อัจฉริยะสมองเพชร 2178-2179

 ตอนที่ 2178 เริ่มกันเถอะ!

เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าแล้ว วรยุทธแต่ละขั้นจะมีความแตกต่างกันมาก ทำให้ลำดับอาวุโสและการลดหลั่นของอำนาจในหมู่เทพเจ้าเป็นไปอย่างเข้มงวด หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ ไม่น่าเป็นไปได้ที่นักรบระดับเทพเจ้าคนหนึ่งจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธสูงกว่า


มีความเป็นไปได้เพียง 2 ข้อที่ใครคนหนึ่งจะสร้างวีรกรรมแบบนั้นได้


ข้อแรกก็คือตัวเขาเป็นอัจฉริยะที่มีสติปัญญาและความปราดเปรื่องอย่างเหลือเชื่อเหมือนราชันย์พิชิตสวรรค์ ด้วยสติปัญญาและความปราดเปรื่องที่มี อัจฉริยะเหล่านี้จึงก้าวข้ามขีดจำกัดของสายเลือดของพวกเขาและประสบความสำเร็จเหนือชั้นกว่าเหล่าบรรพบุรุษ แต่นานๆครั้งถึงจะมีอัจฉริยะแบบนี้ปรากฏตัวสักคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีพละกำลังแข็งแกร่งตั้งแต่อายุยังน้อย


ความเป็นไปได้ข้อสองคือ เขามีสายเลือดที่ทรงพลังเป็นพิเศษ เหมือนกับเผ่าพันธุ์มังกร เผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์ และอสูรสวรรค์อื่นๆ


ในเมื่อชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่สติปัญญาและความปราดเปรื่องของเขาจะยังไม่พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด การที่เขายังเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำทั้งที่อายุล่วงเลยมาขนาดนี้จึงหมายความว่าสติปัญญาของเขาไม่ได้เหนือชั้นอะไร ความเป็นไปได้ที่มีมากกว่าจึงเป็นการที่เขาอาจจะมีสายเลือดที่ทรงพลัง!


อย่างอสูรสวรรค์ที่ไร้เทียมทานส่วนใหญ่ นอกจากความสามารถในการแปลงร่าง พวกมันจะยกระดับวรยุทธอย่างช้าๆตอนที่อายุยังน้อย จึงมีความแข็งแกร่งไม่มากนัก


“เดี๋ยวเราก็จะรู้เองว่าเป็นข้อไหน ทดสอบแป๊บเดียวก็รู้” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


เธอรอคอยอย่างอดทน ก่อนที่ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งจะนำขวดใบหนึ่งมาให้


เธอรับขวดใบนั้นมาตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายในและหัวเราะเบาๆ “นี่คือเลือดสดๆที่เขาแกล้งกระอักออกมาตบตาเราตอนที่กำลังหลอมยา ถึงจะแห้งเหือดไปแล้ว แต่ก็ยังใช้ทดสอบพละกำลังของสายเลือดได้ เราจะนำคราบเลือดของเขาเข้าสู่สระบาดาลเพื่อคารวะจิตวิญญาณวีรชนของเหล่าบรรพบุรุษเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ราชันย์เทพเจ้า และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของตำหนักบาดาล ถ้าจิตวิญญาณวีรชนสามารถควบคุมคราบเลือดได้ ก็หมายความว่าสายเลือดของเขาต่ำต้อยกว่าวีรชนเหล่านั้น แต่ถ้าจิตวิญญาณวีรชนสูญสลายไป ก็แปลว่าสายเลือดของชายหนุ่มแข็งแกร่งและทรงพลังกว่า…”


“ถ้าสายเลือดของชายหนุ่มทรงพลังกว่า ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขามีกลุ่มอำนาจใหญ่คอยหนุนหลัง การแตะต้องคนแบบนั้นไม่ต่างกับรนหาที่ตาย แต่หากสายเลือดของเขาอ่อนด้อย ฉันก็ทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้บนบัตรสรวงสวรรค์ใบนั้นแล้ว ซึ่งจะทำให้เราตรวจสอบและติดตามได้ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน อย่างน้อยที่สุด พันธมิตรทางธุรกิจของฉันก็ควรจะแข็งแกร่งมากพอที่จะไม่ถูกฉันครอบงำระหว่างที่กำลังร่วมงานกับฉัน คุณคิดอย่างนั้นไหม?”


“ฉันเข้าใจ” สุภาพสตรีวัยกลางคนพยักหน้า รู้สึกประทับใจกับวิธีการของนายหญิงน้อย


ก็นั่นแหละ ไม่เก่งไม่เก๋าจริงก็คงดูแลตลาดมืดใต้ดินขนาดมหึมาแห่งนี้ไม่ได้


เมื่อตัดสินใจแล้ว ทั้งคู่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดการปลอมตัวก่อนจะออกจากตลาดมืด


2 ชั่วโมงต่อมาก็มาถึงตำหนักบาดาลที่จางเซวียนเคยแวะไป


ด้วยเส้นสายของพวกเธอ ทั้งคู่เดินตรงเข้าไปจนถึงห้องหนึ่งที่ปิดมิดชิด


ที่บริเวณหน้าห้องนั้นมีแท่นบูชาที่เต็มไปด้วยป้ายชื่อหลายแถว แต่ละอันจารึกชื่อนักรบผู้โด่งดังของน่านฟ้าแห่งวิญญาณเร่ร่อน


ด้วยความเคารพต่อเหล่าบรรพบุรุษ ตำหนักบาดาลจึงดูแลรักษาห้องนี้อย่างดี ฝุ่นผงสักกระผีกเดียวก็ไม่มีให้เห็น มีนักรบแวะเวียนมาแสดงการคารวะเหล่าบรรพบุรุษเป็นระยะๆ


ที่บริเวณใจกลางห้องคือสระสีแดงก่ำ เต็มไปด้วยของเหลวเดือดเป็นฟองที่ไม่อาจระบุชื่อได้ มันแผ่พลังงานที่ทำให้ผู้พบเห็นใจเต้นตึกตักด้วยความหวาดกลัว


“เริ่มกันเถอะ!”


ฉีหลิงเอ๋อโยนขวดหยกที่มีคราบเลือดของจางเซวียนลงไปในสระสีแดงก่ำ


บึ้มมมม!


คราบเลือดระเบิด ลุกเป็นไฟ


เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังงานที่แผ่ซ่านออกมาจากคราบเลือด ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากสระสีแดงก่ำ ปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกไปโดยรอบ


ภาพลวงตาของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะรัดกุมปรากฏขึ้นเหนือสระสีแดงก่ำนั้น เขาเงื้อดาบขึ้น ตั้งใจจะฟาดฟันคราบเลือดที่กำลังลุกเป็นไฟ


“นั่นคือจิตวิญญาณวีรชนของเทพเจ้าสวรรค์สร้าง, อู๋เจียง!” ฉีหลิงเอ๋อจำชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะได้


เทพเจ้าสวรรค์สร้างอู๋เจียงไม่ได้มาจากเมืองตะวันรอน แต่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่โด่งดังในน่านฟ้าแห่งวิญญาณเร่ร่อน เขาสร้างความดีความชอบไว้มากระหว่างที่เกิดการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณเป็นครั้งแรก โดยแม้จะถูกศัตรูตีวงล้อม แต่ก็สังหารผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธระดับเดียวกันไปได้หลายคน ก่อนในที่สุดจะพ่ายแพ้


ด้วยวีรกรรมในครั้งนั้น ป้ายชื่อของเขาจึงได้รับอนุญาตให้วางไว้บนแท่นบูชาเพื่อให้ผู้คนมาเคารพสักการะแม้ตัวเขาจะเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้าง ด้วยพละกำลังและอำนาจของสระบาดาล เขาจึงหลอมจิตวิญญาณวีรชนขึ้นใหม่และดำรงอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้


ขณะที่ดาบกำลังจะฟาดฟันเปลวเพลิง ภาพลวงตาของอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือคราบเลือด เป็นร่างของชายหนุ่มที่พวกเธอได้พบเมื่อครู่นี้


ชายหนุ่มหลับตาสนิท ดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนหรือเกิดอะไรขึ้น


ชายหนุ่มไม่แยแสดาบของเทพเจ้าสวรรค์สร้างอู๋เจียงที่กำลังจะฟาดฟันลงมา เขายืนนิ่งและพึมพำถ้อยคำบางอย่าง


ได้ยินคำนั้น เทพเจ้าสวรรค์สร้างอู๋เจียงตัวแข็ง ต่อมาก็เข่าอ่อนและทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น


“เขากำลัง…คารวะชายหนุ่มหรือ?” ฉีหลิงเอ๋อหรี่ตาอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่หมายความว่าเขามีสายเลือดของราชันย์เทพเจ้า?”


มีเหตุผลเพียงข้อเดียวที่จู่ๆเทพเจ้าสวรรค์สร้างจะโค้งคำนับให้บุคคลอื่น นั่นคืออีกฝ่ายมีสายเลือดที่แข็งแกร่งกว่าเขา…


และผู้เดียวที่มีสายเลือดแข็งแกร่งกว่าเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็คือราชันย์เทพเจ้า!


ขนาดเจ้าเมืองตะวันรอนยังเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แต่ชายหนุ่มคนนี้มีสายเลือดที่เทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า นั่นหมายความว่าในอนาคตเขามีโอกาสจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าใช่ไหม?


ไม่นานหลังจากเทพเจ้าสวรรค์สร้างอู๋เจียงทรุดตัวลงคุกเข่า สระสีแดงก่ำก็เดือดพล่านอีกครั้ง ภาพลวงตาอีกภาพหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ คราวนี้เป็นภาพของชายหนุ่มที่สวมมงกุฎ เขาถือหอกไว้และยืนจังก้า


“นั่นคือราชันย์เทพเจ้าแห่งเปลวเพลิงแผดเผา! ฉันเคยได้ยินตำนานของเขา เขาใช้หอกสร้างวีรกรรมสังหารราชันย์เทพเจ้าถึง 3 คน ทำให้เหล่าราชันย์เทพเจ้าต่างยำเกรง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควรล่ะก็ ป่านนี้คงได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแล้ว…” ฉีหลิงเอ๋อกำหมัดแน่นขณะพูดอย่างตื่นเต้น


ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ภาพลวงตาของราชันย์เทพเจ้าก็เดินเข้าหาชายหนุ่มและเงื้อหอกในมือ


ขณะที่ทุกคนคิดว่าราชันย์เทพเจ้าแห่งเปลวเพลิงแผดเผาคงจะกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัว โทษฐานที่มาอวดเบ่ง หอกนั้นก็หยุดกึกในวินาทีสุดท้าย แล้วก็เหมือนกับเทพเจ้าสวรรค์สร้างอู๋เจียง เขาทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นราวกับนักเรียนที่ว่านอนสอนง่าย


ฉีหลิงเอ๋อหัวหมุนเมื่อเห็นภาพนั้น


แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าก็ยอมจำนนให้เขา?


สายเลือดของอีกฝ่ายจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


สระสีแดงก่ำเดือดพล่านอีกครั้ง ภาพลวงตาอีกภาพหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ


ชายหนุ่มคนนี้สวมหมวกเกราะและชุดเกราะสีเงิน ถือแส้ไว้ทั้งสองมือ ท่อนแขนกล้ามขึ้นเป็นมัด บ่งบอกถึงพละกำลังมากมายอย่างเหลือเชื่อที่เขามีอยู่


“นั่นคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ หนานกงผิง!” ฉีหลิงเอ๋ออุทานด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคือผู้ที่มีอายุขัยกว่าหนึ่งแสนปี โดยปกติ พวกเขาเสียชีวิตได้ยากมาก แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง


เมื่อ 40 ปีก่อน ร่างของหนานกงผิงถูกฉีกเป็นชิ้นๆด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวของราชันย์พิชิตสวรรค์ ทำให้เขาตายทันที


แม้หนานกงผิงจะพ่ายแพ้เพราะนิ้วเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอ่อนแอ คงโง่เขลามากหากจะคิดว่าผู้ที่สามารถขึ้นถึงตำแหน่งที่เป็นรองเพียงแค่จอมราชันย์จะอ่อนแอได้ขนาดนั้น


ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็ต้องยอมแพ้!


หนานกงผิงตวัดแส้เพื่อเล่นงานชายหนุ่ม


แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไร เขาก็ดึงแส้กลับและทรุดตัวลงคุกเข่าข้างเทพเจ้าสวรรค์สร้างอู๋เจียงกับราชันย์เทพเจ้าแห่งเปลวเพลิงแผดเผา


“ขนาดราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยังคุกเข่าให้เขา หรือว่า…”


ฉีหลิงเอ๋อกับสุภาพสตรีวัยกลางคนตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงขณะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


“หรือว่า…เขามีสายเลือดของจอมราชันย์?”


จอมราชันย์


พวกเขาคือกลุ่มคนที่เป็นสุดยอดของเก้าเวหา แต่ละคนมีพละกำลังเหนือชั้นถึงขนาดที่แม้สรวงสวรรค์ยังต้องยอมศิโรราบให้ความประสงค์ของพวกเขา ทำให้ไม่มีใครกล้าต่อต้านหรือทำให้ขุ่นเคือง


ชายหนุ่มที่พวกเธอเพิ่งพบเมื่อครู่มีสายเลือดของผู้ทรงพลังระดับนั้นจริงๆหรือ? มันเกิดอะไรขึ้น?


“เกิดความผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า?” สุภาพสตรีวัยกลางคนกระซิบกระซาบ “เท่าที่ฉันรู้ จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นไม่มีทายาทหรือผู้สืบทอดนะ…”


โลกนี้มีจอมราชันย์เพียง 9 คนเท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่มีสายเลือดของจอมราชันย์ก็ควรจะเป็นทายาทโดยสายเลือดของจอมราชันย์ทั้ง 9 แต่จอมราชันย์ของน่านฟ้าแห่งวิญญาณเร่ร่อนคือจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วทั้งสรวงสวรรค์ว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวและไม่มีทายาทที่ไหน แล้วจู่ๆ นักรบคนหนึ่งที่มีสายเลือดของเขาปรากฏตัวได้อย่างไร?


“มีสิบจอมราชันย์ใน 9 น่านฟ้า การที่ชายหนุ่มคนนั้นปรากฏตัวในน่านฟ้าแห่งวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นทายาทของจอมราชันย์เฉียนคุ่น” ฉีหลิงเอ๋อตอบเสียงสั่นๆ “จากข้อมูลที่ฉันได้มา ตอนที่เขาสังหารสายเทา เขาได้ใช้ศิลปะเพลงดาบที่ทรงพลังมาก แหล่งข่าวกล่าวว่า ‘แนวคิดของศิลปะเพลงดาบนั้นลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าศิลปะเพลงดาบใดๆที่ผมเคยเห็น…’”


สุภาพสตรีวัยกลางคนตาโต “นายหญิงน้อย คุณหมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาอาจมาจาก น่านฟ้าดาบสวรรค์? ทายาทของเทพเจ้าเพลงดาบแห่งกระท่อมดาบที่ลงจากตำแหน่งแล้ว?”


“เราไม่มีทางรู้แน่ในเรื่องแบบนั้นได้หรอก ฉันไม่กล้าพูดอะไรพล่อยๆหากเป็นเรื่องของจอมราชันย์” ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้าก่อนจะสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็พูดต่อ “อย่าพูดเรื่องนี้กับใครล่ะ”


“ฉันเข้าใจ” สุภาพสตรีวัยกลางคนรีบพยักหน้า


ต่อให้ฉีหลิงเอ๋อไม่พูดอะไร เธอก็ไม่กล้าแพร่งพรายเรื่องที่เกี่ยวกับจอมราชันย์อยู่แล้ว


“รับคำสั่งของฉันนะ เราจะเพิ่มส่วนแบ่งของกำไรให้เขาเป็นอัตราส่วน 9 ต่อ 1, ถ้าเขาร้องขออะไร ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ทำตามคำขอของเขาให้ได้ ส่วนเรื่องอสูรหม่าหยาง ก็รีบส่งมอบให้เขาโดยเร็วที่สุด!” ฉีหลิงเอ๋อสั่งการชุดใหญ่


ตอนที่ 2179 อสูรเกราะเรืองแสง

ในเมื่อเธอกำลังทำธุรกิจกับทายาทของจอมราชันย์ ก็ชัดเจนแล้วว่าควรทำอะไร


ต่อให้ชายหนุ่มไม่ได้มาจากตระกูลหลัก แต่ในฐานะผู้ครอบครองสายเลือดของจอมราชันย์ ในอนาคตก็น่าจะมีตำแหน่งยิ่งใหญ่ และยิ่งไปกว่านั้น…คนระดับเขาจะไม่มีเหล่าผู้เชี่ยวชาญคอยปกป้องข้างกายได้อย่างไร?


มีแต่คนที่อยากตายเต็มทีเท่านั้นถึงจะกล้าทำให้เขาขุ่นเคือง!


“ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” สุภาพสตรีวัยกลางคนรีบออกจากห้อง


ฉีหลิงเอ๋อมองภาพลวงตาทั้งสามที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มอีกครู่หนึ่ง แววตาของเธอบ่งบอกความสับสน ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้น


…..


“เธอถึงกับทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้บนนี้ด้วย…”


หลังจากกลับถึงเมืองตะวันรอน จางเซวียนนำบัตรสรวงสวรรค์ออกมาขณะที่เดินออกจากตึกและใช้ดวงตาหยั่งรู้ตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน


รอยประทับของจิตวิญญาณถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน แต่ก็ไม่มีทางหลุดรอดการตรวจจับของเขา


จางเซวียนถ่ายทอดกระแสพลังปราณเทียบฟ้าสายหนึ่งเข้าสู่บัตรสรวงสวรรค์เพื่อทำลายรอยประทับนั้น


เขาเดินไปตามถนนพร้อมกับยืดหลังบิดขี้เกียจ สีหน้าที่ซีดเผือดค่อยๆมีเลือดฝาดขึ้นทีละน้อย หลังจากเดินไปได้สักครู่ จางเซวียนครุ่นคิด “ทันทีที่ได้เลือดอสูรหม่าหยางมา เราคงยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ควรหาทางยกระดับวรยุทธให้กายเนื้อ”


ตอนนี้จางเซวียนมียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าในปริมาณที่มากพอแล้ว เขามั่นใจว่าจะยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะยกระดับวรยุทธของพลังปราณ ก็ควรบ่มเพาะกายเนื้อและยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณด้วย


“วิธีที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะกายเนื้อคือใช้เลือดอสูรสวรรค์!”


เหล่านักรบเห็นพ้องต้องกันว่าการบ่มเพาะกายเนื้อเป็นเรื่องยาก ถ้าอาศัยแค่การซึมซับพลังจิตวิญญาณเพื่อขัดเกลากายเนื้อเพียงอย่างเดียว คงต้องใช้เวลาชั่วชีวิตกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้สักครั้ง


แต่หากได้เลือดของอสูรสวรรค์มา กระบวนการนั้นจะเร็วขึ้นอีกมาก


ในเมื่อต้องใช้พละกำลังของสายเลือดอสูรสวรรค์ ยิ่งสายเลือดนั้นทรงพลังขึ้นเท่าไหร่ ประสิทธิภาพก็จะโดดเด่นตามไปด้วย


และอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังที่สุดในสรวงสวรรค์ก็คือมังกรเลือดบริสุทธิ์!


ปัญหาก็คือ ลำพังแค่จะหาเลือดของอสูรหม่าหยางที่เป็นอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็ยากพอแล้ว นับประสาอะไรกับเลือดของมังกรเลือดบริสุทธิ์


“ช่างมันเถอะ ไปดูที่ตลาดค้าอสูรสวรรค์ก่อนก็แล้วกัน!”


ในสรวงสวรรค์แห่งนี้มีตลาดหลายแห่งที่ขายอสูรสวรรค์ แต่อสูรที่ถูกนำมาวางขายเหล่านั้นล้วนแต่อ่อนแอและแปลงร่างไม่ได้ เช่นฝูงกระต่ายที่เขาล่าพวกมันไม่สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อครั้งอยู่ที่ภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่


ส่วนอสูรสวรรค์ทรงพลังที่แปลงร่างได้นั้น ไม่มีใครกล้านำมาขายในตลาดที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะหากใครสักคนบังอาจแตะต้องมัน เหล่าอสูรสวรรค์ที่เหลือจะตรงเข้าแก้แค้นทันที!


ตลาดค้าอสูรสวรรค์ตั้งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ในเวลานี้ จางเซวียนขึ้นหลังม้าและควบไป ราว 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมาย


บริเวณชายขอบของเมืองตะวันรอนเป็นโซนที่ราคาที่ดินต่ำกว่า ซึ่งตลาดอสูรสวรรค์ก็ครอบคลุมเนื้อที่กว้างใหญ่


สำหรับอสูรสวรรค์ที่ถูกนำมาวางขาย ส่วนใหญ่เหล่านายพรานเป็นผู้ล่าและนำมา แต่ก็มีบางส่วนที่ยอมถูกนำมาขายด้วยความเต็มใจ


พลังจิตวิญญาณที่อยู่นอกกำแพงเมืองนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าแร้นแค้นเต็มที ซึ่งหากอสูรสวรรค์สักตัวอยากแข็งแกร่งขึ้น ก็ต้องหาทางเข้าเมืองให้ได้…และการยอมเป็นอสูรของมนุษย์สักคนคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ทำแบบนั้น


ในสรวงสวรรค์ไม่มีอาชีพที่เรียกว่านักฝึกอสูร ขอแค่นักรบสักคนเต็มใจมอบโอกาสในการฝึกฝนวรยุทธให้ ก็มีอสูรสวรรค์มากมายที่พร้อมกระโจนเข้าใส่โอกาสนั้น


จางเซวียนหาตัวผู้จัดการตลาดจนพบและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าคุณมีอสูรสวรรค์ตัวไหนที่มีสายเลือดมังกรบ้าง?”


“สายเลือดมังกร? คุณลูกค้าที่รัก คุณล้อเล่นแล้วล่ะ!”


ผู้จัดการตกตะลึงกับคำพูดของจางเซวียน


จางเซวียนส่ายหน้า “ไม่ได้ล้อเล่นนะ ผมพูดจริง”


เห็นชายหนุ่มไม่รู้อะไรเลย ผู้จัดการกระซิบกระซาบอธิบาย “คนที่อยู่ในธุรกิจซื้อขายอสูรสวรรค์น่ะรู้กันทั่วว่าเผ่าพันธุ์มังกรเป็นเชื้อสายของน่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆ อสูรตัวไหนก็ตามที่ถูกพบว่ามีสายเลือดมังกรจะถูกส่งไปที่นั่น ใครที่บังอาจขายทายาทของเผ่าพันธุ์มังกรจะถูกประหารโดยไม่มีข้อยกเว้น!”


“เชื้อสายของน่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องแบบนี้ รายละเอียดส่วนใหญ่ของสรวงสวรรค์ที่เขารู้มาจากคำอธิบายของโม่หย่วนและที่มีอยู่ในหนังสือของสายเทา


ถ้าน่านฟ้ามังกรเมฆมีคำสั่งแบบนั้น ก็ไม่น่ามีใครกล้าท้าทายอำนาจของพวกเขา


หรือว่า…จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆคือมังกรเลือดบริสุทธิ์? จางเซวียนครุ่นคิด


เขารู้มานานแล้วเรื่องประสิทธิภาพการต่อสู้อันน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์มังกร รู้ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยพบมังกรเลือดบริสุทธิ์ตัวจริง จึงประเมินไม่ถูกว่าพวกมันทรงพลังแค่ไหน


เมื่อพิจารณาถึงสมญานามน่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าสมาชิกของเผ่าพันธุ์มังกรถือเป็นเชื้อสายของพวกเขา ก็น่าจะเป็นไปได้ว่าจอมราชันย์ของที่นี่คือมังกรเลือดบริสุทธิ์


จางเซวียนรู้ดีว่าผู้จัดการคงไม่เต็มใจปริปากเรื่องใดๆที่เกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้เพราะเกรงจะกระทบความปลอดภัยของตัวเอง จึงตัดสินใจตรงเข้าประเด็น “ผมต้องการเลือดอสูรสวรรค์เพื่อนำมาบ่มเพาะกายเนื้อของผม คุณพอจะมีไหม?”


ในเมื่อไม่มีทางหาอสูรที่มีสายเลือดมังกรได้ ก็จำเป็นต้องใช้วิธีอื่น ขอแค่เขายกระดับวรยุทธของกายเนื้อให้เข้าถึงระดับเทพเจ้าขั้นสูง ก็น่าจะยกระดับวรยุทธของตัวเองได้


ครั้งล่าสุดที่เขาฝึกฝนวรยุทธ ก็รู้แล้วว่า ‘สายสัมพันธ์พี่น้อง’ ที่เขาได้ทำความเข้าใจมีความลึกซึ้งเพียงพอที่จะทำให้เขาก้าวไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูง


หญ้าโบราณอสูรเขียวและเลือดอสูรหม่าหยางจะทำให้จางเซวียนยกระดับไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงได้ และเขาก็มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าในปริมาณมากพอสำหรับการยกระดับวรยุทธของพลังปราณแล้ว ดังนั้น ขอแค่ได้สิ่งที่ต้องการสำหรับการบ่มเพาะกายเนื้อ ก็น่าจะพุ่งพรวดไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงได้ในรวดเดียว


“บ่มเพาะกายเนื้อของคุณ?”


ผู้จัดการคิดหนักก่อนจะส่ายหน้า


“เกรงว่าเราคงไม่มีอะไรที่ตรงตามความต้องการของคุณหรอก แต่ผมรู้มาว่ามีอสูรเกราะเรืองแสงตัวหนึ่งซึ่งเป็นอสูรระดับเทพเจ้าขั้นสูงอยู่ในหุบเขาเมฆบัง มันขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพการป้องกันตัวและกายเนื้อที่ทรงพลัง ขนาดเทพเจ้าสวรรค์สร้างอย่างท่านเจ้าเมืองของเราก็ฝ่าการป้องกันตัวของมันไม่ได้! สายเลือดของมันน่าจะมีอานุภาพเหนือชั้นในการบ่มเพาะกายเนื้อของนักรบ พวกเราพยายามจับตัวมันหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องล้มเลิกความคิด ถ้าคุณอยากได้อะไรสักอย่างที่ช่วยบ่มเพาะกายเนื้อของคุณจริงๆล่ะก็ บางทีคุณควรจะลองดู”


“อสูรเกราะเรืองแสง?”


“ใช่ แต่การหาตัวเจ้านั่นน่ะไม่ง่ายนะ แถมมันยังโหดเหี้ยมดุร้ายด้วย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ใครก็ตามที่พยายามทำให้มันยอมจำนนต้องลงเอยด้วยการถูกมันกินทุกราย” ผู้จัดการพูด


“ภูเขาเมฆบังอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“อยู่ทางทิศเหนือของที่นี่ ถ้าคุณขี่อสูรสวรรค์บินได้ไปล่ะก็ ใช้เวลาราว 6 ชั่วโมงเท่านั้น” ผู้จัดการตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ “แต่คุณไม่มีอสูรสวรรค์บินได้นี่ ใช่ไหม? ทำไมไม่ซื้อจากผมสักตัวล่ะ? ในสต๊อกของผมมีเจ๋งๆอยู่หลายตัวนะ”


“อย่างนั้นหรือ? ผมขอตัวเร็วๆสักตัวหนึ่งก็แล้วกัน” จางเซวียนตอบ


สรวงสวรรค์กว้างใหญ่กว่ามิติเบื้องบนและทวีปแห่งปรมาจารย์ คงสะดวกกว่ากันมากหากเขาเดินทางด้วยอสูรสวรรค์บินได้


ไม่ช้าการซื้อขายก็เสร็จสิ้น


จางเซวียนใช้เงินราว 20 เหรียญสวรรค์ซื้ออสูรสวรรค์บินได้ที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ


ผู้จัดการเฝ้ามองจางเซวียนจากไป เขาเหยียดฝีปากเย้ยขณะคำราม “ไอ้โง่อีกตัว! คิดหรือว่าจะจับอสูรเกราะเรืองแสงได้ง่ายขนาดนั้น ถ้ามันง่ายล่ะก็ ท่านเจ้าเมืองคงทำไปนานแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้ทรัพย์สมบัติล้ำค่าลอยนวลหรอก”


หลังจากพูดจบ ผู้จัดการก็หันไปพูดกับเด็กฝึกงานที่อยู่ข้างๆ “คุณเห็นไหม? นั่นแหละคือวิธีที่จะขายของได้! ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าพร้อมกับหาโอกาสโปรโมทสินค้าของคุณ จำไว้ให้ดีล่ะเวลาที่ต้องติดต่อกับลูกค้า!”


…..


จางเซวียนขี่หลังอสูรสวรรค์ เขาหลับตาและฝึกฝนวรยุทธ


ก่อนหน้านี้ เขากินยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าไป 2-3 เม็ดแล้วเพื่อขัดเกลาวรยุทธ ซึ่งระหว่างกระบวนการนั้น ก็รู้ตัวว่าหากพยายามผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ระดับเทพเจ้าขั้นกลาง จะต้องเสี่ยงกับการผลักภาระหนักให้กายเนื้อของเขา จางเซวียนจึงหยุดการฝึกฝนวรยุทธไว้ก่อนพร้อมกับถอนหายใจอย่างจนปัญญา


สรวงสวรรค์แตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้มาก


ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เหล่าเทพเจ้าดูจะไม่ได้มีความสุขอย่างที่เขาคิดไว้ ในทางกลับกัน ดูเหมือนผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์จะมีความสุขและพอใจกับชีวิตของตัวเองมากกว่า


เมื่อออกจากเมือง พลังจิตวิญญาณในอากาศก็ลดน้อยลงจนแทบไม่น่าเชื่อ ในเวลาเดียวกัน กระแสลมก็เกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ


โชคดีที่อสูรสวรรค์ไม่ได้บินสูงเกินไป และจางเซวียนก็ไม่กระเสาะกระแสะแบบเดิมแล้ว กระแสลมเกรี้ยวกราดจึงไม่เป็นปัญหากับทั้งคู่มากนัก


4 ชั่วโมงต่อมา หุบเขาขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า ดวงอาทิตย์ตกที่ใจกลางหุบเขา สาดส่องสองหน้าผาของหุบเขาด้วยสีแดงก่ำเจิดจ้า


อสูรสวรรค์บินได้ร่อนลงตรงหน้าหุบเขา จางเซวียนสั่งให้มันหาที่พักผ่อนแถวนั้นก่อนจะเดินตรงเข้าไปในหุบเขา


เท่าที่เขาได้ฟังจากผู้จัดการ อสูรเกราะเรืองแสงน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในละแวกนี้ ขอแค่เขาพบตัวมันและได้เลือดของมันมาบางส่วน ก็คงยกระดับวรยุทธได้ทันที


หุบเขานี้กว้างใหญ่กว่าที่เห็นจากภายนอก


จางเซวียนเดินลึกเข้าไปอีก 2 ชั่วโมงจนดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พบอะไร เขาผิดหวังและกำลังคิดจะกลับเมืองตะวันรอน ก็พอดีกับที่เห็นเปลวไฟสว่างจางๆอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นกองไฟ


จางเซวียนขมวดคิ้ว หรือว่ามีนักรบคนอื่นกำลังตามหาอสูรเกราะเรืองแสงเหมือนกัน?


หุบเขานี้ไกลปืนเที่ยง ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ และไม่มีสมุนไพรล้ำค่าหรือสิ่งอื่นใด ไม่น่าเป็นไปได้ที่ใครสักคนจะก่อกองไฟและมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับเขา


แต่แม้ผู้จัดการตลาดค้าอสูรสวรรค์ก็ยังรู้เรื่องอสูรเกราะเรืองแสง และดูเหมือนเขาก็ไม่ลำบากใจที่จะบอกใครๆ จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีผู้คนจำนวนหนึ่งในเมืองตะวันรอนรู้เรื่องนี้เช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)