ยอดหญิงสกุลเสิ่น 217.1-217..2
ตอนที่ 217-1 เข้าวังน้อมสำนึกพระมหากร...
สวีโย่วกับเสิ่นเวยเดินเข้าเรือนกันตามลำดับ ทั้งสองคนเพิ่งจะถอนหายใจอย่างโล่งอก สวีโย่วยื่นมือออกไปหาเสิ่นเวย เสิ่นเวยถลึงตามองเขาปราดหนึ่งฝ่ามือข้างหนึ่งปัดออก “ตอนนี้นึกถึงข้าแล้วหรือ เมื่อครู่ยังถลึงตาใส่ข้าอยู่เลย เหอะ สายไปแล้ว” นางบิดตัวเดินเข้าไปในห้องหอ
สวีโย่วลูบจมูกยิ้ม เดินตามหลังนางอย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย “ฮูหยิน ข้าผิดไปแล้วได้หรือไม่ หรือว่า ฮูหยินก็ถลึงตาใส่ข้าสักหลายๆ ครั้ง”
เสิ่นเวยหันหน้ายิ้มเยาะ “คิดว่าข้าไร้เดียงสาเหมือนท่านหรือไร เหอะ ข้าขี้เกียจจะสนใจท่านแล้ว” สวีโย่วหน้าหนาเดินตามหลังนางเข้าไปในห้องต่อ
เมื่อเสิ่นเวยเข้าห้องไปก็ตรงไปยังเตียงหลังใหญ่ เหนื่อยเกินไปแล้ว นางต้องงีบสักพัก ตอนบ่ายยังมีงานดุเดือดให้ต้องสู้อีก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าสวีโย่วเองก็ตามมา ก็โบกมืออย่างรำคาญใจ “ท่านออกไปทำงานเถอะ ข้าจะหลับสักตื่น ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับท่าน”
สวีโย่วอารมณ์ดียิ่งนัก “ข้าไม่ยุ่ง ให้ข้านอนเป็นเพื่อนฮูหยินเถอะ”
“ไม่ต้อง” เสิ่นเวยกล่าวปฏิเสธ คิดว่านางไม่รู้หรือว่าเขาคิดอะไรอยู่ ผีทะเลจิตใจชั่วร้าย เมื่อคืนทรมานนางครึ่งค่อนคืน ตอนนี้นางไม่มีกระจิตกระใจจะคิดบัญชีเขา เหอะ รอก่อนเถอะ
“ข้ารับปากจากใจจริง จะไม่รบกวนฮูหยินแน่นอน” สวีโย่วรีบรับปาก
เสิ่นเวยเชื่อเขาก็บ้าแล้ว คิ้วงามตั้งขึ้น กล่าวด้วยความโมโห “ข้าจะบอกอะไรท่านให้สวีโย่ว แต่งข้าได้ก็ถือเป็นบุญสูงสุดในชีวิตท่านแล้ว ด้วยปัญหาจุกจิกมากมายในจวนท่าน นอกจากข้าแล้วยังจะมีใครทนอยู่ในนรกนี้ของท่านได้อีก หลังจากนี้ท่านก็ทำดีกับข้าหน่อย ได้ยินแล้วหรือยัง มิเช่นนั้น หึ!” ท่าทางแก้มป่องของนางเหมือนกระรอกน้อยอย่างถึงที่สุด
สวีโย่วอารมณ์ดีแล้ว เหตุใดเวยเวยของเขาถึงน่ารักเพียงนี้ “ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว ข้ารับปากว่าจะทำดีต่อฮูหยิน เมื่อคืนฮูหยินสัมผัสได้ถึงความจริงใจของข้าได้แล้วมิใช่หรือ” สวีโย่วกล่าวอย่างจริงจัง “หากว่าไม่พอ ข้ายังสามารถทุ่มเทแรงได้อีก” พูดพลางก็กำลังจะถอดสายคาดเอวของตน
เสิ่นเวยเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง สะบัดรองเท้าบนเท้าออกไปทันที กระแทกอกของสวีโย่วพอดี “เล่นลูกไม้ให้น้อยหน่อย ตอนบ่ายยังต้องเข้าวังไปน้อมสำนึกพระกรุณาธิคุณ อ้อจริงสิ ฝ่าบาทผู้อาวุโสคงจะไม่สมองกลวงเหมือนพ่อท่านหรอกนะ ในวังหลังมีใครคิดจะขุดหลุมฝังท่านเหมือนแม่เลี้ยงท่านหรือไม่”
มุมปากสวีโย่วกระตุก เด็กคนนี้ปากร้ายจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่พูดกลับเป็นเรื่องจริง เสด็จพ่อของเขาสมองกลวงจริงๆ มิใช่หรือ แม่เลี้ยงเขาก็คิดจะขุดหลุมฝังเขาอยู่ทุกเมื่อมิใช่หรือ ฮูหยินฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ เข้าเรือนวันแรกก็รู้ธาตุแท้ของคนทั้งสองนี้อย่างชัดเจนแล้ว
“ฮูหยินวางใจเถิด ในวังไม่มีคนไม่ดูตาม้าตาเรือเหล่านั้นหรอก ฝ่าบาทก็ยิ่งไม่ต้องเป็นกังวล” สวี
โย่วกล่าว บางครั้งเขาก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง ชัดเจนว่าเสด็จพ่อเขาเป็นพี่มารดาเดียวกับฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาสามารถมีบุคลิกของฮ่องเต้เช่นนั้น เสด็จพ่อของเขาเทียบฝ่าบาทไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรจะด้อยไปกว่ามากนักมิใช่หรือ ครึ่งหนึ่งก็ควรจะเทียบได้มิใช่หรือ
แต่ในความเป็นจริงเล่า เสด็จพ่อของเขาไม่เพียงแต่มีความรู้ด้านราชการพื้นๆ สามัญ ซ้ำยังหูเบา ถูกสตรีควบคุมอยู่ในมือหลายสิบปี เขาทำได้เพียงคาดเดาว่าตอนที่เสด็จย่าคลอดเสด็จพ่อออกมาเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรหรือไม่ หรือว่าเด็กถูกคนสับเปลี่ยน
คราวนี้เสิ่นเวยจึงวางใจแล้ว นางไม่อยากฉีกหน้าจวนอ๋องเสร็จแล้วยังต้องไปฉีกหน้าพระราชวังอีก เรื่องฉีกหน้าข่มขู่พรรณ์นั้นน่ารำคาญที่สุด นางยกขาถีบรองเท้าอีกข้างให้หลุด จากนั้นจึงดึงปิ่นหยกเขียวบนศีรษะส่งให้หลีฮวา มุดเข้าไปนอนต่อในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว
สวีโย่วถูกนางกั้นไว้นอกม่านก็คับแค้นใจ เขาคิดเพียงแค่จะนอนเป็นเพื่อนเฉยๆ จริงๆ เด็กคนนี้ก็คิดมาก แต่เมื่อด้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเสิ่นเวยที่ดังออกมาจากในม่าน มือที่ยกขึ้นของสวีโย่วก็วางลงอีกครั้ง ช่างเถอะ ปล่อยให้เด็กคนนี้นอนหลับสักตื่นเถอะ เมื่อคืนทำนางเหนื่อยเกินไปจริงๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าหลับไปนานเพียงใด เสิ่นเวยตื่นแล้ว นางบิดขี้เกียจถูหน้าอยู่บนหมอน รู้สึกสบายตัวยิ่งนัก
“กี่ยามแล้ว” นางลุกขึ้นมองไปข้างนอกแล้วกล่าวถาม เสียงมีความอ่อนนุ่มอย่างคนเพิ่งตื่นนอน
“ตื่นแล้วหรือ” เสียงของสวีโย่วดังขึ้นมา
เสิ่นเวยเปิดม่านเตียงออกชะโงกหน้าออกไปมองข้างนอก เห็นว่าในห้องไม่มีแม้แต่คนรับใช้เลยสักคนเดียว สวีโย่วนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง กำลังไขว่ห้าง ในมือถือหนังสือหนึ่งเล่ม แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างเคลือบแสงทองหนึ่งชั้นลงบนผิวของสวีโย่ว ใบหน้าด้านข้างของสวีโย่วท่ามกลางแสงและเงางดงามราวกับเทพเทวดา ความรู้สึกของเสิ่นเวยก็ลอยขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ยังดีที่มารตนนี้มีหน้าตาที่ดูดี มิเช่นนั้นนางก็คงจะขาดทุนตาย
“ท่านไม่ได้ออกไปนี่” เสิ่นเวยกล่าวอย่างประหลาดใจ ดูท่าทางนั่นของเขาน่าจะนั่งอยู่ในห้องนานแล้ว
สวีโย่วไม่ตอบ แต่กลับกล่าว “ลุกขึ้นเถอะ ควรกินข้าวเที่ยงได้แล้ว” เขาวางหนังสือลงข้างๆ ลุกขึ้นช่วยเสิ่นเวยเรียกสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติ
กินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว เสิ่นเวยก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นางเป็นจวิ้นจู่ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ของราชสำนัก เข้าวังน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณย่อมต้องสวมชุดของจวิ้นจู่ แม้แต่เครื่องประดับที่สวมศีรษะก็ต้องพิถีพิถัน โชคดีที่มีแม่นมมั่ว เสิ่นเวยไม่ต้องกังวลแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นเวยที่อยู่ในเครื่องแต่งกายชุดใหญ่ของจวิ้นจู่ดูงดงามตระการตา ท่าทีน่าสงสารที่นางแสดงออกมาอย่างสุดความสามารถก่อนหน้านี้ก็ลดลงสามส่วน เสิ่นเวยรู้สึกไม่ดี เมื่อไรก็ตามที่อ่อนแอเปราะบางจึงจะไม่ขวางหูขวางตาผู้อื่น วังหลังเป็นสถานที่ที่ผลิตโรคประสาท ด้วยเหตุนี้นางจึงเก็บพลังที่ออกมาจากร่าง แล้วจึงลุกขึ้นยืนด้วยความพอใจ
จวนจิ้นอ๋องอยู่ห่างจากพระราชวังระยะทางหนึ่ง สวีโย่วนั่งรถม้าไปกับเสิ่นเวย ความจริงแล้วนอกจากวันที่รับตัวเจ้าสาววันนั้น สวีโย่วก็ไม่เคยขี่ม้าในเมืองหลวงมาก่อน
ในรถม้าเสิ่นเวยนิ่งเงียบไม่พูดจา ดวงตาที่ดำสนิทเหลือบมองสวีโย่วแวบหนึ่งแล้วจึงละสายตาออกมา นางกำลังคิดว่าเหตุใดนางถึงหลงใหลสวีโย่วคนชั่วผู้นี้เข้าแล้ว คิดเหตุผลนับไม่ถ้วนสุดท้ายก็กลับมาที่ข้อแรก หมอนี่หน้าตาดี สองชาติรวมกันแล้วนางยังไม่เคยเห็นใครหน้าตาดีกว่าสวีโย่ว นางสามารถรับปากได้ว่าการสมรสครั้งนี้เหตุผลใหญ่อย่างยิ่งยังคงเป็นเพราะนางชอบหน้าใบนั้นของสวีโย่ว
สวีโย่วยังคิดว่านางตื่นเต้น กล่าวปลอบ “พวกเราไปนั่งในตำหนักฮองเฮาก่อนสักครู่ ฮองเฮาเป็นคนใจกว้างที่สุด ไม่อาจทำให้เจ้าลำบากใจ หากฝ่าบาทว่าง พวกเราก็เข้าไปน้อมสำนักพระมหากรุณาธิคุณ หากไม่ว่างเรียกพวกเราเข้าเฝ้า เช่นนั้นพวกเราก็กลับจวนได้เลย
เสิ่นเวยพยักหน้าบอกเป็นนัยว่าเข้าใจ
ไม่นานนักก็ถึงหน้าประตูพระราชวัง สวีโย่วประคองเสิ่นเวยลงจากรถม้า แม้ทหารองครักษ์หน้าประตูวังจะไม่รู้จักสวีโย่วและเสิ่นเวย แต่สัญลักษณ์จวนจิ้นอ๋องบนรถม้ายังคงรู้จัก ยิ่งต้องรู้จักเครื่องแต่งกายของจวิ้นอ๋องและจวิ้นจู่บนร่างพวกเขา มิหนำซ้ำเร็วอย่างยิ่งข้างในก็มีขันทีอ้วนหนึ่งคนรีบเข้ามา ต้อนรับคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มทั่วทั้งใบหน้า “คุณชายใหญ่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ เหนียงเหนียงให้บ่าวออกมาต้อนรับท่านทั้งสอง”
จริงสิ ราชทินนามของเสิ่นเวยก็คือจยาฮุ่ย มีราชทินนามแต่กลับไม่มีที่ดินพระราชทาน เพียงเท่านี้เสิ่นเวยก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว จวิ้นจู่น่าเกรงขามกว่าขุนนางหญิงขั้นสี่มาก ในเมื่อแต่งงานกับสวีโย่วแล้ว ภายหลังก็ต้องคบค้าสมาคมกับผู้มีตำแหน่งสูงอย่างไม่อาจเลี่ยง ตำแหน่งขุนนางของพ่อนางไม่เพียงพอจริงๆ ที่นางต้องการเป็นเพียงชื่อเสียงที่โด่งดัง สำหรับที่ดินพระราชทานทรัพย์สินแค่นนั้นนางไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ
ตำแหน่งจวิ้นอ๋องของสวีโย่วนี้กลับมีที่ดินพระราชทานหนึ่งแห่ง เป็นเมืองเล็กๆ ชื่อ ‘ซาผิง’ ทางตอนใต้ แม้ที่ดินพระราชทานจะไม่ใหญ่ แต่ก็ใกล้ท่าเรือ เรือที่ไปมามีเยอะอย่างยิ่ง เจริญอย่างถึงที่สุด จักรพรรดิยงเซวียนทรงมีพระกรุณาต่อหลานชายผู้นี้จริงๆ
“หลินกงกงนี่เอง! เหนียงเหนียงสบายดีหรือไม่” สวีโย่วพยักหน้าให้ขันทีผู้นั้น
“ดี ดี ฮองเฮาเหนียงเหนียงสบายดี ช่วงนี้อาการป่วยของท่านไท่จื่อดีขึ้นแล้ว เหนียงเหนียงดีใจยิ่งนัก” ดวงตาของขันทีหลินยิ้มจนเป็นขีด
ขันทีหลินผู้นี้เป็นขันทีที่มีเกียรติประจำองค์ฮองเฮา แม้จะไม่ได้จัดอยู่ในลำดับที่หนึ่ง แต่สามอันดับแรกก็มีตำแหน่งของเขาอยู่ องครักษ์เห็นว่าเป็นขันทีใหญ่ในตำหนักฮองเฮาเหนียงเหนียงมารับด้วยตัวเอง ชั่วขณะก็นึกได้ว่านี่คือใคร ย่อมไม่กล้าขวางทาง สวีโย่วกับเสิ่นเวยจึงเดินตามหลังขันทีหลินเข้าไปยังตำหนักฮองเฮา
พระมารดาของจักรพรรดิยงเซวียน ก็คือเสด็จย่าของสวีโย่วที่จากไปก่อนวัยอันควร ปีที่จักรพรรดิยงเซวียนราชาภิเษกก็สวรรคตแล้ว ดังนั้นในวังหลังจึงมีฮองเฮาเป็นใหญ่
ฮองเฮาแซ่เวย ฐานะไม่สูงนัก อย่างน้อยก็เทียบเหยียนกุ้ยเฟยที่มีฐานะเดิมอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ผิงหนานและฉินซูเฟยที่มีฐานะเดิมในจวนเสนาบดีไม่ได้
ตอนที่สวีโย่วกับเสิ่นเวยมาถึงตำหนักคุนหนิง ก็เห็นว่าในตำหนักไม่ได้มีเพียงฮองเฮาเหนียงเหนียงพระองค์เดียว ยังมีหญิงงามผู้สุภาพสูงส่งสองคนนั่งอยู่ด้วย
“ถวายความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียง ถวายความเคารพกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ซูเฟยเหนียงเหนียง” เสิ่นเวยโขกศีรษะอยู่ข้างหลังสวีโย่ว ฮองเฮานางเคยเห็นแล้ว ครั้งก่อนที่พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่นางตามท่านป้าสะใภ้ใหญ่เข้าวังมาน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณก็ได้พบฮองเฮาหนึ่งครั้งแล้ว คนแปลกหน้าสองคนนี้ข้างๆ แท้จริงแล้วก็คือเหยียนกุ้ยเฟยและฉินซูเฟยนี่เอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้นเถิด เป็นคนบ้านเดียวกัน จะเกรงใจไปไย” ฮองเฮาเรียกซ้ำไปซ้ำมา ปากก็กล่าวหยอกล้อ “ในที่สุดก็ได้เห็นคุณชายใหญ่ของพวกเราแต่งภรรยาแล้ว จยาฮุ่ยมานี่ ให้ป้าดูหน่อย”
“เพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียง จยาฮุ่ยรับคำสั่ง” ฮองเฮาสามารถเรียกตัวพระองค์เองว่าเสด็จป้าได้ แต่เสิ่นเวยกลับไม่โง่จนเรียกเช่นนั้นจริงๆ ความน่าเกรงขามของราชนิกุลไม่อาจดูหมิ่นได้ ไม่แน่ว่านางอาจจะพูดไปตามมารยาทก็เท่านั้น หากนางคิดเป็นจริงเช่นนั้นก็คงสมองกลวงแล้วจริงๆ
“ดูสิ ดูสิ จยาฮุ่ยเด็กคนนี้หน้าตางดงามจริงๆ อาโย่วสายตาดียิ่งนัก” ฮองเฮาเหนียงเหนียงดึงเสิ่นเวยเข้ามาเอ่ยปากชมไม่หยุด
เสิ่นเวยแสดงท่าทีเขินอายออกมาอย่างถูกกาลเทศะ กล่าวเสียงเบา “เหนียงเหนียงกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ ผอมแห้งอย่างจยาฮุ่ย ไหนเลยจะสง่างามสูงศักดิ์เช่นเหนียงเหนียงทั้งหลาย เหนียงเหนียงอย่าได้ชมจยาฮุ่ยเลยเพคะ”
“โห เด็กคนนี้พูดจากเป็นยิ่งนัก จวนจงอู่โหวไม่ใช่ตั้งตระกูลจากกองทัพหรือ ฟังว่าคุณหนูแต่ละคนในจวนต่างก็เป็นศิลปะการต่อสู้ น้องชายผู้นั้นของข้ายังโชคดีที่ลูกน้องจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ให้อภัย” หญิงงามผู้นั้นที่นั่งอยู่ทางฝั่งขวามองเสิ่นเวยกล่าวอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เสิ่นเวยเข้าใจทันทีว่าคนผู้นี้คือฉินซูเฟย เพียงแต่นางหมายความว่าอย่างไร ระบายอารมณ์ให้น้องชายตนกับตัวเองงั้นหรือ เลือกวันนี้ ใช่ไม่เอาสมองมาด้วยหรือไม่
ตอนที่ 217-2 เข้าวังน้อมสำนึกพระมหากร...
ความคิดนี้อยู่ในสมองเสิ่นเวยเพียงแค่ชั่ววูบ เหลือบมองสวีโย่วอย่างเงียบๆ ปราดหนึ่ง เจตนานั้นไม่พูดก็รู้ ไม่ใช่บอกว่าในวังหลังไม่มีคนไม่ดูตาม้าตาเรือหรอกหรือ แล้วคนตรงหน้าผู้นี้คืออะไร
“ขอบคุณซูเฟยเหนียงเหนียงที่ชื่นชม กราบทูลเหนียงเหนียงให้ทราบว่า แม้จวนจงอู่โหวจะตั้งตระกูลจากกองทัพ แต่พี่สาวน้องสาวในตระกูลนอกจากจยาฮุ่ยแล้วก็มีทักษะหมัดเท้าปักบุปผาหลายกระบวนท่า พวกนางไม่ชำนาญวิทยายุทธ์ ผู้อาสุโสกล่าวแล้วว่า คนปกป้องแว่นแคว้นมีบุรุษก็เพียงพอแล้ว สตรีสุภาพคงความงามไว้จะดีกว่า จยาฮุ่ยฝึกยุทธ์ก็เพราะว่าตั้งแต่เล็กสุขภาพไม่ดี ผู้อาวุโสในบ้านสงสารจึงอนุญาตให้จยาฮุ่ยฝึกเล็กน้อย”
เสิ่นเวยกล่าวด้วยความตั้งใจมากเป็นพิเศษ “ส่วนน้องชายของเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงท่านทราบข่าวลือในเมืองหลวงของน้องชายท่านหรือไม่ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พูดว่าคุณชายน้อยตระกูลเสนาบดีฉินศีรษะมีหนองไหลเท้ามีรอยแผลยาว จากต้นตอก็เละจนไม่มียารักษา แต่ศักดิ์ศรีของพ่อแม่พี่น้องถูกทำให้เสื่อมเสียแล้ว จยาฮุ่ยเคยบังเอิญพบเขาลวนลามหญิงสาวชาวบ้านข้างถนน จยาฮุ่ยคิดว่าคุณชายน้อยฉินอย่างไรเสียก็เป็นคุณชายน้อยของเสนาบดีฉิน เสนาบดีฉินก็เป็นขุนนางร่วมราชสำนักกับผู้อาวุโสทั้งหลายของจยาฮุ่ย ไม่ว่าอย่างไรก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันหลายส่วนมิใช่หรือ ดังนั้นจยาฮุ่ยจึงสั่งคนให้ตีบ่าวทั้งหลายที่ยุยงคุณชายน้อย ไม่ได้แตะต้องคุณชายน้อยแม้แต่นิ้วเดียว ซูเฟยเหนียงเหนียงอันที่จริงแล้วท่านต้องขอบคุณจยาฮุ่ยนะเพคะ”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าบนใบหน้านางก็จริงใจยิ่งนัก ขมวดคิ้วอย่างคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “แต่ว่าซูเฟยเหนียงเหนียงน้องชายท่านไม่ค่อยกล้าหาญจริงๆ ไม่ได้แตะต้องเขาแม้แต่ปลายนิ้วเขาก็หวาดกลัวจนป่วยแล้ว ห่างไกลจากคุณชายสี่จวนอ๋องของพวกเรานัก เป็นคุณชายตระกูลร่ำรวยเหมือนกัน คุณชายสี่ของพวกเราเก่งยิ่งนัก เมื่อวันก่อนไม่รู้ว่าถูกใครต่อยตีมา บาดเจ็บสาหัส พักรักษาตัวอยู่สามวันในจวนก็กระโดดโลดเต้นออกจากบ้านไปแก้แค้นคนแล้ว เช้าวันนี้จยาฮุ่ยมอบดาบให้เขาหนึ่งเล่ม เขาไม่ตกใจ ซ้ำยังดีใจยิ่งนัก! คุณชายน้อยฉินต้องเลียนแบบคุณชายสี่ของพวกเราเสียแล้วจริงๆ!”
ในตำหนักเงียบสงัดอย่างถึงที่สุด มีเพียงเสียงดีใจของเสิ่นเวยดังสะท้อนอยู่ในหูของคนทุกคน ฮองเฮาเหนียงเหนียงมองจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ด้วยดวงตาโตที่กะพริบวาบ สีหน้าบนใบหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง! ครั้งก่อนที่เจอแม่นางผู้นี้ก็ปกติดีนี่!
ซูเฟยเหนียงเหนียงโมโหจนควันขึ้นศีรษะ ชี้เสิ่นเวยพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
เหยียนกุ้ยเฟยผู้นั้นที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายกลับหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งครา “เป็นเด็กที่ซื่อสัตย์จริงๆ เหมือนบุตรสาวโง่เขลาผู้นั้นของเขา ถูกใจข้ายิ่งนัก มาๆๆ กำไลมุกเคลือบเงาเส้นนี้ข้าใส่มาหลายปีแล้ว วันนี้มอบให้เจ้าแล้วกัน”
เสิ่นเวยรับเข้ามาด้วยความเคารพ “จยาฮุ่ยขอบคุณกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงด้านบนก็ได้สติกลับมา กล่าวกับกุ้ยกูกูนางกำนัลใหญ่ติดตัวประจำพระองค์ “รีบไปเอาของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่มา” จากนั้นจึงหันหน้ากล่าวกับเสิ่นเวยด้วยความตำหนิ “แม้จะพูดความจริง แต่ก็ไม่อาจพูดเช่นนี้ ดูสิเจ้าทำซูเฟยตกใจแล้ว ยังไม่รีบเข้าไปขอโทษอีก”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงตั้งใจเปลี่ยนคำว่าโกรธเป็นตกใจ นางดีใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นซูเฟยเสียหน้า หลายปีมานี้ซูเฟยอาศัยพ่อผู้เป็นท่านเสนาบดีของนาง ต่อหน้าลับหลังขัดขาตนไปมากน้อยเพียงใด องค์ชายรองที่นางให้กำเนิดแย่งรัศมีไท่จื่อของตนไปมากน้อยเพียงใด ประโยคเดียวของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ช่างทำให้คนมีความสุขมากจริงๆ! สายตาที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงมองเสิ่นเวยก็ยิ่งเมตตามากขึ้น
เสิ่นเวยย่อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น “ซูเฟยเหนียงเหนียงท่านอย่าได้โมโห จยาฮุ่ยโง่เขลา พูดจาดีๆ ไม่เป็น ท่านอย่าได้โกรธจยาฮุ่ยเลยเพคะ! แต่จยาฮุ่ยพูดล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่พูดเท็จแม้แต่ประโยคเดียว แม้น้องชายของท่านจะไม่ได้ความ แต่ฟังว่าองค์ชายรองมีอนาคตอย่างยิ่ง ว่ากันว่าเขามีความสามารถยิ่งกว่าท่านไท่จื่อเสียอีก”
ใครบอกว่าจยาฮุ่ยของพวกเราพูดจาไม่เป็น ดูสิ ประโยคเดียวไม่เพียงแต่ทำให้ซูเฟยเหนียงเหนียงตกใจ ยังทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงพูดไม่ออกอีกด้วย แต่คนก่อเรื่องยังมีท่าทางจริงใจอย่างถึงที่สุดอยู่เลย
“เจ้า เจ้าบังอาจนัก! องค์ชายรองกับท่านไท่จื่อเป็นคนที่เจ้าจะวิจารณ์ได้หรือ” ซูเฟยเหนียงเหนียงตะโกนเสียงต่ำ
เสิ่นเวยตกใจในชั่วขณะ เบ้าตาแดงก่ำทันที “ข้า ข้า จยาฮุ่ยไม่ได้วิจารณ์ เพียงแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง” นางหลบไปอยู่ข้างหลังสวีโย่วทันที ก้มหน้าไม่กล้าออกมาแล้ว
คิ้วของฮองเฮาขมวดมุ่นแล้ว “ซูเฟยทำอะไร เจ้าถือสาอะไรกับเด็กคนหนึ่ง จยาฮุ่ยเพียงแค่พูดความจริง เจ้าขู่นางทำไม”
สวีโย่วเองก็ไม่มีความสุขแล้ว แม้จะรู้ว่าภรรยาของเขาเล่นละคร แต่ดวงตาที่แดงก่ำ ท่าทางขลาดกลัวนั้นยังคงทำให้เขาสงสารอย่างถึงที่สุด
“ซูเฟยเหนียงเหนียงทะนงตนยิ่งนัก! ทูลถามฮูหยินของกระหม่อมพูดผิดตรงไหน แม้ว่าองค์ชายรองกับท่านไท่จื่อจะสูงศักดิ์ แต่ในทางส่วนตัวแล้วก็ยังต้องเรียกกระหม่อมว่าพี่มิใช่หรือ ภรรยาของกระหม่อมเป็นถึงพี่สะใภ้พูดความจริงหนึ่งประโยคเหตุใดถึงกลายเป็นวิจารณ์ไปเสียเล่า ข้อกล่าวหานี้ใหญ่เกินไปเล็กน้อย กระหม่อมคงทำได้เพียงให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสิน”
แววตาที่เย็นเยียบของสวีโย่วทำให้ซูเฟยได้สติกลับมาอย่างว่องไว คิดว่าหากเรื่องนี้วุ่นวายไปจนถึงหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ด้วยระดับความโปรดปรานที่คุณชายใหญ่ผู้นี้ได้รับ ตนจะต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน แต่หากจะให้นางก้มหัว นางก็ลดตัวไม่ลง ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไม่อาจเลือก เสียใจขึ้นมาเงียบๆ ต้องโทษแม่นางคนเดียว เข้าวังมาร้องทุกข์ว่าน้องชายถูกรังแกมากเพียงใด ทำให้ตนโมโหจนขาดสติไปชั่วขณะ
ฮองเฮาหวังว่าจะให้เรื่องวุ่นวายไปถึงหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท จะได้ฆ่าความกำแหงของซูเฟยเสีย อย่างดีที่สุดก็จะได้โยงไปถึงตัวองค์ชายรอง
“เอ๋ คุยอะไรถึงได้เสียงดังเพียงนี้ บ่าวถวายความเคารพฮองเฮาเหนียง กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ซูเฟยเหนียงเหนียงพะยะค่ะ” จางเฉวียนขันทีใหญ่ประจำองค์จักรพรรดิยงเซวียนยิ้มแย้มเดินเข้ามา คล้ายมองไม่เห็นบรรยากาศตึงเครียดในตำหนัก “คุณชายใหญ่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ บ่าวคารวะท่านทั้งสอง”
แววตาของฮองเฮากะพริบวาบ กล่าวถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดหรือไม่”
“มีสิพะยะค่ะ ฝ่าบาทร้อนใจอยากดื่มชาของภรรยาหลานชาย จึงให้บ่าวมาเร่งรัด ให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงปล่อยคนเร็วหน่อย” จาวเฉวียนกล่าวพลางหัวเราะ
“ตายจริง ฝ่าบาทใจร้อนยิ่งนัก อาโย่ว จยาฮุ่ย พวกเจ้ารีบไปเถอะ” ฮองเฮากล่าวกับสวีโย่วเสิ่นเวย
ด้วยเหตุนี้ สวีโย่วกับเสิ่นเวยจึงคำนับแล้วกล่าวลา ตามจางเฉวียนไปพบจักรพรรดิยงเซวียนแล้ว
เมื่อเขาไป คิ้วของฮองเฮาก็ขมวดมุ่น มองซูเฟยแล้วกล่าว “ซูเฟย ไม่ใช่ข้าว่าเจ้า นิสัยใจร้อนของเจ้าก็ควรแก้ได้แล้ว เจ้าว่าพระชายาที่ยิ่งใหญ่เช่นเจ้า โมโหเด็กคนหนึ่งทำไมกัน จยาฮุ่ยเพิ่งจะอายุสิบห้า เด็กกว่าองค์ชายรองหลายปี เจ้าคิดว่าเจ้า… เฮ้อ!” นางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
ซูเฟยลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เชิดหน้า “ขออภัยท่านพี่ฮองเฮา ในวังข้ายังมีเรื่องให้ต้องจัดการ ขอตัวลา” พูดจบก็หันหลังกลับเดินออกไป
ทำฮองเฮาโมโห หายใจหอบถี่กระชั้น
มุมปากเหยียนกุ้ยเฟยปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยาม ลุกขึ้นกล่าวลาเช่นกัน “ไม่มีอะไรแล้ว ข้าเองก็ขอตัวลา” ประคองมือนางกำนัล บิดสะโพกเดินออกไปแล้ว
ฮองเฮาโกรธจนกัดฟันกรอด แต่ละคนวางมาดใหญ่ยิ่งนัก ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน! นางกำหมัดแน่น
“เด็กคนนั้นพูดเช่นนั้นจริงๆ หรือ” จักรพรรดิยงเซวียนที่เดินไปเดินมาในห้องหนังสือส่วนพระองค์หยุดฝีเท้า
“พะยะค่ะ!” ทหารลับขานรับเสียงเบา
มุมปากของจักรพรรดิยงเซวียนกระตุก คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เป็นคนที่เสียเปรียบไม่ได้ ดูสิพูดเช่นนั้น ราวกับเหล็กแหลม แทงเข้าไปในจิตใจคน ซูเฟยก็เหมือนกัน อาโย่วพาภรรยาเข้ามาในวังครั้งแรกนางก็สร้างความรำคาญใจให้แล้ว โตเพียงนี้แล้วยังไปทำให้เด็กลำบากใจ ถูกตอกกลับเป็นอย่างไรเล่า สมน้ำหน้า!
เทียบกับฮองเฮาเหนียงเหนียงและคนอื่นๆ จักรพรรดิยงเซวียนรู้ธาตุแท้ของเสิ่นเวย นั่นคือเด็กน้อยที่ฉลาดซุกซน มิเช่นนั้นหลานชายที่ไม่เห็นใครในสายตาผู้นั้นของเขาจะให้ความสำคัญจนอดใจรอแต่งกลับบ้านไม่ได้เช่นนั้นหรือ สตรีใสซื่อไร้เดียงสางั้นหรือ เหอะๆ เด็กคนนี้แสดงเก่งจริงๆ
เข้าห้องหนังสือส่วนพระองค์แล้ว สวีโย่วก็พาเสิ่นเวยไปโขกศีรษะคำนับจักรพรรดิยงเซวียน ยกน้ำชาหนึ่งแก้ว หลังจากนั้นจักรพรรดิยงเซวียนก็โบกมือให้พวกเขาลุกขึ้น
“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ ฟังว่าเจ้าไปเล่นซนที่ตำหนังคุนหนิงมาหรือ ทำซูเฟยโมโหแล้ว ทั้งยังวิจารณ์องค์ชายรองกับไท่จื่อของเราอีก ควรลงโทษอย่างไรดี” จักรพรรดิยงเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เสิ่นเวยใจเต้นเล็กน้อย โอ้โห เรื่องที่เกิดที่ตำหนักคุนหนิงฝั่งนั้น ฝ่าบาทฝั่งนี้ก็ทราบแล้ว ดูท่าแล้วจักรพรรดิยงเซวียนจะไม่เหมือนพ่อของมารตนนี้ที่ไอคิวต่ำกว่าระดับตลอดทั้งปีเช่นนั้นจริงๆ
นางลอบมองสีหน้าของจักรพรรดิยงเซวียนอย่างระมัดระวังปราดหนึ่ง เห็นว่าแม้เขาจะทำหน้าดุ แต่ในแววตากลับมีรอยยิ้มเล็กน้อย จึงวางใจลง กล่าวด้วยความมั่นใจ “นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณชายใหญ่หรอกหรือ ก่อนเข้าวังเขาก็รับปากซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเหนียงเหนียงแต่ละคนในวังหลังนิสัยดีอย่างยิ่ง ประพฤติตนเมตตาเฉลียวฉลาด ไม่มีคนที่หัวใหญ่ไร้สมองเหล่านั้น ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ซูเฟยเหนียงเหนียงจะก่อกบฏ จยาฮุ่ยไหนเลยจะทำนางโกรธ เห็นชัดๆ ว่าพูดความจริง แม้ว่าฝ่าบาทจะอยู่ต่อหน้าจยาฮุ่ยก็จะพูดเช่นนี้ น้องชายของซูเฟยเป็นคนหื่นกามรังแกบุรุษข่มขู่สตรี จยาฮุ่ยเองก็ไม่ได้ตีเขาจริงๆ ท่านก็รู้ความสามารถของจยาฮุ่ย หากอยากฆ่าเขาให้ตาย หญ้าหน้าหลุมศพของเขาก็คงยาวหมดแล้ว”
เสิ่นเวยเบ้ปากกล่าวต่อ “จยาฮุ่ยต้องโต้เถียงก็เพราะว่าหลานชายท่านปกป้องภรรยาไม่ได้มิใช่หรือ เขาพูดจาโง่เขลา ในใจมีคำพูดแต่พูดไม่ออก ทำได้เพียงใช้สายตาถลึงมองคน มีประโยชน์อะไร ดูสิ ดูสิ ร่างกายก็ผอมแห้ง หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าได้รับความไม่เป็นธรรมากน้อยเพียงใด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว คุณชายใหญ่แต่งงานกับข้าจยาฮุ่ย ท่านก็รู้ จยาฮุ่ยร้ายกาจ ทั้งยังรักพวกพ้อง คุณชายใหญ่ปกป้องภรรยาไม่ได้ เช่นนั้นภรรยาก็จะปกป้องเขาเอง! ฝ่าบาทวางใจ มีจยาฮุ่ยอยู่ ไม่ว่าใครก็กลั่นแกล้งคุณชายใหญ่ไม่ได้”
เสิ่นเวยรับปากสาบาน จักรพรรดิยงเซวียนแทบจะพ่นชาออกมา ชี้เสิ่นเวย ครู่ใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองกลับมาได้ “เจ้ามันเด็กแก่น คุณชายใหญ่ปกป้องภรรยาไม่ได้อะไรกัน เขาปกป้องเจ้าไม่ได้หรือ” แม้ปากจะพูดเช่นนี้ ในใจกลับชื่นชมยิ่งนัก ดี! ภรรยาผู้นี้ของอาโย่วนับได้ว่าแต่งมาไม่เสียเปล่า รู้จักปกป้องผู้ชายของตัวเองจึงจะถือว่าเป็นภรรยาที่ดี!
ดวงตาจักรพรรดิยงเซวียนกะพริบวาบ นึกถึงภรรยาคนแรกขึ้นมา ชั่วพริบตานางก็จากไปสิบกว่าปีแล้ว!
บนใบหน้าของสวีโย่วสะเทือนใจเล็กน้อย หลายปีเพียงนี้แล้ว มีใครคิดจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง
มีเพียงนาง มีนางผู้เดียวเท่านั้น!
ปากบอกรังเกียจ บอกว่ารำคาญเขา ให้เขาออกไปห่างๆ แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องกลับแยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งขึ้นมาข้างหน้า ปกป้องเขา!
ในใจสวีโย่วร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าควรจะแสดงความรู้สึกของตนอย่างไร เขารู้สึกว่า ชั่วชีวิตนี้หากไม่มอบของดีๆ ทั้งหมดไว้ตรงหน้านาง ในใจตนก็คงจะไม่สงบสุข
น้องสี่แซ่เสิ่น เวยเวย เจ้าก็คือผู้กอบกู้ที่เทพเทวัญทั้งสวรรค์ส่งมาให้ข้าใช่หรือไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น