ข้ามกาลบันดาลรัก 219.1-219.2
ตอนที่ 219-1 ถูกคนสะกดรอยตาม
จางลี่ตกใจร้องถาม “ท่านแม่ ท่านกับท่านพ่อเห็นพ้องกับการแต่งงานนี้แล้วหรือ?”
ฮูหยินจางคลี่ยิ้มพยักหน้า
“ไกลเกินไป ข้าไม่เห็นด้วย” จางลี่พูดโต้แย้ง
ฮูหยินจางไม่คิดว่าจางลี่จะไม่เห็นด้วย ชะงักเล็กน้อย สีหน้าเริ่มเหยเกดูไม่ได้ กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งห้วน “นับแต่อดีตเรื่องการแต่งงาน ล้วนเป็นบิดามารดาจัดการ เจ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงข้ากับท่านพ่อเจ้าพึงพอใจ การแต่งงานนี้ก็จะถูกกำหนด”
จางลี่ก็มิได้จะไม่ยินยอมจากใจ เพียงแค่รู้สึกว่าอำเภอชิงเหอไกลจากจังหวัดเกินไป รู้สึกห่วงหา ครั้นพอเห็นฮูหยินจางชักสีหน้าเข้ม ก็แลบลิ้นแผล็บๆ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฮูหยินจางเห็นนางรู้กาลเทศะ จึงไม่พูดอะไรที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกระคายเคืองใจต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว แอบถอนใจโล่งอก หันมายิ้มแย้มแล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นางเมิ่งอย่าได้เอาคำพูดลี่เอ๋อร์มาใส่ใจ นางยังเด็ก นางยังไม่รู้ว่าคู่ครองที่ดีสำคัญกับนางมากเพียงใด เจ้ารีบไปรับตัวคุณชายคนนั้นมาให้เร็วที่สุดเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “รบกวนฮูหยินให้คนเตรียมพู่กันกระดาษ ข้าจะเขียนจดหมายถึงเขา อีกอย่างให้คนไปเรียกเหวินเปียวเข้ามา ข้ามีเรื่องจะกำชับเขา”
ฮูหยินจางเปล่งเสียงเรียกสาวใช้สองนางที่เฝ้าประตูด้านนอก สั่งพวกนางไปจัดการสองเรื่องนี้
สาวใช้สองนางรับคำจากไป อึดใจเดียวสาวใช้นางหนึ่งก็นำพู่กันและกระดาษเข้ามา วางลงบนโต๊ะภายในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมา เขียนจดหมายสั้นหนึ่งฉบับ เนื้อความบอกจูหลานว่าตนเองช่วยหาหญิงสาวที่น่าพึงใจให้เขา กำชับเขาหลังจากอ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ให้รีบตามเหวินเปียวเข้าจังหวัดมา
เหวินเปียวตามสาวใช้มาถึงนอกห้องแล้ว ยืนรอในลานบ้านอย่างอ่อนน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวถือจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วมอบให้เขา พูดว่า “พรุ่งนี้พอฟ้าสางเจ้าจงไปที่อำเภอชิงเหอ มอบจดหมายฉบับนี้ให้คุณชายจู พอเขาอ่านจดหมายนี้แล้วให้ตามเจ้ากลับมา”
เหวินเปียวขานรับคำ รับจดหมายมาใส่ในอกเสื้อ หันหลังสาวเท้าออกไปจากลานเรือน
ฮูหยินจางเห็นว่าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว ยกยิ้มพูดว่า “ข้าจะกลับไปบอกนายท่าน ไม่รบกวนพวกเจ้าพูดคุยกันแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ฮูหยินจางเยื้องย่างเอ้อระเหยออกไปจากลานเรือนอย่างแช่มชื่นเบิกบาน
จางลี่ลืมเรื่องที่เมื่อครู่ยังคัดค้านไปจนหมดสิ้น พูดลิงโลด “แบบนี้วันพรุ่งเจ้าก็กลับไม่ได้แล้ว เช่นนั้นคืนนี้พวกเราก็จะนอนดึกได้แล้วสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า จางลี่ดึงนางเข้าไปในห้อง พูดคุยสรวลเสเฮฮาไปถึงยามค่ำดังว่าจริงๆ
ฮูหยินจางกลับไปบอกจางฟู่กุ้ยว่าเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการให้คนไปรับคุณชายท่านนั้นเข้ามาในวันพรุ่งแล้ว พอคิดว่าในที่สุดการแต่งงานของบุตรสาวจะเป็นจริงเสียที สองสามีภรรยาจางถึงกับตื่นเต้นดีใจจนนอนหลับไม่สนิทไปทั้งคืน
สำหรับเมิ่งอี้เซวียนซุนเหลียงไฉและจางเฉิงหลังจากเล่นสนุกกันจนเหนื่อย สุดท้ายนอนเบียดกันบนเตียงใหญ่ภายในห้องจางเฉิง
ค่ำคืนผันผ่าน
เช้าวันต่อมา ฟ้าเพิ่งจะสาง เหวินเปียวก็จูงม้าออกไปจากบ้านจางฟู่กุ้ย พลิกตัวขึ้นหลังม้า มุ่งทะยานตรงไปอำเภอชิงซีเร็วรี่
เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาตื่นในโมงยามที่ต้องตื่นมาฝึกวรยุทธ์ทุกวันอยู่แล้ว หันมองจางลี่ที่ยังหลับสนิทข้างกาย ขยับตัวลุกขึ้น เดินออกไปนอกห้อง
สาวใช้เฝ้าเวรยามหน้าห้องเห็นนางตื่นแล้ว รีบตรงเข้ามาหมายจะถามว่านางต้องการสิ่งใด
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเอามือวางแนบปากส่งเสียง “ชูว์” “เบาๆ อย่าทำคุณหนูของพวกเจ้าตื่น”
สาวใช้ลดเสียงลงต่ำ ถามอย่างนอบน้อม “คุณหนูตื่นเช้าเช่นนี้มีอะไรจะเรียกใช้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่มีอะไร ข้าเพียงคุ้นชินกับการตื่นในยามนี้ทุกวัน ไม่ทราบว่าจวนของพวกเจ้ามีสวนดอกไม้อะไรเทือกนั้นหรือไม่ ข้าอยากจะไปเดินเล่น”
“มีเจ้าค่ะ ข้าจะพาคุณหนูไปเดี๋ยวนี้” สาวใช้ตอบ
“ไม่ต้องรบกวนเจ้าแล้ว เจ้าบอกข้าว่าอยู่ที่ไหน ข้าไปเองก็ได้แล้ว”
สาวใช้พาเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงนอกลานเรือน ชี้บอกทางไปสวนด้านหลังอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ ไม่นานก็เดินมาถึงสวนด้านหลัง มองไปโดยรอบไม่มีคน จึงยืดเหยียดร่างกายตามความเคยชิน แล้ววิ่งเหยาะรอบทางเดินเล็กๆ ในสวน
ท้องฟ้าสว่างแจ้งแล้ว จางลี่ถึงลืมตาตื่น มองดูข้างกายไม่มีเงาของเมิ่งเชี่ยนโยว ถลึงตัวลุกขึ้น ร้องเรียกสาวใช้ถามว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไปไหน
สาวใช้บอกว่าแขกของนางตื่นตั้งแต่ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง เดินไปที่สวนด้านหลังลำพัง
จางลี่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ให้นึกเสียใจยิ่งนัก รีบสวมใส่เสื้อผ้า เตรียมจะไปหาคนที่สวน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเดินกลับเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง
พอเข้ามาในห้อง เห็นจางลี่ใส่เสื้อผ้าเสร็จพอดี ยกยิ้มพูดว่า “เจ้าตื่นแล้ว?”
จางลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดถึงไม่ปลุกข้าด้วยเล่า?”
“ข้าชินกับการตื่นโมงยามนี้ทุกวันเสียแล้ว เห็นเจ้าหลับสนิท จึงไม่ได้ปลุกเจ้า”
จางลี่พูดว่า “ช่างเสียมารยาทนัก หากท่านพ่อท่านแม่ข้าทราบเข้า ได้ตำหนิข้าเป็นแน่แท้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เจ้าไม่บอกพวกเขาก็จบแล้ว อย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้หรอก”
จางลี่ตะลึงงันมองนาง แล้วยิ้มพูด “นี่นับว่าเป็นวิธีที่ดี” พูดจบหันไปกำชับสาวใช้ข้างกาย “พวกเจ้าใครก็ห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่ข้า”
บรรดาสาวใช้ส่งเสียงขานรับ
ทั้งสองจัดการตัวเองเรียบร้อย ฮูหยินจางก็ส่งคนมาเรียกพวกเขาไปกินอาหารเช้า
ทั้งสองเดินจูงมือมาถึงห้องอาหาร คนทั้งหมดมากันครบแล้ว รอเพียงพวกนางสองคน
ฮูหยินจางเห็นพวกนางสนิทสนมรักใคร่กันดี พยักหน้าปลื้มปริ่ม สั่งบ่าวให้รีบยกอาหารเข้ามา
จางฟู่กุ้ยกล่าวอย่างชื่นบาน “แม่นางเมิ่ง เมื่อวันนี้พวกเจ้ากลับไม่ได้ เช่นนั้นให้ลี่เอ๋อร์และเฉิงเอ๋อร์พาพวกเจ้าไปเดินเล่นในตัวเมืองอย่างเต็มที่เถอะ”
ซุนเหลียงไฉที่พอได้ยินว่าสามารถเที่ยวเล่นสนุกในจังหวัดได้อีกวัน หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยดวงตาระยิบระยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยกยิ้มส่ายหน้า “อี้เซวียนและเหลียงไฉต้องเรียนหนังสือทุกวัน ไม่ค่อยได้ออกไปไหน วันนี้ข้าคิดจะฝึกฝนพวกเขา ให้พวกเขาเปิดแผงขายกระเป๋านักเรียนหน้าร้านค้าท่าน หากคุณชายจางสนใจ ก็สามารถมาทำร่วมกันได้”
ได้ยินนางพูดจบ จางฟู่กุ้ยตะลึงพรึงเพริด “จะ จะเหมาะสมหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ในอนาคตพวกเขาทั้งหมดจะเป็นผู้สืบทอดกิจการของครอบครัว ให้พวกเขาฝึกฝนแต่เนิ่นๆ จะต้องมีประโยชน์กับพวกเขาในภายหน้า ข้าอบรมเลี้ยงดูอี้เซวียนและเหลียงไฉเช่นนี้”
จางฟู่กุ้ยยิ่งให้ตะลึงค้าง “คุณชายเมิ่งมีพรสวรรค์ด้านการเรียนเป็นเลิศ ยังต้องฝึกทำการค้าอีกหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ชีวิตคนมีขึ้นมีลง เรื่องในอนาคตใครก็บอกไม่ได้ มีทักษะความสามารถอีกอย่างติดตัวย่อมต้องเป็นเรื่องดี”
จางฟู่กุ้ยพยักหน้า กล่าวชื่นชมด้วยใจจริง “แม้แต่ปัญหายาวไกลเช่นนั้นแม่นางเมิ่งก็คิดคำนวณได้อย่างถี่ถ้วน น่าเลื่อมใสยิ่งนัก” พูดจบก็พูดว่า “ดี หลังจากกินอาหารเสร็จพวกเราจะไปร้านค้า ข้าจะไปเตรียมสิ่งของสำหรับใช้ในการตั้งแผงลอยให้พวกเขา”
แม้จะไม่ได้ไปเดินเที่ยว แต่พอคิดว่าจะได้ออกไปตั้งแผงขายกระเป๋านักเรียน ซุนเหลียงไฉก็ยังตื่นเต้นดีใจ หันไปถามจางเฉิง “เจ้าจะไปด้วยหรือไม่?”
แม้ตอนนี้จางเฉิงจะมีนิสัยสดใสร่าเริงขึ้นแล้ว แต่ก็จำกัดกับคนที่ตนเองสนิทด้วยไม่กี่คนนี้เท่านั้น สำหรับคนแปลกหน้ายังคงไม่ยินดีทำความรู้จักด้วย จึงยังมีอาการลังเล
ซุนเหลียงไฉพูดยั่วยวนเขา “ตั้งแผงลอยสนุกมากนะ ยังหาเงินค่าขนมได้ด้วย”
จางเฉิงเริ่มหวั่นไหว หันไปมองจางฟู่กุ้ย
จางฟู่กุ้ยพยักหน้า
ฮูหยินจางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “แต่ไหนแต่ไรเฉิงเอ๋อร์ไม่เคยพูดต่อหน้าคนมากมาย คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ?”
จางฟู่กุ้ยปลอบใจนาง “ตั้งแผงอยู่หน้าร้านค้าของพวกเรา จะเกิดเรื่องอะไรได้ อีกอย่าง ยังมีคุณชายน้อยทั้งสองและพนักงานของร้านอยู่ด้วย เจ้าวางใจเถอะ”
ฮูหยินจางมองจางเฉิงอย่างกังวลแวบหนึ่ง เห็นเขามีสีหน้าสดใสร่าเริงดี จึงไม่คัดค้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวให้สัญญากับทั้งสามคน “กระเป๋านักเรียนทุกใบที่พวกเจ้าขายได้วันนี้ ข้าจะมีเงินให้พวกเจ้าใบละหนึ่งตำลึง พวกเจ้าอยากนำไปซื้ออะไรก็ได้”
ซุนเหลียงไฉไชโยโห่ร้อง อยากจะออกไปขายกระเป๋านักเรียนในตอนนี้เลย
เมื่อตกลงเรื่องเรียบร้อย หลังกินอาหารเช้าเสร็จ พวกเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนและพวกจางฟู่กุ้ยอีกสามคนแยกกันนั่งรถม้ามายังร้านค้า
พอลงจากรถม้า จางฟู่กุ้ยก็สั่งการพนักงานให้ไปยกโต๊ะตัวใหญ่ในห้องบัญชีหลังร้านออกมาวางหน้าร้าน ทั้งสั่งให้คนไปนำกระเป๋านักเรียนลวดลายต่างๆ กันออกมาจัดวางบนโต๊ะ
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม
เมิ่งอี้เซวียน ซุนเหลียงไฉและจางเฉิงก็เข้าไปยืนด้านหลังโต๊ะวางกระเป๋านักเรียน
ร้านค้าของจางฟู่กุ้ยอยู่ติดถนน คนเดินผ่านไปมาขวักไขว่ เห็นกระเป๋านักเรียนจำนวนไม่น้อยตั้งวางอยู่บนโต๊ะหน้าร้าน ต่างมองเข้ามาอย่างประหลาดใจ
ซุนเหลียงไฉไม่เคยตั้งแผงลอย นึกว่าพอจัดของเสร็จคนก็จะเข้ามาซื้อเอง ตอนนี้เห็นผู้คนเพียงแค่มองเข้ามา แต่ไม่มีใครเดินมาซื้อ งุนงงตาค้าง จางเฉิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เห็นคนมากมายมองเข้ามา อายจนแทบอยากจะมุดหน้าลงปใต้โต๊ะ
มีเพียงเมิ่งอี้เซวียนที่ขยับลูกคอเปล่งเสียงกังวานใส ร้องตะโกนลั่น “ขายกระเป๋านักเรียนจ้า กระเป๋านักเรียนฝีมือละเอียดประณีต ทุกคนรีบเข้ามาดูเถิด”
ซุนเหลียงไฉตกใจสะดุ้ง มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
จางเฉิงเงยหน้ามองเขาอย่างเลื่อมใส
เมิ่งอี้เซวียนร้องตะโกนต่อ “เดินผ่านไปผ่านมา อย่าให้พลาดกระเป๋านักเรียน สินค้าชั้นดีที่ทั้งราคาถูกและทนทานใบนี้ ทุกคนรีบเข้ามาซื้อกลับไปให้ลูกหลานที่บ้านคนละใบเถอะ”
ชาวบ้านได้ยินเสียงร้องตะโกนของเขา เริ่มมีคนใคร่รู้เดินมุงล้อมเข้ามา
เห็นคนจำนวนมากเดินล้อมเข้ามา จางเฉิงตกใจตัวสั่น ถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว
จางฟู่กุ้ยก้าวเท้าจากในร้านออกไปหน้าร้านสองก้าวพลัน แต่พอคิดถึงคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ตัดสินใจกัดฟันถอยหลังกลับไป
ซุนเหลียงไฉกลับได้สติกลับมาแล้ว ช่วยต้อนรับลูกค้า
ตอนที่ 219-2 ถูกคนสะกดรอยตาม
ชาวบ้านล้อมเข้ามา เห็นกระเป๋านักเรียนสีสันลวดลายต่างๆ กัน ก็ให้นิยมชมชอบ ซักถามราคาค่างวด?
เมิ่งอี้เซวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงใสน่าฟัง “กระเป๋านักเรียนแบบประณีตใบละสิบตำลึง กระเป๋านักเรียนแบบธรรมดาใบละห้าตำลึง”
“แพงนัก ลดราคาได้หรือไม่” ชายที่ยืนด้านหน้าพูด
เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนหนึ่งใบออกมา เปิดด้านในออกอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วยกสูงให้ทุกคนได้เห็นด้านใน “ทุกคนดูเถิด ด้านในกระเป๋านักเรียนของพวกเรามีหลายชั้น สามารถแบ่งเก็บของได้หลากหลาย ทั้งสะดวกและหาง่าย สิบตำลึงนับว่าไม่แพงแล้ว” พูดจบ ก็ให้ซุนเหลียงไฉหันหลัง แล้วให้เขาสะพายกระเป๋านักเรียนขึ้นหลัง พูดว่า “ทุกคนดูเถิด สะพายกระเป๋านักเรียนไว้เช่นนี้ น่าดูใช่หรือไม่ หากท่านซื้อกลับไป ไม่แน่ว่าบุตรหลานของพวกท่านจะต้องยิ่งอยากไปโรงเรียนมากขึ้น”
ชาวบ้านเริ่มหวั่นไหวคล้อยตาม พลันมีคนล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมา “ข้าซื้อแบบประณีตหนึ่งใบ”
เมิ่งอี้เซวียนรับเงินมาอย่างชื่นบาน ส่งสัญญาณให้ซุนเหลียงไฉหยิบกระเป๋านักเรียนหนึ่งใบมา
ช่วงเวลานี้ซุนเหลียงไฉก็ได้เรียนรู้วิธีการทำการค้ามาไม่น้อย ชี้กระเป๋านักเรียนที่วางเป็นแถวบนโต๊ะถามขึ้น “ท่านดูก่อนว่าชอบลวดลายไหน?”
คนที่ซื้อกระเป๋านักเรียนมองดูรอบหนึ่ง รู้สึกว่าชอบทุกแบบ พลันตัดสินใจไม่ได้
เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนลายที่ตัวเองชอบขึ้นมา พูดว่า “ท่านดูก่อนว่าใบนี้เป็นอย่างไร? ข้าชอบลายนี้มาก คิดว่าบุตรหลานของท่านก็น่าจะชอบด้วย”
คนซื้อกระเป๋านักเรียนดูจนตาลายแล้ว ตัดสินใจไม่ถูก เชื่อคำแนะนำของเขา ขานรับทันควัน “เอาใบนี้ล่ะ” พูดจบ รับกระเป๋านักเรียนมา หันหลังเดินจากไปอย่างเบิกบาน
จางเฉิงเห็นทั้งสองคนค้าขายกันอย่างมีความสุข ค่อยๆ เดินกลับมาข้างโต๊ะ หยิบกระเป๋านักเรียนใบหนึ่งขึ้นมาอย่างระวัง ลองยื่นให้คนที่เข้ามาซื้อกระเป๋านักเรียน คนผู้นั้นจ่ายเงินแล้วรับกระเป๋านักเรียนเดินออกไปอย่างเบิกบานเช่นกัน
จางเฉิงรับเงินมาด้วยหัวใจตื่นเต้นพองโต หันหลังกลับ แบมือให้จางฟู่กุ้ยดูเงินในมือ
จางฟู่กุ้ยก็ตื้นตันใจมาก พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
จางเฉิงตื่นเต้นดีใจ หันหลังกลับมาขายกระเป๋านักเรียนกับทั้งสองคนต่อ
ชาวบ้านที่เดินไปมาเห็นหน้าร้านค้าคนเยอะคึกคัก ต่างใคร่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รุมล้อมเข้ามามุงดู คนเข้ามาดูกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซุนเหลียงไฉจึงลองเลียนแบบเมิ่งอี้เซวียนบ้าง ขยับเส้นเสียงตะโกนร้องเรียกแขก
คนที่เข้ามามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ เหวินหู่กลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน คอยยืนข้างโต๊ะ จับตาดูฝูงคนที่รุมล้อมเข้ามา
หลังจากวุ่นวายพักหนึ่ง ผู้คนเริ่มกระจัดกระจายหายไป ทั้งสามคนต่างเหงื่อออกโทรมกาย จางฟู่กุ้ยหันไปสั่งพนักงานนำผ้าขนหนูมา เดินออกมาจากในร้าน ยื่นผ้าในมือให้เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉคนละผืน หลังจากรับมา เด็กทั้งสองก็เช็ดไปมาลวกๆ แล้วลงมือนับว่าได้เงินมาเท่าใด จางฟู่กุ้ยถือผ้าขนหนูในมือคิดจะเช็ดให้จางเฉิงเอง จางเฉิงเบี่ยงศีรษะหลบควับ พูดว่า “ข้าทำเอง”
จางฟู่กุ้ยให้ปิติ ยื่นผ้าขนหนูส่งให้เขา จางเฉิงก็เช็ดไปมาลวกๆ แล้วยัดผ้าขนหนูกลับใส่มือจางฟู่กุ้ย ยื่นหน้าเข้าหาเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉ ดูว่าขายได้เงินทั้งหมดเท่าใด
เหวินหู่ยังคงอยู่ข้างโต๊ะมองดูพวกเขา
ไกลออกไปมีชายฉกรรจ์สองคนเดินเข้ามา ตอนที่เห็นเหวินหู่ที่ยืนข้างโต๊ะ สาวเท้าถอยไปหลบหลังป้ายตั้งพื้นด้านหลังพลัน แล้วลอบพิจารณาห่างๆ
เหวินหู่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ยกยิ้มมุมปากมองดูเด็กทั้งสามคนนับเงินที่ได้รับมา
ชายทั้งสองคนเพ่งพินิจดูอย่างถี่ถ้วน กระทั่งแน่ชัดแล้วว่าเป็นเหวินหู่ ชายฉกรรจ์หนึ่งคนในนั้นหันไปพูดกับสหาย “เป็นเหวินหู่ไม่ผิด ข้าจะเฝ้าจับตาอยู่ที่นี่ เจ้ารีบกลับไปเรียกคนอื่นเข้ามา”
ชายฉกรรจ์อีกคนพยักหน้า หันหลังวิ่งแนบออกไป
เหวินหู่คลับคล้ายว่าจะสังเกตอะไรบางอย่างได้ หันมองมาทางนี้แวบหนึ่ง
ชายฉกรรจ์รีบหลบหลังป้าย อำพรางร่างกายตนเอง
เหวินหู่มองดูแวบหนึ่ง ไม่พบบุคคลต้องสงสัย คิดว่าตัวเองคงคิดมากไป ส่ายหน้าแล้วมองเด็กทั้งสามคนนับเงินต่อ
เด็กทั้งสามคนนับเงินเสร็จ มีมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง ต่างไชโยโห่ร้องเสียงลั่น
จางฟู่กุ้ยยืนมองบุตรชายตนเองด้วยความปลามปลื้มใจ ยิ่งให้ทวีความซาบซึ้งใจต่อเมิ่งเชี่ยนโยว
เหวินเปียวสะบัดบังเ**ยนควบม้าเร็วรี่ ใช้เวลาสองชั่วยามก็มาถึงอำเภอชิงเหอ หลังจากสอบถามบ้านของจูหลาน ก็ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูบ้านเขา เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินตรงมาหน้าประตู ถามอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าที่นี่คือบ้านคุณชายจูหลานหรือไม่?”
คนเฝ้าประตูเห็นเขาแม้จะดูอ่อนล้าจากการเดินทางไกล กลับมีมาดดุดันเ**้ยมหาญ เกิดความระแวงระวัง มิได้ตอบกลับ กลับย้อนถามเขา “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าเป็นบ่าวของแม่นางเมิ่ง แม่นางของเรามีจดหมายให้ข้ามอบให้คุณชายจูกับมือ” เหวินเปียวตอบกลับ
คนเฝ้าประตูได้ยินว่าเป็นคนที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งมา ก็ให้โล่งอก ท่าทีเป็นกันเองขึ้นมาก พูดว่า “เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้”
เหวินเปียวพยักหน้า ยืนสงบนิ่งรออยู่หน้าประตู
วันนี้จูหลานไม่ได้ออกไปตรวจสอบร้านค้าพอดี กำลังรายงานสถานการณ์ของร้านค้าประจำเดือนนี้แก่พ่อจู
คนเฝ้าประตูเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในลานเรือน ร้องรายงานอย่างอ่อนน้อม “คุณชายขอรับ แม่นางเมิ่งให้คนส่งจดหมายมาให้ท่าน จะให้เขาเข้ามาหรือไม่?”
บ้านเมิ่งเชี่ยนโยวมิได้ห่างไกลจากอำเภอชิงซี หากมีเรื่องอันใดให้คนส่งข่าวมาก็ได้แล้ว ไฉนเลยต้องเขียนเป็นจดหมายมา
จูหลานได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้คนนำจดหมายเข้ามา นึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ต้องการความช่วยเหลือ จึงสั่งความทันควัน “รีบให้คนส่งจดหมายเข้ามา”
คนเฝ้าประตูขานรับ กวดฝีเท้าวิ่งออกไป แล้วสั่งคนให้ดูม้าของเหวินเปียวให้ดี พาเขาเข้ามาในลานเรือนอย่างไม่รอช้า
จูหลานรอด้วยความกระวนกระวายใจอยู่หน้าประตูแล้ว เห็นเหวินเปียวเข้ามา ในใจพลันกระตุกวูบ เร่งเร้าถาม “เกิดเรื่องขึ้นกับแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?”
เหวินเปียวล้วงจดหมายในอกเสื้อออกมา มอบให้จูหลานอย่างนบนอบ พูดว่า “แม่นางมิได้เกิดเรื่องอันใด เพียงแค่ให้ข้านำจดหมายนี้มามอบให้ท่าน บอกว่าหากท่านเห็นด้วย ก็ให้ตามข้าไปจังหวัดด้วยกัน”
ไม่ใช่เกิดเรื่องกับเมิ่งเชี่ยนโยว จูหลานก็ให้โล่งอก รับจดหมายมา เปิดออกดู พลันร้องอุทานอย่างไม่เชื่อ “นางดูตัวแม่นางคนหนึ่งให้แทนข้า! ให้ข้าเข้าไปพบหน้าที่จังหวัด!”
นับตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเฉียวหมิ่นขึ้น ไม่มีใครเอ่ยเรื่องงานแต่งงานของจูหลานอีก แม่จูเลียบเคียงถามหาแม่สื่อมากมาย ก็ไม่มีใครยอมรับปาก ไม่รู้เลยว่าเพราะเรื่องนี้ทำแม่จูผมหงอกขึ้นอีกเท่าใด โดยเฉพาะเมื่อเห็นเปาอีฝานได้แต่งงานแล้ว ไม่แน่ว่าปีหน้าก็จะให้กำเนิดทารกตัวอ้วนพี แม่จูยิ่งให้ทุกข์ระทม วันๆ เอาแต่นั่งทอดถอนใจเบื้องหน้าพ่อจู พ่อจูถูกนางแพร่เชื้อ ก็ให้กลัดกลุ้มใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย ได้ยินเสียงจูหลานร้องลั่น รีบลุกขึ้นเดินมาหาจูหลาน หยิบจดหมายในมือเขามาอ่านอย่างละเอียด แล้วยกยิ้มพูด “ดีๆๆ แม่นางเมิ่งจัดการเรื่องนี้ได้ดีนัก”
จูหลานหยิบจดหมายมาจากมือเขา พูดว่า “ท่านพ่อ นางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงดีเป็นอย่างไร อีกทั้ง จังหวัดก็อยู่ไกลจากอำเภอชิงเหอมาก ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า นางจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงคนนั้นเหมาะสมกับข้า”
พ่อจูเพิกเฉยต่อคำพูดของเขา สั่งการบ่าวรับใช้ “รีบไป เรียกฮูหยินมา บอกว่าเรื่องการแต่งงานของคุณชายมีความคืบหน้าแล้ว”
บ่าวรับคำจากไปโดยไว
จูหลานกระทืบเท้าเร่าๆ “ท่านพ่อ การแต่งงานครั้งนี้ข้ายังไม่เห็นด้วย ท่านจะเรียกท่านแม่มาทำไม?”
พ่อจูยังคงไม่สนใจเขา ชี้เหวินเปียวแล้วสั่งบ่าวอีกคน “พาเขาไปต้อนรับให้ดี”
บ่าวขานรับคำ เหวินเปียวกลับไม่ขยับ พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นางของพวกเราบอกว่า ไม่ว่าพวกท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ให้ข้ารีบกลับไป”
“เจ้าไปพักสักครู่เถอะ ประเดี๋ยวพอฮูหยินเข้ามา พวกเราหารือกันเสร็จจะรีบตอบกลับทันที ใช้เวลาไม่นานเท่าใด” พ่อจูกล่าว
เหวินเปียวพยักหน้า เดินตามบ่าวออกไป
แม่จูได้ทราบข่าวจากบ่าว รีบรุดตรงมายังลานเรือนอย่างเร็วรี่ เพิ่งจะเข้ามาถึงก็ตื่นเต้นดีใจถามพ่อจู “ท่านพี่ จริงหรือที่เรื่องการแต่งงานของหลานเอ๋อร์มีความคืบหน้าแล้ว เป็นหญิงสาวบ้านไหน หน้าตาเป็นอย่างไร?”
พ่อจูยิ้มพูด “เป็นหญิงสาวในจังหวัดที่แม่นางเมิ่งหมายตาไว้ให้หลานเอ๋อร์ บอกให้เขาเข้าไปพบหน้าคาดตากัน”
พอได้ยินว่าเป็นหญิงสาวในจังหวัด ก็ชะงักเล็กน้อย แล้วถามเป็นพรวนว่า “หญิงสาวคนนั้นทำอะไร อายุเท่าเท่าใด?”
พ่อจูตอบนาง “แม่นางเมิ่งเพียงบอกว่าครอบครัวของหญิงสาวนางนั้นทำการค้า เป็นคนเปิดเผยจริงใจ ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านี้”
แม่จูรับคำเป็นมั่นเหมาะยิ่งกว่าพ่อจู “หญิงสาวที่แม่นางเมิ่งพูดทาบทามให้จะต้องใช้ได้ เรื่องการแต่งงานพวกเราตกลงแล้ว” พูดไปพลางเดินเข้าไปในห้อง
จูหลานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ถามความเห็นข้า ก็ตกลงแล้วได้อย่างไร”
แม่จูโบกมือ “ความเห็นเจ้าไม่สำคัญ แม่และพ่อเจ้าเห็นด้วยก็พอ”
จูหลานพูดเตือนนาง “ท่านแม่ หญิงสาวนางนั้นเป็นคนในจังหวัด บ้านช่องอยู่ไกลไม่ว่า ทั้งอุปนิสัยใจคอพวกเราก็สืบถามไม่ได้ พวกท่านไม่กลัวพอแต่งงานแล้ว จะมีเรื่องให้เดือนร้อนไม่ได้หยุดหย่อนหรือ”
แม่จูพูดว่า “อย่างไรก็เป็นหญิงสาวแต่งเข้ามา บ้านอยู่ไกลจะต้องกลัวอะไร อุปนิสัยใจคอพวกเราไม่ต้องไปสืบถามแล้ว แม่นางเมิ่งบอกว่าดีก็ต้องดี”
จูหลานเห็นทั้งสองคนเห็นพ้องแล้ว จึงเงียบปากไม่พูดอะไรอีก
พ่อจูพูดว่า “คนที่แม่นางเมิ่งให้นำจดหมายมาส่งบอกว่าให้หลานเอ๋อร์ตามเขาไปในจังหวัดด้วย เจ้าดูว่ามีสิ่งใดต้องระวังก็จงบอกเขาไป”
แม่จูพูดว่า “ปัดโธ่ ท่านพี่ เรื่องใหญ่เช่นนี้ให้เขาไปเอง หากทำเรื่องพังจะทำอย่างไร? ไม่เช่นนั้นพวกเราเข้าไปกับเขาด้วยกัน หากพวกเราทั้งสองฝ่ายพอใจ จะได้กำหนดวันหมั้นหมายเลย”
พ่อจูคิดแล้วก็พยักหน้า “ก็ดี ข้าจะไปสั่งบ่าวให้เตรียมรถม้า เจ้าก็กลับไปเตรียมตัวเถอะ อย่างช้าวันพรุ่งพวกเราก็คงกลับมาได้”
แม่จูลุกขึ้น ออกไปเตรียมสิ่งของอย่างสุขใจ
พ่อจูเปล่งเสียงสั่งบ่าวให้รีบไปเตรียมรถม้า
จูหลานอ้าปากตาค้างมองบิดามารดาตัวเอง พูดอะไรไม่ออกสักคำ
เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พ่อจูก็ให้คนไปเรียกเหวินเปียว บอกเขาว่าพวกเขาจะตามเข้าจังหวัดไปทั้งครอบครัว
เหวินเปียวไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ชะงักอึ้งเล็กน้อย
พ่อจูจัดแจงงานในบ้านเสร็จ ก็ขึ้นรถม้าไปพร้อมแม่จูและจูหลาน สั่งบ่าวให้บังคับรถม้าเร็วขึ้น
บ่าวสะบัดบังเ**ยน รถม้าพุ่งทะยานไปตามถนนมุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัด เหวินเปียวขี่ม้าตามหลังไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น