กระบี่จงมา 218.2-219.2
บทที่ 218.2 เซียนซือมาเยือน
โดย
ProjectZyphon
บุรุษถือกระบี่พึมพำ “หากวิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ พวกเราสองสามีภรรยามีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ความหมาย”
มือดาบเคราดกวางดาบวิเศษลง ยื่นมือข้างหนึ่งชูขึ้นสูงทำท่าบอกว่าพักรบ ถามเสียงหนัก “ระหว่างนี้มีเรื่องอะไรที่ซุกซ่อนอยู่หรือไม่?”
บุรุษยิ้มขมขื่น “เทพภูเขาเถื่อนปรารถนาอยากได้บ้านโบราณหลังนี้มานานมากแล้ว ช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ข้าก็รู้เรื่องแล้ว ทว่าตัวเองเหลือตบะเพียงน้อยนิดแค่นั้น ยากที่จะต้านทานการหยั่งเชิงที่ชั่วร้ายและอันตรายจากพวกคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เหล่านั้นได้ จึงจำต้องกระทำการที่ละเมิดต่อมโนธรรมในใจและผิดต่อคำสาบาน เขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสำนักอย่างลับๆ หวังว่าสำนักจะส่งเทพเซียนห้าขอบเขตกลางสักคนหนึ่งมาช่วยข่มขวัญเทพภูเขาผู้นั้นได้บ้าง เพียงแต่ว่าจดหมายที่ส่งไปเหมือนดินโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวส่งกลับมา และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ สำนักไม่ตามมาไล่ฆ่าข้าให้สิ้นซากก็ถือว่ามีเมตตามีคุณธรรมมากพอแล้ว ใครเล่าจะยินดีเข้ามามีส่วนเกี่ยวกับเรื่องน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่อยู่บนภูเขาแล้วได้ยินเรื่องอัปลักษณ์แบบนี้ของสำนัก เกรงว่าคงแล่นลงจากภูเขามาจัดการด้วยตัวเองแล้ว”
นักพรตจางซานมาหยุดอยู่ตรงหน้ามือดาบเคราดก อธิบายเสียงเบาว่า “ยันต์เทพเดินทางของข้าผู้เป็นนักพรตเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากนี่เป็นกับดักของพวกเขา ข้าผู้เป็นนักพรตน้อยคงต้องพาสหายหนีไปจริงๆ แล้ว”
เพียงแต่ว่าจู่ๆ นักพรตจางซานก็คลี่ยิ้ม “แต่ข้าผู้เป็นนักพรตน้อยรู้สึกว่าบุรุษผู้นั้นไม่ได้พูดปด”
มือดาบเคราดกรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ใจคนอันตราย แม้ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่จิตใจอาจชั่วร้าย เรื่องราวในโลกช่างซับซ็อนยากจะคาดการณ์ได้ถึง
หากมีลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพมาที่นี่จริง ต่อให้จะเป็นแค่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกขอบเขตสองขอบเขตสามคนเดียว ก็จะพิสูจน์ได้ว่าบุรุษผีชาง (ผีชางคือชื่อผีชนิดหนึ่ง ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าผู้ที่โดนเสือกัดตายนั้น วิญญาณจะกลายเป็นผู้รับใช้เสือ คอยช่วยหาเหยื่อ ช่วยให้เสือไปทำร้ายคนอื่นต่อไป) กับสตรีผีต้นไม้ของบ้านโบราณหลังนี้เป็นผู้บริสุทธิ์
ในฐานะที่สำนักโองการเทพเป็นผู้นำแห่งลัทธิเต๋าของแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังมีเทียนจวินท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นดั่งเสาเทพสยบมหาสมุทร หากพูดจาแบบไร้คุณธรรมสักหน่อย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่ทำงานใช้แรงงานอย่างปัดกวาดบันไดของสำนัก เกรงว่าคำพูดคำจาของเขาก็คงได้ผลยิ่งกว่าเจ้าประมุขของพรรคเล็กๆ ข้างนอกเสียอีก
แม้ว่าศึกใหญ่จะปิดฉากลงแล้ว ทว่าสี่คนที่อยู่ตรงนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าประมาท
โดยเฉพาะสตรีในหอซิ่วโหลวที่แอบขโมยแกนต้นไม้อวี๋ที่เป็นต้นบรรพบุรุษมาครอบครอง ก่อนหน้านี้นางได้รับการปกป้องจากเจ้าบ้านชายอย่างดีมากมาโดยตลอด ศึกใหญ่ครั้งนี้กลับต้องมาถูกมือดาบตัดรากต้นไม้ของตัวเองไปนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังถูกกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นทำให้ตกใจไม่น้อย แม้ว่าลึกๆ ในใจนางจะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันนี้ แต่พอวันนี้มาถึงเข้าจริงๆ นางก็ยังคงตระหนกลนทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี รู้สึกเพียงว่าตัวเองดีแต่จะเป็นตัวภาระให้กับสามี ความละอายใจจึงยิ่งเข้มข้นรุนแรง
หัวใจของนางยุ่งเหยิงขมวดรวมกันเป็นปม
เป็นอย่างนี้มาร้อยปีแล้ว
และเวลานี้เอง ทางฝั่งเรือนชั้นสองก็มีลมปราณแข็งแกร่งเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจสองสายปรากฏขึ้น คนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมเต๋าเยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า ไม่รู้ว่าทำไม เขาไม่ได้ตรงเข้าไปที่หอซิ่วโหลว แต่เลือกที่จะพลิ้วกายลงมาตรงจุดนั้น แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบ้านชายหญิงจะได้ยินความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้ของทางฝั่งนั้นแล้ว แต่เมื่อศัตรูตัวฉกาจมายืนอยู่ตรงหน้า จึงต้องรีบช่วยกันรับมือมือดาบเคราดก ไม่อาจแบ่งสมาธิไปตรวจสอบเหตุการณ์ทางฝ่ายนั้นจริงๆ ได้แต่คิดว่าหญิงชราที่เป็นบ่าวรับใช้ฟื้นคืนสติแล้ว และกำลังขัดขวางพวกคนถ่อยที่แฝงตัวเข้ามาในบ้านโบราณ
และจากนั้นไม่นานทั้งเทพภูเขาเถื่อนและนักพรตป๋ายลู่ที่มาเยือนอย่างรีบร้อนกลับจากไปอย่างรีบร้อนยิ่งกว่า
แถมยังพูดว่า “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต” และ “เซียนกระบี่” อะไรด้วย ราวกับว่าเจอเทพเซียนบนภูเขาเข้าจริงๆ จึงไม่กล้าลงมือ ได้แต่รีบร้อนหลบหนีไปให้ไกล
มือดาบเคราดกเอ่ยเบาๆ “นักพรตน้อย เจ้าไปดูสิ”
นักพรตจางซานอึ้งตะลึง แม้ว่าชายฉกรรจ์หนวดรกครึ้มจะพูดจาอย่างผ่อนคลาย แต่ความหมายที่เปล่งออกมาจากทางสายตากลับเป็นการบอกว่าให้เขารีบออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้
นักพรตหนุ่มพูดไม่ออก มีทั้งอารมณ์ตื่นเต้นและเศร้าสร้อย
ตื่นเต้นเพราะในที่สุดตนก็ได้พบเจอคนที่เดินบนวิถีทางเดียวกัน คนที่ยินดีสละชีวิตอย่างไม่เสียดายเพียงเพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร แม้จะอยู่ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความห้าวเหิม ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาปรารถนาให้ตัวเองกลายมาเป็นบุคคลแบบนี้มากที่สุด เศร้าสร้อยก็เพราะเขามักจะไร้ประโยชน์ เหมือนมีงานยุ่งแต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นนี้เสมอ
นักพรตหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงควบคุมกระบี่ไม้ท้อให้กลับมาจากหอซิ่วโหลวเงียบๆ พอรับมาไว้ในมือเรียบร้อยก็อาศัยช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลืออยู่ของยันต์เทพเดินทางหมุนตัววิ่งห้อออกไป
บุรุษที่ถือกระบี่ยืนอยู่กลางลานบ้านขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นจะดีหรือร้าย
หรือว่าสำนักโองการเทพส่งลูกศิษย์ให้เดินทางมาที่นี่แล้วจริงๆ?
หญิงสาวเป็นห่วงเขา เดิมทีสุขภาพของเขาก็เป็นเหมือนม้าตีนปลายอยู่แล้ว ศึกใหญ่ครั้งนี้ก็ยิ่งเหมือนยันต์เร่งเอาชีวิตสำหรับเขา นางไม่สนเรื่องรูปร่างอะไรอีกแล้ว ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาข้างหน้า เรือนกายใหญ่โตที่เดิมทีถูกกระโปรงสีเขียวและหอซิ่วโหลวสูงใหญ่ช่วยบดบังเอาไว้ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก ระเบียงสาวงามของชั้นสองถูกแหวกกลาง หญิงสาวที่คล้ายยืนอยู่บนตอไม้ขนาดยักษ์โน้มตัวลงมากลางลานบ้าน ด้านหลังคือรากต้นไม้โบราณที่ขวางเอียงอยู่กลางอากาศ
นางยื่นมือสองข้างที่สั่นเทาไปประคองใบหน้าของบุรุษ เจ็บใจที่ตัวเองไม่อาจเปล่งคำพูด ได้แค่ส่งเสียงอืออาเท่านั้น
บุรุษปลอบใจนางเบาๆ “ไม่ต้องกลัวๆ ไม่แน่ว่าสำนักอาจจะส่งคนมาช่วยแล้วจริงๆ”
มือดาบเคราดกเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจหนึ่งที เขาเอาดาบยาวค้ำไว้บนพื้นดิน ในใจคิดว่าต่อให้สองสามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นผีที่มีจิตใจชั่วร้าย ทว่าความรักความผูกผันของพวกเขาไม่ใช่ของปลอมแน่นอน
หลังจากทำให้เทพภูเขาเถื่อนกับนักพรตป๋ายลู่ตกใจหนีไปได้ เฉินผิงอันก็เก็บเม็ดเสื้อเกราะที่เป็นลูกกลมๆ นั้นขึ้นมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็เดินไปทางระเบียงที่เชื่อมกับเรือนพักชั้นสามและชั้นสี่อย่างเงียบเชียบ เตรียมพร้อมให้กระบี่บินสองเล่มออกมาสังหารศัตรูได้ทุกเมื่อ สืออู่สามารถพุ่งเข้าไปสังหารบุรุษถือกระบี่ได้ในชั่วพริบตา ส่วนชูอีรับผิดชอบถ่วงเวลา เผาผลาญพลังของผีภูตต้นไม้จนตาย ทว่าขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะสั่งให้กระบี่บินสองเล่มออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นั้นเอง เขากลับสังเกตเห็นว่าศึกใหญ่ยุติลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่มีท่าทีจะสู้เอาเป็นเอาตายกันชั่วขณะ เฉินผิงอันได้ยินคำพูดที่คล้ายจะออกมาจากใจจริงของเจ้าบ้านฝ่ายชายก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ เขาจึงเริ่มกลั้นหายใจทำสมาธิ แอบไปยืนอยู่ด้านหลังเสากลางระเบียงต้นหนึ่งที่สามารถอำพรางร่างของเขาไว้ได้
เมื่อนักดาบเคราดกบอกให้นักพรตจางซานจากไป เฉินผิงอันก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วดีดปลายเท้า ทะยานร่างขึ้นสูง จากนั้นเหยียบบนหัวเสา ดีดตัวไปทางเรือนพักชั้นที่สาม ร่างก็ไปโผล่พรวดอยู่กลางอากาศสูงเหนือระเบียงที่ทอดยาว จากนั้นใช้สองมือตบคานที่อยู่ข้างหน้าเบาๆ หนึ่งที ร่างก็ลอดผ่านไปตามระเบียงอย่างราบรื่นเหมือนปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ เพียงไม่นานก็กลับจากเรือนพักชั้นสามมายังเรือนพักชั้นสอง พลิ้วกายลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ ยืนอยู่หน้าห้องตรงตำแหน่งเดิมของตน ทรุดตัวนั่งลงไปบนธรณีประตู วินาทีที่ก้นของเฉินผิงอันเพิ่งจะสัมผัสพื้น นักพรตหนุ่มก็โผล่พรวดเข้ามาพอดี
“เฉินผิงอัน!”
นักพรตจางซานพูดรัวเร็ว “พวกเราหยิบของแล้วรีบหนีกันเถอะ จอมยุทธ์สวีบอกให้พวกเรารีบไปที่เมืองเล็ก เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ข้ายังอธิบายไม่ได้…”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พลันชี้ไปทางประตูใหญ่ของเรือนโบราณ “มีคนบุกเข้ามา”
หลังจากคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าประตูมาก็พากันหุบร่มน้ำมัน เดินอ้อมกำแพงบังตาเข้ามาในระเบียงที่ทอดยาว ก้าวพรวดๆ มายังลานบ้านของเรือนที่พวกเขาพักอาศัย
คนกลุ่มนี้ต่างก็สวมชุดคลุมเต๋าที่เรียบง่ายแต่สง่างาม บนศีรษะสวมกวานหางปลาหนึ่งในสามลัทธิของสำนักเต๋า นักพรตห้าคน มีทั้งคนแก่ คนเด็ก ชายและหญิง รัศมีของแต่ละคนต่างก็ไม่ธรรมดา
นักพรตเฒ่าที่เดินนำหน้าน่าจะเป็นผู้นำ ท่ามกลางม่านราตรี เขายังคงมีสายตาเป็นประกายเจิดจ้าที่สาดยิงไปทั่วทิศ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ที่ฝึกวิชาลัทธิเต๋าจนประสบความสำเร็จกลายเป็นเทพเซียน
คนที่เหลืออีกสี่คนมีนักพรตหนุ่มที่อายุค่อนข้างน้อย ในมือถือกระพรวนทองแดง สะพายกระบี่ยาวฝักสีดำ พู่กระบี่คือด้ายสีทองที่ถักทอเป็นลวดลาย สะดุดตามากเป็นพิเศษ
มีเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกัน สีหน้าของพวกเขาเย่อหยิ่ง ตรงเอวของคนผู้หนึ่งห้อยเชือกยาวสีดำที่ม้วนไว้เป็นขด อีกคนหนึ่งมีแส้ไม้ไผ่สีเขียวสลับเหลืองงดงามเสียบเอียงๆ อยู่ตรงเอว
และยังมีเด็กน้อยที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกคน เพราะเขาตัวเล็กที่สุด ขาสั้นที่สุด เวลาเดินจึงต้องจ้ำพรวดๆ ในมือถือแผ่นไม้ทรงยาวไม่สะดุดตา แต่บนแผ่นไม้กลับสลักสี่คำโบราณว่า ‘หมื่นผีศิโรราบ’
นักพรตหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “อาจารย์ คือคน ไม่ใช่ปีศาจ”
ผู้เฒ่าพยักหน้า แล้วก็ไม่สนใจเฉินผิงอันกับจางซานที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องพักอีก เขาเดินดิ่งตรงไปเบื้องหน้า ตอนที่ชายหญิงด้านหลังเขาเดินผ่านพวกเฉินผิงอันไป ต่างก็ไม่มีใครสนใจเฉินผิงอันที่สะพายกรอบไม้ไว้ข้างหลัง เพียงแค่มองชุดคลุมกับกวานเต๋าที่จางซานสวมใส่อยู่ไม่กี่ครั้ง ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไร
นักพรตห้าคนทิ้งคนทั้งสองไว้ข้างหลังอย่างไม่สนใจใยดี หลังจากที่นักพรตเฒ่าเดินเข้าไปในเรือนพักชั้นสามก็พลันตวาดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนทรยศหยางหว่าง! ยังไม่ไสหัวออกมายอมรับผิดอีกรึ!”
บุรุษถือกระบี่ที่ยืนอยู่ใต้หอซิ่วโหลวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยนี้ก็ทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล
ดีใจก็เพราะผู้เฒ่าคนนี้คือลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักโองการเทพอย่างไม่ต้องสงสัย นี่หมายความว่าจดหมายขอความช่วยเหลือของตนฉบับนั้นใช้ได้ผล แม้ว่าทางสำนักจะตัดชื่อของตนออกจากทำเนียบรายชื่อนักพรตเต๋าไปนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไม่สนใจใยดี ยังยอมส่งคนลงจากภูเขามาตรวจสอบเรื่องนี้ นี่หมายความว่าเทพภูเขาเถื่อนแซ่ฉินคนนั้นหนีไม่พ้นต้องเดือดร้อนแน่
แต่ลึกๆ ในใจของบุรุษกลับมีความกังวลที่มากยิ่งกว่า นักพรตเฒ่าคือคนวัยเดียวกับเขา ต่างก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่เข้าไปอยู่ในสำนักโองการเทพปีเดียวกัน อีกทั้งอาจารย์ของพวกเขายังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน และยิ่งมีอาจารย์ปู่คนเดียวกัน ทว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองกลับเลวร้ายสุดขีด ตอนที่ฝึกตนอยู่ในสำนักโองการเทพ พวกเขาสองคนเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ ตอนนี้คนหนึ่งคือเซียนซือที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อม อีกคนหนึ่งกลับเป็นผีชางต่ำต้อยที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่ จะเป็นผีก็ไม่เชิง หากนักพรตเฒ่าคิดจะเอาเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัว เขาจะทำอะไรได้?
ด้านหลังของผู้เฒ่า ไม่ใช่ด้านหลังของเขาหยางหว่าง มีสำนักโองการเทพซึ่งเป็นเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีปยืนหนุนอยู่
หลังจากที่บุรุษถือกระบี่บอกให้หญิงสาวหลบไปอยู่ด้านหลังตัวเองแล้วก็ไม่ได้ถือกระบี่อีก เขาทิ่มปลายกระบี่ยาวลงบนพื้นเบาๆ หันหน้าไปทางระเบียง กุมมือคารวะโค้งตัวลงต่ำอย่างถึงที่สุด “หยางหว่างยินดีรับการลงโทษจากทางสำนัก”
ผู้เฒ่าเดินเข้ามาในลานของหอซิ่วโหลวอย่างฮึกเหิม กระตุกมุมปาก “หยางหว่าง ไม่เจอกันร้อยปี เจ้ามีชีวิตรุ่งเรืองไม่เบาเลยนี่”
มือดาบเคราดกหันหน้าไปมอง หลังมองเห็นการแต่งกายของนักพรตทั้งห้าอย่างชัดเจน เขากลับหันไปกุมมือคารวะบุรุษผีชาง ไม่ได้คารวะเซียนซือจากสำนักโองการเทพผู้สูงส่งคนนั้น “คืนนี้ข้าผู้แซ่สวีล่วงเกินพวกท่านสองสามีภรรยาแล้ว อยากจะขออภัยจากใจจริง! หากต้องการ ข้าผู้แซ่สวียินดีออกหน้าช่วยเหลือ”
ชายฉกรรจ์หนวดยาวท่องอยู่ในยุทธภพมายี่สิบกว่าปีจึงมีสายตาที่แหลมคมมาก เพียงแค่มองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างหยางหว่างกับผู้เฒ่าของสำนักโองการเทพผู้นั้นแล้ว
วาสนามาพร้อมกับโชคร้ายก็เป็นเช่นนี้แล
ดูจากการแต่งกายของนักพรตทั้งเด็กและแก่กลุ่มนี้ ขาดก็แค่ไม่ได้เขียนสี่คำว่า ‘คนของสำนักใหญ่’ แปะไว้บนหน้าผากก็เท่านั้น
นี่ทำให้นักพรตจางซานอดกล่าวอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรตเต๋าของแจกันสมบัติทวีป” แล้วพอหันมามองการแต่งกายของตน นักพรตหนุ่มที่มาจากกุรุทวีปก็ให้รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ แต่เพราะเป็นห่วงมือดาบเคราดกจึงลากเฉินผิงอันให้ตามมาด้วยไกลๆ สุดท้ายมานั่งยองกันอยู่ข้างรั้วของระเบียง
นักพรตเฒ่าของสำนักโองการเทพได้พาเด็กรุ่นหลังในสำนักซึ่งลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์เดินเข้ามาในลานกว้างที่สภาพเละเทะแล้ว ฝ่ามือที่ไพล่ไว้ข้างหลังของเขาก็ทำภาษามือที่มีเฉพาะในสำนัก อีกสี่คนที่เหลือจึงกระจายตัวกันออกไปยืนอยู่คนละตำแหน่ง โอบล้อมชายหญิงเจ้าของบ้านเอาไว้ บุรุษหนุ่มคนที่สะพายกระบี่ถึงกับขึ้นไปยืนอยู่บนกำแพงสูง จากท่าทางนี้ไม่เหมือนท่าทางที่จะมาให้ความช่วยเหลือ
บุรุษนามว่าหยางหว่างจับมือผีสาวหน้าตาอัปลักษณ์เอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอให้ได้เป็นสามีภรรยา เคียงคู่กันไปทุกชาติทุกภพ”
ผีสาวยังคงพูดไม่ได้ นางส่งเสียงอือๆ อาๆ แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนรู้ว่า นางกำลังพูดประโยค “ขอให้ได้เป็นสามีภรรยา เคียงคู่กันไปทุกชาติทุกภพ”
เพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เดิมทีคิดจะนั่งดูอยู่เฉยๆ พลันน้ำตาไหลพรากอาบหน้า
แม้แต่ตัวเขาเองยังงงงัน
ความทรงจำในวัยเด็กพร่าเลือนไปนานแล้ว หลายเรื่องราวล้วนจำได้ไม่ชัดเจน
ทว่ามีภาพหนึ่งที่จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังคงจำได้อย่างแจ่มชัด บิดาของเขาเป็นคนนิสัยทึ่มทื่อพูดไม่เก่ง นั่นอาจเป็นคำหวานประโยคเดียวที่เขาเคยพูดในชีวิต “ชาติหน้าพวกเราจะยังได้อยู่ด้วยกันอีกไหม?”
ตอนนั้นสตรีนิสัยเรียบร้อยอ่อนหวานกำลังปะชุนเสื้อ นางเพียงแค่ยิ้มแล้วถามกลับว่า “ทำไมถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ?”
ตอนนั้นเฉินผิงอันแอบอิงอยู่ในอ้อมอกของสตรี เพราะอายุยังน้อยเกินไปจึงไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายพวกนี้เท่าใดนัก แต่สีหน้าของท่านพ่อท่านแม่ในเวลานั้นกลับทำให้เด็กชายจดจำได้แม่นยำ
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็จากไปแล้ว ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกว่า หากชอบใครสักคนหนึ่งอย่างจริงจัง ดูเหมือนว่าเวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่พอ
ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
นักพรตจางซานค้นพบความผิดปกติของเฉินผิงอันโดยบังเอิญ เขาลูบซีกหน้าตัวเองด้วยความสงสัยเล็กน้อย ต่อให้ฝนจะตกหนักแค่ไหน ก็คงไม่ถึงขั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำฝนหรอกกระมัง? แล้วนับประสาอะไรกับที่ฝนที่ตกกระหน่ำในคืนนี้มาจนถึงตอนนี้ก็กลายเป็นเพียงสายฝนบางๆ แล้ว ต่อให้ไม่กางร่มก็ไม่เป็นไร
จางซานถามอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย “เฉินผิงอัน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฉินผิงอันรีบเช็ดหน้าตัวเองลวกๆ เค้นรอยยิ้ม ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไรๆ คืนนี้มีเรื่องประหลาดมากมายเกิดขึ้น น่าตกใจเกินไป ข้าเป็นคนที่ความรู้สึกค่อนข้างช้า ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาให้ตกใจ ตอนนี้จบเรื่องแล้วถึงเพิ่งจะกล้าร้องไห้”
นักพรตจางซานทำสีหน้าเลื่อมใส ยื่นมือมาตบไหล่เฉินผิงอัน หันหน้ากลับไปกลั้นยิ้มพูดว่า “เจ้าคิดซะว่าข้าไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน”
นักพรตเฒ่าจากสำนักโองการเทพกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายหันมาส่งยิ้มให้บุรุษเจ้าของบ้านโบราณที่ยืนหลังตรงสง่าผ่าเผย จุ๊ปากพูด “วัตถุยังคงเดิม แต่คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว ทุกเรื่องต้องมีจุดสิ้นสุดจริงๆ ช่างเป็นคู่ยวนยางที่ชะตารันทดนัก หยางหว่าง เจ้าคิดว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร? ควรจะปฏิบัติตามกฎเหล็กของสำนัก หรือว่าไม่ต้องทำตามกฎ แต่ตัดสินโทษโดยอิงตามความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเราดีล่ะ?”
บุรุษเจ้าของบ้านโบราณกัดฟันแน่น ไม่เอ่ยตอบ
เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดเขาก็คงต้องคุกเข่าขอร้อง หวังเพียงว่าเซียนซือจากสำนักโองการเทพท่านนี้จะเมตตา
มือดาบเคราดกจะอ้าปากพูด ด้วยคิดว่าเขาต้องกล่าวเพื่อความเป็นธรรมสักหน่อย ถ้าไม่ได้พูดต้องอัดอั้นมากแน่!
แต่นักพรตเฒ่ากลับหันขวับมามองเขาด้วยสายตามืดครึ้ม ตวาดกร้าวเสียงดัง “คนอื่นอย่าเข้ามายุ่ง หุบปากกันไปซะ! สำนักโองการเทพจัดการเรื่องในสำนักตัวเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือสั่ง!”
มือดาบเคราดกโมโหจนเส้นเลือดฝอยผุดขึ้นเต็มดวงตา ใจอยากจะยกดาบฟันแสกหน้าอีกฝ่ายยิ่งนัก
แต่สุดท้ายก็ได้แค่ทอดถอนใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เรื่องราวในสำนักใหญ่เช่นนี้ หากคนนอกกล้าเข้าไปยุ่ง ตายขึ้นมาก็เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าอย่างแท้จริง
ยุทธภพเป็นเช่นนี้ บนภูเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนทำให้คนต้องอัดอั้นตันใจ
และเวลานี้เอง เฉินผิงอันหันไปยื่นลูกกลมส่งให้นักพรตจางซานเงียบๆ “จางซาน นับแต่บัดนี้ไป พวกเราสองคนถือว่าไม่รู้จักกันแล้ว ของสิ่งนี้เจ้ารับไว้…”
นักพรตจางซานดันมือเขากลับมา ขยับศีรษะเข้ามากระซิบเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้ทำอะไรเหลวไหลเด็ดขาด ขอแค่เจ้าชิงลงมือก่อนก็เท่ากับว่าเป็นฝ่ายไร้เหตุผล ข้าผู้เป็นนักพรตรู้ว่าควรจะจัดการกับเซียนซือพวกนี้อย่างไร รับรองว่าได้ผลกว่าตีกันเสียอีก จำไว้ว่าอีกเดี๋ยวหากข้าถูกอัด เจ้าห้ามลงมือช่วยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ทำมาก็จะสูญเปล่า”
เฉินผิงอันถาม “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
นักพรตจางซานยิ้มเจิดจ้า “ลองดูก่อน หากไม่ได้จริงๆ เจ้าก็ค่อยช่วยข้าแล้วกัน”
กล่าวประโยคนี้จบนักพรตจางซานก็รู้สึกตลกเล็กน้อย เฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามนั้น เข้าไปก็มีแต่จะถูกคนอื่นซ้อม ยังไงก็ต้องขอให้ท่านบุรพาจารย์แห่งสามลัทธิที่อยู่เบื้องบนช่วยปกปักษ์คุ้มครองศิษย์ลูกศิษย์หลาน ให้การลงมือของข้าจางซานเฟิงครั้งนี้ได้ผลดีด้วยเถอะ!
—–
บทที่ 219.1 นักพรตเต๋าขับบทกวี
โดย
ProjectZyphon
นักพรตหนุ่มลุกขึ้นยืน จัดระเบียบเสื้อผ้า ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในลานกว้างของหอซิ่วโหลวด้วยท่าทางใจกว้างเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกท่านโปรดฟังนักพรตน้อยอย่างข้าสักคำ!”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันหันมามองนักพรตต่างถิ่นคนนี้ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป นักพรตเด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพที่ตรงเอวมีเชือกสีดำขดห้อยเอาไว้ พอเห็นนักพรตจางซานเฟิงสีหน้าก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ปลดเชือกลงมาแล้วโยนออกไป เชือกก็กลายมาเป็นเหมือนงูวิเศษตัวหนึ่งที่คลายตัวออกเองอยู่กลางอากาศ พริบตาเดียวก็รัดพันร่างนักพรตหนุ่ม จางซานเฟิงเฟิงที่ถูกมัดเหมือนบ๊ะจ่างยืนโงนเงนจะล้มมิล้มเหล่ กว่าจะยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพหัวเราะเสียงเย็น “ทำไมต้องฟังคำพูดเหลวไหลจากเจ้าด้วย? นักพรตตัวปลอมที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนหนึ่ง หากยังกล้าปากมาก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปข้างนอกเสียเลย”
นักพรตจางซานเฟิงกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าผู้เป็นนักพรตมีแซ่จางนามซานเฟิง มาจากกุรุทวีป อาจารย์คือหั่วหลงเจินเหรินจากพรรคหลิงเซียว (เมฆที่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า) และข้าผู้เป็นนักพรตก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ชื่ออยู่ในทำเนียบสามารถตรวจสอบได้! ออกเดินทางไกลมาขัดเกลาจิตใจที่แจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ ก็เพื่อทำการทดสอบของภูเขามังกรพยัคฆ์ให้สำเร็จ ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับคืนสู่บ้านเกิดก็จะได้กลายเป็นนักพรตในบัญชีลำดับวงศ์ตระกูลของจวนเทียนซือ! สำนักโองการเทพของพวกเจ้าช่างมีบารมียิ่งใหญ่นัก ถึงขนาดกล้าหมิ่นเกียรติคนตระกูลจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์!”
เด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพที่มีประสบการณ์ในยุทธภพไม่มากพอมึนงงเล็กน้อย ความเกรี้ยวกราดโอหังหายไปชั่วขณะ
เห็นได้ชัดว่าเขาตกตะลึงกับคำกล่าวที่ว่า ‘จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์’ เพราะหากจะให้สำนักโองการเทพไปงัดข้อกับพวกเขา สำนักโองการเทพก็ไม่มีความมั่นใจนั้นจริงๆ
ชื่อเสียงของคนประดุจเงาที่ตามติด สำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงแจกันสมบัติทวีปไม่มีสักคนที่รับมือได้ง่าย
ภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่อยู่ในอาณัติของสายใดในสามลัทธิของสำนักเต๋า คือระบบเต๋าของพื้นที่แห่งหนึ่งที่ก่อตั้งสำนักขึ้นมาเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพได้ยินชื่อเสียงของพวกเขามานานแล้ว แต่ก็ถูกจำกัดอยู่แค่ที่ตำนานในเรื่องเล่าจากเกร็ดพงศาวดารเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนฟังมาจากชาวบ้านความรู้ตื้นเขินที่เล่าลือกันปากต่อปาก ขนาดผู้ฝึกลมปราณทั่วไปบนภูเขายังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แค่รับฟังเหมือนฟังเรื่องตลก แต่ถึงอย่างไรสำนักโองการเทพก็ถือเป็นตระกูลเซียนที่ได้ใช้คำว่าสำนัก จึงเข้าใจรากฐานที่แท้จริงของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มากกว่าคนอื่นๆ เทียนซือตระกูลจางมือหนึ่งถือตราประทับ มือหนึ่งถือกระบี่เซียน มรรคกถายิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด พลังการสังหารไร้ขอบเขต นั่นคือเซียนห้าขอบเขตบนที่สามารถเลื่อนขั้นสู่สิบอันดับแรกของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยบุคคลระดับอัจฉริยะอย่างแท้จริง นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับตำแหน่งอันโดดเด่นของฉีเจินที่เป็นทั้งเจ้าสำนักโองการเทพ แล้วก็เป็นทั้งเจินจวินแห่งแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นสำนักโองการเทพจึงสามารถเข้าใจถึงกลิ่นอายความเป็นเซียนที่ท่วมเทียมฟ้าของภูเขามังกรพยัคฆ์ได้เป็นอย่างดี
นักพรตจางซานเฟิงฉวยโอกาสโจมตี จ้องเขม็งไปยังนักพรตเฒ่าที่เป็นผู้นำซึ่งมีสายตามืดทะมึนด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “หยางหว่างเป็นอดีตลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะคำว่ารักคำเดียว ต่อให้ข้าที่เป็นคนนอกมาเห็นเข้าก็ยังรู้สึกชื่นชมสรรเสริญ แทบหลั่งน้ำตาให้กับความรักของพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ได้ ในฐานะผู้นำระบบเต๋าของแจกันสมบัติทวีป คิดๆ ดูแล้วสำนักโองการเทพก็น่าจะมีน้ำใจและจิตใจประมาณเดียวกันนี้ถึงจะถูกไม่ใช่หรือ?”
เด็กน้อยของสำนักโองการเทพที่อายุน้อยที่สุดซึ่งในมือถือไม้โบราณชิ้นยาวกระตุกชายแขนเสื้อของนักพรตที่เป็นเด็กสาวเบาๆ ถามเสียงค่อย “ศิษย์พี่หญิง ข้ารู้สึกว่าที่จางเซียนซือคนนี้พูดมาก็ถูกนะ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เด็กสาวที่ตรงเอวมีแส้ไม้ไผ่สีเขียวสลับเหลืองส่ายหน้า “ก็แค่คำพูดเลื่อนเปื้อนไม่รู้จริงเท็จ อย่าได้คิดเป็นจริง”
เฉินผิงอันเหมือนได้เปิดโลกกว้าง
แต่ขณะเดียวกันนั้นหางตาเขาก็เหลือบไปเห็นทางสันหลังคาของหอซิ่วโหลว รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
นักพรตจางซานเฟิงอยากจะยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตเฒ่าเพื่อเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับคำพูดของตัวเอง แต่กลับพบว่าตัวเองถูกมัดไว้แน่นจนกระดุกกระดิกไม่ได้ เลยกระโดดดึ๋งไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แค่นเสียงหัวเราะหยัน “แล้วนับประสาอะไรกับที่ในอดีตท่านเซียนซือผู้เฒ่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกันกับหยางหว่าง มีมิตรภาพเพราะฝึกตนด้วยกันมานานหลายปี ตอนนี้กลับมาพบกันอีกครั้งก็เหมือนคนบ้านเดียวมาเจอกัน เหตุใดถึงต้องยกอาวุธเข้าห้ำหั่น ไม่ใช่ร่ำสุราพูดคุยกันอย่างสำราญ? เทียนซือของตระกูลจางข้า ไม่ว่าจะอยู่ในบัญชีรายชื่อหรือเป็นแค่ลูกศิษย์ในนาม ขอแค่พบหน้ากันขณะเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศก็เกิดความสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน แต่เหตุใดสำนักโองการเทพของพวกเจ้าถึงไม่มีบรรยากาศเช่นนี้? อีกอย่างถึงแม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางภูเขามังกรพยัคฆ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่เดินขึ้นเขาเพื่อฝึกตน แต่กลับรู้หลักการตื้นเขินอย่างข้อที่ว่ากฎหมายไม่มีทางเกินกว่าความรู้สึกของคนเป็นอย่างดี”
สุดท้ายนักพรตหนุ่มเปลี่ยนน้ำเสียงมาเป็นหัวเราะคิกคัก “ท่านเซียนผู้เฒ่าคงไม่ได้มีความแค้นเก่ากับหยางหว่าง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนใจหน้าตาของสำนัก คิดจะบีบให้สามีภรรยาคู่นี้ตายให้ได้หรอกกระมัง? แต่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก เพราะแค่มองก็รู้แล้วว่าท่านเซียนผู้เฒ่าเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง เมื่อเรื่องนี้จบลง นักพรตจางซานเฟิงจะต้องช่วยนำชื่อเสียงของท่านเซียนผู้เฒ่าและสำนักโองการเทพไปบอกต่อ ต่อให้ในอนาคตได้ไปถึงภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นปฐมสำนักแล้ว ขอแค่พูดถึงสำนักโองการเทพก็จะยังยกนิ้วโป้งชื่นชม!”
ผู้เฒ่าที่ยืนเอาสองมือไพล่หลังเพียงหรี่ตายิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
นักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่บนกำแพงพลันเอ่ยภาษาอะไรบางอย่างที่ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจ นักพรตจางซานเฟิงมึนงงเล็กน้อย แล้วจู่ๆ นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ถือกระพรวนคนนั้นก็เปลี่ยนกลับมาพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป หลุบตาลงมองจากที่สูง ยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตจางซานเฟิง กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนโกหก ข้าถามเจ้าด้วยภาษาทางการของกุรุทวีป ทำไมเจ้าถึงตอบไม่ได้สักคำถามเดียว?! บังอาจสวมรอยเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางภูเขามังกรพยัคฆ์อยู่ในบุรพแจกันสมบัติทวีปก็เท่ากับละเมิดกฎของระบบเต๋าในทวีป เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักโองการเทพก็ยังมีสิทธิ์จับตัวเจ้าอยู่ดี?! ยังไม่รีบคุกเข่ายอมรับผิดอีกรึ!”
คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับคนสารเลวที่พูดจาเลื่อนเปื้อนเหลวไหลได้เก่งกว่าตน นักพรตจางซานเฟิงโมโหหนัก เริ่มใช้ภาษาทางการของกุรุทวีปที่แท้จริงด่านักพรตหนุ่มคนนั้นกลับไป จากนั้นถึงหันกลับมาพูดภาษาของแจกันสมบัติทวีป “พูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริง กลับดำเป็นขาว สำนักโองการเทพตัวดี เจ้าลัทธิเต๋าแห่งแจกันสมบัติทวีปตัวดี!”
คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มบนกำแพงจะไม่สนใจนักพรตจางซานเฟิงเลยสักนิด เขาหันหน้าไปมองผู้เฒ่า เสนอความคิดด้วยรอยยิ้มตาหยี “อาจารย์ วิเคราะห์ขั้นต้นได้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้มาจากกุรุทวีป ส่วนข้อที่ว่าจะใช่ลูกศิษย์ตระกูลจางของภูเขามังกรพยัคฆ์หรือไม่นั้น ยังต้องค่อยๆ ตัดสินใจกันไป ไม่สู้จับตัวเขาเอาไปโยนไว้ข้างๆ ก่อน รอให้พวกเราจัดการเรื่องในสำนัก จัดการกับผีชางผีต้นไม้คู่นั้นให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยว่ากันดีไหม?”
ผู้เฒ่าเหมือนจะเห็นด้วย ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ในที่สุดสวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกก็สะกดกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้ไม่ไหว เขาทำเหมือนอย่างที่พูดก่อนหน้านี้ นั่นคือถือดาบวิเศษ ก้าวออกมาข้างหน้า ช่วยออกรับแทนให้ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ข้าน้อยเป็นแค่พลทหารตัวน้อยไร้ชื่อเสียง ไม่อาจขอให้เซียนซือจากสำนักโองการเทพให้เกียรติ หากเซียนซือทุกท่านอยากจะลงโทษหยางหว่างตามกฎระเบียบ ข้าผู้แซ่สวีก็จะล้างหูรอฟัง หวังได้ความรู้จากกฎระเบียบของตระกูลเซียนที่มีตัวอักษรคำว่าสำนัก ดูสิว่าจะมีข้อไหนนำมาปรับใช้ได้บ้าง แต่หากคิดจะฆ่าสองสามีภรรยาหยางหว่างโดยไม่คิดจะให้คำอธิบาย ต่อให้ข้าผู้แซ่สวีต้องเสียเนื้อหนึ่งร้อยกว่าจินทั่วร่างนี้ไป ขอแค่ในมือยังมีดาบอยู่ ก็จะต้องขอความรู้จากมรรคกถาอันค้ำฟ้าของเทียนซือทุกท่านให้จงได้!”
เด็กหนุ่มสำนักโองการเทพที่ใช้เชือกพันธนาการปีศาจพลันถามว่า “ในเมื่อเจ้าบอกว่าตัวเองมีชาติกำเนิดมาจากภูเขามังกรพยัคฆ์หนึ่งในสำนักของกุรุทวีป ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีหนังสือผ่านแดนที่สามารถพิสูจน์ว่าเจ้ามาจากกุรุทวีป อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางหรือไม่? หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ เจ้าก็ต้องรับผลที่ตามมาเรื่องที่เจ้าสวมรอยเป็นเทียนซือจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์”
สีหน้าของนักพรตจางซานเฟิงไม่น่าดูนัก เขาเผยความลังเลออกมาเสี้ยวหนึ่ง
มือดาบเคราดกปวดหัวเล็กน้อย ในใจคิดว่าหากนักพรตน้อยคนนี้รับมือกับปัญหาด้วยอารมณ์ สวมรอยเป็นญาติห่างๆ ของชนชั้นสูงหวงจื่อบนภูเขามังกรพยัคฆ์ นั่นก็ถือเป็นโทษทัณฑ์ที่ไม่น้อยเลยจริงๆ เมื่อมาตกอยู่ในมือของสำนักโองการเทพที่มีอำนาจตรวจสอบระบบลัทธิเต๋าในหนึ่งทวีปแล้ว ย่อมต้องพบเจอกับความยากลำบากครั้งใหญ่ หน้าที่ของเจ้าลัทธิเต๋าในหนึ่งทวีปอยู่ที่การสืบสาวราวเรื่องให้ถึงแก่น แม้จะเป็นประโยคที่มีแค่สี่คำ แต่น้ำหนักกลับมากอย่างถึงที่สุด เพราะนี่ถือเป็นการ ‘ปฏิรูปอย่างถึงรากเหง้า’
นักพรตจางซานเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันหน้ามาเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ช่วยหยิบเอกสารผ่านด่านในห่อสัมภาระให้ข้าที”
หยางหว่างผีชางแห่งบ้านโบราณหัวเราะเสียงขื่นหนึ่งที หันหน้ามามองภรรยา นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจความคิดของสามี หยางหว่างถึงได้หันกลับไป เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “จอมยุทธ์สวี นักพรตจาง ความหวังดีของพวกเจ้า หยางหว่างรับไว้แล้ว หากชาติหน้ามีจริง ย่อมต้องกลับมาตอบแทนให้แน่! วันนี้สำนักโองการเทพกำหนดโทษโดยใช้กฎมหาชนหรือคิดจะแก้แค้นส่วนตัว หยางหว่างและจัวจิงล้วนขอรับไว้เองทั้งหมด เพียงแต่จอมยุทธ์สวี นักพรตจาง และหนุ่มน้อยแซ่เฉินคนนั้นอย่าได้คิดว่าคนของสำนักโองการเทพเราล้วนมีแต่คนแบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้แน่นอน!”
กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย เสียงหัวเราะของหยางหว่างก็เปลี่ยนมาเป็นกำเริบเสิบสาน ราวกับว่าตลอดช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่ต้องมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ อารมณ์ของเขาไม่เคยผ่อนคลายเท่าตอนนี้มาก่อน เขาชูนิ้วโป้งชี้กลับไปที่ตัวเอง “ในสำนักโองการเทพของข้า!”
หยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นผีชางหยางหว่างก็ชี้ไปที่ผู้เฒ่าคนนั้น “คนโง่เง่าที่ฝึกแต่ตบะไม่ฝึกจิตใจอย่างเจ้านี้ ถึงอย่างไรก็มีน้อยมาก มิน่าเล่าเวลาหนึ่งร้อยปีที่แค่ดีดนิ้วก็ผ่านไป เจ้าจ้าวหลิวถึงได้ยังมีตบะแค่ขอบเขตห้า ฮ่าๆ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนข้าหยางหว่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าแล้ว หากจำไม่ผิด ตอนนั้นเจ้าจ้าวหลิวเพิ่งจะเป็นขอบเขตสามเส้นเอ็นหลิวเท่านั้นไม่ใช่หรือ? คำว่า ‘ขอบเขตรั้งคน’ ที่ถูกรั้งไว้มากที่สุดก็คือคนระยำจิตใจชั่วช้าอย่างเจ้านี่แหละ!”
คำพูดประโยคนี้ บุรุษเจ้าของบ้านโบราณกล่าวอย่างกำเริบเสิบสานสะใจ แต่กลับทำให้พวกเด็กรุ่นหลังในสำนักที่อยู่ใต้การปกครองของผู้เฒ่าหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย โดยเฉพาะนักพรตหนุ่มที่เรียกผู้เฒ่าคนนี้ว่าอาจารย์ซึ่งปล่อยปราณสังหารออกมาอย่างเด่นชัด กระบี่บินที่อยู่ในฝักด้านหลังขยับเคลื่อนพร้อมจะลงมือ เขาก็คือมือกระบี่คนหนึ่ง
แต่คำพูดของหยางหว่างทิ่มแทงใจของเขาพอดี จ้าวหลิวอาจารย์ของเขาติดค้างอยู่ในขอบเขตสามอยู่นานหลายปี ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็ชะงักค้างอยู่ในขอบเขตนี้มานานมากเช่นกัน จากตัวอ่อนกระบี่ฝีมือล้ำเลิศคนหนึ่งที่เดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นหยกงามซึ่งมีหวังจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ทว่าจากนั้นกลับค่อยๆ ตกต่ำมาเป็นเหมือนหมอนปักลายดอกไม้ที่อนาคตเลือนราง เป็นแค่ชั้นวางดอกไม้ที่ไม่มีหวังจะหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ตลอดชาติ และในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปี ฐานะของเขาในสำนักโองการเทพก็ดิ่งฮวบลงเหวพันจั้ง
ย้อนนึกถึงในอดีต ปีนั้นเขายังถึงขั้นเคยได้พูดคุยกับคู่กุมารทองกุมารีหยกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปคำสองคำ
นี่ถือเป็นเกียรติยศที่สูงส่งมากแค่ไหน?
โดยเฉพาะแม่ชีสาวที่มักจะมีกวางขาววิเศษเคียงกายคนนั้น ปีนั้นตอนที่คุยเล่นกัน ใบหน้าของนางยังเคยเผยรอยยิ้มบางๆ ด้วย
นี่คือภาพเหตการณ์อันงดงามที่หาได้ยากแค่ไหน? ต่อให้เป็นแค่รอยยิ้มตามมารยาท แล้วจะอย่างไร?
ต้องรู้ว่านางเป็นถึงสตรีที่ขนาดเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งก็ไม่อาจได้มาครอบครอง อีกทั้งเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะคนนั้นยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์พันปีของแจกันสมบัติทวีปด้วย
มาถึงท้ายที่สุด ตอนนี้เขากลับทำได้เพียงติดตามอาจารย์ที่ไม่มีหวังบนมหามรรคา พาเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งลงมาฝึกประสบการณ์ในบ่อโคลนตีนเขาอย่างยากลำบาก แม้จะพูดอย่างสวยหรูว่าเป็นการขัดเกลาจิตใจในการฝึกตน แต่ตลอดทางที่ผ่านมาได้แต่สังหารวัตถุชั่วร้ายที่ยังไม่มีสติปัญญา กำราบภูตภูเขาผีพรายที่ยังไม่จำแลงร่างเป็นคนแค่ไม่กี่ตัว จากนั้นก็มาพัวพันอีรุงตุงนังอยู่กับศิษย์ทรยศของสำนัก กับผีสาวปีศาจต้นไม้พวกนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ด้วยความโมโห เขาจึงเตรียมจะชักกระบี่
ถึงอย่างไรซะหากสังหารได้ก็เป็นแค่ผีชางภูตต้นไม้เท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ต่อให้ตนจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวมากแค่ไหน ก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสาม และก็พอจะมีความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ กับกุมารทองที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องราวภายนอกของสำนักโองการเทพอยู่บ้าง คิดๆ ดูแล้วต่อให้ถูกลงโทษก็คงเป็นการลงโทษแบบหันหน้าเข้ากำแพงทบทวนตัวเอง หรือไม่ก็คัดลอกคัมภีร์อะไรทำนองนั้น แล้วยังจะต้องกลัวอะไร?
—–
บทที่ 219.2 นักพรตเต๋าขับบทกวี
โดย
ProjectZyphon
น้ำเสียงแหบเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุ “กระบี่ไม่ควรชักออกจากฝักส่งเดช”
ทุกคนเงยหน้ามองไปตามเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ม่านราตรีตรงจุดนั้นกระเพื่อมเป็นริ้วเบาๆ ดูเหมือนว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นจะใช้ยันต์อำพรางกายชั้นเยี่ยมมองดูเหตุการณ์ในลานบ้านอยู่ตรงหลังคาตลอดเวลา เวลานี้พอค่อยๆ เผยกายจึงเห็นว่าเป็นเด็กสาวที่เรือนกายไม่สะโอดสะองสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เรียกว่าอ้วนฉุ ใบหน้าของนางกลมแป้นแดงปลั่ง สวมชุดผ้าต่วนสีแดง ดูมีสง่าราศีเปี่ยมวาสนา
นักพรตเฒ่าตกใจตะลึงลาน รีบกุมมือคารวะ “จ้าวหลิวคารวะอาจารย์อา”
เด็กสาวหน้ากลมที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่เล่มยาวกล่าวอย่างกังขา “เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ?”
ผู้เฒ่ายิ้มเต็มใบหน้า “ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ ไม่ว่าจะฝ่ายในหรือฝ่ายนอก มีใครบ้างที่ไม่รู้จักอาจารย์อา ถ้าไม่รู้จักก็หูตาคับแคบมีความรู้แค่หางอึ่งเกินไปแล้ว”
เด็กสาวหน้ากลมพลันหน้าดำ หัวเราะเสียงหยัน “ทำไม เรื่องน่าอายที่ข้าล้มเหลวในการบอกรักกุมารทอง คนทั้งสำนักล้วนรู้กันหมดแล้ว? ผู้หญิงปากยื่นปากยาวหรือผู้ชายปากสว่างคนไหนเอามาบอกเจ้า ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ ตอนข้ากลับไปถึงสำนักจะต้องขอบคุณเขาดีๆ สักรอบ”
ไม่เพียงแต่นักพรตเฒ่าที่ไม่เข้าใจ อันที่จริงทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่พวกเขาจำอาจารย์อาท่านนี้ได้ไม่ใช่ด้วยเรื่องบอกรักไม่บอกรักอะไรนั่น แต่เป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่สาวน้อยผู้นี้มีความอาวุโสสูงมาก แต่กลับสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในสำนักโองการเทพได้เสมอ เวลาปกติชอบขับกระบี่ด้วยความเร็วสูงสุดพุ่งชนไปตามยอดเขาต่างๆ อีกทั้งยังเป็นเด็กสาวตัวอวบ บินไปบินมาอยู่อย่างนี้ทั้งปี เรื่องที่นางชอบทำมากที่สุดก็คือขี่กระบี่บินเข้าไปในชั้นเมฆ จากนั้นก็พุ่งหัวทิ่มลงมาจากกลางอากาศสูงร้อยจั้งพันจั้ง ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นประมาณสองสามจั้งถึงจะบังคับกระบี่ให้ดีดตัวขึ้น บินแนบติดไปกับพื้นดิน จากไปไกลอย่างสง่างาม ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป มีใครกล้าไม่กลัวตายแบบนี้บ้าง? แล้วใครที่จะจำท่านบรรพบุรุษน้อยคนนี้ไม่ได้บ้าง?
อีกอย่างเมื่อสองปีก่อนเด็กสาวพยายามที่จะเปลี่ยนทิศทางในขณะที่ห่างจากพื้นหนึ่งจั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าหัวทิ่มลงพื้นทั้งกระบี่ทั้งคน ตั้งเด่ปักอยู่บนผืนดินอย่างโดดเดี่ยวเหมือนต้นหอมที่ปักกลับหัว ทำเอาพวกลูกศิษย์ที่เดิมทีมองดูพลางปรบมือร้องให้กำลังใจเป็นใบ้อึ้งค้างกันไปทุกคน
สุดท้ายเฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกที่สนิทกับนางมากสั่งสอนนางไปหนึ่งครั้ง ถึงทำให้บรรพบุรุษน้อยท่านนี้สำรวมขึ้นได้บ้าง
หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวก็ฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตห้าเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตของห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ จากนั้นนางก็เริ่มขับกระบี่อยู่ในสำนักโองการเทพอีกครั้ง เตร็ดเตร่อยู่หน้าจวนของเทพเซียนภูเขาที่ตั้งอยู่ในภูเขาแต่ละลูก ทำให้พวกผู้อาวุโสในสำนักที่เคยชินกับการฝึกตนอย่างเงียบสงบเริ่มรำคาญหงุดหงิดงุ่นง่านใจ เพียงแต่ว่าตอนที่ท่านปู่ทวดของเด็กสาวยังมีชีวิตอยู่เคยเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉีเจินเจ้าสำนักโองการเทพคนปัจจุบัน เป็นเหตุให้เทียนจวินฉีเจินที่นิสัยเย็นชารักความสันโดษลำเอียงเข้าข้างทายาทของอาจารย์คนนี้มากเป็นพิเศษ ถึงขั้นมากยิ่งกว่าคู่กุมารทองกุมารีหยกด้วยซ้ำ
เด็กสาวเห็นสีหน้าของทุกคนก็รู้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิด แถมยังหลุดปากเผยความลับของตัวเองออกมา ใจอยากจะขับกระบี่หนีไปให้ไกลพันหมื่นลี้เสียเดี๋ยวนั้น แต่พอนึกถึงคำไหว้วานจากพี่สาวเฮ้อกับเจ้ากุมารทองใจสุนัขคนนั้น จึงได้แต่ข่มกลั้นไฟโทสะและความอับอาย ตีหน้าเคร่งยืนอยู่บนหลังคา เริ่มครุ่นคิดหาถ้อยคำที่จะใช้ขับไล่ชายหญิงเจ้าของบ้านโบราณที่ไม่รู้จักหนักเบาคู่นั้น
สำนักโองการเทพเองก็เหมือนสำนักส่วนใหญ่ที่มีการแบ่งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ก่อนที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะไปจากสำนักโองการเทพ กุมารทองกับกุมารีหยกอยู่ในสำนักเดียวกันถือเป็นความเจริญรุ่งเรืองที่หาได้ยากยิ่ง เพื่อฝึกประสบการณ์ให้กับศิษย์ที่เป็นความภาคภูมิใจของสำนักสองคนนี้ ฉีเจินเจ้าสำนักจึงมอบหมายงานของฝ่ายนอกให้เด็กรุ่นหลังทั้งสองโดยเฉพาะ แน่นอนว่าไม่ได้โยนงานใหญ่หนักหนาอะไรมาให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ให้พวกเขาทำหน้าที่เหมือนขุนนางผู้ตรวจการของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่มีสิทธิ์ตรวจสอบร้อยขุนนาง อีกอย่างบางครั้งพวกเฮ้อเสี่ยวเหลียงเองก็จะได้รับอำนาจในการจัดการเรื่องราวธรรมดาทั่วไปของฝ่ายนอกอย่างเต็มที่ แล้วก็มีอำนาจในการเขียนตัวอักษรสีแดง ซึ่งก็คือใช้พู่กันจุ่มหมึกสีขาดเขียนคำแนะนำว่าจะจัดการเรื่องราวหนึ่งโดยละเอียดอย่างไร จากนั้นก็มอบให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักไปจัดการเรื่องราวในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ถือเป็นหนึ่งในการขัดเกลาประสบการณ์ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร พวกเฮ้อเสี่ยวเหลียงสองคนก็มีอำนาจในการตรวจสอบและตัดสิน
ดังนั้นกุมารีหยกของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงได้รับการปลูกฝังอบรมอย่างลึกซึ้งจากสำนักอย่างแท้จริง แต่นางกลับเลือกจะจากสำนักโองการเทพไปอย่างเด็ดเดี่ยว อย่าว่าแต่คนนอกที่ไม่เข้าใจ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสและบุรพาจารย์หลายคนของฝ่ายในสำนักโองการเทพเองต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ ถึงได้มีคนด่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงว่าเป็นคนเนรคุณเลี้ยงเสียข้าวสุก
คงเป็นเพราะคนทั้งสำนักโองการเทพล้วนให้ความสำคัญกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงผู้มีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปมากเกินไป ดังนั้นรักมากจึงยิ่งเกลียดแค้นมาก
จดหมายลับที่หยางหว่างส่งไปยังสำนัก อันที่จริงสำนักโองการเทพได้รับตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้ว ตอนนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงยังไม่ออกจากสำนัก อีกทั้งยังเคยทะเลาะกับกุมารทองเพราะจดหมายฉบับนี้ กุมารทองหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรสีชาดก่อน เนื้อหาประมาณว่าให้จัดการอย่างเหมาะสม อย่าเข้มงวดกับหยางหว่างมากเกินไป เพราะอันที่จริงแล้วเรื่องนี้พอจะให้อภัยกันได้ แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมีความคิดเห็นในทางตรงกันข้าม หนังสือสีชาดที่นางเขียนมีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง บอกว่าหยางหว่างเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ แต่กลับตกต่ำกลายมาเป็นผีชาง ควรจะลงโทษอย่างเข้มงวดไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ทว่าการลงโทษที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงสองคนมีต่อผีสาวผู้นั้นกลับไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ต่างก็เลือกที่จะไม่ให้ความสนใจ
เพราะสองฝ่ายมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จดหมายลับฉบับนี้ของหยางหว่างจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ชั่วขณะ สำหรับเรื่องนี้หากว่ากันตามเหตุตามผลและเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้แล้ว ฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพต่างก็เอนเอียงไปตามความคิดของเฮ้อเสี่ยวเหลียงในเวลานั้น แต่ใครก็คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพอีกต่อไป แม้แต่สถานะกุมารีหยกก็ยังตัดใจทอดทิ้งได้ลง กุมารทองที่หลงรักเฮ้อเสี่ยวเหลียงมานานหลายปีรู้สึกราวกับว่าจดหมายฉบับนั้นอัปมงคลเกินไป จึงไม่คิดจะสนใจอีก อีกทั้งในมือเขายังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกนับไม่ถ้วน จึงโยนไปให้กับผู้อาวุโสคุมกฎของฝ่ายนอกคนหนึ่ง บอกเพียงว่ามอบให้ลูกศิษย์ที่ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์จัดการตามสมควร ไม่ต้องสนใจเนื้อหาในหนังสือสีชาดที่มีความขัดแย้งกันเอง
เรื่องราวในภายหลังก็ชัดเจนมากแล้ว จ้าวหลิวคว้าโอกาสนี้ไว้ ลงจากภูเขามาแก้แค้นส่วนตัวด้วยตัวเอง
แต่ไม่รู้ว่าเด็กสาวหน้ากลมแซ่ฟู่คนนี้ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหนถึงได้แอบติดตามมาด้วย พอดีกับที่สามารถออกมาผ่อนคลายอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงกุมารทองใจดำของสำนักโองการเทพทั้งวัน นางขับกระบี่บินข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำอย่างสาแก่ใจ มีบ้างบางครั้งที่พบเจออุปสรรคระหว่างทาง แต่พอได้ยินว่านางเป็นลูกศิษย์สายตรงของฝ่ายในสำนักโองการเทพ ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ฝึกตนอิสระที่เหี้ยมหาญดุดัน ต่างก็แทบจะยกนางขึ้นบูชาเป็นพระโพธิสัตว์กันทั้งนั้น
คำพูดของเด็กสาวแซ่ฟู่อาจหลอกลวงกันได้ แต่กวานดอกบัวที่หายากซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่กล้าล้ำเส้นใช้มั่วซั่ว รวมไปถึงหยกประดับสีทองสะดุดตาตรงเอวนั้นล้วนหลอกใครไม่ได้
หลังจากที่เด็กสาวหน้ากลมปรากฏตัว มือดาบเคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงต่างก็รู้ดีว่าโชคชะตาของคู่สามีภรรยาหยางหว่างไม่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาอีกแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
‘ผู้อาวุโส’ ท่านหนึ่งของสำนักโองการเทพ พูดแค่ประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว
หยางหว่างกุมมือของผีสาว เงยหน้ามองเด็กสาวคนนั้น คลี่ยิ้มเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หยางหว่างและจัวจิงผู้กระทำผิดล้วนเชื่อฟังทุกคำตัดสินของอาจารย์อา ไม่ว่าเป็นหรือตายก็พร้อมน้อมรับ”
เด็กสาวหน้ากลมปรายตามองสามีภรรยาคู่นั้น คนหนึ่งแห้งเหี่ยว คนหนึ่งอัปลักษณ์ หน้าตาของพวกเขาทำให้คนชื่นชอบไม่ลงจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นรังเกียจสะอิดสะเอียน พอนึกถึงอักษรสีชาดสองฉบับในจดหมายลับ เด็กสาวก็ถอนหายใจ ในใจคิดว่าถึงอย่างไรพี่หญิงเฮ้อก็ไม่ใช่คนของสำนักโองการเทพอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามความต้องการของกุมารทองใจดำคนนั้นแล้วกัน?
นางกระแอมทำลำคอให้โล่ง แล้วออกคำสั่งว่า “จ้าวหลิวจงพาคนไปจัดการกับศาลเทพภูเขาเถื่อนแห่งนั้น ส่วนข้อที่ว่าจะลงมือด้วยตัวเอง หรือร่วมมือกับทางการของราชวงศ์ในท้องถิ่น พวกเจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง คู่สามีภรรยาหยางหว่าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันหน้าห้ามทำเรื่องชั่วร้ายโดยใช้นามของสำนักโองการเทพอีก สรุปก็คือนับจากวันนี้ไป ทุกการกระทำของพวกเจ้าสองสามีภรรยาจะไม่เกี่ยวข้องกับสำนักโองการเทพอีกแล้ว”
ในเมื่อดูเรื่องสนุกจบแล้ว เด็กสาวหน้ากลมก็ไม่เต็มใจจะอยู่ในสถานที่เฮงซวยที่แม่น้ำและภูเขาเสื่อมโทรมแห่งนี้อีก นางจึงบังคับกระบี่แหวกอากาศจากไปด้วยความเร็วที่มากที่สุด คนอื่นเวลาขับกระบี่ มักจะค่อยๆ ไต่เนินไปเป็นวงเส้นโค้ง สุดท้ายถึงเข้าไปกลางอากาศสูง เด็กสาวแซ่ฟู่กลับบินพุ่งเป็นแนวเส้นตรง ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ ทำเอาคนมองอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าหากไม่ระวังนางจะหล่นลงมา
หยางหว่างนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตะโกนเสียงดัง “ขอบพระคุณอาจารย์อาฟู่ที่ก่อนหน้านี้ช่วยไล่ศัตรูไปให้!”
ผู้เฒ่าจ้าวหลิวกุมมือคารวะน้อมส่งเด็กสาว หลังจากนั้นก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง แล้วหมุนกายจากไปไม่พูดไม่จา
หยางหว่างไม่ได้ลำพองใจเพราะเหตุนี้ กลับกันยังกุมมือคารวะเอ่ยขออภัยเซียนซือน้อยทั้งหลายของสำนักโองการเทพ เว้นก็แต่คนหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ของผู้เฒ่า “หยางหว่างมีแต่มลทินเต็มตัว ไม่กล้าไปส่งเซียนซือทุกท่าน”
นักพรตเด็กหนุ่มดึงเชือกพันธนาการปีศาจกลับมา เขากับพี่สาวฝาแฝดที่ตรงเอวมีแส้ไม้ไผ่ลังเลกันเล็กน้อย สุดท้ายจึงผงกศีรษะให้เบาๆ
เด็กน้อยที่ในมือถือไม้สยบปีศาจเดินอาดๆ จากไป แล้วจู่ๆ ก็หันกลับมาทำหน้าทะเล้นใส่ผีสาวภูตต้นไม้ ยิ้มเย้ย “ตัวอัปลักษณ์เอ๋ยตัวอัปลักษณ์!”
ผีสาวที่เดิมทียังยิ้มหวานด้วยความยินดีพลันมีสีหน้าหม่นเศร้า หันหน้ากลับไปช้าๆ ยกสองมือปิดหน้า ไม่กล้าให้ใครพบเห็นอีก
ทันใดนั้น
เด็กชายพลันชะงักฝีเท้า ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับ แต่เป็นเพราะขยับไม่ได้ต่างหาก
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ อันที่จริงแล้วลูกศิษย์ที่ได้รับความสำคัญจากสำนักที่แท้จริงก็คือเขาที่เป็นดั่งวัสดุอันดีในการฝึกตน เกิดมาก็มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำเกินใคร ไม่ใช่พี่น้องฝาแฝดชายหญิงคู่นั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่โง่เง่าที่ ‘นอนคว่ำอาบแดดอยู่ในขอบเขตสามมานานหลายปี’ ผู้นั้น
เขารีบหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว
กลางฝ่ามือที่กำไม้สยบปีศาจซึ่งสลักคำว่า ‘หมื่นผีศิโรราบ’ ไว้แน่นของนักพรตน้อยเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาย้ายสายตาไปอย่างเชื่องช้า ไม่พูดถึงผีสาวหน้าตาอัปลักษณ์ หยางหว่างผีชางที่อ่อนแอเหมือนคนขี้โรค มือดาบเคราดกที่อาศัยอาวุธเทพชิ้นหนึ่งอวดอ้างบารมี นักพรตจากกุรุทวีปที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ สุดท้ายถึงเป็นเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้สีหน้าไร้อารมณ์
ในสายตาของทุกคนแล้ว การกระทำนี้ของนักพรตน้อยที่หน้าอ่อนเยาว์เหมือนนิสัยเกเรของเด็กน้อยคนหนึ่ง
มีเพียงเฉินผิงอันที่ยื่นสองนิ้ว ทำมือแปลกๆ ทิ่มไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง
นักพรตน้อยรีบกะพริบตาปริบๆ กลืนน้ำลาย สุดท้ายฝืนยิ้ม โบกมือลาคนที่ลางสังหรณ์ทำให้เขารู้สึกว่าอันตรายอย่างถึงที่สุดคนนั้นด้วยความเกรงใจ
นักพรตน้อยเผ่นหนีพลางสบถด่าในใจไปด้วย แม่งเอ๊ย พลังอำนาจคมกริบในร่างของไอ้หมอนี่ทำไมถึงเหมือนตัวประหลาดเฒ่าห้าขอบเขตกลางยิ่งนัก? อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนประเภทที่มักจะลงจากภูเขามาเข่นฆ่า ผ่านสงครามมานับร้อยด้วย
นักพรตน้อยไม่ได้คิดจะรายงานให้เบื้องบนรู้ ต่อให้ยั่วยุให้คู่อาจารย์และศิษย์อย่างจ้าวหลิวแว้งกลับไปเล่นงานอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
บนเส้นทางของการฝึกตน นอกจากมหามรรคาแล้ว ประโยคที่บอกว่ามีเรื่องเพิ่มมากขึ้นหนึ่งเรื่องไม่สู้มีน้อยลงหนึ่งเรื่อง ไม่ใช่ถ้อยคำที่ไร้สาระเลยจริงๆ
นักพรตน้อยวิ่งไปวิ่งมาก็รู้สึกตลก อารมณ์มืดครึ้มกลับมากระจ่างใสในชั่วพริบตา
ว้าว เป็นเหมือนที่อาจารย์ของตนว่าไว้จริงๆ ด้านล่างภูเขาก็มียอดฝีมือสูงส่งเหมือนกัน! ตนก็เพิ่งเจอมาหยกๆ ไม่ใช่หรือ? พอกลับไปแล้วจะต้องเล่าให้อาจารย์ฟังให้ได้ว่า คนที่ตนเจอมา อย่างน้อยก็ต้องเป็นตัวประหลาดเฒ่าขอบเขตโอสถทองคำ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเซียนพสุธาขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่งก็ได้ หน้าไม่อายยิ่งนัก แสร้งปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่ม ทำเอาเขาตกใจจนแทบฉี่ราด…
นักพรตน้อยวิ่งห่อไปอย่างลิงโลด แถมยังกระโดดตัวสูงหนึ่งครั้ง กล่าวอย่างอารมณ์ดี “วู้หู้ว ลงเขามาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว”
สองพี่น้องที่เดินอยู่กลางระเบียงนำไปเบื้องหน้าหันกลับไปมองพร้อมกัน
นักพรตน้อยรีบกลั้นหายใจสงบสติ พอเท้าเหยียบลงพื้นแล้วก็เดินต่อไปด้วยฝีเท้ามั่นคงเหมือนคนแก่
ทางฝั่งของหอซิ่วโหลว หลังจากมรสุมผ่านไปแล้ว แม้ว่าเจ้าบ้านชายหญิงต่างก็อยู่ในอารมณ์ตกใจหวาดหวั่นตลอดเวลา แต่เมื่อผ่านพ้นหายนะมาได้ สองสามีภรรยาก็จับมือ หันมาส่งยิ้มให้กัน ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องให้เอื้อนเอ่ย พวกเขารู้สึกเพียงว่าได้สมหวังดังใจปรารถนา ภาระทั้งหมดสลายไปสิ้น ความขมขื่นหมดลง ความหวานชื่นก็เข้ามาแทนที่
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น