ข้ามกาลบันดาลรัก 217.1-218.3

ตอนที่ 217-1 ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี

 

เหวินหู่และพวกอู๋ต้าห้าคนขานรับ เดินเข้าหาเอ้อซุ่น


 


 


มารดาเอ้อซุ่นคุ้มกันเขาไปด้านหลังอย่างแน่นหนา วางท่าพร้อมสู้ตายกับทุกคน “ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ใครหน้าไหนที่กล้ามาแตะต้องลูกข้า ข้าจะสู้ตายกับมัน”


 


 


พวกอู๋ต้าทำราวกับไม่ได้ยิน เดินอาดๆ มาถึงด้านหลังมารดาเอ้อซุ่น กระชากคอเอ้อซุ่นที่เอาแต่หดหัวอยู่ด้านหลังออกมา


 


 


เมื่อครู่ต้าซุ่นและซานซุ่นรวมถึงซื่อซุ่นได้รับรู้ความร้ายกาจจากพวกเขามาแล้ว ตอนนี้ตกใจหัวหดไม่กล้าผลีผลาม มารดาเอ้อซุ่นราวกับคนเสียสติ เข้าไปทั้งถีบทั้งกัดอู๋ต้าและซุนเอ้อที่เข้ามาจับเอ้อซุ่น สะใภ้เอ้อซุ่นก็เข้าไปเลียนแบบพฤติกรรมของนาง ลงมือกับพวกเขาสองคนอย่างไม่ออมมือ


 


 


อู๋ต้าและซุนเอ้อเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน กลับไม่กล้าทำอะไรแม่สามีลูกสะใภ้สองคนนั้น


 


 


หลี่ลิ่วและโจวอู่เห็นเช่นนั้น เข้าไปจับแยกออก แล้วเหวี่ยงไปอีกด้าน


 


 


เหวินหู่หยิบเชือกเมื่อครู่ขึ้นมา ใช้ความไวมัดเอ้อซุ่นที่เอาแต่ดิ้นรนไม่ยอม แล้วลากเขามาใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมจางซาน นำตัวเอ้อซุ่นขึ้นไปแขวนไว้บนต้นไม้อย่างชำนาญ


 


 


พวกเขาลงมือรวดเร็วฉับไว ชาวบ้านได้แต่มองตาค้าง ผู้ใหญ่บ้านกลับโมโหตัวสั่น พูดเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าอย่าให้มากเกินไป นี่เป็นหมู่บ้านซุน เรื่องในหมู่บ้านข้ามีสิทธิ์ขาด”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยกยิ้มอ่อน พูดอย่างไม่แยแส “เมื่อครู่ข้าให้โอกาสท่านแล้ว แต่วิธีการแก้ปัญหาของท่านไม่เป็นที่น่าพอใจ พวกเราจึงต้องจัดการกันเอง ท่านวางใจ ข้าไม่ทำร้ายถึงแก่ชีวิต ข้าเพียงนำเขาไปแขวน ให้ชาวบ้านได้เห็น ภายหน้าใครที่กล้าทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม จะมีจุดจบเช่นเขา อีกอย่าง ข้าได้ส่งคนไปแจ้งความ คนของทางการน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะถูกตัดสินโทษอย่างไร คิดว่าท่านน่าจะรู้แก่ใจดี”


 


 


พอได้ยินว่าเมิ่งเชียนโยวแจ้งความ ผู้ใหญ่บ้านชะงักงัน แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “แม่นางน้อย เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ไยต้องแจ้งความด้วยเล่า เอาอย่างนี้เถอะ เจ้าให้คนไปถอนแจ้งความ ข้าจะเพิ่มบทลงโทษให้เขาเอง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวส่ายหน้า ไม่มีทีท่าจะยอมถอยให้แม้แต่น้อย พูดว่า “คนชั่วชอบลักเล็กขโมยน้อย เป็นภัยต่อคนในหมู่บ้าน เที่ยวเกะกะระรานคนเช่นเขา สมควรได้รับโทษทัณฑ์ตามความผิด ท่านเป็นคนมีเมตตากรุณา เกรงว่าจะทำใจลงมือไม่ได้ ให้คนของทางการเป็นคนจัดการเถอะ”


 


 


แคว้นอู่มีกฎหมายเข้มงวด คนเยี่ยงเอ้อซุ่นหากถูกทางการจับได้พร้อมหลักฐาน จะต้องถูกตัดสินโทษขั้นรุนแรง ที่สำคัญก็คือ ในหมู่บ้านมีคนเช่นนี้ แม้แต่เขาที่เป็นผู้ใหญ่บ้านก็ต้องถูกหางเลขไปด้วย ไม่ง่ายเลยที่จะได้สร้างความประทับใจต่อหน้าท่านผู้ว่าการตำบลกลับต้องมาเสียคะแนนไป ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านเริ่มรู้สึกเสียใจต่อพฤติกรรมลำเอียงของตนเองเมื่อครู่


 


 


เอ้อซุ่นถูกแขวนไว้ใต้ต้นไม้ เอาแต่ดิ้นร้องตะเกียกตะกาย “ปล่อยข้าลงไป ปล่อยข้าลงไป”


 


 


ชาวบ้านเห็นแล้วสะใจเป็นอย่างมาก ต่างวาดหวังให้เมิ่งเชียนโยวลงโทษเขาให้หนักขึ้นอีก


 


 


มารดาเอ้อซุ่นและภรรยาถูกพวกอู๋ต้าควบคุมไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ มารดาเอ้อซุ่นโมโหร้องก่นด่าเมิ่งเชียนโยว “นังตัวดี รีบปล่อยตัวลูกชายข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นต่อไปข้าจะไปหาเรื่องที่บ้านเจ้าทุกวัน ให้เจ้าไม่มีวันได้อยู่เป็นสุข”


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นยิ่งร้ายกว่า ร้องด่า “นังเศษสวะชั้นต่ำ ถือว่ามีเงินมากกว่า กล้ามารังแกพวกเรา เจ้าไม่มีวันได้มีจุดจบดี สักวันเจ้าจะต้องถูกฟ้าผ่าตาย”


 


 


เมิ่งเชียนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งบนเก้าอี้ด้วยอารมณ์สงบนิ่ง


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นยิ่งด่าก็ยิ่งคล่องปาก ถึงกับโพล่งปากด่าออกไปว่า “นังผู้หญิงสำส่อนหน้าไม่อาย เจ้าแส่ออกหน้าให้หลี่ตุนถึงขั้นนี้ พวกเจ้าจักต้องมีสัมพันธ์สวาทกันแล้ว…”


 


 


เมิ่งเชียนโยวชักสีหน้าอึมครึม


 


 


อู๋ต้าสังเกตสีหน้าและวาจา เห็นปฏิกิริยาเมิ่งเชียนโยวไม่สู้ดี หันไปตบหน้าสะใภ้เอ้อซุ่นฉาดใหญ่ “พูดจาเหลวไหล อยากตายเรอะ!”


 


 


อู๋ต้าเป็นผู้ชาย เดิมก็มีกำลังมากอยู่แล้ว บวกกับลงมือภายใต้ความโกรธเกรี้ยว ปากของสะใภ้เอ้อซุ่นปูดบวมโดยพลัน เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก สะใภ้เอ้อซุ่นถูกตบจนมึน ครู่หนึ่งถึงได้สติคืนกลับมา กระเสือกกระสนดิ้นหลุดจากมือหลี่ลิ่ว ก้มศีรษะพุ่งเข้าชนอู๋ต้า ร้องก่นด่าเสียงอู้อี้ “เจ้ากล้าตบหน้าข้า ข้าจะชนเจ้าให้ตาย”


 


 


อู๋ต้าไม่คิดว่านางจะหลุดพ้นจากการควบคุมตัวของหลี่ลิ่ว แล้วพุ่งเข้ามาชนตนเองได้ พลันไม่ทันได้ป้องกัน ถูกชนเข้าเต็มรัก ล้มหงายเก๋งไปกับพื้นอย่างน่าสังเวช


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นไม่หยุดเท่านี้ ขึ้นไปขี่คร่อมบนตัวอู๋ต้า ยื่นมือออกไปข่วนหยิกใบหน้าอู๋ต้า


 


 


อู๋ต้าคว้ามือนางไว้


 


 


หลี่ลิ่วได้สติกลับคืนมาแล้ว รีบเดินไปตรงหน้าอู๋ต้า คว้าตัวสะใภ้เอ้อซุ่นเหวี่ยงออกไปอีกด้าน แล้วถามเสียงรน “พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรนะ?”


 


 


อู๋ต้ารีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงเย็นเยียบของเมิ่งเชียนโยวก็ดังขึ้น “ฝึกฝนวรยุทธ์มาได้พักใหญ่แล้ว กลับถูกผู้หญิงคนเดียวจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ ขายหน้าข้านัก”


 


 


อู๋ต้าและหลี่ลิ่วได้ยินเสียงนาง ก็ให้สั่นไปทั้งตัว รู้ว่าครั้งนี้ตนเองจบเห่แล้ว กลับไปไม่รู้ว่าจะต้องได้รับโทษรุนแรงเพียงใด พอคิดว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะสะใภ้เอ้อซุ่น เพลิงโทสะปะทุ ยกเท้าเตะอัดไปที่ร่างของสะใภ้เอ้อซุ่นพร้อมกัน


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นเพิ่งจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาได้ เตรียมจะเข้าฟาดฟันกับอู๋ต้าอีก กลับถูกทั้งสองคนเตะอัด ร่างลอยลิ่วจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งของลานบ้าน ฟุบแน่นิ่งไปกับพื้น


 


 


มารดาเอ้อซุ่นร้องอุทาน “สะใภ้เอ้อซุ่น เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” พูดไปพลางสะบัดตัวอย่างสุดชีวิต ครั้งนี้โจวอู่เตรียมรับมือไว้แล้ว จับนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นพยายามตะเกียกตะกายหลายครั้งแต่ก็ลุกไม่ขึ้น


 


 


เอ้อซุ่นเห็นภรรยาตนเองถูกซ้อม พยายามดิ้นรนสุดชีวิต


 


 


พี่น้องต้าซุ่นได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่กล้าปริปาก


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นสภาพน่าสังเวชของสะใภ้เอ้อซุ่น ขมวดคิ้วยุ่งอย่างอดไม่ได้


 


 


นับตั้งแต่มาถึง บิดาเอ้อซุ่นที่ไม่ได้พูดอะไรเลยเอ่ยปากดุดันเกรี้ยวกราด “นังตัวดี เจ้าอย่ารังแกกันให้มากเกินไป แม้เจ้าจะมีเงินมากเพียงใด ก็ไม่ควรให้คนใต้บังคับของเจ้า ลงมือกับสตรีเพศรุนแรงเช่นนี้”


 


 


น้ำเสียงเมิ่งเชียนโยวยิ่งทวีความเ**้ยมเกรียม “ลูกไม่รักดีเพราะพ่อแม่ไม่สั่งสอน หากไม่เพราะท่านไม่อบรมบุตรตนเองให้ดี ปล่อยให้เขากระทำเรื่องผิด คนของข้าจะลงมือกับสตรีเพศได้อย่างไร อีกอย่าง เรื่องก่อนหน้านั้น ท่านเองก็เห็นเต็มสองตา เป็นนางที่ปากพล่อยพูดเหลวไหลก่อน ตอนนี้ท่านควรจะยินดีที่ข้าไม่ได้ลงมือเอง ไม่เช่นนั้นจะไม่ใช่แค่ถูกเตะด้วยสองเท้า ข้าจะทำให้นางอ้าปากพูดไม่ได้อีกไปทั้งชีวิต”


 


 


คนที่มาดูเรื่องสนุกเต็มลานบ้านได้ฟังนางกล่าววาจาเ**้ยมเกรียม แล้วย้อนคิดถึงเสียงเล่าลือของนาง นางอายุยังน้อยก็กล้าตัดเส้นเอ็นขาอาของตัวเอง เกิดอาการเห็นอกเห็นใจครอบครัวเอ้อซุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด


 


 


วาจาของเมิ่งเชียนโยวทำเอาพ่อเอ้อซุ่นสะอึกค้าง หน้าแดงปลั่ง


 


 


หมอลอบกล่าวชมในใจ รู้สึกดีใจกว่าตอนที่ตัวเองหาเงินได้หลายสิบอีแปะ


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เมิ่งเชียนโยวแจ้งความกับทางการแล้ว จึงไม่กล้าช่วยพูดแทนสะใภ้เอ้อซุ่นอีก


 


 


ไกลออกไปมีเสียงควบม้าดังแว่วมา คนทั้งหมดช้อนตามองออกไป เห็นม้าสองตัวควบไล่ตามกันเข้ามา ด้านหลังมีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งวิ่งเหยาะไล่ตามมา


 


 


ม้าตัวแรกเข้ามาถึงก่อน คนบนรถม้าพลิกตัวลงจากหลังมาอย่างคล่องแคล่ว เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชียนโยว พูดด้วยความอ่อนน้อม “นายหญิง ท่านผู้ว่าการตำบลเข้ามาด้วยตัวเองขอรับ”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหัวใจหล่นวูบ ลนลานเดินขึ้นหน้า ก้มหัวโค้งคำนับให้ผู้ว่าการตำบลที่ยังไม่ลงจากหลังม้า พูดตะกุกตะกัก “ท่านผู้ว่าการตำบล เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ เหตุใดต้องลำบากท่านมาด้วยตัวเองด้วยเล่า”


 


 


ผู้ว่าการตำบลเหล่มองเขาผ่านๆ แวบหนึ่ง ค่อยๆ พลิกตัวลงจากหลังม้าพูดว่า “ภายใต้ขอบเขตความรับผิดชอบของข้า กลับมีคนทำโสมคนมูลค่าหลายร้อยตำลึงสูญหาย หากเรื่องนี้เล็ดลอดไปถึงหูท่านใต้เท้านายอำเภอ ข้ายังจะเป็นผู้ว่าการตำบลได้อยู่หรือไม่? ข้าไม่ควรจะมาด้วยตัวเองอีกเรอะ?”


 


 


ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านยิ่งทวีกิริยานอบน้อมโอนอ่อน พูดอย่างระวัง “ท่านวางใจ เราหาโสมคนเจอแล้ว คนที่ขโมยไปข้าก็จับตัวได้แล้ว”


 


 


ยังไม่ทันเข้ามาในหมู่บ้านผู้ว่าการตำบลก็เห็นเอ้อซุ่นที่ถูกแขวนใต้ต้นไม้แล้ว ได้ฟังก็เงยหน้ามอง ถามอย่างวางอำนาจ “ใช่เขาหรือไม่?”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านลนลานตอบ “เขานั่นเอง เพื่อขู่เตือนคนในหมู่บ้าน จึงนำเขาไปแขวนใต้ต้นไม้”


 


 


ผู้ว่าการตำบลเก็บคืนสายตา เดินเข้ามาในลานบ้าน เอ่ยปากทักทายเมิ่งเชียนโยวก่อน “แม่นางเมิ่ง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยิ้มพูดประจบ “ท่านผู้ว่าการตำบลช่างมีจิตใจอุทิศเพื่อประชาชนโดยแท้ ถึงกับมาจัดการเรื่องเล็กน้อยนี้ด้วยตัวเอง ชาวบ้านตาดำๆ แห่งตำบลชิงซีช่างโชคดียิ่งแล้ว”


 


 


ผู้ว่าการตำบลหัวเราะลั่น พูดอย่างองอาจสง่า “ถูกต้องแล้ว ตัวข้าผู้ว่าการตำบลเปรียบเสมือนบิดาแห่งราษฎร ย่อมต้องคิดแทนประชาชน ไม่ว่าใครกระทำผิด ต้องได้รับโทษสถานหนักเท่าเทียมกัน”


 


 


เมิ่งเชียนโยวแย้มยิ้มอ่อน สั่งการหลี่ตุน “ไปยกเก้าอี้มาให้ท่านผู้ว่าการตำบล”


 


 


ครอบครัวหลี่ตุนยากจนแร้นแค้น เก้าอี้เตี้ยที่มีในบ้านล้วนแต่ผุพัง ไหนเลยจะมีเก้าอี้ได้ พลันอึกอักลำบากใจ


 


 


ผู้ใหญ่บ้านรู้สภาวะครอบครัวพวกเขา รีบร้อนพูด “รีบไปบ้านข้า ไปยกเก้าอี้อย่างดีออกมา”


 


 


หลี่ตุนได้ฟังกำลังจะวิ่งไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน


 


 


เพื่อแสดงว่าตนเองเป็นคนเรียบง่ายเป็นกันเอง ร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นหนึ่งเดียวกับชาวบ้านตาดำๆ ได้ จึงโบกมือพูดว่า “ไม่ต้องไปแล้ว เมื่อไม่มีเก้าอี้ก็ไปยกเก้าอี้เตี้ยมาเถอะ”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านรีบร้อนพูด “เก้าอี้เตี้ยบ้านพวกเขาซอมซ่อผุพัง ให้คนไปเอาเก้าอี้มาจากบ้านข้าเถอะ”


 


 


ผู้ว่าการตำบลพูดว่า “ไม่เป็นไร ไปยกออกมา”


 


 


หลี่ตุนมองไปที่เมิ่งเชียนโยว


 


 


เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า


 


 


หลี่ตุนเดินเข้ามาในบ้าน ยกเก้าอี้เตี้ยซอมซ่อตัวหนึ่งออกมา วางเบื้องหน้าผู้ว่าการตำบลอย่างระวัง


 


 


ผู้ว่าการตำบลเห็นเก้าอี้เตี้ยซอมซ่อตรงหน้าก็ให้งงตาค้าง พลันเสียใจที่ไม่ให้คนไปยกเก้าอี้มา


 


 


เมิ่งเชียนโยวเห็นสีหน้าอาการเขา หัวเราะขบขันในใจ


 


 


ผู้ว่าการตำบลได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว ไฉนเลยจะคืนคำต่อหน้าคนมากมายได้ กระแอมหนึ่งครั้ง วางท่านั่งบนเก้าอี้เตี้ยอย่างระวัง ถามอย่างน่าเกรงขาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ใครจะเป็นคนเล่าให้ข้าฟัง”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกำลังจะพูด เมิ่งเชียนโยวหันมองหลี่ตุนแวบหนึ่ง หลี่ตุนเอ่ยปากพูดทันควัน “เรียนท่านผู้ว่าการตำบล ครอบครัวข้าเองที่ทำโสมคนหายไป”


 


 


ผู้ว่าการตำบลดูการแต่งกายของเขาแวบหนึ่ง ถามอย่างไม่เชื่อ “ครอบครัวพวกเจ้ามีโสมคน?”


 


 


“เขาเป็นคนของครอบครัวข้า มีมารดาล้มป่วยหนัก ข้าจึงมอบโสมคนหนึ่งต้นให้มารักษาแม่เฒ่าชรา” เมิ่งเชียนโยวพูด


 


 


ผู้ว่าการตำบลเข้าใจพลัน ออกคำสั่งหลี่ตุน “เจ้าจงเล่าเรื่องทั้งหมดมาให้ข้าฟังอย่างละเอียด”


 


 


หลี่ตุนจึงเล่าเรื่องที่มารดาตนเองล้มป่วย เมิ่งเชียนโยวมอบโสมคนมาให้หนึ่งต้น หมอบอกว่าใช้เพียงรากก็ช่วยชีวิตมารดาได้แล้ว รวมถึงตอนที่เอ้อซุ่นเข้ามาเยี่ยมมารดาตัวเองเห็นโสมคน เกิดละโมบ แอบเข้ามาขโมยโสมคนในบ้านตัวเองกลางดึก ทั้งทำร้ายร่างกายมารดาตนเองออกมาตามความจริงทุกประการ มิได้ใส่สีตีไข่แม้แต่ครึ่งคำ 

 

 


ตอนที่ 217-2 ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี

 

ฟังเขาพูดจบ ผู้ว่าการตำบลวางอำนาจถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเอ้อซุ่นเป็นคนขโมยโสมคนไป?”


 


 


หลี่ตุนตอบอย่างพินอบพิเทา “ตอนที่เขาทำร้ายท่านแม่ข้า พูดขึ้นมาหนึ่งคำ ทำให้ท่านแม่ข้าฟังออก”


 


 


ผู้ว่าการตำบลพยักหน้าพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แสดงได้ว่าเป็นเขา?”


 


 


หลี่ตุนพยักหน้าตอบกลับ “หลังจากนายหญิงของพวกเราทราบเรื่อง ก็ส่งคนของพวกเราไปจับตัวเขามาจากที่บ้าน โสมคนก็ได้มาจากที่บ้านเขาขอรับ”


 


 


ผู้ว่าการตำบลได้ฟังมองไปที่เมิ่งเชียนโยวแวบหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชียนโยวจ้องมองกลับอย่างเปิดเผย


 


 


ผู้ว่าการตำบลกระแอมหนึ่งครั้ง แสร้งตำหนินาง “แม่นางเมิ่ง แม้เจ้าจะมีเจตนาดี แต่แคว้นอู่ของเราไม่อนุญาตให้ใช้ศาลเตี้ย”


 


 


เมิ่งเชียนโยวโค้งคำนับ พูดผสมโรง “ทราบแล้วท่านใต้เท้า ภายหน้าข้าจักไม่ทำเช่นนี้อีก”


 


 


ผู้ว่าการตำบลพยักหน้าพอใจ หันไปสั่งการเจ้าหน้าที่ “ไปเอาตัวเขาลงมาให้ข้าซักถามต่อหน้า”


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายรับคำ เดินไปใต้ต้นไม้ปล่อยตัวเอ้อซุ่นลงมา แล้วพามาเบื้องหน้าผู้ว่าการตำบล


 


 


เอ้อซุ่นไม่เพียงใบหน้าปูดบวม หนำซ้ำยังเต็มไปด้วยเลือด ไม่เหลือเค้าโครงเดิมให้เห็นแล้ว ผู้ว่าการตำบลแสร้งทำเป็นไม่เห็นสภาพทุเรศทุรังของเขา ตวาดถามเสียงเข้ม “ตอนนี้มีทั้งพยานคนและหลักฐาน เจ้าสำนึกผิดแล้วหรือไม่?”


 


 


ปกติเอ้อซุ่นชอบวางอำนาจ เกะกะระรานไปทั่วหมู่บ้าน ตอนนี้เห็นผู้ว่าการตำบลกลับขาอ่อนปวกเปียก คุกเข่าลงเสียงดัง “พลั่ก” พูดขอความเห็นใจให้ตัวเองด้วยเสียงอู้ๆ อี้ๆ “ผู้น้อยสติเลอะเลือนไปชั่วขณะ ถึงกระทำความผิดลงไป ขอท่านใต้เท้าเมตตา ให้อภัยผู้น้อยสักครั้งเถิด”


 


 


คนในครอบครัวเอ้อซุ่นก็เดินขึ้นหน้า พูดขอร้องแทนเอ้อซุ่น “ท่านใต้เท้า ขอท่านให้อภัยผู้น้อยสักครั้ง พวกเรารับประกัน ต่อไปเขาจะไม่กล้าทำอีกแล้ว”


 


 


ผู้ว่าการตำบลถูกเสียงรบกวนจนปวดศีรษะ ขมวดคิ้วยู่ย่น


 


 


เจ้าหน้าที่ที่ไหวพริบดีร้องตวาด “บังอาจ ใครบอกให้พวกเจ้ามาเอะอะโวยวายต่อหน้าท่านใต้เท้า หากยังไม่ถอยออกไป จะถูกโบยสั่งสอน”


 


 


คนในครอบครัวเอ้อซุ่นพลันหุบปาก หันรีหันขวางถอยออกไปอย่างหวาดกลัว


 


 


เรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องสอบสวนอีก ผู้ว่าการตำบลขยับเส้นเสียง ตัดสินความผิดเอ้อซุ่นต่อหน้าทุกคน “ตามกฎหมายแคว้นอู่ ลักขโมยทรัพย์สินมูลค่าเกินกว่าหนึ่งร้อยตำลึง ให้ตัดแขนทั้งสองข้าง เป็นการลงทัณฑ์”


 


 


สิ้นเสียงผู้ว่าการตำบล เสียงร้องอุทานดังก้องไปทั้งลานบ้าน


 


 


บิดามารดาเอ้อซุ่นเกือบเป็นลมหมดสติไป


 


 


ผู้ว่าการตำบลกวาดตามองชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกอย่างน่าเกรงขาม พูดว่า “ทว่า ได้โสมคนกลับคืนมาแล้ว พอจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ แต่เพื่อขโมยโสมคน เจ้าถึงกับทำร้ายสองแม่ลูกหลี่ตุน ถือเป็นพฤติกรรมชั่วช้า ตอนนี้จะรวมสองกระทงลงโทษพร้อมกัน นำตัวไปโบยสิบไม้แล้วส่งไปเป็นทาสใช้แรงงานในถิ่นทุรกันดาร ไม่ต้องกลับมาตลอดชีวิต”


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นได้ฟังคำตัดสินของผู้ว่าการตำบล ดวงตาพร่ามัว หมดสติล้มพับไปพลัน


 


 


บิดามารดาเอ้อซุ่นยืนร่างโอนเอน พี่น้องต้าซุ่นต้องเข้ามาช่วยพยุงตัว ถึงฝืนยืนนิ่งได้


 


 


ห่างออกไปมารดาเอ้อซุ่นดึงบิดาเอ้อซุ่นลงคุกเข่าลง โขกศีรษะขอร้องผู้ว่าการตำบล “ท่านใต้เท้า ขอร้องท่านอภัยให้เอ้อซุ่นเถอะ ชาติหน้าข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนท่าน”


 


 


ผู้ว่าการตำบลตวาดเสียงแข็ง “เหลวไหล กฎหมายมิใช่การละเล่น คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้อย่างไร?”


 


 


มารดาเอ้อซุ่นร้องไห้คร่ำครวญ


 


 


บิดาเอ้อซุ่นวิงวอน “เช่นนั้นพวกเรายอมถูกปรับได้หรือไม่ ขอเพียงไม่ต้องให้เอ้อซุ่นไปใช้แรงงาน จะปรับเป็นเงินเท่าใดพวกเราก็ยินดี”


 


 


ได้ยินเรื่องเงิน ดวงตาผู้ว่าการตำบลเปล่งประกาย ทว่าอยู่ต่อหน้าคนหมู่มากไม่ควรแสดงออกเด่นชัดเกินไป แสร้งกระแอมหนึ่งครั้ง กล่าววาจาแฝงความนัย “เรื่องนี้นะหรือ? ต้องปรึกษากับผู้เสียหายก่อน หากพวกเขายินยอม ข้าก็พอจะลดโทษตัดสินที่พอเหมาะแก่เขาได้”


 


 


บิดาเอ้อซุ่นหันมองเมิ่งเชียนโยว วิงวอนร้องขอ “แม่นาง ท่านอภัยให้เอ้อซุ่นสักครั้งเถอะ ข้าขอรับประกัน ภายหน้าเขาจะไม่กล้าก่อเรื่องลักเล็กขโมยน้อยอีก”


 


 


เมิ่งเชียนโยวเม้มริมฝีปาก เบี่ยงเบนเรื่องกลับไปที่ตัวผู้ว่าการตำบล “ท่านใต้เท้าบอกแล้ว กฎหมายมิใช่การละเล่น ข้าไม่มีสิทธิ์ขาดในการตัดสินเอ้อซุ่น ให้ท่านใต้เท้าเป็นคนตัดสินเถอะ”


 


 


ผู้ว่าการตำบลโยนโจทย์ยากให้เมิ่งเชียนโยว นึกว่านางจะโอนอ่อนไปตามความหมายของตัวเองเรียกปรับเงินบ้านเอ้อซุ่นเพิ่มมากขึ้น ไม่คิดว่านางจะเบี่ยงเบนเรื่องอย่างง่ายดายกลับมาที่ตัวเอง อย่างไรเขาก็เป็นผู้ว่าการตำบลมาหลายปี เข้าใจความหมายของนางโดยพลัน นางไม่ยินดีให้อภัยเอ้อซุ่น จึงขบคิดครู่หนึ่ง หาวิธีที่ตนเองคิดว่าดีต่อทั้งสองฝ่าย พูดว่า “เอาอย่างนี้เถอะ พวกเจ้ามอบเงินจำนวนหนึ่งให้ผู้เสียหายก่อน ส่วนที่เหลือค่อยมาดูว่าพวกเจ้าจะให้ได้อีกเท่าไร จะได้เอามาซื้อการเป็นทาสใช้แรงงานของเขา ให้โทษรับใช้ของเขาน้อยลงได้หลายปี”


 


 


บิดาเอ้อซุ่นเห็นผู้ว่าการตำบลยอมอ่อนข้อ ก็ให้ยินดีปิติ เอ่ยปากรับคำทันควัน “ได้ๆๆ พวกเราจะกลับไปเอาเงินมาเดี๋ยวนี้”


 


 


ผู้ว่าการตำบลโพล่งปากถามหนึ่งคำ “พวกเจ้าคิดจะให้เป็นเงินเท่าใด?”


 


 


บิดาเอ้อซุ่นตอบกลับเสียงดังพลัน “สิบตำลึง พวกเราจะให้สิบตำลึง!”


 


 


ผู้ว่าการตำบลเกือบหน้าหงาย ถามอย่างไม่เชื่อ “สิบตำลึง?”


 


 


ชาวบ้านมีชีวิตแร้นแค้น อย่าว่าแต่เงินเลย บางครั้งแม้แต่ข่าวก็ไม่มีให้กิน เงินสิบตำลึงที่บิดาเอ้อซุ่นเก็บมาตลอดหลายปี นึกว่าไร้เทียมทานแล้ว วันๆ เที่ยวเดินชูคอกร่างไปมา ตอนนี้พอได้ยินผู้ว่าการตำบลถาม ไม่สังเกตถึงน้ำเสียงที่ผิดปกติของผู้ว่าการตำบลแม้แต่น้อย กลับพยักหน้าตอบกลับอย่างลำพองใจ “ใช่ขอรับ ท่านใต้เท้า พวกเราจะให้สิบตำลึง”


 


 


ผู้ว่าการตำบลโมโหเดือดดาล “เงินสิบตำลึงก็จะซื้อการเป็นทาสใช้แรงงานของบุตรชายเจ้าได้ เจ้าฝันกลางวันเรอะ?”


 


 


พ่อเอ้อซุ่นไม่คิดว่าเงินสิบตำลึงยังไม่เพียงพอ ลุกลนพูด “ท่านใต้เท้า เงินสิบตำลึงก็มากโขแล้ว พวกเราสองผู้เฒ่านำเงินทำศพออกมา มากกว่านี้สักอีแปะเดียวก็ไม่มีแล้ว”


 


 


ผู้ว่าการตำบลยังโกรธเคืองไม่หาย ลั่นวาจาระคายหูออกไป “เจ้าไม่ต้องเอามาแล้ว เก็บไว้ทำศพตัวเองเถอะ”


 


 


พ่อเอ้อซุ่นชะงักค้าง


 


 


ผู้ใหญ่บ้านที่อย่างไรก็เห็นโลกมามากกว่าชาวบ้าน เห็นผู้ว่าการตำบลเดือดดาล จึงพูดขึ้นอย่างระวัง “ท่านใต้เท้า ชาวบ้านตาดำๆ สามารถมีเงินสิบตำลึงได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว ขอท่านเห็นแก่ที่พวกเขามีความตั้งใจยอมรับโทษปรับด้วยใจจริง ให้อภัยเอ้อซุ่นสักครั้งเถอะ”


 


 


ผู้ว่าการตำบลกลับคำพูดต่อหน้าเมิ่งเชียนโยวและคนมายมาย ยอมให้ครอบครัวเอ้อซุ่นใช้เงินชดใช้แทนการใช้แรงงาน ไม่คิดว่าครอบครัวเอ้อซุ่นจะมีให้ได้เพียงสิบตำลึง พลันรู้สึกว่าต่อไปตนเองจะกลายเป็นตัวตลกให้ชาวบ้านนำไปพูดนินทา ก็ยิ่งให้ขุ่นข้องโกรธเคือง พูดกับผู้ใหญ่บ้านด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน ไม่คิดแทนผู้เสียหาย กลับมาพูดขอร้องแทนหัวขโมยไร้จริยธรรมอย่างเขา เจ้าไม่อยากเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


สิ้นเสียงผู้ว่าการตำบล ผู้ใหญ่บ้านเหงื่อผุดซึมไปทั้งร่างพลัน รีบร้อนลนลานแก้ต่างให้ตัวเอง “ท่านใต้เท้าตรวจสอบด้วย ข้าเพียงเห็นว่าบิดามารดาเอ้อซุ่นอายุมากแล้ว ไม่อาจทนเห็นพวกเขาเศร้าโศกปานจะขาดใจเพราะต้องสูญเสียบุตรชายไป ถึงขอร้องแทนเอ้อซุ่น มิได้ลำเอียงเข้าข้างพวกเขาเลย”


 


 


ผู้ว่าการตำบลแค่นเสียงหึ “ขอให้เป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของเขาคงต้องสิ้นสุดเท่านี้แล้ว”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโค้งคำนับ ปล่อยให้เหงื่อไหลย้อยลงพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเช็ด


 


 


ผู้ว่าการตำบลไม่แม้แต่จะมองเขา สั่งการเจ้าหน้าที่ “นำตัวนักโทษไป!”


 


 


เจ้าหน้าที่ขานรับ ฉุดตัวเอ้อซุ่นขึ้น ตะโกนร้องพากันกลับเข้าตัวเมือง


 


 


ผู้ว่าการตำบลถามเมิ่งเชียนโยวอย่างประจบ “แม่นางพอใจกับการลงทัณฑ์เช่นนี้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดสอพลออย่างพินอบพิเทา “ท่านใต้เท้ายุติธรรมเที่ยงตรง เป็นบุญของพวกเราชาวตำบลชิงซีแล้ว”


 


 


ผู้ว่าการตำบลได้ฟังก็ให้ปลื้มปริ่มใจ หัวเราะลั่น


 


 


มารดาเอ้อซุ่นเห็นเจ้าหน้าที่ตะโกนร้องจะคุมตัวเอ้อซุ่นไปที่ตัวเมืองจริงๆ แล้ว สติแตกซ่าน ไม่เหลือฤทธิ์เดชกำแหงอวดดีเมื่อครู่ เดินขึ้นหน้า “พลั่ก” คุกเข่าเบื้องหน้าเมิ่งเชียนโยว ฟูมฟายเว้าวอน “ขอร้องล่ะ รับเอ้อซุ่นไว้ด้วยเถอะ!”


 


 


เมิ่งเชียนโยวเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้าน พูดว่า “นี่เป็นคำตัดสินของท่านใต้เท้า ข้าไม่มีสิทธิ์ขาด”


 


 


“เจ้ามีสิทธิ์ขาด พวกหลี่ตุนห้าคนเจ้าก็เป็นคนรับพวกเขาไว้ไม่ใช่หรือ? ข้ารับปากจะทำสัญญาทาสขายตัวให้เจ้าสิบปีแทนเอ้อซุ่น ขอเจ้ารับเอ้อซุ่นไว้ด้วยเถอะ” มารดาเอ้อซุ่นอ้อนวอน


 


 


เมิ่งเชียนโยวชักสีหน้าอึมครึม พูดว่า “พฤติกรรมของเอ้อซุ่น เกินกว่าขีดจำกัดที่ข้าจะให้อภัยได้ ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี ไม่ใช่จะรับใครไว้ก็ได้ เขาเป็นภัยต่อคนในหมู่บ้านมาหลายปี สมควรได้รับบทลงโทษตามเหมาะสมแล้ว”


 


 


มารดาเอ้อซุ่นไม่ตัดใจ คุกเข่าเดินหน้า โขกศีรษะเสียงลั่นหลายครั้ง ร้องไห้วิงวอน “ขอร้องล่ะ รับเอ้อซุ่นไว้ด้วยเถอะ!”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดเยาะหยัน “หากมีเวลาโขกศีรษะ ท่านกลับไปอบรมสั่งสอนบุตรชายที่เหลือของท่านให้ดีๆ เถอะ วันนี้เอ้อซุ่นถูกพาตัวไป ถือเป็นสัญญาณเตือนของท่าน หากภายหน้าท่านยังปล่อยให้พวกเขาออกไปเกะกะระราน วางอำนาจบาตรใหญ่ สักวันก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้”


 


 


สามพี่น้องต้าซุ่นได้ฟังคำพูดนาง ต่างหวาดผวาตัวสั่น ร่างกายห่อหดโดยไม่รู้ตัว


 


 


เห็นเอ้อซุ่นถูกควบคุมตัวไปไกล มารดาเอ้อซุ่นคุกเข่าคร่ำครวญโหยไห้ โศกเศร้าปานจะขาดใจ


 


 


ผู้ว่าการตำบลราวกับไม่เห็นทั้งหมดนี้ ลุกขึ้นยืน หันไปพูดกับเมิ่งเชียนโยว “คดีความจบสิ้นแล้ว ข้าก็สมควรกลับแล้ว”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูด “รบกวนท่านใต้เท้าแล้ว วันหน้าเมื่อมีเวลา ข้าจะต้องเข้าไปในเมืองสักครั้ง”


 


 


ผู้ว่าการตำบลฟังความหมายแฝงของนางออก หัวเราะร่วนเดินออกไปจากลานบ้าน


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเอาแต่เดินตามหลังต้อยๆ


 


 


ผู้ว่าการตำบลขึ้นหลังม้า นำเจ้าหน้าที่ที่เหลือจากไปอย่างสง่าผ่าเผย


 


 


ชาวบ้านเห็นผู้ว่าการตำบลจากไปแล้ว ต่างซุบซิบนินทา ไม่คิดว่าเอ้อซุ่นจะถูกตัดสินโทษหนักเช่นนี้ เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้กลับมาแล้ว


 


 


มารดาเอ้อซุ่นปล่อยร่างนอนแน่นิ่งบนพื้นเจ็บปวดรวดร้าวแทบขาดใจ


 


 


พ่อเอ้อซุ่นราวกับมะเขือยาวมีน้ำค้างแข็งเกาะ เลื่อนลอยไร้สติ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สั่งกำชับบุตรชายตัวเอง “ประคองแม่เจ้าขึ้นมา พวกเรากลับบ้าน”


 


 


พี่น้องต้าซุ่นเดินขึ้นหน้า เข้าไปหามมารดาตัวเอง บรรดาสะใภ้ของครอบครัวเอ้อซุ่นก็รีบเข้าไปแบกสะใภ้เอ้อซุ่น เดินออกไปจากลานบ้านหลี่ตุนอย่างน่าสังเวช


 


 


ชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกในลานบ้านเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ต่างเดินซุบซิบนินทาแยกย้ายกลับบ้านไป


 


 


หมอยกนิ้วโป้งให้เมิ่งเชียนโยว พูดอย่างเลื่อมใส “แผนของแม่นางยอดเยี่ยมนัก”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยกยิ้มอ่อน “เขารนหาที่ตายเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับแผนการของข้าเลย”


 


 


หมอลูบเครายาว แล้วยิ้มพูด “ข้าเป็นหมอมาหลายปี พบเจอคนมากมายหลากหลาย แม่นางเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้ายอมรับนับถือจากหัวใจ ภายหน้าหากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะทำให้แม่นางได้ ก็ขอให้รีบบอก ข้าจักต้องทำให้แม่นาง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยิ้มพยักหน้า “ขอบคุณท่าน”


 


 


หมอยิ้มแล้วโบกมือ กลับเข้าไปในบ้านสะพายกระเป๋าของตัวเองขึ้น สาวเท้าออกไปอย่างคล่องแคล่ว


 


 


คนไปกันหมดแล้ว หลี่ตุนลูบคลำเหงื่อที่ผุดซึมออกมา พูดอย่างพินอบพิเทา “นายหญิง เข้าไปนั่งในบ้านเถอะ”


 


 


“ไม่ต้องแล้ว เจ้าอยู่พักฟื้นที่บ้านไปก่อน รอให้แม่เจ้าหายดีแล้ว ค่อยพานางไปอยู่ที่บ้านข้า เช่นนี้เจ้าจะได้ดูแลนางได้ทุกเมื่อ” เมิ่งเชียนโยวพูด


 


 


หลี่ตุนสะท้อนแววตายินดีระคนประหลาดใจ ริมฝีปากสั่นระริกถามอย่างไม่เชื่อ “นะ นายหญิง นี่ นี่เป็นความจริง? ข้าพาท่านแม่ไปอยู่ด้วยได้จริงๆ หรือ?”


 


 


เมิ่งเชียนโยวแสร้งชักสีหน้า ถามอย่างไม่พอใจ “ข้าเคยล้อเล่นเจ้าเมื่อใด?”


 


 


ครั้งนี้หลี่ตุนไม่หวาดกลัว ตื้นตันใจน้ำตารื้น ฝืนสะกดกั้นอารมณ์ พูดสะอึกสะอื้นกับนาง “ขอบคุณนายหญิง ขอบคุณนายหญิง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวเม้มริมฝีปาก เผยรอยยิ้มบางที่ไม่ทันสังเกตเห็น หันหลังออกไปจากบ้านหลี่ตุน เดินขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้กลับไปโรงงาน


 


 


เหวินเปียวสะบัดบังเ**ยน หักเลี้ยวหัวม้า บังคับรถม้ามุ่งหน้าออกไปอย่างเชื่องช้า


 


 


เหวินหู่กระโดดตัวลอย นั่งบนคานม้าด้านหน้าอีกฝั่งหนึ่งเหมือนเคย


 


 


ตอนเข้ามาพวกอู๋ต้านั่งเบียดเสียดด้านหน้าและหลังรถม้า ตอนนี้เมิ่งเชียนโยวอยู่บนรถม้า พวกเขาจึงไม่กล้าขึ้นไปนั่งเบียดกันอีก จึงวิ่งเหยาะๆ ไล่หลังไป


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้ามาจอดหน้าประตูใหญ่โรงงาน เมิ่งเชียนโยวลงจากรถม้า พวกอู๋ต้าก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงหน้าประตู


 


 


พอเห็นเมิ่งเชียนโยวเข้ามา จางมู่ที่เฝ้าหน้าประตูแทนอู๋ต้ารีบเปิดประตูใหญ่ออก


 


 


เมิ่งเชียนโยวเดินตรงไปที่หน้าประตูโรงเย็บกระเป๋านักเรียน ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป


 


 


เมิ่งชื่อไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นเมิ่งเชียนโยวเข้ามา ร้องพูดอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ เมื่อครู่พวกเราคำนวณแล้ว พวกนางจะได้เงินค่าแรงเดือนละสองตำลึงต่อคน”


 


 


กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนต่างดีใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความยินดี แม้แต่สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองโจวก็ดีใจตามไปด้วย


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดหยอกล้อพวกเขา “ยอดเยี่ยมไปเลย ครานี้พอพวกท่านกลับไปบ้าน คนในครอบครัวจะต้องเอาแต่ยกยอพวกท่าน”


 


 


กลุ่มหญิงสาวขบขันกับคำพูดของนาง หญิงสาวคนหนึ่งพูดว่า “ตั้งแต่เดือนแรกที่ข้ามาทำงาน คนในครอบครัวก็ดีกับข้าอย่างเหลือเชื่อ หลังจากกลับถึงบ้านไม่เพียงไม่ให้ข้าทำงานอะไร ยังคอยนำอาหารที่ดีที่สุดในบ้านมาวางตรงหน้าข้า”


 


 


หญิงสาวอีกคนก็พยักหน้าพูดเสริม “พวกเราก็เช่นกัน ชีวิตในตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน”


 


 


วันนี้เมิ่งเชียนโยวอารมณ์ดี พูดกระเซ้า “ขอเพียงพวกท่านตั้งใจทำงาน ชีวิตภายหน้าจะต้องยิ่งดีกว่านี้ ไม่แน่ว่าพอเลิกงาน จะมีคนเข้ามาแบกกลับไปส่งบ้านโดยเฉพาะ”


 


 


กลุ่มหญิงสาวหัวเราะขบขัน หญิงสาวคนหนึ่งลนลานโบกมือ “ไม่ได้ๆ เช่นนั้นพวกเราได้กลายเป็นง่อยพอดี”


 


 


หญิงสาวอีกคนพูดแหย่เย้านาง “นายหญิงเพียงแค่หยอกเจ้าเล่น เจ้ากลับคิดจริงจัง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนในหมู่บ้านคงเข้ามารุมล้อมกันหมด ถึงตอนนั้น เกรงว่าสามีเจ้าแม้แต่จะก้าวขาข้างไหนก็คงไม่รู้”


 


 


กลุ่มหญิงสาวหัวเราะครื้นเครง


 


 


สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองโจวก็ถูกซึมซับไปด้วย เม้มปากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่


 


 


คนทั้งหมดพูดคุยสรวลเสอีกครู่หนึ่ง เมิ่งชื่อมองดูท้องฟ้า เห็นว่าถึงเวลาทำอาหารเที่ยงแล้ว จึงลุกขึ้นกลับบ้านไปพร้อมเมิ่งเชียนโยว 

 

 


ตอนที่ 217-3 ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี

 

พอคิดว่ากลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนจะได้เงินค่าแรงมากเช่นนั้น เมิ่งชื่อก็ให้ดีใจกว่าปกติ เอาแต่พูดไม่หยุดตลอดทาง


 


 


เมิ่งเชียนโยวอมยิ้มรับฟัง


 


 


สองแม่ลูกยังเดินไม่ถึงหน้าประตูบ้าน ก็เห็นชายคนหนึ่งเดินวนเวียนไปมาหน้าประตู เมิ่งชื่อประหลาดใจ ดึงเมิ่งเชียนโยวให้เดินเร็วขึ้น มาหยุดตรงหน้าชายคนนั้น ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านมาพบใคร?”


 


 


ชายคนนั้นเงยหน้า มองเมิ่งเชียนโยวแล้วพูดว่า “เจ้าคือแม่นางเมิ่งสินะ เถ้าแก่จางบอกที่อยู่ของเจ้าแก่ข้า ข้าหาอยู่นานกว่าจะเจอ เขาให้ข้ามาแจ้งข่าวเจ้า ให้เจ้ารีบทำการจัดส่งกระเป๋านักเรียนสองพันใบ แบบประณีตหนึ่งพันห้าร้อยใบ แบบธรรมดาห้าร้อยใบ”


 


 


เมิ่งชื่อดีใจหน้าบาน หากไม่เพราะไม่รู้จักชายตรงหน้า คาดว่าคงดีใจจนกระโดดโลดเต้นเป็นเด็กแล้ว


 


 


เมิ่งเชียนโยวแคลงใจถาม “ท่านคือ?”


 


 


ชายหนุ่มตอบกลับ “ข้าเป็นเพื่อนกับเถ้าแก่จาง เมื่อวานเข้าไปในจังหวัดได้พบเขาพอดี เขาจึงฝากให้ข้ามาแจ้งข่าว”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า พูดอย่างมีมารยาท “ขอบคุณมาก”


 


 


ชายหนุ่มโบกมือ “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แม่นางไม่ต้องขอบคุณ เมื่อแจ้งข่าวเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”


 


 


เมิ่งเชียนโยวรั้งเขาไว้ “รบกวนท่านเดินทางมาไกล ตอนนี้ก็ยามเที่ยงแล้ว ท่านกินอาหารเที่ยงแล้วค่อยไปเถิด”


 


 


ชายหนุ่มส่ายหน้า “วันนี้พอออกมาจากจังหวัดข้าก็ตรงมาบ้านพวกเจ้า ข้าต้องรีบกลับบ้าน เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเป็นห่วง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวจึงไม่เหนี่ยวรั้งเขาไว้ กล่าวขอบคุณอีกหลายครั้ง ถึงมองส่งเขาจากไปจนลับตา


 


 


กระทั่งชายหนุ่มจากไปไกลแล้ว เมิ่งชื่อก็สะกดอารมณ์ตนเองไม่อยู่อีกต่อไป คว้ามือเมิ่งเชียนโยวมาจับไว้แน่น “โยวเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่ เถ้าแก่จางต้องการกระเป๋านักเรียนคราเดียวถึงสองพันใบ”


 


 


เมิ่งเชียนโยวเห็นท่าทีดีอกดีใจของนาง ยกยิ้มพูด “ได้ยินแล้ว ยินดีกับท่านด้วย ครานี้ท่านแม่จะร่ำรวยใหญ่แล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อยิ่งทวีความเบิกบาน กล่าวด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “เมื่อวานแม่มองดูกระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จแล้วในโรงงาน ยังให้กลัดกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าจะขายออกไปได้เมื่อไร ครานี้ดีแล้ว เถ้าแก่จางพูดคำเดียวก็ต้องการมากเพียงนี้ ช่วงเวลานี้เราคงไม่มีสินค้าสำรองไว้แล้ว” พูดจบ ปล่อยมือเมิ่งเชียนโยว ล้วงกุญแจเปิดประตูบ้าน ด้านหนึ่งเร่งฝีเท้าเดิน ด้านหนึ่งพูดว่า “ไม่ได้การ แม่ต้องรีบไปทำกับข้าว กินอิ่มแล้วจะได้กลับไปโรงงาน นับดูว่าพวกเรามีกระเป๋านักเรียนมากขนาดนั้นหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชียนโยวมองดูท่าทีลุกลี้ลุกลนของนาง ก็ให้หลุดขำ ทว่าคำพูดของเมิ่งชื่อก็ช่วยเตือนใจนาง ตอนนี้จะต้องจดบันทึกจำนวนกระเป๋านักเรียนที่ทุกคนเย็บได้ในแต่ละวันไว้ และยังต้องจดบันทึกจำนวนสินค้าที่ขายออกไปและสินค้าคงคลังเอาไว้ พอมีคนมาสั่งสินค้าแค่ดูสมุดบัญชีก็จะรู้ทันทีว่ามีสินค้าคงคลังเท่าใด ไม่เหมือนกับตอนนี้ สั่งทีก็ไปนับที


 


 


ตอนกินอาหารเที่ยง เมิ่งชื่อบอกข่าวดีนี้กับคนทั้งครอบครัว เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีอกดีใจ


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดกับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉว่า “พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของพวกเจ้าพอดี พวกเจ้าตามข้าไปส่งกระเป๋านักเรียนในจังหวัดเถอะ”


 


 


ช่วงเวลานี้ซุนเหลียงไฉตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างเชื่อฟังมาตลอด เบื่อจนแทบคลั่งแล้ว พอได้ยินเมิ่งเชียนโยวพูดเช่นนี้ ดีใจลิงโลดวางหมั่นโถวในมือลง ลุกขึ้นเต้นแรงเต้นกาอยู่ในครัว


 


 


เมิ่งเชียนโยวรู้ว่าช่วยเวลานี้ทำเขาเหนื่อยยากมาก ยอมให้เขาปล่อยพลังครู่หนึ่ง ถึงกระแอมเบาๆ ส่งสัญญาณให้เขาหยุดตามความเหมาะสม


 


 


ซุนเหลียงไฉได้ยินเสียงกระแอมของนาง ถลากลับมาตรงหน้าชามข้าวของตัวเอง หยิบหมั่นโถวที่ตัวเองวางไว้ขึ้นมากัดกิน


 


 


คนทั้งครอบครัวขบขันในท่าทีของเขา


 


 


ผู้ใหญ่บ้านที่พอคิดว่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับเมิ่งเชียนโยวสองวัน ก็แย้มยิ้มหวานละมุน


 


 


เวลาเข้างานช่วงบ่าย เมิ่งชื่อเข้ามาบอกข่าวดีในโรงงาน กลุ่มหญิงสาวต่างยินดีปรีดา วางงานในมือลง ช่วยกันนับกระเป๋านักเรียนในโรงงาน เมิ่งเชียนโยวหันไปพูดกับสะใภ้ใหญ่โจว “ข้าเตรียมสมุดบัญชีไว้หนึ่งเล่ม ต่อไปรบกวนท่านจดบันทึกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกระเป๋านักเรียน โดยเฉพาะจำนวนสินค้าคงคลัง เช่นนี้ต่อไปพวกเราจะได้ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้อีก”


 


 


สะใภ้ใหญ่โจวในฐานะสะใภ้ใหญ่สกุลปัญญาชน ย่อมต้องรู้หนังสือ จึงไม่ได้บอกปัด พยักหน้ารับปากจะทำให้


 


 


คนทั้งหมดยุ่งวุ่นวายอยู่ค่อนวันถึงนับเสร็จ มีกระเป๋านักเรียนทั้งหมดสองพันสามร้อยใบ แบบธรรมดามีพอดี แบบประณีตมีมากกว่าร้อยกว่าใบ


 


 


เมิ่งเชียนโยวบอกให้พวกเขานำกระเป๋านักเรียนตามจำนวนที่ต้องการวางไว้อีกด้าน แล้วให้สะใภ้ใหญ่โจวบันทึกจำนวนที่เหลือไว้ จากนั้นตะโกนเรียกพวกอู๋ต้า ให้พวกเขาแบ่งกระเป๋านักเรียนออกแล้วมัดกองละหนึ่งร้อยใบ


 


 


ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย


 


 


ช่วงวันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สาง เมิ่งชื่อก็ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว หลังจากทั้งครอบครัวกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชียนโยวสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่แยกกันบังคับรถม้ามาที่โรงงาน ให้พวกอู๋ต้านำกระเป๋านักเรียนที่มัดดีแล้วไปวางบนรถม้าอย่างเป็นระเบียบ หลังจากฟังเมิ่งชื่อสั่งกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าเข้าจังหวัด


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ซุนเหลียงไฉเดินทางไกล เอาแต่ตื่นเต้นลิงโลดใจ หลังจากออกจากตำบลชิงซีก็เอาแต่เลิกม่านรถ ชะเง้อชะแง้มองออกไปด้านนอก


 


 


อากาศอบอุ่นขึ้นมาก พอเปิดม่านรถออกลมเย็นเอื่อยก็พัดเข้ามา ทำให้สบายตัวสบายใจยิ่งนัก เมิ่งเชียนโยวจึงไม่ได้ห้ามปราบเขา ปล่อยให้เขาเปิดม่านรถตามใจ


 


 


แม้เมิ่งอี้เซวียนจะนิ่งขรึมกว่าบ้าง แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ไม่ทันไรก็ถูกภาพทิวทัศน์ด้านนอกดึงดูดใจ ขยับไปที่ท้ายรถพร้อมกับซุนเหลียงไฉ ชื่นชมทิวทัศน์ไปพลางพูดคุยหยอกล้อหัวเราะคิกคักกับซุนเหลียงไฉไปพลาง


 


 


เมิ่งเชียนโยวยกยิ้มมองพวกเขาอยู่ในรถม้า


 


 


รถม้าบรรทุกกระเป๋านักเรียนมาสองพันใบ วิ่งไม่เร็วมาก ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันถึงจะมาถึงจังหวัด ตะวันเหนือศีรษะล่วงเลยเวลาเที่ยงมาแล้ว


 


 


ซุนเหลียงไฉที่พูดคุยมาตั้งแต่เช้า พอยามบ่ายพลังงานหดหาย ไม่เหลือความกระปรี้กระเปร่า นั่งซึมอยู่ในห้องโดยสาร


 


 


เหวินเปียวมาส่งสินค้าหลายครั้ง รู้จักร้านของเถ้าแก่จาง พอเข้ามาถึงตัวจังหวัด ก็ไม่รอช้า บังคับรถม้าตรงมาหน้าร้านทันที


 


 


หน้าร้านค้ามีพนักงานกำลังมองมาทางนี้พอดี เห็นเหวินเปียวบังคับรถม้าเข้ามา ก็รีบหันไปตะโกนบอกพนักงานในร้าน “รีบไปเรียนนายท่าน รถส่งกระเป๋านักเรียนมาแล้ว”


 


 


พนักงานในร้านขานรับวิ่งเข้าไปร้องเรียกจางฟู่กุ้ยหลังร้าน


 


 


ตอนที่จางฟู่กุ้ยเดินฉับๆ มาถึงหน้าประตู รถม้าสองคันก็มาถึงหน้าประตูร้านค้าพอดี รถม้าจอดสนิทแล้ว เมิ่งเชียนโยวเดินลงมา เถ้าแก่จางเห็นนาง ไม่ทันได้ทักทายก็โพล่งปากพูดว่า “แม่นางเมิ่ง พวกเจ้าเอากระเป๋านักเรียนมาส่งให้เสียที ข้าให้คนงานมาเฝ้ารอที่หน้าประตูตั้งแต่เที่ยง ร้อนใจแทบแย่แล้ว”


 


 


เมิ่งเชียนโยวแย้มยิ้มอธิบาย “พวกเราออกมาตั้งแต่เช้าแล้ว บรรทุกกระเป๋านักเรียนสองพันใบมาด้วยทำให้วิ่งเร็วไม่ได้ ถึงได้มาถึงเอายามนี้ เถ้าแก่จางกระวนกระวายใจเช่นนี้ หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”


 


 


จางฟู่กุ้ยมิได้ตอบคำถามนาง หันไปสั่งการพนักงานในบ้าน “เร็วๆๆ รีบไปขนถ่ายกระเป๋านักเรียนลงมา”


 


 


พนักงานในบ้านวิ่งกรูกันออกมา ช่วยกันขนถ่ายกระเป๋านักเรียนคนละไม้ละมือ


 


 


จางฟู่กุ้ยถึงมีเวลาตอบนาง “ตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย ก็มีพ่อค้าต่างถิ่นสองสามรายมารอซื้อกระเป๋านักเรียนกลับไปขาย พวกเจ้าไม่มาเสียที พวกเขาแทบทนรอไม่ไหวแล้ว”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดอย่างรู้สึกผิด “เพื่อนของท่านมาส่งข่าวให้พวกเราเมื่อวานยามเที่ยง ข้ากลัวตอนกลางคืนจะมาไม่ถึงจังหวัด เกิดอันตรายระหว่างทาง จึงไม่ได้เข้ามา ถ่วงเวลาการค้าของท่าน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครั้งหน้าจะไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก”


 


 


จางฟู่กุ้ยเพียงเพราะร้อนใจจึงพลั้งปากพูดเช่นนั้นออกไป หลังจากพูดจบถึงรู้ว่าไม่เหมาะสม ตอนนี้มาได้ยินเมิ่งเชียนโยวกล่าวเช่นนี้ รีบร้อนพูด “ไม่ๆๆ เรื่องนี้ผิดที่ข้าเอง ข้าควรจะรีบส่งข่าวให้พวกเจ้า”


 


 


พ่อค้าสองสามคนที่เดิมทีนั่งดื่มน้ำชารอที่หลังร้าน พอได้ยินว่ากระเป๋านักเรียนมาถึงแล้ว ต่างก็วิ่งออกมาหน้าร้าน ให้จางฟู่กุ้ยรีบบรรทุกสินค้าให้พวกเขา


 


 


จางฟู่กุ้ยขานรับคำ พูดกับเมิ่งเชียนโยวอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง ขออภัยด้วย เชิญเจ้าตามสบายก่อน รอให้ข้าจัดการส่งพ่อค้าทั้งหมดนี้เสร็จ ข้าค่อยมาต้อนรับดูแลเจ้า”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดทันควัน “ท่านทำงานเถอะ ไม่ต้องรับรองข้า”


 


 


จางฟู่กุ้ยกระวีกระวาดหันหลังกลับเข้าไปในร้าน สั่งสินค้าให้พ่อค้าทั้งหมดด้วยตัวเอง แล้วให้พนักงานแยกย้ายกันนำขึ้นบรรทุกใส่รถม้า


 


 


กลับมาพูดถึงซุนเหลียงไฉ พอรถม้าจอดสนิท ซุนเหลียงไฉที่นั่งสะลึมสะลือสัปหงกก็มีชีวิตชีวาขึ้น กระโดดลงจากรถม้า ยืดเหยียดแขนขาร่างกาย พูดว่า “ไกลเหลือเกิน ข้าเมื่อยไปหมดแล้ว”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้าตามมา


 


 


ซุนเหลียงไฉหันมองโดยรอบอย่างหน้าตื่นตาตื่นใจ พูดด้วยอารามคึกคัก “นี่ก็คือจังหวัดหรือ หรูหราโอ่อ่ากว่าตำบลชิงซีของพวกเรานัก”


 


 


ตอนสอบถงเซิงเมิ่งอี้เซวียนเคยเข้ามาในจังหวัดแล้ว จึงไม่ได้ตื่นตาตื่นใจขนาดนั้น


 


 


“ไป เซวียนเอ๋อร์ พวกเราไปเดินดูให้ทั่ว” ซุนเหลียงไฉพูด


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่กล้ารับคำ หันมองเมิ่งเชียนโยว


 


 


เมิ่งเชียนโยวรู้ว่าตลอดเวลาที่เดินทางมาพวกเขาเบื่อหน่ายแย่แล้ว คิดว่าเถ้าแก่จางคงต้องใช้เวลาจัดแจงธุระอีกครู่ใหญ่ จึงพยักหน้าอนุญาต “ไปเถอะ แต่ห้ามไปไหนไกล เดินวนที่ถนนเส้นนี้ก็พอ แล้วให้กลับมาภายในเวลาหนึ่งก้านธูป”


 


 


ทั้งสองพยักหน้าเชื่อฟัง เร่งฝีเท้าเดินไปมองไปอย่างมีความสุข


 


 


บรรดาพ่อค้าต้องการกระเป๋านักเรียนไม่น้อย จางฟู่กุ้ยยุ่งวุ่นวายครู่ใหญ่ ถึงส่งพวกเขากลับไปหมด แล้วรีบเดินมาหน้าประตูร้าน พูดกับเมิ่งเชียนโยวอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง ข้าบกพร่องแล้ว ขอเจ้าอย่าได้ถือสา”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดกระเซ้า “ข้าหวังว่าต่อไปเถ้าแก่จางจะบกพร่องเช่นนี้บ่อยๆ เช่นนี้พวกเราจะได้ร่ำรวยมั่งคั่ง”


 


 


จางฟู่กุ้ยหัวเราะร่วน “แม่นางพูดถูกต้อง หากขายดิบขายดีเช่นนี้ทุกวัน พวกเราจะได้ร่ำรวยมั่งคั่ง”


 


 


พนักงานขนถ่ายกระเป๋านักเรียนบนรถม้าเสร็จ จัดเข้าที่เรียบร้อย ส่วนหนึ่งวางบนตู้แสดงในร้าน อีกส่วนหนึ่งนำไปไว้หลังร้าน


 


 


จางฟู่กุ้ยถึงพูดขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง เชิญด้านใน”


 


 


เมิ่งเชียนโยวไม่ขยับ พูดอธิบาย “เซวียนเอ๋อร์และเหลียงไฉก็มาด้วย ออกไปเดินเล่นบนถนนด้วยความใคร่รู้ ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ข้าจะรอพวกเขาที่หน้าประตูก่อน”


 


 


จางฟู่กุ้ยได้ฟังก็พูดอย่างยินดี “คุณชายน้อยทั้งสองก็มาด้วย หลังจากเฉิงเอ๋อร์กลับมาก็เอาแต่บ่นถึงพวกเขา” 

 

 


ตอนที่ 218-1 เป็นแม่สื่อ

 

เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเดินกลับเข้ามา เห็นจางฟู่กุ้ยยืนอยู่หน้าประตู ทั้งสองกล่าวทักทายตามมารยาท “สวัสดีเถ้าแก่จาง”


 


 


จางฟู่กุ้ยหัวเราะเหอะๆ ตอบว่า “สวัสดีคุณชายน้อยทั้งสอง เฉิงเอ๋อร์กลับมาเอาแต่บ่นถึงคุณชายน้อยทั้งสอง วันนี้พวกเจ้าเข้ามาแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะดีใจเพียงใด”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกล่าวอย่างสุภาพ “พวกเราก็คิดถึงคุณชายจางมาตลอด เพียงแต่การเรียนของพวกเราค่อนข้างยุ่ง ไม่อาจเข้ามาบ่อยครั้งได้”


 


 


จางฟู่กุ้ยยิ่งให้ดีใจ “เฉิงเอ๋อร์ก็ใกล้จะเลิกเรียนแล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าตามข้าไปที่บ้าน พวกเจ้าสามคนจะได้พูดคุยกันอย่างเต็มอิ่ม”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉพยักหน้าอย่างมีสัมมาคารวะ


 


 


จางฟู่กุ้ยยกยิ้มพาทั้งสามคนมาห้องรับรองลูกค้าด้านหลังร้าน สั่งพนักงานให้ไปชงชาเข้ามา


 


 


พนักงานรับคำ ไม่นานก็ยกชาที่ชงเสร็จแล้วเข้ามา วางไว้ตรงหน้าพวกเขาคนละถ้วยแล้วถอยออกไป


 


 


จางฟู่กุ้ยยกถ้วยน้ำชาขึ้น แสดงท่าทีเชื้อเชิญกล่าวว่า “แม่นางเมิ่ง เมื่อครู่ข้าบกพร่องไป ข้าขอใช้น้ำชาถ้วยนี้ขอขมาเจ้าก่อน รอยามค่ำข้าจัดเลี้ยงต้อนรับพวกเจ้า จะขอขมาเจ้าอย่างเป็นทางการอีกครั้ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยน้ำชาข้างมือขึ้น แย้มยิ้มพูดว่า “เถ้าแก่จางเกรงใจไปแล้ว ข้ามิอาจรับคำพูดนี้ พวกเราต่างมีผลกำไรร่วมกัน การค้าของท่านเจริญรุ่งเรือง ข้าดีใจยังไม่ทันเล่า จะคิดว่าท่านบกพร่องได้อย่างไร”


 


 


จางฟู่กุ้ยหัวเราะร่วน พูดด้วยใจจริง “ทุกครั้งที่ได้ฟังวาจาแม่นาง ก็ให้อิ่มเอมใจนัก เจ้าอายุเพียงเท่านี้กลับทำการค้าได้ใหญ่โตรุ่งเรือง สมควรแล้วจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสรวล จิบน้ำชาหนึ่งคำอย่างเอื่อยๆ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเดินเที่ยวเล่นพักใหญ่กระหายน้ำนานแล้ว ก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่มบ้างหลายคำ


 


 


จางฟู่กุ้ยดื่มตามมารยาทหนึ่งคำ แล้วพูดว่า “พ่อค้าสองสามรายเมื่อครู่มาจากทางใต้ เป็นลูกค้าประจำของร้านค้า ครั้งก่อนตอนที่เข้ามาซื้อผ้า ข้าแนะนำกระเป๋านักเรียนแก่พวกเขา ให้พวกเขาลองนำกลับไปขายดู ในตอนนั้นคนเหล่านั้นยังลังเลใจ ข้าต้องให้การรับรองหากพวกเขาขายไม่ได้ ข้ายอมรับสินค้าคืน พวกเขาถึงจำยอมรับไปคนละยี่สิบใบ ไม่คิดว่าจะขายดิบขายดี ถึงได้เข้ามารับสินค้าอย่างอดใจรอไม่ไหวอีกครั้ง แต่เพราะไม่ได้ส่งข่าวมาก่อน กระเป๋านักเรียนในร้านข้ามีปริมาณไม่เพียงพอ ถึงให้คนรีบไปแจ้งข่าวแก่แม่นาง ให้แม่นางนำส่งมา อาจจะเร่งด่วนไปบ้าง ไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากหรอกนะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ พูดว่า “กระเป๋านักเรียนในโรงงานพวกเรามีสินค้าคงคลังเตรียมไว้ตลอด หาได้ลำบากไม่”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี ตอนที่ข้าฝากคนไปแจ้งข่าวยังนึกลังเลใจ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะมีสินค้ามากเช่นนั้นหรือไม่ โชคดีที่พวกเจ้าส่งมาทันท่วงที ให้ข้าได้ส่งพวกเขากลับไปอย่างมีความสุข” จางฟู่กุ้ยพูดด้วยความซาบซึ้งใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเอ่ยปาก จางฟู่กุ้ยกลับพูดต่อ “เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว พวกเขาซื้อกลับไปคราเดียวถึงพันกว่าใบ ส่วนของข้าก็เหลือไม่มากแล้ว ยังมีพ่อค้ารายอื่นที่ต้องการ หวังว่าหลังจากแม่นางกลับไปแล้ว จะให้คนนำส่งมาอีกเพิ่มอีกหลายร้อยใบ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับด้วยความยินดี “ไม่มีปัญหา พอข้ากลับไปแล้วจะให้คนนำส่งเข้ามาทันที”


 


 


ทั้งสองพูดคุยการค้าอย่างชื่นบานอีกครู่หนึ่ง ซุนเหลียงไฉที่หลังจากดื่มชาเสร็จก็นั่งเซ็งกะตายบนเก้าอี้ เมิ่งอี้เซวียนกลับตั้งอกตั้งใจฟังพวกเขาพูดคุยกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าด้านนอก แล้วพูดกับจางฟู่กุ้ยว่า “เถ้าแก่จาง นี่ก็เย็นมากแล้ว พวกเราต้องไปหาโรงเตี๊ยมสักแห่งพักก่อน ตกกลางคืนพวกเขาค่อยคุยกันใหม่”


 


 


จางฟู่กุ้ยพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน “ไปโรงเตี๊ยมอะไรกัน ห้องหับในบ้านข้ากว้างขวาง หากแม่นางเมิ่งไม่รังเกียจ ก็ไปพักที่บ้านพวกเราเถิด เฉิงเอ๋อร์และคุณชายน้อยทั้งสองจะได้อยู่เล่นสนุกกันให้เต็มที่ เจ้าไม่รู้หรอกว่า หลังจากที่เฉิงเอ๋อร์กลับมาจากบ้านเจ้า ก็มีนิสัยร่าเริงเปิดเผยมากขึ้น ตอนนี้กล้าคุยกับคนแปลกหน้าบ้างแล้ว นี่เป็นความชอบของเจ้าและคุณชายน้อยทั้งสองโดยแท้ ฮูหยินของข้าเอาแต่พูดว่าจะต้องขอบใจพวกเจ้าต่อหน้าให้ได้ วันนี้เป็นโอกาสดี ไปบ้านข้าเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบปฏิเสธ “พวกเราคนมาก จะกล้ารบกวนท่านได้อย่างไร”


 


 


จางฟู่กุ้ยโบกมือ “ไม่รบกวน ข้าอยากให้พวกเจ้าไปพักที่บ้านข้าอย่างที่สุด”


 


 


พูดจบ ไม่ยอมให้เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ หันตะโกนไปด้านนอก “เด็กๆ”


 


 


พนักงานขานรับคำเข้ามา


 


 


จางฟู่กุ้ยสั่งการเขา “ไปเรียนฮูหยิน บอกว่าแม่นางเมิ่งและคุณชายน้อยทั้งสองมาถึงแล้ว ให้นางจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย พวกเรากำลังจะกลับไป”


 


 


พนักงานรับคำ เร่งฝีเท้าจากไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีก ทำได้เพียงพูดว่า “ขอบคุณเถ้าแก่จาง”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉก็รีบขอบคุณตาม


 


 


จางฟู่กุ้ยลุกขึ้น เดินนำทุกคนออกไปจากร้าน สั่งการพนักงานบังคับรถม้าออกมา หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “บ้านข้าอยู่ห่างจากที่นี่ระยะหนึ่ง ข้าจะนำทาง พวกเจ้าตามหลังมาก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พาเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉขึ้นรถม้า


 


 


จางฟู่กุ้ยก็ขึ้นไปบนรถม้า สั่งพนักงานกลับบ้าน


 


 


พนักงานสะบัดบังเ**ยน บังคับรถม้าเยื้องย่างไปตามถนนช้าๆ เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้าตามหลังไป


 


 


ฮูหยินจางได้ยินพนักงานมาแจ้งข่าว ด้านหนึ่งสั่งการสาวใช้เก็บกวาดห้องพักสองสามห้อง ด้านหนึ่งเข้าไปในห้องครัวด้วยตัวเอง สั่งการคนข้างในเตรียมสำรับอาหารชั้นเลิศ


 


 


คนในห้องครัวเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารค่ำไว้แล้ว ได้ยินคำสั่งของฮูหยินจาง ลงมือสาละวนในทันที


 


 


ฮูหยินจางเดินวนรอบห้องครัวหนึ่งรอบ เห็นว่ามีครบทั้งไก่เป็ดปลาหมูและผักสดนานาชนิด ก็วางใจลง แล้วพูดกับคนในห้องครัวว่า “คนที่มาวันนี้เป็นแขกสำคัญ หากพวกเจ้าทำให้นางพอใจได้ ข้าจะมีรางวัลให้ แต่หากทำให้นายท่านต้องขายหน้า จะถูกหักค่าแรงเดือนนี้ทั้งเดือน”


 


 


คนในห้องครัวได้ฟังดังนั้น ไม่กล้ารอช้า ต่างแสดงฝีมือของตัวเองออกมาเต็มที่


 


 


หลังจากสั่งการทุกอย่างแล้ว ฮูหยินจางก็ให้คนไปเรียกบุตรสาวและบุตรชายของตนเองเข้ามา เพื่อออกไปต้อนรับพวกเมิ่งเชี่ยนโยวที่หน้าประตูพร้อมกัน


 


 


จางเฉิงที่พอได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉจะมา ก็ให้ดีใจออกนอกหน้า กระโดดเต้นแรงเต้นกาไม่หยุด


 


 


ฮูหยินจางมองบุตรชายที่กลายเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใสอย่างปลาบปลื้มใจ คิดว่าโชคดีที่ได้เมิ่งเชี่ยนโยวชี้แนะ บุตรชายตนเองถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้เช่นนี้ คืนนี้ตนเองจะต้องขอบคุณนางอย่างเต็มที่


 


 


รถม้าหยุดจอดที่หน้าประตูบ้าน จางฟู่กุ้ยและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้าไล่ตามกันมา


 


 


ฮูหยินจางรีบเข้าไปต้อนรับ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเป็นกันเอง “แม่นางเมิ่งมาแล้ว รีบเข้าไปในบ้านเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคนกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท “ฮูหยินจาง”


 


 


ฮูหยินจางดึงมือนางมา พูดด้วยใบหน้าชื่นบาน “ข้าพูดกับนายท่านมาตลอด ให้เขาเชิญเจ้ามาสักครั้ง เขาบอกว่าเจ้างานยุ่ง ไม่มีเวลามา วันนี้อุตส่าห์ได้มาแล้ว จะต้องมานอนบ้านพวกเราหลายๆ วัน ให้ข้าได้ขอบใจเจ้าอย่างเต็มที่”


 


 


พูดจบหันไปเรียกบุตรสาวตนเอง “ลี่เอ๋อร์ นี่ก็คือแม่นางเมิ่งที่แม่และพ่อมักจะเอ่ยถึง เจ้ารีบเข้ามาทักทาย”


 


 


จางลี่ก็เป็นคนที่มีนิสัยร่าเริงเปิดเผย ได้ฟังวาจาของฮูหยินจาง เริ่มจากเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูดอย่างยินดี “เจ้าก็คือเมิ่งเชี่ยนโยวหรือ บิดามารดาข้ามักจะเอ่ยถึงเจ้าอยู่เสมอ บอกว่าเจ้าอายุเพียงน้อยก็ทำการค้าประสบความสำเร็จ บอกว่าเมื่อข้าได้พบเจ้า จะต้องขอคำแนะนำให้มากๆ วันนี้พวกเรามีเรื่องให้คุยกันยาวแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชอบในอัธยาศัยเปิดเผยตรงไปตรงมาของหญิงสาวทันที ยกยิ้มพูด “เถ้าแก่จางและฮูหยินจางกล่าวเกินไปแล้ว ข้าหาได้เก่งกาจอย่างที่พวกเขากล่าวไม่”


 


 


จางลี่มิได้รู้สึกแปลกหน้า เข้ามากอดแขนข้างหนึ่งของนางไว้ “เจ้าไม่ต้องถ่อมตนแล้ว บิดามารดาข้าน้อยนักที่จะชมเชยใคร ตอนนี้กลับเอาแต่พูดถึงเจ้าไม่ขาดปาก ให้เจ้าเป็นแบบอย่างของข้า เจ้าจักต้องมีสิ่งที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น”


 


 


ฮูหยินจางเห็นบุตรสาวตนเองและเมิ่งเชี่ยนโยวสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว ก็ให้ดีใจยิ่งนัก


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเพิ่งจะลงจากรถม้า จางเฉิงก็สะท้อนแววตาระยิบระยับ พอพวกเขากล่าวทักทายฮูหยินจางเสร็จ ก็เดินเข้าไปกระชากแขนพวกเขาคนละข้าง พูดด้วยอารามดีใจ “ไป ไปที่ห้องข้า ข้ามีของดีจะให้พวกเจ้าดู”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉมองมาที่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


ทั้งสองเดินตามจางเฉิงเข้าไปอย่างเบิกบาน


 


 


สองแม่ลูกจางก็พาเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในบ้านอย่างมีมิตรไมตรี


 


 


จางฟู่กุ้ยกำชับคนงานให้พาเหวินเปียวและเหวินหู่นำรถม้าไปเก็บที่หลังเรือน จากนั้นตัวเองถึงเดินเข้าไปในบ้าน


 


 


สองแม่ลูกจางพาเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้องรับแขก ฮูหยินจางสั่งการสาวใช้ “รีบไปชงชาชั้นดีมาให้แขกสำคัญ”


 


 


สาวใช้ขานรับคำออกไปชงชาพลัน


 


 


จางฟู่กุ้ยเดินตามหลังเข้ามา นั่งบนเก้าอี้ผู้นำครอบครัว


 


 


จางลี่นั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว พูดด้วยใบหน้าเลื่อมใส “ดูแล้วเจ้ามีอายุน้อยกว่าข้าเสียอีก ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าเรียนรู้การทำการค้าได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสรวลพูดว่า “ข้าทำการค้าเป็นที่ไหนกัน เพียงแค่อยู่ว่างๆ คิดทำของบางอย่างออกมา พอดีกับได้เจอลูกค้ารายใหญ่อย่างเถ้าแก่จาง ถึงมีวันนี้ได้อย่างสะดวกราบรื่น”


 


 


จางลี่โบกมือ “เจ้าไม่ต้องถ่อมตัวแล้ว หากไม่มีสมองที่แน่ชัดไม่มีทางทำการค้าได้ ดูอย่างข้าก็ได้ หลายปีก่อนท่านพ่อก็เริ่มสอนข้าทำการค้า ผ่านมาหลายปีแล้ว ข้าเพิ่งจะเรียนรู้ได้เพียงเล็กน้อย ทำให้จนถึงตอนนี้ท่านพ่อยังไม่กล้าให้ข้าไปเจรจาการค้า กลัวข้าจะเอาเงินของครอบครัวไปชดใช้เสียหมด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบขันในวาจาของนาง “แม่นางจางอุปนิสัยสดใสน่ารัก ไม่ชำนาญการค้า จะต้องมีพรสวรรค์ด้านอื่น”


 


 


จางลี่ตกใจถลึงตาโต ถามอย่างอิ่มเอมใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร? ข้าสนใจใฝ่รู้เรื่องการกินมาตั้งแต่เด็ก ยามว่างข้ามักจะขบคิดวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารเลิศรสหลากหลายแบบ”


 


 


ฮูหยินจางก็ยิ้มพูด “ลี่เอ๋อร์มีความสนใจเรื่องอาหารโดยแท้ หากไม่มีใครเรียกหานาง นางสามารถคลุกอยู่ในครัวได้ทั้งวัน ทว่าอาหารที่ทำออกมา ไม่อาจกล่าวชมได้ทั้งหมด บางครั้งทำออกมาได้หอมอร่อย บางครั้งสิ่งที่ทำออกมาพวกเราต่างไม่กล้าลิ้มลอง”


 


 


จางลี่เริ่มไม่พอใจ พูดกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ ท่านเอาเรื่องข้ามาแฉต่อหน้าแขกได้อย่างไร”


 


 


ฮูหยินจางยิ้มพูด “แม่นางเมิ่งมิใช่คนนอก ไม่นำไปพูดให้คนอื่นขบขันหรอก เพื่อไม่ขัดจังหวะเจ้า ไม่เช่นนั้นก็พาแม่นางเมิ่งไปที่ห้องครัว”


 


 


สิ้นเสียงนาง จางลี่ก็สะท้อนแววตาวาววับ พูดอย่างกระดี๊กระด๊า “จริงด้วย ข้าได้พบแม่นางเมิ่งแล้วก็ให้พออกพอใจนัก ควรจะลงครัวด้วยตัวเองทำอาหารให้นางสองสามชนิด”


 


 


พูดจบ หันไปถามเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าชอบกินอาหารอะไร ข้าจะไปทำให้เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ไม่รบกวนแม่นางจางแล้ว ข้ากินได้ทุกอย่าง”


 


 


จางลี่พูดตัดบท “ไป เจ้าเข้าครัวไปกับข้า เจ้าอยากกินอะไรข้าจะทำสิ่งนั้นให้”


 


 


เดิมทีฮูหยินจางเพียงจะพูดแหย่เย้า ไม่คิดว่าจางลี่จะคิดจริงจัง เห็นจางลี่ดึงดันจะลากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าครัวให้ได้ ก็เริ่มนึกเสียใจ รีบร้อนกล่าวขอขมาเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ ลี่เอ๋อร์เพียงแค่ดีใจเกินไป ถึงกระทำการไม่สมควรออกไป”


 


 


จางฟู่กุ้ยเห็นบุตรสาวราวกับคนเสียสติ ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เหมาะสม จึงเอ่ยปากเอ็ดจางลี่ “เหลวไหลใหญ่แล้ว มีที่ไหนให้แขกไปเข้าครัว หากเรื่องเล็ดลอดออกไป คนอื่นได้หัวเราะเยาะพวกเราไร้มารยาทรับรองแขก”


 


 


จางลี่แลบลิ้นคึกคะนอง กลับไปนั่งบนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแก้สถานการณ์ให้นาง “ความจริงข้าก็ชอบขบคิดเรื่องอาหารการกิน หากทั้งสองท่านไม่รังเกียจ ข้าพอจะลงครัวกับแม่นางจางลองทำออกมาได้”


 


 


ฮูหยินจางโบกมือพลัน “แม่นางเมิ่งพูดล้อเล่นแล้ว เจ้าเป็นแขก จะให้เจ้าลงครัวได้อย่างไร”


 


 


จางลี่ได้ฟังถามอย่างดีใจระคนประหลาดใจ “จริงหรือ เจ้าก็ทำอาหารเป็นหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พอเป็นบ้าง แต่ไม่เชี่ยวชาญเท่าแม่นางจาง”


 


 


จางลี่ลุกขึ้น แล้วลากเมิ่งเชี่ยนโยวให้ลุกขึ้นตาม พูดอย่างยินดี “เช่นนั้นจะรออะไร พวกเรารีบไปที่ครัวเถอะ”


 


 


จางฟู่กุ้ยกำลังจะเอ็ดบุตรสาว จางลี่ไม่รอให้ใครได้ปริปากพูด ลากเมิ่งเชี่ยนโยวพ้นประตูออกไปแล้ว


 


 


ฮูหยินจางเองก็จนปัญญากับบุตรสาวที่พูดแล้วต้องได้ รีบลุกขึ้นเดินตามหลังไป 

 

 


ตอนที่ 218-2 เป็นแม่สื่อ

 

เห็นทั้งสามคนที่พริบตาเดียวก็หายออกไปจากห้องรับแขก จางฟู่กุ้ยได้แต่กลืนเสียงเอ็ดลงไป สูดลมหายใจเข้าลึก บุตรสาวมีนิสัยใจร้อนบุ่มบ่ามเช่นนี้ ไม่รู้ว่าบ้านสามีในอนาคตจะยอมรับนางได้หรือไม่


 


 


คนในห้องครัวกำลังขะมักเขม้นทำสำรับอาหาร เห็นจางลี่ฉุดกระชากแม่นางน้อยคนหนึ่งและมีฮูหยินจางเดินไล่หลังเข้ามา ต่างก็ตกใจตัวโยน กำลังจะทำความเคารพ จางลี่พลันโบกมือห้ามทุกคน “พวกเจ้าทำงานไปเถอะ เหลือเตาเล็กสักอันไว้ให้ข้ากับแม่นางเมิ่งก็พอ”


 


 


แม่ครัวได้ยินดังนั้น รีบยกซุปเนื้อตุ๋นบนเตาเล็กออกไปทันที


 


 


จางลี่ดึงเมิ่งเชี่ยนโยวมายังที่เก็บของภายในห้องครัว ให้นางดูวัตถุดิบ แล้วถามขึ้น “แม่นางเมิ่ง วัตถุดิบทั้งหมดอยู่ตรงนี้ เจ้าดูก่อนว่าต้องการจะทำอาหารใด?”


 


 


ฮูหยินจางเข้าไปห้ามปราบพลางพูดเอ็ดนาง “เจ้าลูกคนนี้ จะให้แม่นางเมิ่งทำอาหารได้อย่างไร เจ้าเป็นคนทำ ให้นางคอยชี้แนะก็พอแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ฮูหยิน ไม่เป็นไรเลย ข้าอุตส่าห์ได้พบกับคนที่ชอบคิดค้นเรื่องอาหารเช่นแม่นางจาง พวกเราจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน”


 


 


ฮูหยินจางยับยั้งนาง “ลี่เอ๋อร์ถูกพวกเราตามใจจนเสียเด็ก ทำตัวเหลวไหลไปบ้าง แต่เจ้าจะทำอาหารกับนางไม่ได้เด็ดขาด หากเรื่องแพร่งพรายออกไป พวกเราคงไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว”


 


 


จางลี่เดินมาตรงหน้าฮูหยินจาง พลิกตัวกลับหลังหัน แล้วออกแรงผลักนางออกไปจากห้องครัวอย่างระวัง พูดกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ ท่านให้แม่นางเมิ่งทำอาหารให้ข้าชิมสักจานเถอะ ไม่เช่นนั้นคืนนี้ข้านอนไม่หลับแน่”


 


 


ฮูหยินจางถูกผลักออกมาด้านนอก ทั้งโมโหทั้งขบขัน “ปีนี้เจ้าอายุได้สิบห้าปีแล้ว ไม่มีความเป็นสาวสะพรั่งแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าต่อไปจะได้บ้านสามีเป็นอย่างไร”


 


 


จางลี่ที่เอาตัวนางออกไปนอกครัวได้แล้ว ได้ยินคำพูดนี้ของนาง กระทืบเท้าพูดแง่งอน “ท่านแม่ ข้าแค่ให้แม่นางเมิ่งทำอาหารเท่านั้น เหตุใดท่านถึงต้องโยงมาเรื่องแต่งงานด้วย ข้าไม่มีความเป็นสาวสะพรั่งแล้วอย่างไร พวกเขาไม่ยินดีขอข้า ข้าก็ไม่อยากแต่งเหมือนกัน อย่างไรบ้านเราก็ไม่อัตคัดขาดแคลน ข้าอยู่เป็นยายแก่เทื้อคาเรือนไปทั้งชีวิตก็ได้”


 


 


ฮูหยินจางยิ้มเอ็ด “เจ้าอยากเป็นยายแก่เทื้อคาเรือนไปทั้งชีวิต แต่ข้าและพ่อเจ้าไม่ยินยอมหรอก พวกเราฝากฝังแม่สื่อแล้ว ให้คอยสอบถาม เมื่อเจอสกุลที่คู่ควรก็จะแต่งเจ้าออกไป”


 


 


จางลี่ร้อนรนกระทืบเท้าถี่รัว หันหลังกลับเข้าไปในครัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแม่ลูก หัวใจสั่นไหว เกิดความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นในสมอง


 


 


จางลี่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ลืมคำพูดเมื่อครู่ของฮูหยินจางไปสิ้น ถามอย่างชื่นบาน “แม่นางเมิ่ง เจ้าคิดได้แล้วหรือยังว่าจะทำอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเห็นในครัวมีเนื้อมาก เช่นนั้นก็ทำหมูสามชั้นน้ำแดงเถอะ”


 


 


จางลี่กระฉับกระเฉงขึ้นมาพลัน “เจ้าต้องการอะไร ข้าจะเป็นลูกมือให้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องหรอก แค่เตรียมน้ำตาลทรายขาวและเครื่องปรุงให้ข้าก็พอ อย่างอื่นข้าจัดการเองก็พอ”


 


 


จางลี่จัดแจงหยิบน้ำตาลทรายขาวและเครื่องปรุงมาวางตรงหน้านางด้วยตัวเอง พูดว่า “เมื่อเจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วย เช่นนั้นข้าจะทำอาหารที่ข้าเพิ่งจะคิดค้นได้ ประเดี๋ยวจะให้เจ้าลิ้มรส ให้คำติชมข้าด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับคำ “ได้”


 


 


จางลี่เขยิบออกไปเตรียมวัตถุดิบอาหารของตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเนื้อขึ้นมาหนึ่งก้อน ล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดเท่ากัน ลงมือทำหมูสามชั้นน้ำแดง


 


 


จางลี่เองก็เตรียมวัตถุดิบของตัวเองเสร็จแล้ว หลังจากชำระล้างน้ำก็เริ่มลงมือทำอาหารบนเตาเล็กอีกตัว


 


 


คนอื่นๆ ในห้องครัวก็ขมีขมันทำงานของตัวเอง ในห้องครัวพลันเต็มไปด้วยเสียงกระทะตะหลิวกระทบกันดังโฉ่งฉ่าง


 


 


จางลี่ทำอาหารจานผัด ไม่นานก็ทำเสร็จ


 


 


หมูสามชั้นน้ำแดงของเมิ่งเชี่ยนโยวต้องใช้เวลา กระทั่งบรรดาแม่ครัวทำอาหารในมือเสร็จ หมูสามชั้นน้ำแดงถึงส่งกลิ่นหอมคละคลุ้ง


 


 


ทุกคนที่ได้กลิ่นหอมนี้ ต่างสูดเข้าปอดไปอีกหลายฟอด จางลี่อาการหนักกว่าคนอื่น ก้าวเข้าไปหน้าเตา สูดกลิ่นจากหม้อที่ยังมีฝาปิดอยู่อย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ พูดอย่างตื่นเต้น “โอ้โห แม่นางเมิ่ง หมูสามชั้นน้ำแดงที่เจ้าทำช่างหอมยิ่งนัก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบขันกับท่าทีน่าเอ็นดูของนาง พูดแหย่เย้า “เจ้าต้องระวังนะ อย่าให้น้ำลายไหลเข้าไปในหม้อ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่ได้กินกันหมด”


 


 


จางลี่ดวงตาเปล่งประกาย ตอบโต้ด้วยแววซุกซน “หากเจ้าไม่พูดข้าคงคิดไม่ถึง วิธีนี้เยี่ยมยอดเลย ข้าจะได้กินหมูสามชั้นน้ำแดงคนเดียว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพวกเจ้าแย่งข้าไปหมด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะขบขันอีกครั้ง คิดว่าหากในครอบครัวมีคนสดใสร่าเริงเช่นนี้ก็คงดีไม่น้อย พูดไม่กี่คำก็ทำให้ความกลัดกลุ้มใจมลายหายไปได้หมด


 


 


หลังจากที่ฮูหยินจางถูกจางลี่ไล่ออกมาด้านนอก จึงไม่กลับเข้าไปอีก หันหลังกลับมาห้องรับรองแขก ดูว่าสาวใช้เตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง


 


 


ปกติไม่ค่อยจะมีแขกเข้ามา เหล่าสาวใช้ย่อมจัดเตรียมได้เป็นอย่างดี ปัดกวาดห้องหับจนสะอาดเอี่ยม เครื่องนอนทั้งหมดล้วนเป็นของใหม่ แม้แต่ผ้าปูเตียงและผ้าม่านก็เปลี่ยนเป็นสีสันสดใส


 


 


ฮูหยินจางเห็นแล้วก็ให้พึงพอใจ พูดกับสาวใช้ที่จัดเตรียมห้องรับรองว่า “จัดเตรียมห้องได้ดีมาก ตกกลางคืนยังต้องคอยปรนนิบัติแม่นางเมิ่ง ขอเพียงแม่นางเมิ่งพอใจ พวกเจ้าล้วนได้รับบำเหน็จ”


 


 


สาวใช้ดีใจขานรับคำ “ขอบคุณฮูหยิน”


 


 


มองดูห้องหับที่จัดเตรียมเรียบร้อย ฮูหยินจางรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว ด้านหนึ่งสั่งสาวใช้ไปดูว่าอาหารในห้องครัวทำเสร็จแล้วหรือไม่ ด้านหนึ่งสั่งบ่าวให้จัดโต๊ะอาหาร


 


 


สาวใช้กลับมารายงานโดยไว บอกว่าอาหารในห้องครัวทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงอาหารของเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยังทำไม่เสร็จ


 


 


ฮูหยินจางจึงไปที่ห้องครัวอีกครั้ง เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงร้องวี๊ดว้ายของบุตรสาวตนเอง “แม่นางเมิ่ง หมูสามชั้นน้ำแดงของเจ้าอร่อยยิ่งนัก แบบนี้คนที่กินได้กัดลิ้นกลืนเข้าไปพร้อมกันเป็นแน่”


 


 


ฮูหยินจางได้ฟังหลุดขำพรวด คิดว่าไม่เสียแรงที่หลายปีมานี้บุตรสาวของตนเองคอยตามติดเรียนรู้การทำการค้ากับบิดา วาจาปะเหลาะคนของนางถือว่าฝึกออกมาได้บ้างแล้ว พลางเดินเข้ามาในครัว กำลังยกยิ้มจะเอื้อนเอ่ย กลิ่นหอมคลุ้งก็ลอยเข้ามาปะทะจมูกตัวเอง ฮูหยินจางก็สูดเข้าไปหลายฟอดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถามด้วยความประหลาดใจ “อาหารอะไรถึงได้หอมเช่นนี้?”


 


 


หลายปีมานี้จางฟู่กุ้ยทำการค้าเจริญรุ่งเรือง ต่อหน้าคนอื่นฮูหยินจางจะรู้จักเก็บอาการมากขึ้น ไม่ว่าทำสิ่งใดจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ครานี้กลับไม่สนอะไรแล้ว สาวเท้าจากสามก้าวเป็นสองก้าวเดินมาข้างจางลี่ รับตะเกียบที่จางลี่ส่งให้ คีบหมูสามชั้นน้ำแดงชิ้นหนึ่งขึ้นมาเป่าลมอย่างอดใจรอไม่ไหว แล้ววางใส่ปากอย่างระวัง ค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเมียดหนึ่งคำ ความหอมหวานกระจายทั่วปาก พลันร้องอุทาน “หมูนี้อร่อยยิ่งนัก ข้าไม่เคยกินหมูที่อร่อยเลิศเช่นนี้มาก่อน”


 


 


จางลี่พูดอย่างลำพอง “ท่านแม่ ครานี้ท่านได้อาศัยใบบุญของข้าแล้ว หากไม่เพราะข้าดึงรั้งเมิ่งเชี่ยนโยวมาห้องครัว ท่านจะได้กินหมูสามชั้นน้ำแดงเลิศรสเช่นนี้หรือ?”


 


 


ฮูหยินจางกลืนเนื้อหมูในปากลงไปแล้ว ยกยิ้มเอ็ด “เหตุใดเจ้าต้องกระหยิ่มใจด้วย นี่เป็นอาหารที่แม่นางเมิ่งทำ มิใช่เจ้าทำเสียหน่อย”


 


 


คนในครัวเห็นฮูหยินจางกินอย่างเอร็ดอร่อย ต่างกลืนน้ำลายตามโดยไม่รู้ตัว


 


 


ฮูหยินจางวางตะเกียบแล้วสั่งพวกเขา “ยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วออกไป”


 


 


คนทั้งหมดขานรับคำ เข้ามายกอาหารที่ทำเสร็จแล้วไปที่ห้องอาหาร


 


 


ฮูหยินจางยิ้มพูด “แม่นางเมิ่ง ลำบากเจ้าแล้ว พวกเราไปกินข้าวเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ากำลังจะเดินออกไปพร้อมฮูหยินจาง


 


 


จางลี่ร้องตะโกนเรียก “ช้าก่อน”


 


 


ทั้งสองหันมองมาที่นาง


 


 


จางลี่เดินมาอีกฝั่งของห้องครัว หยิบถาดใบหนึ่งออกมา ใช้ผ้ารองมืออีกที แล้วนำจานหมูสามชั้นน้ำแดงวางบนถาด ยกถาดขึ้น พูดกับทั้งสองคน “ไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ


 


 


ฮูหยินจางกลับไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เดินนำเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงห้องอาหารอย่างแหนงหน่ายใจ


 


 


จางเฉิงและเมิ่งอี้เซวียนรวมถึงซุนเหลียงไฉเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเป็นระเบียบแล้ว จางฟู่กุ้ยกำลังอมยิ้มมองพวกเขาทั้งหมด


 


 


ฮูหยินจางพาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้องอาหาร จางลี่ยกถาดอาหารเดินตามหลังมา


 


 


ซุนเหลียงไฉจมูกไว ได้กลิ่นหอมของหมูสามชั้นน้ำแดงทันที อารามดีใจร้องตะโกนลั่น “หมูสามชั้นน้ำแดง!”


 


 


จางฟู่กุ้ยก็ได้กลิ่นหอมเช่นกัน ถามขึ้น “ฮูหยิน นี่คืออาหารอะไร? เหตุใดถึงหอมกรุ่นเช่นนี้?”


 


 


ฮูหยินจางยิ้มตอบ “นี่คือหมูสามชั้นน้ำแดงที่แม่นางเมิ่งเป็นคนทำ เมื่อครู่ข้าได้ชิมไปหนึ่งชิ้น อร่อยลิ้นเป็นอย่างมาก ประเดี๋ยวท่านลองชิมดูเถิด”


 


 


จางลี่วางถาดลงบนโต๊ะ บ่าวรับใช้เข้าไปยกหม้อหมูสามชั้นน้ำแดงออกมา วางไว้กลางโต๊ะอาหาร กลิ่นหอมลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องอาหารพลัน แม้แต่คนไม่ชอบแสดงออกอย่างจางเฉิงยังโพล่งปากชม “หอมนัก!”


 


 


จางฟู่กุ้ยกล่าวยกยอ “แม่นางเมิ่งอายุเพียงเท่านี้ไม่เพียงทำการค้าเก่ง เกรงว่าแม้แต่ฝีมือทำอาหารก็คงไม่มีใครเทียบได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างถ่อมตน “เถ้าแก่จางกล่าวเกินไปแล้ว ที่ข้าพอจะชำนาญก็มีเพียงอาหารจานนี้ วันนี้ทำออกมาขายหน้าตัวเองแล้ว”


 


 


“หากนี่ยังเรียกว่าขายหน้า เช่นนั้นอาหารของข้าก็กินไม่ได้เลยสิ?” จางลี่พูดใหญ่โตเกินเหตุ


 


 


คนทั้งห้องหัวเราะขบขันนาง 

 

 


ตอนที่ 218-3 เป็นแม่สื่อ

 

คนทั้งหมดนั่งดีแล้ว ก็ลงมือกินอาหาร จางฟู่กุ้ยและฮูหยินจางต่างอดใจไม่ไหวคีบหมูสามชั้นน้ำแดงไปคนละชิ้น เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนก็คีบกันไปคนละชิ้น ซุนเหลียงไฉคีบหนึ่งชิ้นใส่ถ้วยตัวเอง คิดจะคีบมาอีกชิ้น พลันนึกถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ตะเกียบที่ยืดออกไปจึงหดกลับเข้ามา


 


 


จางเฉิงเป็นคนมีนิสัยเก็บตัว ที่ผ่านมาเวลากินข้าวจะคีบกินแต่อาหารที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เอาแต่คีบหมูสามชั้นน้ำแดงหลายต่อหลายชิ้นวางใส่ถ้วยตัวเอง


 


 


จางลี่เห็นเข้า แสร้งพูดแหย่เย้าเขา “เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องครัวข้าอดใจไม่ไหวสูดดมมัน เกิดไม่ระวังทำน้ำหลายหยดลงไป เจ้ากินเยอะเช่นนี้ ไม่รู้ว่ากินโดนน้ำลายข้าเข้าไปหรือไม่”


 


 


จางเฉิงชะงักค้างเล็กน้อย แล้วคีบหมูสามชั้นน้ำแดงใส่ปากเคี้ยวคำโต


 


 


จางลี่หัวเราะพูดว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าดูเถิดว่าอาหารของเจ้าอร่อยเพียงใด ปกติหากข้าพูดเช่นนี้ เขาบ้วนข้าวออกมาไม่เหลือแล้ว”


 


 


ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ฮูหยินจางก็ยกยิ้มเอ็ดนาง “ไร้มารยาท เวลากินข้าวไม่รู้จักสำรวมบ้าง”


 


 


จางลี่แลบลิ้นซุกซน รีบยกถ้วยข้าวตัวเองลงมือกินบ้าง


 


 


สองสามีภรรยาจางเป็นคนจริงใจ หลังจากคะยั้นคะยอพวกเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนหลายครั้ง ก็ไม่พูดมากอีก ปล่อยให้พวกเขากินตามที่ต้องการอย่างสบายใจ


 


 


เป็นมื้ออาหารที่อร่อยเอร็ดทั้งเจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือน โดยเฉพาะจางเฉิง หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็เอาแต่นั่งลูบพุงตัวเองบนเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อน


 


 


ฮูหยินจางรู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ้มพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เฉิงเอ๋อร์กินข้าวจนมีสภาพนี้ ขายหน้าแม่นางเมิ่งแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขบขันว่า “คุณชายจางให้กำลังใจข้าเช่นนี้ แสดงว่าหมูสามชั้นน้ำแดงของข้าอร่อยมาก ข้าดีใจเสียไม่ว่าเล่า จะขายหน้าได้อย่างไร”


 


 


ฮูหยินจางเห็นนางมิได้เอามาใส่ใจจริงๆ ก็ให้โล่งอก


 


 


สาวใช้และบ่าวเข้ามาเก็บอาหารที่เหลือออกไป


 


 


จางเฉิงเล่นกับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉจนสนุกติดลมแล้ว นั่งได้ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นลากทั้งสองคนไปที่ห้องตัวเองอีก


 


 


จางฟู่กุ้ยหัวเราะมองดูบุตรชายที่กลายเป็นคนกล้าแสดงออก ให้นึกขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใจจริง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉได้รับการสอนสั่งอย่างเข้มงวดจากท่านอาจารย์มาตลอด นอกจากต้องไปเข้าเรียนตามเวลาทุกวัน ยังให้การบ้านกลับมาอีกไม่น้อย บดบังเวลาเล่นสนุก ตอนนี้อุตส่าห์ได้ออกมากับเมิ่งเชี่ยนโยว ย่อมปล่อยตัวเล่นสนุกเต็มที่


 


 


จางฟู่กุ้ยมองดูทั้งสามคนออกไปไกลแล้ว ถึงพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตื้นตันใจ “เฉิงเอ๋อร์กลายเป็นเด็กร่าเริงเช่นนี้ได้ โชคดีที่ได้แม่นางเมิ่งให้คำชี้แนะ บุญคุณใหญ่หลวงนี้ของเจ้า ชาตินี้พวกเราสองสามีภรรยาจะไม่มีวันลืม”


 


 


ฮูหยินจางก็พยักหน้าสนับสนุน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมืออุตลุด “ข้าหาได้ทำสิ่งใดไม่ หากทั้งสองท่านยังกล่าวเช่นนี้ ต่อไปเมื่อข้าเข้ามาในจังหวัด คงไม่กล้ามาพักที่บ้านพวกท่านอีกแล้ว”


 


 


ช่วงเวลาที่ผ่านมาจางลี่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเหมือนพี่น้องแล้ว เอ่ยปากพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เมิ่งเชี่ยนโยวหาใช่คนอื่นไกลไม่ พวกท่านไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ก็ได้ จะทำให้นางอยู่กับพวกเราอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง”


 


 


สองสามีภรรยาจางพยักหน้าเบิกบาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งให้ชมชอบจางลี่ สลัดความคิดในสมองไม่พ้น จึงโพล่งปากออกไป “เถ้าแก่จาง ฮูหยินจาง ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากพูดกับพวกท่าน”


 


 


จางฟู่กุ้ยสังเกตสีหน้าและคำพูด พบว่านางมิได้มีปฏิกิริยาเคร่งขรึม รู้ว่าไม่ใช่เรื่องไม่ดี จึงพูดว่า “เชิญแม่นางเมิ่งพูดเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสรวลกล่าวอย่างชื่นบาน “ข้าอยากจะเป็นแม่สื่อให้แม่นางจาง”


 


 


สิ้นเสียง ภายในห้องเงียบสงัด


 


 


สองสามีภรรยาจางและจางลี่มองนางอย่างไม่เชื่อ


 


 


ครู่หนึ่งจางลี่ถึงได้สติกลับมา ส่งเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้ว “เจ้าเองก็ยังเป็นแค่เด็กสาว จะมาเป็นแม่สื่อให้ข้า?”


 


 


สองสามีภรรยาจางก็ได้สติกลับมาแล้ว ฮูหยินจางถามนางอย่างยินดี “ไม่ทราบว่าแม่นางจะทาบทามให้บ้านสกุลไหน?”


 


 


“ท่านแม่ พวกท่านยังจะคิดเป็นจริง นางอายุเพียงเท่านี้ จะรู้หรือว่าแม่สื่อหมายความอะไร” จางลี่หันไปพูดกับฮูหยินจาง


 


 


จางฟู่กุ้ยเอ็ดนาง “แม่นางเมิ่งทำการค้าใหญ่โตเช่นนี้ จะต้องรู้จักคนไม่น้อย เจ้าไม่ต้องพูดแทรกแล้ว ฟังก่อนว่าเป็นบ้านสกุลไหน?”


 


 


วาจาจางฟู่กุ้ยยังพอมีน้ำหนักบ้าง จางลี่พลันไม่กล้าโต้แย้ง


 


 


จางฟู่กุ้ยก็ถามด้วยใบหน้าขึงขัง “แม่นางเมิ่ง ไม่ทราบว่าเจ้าจะพูดทาบทามให้บ้านสกุลไหน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง “บ้านที่ข้าจะพูดให้จางลี่นี้ ก็ทำการค้าเช่นกัน ครอบครัวทำการค้าอาหารปรุงสุกใหญ่โต มีบุตรชายเพียงคนเดียว อาศัยอยู่ในอำเภอชิงเหอ”


 


 


ฮูหยินจางได้ฟังว่าอยู่ห่างไกล ก็ให้หมดความสนใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ข้าและบุตรชายโทนของพวกเขาไม่เพียงเป็นคู่ค้ากัน ทั้งยังเป็นสหายรักกัน สภาพภายในครอบครัวพวกเขาข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยนิสัยร่าเริงเปิดเผยของแม่นางจาง หากแต่งเข้าไปจะต้องไม่เกิดปัญหาไม่ลงรอยระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้อย่างแน่นอน”


 


 


ความสัมพันธ์ของแม่สามีลูกสะใภ้ถือเป็นโจทย์ยากมาแต่ไหนแต่ไร ฮูหยินจางไม่อยากให้บุตรสาวแต่งไปไกล หวั่นเกรงด้วยนิสัยเช่นนี้ของนาง หลังจากแต่งงานไปแล้วจะไม่เป็นที่โปรดปรานของแม่สามี ทำคนไม่พอใจจะไม่มีคนคอยหนุนหลัง ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ พลันดวงตาสะท้อนแสงวับวาว ถามอย่างยินดี “ที่แม่นางเมิ่งพูดเป็นความจริง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าคบค้าสมาคมกับคุณชายจูหลายครั้งแล้ว เขาเป็นคนอย่างไรข้ารู้แจ้งแก่ใจ ขอเพียงเขาแต่งแม่นางจางเข้าบ้าน จักปฏิบัติดีต่อนางรักมั่นคงนางไปจนชั่วชีวิต”


 


 


ฮูหยินจางได้ฟังก็ยิ่งให้ปลาบปลื้มปิติ เอียงคอร้องเรียก “ท่านพี่”


 


 


จางฟู่กุ้ยเข้าใจความหมายนาง ถามขึ้น “แม่นางเมิ่งพูดถึงเขาดีเช่นนี้ ไม่ทราบว่าพวกเราจะขอพบหน้าเขาก่อนได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปรับเขา ระยะทางไปและกลับคาดว่าพรุ่งนี้ตอนค่ำถึงจะมาถึง ทว่า ข้าต้องแจ้งกับพวกท่านก่อน คุณชายจูผู้นี้เคยมีคู่หมั้นมาแล้ว เพียงแต่ต่อมาเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ต้องถอนหมั้น”


 


 


สองสามีภรรยาจางตกตะลึง จางฟู่กุ้ยถามพลัน “เหตุใดเขาถึงต้องถอนหมั้น แม่นางเมิ่งพอจะสะดวกบอกพวกเราได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “หากการแต่งงานครั้งนี้ลุล่วง คุณชายจูย่อมจะบอกพวกท่านเอง ทว่า ข้ารับประกันกับพวกท่านได้ว่า ที่คุณชายจูต้องถอนหมั้น สาเหตุมาจากฝ่ายหญิงกระทำผิดร้ายแรง มิได้เกี่ยวข้องกับคุณชายจูเลยแม้แต่น้อย”


 


 


จางฟู่กุ้ยเห็นนางไม่ยอมพูด รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีบางอย่างที่พูดไม่ได้ จึงไม่ถามให้มากความอีก หันไปสบตาฮูหยินจางแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าต้องขอปรึกษากับฮูหยินก่อน ภายหลังค่อยให้คำตอบเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเพียงแค่เห็นแม่นางจางมีนิสัยร่าเริงแจ่มใส ให้นึกชมชอบนาง ถึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมาฉับพลัน หากว่าพวกท่านไม่ยินดี ก็ไม่เป็นไร ถือเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยกล่าว”


 


 


สองสามีภรรยาจางเริ่มจะสนใจบ้างแล้ว แต่ลังเลใจเรื่องที่จูหลานเคยถอนหมั้น ถึงคิดจะไปปรึกษากันให้ดีก่อน ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ฮูหยินจางรีบร้อนพูด “แม่นางเมิ่งอย่าได้เข้าใจผิด พวกเราเพียงต้องการจะหารือกันก่อน ว่าการแต่งงานนี้เหมาะควรหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายว่า “จังหวัดอยู่ห่างจากอำเภอชิงเหอค่อนข้างไกล พวกท่านจะหารือกันก่อนก็สมควรแล้ว อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรบุ่มบ่ามตัดสินใจ พวกท่านปรึกษาทบทวนกันให้ดีก่อน แล้วส่งข่าวให้ข้าแต่เนิ่นๆ ข้าจะได้มีเวลาจัดการ”


 


 


จางลี่เอาแต่นั่งฟังเงียบๆ อีกด้าน ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบก็ถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าต้องจัดการสิ่งใด?”


 


 


“หากพวกท่านตกลง ข้าจะอยู่ในจังหวัดเพิ่มอีกวัน ให้เหวินเปียวไปรับจูหลานมา หากพวกท่านไม่ยินดี พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็จะเดินทางกลับ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


“อ๊า” จางลี่ร้องลั่น “เหตุใดพวกเจ้าต้องรีบกลับไปเร็วเช่นนี้ อยู่ต่ออีกหลายๆ วันไม่ได้หรือ? ข้ายังอยากให้เจ้าสอนข้าทำอาหารด้วยเล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “อี้เซวียนและเหลียงไฉต่างต้องเรียนหนังสือ ออกมาครั้งนี้ท่านอาจารย์ให้ลาได้สองวัน หากไม่มีเรื่องอันใด พรุ่งนี้พวกเราจักต้องเดินทางกลับทันที”


 


 


จางลี่แสดงสีหน้าผิดหวังทันใด จับแขนเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอ้อนวอน “เช่นนั้นคืนวันนี้เจ้ามานอนกับข้านะ พวกเราจะได้คุยกันเต็มที่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับการฝึกฝนจากชาติก่อนจนติดเป็นนิสัย หากข้างกายมีคนอื่นจะนอนหลับไม่สนิท ไม่ได้รับปากทันที แต่ขบคิดเล็กน้อยถึงแย้มยิ้มพยักหน้า


 


 


ฮูหยินจางสังเกตถี่ถ้วน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวผงะเล็กน้อย รู้ว่านางไม่ใคร่ยินดี รีบพูดว่า “แม่นางเมิ่งมิต้องสนใจลี่เอ๋อร์หรอก พวกเราเตรียมห้องเอาไว้แล้ว เจ้าไปนอนอย่างสบายใจได้”


 


 


แม้จางลี่ก็เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีอาการลังเล แต่มิได้คิดไปไกล นึกว่านางคงกระดากอาย ไม่กล้านอนกับตัวเอง ดึงมือนางอย่างสนิทสนมพูดหว่านล้อม “เจ้าข้าต่างก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน มีอะไรต้องเขินเล่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางเข้าใจผิด แต่ก็ไม่อธิบาย พูดไหลไปตามบทสนทนาของนาง “ครอบครัวข้ามีพี่ชายน้องชายหลายคน ส่วนผู้หญิงมีข้าเพียงคนเดียว ข้าชินกับการนอนคนเดียวแต่เด็กแล้ว จึงไม่คุ้นเคยกับการนอนโดยมีใครมาอยู่ข้างๆ”


 


 


จางลี่ดึงมือนางมาอย่างรักใคร่สนิทสนม พูดด้วยความเบิกบาน “ข้าก็นอนคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก วันนี้พวกเราสองสาวจะได้เข้าใจความรู้สึกอย่างพี่สาวน้องสาวแล้ว” พูดจบ ดึงเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นอย่างอดใจรอไม่ไหว “ไปเถอะ ไปดูห้องข้ากัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้สองสามีภรรยาจางอย่างมีมารยาท แล้วเดินตามจางลี่ไปที่ห้องนาง


 


 


สองสามีภรรยาจางมีเรื่องต้องปรึกษากัน จึงมิได้ขัดขวาง หลังจากส่งยิ้มมองดูทั้งสองคนออกไป จางฟู่กุ้ยก็หันไปถามฮูหยินจาง “ฮูหยิน เจ้าคิดว่าเรื่องการแต่งงานที่แม่นางเมิ่งพูดทาบทามให้จางลี่เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


“ฟังดูก็ไม่เลวหรอก ทว่าข้ายังลังเลเรื่องที่เขาเคยถอนหมั้นมาก่อน หากเป็นเพราะฝ่ายหญิงกระทำความผิดร้ายแรง พวกเขาถอนหมั้นก็ยังพอรับได้ แต่หากไม่ใช่เล่า พวกเขาทำเช่นนี้เท่ากับทำร้ายชีวิตหญิงสาวคนหนึ่งทั้งเป็น คนเช่นนี้ต่อให้ดีอย่างไรก็จะให้ลี่เอ๋อร์แต่งงานด้วยไม่ได้” ฮูหยินจางตอบ


 


 


จางฟู่กุ้ยพยักหน้า “ฮูหยินพูดมีเหตุผล เสียดายที่อำเภอชิงเหออยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ พวกเราไม่อาจสืบข่าวได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่ข้าเชื่อในนิสัยใจคอของแม่นางเมิ่ง เมื่อนางบอกว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณชายท่านนั้น เช่นนั้นก็เพราะฝ่ายหญิงกระทำผิดร้ายแรงเอง ข้าคิดว่าการแต่งงานนี้ยังใตร่ตรองได้”


 


 


ฮูหยินจางถอนหายใจ “พวกเราก็ไม่เคยสั่งสอนลี่เอ๋อร์อย่างเข้มงวดตั้งแต่เล็กๆ ทำให้นางมีนิสัยโผงผางกระโดกกระเดก หากแต่งงานไปจริงๆ เกรงจะไม่เป็นที่พอใจของแม่สามี แม่นางเมิ่งกล่าวถึงครอบครัวนี้ข้าเองก็หวั่นไหวอยู่ไม่น้อย ทว่าข้าก็กลัวว่าหากมิได้เป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ ภายหน้าลี่เอ๋อร์ของพวกเราจะต้องทนทุกข์ทรมาน ทั้งอยู่ไกลจากบ้านแม่ ถูกดุว่าพวกเราก็ไม่รู้”


 


 


“แต่งงานต้องเชื่อฟังสามี ภายหน้าต่อให้ลี่เอ๋อร์ได้สามีเป็นคนในจังหวัด ถูกคนดุว่า พวกเราก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง” จางฟู่กุ้ยกล่าว


 


 


ฮูหยินจางกล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจ “ข้าทราบ แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าลี่เอ๋อร์อยู่ใกล้พวกเรา ข้ายังพอจะสบายใจขึ้นบ้าง”


 


 


จางฟู่กุ้ยเชื่อมั่นในตัวเมิ่งเชี่ยนโยวมาก เรื่องการแต่งงานที่นางพูดทาบทามนี้ก็เห็นด้วยอย่างหมดหัวใจแล้ว พอเห็นฮูหยินจางลังเล จึงพูดอธิบายหว่านล้อมนาง “เรื่องการแต่งงานของลี่เอ๋อร์สำคัญที่สุด ขอเพียงบ้านสกุลนั้นดีต่อลี่เอ๋อร์ ไกลไปบ้างก็ไม่เป็นไร อีกอย่างอำเภอชิงเหอก็มิได้ไกลโขจากจังหวัด นั่งรถม้าครึ่งวันก็ไปถึงแล้ว หากภายหน้าเกิดเรื่องกับลี่เอ๋อร์ พวกเรารู้ข่าวก็ไม่สายเกินไป”


 


 


เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี จางฟู่กุ้ยพูดเช่นนี้ ฮูหยินจางเข้าใจความหมายของเขาพลัน “ดูท่าท่านพี่จะเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้แล้ว”


 


 


จางฟู่กุ้ยพยักหน้า “ข้าเชื่อในตัวเมิ่งเชี่ยนโยว นางไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มาลวงหลอกพวกเรา ไม่เช่นนั้นพวกเราลองพบหน้าเขาดู หากคุณชายท่านนั้นดีเช่นนั้นจริงๆ พวกเราจะได้กำหนดเรื่องแต่งงานให้ลี่เอ๋อร์แต่เนิ่นๆ จะได้จัดการเรื่องหนักอกของพวกเราไปได้อีกเปราะหนึ่ง”


 


 


จางฟู่กุ้ยจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องใหญ่ในบ้าน บวกกับที่เดิมทีฮูหยินจางก็รู้สึกหวั่นไหวแล้ว ตอนนี้ได้ยินจางฟู่กุ้ยพูดเช่นนี้ ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ ว่าตามท่านพี่เถอะ ข้าจะไปบอกแม่นางเมิ่งเดี๋ยวนี้ ให้วันพรุ่งนางไปรับคนเข้ามา พวกเราจะได้เจอหน้ากัน”


 


 


จางฟู่กุ้ยพยักหน้า


 


 


ฮูหยินจางลุกขึ้นพลัน เดินตรงไปที่ห้องนอนจางลี่ ยังห่างอีกไกลก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของบุตรสาวดังแว่วมา รอยยิ้มเอ็นดูผุดขึ้นที่มุมปาก


 


 


สาวใช้หน้าประตูทำความเคารพนาง “ฮูหยิน ท่านมาแล้ว คุณหนูกำลังพูดคุยกับแขกสำคัญด้านในเจ้าค่ะ”


 


 


จางลี่ได้ยินเสียงสาวใช้ ลุกขึ้นเดินมาด้านนอก แย้มถาม “ท่านแม่ ข้ากำลังคุยกับแม่นางเมิ่งสนุกเลย ท่านรีบเข้ามาเถอะ”


 


 


ฮูหยินจางเดินเข้ามาในห้อง ยกยิ้มพูดว่า “แม่รู้ว่าพวกเจ้าคุยกันอย่างมีความสุข เพิ่งจะพ้นประตูนอกเรือนเข้ามาก็ได้ยินเสียงของเจ้าแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นฮูหยินจางเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รู้ทันทีว่าเรื่องการแต่งงานของจางลี่เข้าใกล้ความเป็นจริงแล้ว เป็นจริงดังคาด ฮูหยินจางเพิ่งจะนั่งลง ก็พูดกับนางว่า “แม่นางเมิ่ง วันพรุ่งนี้เจ้าให้คนของเจ้าไปรับคุณชายท่านนั้นเข้ามา ให้พวกเราได้พบหน้ากันหน่อยเถิด”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)