธเวทนาสวรรค์


ด้วยวิธีนั้น ไม่ช้าจางเซวียนก็ฝ่าด่านคอขวดได้สำเร็จ


ตอนนี้เขามียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าจำนวนมากอยู่กับตัว จึงไม่ต้องกังวลว่าจะสิ้นเปลือง เขากลืนมันลงไปเรื่อยๆ ทำให้มีแรงผลักดันมากพอที่จะกระตุ้นการฝ่าด่านวรยุทธ


ฟึ่บ!


เวลาของโลกภายนอกผ่านไปเพียง 2-3 วินาที แต่รังสีของจางเซวียนเปลี่ยนไปจนน่าทึ่ง วรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้นจากระดับเทพเจ้าขั้นต่ำไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูง


ถึงจุดนี้ พลังจิตวิญญาณในยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำไม่ค่อยมีประโยชน์กับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้น จางเซวียนคงผลักดันตัวเองให้เป็นเทพเจ้าขั้นสูง-สูงสุดได้


แต่เขาก็พอใจกับความก้าวหน้าที่ได้รับ


ด้วยกายเนื้อและจิตวิญญาณที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูง ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อแม้แต่กับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ บางทีอาจรับมือได้แม้แต่กับจางเจี้ย!


เขาเพิ่งมาถึงเมืองตะวันรอนได้ไม่ถึง 1 วัน แต่ก็ก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของเมืองแล้ว


เรายกระดับวรยุทธได้ แต่ยังไม่มีศิลปะเพลงดาบที่เหมาะสม ขอดูหน่อยเถอะว่าจะคิดค้นขึ้นสักชนิดหนึ่งได้ไหม…จางเซวียนคิดขณะดำเนินการขัดเกลาวรยุทธ


ในเวลานี้ ‘หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม’ ยังทรงพลังอยู่ แต่ออกจะล้าหลังไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับระดับวรยุทธของเขา


ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นศิลปะเพลงดาบที่ออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของคู่ต่อสู้ ทำให้ประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายถูกจำกัด ซึ่งหากเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทรงพลังที่เขาไม่อาจสกัดกั้นอีกฝ่ายได้ ก็คงจนปัญญาและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร


จางเซวียนรีบสำรวจศิลปะเพลงดาบทุกชนิดที่มีอยู่ในหัวและเริ่มปะติดปะต่อมันเข้าด้วยกัน แต่ผ่านไปได้สักพัก ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับส่ายหน้า


การคิดค้นศิลปะเพลงดาบที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เมื่อตอนที่เขาคิดค้นหัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม ตอนนั้นเขากำลังเผชิญกับแรงกดดันหนักหน่วงของรอยประทับของจิตวิญญาณที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ในหอเทพเจ้า ซึ่งในช่วงเวลาคับขันนั้นเองที่เขาคิดค้นมันได้สำเร็จ


ในเวลานี้ จางเซวียนรู้สึกได้ว่าศิลปะเพลงดาบจ่ออยู่ที่ปลายนิ้วของเขา รอคอยการเติมเต็มให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ถึงเขาจะแตะต้องมันไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากศิลปะเพลงดาบนั้น


จนกว่าเขาจะค้นพบว่าสิ่งที่หายไปคืออะไร ศิลปะเพลงดาบนี้ก็จะยังคงไม่สมบูรณ์


“เราคงต้องต่อสู้อีกสักครั้งเพื่อสร้างแรงกดดัน…”


รู้ดีว่าปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ด้วยการครุ่นคิด จางเซวียนส่ายหัวและออกจากห้อง


นับตั้งแต่เขาเริ่มปลีกวิเวกจนถึงสิ้นสุด เพราะเขาใช้ประสิทธิภาพของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เมื่อรวมแล้ว เวลาของโลกภายนอกจึงผ่านไปแค่ 20 วินาทีเท่านั้น แต่วรยุทธของจางเซวียนเปลี่ยนแปลงไปมาก


ตอนนี้เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างน้อยก็หลายเท่า


…..


“ภูเขาสวรรค์สร้างใกล้จะเปิดแล้ว ในช่วงเวลาแบบนี้ ทำไมนายน้อยยังมัวปลีกวิเวกอยู่อีก?”


ซุนฉางเดินงุ่นง่านไปมาอยู่นอกห้องขณะบ่นกับจางเจี้ยซึ่งอารักขาจางเซวียนอยู่ด้านนอก


เพื่อให้ไปทันการเปิดของภูเขาสวรรค์สร้าง พวกเขาต้องออกเดินทางสู่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองเดี๋ยวนี้ แต่นายน้อยยังมัวปลีกวิเวกทั้งๆที่เวลาก็จวนเจียนเต็มที!


ถึงตอนนี้ โควต้าที่พวกเขาได้มาด้วยความยากลำบากแสนสาหัส เอาเถอะ…บางทีคำว่า ‘ยากลำบากแสนสาหัส’ อาจดูเกินไป แต่จะต้องเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่แน่หากทุกคนพลาดโอกาส!


“เลิกวุ่นวายแถวนี้เสียที ถ้าคุณมีอะไรจะพูดกับเขาล่ะก็ รอให้เขาออกจากการปลีกวิเวกเสียก่อน” จางเจี้ยตอบอย่างหงุดหงิด


“นายน้อยบอกไว้หรือเปล่าว่าจะออกมาเมื่อไหร่? จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจะไปสายนะหากไม่ออกเดินทางตอนนี้ นายน้อยคิดจะตามพวกเขาไปที่ภูเขาสวรรค์สร้างหรือเปล่า?”


ซุนฉางยังคงระงับอาการประสาทกินไม่ได้


การเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างและตามหารังสีสวรรค์ย่อมมาพร้อมกับอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วนายน้อยคิดจะปล่อยพวกเขาไปจริงๆหรือ? ไม่มีคำแนะนำใดๆให้บ้างหรือไง?


“นายน้อยไม่ได้บอกไว้ว่าจะปลีกวิเวกนานแค่ไหน แต่ต่อให้เขาจะรวดเร็วอย่างไร อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ที่ผ่านมา…การปลีกวิเวกของผมน่ะมักใช้เวลานานหลายเดือน ผมจะกินผลไม้และดื่มน้ำบ้างก็ต่อเมื่อหิวจริงๆเท่านั้น การปลีกวิเวกจะมีความหมายอะไรถ้าไม่ใช้เวลานานๆ?”


วัตถุประสงค์ของการปลีกวิเวกก็เพื่อโยนทุกเรื่องที่ทำให้วอกแวกทิ้งไป และสนใจเฉพาะการฝึกฝนวรยุทธเท่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว นักรบผู้ปลีกวิเวกจะไม่ใส่ใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก ด้วยการจดจ่อเฉพาะกับการยกระดับวรยุทธ เขาจะพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าธรรมดา


“ก็…” ซุนฉางกำหมัดแน่นอย่างขัดใจก่อนในที่สุดจะพ่นลมหายใจยาว “ช่างมันเถอะ เราไปกันเองก็ได้ ผมคิดว่ากว่านายน้อยจะออกจากการปลีกวิเวก พวกเราคงได้เป็นเทพเจ้ากันหมดแล้วล่ะ…”


แอ๊ดดดดด!


ขณะที่ซุนฉางกำลังจะหันหลังกลับและจากไป ประตูก็เปิดออก จางเซวียนเดินออกมา “ไปด้วยกันนี่แหละ ผมจะพลาดการเดินทางเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างของพวกคุณได้อย่างไร?”


“นายน้อย แล้วคุณไม่ปลีกวิเวกหรือ?” ซุนฉางงุนงง


“ผมก็ปลีกแล้วไง” จางเซวียนตอบ


“คุณเสร็จสิ้นการฝึกฝนวรยุทธแล้ว?” จางเจี้ยก็งง


เพิ่งผ่านไปไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำตั้งแต่จางเซวียนเดินเข้าห้อง ปลีกวิเวกชนิดไหนกันถึงรวดเร็วได้ขนาดนั้น? มันกลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ด้วยความงงกับเรื่องราวตรงหน้า จางเจี้ยพิจารณาจางเซวียนอย่างถี่ถ้วน สิ่งที่เห็นทำให้ใบหน้าของเขากระตุกไม่หยุด แทบลมจับเดี๋ยวนั้น


“นะ-นายน้อย คุณสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงแล้วหรือ?”


เพราะจางเซวียนไม่ได้จงใจปกปิดวรยุทธของเขา จางเจี้ยจึงดูออกทันทีว่าอีกฝ่ายยกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงได้ภายในเวลาเพียง 2-3 วินาทีที่เขาอยู่ในห้อง


“ใช่ โจมตีผมเลย ผมฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว อยากทดสอบพละกำลังสักหน่อย” จางเซวียนตอบอย่างตื่นเต้น


อสูรเกราะเรืองแสงเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง เขาคิดว่ามันคงสร้างแรงกดดันได้มากพอที่จะทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้อีกครั้ง


“เอ่อ…ก็ได้!”


แม้จะยังสับสนกับการพัฒนาอย่างพรวดพราดของจางเซวียน แต่จางเจี้ยก็ง้างหมัดและโถมแรงเข้าใส่ชายหนุ่ม


ครืนนนนน!


พื้นสั่นสะเทือน คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกไปโดยรอบ


จางเจี้ยใช้พละกำลังเต็มพิกัดของเทพเจ้าสวรรค์สร้างสำหรับการโจมตีครั้งนี้ พละกำลังที่เขาสำแดงออกมาถือว่าไม่ธรรมดา รุนแรงจนดูราวกับบ้านพักทั้งหลังพร้อมจะพังทลาย


จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขาก้าวออกมาแล้วแตะหมัดของจางเจี้ยเบาๆ


ฟึ่บ!


หมัดของจางเจี้ยค้างอยู่กลางอากาศ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ราวกับถูกตรึงไว้ตรงนั้น


รู้ดีว่าต่อให้ออกแรงมากกว่านี้ก็คงทำอันตรายจางเซวียนไม่ได้ จางเจี้ยถอนหมัดและตั้งข้อสังเกตอย่างไม่อยากเชื่อ “นายน้อย นอกจากยกระดับวรยุทธของพลังปราณ ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของคุณยังเข้าถึงระดับเทพเจ้าขั้นสูงด้วย…”


“ผมมีเวลาเหลือเฟือน่ะ ก็เลยฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ” จางเซวียนตอบ


“เหลือเฟือ?”


จางเจี้ยสั่นไปทั้งตัว


คุณตั้งใจจะยั่วโมโหผมหรือไง?


การปลีกวิเวกที่ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 นาทีนี่นะ แล้วคุณบอกผมว่าคุณมีเวลาเหลือเฟือ? ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าหลายเดือนที่ผมใช้ไปกับการปลีกวิเวกไม่มีประโยชน์เลยน่ะสิ ใช่ไหม?


บ้าบออะไรอย่างนี้…


จางเจี้ยรู้สึกราวกับว่าสามัญสำนึกทั้งหมดของมันกำลังถูกท้าทาย


ตอนที่ทั้งคู่ยังอยู่ในหุบเขา อสูรเกราะเรืองแสงเคยปะทะกับจางเซวียนหลายครั้ง โดยแม้กายเนื้อของอีกฝ่ายจะทรงพลัง แต่วรยุทธของพลังปราณและจิตวิญญาณยังถือว่าอ่อนด้อย


แต่ภายในไม่ถึง 1 นาที ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะยกระดับวรยุทธได้อย่างพรวดพราด ที่สำคัญกว่านั้น เขายังประสานทั้ง 3 ส่วนเข้าหากันได้อย่างกลมกลืน เกิดเป็นสมดุลแบบที่ตัวมันไม่เคยทำได้แม้จะตั้งใจฝึกฝนวรยุทธมากว่าร้อยปี


อสูรเกราะเรืองแสงหันไปมองซุนฉางโดยอัตโนมัติ คาดว่าจะได้เห็นอีกฝ่ายแสดงอาการตกตะลึง แต่สิ่งที่มันเห็นกลับเป็นสีหน้าแบบ ‘ก็ตามนั้น’


ราวกับพ่อบ้านไม่ได้แปลกใจสักนิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น


นี่หมายความว่าพ่อบ้านรู้อยู่แล้วว่าจางเซวียนจะต้องฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้นใช่ไหม?


นี่มันกำลังยุ่งเกี่ยวกับคนชนิดไหนกัน?


ขณะที่อสูรเกราะเรืองแสงปวดหัวจนไปต่อไม่ถูก ก็เห็นพู่สีเหลืองอันหนึ่งแวบๆทางหางตา แล้วจู่ๆ ไก่สีเหลืองตัวเล็กจ้อยที่ดูอ่อนระโหยโรยแรงก็ปรากฏตัวบนไหล่ของจางเซวียน


“แกตื่นแล้วหรือ?” จางเซวียนถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความโล่งใจ


“ใช่ นี่คุณได้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ามาจำนวนหนึ่งใช่ไหม? ดีเลย ผมกำลังหิว…” ไก่น้อยพึมพำ ดวงตาหรี่ปรือเหมือนคนที่กำลังงัวเงียหลังจากเพิ่งตื่น


เห็นภาพนั้น อสูรเกราะเรืองแสงโมโหเดือดจนตวาดก้อง “บังอาจ! ในฐานะอสูร คุณเรียกร้องข้าวของต่างๆจากนายน้อยได้อย่างไร? แบบนี้ไม่เหมาะสมนะ!”


มันไม่รู้ว่าทำไมจางเซวียนถึงเลี้ยงไก่ตัวนี้ แต่อสูรควรรู้ที่ต่ำที่สูง จะมาเรียกร้องขออาหารจากเจ้านายได้อย่างไร? ถ้าอสูรทั่วทั้งโลกพากันทำตัวแบบนี้ ศักดิ์ศรีของเจ้านายจะมีอะไรเหลือ?


“คุณน่ะเป็นใคร?” ไก่สีเหลืองตัวเล็กจ้อยหันมาจ้องอสูรเกราะเรืองแสงที่อยู่ในสภาพมนุษย์จากหัวจรดเท้า จากนั้นก็เหยียดริมฝีปากขณะพึมพำ “อสูรเกราะเรืองแสงนี่เอง รสชาติคงไม่เลว…”


ฟึ่บ!


ยังไม่ทันที่อสูรเกราะเรืองแสงจะได้ตอบโต้ ไก่น้อยก็อ้าปากกว้างและงาบมันเข้าไปทั้งตัว


“แกทำอะไรน่ะ? รีบคายออกมา! มันคืออสูรที่ฉันเพิ่งพามาเมื่อไม่นานนี้เอง!” จางเซวียนอุทานด้วยความตกใจ เขารีบจับหัวไก่น้อยเขย่า


นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้านี่จะสร้างความปั่นป่วนทันทีที่ได้สติ


ตอนที่ 2193 กล้ากินฉันได้อย่างไร?

ไก่น้อยปรากฏตัวได้เพียงไม่ถึง 1 นาที แต่จางเซวียนก็เริ่มคิดถึงชีวิตอันสงบสุขของเขาตอนที่มันไม่อยู่เสียแล้ว…


แค่คิดถึงปัญหาต่างๆที่ไก่น้อยสร้างขึ้นก็เกินพอจะทำให้เขาหมดแรง


ส่วนไก่น้อย เมื่อได้ยินคำพูดของจางเซวียน ก็มองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับทำปากยื่นอย่างขัดใจ ราวกับจะประท้วงคำสั่งนั้น แต่จางเซวียนก็ยังจ้องเขม็ง


มันจึงขย้อนอสูรเกราะเรืองแสงออกมาอย่างไม่เต็มใจพร้อมกับคำราม


ถึงตอนนี้ อสูรเกราะเรืองแสงกลายร่างกลับสู่สภาพเดิมแล้ว แค่คิดว่ามันถูกไก่ตัวหนึ่งที่มีวรยุทธเพียงแค่ระดับเทพเจ้าขั้นต่ำงาบหัว โทสะของมันก็พุ่งพรวดจนแทบจะทะลุเพดาน


“แกช่างอาจหาญนัก กล้ากินฉันได้อย่างไร? ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”


อสูรเกราะเรืองแสงคำรามเดือดใส่ไก่น้อย


จางเซวียนกำลังจะห้ามอสูรเกราะเรืองแสง แต่เจ้าไก่น้อยที่แสนจะปากกล้าก็ส่ายก้นอย่างรื่นเริงบันเทิงใจและยั่วโมโหต่อไป “ก็เร็วเข้าสิ รีบมาฉีกผมเป็นชิ้นๆ ฉีกเป็นพันๆชิ้นเลยก็ได้! ไม่อย่างนั้น อสูรตัวบิ๊กเบิ้มแรงเยอะอย่างคุณจะมีหน้าอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้อย่างไรหลังจากถูกไก่ตัวจ้อยอย่างผมงาบหัว?”


“แก…” อสูรเกราะเรืองแสงแทบคลุ้มคลั่ง


บ้าที่สุด! ไก่ตัวจิ๋วแบบแกมีดีอะไรให้อวด?


พลั่ก!


กรงเล็บทรงพลังตะปบลงมาและเล่นงานไก่น้อยจนล้มกลิ้ง แต่เมื่ออสูรเกราะเรืองแสงเงื้อกรงเล็บขึ้นเพื่อดูผลงาน ก็เห็นว่าไม่เพียงแต่ไก่น้อยจะยังไม่ตาย มันยังนั่งไขว่ห้างอย่างสบายใจด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย “แรงกว่านี้หน่อยเถอะ! ยังไม่ได้กินข้าวหรือไง?”


อสูรเกราะเรืองแสงเกือบสติแตก


มันตะปบกรงเล็บอีกหลายครั้ง เกิดความสั่นสะเทือนหนักหน่วงเสียจนผนังที่อยู่โดยรอบแทบจะทรุดตัว แต่จนแล้วจนรอด ไก่น้อยสีเหลืองก็ยังคงไม่เป็นอะไร แถมยังมองเขาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย


ต่อให้อสูรเกราะเรืองแสงจะด้อยปัญญาสักแค่ไหน ก็เห็นชัดแล้วว่าไก่ตัวนี้ไม่ใช่อสูรระดับเทพเจ้าขั้นต่ำธรรมดา มันรีบคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ก่อนจะมองจางเซวียนอย่างร้อนใจ “นายท่าน!”


“พอที เลิกวุ่นวายได้แล้ว! ไก่น้อย ถ้าแกอยากตายล่ะก็ เดี๋ยวฉันจะพาแกไปที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง ดูว่าพอจะทำวิธีไหนได้บ้าง” จางเซวียนพูด


หลังจากถูกย่างจนเกือบตายมา 2 ครั้ง ไก่น้อยก็รู้แล้วว่าวิธีการยกระดับวรยุทธของมันคือต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตาย มันจึงหวาดกลัวความตายน้อยลงเรื่อยๆ


ส่วนไก่น้อย เมื่อเห็นอสูรเกราะเรืองแสงหยุดโจมตี ก็ปัดฝุ่นออกจากตัวก่อนจะกระพือปีกเล็กจ้อยเพื่อบินกลับไปเกาะที่ไหล่ของจางเซวียน


หลังจากได้ผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ แม้วรยุทธของมันจะไม่ได้พัฒนามากนัก แต่ประสิทธิภาพการป้องกันตัวก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ต่อให้อสูรเกราะเรืองแสงซึ่งมีวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็ไม่อาจสังหารมันได้ง่ายๆ


ไก่น้อยมองหน้าอสูรเกราะเรืองแสงอย่างเยาะเย้ยก่อนจะพูดต่อ “เอาน่ะ อย่าโมโหโกรธาไปเลย ผมน่ะเป็นอสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน ก็เป็นธรรมดาที่คุณจะฆ่าผมไม่ได้ ฝึกฝนให้หนักเข้าไว้ แล้วผมจะพิจารณารับคุณเป็นน้องชาย!”


“คุณอยากให้ผมเป็นน้องชาย?” อสูรเกราะเรืองแสงคำราม “ผมฆ่าคุณไม่ได้ก็จริง แต่คุณก็ทำอะไรผมไม่ได้เหมือนกันแหละ ผมไม่มีทางยอมเป็นน้องชายของคุณเด็ดขาด เลิกฝันกลางวันเสียดีกว่า!”


“ฝันกลางวัน?” ไก่น้อยหัวเราะลั่น


จากนั้นมันก็ทำตาโต นัยน์ตาที่เหมือนลูกปัดของมันจับจ้องอสูรเกราะเรืองแสงก่อนจะแผ่รังสีทรงพลังออกมา


ฟึ่บ!


อสูรเกราะเรืองแสงทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและรีบโค้งคำนับอย่างงาม “พี่ใหญ่!”


“ต้องแบบนี้สิ!” ไก่น้อยพยักหน้าอย่างพอใจ


ส่วนอสูรเกราะเรืองแสงก็ได้แต่ปาดเหงื่อ


มันเคยคิดว่าเจ้าไก่นี่คงเป็นแค่อสูรสวรรค์ธรรมดา แต่ทันทีที่อีกฝ่ายปลดปล่อยพละกำลังของสายเลือดออกมา มันก็รู้สึกราวกับจะถูกทั้งโลกถล่มทับ สายเลือดของมันที่มันเคยภาคภูมิใจนักหนาไม่มีความสำคัญอะไรเลยเมื่อเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย!


เจ้าไก่น้อยตัวนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นอสูรสวรรค์ชนิดไหน?


เพียงแค่วันเดียว อสูรเกราะเรืองแสงพบเรื่องชวนตกตะลึงหลายครั้งจนมันรู้สึกเหมือนจะเสียสติ


พูดกันตามตรง มันรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าที่อสูรระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างอย่างมันต้องยอมรับนักรบที่มีวรยุทธแค่ระดับเทพเจ้าเป็นเจ้านาย แต่ด้วยทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดูเหมือนมันต่างหากที่เป็นฝ่ายได้ประโยชน์!


“ภูเขาสวรรค์สร้างอยู่ไกลจากเมืองตะวันรอนมาก และมีฉนวนซึ่งเป็นผลงานของจอมราชันย์ปิดกั้นอยู่โดยรอบ ไม่มีทางจะไปถึงที่นั่นด้วยวิธีการแบบธรรมดาได้ เส้นทางเดียวก็คือผ่านค่ายกลทะลุมิติที่อยู่ในเมือง”


จางเซวียนไม่ใส่ใจสงครามระหว่างอสูรเกราะเรืองแสงกับไก่น้อย เขาตั้งใจฟังคำอธิบายของซุนฉาง


แม้เขาจะได้ฟังเรื่องภูเขาสวรรค์สร้างมาบ้าง แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนและจะได้รังสีสวรรค์มาอย่างไร


“แต่ละเมืองจะได้โควต้าจำนวนหนึ่งทุกปี และผู้ที่ได้โควต้าจะถูกส่งทะลุมิติตรงเข้าสู่ใจกลางภูเขาสวรรค์สร้าง เมื่ออยู่ที่นั่น พวกเขาจะต้องหาตำแหน่งของรังสีสวรรค์ที่อยู่ในภูเขาให้ได้ จากนั้นก็ซึมซับมันและผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธ แต่เรื่องจริงไม่ง่ายแบบนั้น มีผู้คนมากมายที่เคยเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ…” ซุนฉางรีบเล่ารายละเอียดเท่าที่เขารู้


“ไปดูที่นั่นกันเถอะ ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยากเกินไปสำหรับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม


เขาไม่ห่วงจ้าวหย่า ท่านพ่อท่านแม่ และคนอื่นๆที่เหลือ แต่นั่นแหละ…บางทีอาจยกเว้นซุนฉาง


เพราะแม้ทุกคนจะเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ประสบการณ์ที่คนเหล่านั้นได้รับจากทวีปแห่งปรมาจารย์กับมิติเบื้องบนจัดว่าเหนือกว่าผู้เข้าท้าทายโดยทั่วไปจากสรวงสวรรค์แห่งนี้ คนอื่นอาจมีโอกาสล้มเหลว แต่หากเป็นบรรดาศิษย์สายตรงกับท่านพ่อท่านแม่ของเขา จางเซวียนก็นึกภาพความล้มเหลวไม่ออก


พูดกันง่ายๆ ศิษย์สายตรงทั้งกลุ่มคงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นศิษย์ของเขาหากคนเหล่านั้นทำไม่ได้!


“ตามพวกนั้นไปติดๆนะ พยายามใช้โอกาสนี้เข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าให้ได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกทิ้งให้ล้าหลัง” จางเซวียนสั่งการ


“ผมเข้าใจ” ซุนฉางพยักหน้า


ถึงตอนนี้ ทุกคนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วและพร้อมออกเดินทาง พวกเขามุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองทันที


จุดที่ผู้ได้โควต้าจะถูกส่งทะลุมิติไปยังภูเขาสวรรค์สร้างคือจัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ทั้งกลุ่มก็มาถึงที่หมาย ในตอนนั้น ทั้งจัตุรัสคลาคล่ำไปด้วยผู้คน


เมืองตะวันรอนไม่ใช่เมืองที่จัดว่าใหญ่โตสำหรับสรวงสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับโควต้าถึง 1,200 ที่ แถมผู้เข้าท้าทายส่วนใหญ่ยังมีสมาชิกในครอบครัวและมิตรสหายมาส่ง ด้วยเหตุนี้ จัตุรัสกว้างใหญ่นั้นจึงมีผู้คนรวมตัวกันอยู่แน่นขนัด


…..


“นายน้อยจางเซวียน เชิญทางนี้!”


ยังไม่ทันที่ทั้งกลุ่มจะได้เข้าสู่จัตุรัส ชายชราคนเดิม, หยิงเฟย, ก็รีบเดินเข้ามาหาและเชื้อเชิญทุกคนด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกความเคารพ


ภายใต้การนำของหยิงเฟย พวกเขาถูกนำตัวไปยังห้องหนึ่ง


อู๋ฟังชิงนั่งอยู่ข้างในแล้วตอนที่พวกเขาไปถึง


เมื่อเห็นกลุ่มของจางเซวียน เขารีบลุกขึ้นและยิ้มให้ “นายน้อยจางเซวียน เชิญนั่ง”


จางเซวียนพยักหน้าขณะมองไปรอบๆห้อง


มีคนราว 20 คนอยู่ในนั้น ซึ่งจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ข้างอู๋ฟังชิง


เท่าที่ดูจากรังสีที่พวกเขาแผ่ออกมา ก็บอกได้ไม่ยากว่าคนกลุ่มนี้คือผู้ที่ทรงพลังและมีอิทธิพลที่สุดในเมืองตะวันรอน


จางเซวียนเดินตรงไปยังที่นั่งทางขวาของอู๋ฟังชิงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ลังเล


ทันทีที่ก้นแตะเก้าอี้ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางแถวก็มองมาด้วยสายตาตั้งคำถาม “เจ้าเมืองอู๋ คุณจะไม่แนะนำสหายท่านนี้ของคุณให้พวกเรารู้จักหน่อยหรือ?”


คนอื่นๆต่างรีบหันมามอง


พวกเขาก็อยากรู้จักตัวตนของจางเซวียนเช่นกัน


มารยาทถือเป็นสิ่งสำคัญมากในหมู่ชนชั้นสูง เพราะเป็นสัญลักษณ์ของพละกำลัง อาวุโส และอำนาจ โดยเฉพาะการปฏิบัติตัวต่อผู้ที่มีอาวุโสสูงกว่า


ที่นั่งที่จางเซวียนนั่งอยู่เป็นที่ที่จัดไว้สำหรับผู้ที่มีสถานภาพสูงส่งกว่าพวกเขา ซึ่งหากอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงสักคนของเมืองตะวันรอน พวกเขาคงปล่อยผ่าน


แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็ดูอายุน้อยเกินกว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนั้น แถมวรยุทธก็ไม่ได้โดดเด่นด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ


“เอ่อ เขาคือน้องจางเซวียน เขาพากลุ่มลูกศิษย์มาที่นี่เพื่อท้าทายภูเขาสวรรค์สร้าง” อู๋ฟังชิงพูดขณะมองไปที่จ้าวหย่ากับพรรคพวก


“ลูกศิษย์?”


คำนี้ทำให้ฝูงชนยิ่งสงสัยมากขึ้นอีก ชายหนุ่มที่อายุน้อยขนาดนี้…แท้ที่จริงเป็นอาจารย์หรือ?


พวกเขาหันไปมองจ้าวหย่ากับพรรคพวก จากนั้นก็พากันขมวดคิ้ว


เท่าที่เห็น การที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าทั้งที่มีอายุราว 18-19 ปีแล้วก็บ่งบอกชัดว่าสติปัญญาของคนเหล่านี้ยังอ่อนด้อย!


“เจ้าเมืองอู๋ ผมเข้าใจว่าคุณคงมีเหตุผลของคุณที่เลือกจัดที่นั่งแบบนี้ แต่ผู้คนมากมายกำลังจับตามองคุณอยู่ ผมรู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความชอบธรรมเพื่อเป็นการให้เกียรติพวกเราทุกคนที่นี่ ถ้าน้องจางเซวียนกับลูกศิษย์ของเขามีความสามารถหรือมีทักษะโดดเด่นจริงๆล่ะก็ ผมก็จะยอมรับ…แต่บอกตามตรงนะว่าผมไม่เห็นว่าพวกเขาจะคู่ควรกับการได้รับเกียรติสูงส่งขนาดนี้ ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งออกความเห็น


“พวกเราจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อให้ได้มาอยู่ตรงนี้ แต่ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นน้องจางเซวียนในการประมูล ผมว่ามันไม่เหมาะสมนะที่คุณจัดที่นั่งให้เขาเกินหน้าเกินตาพวกเรา แถมเขายังพาคนมาด้วยตั้งมากมาย!” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเสริม


“จัดที่นั่ง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาก็แค่นั่งลงตามคำเชิญของเจ้าเมืองเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าการจัดลำดับที่นั่งจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้


จางเซวียนมีสีหน้างุนงง เขาหันไปมองอู๋ฟังชิงและได้ยินข้อความทางโทรจิตจากอีกฝ่าย “นายน้อยจางเซวียน ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้แจ้งให้คุณทราบล่วงหน้า เรื่องเป็นอย่างนี้…หากใครสักคนได้เริ่มต้นในจุดที่ใกล้กับยอดเขามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสได้รับรังสีสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น โดยในทางกลับกัน โอกาสของผู้นั้นจะลดลงมากหากตั้งต้นจากตีนเขา”


“อย่างที่คุณรู้ ภูเขาสวรรค์สร้างจะเปิดทุกๆ 6 เดือน และนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ในสรวงสวรรค์แห่งนี้ก็พยายามจะเข้าสู่ที่นั่นให้ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ค่ายกลทะลุมิติจะส่งทุกคนไปรวมกันที่ตีนเขา เพราะนั่นอาจก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)