ท่านเทพมาแล้ว 217-220
บทที่ 217 เจ้าแย่มากหรือ?
โดย
Ink Stone_Romance
ประตูห้องหลิวหยางเปิดกว้างอยู่ เขตพลังก็เปิดแล้ว เมื่อมองผ่านประตูห้องเข้าไป สามารถเห็นเขากำลังนั่งขัดสมาธิเขียนยันต์อยู่หลังโต๊ะ
“อาจารย์”
มู่จิ่วแอบอยู่หลังขอบประตูพลางเอ่ยเสียงเบา
หลิวหยางมองนางก่อนพูด “มาแล้วก็เข้ามา อาจารย์ไม่เคยสอนเจ้าว่า หญิงสาวยังไม่ออกเรือนกระทำการใดไม่ควรกระมิดกระเมี้ยนหรือ?”
มู่จิ่วยิ้มแล้วเดินเข้ามา งอเข่านั่งลงตรงข้ามเขา “ข้ากลัวว่าท่านกำลังยุ่ง” จากนั้นวางว่านสิบแสนไว้ตรงหน้าเขา “มอบให้อาจารย์เจ้าค่ะ”
หลิวหยางยกริมฝีปาก วางมือจากเรื่องที่กำลังทำอยู่ หยิบดอกไม้ขึ้นมาอย่างสนใจ “สภาพไม่เลว”
มู่จิ่วยิ้มอย่างโง่งม
หลิวหยางวางดอกไม้ลง สำรวจนางภายใต้แสงไข่มุก “เจ้าผอมลง”
มู่จิ่วลูบหน้า “บนสวรรค์อาหารไม่อร่อย”
หลิวหยางลากเสียงพูด “เจ้าพามู่เสี่ยวซิงไปมิใช่หรือ?” ใช่ชื่อนี้หรือไม่? นางเป็นคนตั้งเอง
“กินไม่อร่อยเหมือนที่หงชาง” มู่จิ่วออดอ้อน “หงชางมีอาจารย์กับเหล่าศิษย์พี่ ข้าสามารถแย่งอาหารที่ชอบกินได้”
หลิวหยางหัวเราะ พริบตาสีหน้าพลันจริงจัง ก่อนพูด “เจ้าเจอเรื่องอะไรมา?”
ในตอนแรกเพื่อที่จะแต่งประวัติปลอมขึ้นมา ต้องนำดวงชะตาเกิดของนางมาแก้ไขเล็กน้อย เรื่องมากมายเขาทำนายไม่ออก ทำนายได้เพียงช่วงนี้นางไม่ค่อยดีนัก
มู่จิ่วได้ยินคำพูดนี้ของเขา รอยยิ้มก็หายไป นางขมวดคิ้วอยู่นานถึงตอบ “ข้าเจอเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง”
“ข้าอยู่ในป่าผืนหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของคุนหลุนตะวันออก ระหว่างนั้นพลังฤทธิ์พลันระเบิดออก ข้าควบคุมไม่ได้ เหมือนกับมารคลั่ง ซ้ำยังเกือบทำร้ายคน เดิมทีในป่านั้นประหลาดอยู่แล้ว และตอนนั้นข้ารู้สึกว่าพลังไม่ได้ออกมาจากป่า แต่มาจากในร่างของข้าเอง อาจารย์ ทำไมข้าถึงมีพลังฤทธิ์แปลกประหลาดขนาดนี้ได้?”
“พลังฤทธิ์ระเบิดออก?” หลิวหยางสีหน้าเคร่ง ยื่นมือไปใช้ปลายนิ้วจับชีพจรนาง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็วางลง “ไม่รู้สึกถึงพลังผิดปกติอะไร” พูดให้ชัดเจนคือไม่ต่างกับนางในเวลาปกติ
“ใช่เจ้าค่ะ มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย” มู่จิ่วมองเขา “มีคนช่วยข้ากดกลับไป มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าข้าคงตายไปนานแล้ว มันมีอยู่จริงๆ แข็งแกร่งจนน่ากลัว ข้ากลายเป็นเหมือนมารปีศาจ ข้าทำลายภูเขาหลายลูก ทั้งยังเกือบ…เกือบแทงเขาบาดเจ็บ”
“แทงใครบาดเจ็บ? ใครช่วยเจ้ากดกลับไป?” หลิวหยางถามอย่างสงสัย รู้สึกอยู่เสมอว่ามีข้อสงสัยอยู่ในคำพูดนาง
มู่จิ่วม้วนนิ้วอยู่นานกว่าจะพูด “ลู่…ลู่ยาเต้าจู่”
“ลู่ยา?!”
หลิวหยางเป็นคนสงบสุขุมผู้หนึ่ง แต่ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ก็อดเผยสีหน้าตกใจไม่ได้ “เขาอยู่ด้วยกันกับเจ้าได้อย่างไร?”
มู่จิ่วก้มหน้าลง จับนิ้วไว้พลางตอบ “เขา…เขาอยู่ที่บ้านกับข้าด้วยกันปีกว่า”
ยังอยู่ด้วยกันตั้งปีกว่า…
หลิวหยางไม่พูดสิ่งใดอยู่นาน เหลือบมองนางอย่างเย็นชาครู่หนึ่งก่อนพูดอีก “ไม่ได้มีแค่นี้ใช่หรือไม่? เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีก?”
“ยังมีเรื่องอะไรได้อีก ไม่มีแล้ว” มู่จิ่วปัดจอนผมหันไปมองกิ่งต้นท้อที่หน้าต่าง
หลิวหยางเหลือบมองนาง พูดนิ่งๆ ว่า “ไปสวรรค์ปีกว่านี้ ไม่เจอคนที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันเป็นพิเศษหรือ?”
“มีเจ้าค่ะ มีมากมาย” มู่จิ่วนับนิ้ว ตั้งแต่หลินเจี้ยนหรูถึงอิ่นเสวี่ยรั่ว จากหลิวจวิ้นถึงเหล่าสหายร่วมงาน แต่ไม่พูดถึงลู่ยา
หลิวหยางไม่รีบร้อนเปิดโปงนาง เพียงย้ายผังดวงชะตาบนโต๊ะ จากนั้นกล่าวออกมาประโยคหนึ่งทันที “เสือขาวตัวนั้นกับจิ้งจอกน้อยเป็นมาอย่างไร?”
“อาฝูข้าเก็บมา ส่วนรุ่ยเจี๋ยคือบุตรชายของราชาจิ้งจอกชิงชิว กราบลู่ยาเต้าจู่เป็นอาจารย์”
“อ้อ อาจารย์” หลิวหยางตอบอย่างไม่เร็วไม่ช้า “แบบนั้นเขาที่เป็นลูกศิษย์ทำไมไม่ตามอาจารย์ไป กลับมาตามเจ้าคนที่ไม่เกี่ยวข้อง?”
มู่จิ่วจนคำพูด
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามองเจ้าเป็นภรรยาของอาจารย์?”
มู่จิ่วสำลักน้ำลายทันที แล้วไอขึ้นมา!
เขาช่างหน้าเนื้อใจเสือเสียจริง! เลือกโจมตีตอนนางไม่ทันตั้งตัว
“ท่านพูดอะไร?” นางหน้าแดงเถือกถึงคอ ไม่รู้เพราะอายหรือเพราะไอ “เขาเป็นเทพชั้นสูง ข้าเป็นเพียงหัวเสินน้อย”
“ใครบอกว่าหัวเสินน้อยจะเป็นภรรยาของเทพผู้สูงส่งไม่ได้?” หลิวหยางมองผังดวงชะตา ก่อนพูดช้าๆ “ลูกศิษย์ของข้าหลิวหยาง แย่มากกระนั้นหรือ?” เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง “เจ้าคู่กับใครล้วนไม่แย่ อย่ามองตนเองต่ำไป”
ครั้นมู่จิ่วได้ยินคำนี้ จมูกพลันเจ็บแสบ
“ไม่มีประโยชน์แล้ว” นางก้มหน้าซ่อนดวงตาที่แสบร้อน “พวกเราแยกกันแล้ว”
หลิวหยางชะงัก “แยกกันอย่างไร?”
มู่จิ่วเล่าเรื่องกำไลม่วงทองให้ฟัง “ข้าบอกว่ารอข้าคิดได้กระจ่างก่อนค่อยไปหาเขา แต่ตอนนี้ข้าก็สับสน ข้าไม่รู้ว่าข้าชอบเขาหรือไม่ หากบอกว่าชอบ ทำไมตอนนั้นข้าถึงได้ถอดกำไลนั้นออก? เขาคิดว่าข้าไม่ควรถอดออก แต่ข้าคิดว่าไม่ได้ทำผิดอะไร แต่หากบอกว่าไม่ชอบ สองวันนี้ข้าก็เสียใจนัก ใจของข้าเหมือนแตกสลาย”
หลิวหยางจ้องนางอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “เจ้าครั้งแรก ลู่ยาก็ครั้งแรก ขัดแย้งกันเป็นเรื่องปกติ”
มู่จิ่วพยักหน้า
พวกหลิวหยางเคยชินที่จะเข้าข้างนางเสมอ
แต่นางคิดสักครู่ก็เงยหน้าขึ้นมา “อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าเป็นครั้งแรกของเขา?”
ใบหน้าหลิวหยางมีความผิดปกติพาดผ่านเล็กน้อย พริบตาเดียวก็กลับมาอบอุ่นสง่างามเหมือนตอนแรก “เพราะข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขาเป็นสหายกับเซียนหญิงที่ไหนมาก่อน”
มู่จิ่วสบายใจ แต่พลันพึมพำ “เรื่องของเขาคนอื่นไหนเลยจะรู้ชัดเจนขนาดนั้นได้? ตัวเขาเองพูดมาก่อนว่ามีเซียนหญิงมากมายชอบเขา”
“นี่เจ้ากำลังหึง?” หลิวหยางเหลือบมองนาง ไม่รอนางตอบ เขาก็พูดอีก “นิสัยแบบเขา พบเจอของวิเศษที่ชอบล้วนทนไม่ได้ อยากจะนำไปอวดทั่วทั้งฟ้าดินสักรอบ นับประสาอะไรกับเจอคนที่เขาชอบ? ข้าเดาว่าเพียงเจ้ารับปากเขาว่าจะเดินทางไปทั่วสี่ทะเลแปดทิศด้วย เขาต้องอยากยกวังชิงเสวียนทั้งวังให้เจ้าใจจะขาดแน่”
มู่จิ่วยิ่งเจ็บแปลบในใจ “ข้าไหนเลยจะคู่ควรให้เขาดีด้วยขนาดนี้”
“ตรงไหนที่ไม่คู่ควร?” หลิวหยางพูด “หากใจเขามีเจ้า เจ้าเทียบกับอะไรก็คู่ควรทั้งนั้น หากใจเขาไม่มีเจ้า เจ้าตามเขาไปทั่วหล้า ใจเขาก็ยังคงไม่มีเจ้า”
น้ำตามู่จิ่วไหลริน
หลิวหยางหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้นาง มองนางร้องไห้ไม่หยุด จากนั้นหยิบกระต่ายน้อยขนาดเท่าฝ่ามือจากในแขนเสื้อออกมาวางไว้บนมือนาง “อาจารย์หลอมเอง ให้เจ้าไว้เล่น อย่าร้องไห้เลย”
กระต่ายขนาดแค่ฝ่ามือ ขนฟูๆ เนื้อแน่นๆ ได้ยินเขาพูดแบบนี้มู่จิ่วถึงได้เห็นว่าเป็นกระต่ายดินเผา ต้องให้พลังฤทธิ์เข้าไปถึงจะมีชีวิต ดวงตาสดใสกลอกไปมา น่ารักอย่างมาก
มู่จิ่วหยุดร้องก่อนส่งยิ้ม “ขอบคุณท่านอาจารย์!”
หลิวหยางยกปากก่อนเอ่ย “ในเมื่อทางหน่วยอนุญาตลาพักแล้วก็พักผ่อนดีๆ พรุ่งนี้ข้ากับเจ้าไปสำรวจคุนหลุนตะวันออกกัน”
มู่จิ่วพยักหน้าซ้ำๆ กอดกระต่ายเดินออกไป
หลิวหยางมองไปนอกประตู ถอนหายใจเบาๆ ก่อนขมวดคิ้ว
คืนนี้เงียบสงัด
เช้าวันถัดมาได้ยินเสียงคนพูดที่ด้านล่างจึงตื่นขึ้นมา เมื่อลุกไปดูถึงรู้ว่าที่แท้เป็นรุ่ยเจี๋ยพูดคุยกับอาฝูและพวกชิงจู๋น้อยหลายคน เหล่าเด็กน้อยคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว คุยกันสองสามประโยคก็เป็นเพื่อนกันแล้ว
มู่จิ่วไม่ลืมเรื่องเดินทางไปคุนหลุนตะวันออก จึงลงมือทำโจ๊กไก่ฉีกกับใบเซียงชุน[1]คลุกเห็ดหั่นลูกเต๋า จากนั้นยกมันไปห้องซงอิ๋น
………………………………………………
[1] เซียงชุนคือสมุนไพรชนิดหนึ่ง คล้ายใบต้นฟลามิงโก้
บทที่ 218 พลังผนึก
โดย
Ink Stone_Romance
หลังกินข้าวเสร็จก็ขี่เมฆเดินทางไปคุนหลุนตะวันออก
จากอมรโคยานทวีป[1]ถึงคุนหลุนตะวันออกห่างกันหลายหมื่นลี้ จากคำบอกกล่าวระยะทางไม่ใกล้ แต่ไม่รู้เพราะในหลายพันปีนี้คุ้นเคยกับหลิวหยางนานแล้วหรือเพราะอย่างอื่น การเดินทางครั้งนี้มู่จิ่วกลับไม่รู้สึกว่าออกแรงมากมายเท่าไหร่ นางยืนบนเมฆ เห็นทิวเขาคุนหลุนตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ยาวต่อเนื่องกันไป
เมื่อมาแล้วหนึ่งครั้ง เป็นธรรมดาที่ต้องคุ้นเคยเส้นทาง
มาถึงยอดเขาที่ลู่ยาหยุดในวันนั้น มู่จิ่วชี้พื้นด้านล่างที่มองไม่เห็นก้นก่อนพูด “วันนั้นพวกเราลงไปจากที่นี่ ระหว่างทางข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ยิ่งเข้าไปในหุบเขาก็ยิ่งอาการหนักขึ้น ข้าคิดว่าถึงแม้พลังวิญญาณในป่านี้ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ข้าผิดปกติ แต่ก็ต้องเป็นเหตุกระตุ้นอย่างแน่นอน”
หลิวหยางมองเมฆหมอกด้านล่าง เรียกเมฆมาเหยียบขึ้นไป จากนั้นใช้มือจับชีพจรนาง เคลื่อนตัวลงไปอย่างช้าๆ
ทิวทัศน์รอบด้านคุ้นเคยจนเหมือนเพิ่งออกไปแล้วกลับเข้ามาใหม่
ตอนแรกมู่จิ่วยังอาการดีอยู่ แต่เมื่อมาได้ครึ่งทาง ความรู้สึกเลือดลมสั่นไหวก็เกิดขึ้นมาอีกรางๆ
หลิวหยางรู้สึกได้แล้ว จึงหยุดเมฆก่อนเอ่ย “คิดดูให้ดี เลือดลมที่เคลื่อนไหวนี้เริ่มมาจากไหน?”
มู่จิ่วรีบรวบรวมสมาธิ ก่อนตอบทันที “จากตันเถียน”
หลิวหยางจับข้อมือนางแน่น “ค่อยๆ เคลื่อนพลังไปยังชีพจรที่แขนขาทั้งสี่ ไม่ต้องเร็วไป สำรวจดูว่ามันมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไร”
มู่จิ่วพยักหน้า เคลื่อนพลังเงียบๆ ตามคำบอก
ไม่นานนักก็ถึงหุบเขาลึก มู่จิ่วจำไม่ค่อยได้ว่าเดินทางไปบ่อน้ำสามพฤกษาได้อย่างไร? จำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลิวหยางกลับยังสงบนิ่ง ลากนางเดินเลี้ยวอ้อมไปหลายลี้ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นต้นไม้ใหญ่สามต้นนั้นอยู่สุดสายตา และบึงน้ำสีดำก็ยังคงสงบเงียบเหมือนกระจก
ในวันนั้นตอนพลังฤทธิ์ของนางระเบิดออกมากลับไม่ได้กระทบถึงที่แห่งนี้!
“ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” หลิวหยางดึงนางมายืนนิ่งข้างบึงน้ำดำ
มู่จิ่วครุ่นคิดก่อนตอบ “ทำตามที่อาจารย์บอก ตอนนี้รู้สึกไม่ปั่นป่วนรุนแรงขนาดนั้นแล้ว แต่ยังมีความรู้สึกอยู่ เลือดลมล้วนพุ่งขึ้นมาจากตันเถียนของข้า กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย”
หลิวหยางปล่อยมือ ชี้ไปที่บึงน้ำสีดำ “ตอนนี้เจ้าฟาดฝ่ามือไปในบึง ไม่ต้องเก็บพลังลมปราณ”
มู่จิ่วยังหวาดกลัวอยู่บ้าง ครั้งก่อนตอนลู่ยาโจมตีบึงน้ำ ภาพที่น่าตื่นตะลึงนั้นยังปรากฏอยู่ในสายตา แต่หลังจากทำอารมณ์ให้นิ่งแล้วนางยังคงทำตาม นำพลังมาไว้ที่ฝ่ามือ ก่อนซัดไปที่บึงน้ำ
กลางบึงมีน้ำกระเซ็นขึ้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับคลื่นอันน่าตกใจที่วันนั้นลู่ยาซัดออกมาได้เลย
นางวางใจเล็กน้อย แต่จากนั้น ยังไม่ทันให้นางได้วางใจอย่างหมดจด บึงน้ำนั้นกลับค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นมา คลื่นแล้วคลื่นเล่า คลื่นยักษ์ที่เหมือนลมพายุคลั่งกระทบเข้ากับขอบบึง! ผิวน้ำของทั้งบึงส่องแสงสว่างออกมาน้อยๆ แสงสว่างสาดส่องออกมาเป็นกำแพงแสงทีละนิด ส่องขึ้นไปบนอากาศในป่า กลายเป็นไอมงคลบางๆ!
มู่จิ่วตกตะลึง!
นางกลับมีความสามารถเช่นนี้ด้วย?
แต่ทำไมนางถึงไม่มีไอสังหารอะไรออกมาเลย?!
หลิวหยางพูด “พลังวิญญาณของบึงน้ำบริสุทธิ์ เข้ากันได้อย่างมากกับพลังของเจ้า ทั้งสองผสมผสานเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงเกิดไอมงคงลขึ้นมา”
มู่จิ่วไม่เข้าใจ “แต่วันนั้นตอนลู่ยากระตุ้นบึงน้ำ พลังวิญญาณในบึงดุร้ายอย่างมาก หรือว่าพลังฤทธิ์ของเขายังไม่สามารถกำราบบึงนี้ได้?”
หลิวหยางไพล่มือพูด “พลังวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ บริสุทธิ์เท่าไหร่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังบำเพ็ญ สิ่งนี้ถือกำเนิดโดยธรรมชาติ ยังอาศัยโอกาสและวาสนามาเสริม เช่นบึงน้ำดำนี้ มันอาศัยวันคืนดูดพลังจากอาทิตย์และจันทร์จึงกลายเป็นแบบนี้”
“เช่นนั้นตัวข้าล่ะเจ้าคะ?” มู่จิ่วอดไม่ได้ถาม
“แน่นอนว่าเจ้ามีมาแต่กำเนิด” หลิวหยางไพล่มือไว้ข้างหลังพลางมองนาง ก่อนมองไปที่ไกลๆ “ตอนนี้แน่ใจได้ว่าในร่างเจ้าแท้จริงมีพลังฤทธิ์ที่ร้ายกาจอย่างมาก แต่หากไม่เจอพลังภายนอกกระตุ้น มันจะแสดงออกมาไม่ได้ เช่นตอนนี้ ข้ายังคงสัมผัสถึงอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงใช้วิธีนี้วิเคราะห์”
“แบบนั้นพลังของข้ามีมาได้อย่างไร?” มู่จิ่วยิ่งสงสัย
หลิวหยางเดินไปข้างหน้าสองก้าวก่อนพูด “มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่ง พลังถูกผนึกไว้ มีเพียงพบเจอพลังภายนอกกระตุ้นหรืออารมณ์ความรู้สึกหวั่นไหวถึงสามารถปลดปล่อยออกมาได้ สอง เจ้ามีพรสวรรค์พิเศษ เพียงข้ารู้สึกว่าข้อที่สองความเป็นไปได้น้อยนัก หากเป็นพรสวรรค์พิเศษคงไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังภายนอกมากระตุ้น”
มู่จิ่วตกตะลึง ในร่างนางมีพลังที่ถูกผนึก? ชาติก่อนนางเป็นเพียงคนทำงานธรรมดาเท่านั้น…
“ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไร?” นางถาม
หลิวหยางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า “รอข้ากลับไปตรวจสอบชาติก่อนๆ ของเจ้าก็รู้แล้ว”
มู่จิ่วรีบเดินตามไป “ข้าจะหลีกเลี่ยงพลังฤทธิ์นี้อย่างไร?”
“ตอนนี้สามารถวางใจได้ พลังนี้ซ่อนอยู่ในร่างกายเจ้าลึกมาก ในเมื่อถูกผนึกไว้ จึงไม่สามารถเคลื่อนไหวส่งเดชเองได้ รอเจ้าคิดตกเรื่องความรัก ภายหลังความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอีกก็น้อยอย่างมาก”
มู่จิ่วพลันหยุดเท้า คิดตกเรื่องความรัก? ความหมายของเขาคือตอนนั้นนางคลั่งได้ ก็เพราะถูกความยึดมั่นถือมั่นของลู่ยากระตุ้นมัน?
“อาจารย์ รอข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
นางได้สติก็รีบตามไป
จากนั้นจึงเดินไปตามทางในวันนั้นอีกครั้ง ไม่เจออะไรผิดปกติ แม้แต่กับดักที่วันนั้นนางเจอก็ไม่ปรากฏ เห็นเพียงทางน้ำที่นางกับลู่ยาแยกกัน ใจนางก็พลันรู้สึกแปลกพิกล แต่หลิวหยางกลับค้นพบถ้ำที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง โต๊ะหินตัวหนึ่ง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว
ตอนตะวันตกดินพวกเขากลับถึงหงชาง หลิวหยางกลับไปห้องซงอิ๋น มู่จิ่วก็ไปถ้ำเมฆาคล้อยโดยไม่ได้พูดสิ่งใด
ผ่านไปไม่กี่วัน หลิวหยางลงจากเขา มู่จิ่วรู้ว่าเขาไปตรวจสอบดูชาติก่อนๆ ของนาง ถึงแม้นางสงสัยเล็กน้อยเช่นกันว่าเขาไปตรวจสอบที่ไหน แต่นางที่ไม่มีงาน เวลาผ่อนคลายจึงยิ่งมีมาก คนที่มาฆ่าเวลากับนางก็ยิ่งมากด้วย ความสงสัยเล็กๆ นี้จึงไม่รบกวนใจอะไรนัก
แต่ไหนแต่ไรนางไม่จำเป็นต้องออกไปแต่อย่างไร ปกติอยู่ที่ถ้ำเมฆาคล้อย ไปคลุกคลีอยู่ที่ถ้ำของเหล่าศิษย์พี่ หรือพาอาฝูขึ้นเขาไปเดินเล่น นางอารมณ์ดีขึ้นมาก รุ่ยเจี๋ยกลายเป็นพวกเดียวกับชิงจู๋ไปแล้ว ในใจเหล่าเด็กน้อยไม่มีการแบ่งชนชั้น รุ่ยเจี๋ยองค์ชายสี่แห่งชิงชิวที่มีชื่อเสียง ในสายตาพวกเขาไม่ได้ต่างอะไรกับศิษย์น้องคนใหม่
ตามที่หลิวหยางบอก พลังในร่างตอนนี้ไม่เป็นอุปสรรค และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเกิดขึ้นจากการถือมั่นของนาง ความคิดของนางมักจะกระหวัดไปถึงลู่ยา แต่ก่อนตอนอยู่สวรรค์แยกห่างกันน้อยมาก นางไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดอะไร ตอนนี้ว่างขนาดนี้ จึงเริ่มรู้สึกว่าเงาร่างของเขาอยู่ทุกแห่งหนในป่าเขา
เสี่ยวซิงอาศัยตอนนางอาบแดดเดือดร้อนแทนนาง “ลู่ยาไม่มีเหตุผล เขาโทษที่เจ้าถอดกำไลออกไป ทำไมถึงไม่โทษตัวเขาเองว่าตอนนั้นทิ้งเจ้าไม่พาเจ้าไปด้วยล่ะ? หากเขาอยู่ข้างกายเจ้าไม่ห่างสักก้าว เรื่องราวต่อจากนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น”
มู่จิ่วไม่อยากคิดแบบนี้ ที่จริงลู่ยาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง
ถึงแม้เขาโทษนาง นางก็ไม่ยินยอมทำร้ายกันเองแบบนี้ เรื่องที่นางคิดซับซ้อนพอแล้ว หากยังคิดโทษฝ่ายตรงข้ามอีก แบบนั้นเรื่องมิยิ่งแย่กว่าเดิมหรือ
………………………………………………
[1] อมรโคยานทวีป คือทวีปที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก เป็น 1 ในทวีปทั้งสี่ทางศาสนาพุทธ
บทที่ 219 ปีศาจมารแปลงกาย?
โดย
Ink Stone_Romance
ตั้งแต่เจ้าของวังชิงเสวียนกลับมา บรรยากาศก็คึกคักขึ้น
ลู่ยาเป็นคนชอบความครึกครื้น ดังนั้นวังของเขาจึงมีนางร้องนางรำมากมาย
ชีวิตหลังจากกลับมาหลายวันไม่ต่างอะไรจากแต่ก่อน ทุกวันนอนหลับจนตื่นขึ้นเอง จากนั้นเรียกคนสองคนมาร้องเพลงให้ฟัง หรือไม่ก็ไปเดินเล่นริมลำธารบนเขาสองรอบ แต่กลับมาครั้งนี้เขากลับมีงานเพิ่มขึ้นมา ทุกวันต้องไปเติมไฟสมาธิในเตาเขาแพะในตำหนักข้าง และนำหินเทพไฟที่อยู่ข้างเตาป้อนเชื้อเพลิง
บนเตาเขาแพะมีกระดิ่งวางอยู่หนึ่งอัน
ตั้งแต่กระดิ่งถูกนำกลับมาก็ถูกไฟสมาธิแผดเผาไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มแล้ว
กระดิ่งนี้เป็นกระดิ่งศักดิ์สิทธิที่ปฐมวิญญาณสร้างขึ้น ปกติเย่อหยิ่งถือดียิ่งนัก แต่ตอนนี้แม้แต่ร้องไห้เขาก็ร้องไม่ออกแล้ว
เขาเย่อหยิ่งถือดีอย่างไรก็สร้างมาจากทอง สามารถต้านทานไฟสมาธินี้ได้หรือ?
และลู่ยาไม่เพียงจงใจเผาเขา ยังอบเขาไม่หยุดหย่อนทุกเวลาทุกนาทีเช่นนี้
เขาอดกลั้นรับความทรมานตลอดเวลา แต่ลู่ยากลับนอนเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่บนตั่ง มองดูตี้เจียงเต้นระบำเก้าชั้นฟ้า
“เซิ่งจุนรองมาถึงแล้ว!”
ทางประตูพลันมีเสียงรายงานดังเข้ามา หุนคุนมาแล้ว? กระดิ่งสติแจ่มใส หูชี้ขึ้นมา!
ใต้ประตูวังสูงหกจั้ง มีคนสวมชุดคลุมทอสีเขียวเดินเข้ามา คิ้วยาวตาโต ท่าทางใจกว้างสง่าผ่าเผย นี่มิใช่หุนคุนหรอกหรือ?
ลู่ยายังคงนิ่งอยู่บนตั่ง ไม่ขยับแม้แต่น้อย ดวงตาไร้ความรู้สึก
“น้องสี่ ชมการร้องรำอยู่รึ?” หุนคุนไม่ใส่ใจเขา หัวเราะก่อนนั่งลงด้านข้างแสดงความใกล้ชิด
ลู่ยาจ้องเหล่านกชิงหลวนที่กำลังเต้นรำเหมือนเปลี่ยนเป็นหินไปแล้ว หางตาไม่มองเขาเลย
หุนคุนนิ่งไปก่อนพูดต่อ “ข้าได้ยินว่าเจ้าไปเดินเล่นที่สวรรค์มารอบหนึ่ง? สวรรค์สนุกหรือไม่?”
ลู่ยายังไม่ขยับ สีหน้ากลับทะมึนแล้ว
หลังจากตอนนั้นที่หุนคุนมองดูเขาโชคร้ายจนสะบักสะบอมด้วยความสุข จะไม่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ก็อยู่ในความคาดหมาย แต่เขาไม่อารมณ์เสียและไม่โวยวายไร้เหตุผล นี่กลับทำให้หุนคุนสงสัยเล็กน้อย เขายืดตัวเข้าไปใกล้ลู่ยา “เจ้ากลับมาหลายวันแล้ว ทำไมไม่ไปนั่งเล่นที่วังข้า? ศิษย์พี่หญิงเจ้าก็ไม่รู้ว่าเจ้ากลับมา เจ้าไม่ไปหานางหรือ?”
ที่นี่หนึ่งวันเท่ากับบนสวรรค์หนึ่งเดือน แต่เพราะพวกเขาอุทิศตนใช้ชีวิตแบบมนุษย์ธรรมดาแล้ว ดังนั้นจึงเคยชินกับการนับเวลาแบบสวรรค์
ลู่ยานิ่งอยู่นาน จึงค่อยวางมือที่ค้ำหน้าผากลง ดื่มยอดสุราที่อยู่ในมือวิหคแดงเงียบๆ
“นี่เจ้าเป็นอะไร?” หุนคุนรู้สึกว่าไม่ค่อยดีนัก
“ไม่มีอะไร” เขาพูดอย่างหดหู่
จากนั้นยืนขึ้น เข้าไปตำหนักหลัง
ทั้งสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าล้วนเป็นของพวกเขาสี่พี่น้อง นอกประตูวังเป็นกลุ่มภูเขา ระหว่างแต่ละยอดเขาล้วนมีสะพานหยกเชื่อม ดังนั้นมองจากบนลงล่าง ทั้งฟ้าดินจึงกลายเป็นกำแพงธรรมชาติขนาดใหญ่ของวัง
เขามุ่งตรงไปยังหอแสงม่วง ผลักประตูเข้าไป กระตุ้นแผ่นหยกกลมบนผนัง แผ่นหยกมีภาพปรากฏขึ้นมา บนเขาหงชาง นางพาอาฝูเดินเล่นอยู่บนภูเขา
คำพูดของนางก่อนจากไปกวนใจเขาเหมือนกัน เขายอมรับว่านางพูดมีเหตุผล ถึงแม้นางอยู่ด้วยกันกับเขา ถึงแม้ยอมรับเขา ก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งหลักการของตนเอง หากนางไม่โง่ขนาดนั้น ตอนแรกจะเชื่อคำพูดของเขาและพาเขากลับบ้านได้อย่างไร? จะรับเขาไว้ให้ได้โดยเสี่ยงถูกไล่ออกจากสวรรค์ได้หรือ?
หากนางไม่จิตใจดี ไม่ใจอ่อน เขาคงไม่มีโอกาสได้โกรธนาง
นางใช้กำไลช่วยเหลืออ๋าวเจียง แต่ตอนอยู่ในระฆังทองที่ชิงชิวนางก็ทุ่มเทสุดชีวิต ยินดีตายเพื่อปกป้องเขา
สิ่งที่นางปฏิบัติต่อคนล้วนเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง กับหลินเจี้ยนหรู กับเขาในตอนแรก กับอ๋าวเจียง ล้วนเกิดจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น
พูดจากมุมนี้ แท้จริงเขาไม่ควรโทษนางว่านางไม่ควรช่วยอ๋าวเจียง
บางทีเขาคงรุนแรงไปหน่อย แต่เขาหวังว่านางจะให้ความสำคัญกับเขาสักนิด ใส่ใจตัวนางเองหน่อย และไม่ต้องดีกับคนอื่นให้มากเกินไปนัก…
“รายงานเซิ่งจุน ที่โลกเซียนมีคนชื่ออ๋าวเชินมาขอพบ”
ที่ประตูพลันมีคนมารายงาน
เขาใช้ผ้าคลุมแผ่นหยกกลมก่อนเดินออกไป
………………
ครั้งนี้หลิวหยางเดินทางไปได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว
มู่จิ่วอยู่บนเขา ทุกวันสิ่งที่ไม่ขาดที่สุดคือเพื่อนเล่น ตอนแรกยังรู้สึกว่าเต็มอิ่ม รู้สึกพอใจอย่างมาก แต่นานไปกลับค่อยๆ รู้สึกว่างเปล่า
นางอยู่ในสวรรค์ทำงานมาปีกว่า ทุกวันปฏิบัติหน้าที่ รับมือกับเรื่องไม่คาดฝันจนคุ้นชินแล้ว ครั้นว่างขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
นางรู้สึกคิดถึงสวรรค์อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม นางก็ยังมุ่งไปยังเป้าหมายชีวิตก่อนหน้านี้ หากใช้ห้าร้อยปีนี้อย่างเปล่าประโยชน์ ไม่แน่ว่านางยังจะมีโอกาสในการสะสมบุญกุศลมากมายขนาดนั้น
หากนางเป็นเซียนไม่ได้ ถึงแม้คลายปมในใจได้ อนาคตก็มีแต่เพิ่มความยุ่งยากให้คนรอบข้าง
นางทำสติให้แจ่มใส พับกระเรียนกระดาษส่งหาซ่างกวนสุ่น ถามเรื่องทิวเขาริ้วหยกว่าจัดการไปอย่างไรแล้ว อีกด้านก็รอหลิวหยางกลับมาอย่างสงบ
วันนี้นางกำลังฝึกใช้ผังดวงชะตาบนระเบียงเปิดโล่ง ลมขุมหนึ่งพัดเข้ามาจากประตู มู่จิ่วถึงได้กลิ่นดอกกล้วยไม้อันคุ้นเคย
ยังไม่ทันให้นางมีปฏิกิริยากลับ หลิวหยางก็ไพล่มือยืนอยู่หลังนางแล้ว
“ดูแล้วมีพัฒนาการอยู่บ้าง”
หลิวหยางมองผังดวงชะตา ยกเสื้อขึ้นนั่งลงตรงข้ามนาง
มู่จิ่วรีบลุกขึ้นรินชา ประคองส่งให้อย่างนอบน้อมก่อนพูด “อยู่สวรรค์ยุ่งนัก ไม่มีเวลาฝึกฝนเท่าไหร่ หลายวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่สอนเคล็ดวิชาให้ข้า ข้าจึงลองฝึกดู ได้รับคำชมจากอาจารย์ ดูไปแล้วข้าคงมีพัฒนาการจริง!” พูดถึงตรงนี้ก็อดกลั้นไม่ได้ นั่งลงไปที่เดิมแล้วมองเขาอย่างคาดหวัง “อาจารย์ตรวจสอบชาติก่อนๆ ของข้าแล้วผลเป็นอย่างไร?”
“ไม่มี” หลิวหยางยกชาขึ้นมา ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “นอกจากชาติก่อนในโลกมนุษย์ของเจ้า ก็ไม่มีชาติก่อนๆ อีกแล้ว”
มู่จิ่วนิ่งตะลึง “ไม่มี?”
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?
บนโลกนี้วิญญาณมิใช่ต่างก็เวียนว่ายตายเกิดหรือ? หรือนางเกิดมาจากซอกหิน?
หลิวหยางมองความสงสัยของนางออก จึงเอ่ย “ไม่เพียงตรวจสอบชาติก่อนของเจ้าไม่ได้ ข้าเดินทางไปทั่วทั้งฟ้าดินก็ล้วนไม่พบที่มาของเจ้า แม้แต่หงอคงที่ออกมาจากหิน ก็ยังมีหินก้อนหนึ่ง แต่เจ้ากลับเป็นความว่างเปล่าอย่างแท้จริง”
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดี
ชาติก่อนของนางว่างเปล่า แบบนั้นวิญญาณของนางก่อร่างมาได้อย่างไร?
“เช่นนั้นข้าเป็นปีศาจมารแปลงกายมาหรือไม่?” นางถามอย่างหวาดกลัว เพราะที่จริงตอนที่พลังระเบิดออกมาก็น่ากลัวอย่างมากจริงๆ
“ถึงแม้เป็นปีศาจมารก็ต้องมีชาติก่อน” หลิวหยางมองนางพลางพูดช้าๆ “มีความเป็นไปได้มากมายเรื่องไม่มีชาติก่อน เช่นลู่ยาที่ไม่มีชาติก่อน เทพผู้สูงส่งทั้งสี่ล้วนก่อร่างมาจากพลังของฟ้าดินบรรพกาล พวกเขาเหล่านี้เป็นเทพผู้สร้างภพทั้งสิ้น”
มู่จิ่วเงียบ พูดด้วยสีหน้าประหลาด “อาจารย์คงไม่ได้จะบอกว่าข้าเป็นหนึ่งในสี่เทพหรอกกระมัง? ข้าเหมือนได้ยินท่านพูดมาก่อนว่าหงจวินจู่ซือหายตัวไป?”
“ไร้มารยาท” หลิวหยางเหลือบมองนาง แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
มู่จิ่วพูดไร้สาระโดยแท้ แน่นอนว่านางไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นหงจวิน ถึงแม้นางเป็น ชาติก่อนต้องเห็นว่านางเป็นเทพเซียนชั้นสูงคนหนึ่งมิใช่หรือ
นางถอนหายใจยาว “ข้ารู้สึกว่าไม่แน่ข้าอาจเป็นปีศาจมาร เป็นปีศาจที่ก่อร่างมาจากไอมารบรรพกาล”
……………………………………………………………
บทที่ 220 เขาช่วยเจ้าได้
โดย
Ink Stone_Romance
หลิวหยางยกถ้วยขึ้นพลางเหลือบมองนางอีก “หากเจ้าเป็นไอมารแปลงกายมา ก็ยังเป็นศิษย์หงชางของข้า”
มู่จิ่วยิ้มน่ารัก พูดอย่างหน้าไม่อาย “เช่นนั้นหากมีวันหนึ่งข้าต้องการมีอำนาจเหนือหกภพ ควบคุมพุทธเต๋าและลัทธิขงจื๊อ อาจารย์จะยังคงยอมรับศิษย์อย่างข้าคนนี้หรือไม่?”
“ข้าได้ยินว่าบนโลกมนุษย์มีโรคหนึ่งชื่อสติฟั่นเฟือน เจ้าเหมือนกับป่วยอยู่ไม่น้อย” หลิวหยางพูดต่อโดยไม่ต้องคิด
มู่จิ่วถูกย้อนจนสำลัก และไออกมา
“ถึงแม้เป็นมารปีศาจก็ไม่มีอะไรน่ากลัว”
หลิวหยางขยับผังดวงชะตาบนโต๊ะ ก่อนพูดอีก “ความคิดมากมายอยู่ในใจคน ใจมารต่างหากเป็นศัตรูของวิถีฟ้า ปีนั้นทงเทียนเจี้ยวจู่ทำตามอำเภอใจ รับศิษย์ไม่สนความเป็นมา ไม่เห็นลัทธิฉ่านอยู่ในสายตา ดังนั้นเขาจึงมีศิษย์ทุกรูปแบบ แต่คำสอนแรกเริ่มของพวกเขาไม่ได้ทำลายโลกนี้ ทว่าใช้ความสามารถตัดสินระดับอย่างเปิดเผย ไม่ใช่นับตามลำดับรุ่น”
มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนเอ่ย “แต่คนส่วนใหญ่ในใต้หล้าไม่ได้ตัดสินค่าเช่นนี้”
“เรื่องนี้สำหรับทงเทียนเจี้ยวจู่ ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย มีเพียงลัทธิฉ่านที่มองชื่อเสียงตำแหน่งของพวกเขาสำคัญกว่าชีวิต” หลิวหยางจิบชาคำหนึ่งก่อนพูด “ยิ่งไปกว่านั้น สำนักมีดาษดื่นในหกภพ ไหนเลยจะมีคำพูดที่บอกว่าเจริญรุ่งเรืองไม่เสื่อมถอย? สิ่งที่ไม่สูญสิ้นมีเพียงวิถีฟ้า คนมีคุณธรรม คุณงามความดีจะคงอยู่ตลอดไป”
มู่จิ่วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ความหมายของอาจารย์คือไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือมาร หากทำตามวิถีฟ้าย่อมได้มรรคได้ผล”
“ถูกต้อง” หลิวหยางพูด “การดำรงอยู่แต่แรกเริ่มของโลกมารไม่ใช่เพื่อต่อต้านฟ้าดิน เพียงแต่ภายหลังใต้หล้าต้องการความสมดุล เพื่อการดำรงอยู่แล้วลัทธิเจี๋ยจึงไปทางสายมาร ถึงได้มีสงครามในปีนั้น หนทางบำเพ็ญของพวกเราล้วนให้ความสำคัญกับความสมดุล มีพระอาทิตย์ย่อมมีพระจันทร์ มีเซียนสายธรรมย่อมมีมารปีศาจฝั่งตรงข้าม ไม่มีฝั่งไหนสามารถกุมอำนาจเหนือใต้หล้า”
“และถึงแม้ทางสายธรรมกุมใต้หล้าไว้ เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายก็สามารถผันไปทางมารได้ พลังมารยืนหยัดมานานแล้ว สามารถมีกำลังที่แข็งแกร่งเกิดขึ้นมา เกื้อหนุนและพิฆาตกัน ไม่มีใครทำลายอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด เมื่อเจ้าเข้าใจจุดนี้แล้ว ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าก็ไม่อาจสูญเสียเนื้อแท้ไปได้”
มู่จิ่วครุ่นคิดก่อนเอ่ย “คำพูดอาจารย์ทำให้ข้านึกถึงลัทธิฉ่านในตอนนี้ ยามนี้ลัทธิฉ่านเหมือนตกอยู่ในการแก่งแย่งลาภยศ มีศิษย์ที่ไขว่คว้าหาชื่อเสียงมากมาย”
หลิวหยางไม่ได้ตอบ นิ่งอยู่นานค่อยกล่าว ”เมื่อเจริญถึงขีดสุดย่อมมีวันต้องสูญสิ้น ทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไป”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง นางเหมือนจำได้ว่าลู่ยาก็เคยพูดประโยคคล้ายๆ กันนี้…
“เจ้าไม่ต้องคอยกังวลว่าที่มาของเจ้าจะมีปัญหา” หลิวหยางพลันเปลี่ยนหัวข้อ ก่อนพูดอีก “ความบริสุทธิ์ของพลังของเจ้าหาได้ยากมาก มารปีศาจไม่สามารถมีพลังฤทธิ์ที่บริสุทธิ์เช่นเจ้าได้ และไม่เพียงพลังของเจ้าบริสุทธิ์ ใจของเจ้าก็บริสุทธิ์ด้วย ในใต้หล้านี้มีเรื่องไม่ชัดเจนอยู่มากมาย หากคิดมากจะกลับกลายเป็นเสียแรงเปล่า”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” มู่จิ่วพยักหน้า “แต่เมื่อไม่เห็นชาติก่อน จะเตรียมป้องกันไม่ให้พลังระเบิดออกอีกอย่างไร?”
หลิวหยางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “พลังฤทธิ์ของเจ้าระเบิดออกเพราะลู่ยา ฟื้นคืนสติจากการสูญเสียการควบคุมในพริบตาก็เพราะเขาเช่นเดียวกัน ความลับนี้ เกรงว่ามีเพียงลู่ยาเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าคลี่คลายได้”
เมื่อพลันได้ยินเขาพูดถึงลู่ยา ใจของมู่จิ่วก็บีบรัดอีก
นางก้มหน้าพูด “ช่างเถอะเจ้าค่ะ วันนั้นข้าต่อว่าเขาไปเช่นนั้นแล้ว ข้าจะยังมีหน้าไปหาเขาได้อย่างไร”
หลิวหยางพูด “รอเจ้าคิดตกดีแล้วค่อยกลับไปหา”
มู่จิ่วแค่นหัวเราะในลำคอ “ข้าคิดมาเดือนหนึ่งแล้วยังคิดไม่ตกเลยเจ้าค่ะ”
หลิวหยางหลุบสายตาลง มองนางอยู่สักพักจึงพูด “คิดยากขนาดนั้นเลยหรือ? เจ้าเคร่งเครียดไปเสียทุกเรื่อง เพียงแค่กังวลอุปสรรคกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตมากเกินไป เจ้ากำลังสับสนตัวเองอยู่”
มู่จิ่วไม่กล้าพูด
นางก็ไม่รู้ว่ากังวลหรือไม่ เพราะฐานะต่างกัน อุปสรรคและการเปลี่ยนแปลงที่เจอในอนาคตคงเยอะจนนับไม่หมด สุดท้ายจะทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าและห่างไกลกันไป จะถือสาว่าเขาพูดจาร้ายกาจ ความคิดของพวกเขาไม่ตรงกัน หรือความแตกต่างที่ดำรงอยู่ เรื่องเหล่านี้แน่นอนว่าล้วนเป็นความจริง แต่ดูไปแล้วนางเพียงอาศัยโอกาสอ้างให้เขาเห็นถึงความต่างชั้นเท่านั้น
แต่ความกังวลเช่นนี้ ก็ทำให้นางไม่กล้าตอบเขาไปตรงๆ
นางฟังจบก็ไม่พูดสิ่งใด อีกนานกว่าจะเปลี่ยนท่านั่ง เม้มปากมองเขา ก่อนถาม “แต่ก่อนทำไมข้าไม่เคยได้ยินอาจารย์พูดเรื่องเหล่านี้มาก่อน?”
“เพราะเจ้าก็ไม่เคยชอบใครมาก่อน” หลิวหยางยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนพูดช้าๆ
แก้มทั้งสองของมู่จิ่วร้อนผ่าว รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
ทว่าคำพูดนี้ของหลิวหยางทำให้มู่จิ่วผ่อนคลายขึ้นมาก ตรวจสอบภูมิหลังของนางไม่พบเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ตอนนี้นางยังคิดไม่ตกว่าจะไปหาลู่ยาอย่างไร ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ
ก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้ลู่ยาทำอะไรอยู่
กลับไปยังสวรรค์อันสูงส่งเขาก็คงลืมเรื่องยุ่งยากทั้งหมดแล้วกระมัง?
นางหยิกมือพลางแอบครุ่นคิด
แต่หลังจากนั้นนางกลับสงสัยในคำพูดของหลิวหยาง คืนนั้นที่กลับมาเขายังไม่รู้เรื่องที่สวรรค์ของนางเลยแม้แต่น้อย ทำไมลงเขากลับมารอบนี้กลับรู้เรื่องประสบการณ์ของนางอย่างชัดเจน? ในครึ่งเดือนนี้เขาไปที่ไหนมานะ?
เขาที่ยังเป็นจินเซียน ต่อหน้าลู่ยาแล้วอย่างไรก็นับเป็นรุ่นเล็ก ทำไมเขาถึงพูดเรื่องระหว่างนางกับลู่ยาได้อย่างไม่สับสนลนลาน? ยังมีรุ่ยเจี๋ยที่เป็นลูกศิษย์ของลู่ยา ฐานะนี้อยู่ในสวรรค์ล้วนไม่อาจดูแคลน ทำไมเขาถึงเหมือนกับคนไม่สนใจเลย และไม่ได้แสดงท่าทีว่าต้องปฏิบัติตนเป็นพิเศษอะไรด้วย?
นางรู้สึกว่าช่วงนี้หลิวหยางเปลี่ยนไปแล้ว
แต่ส่วนที่ดีกับนางยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เขามีเวลาว่างก็สอนวิชาให้นาง ไม่ว่างก็ให้นางช่วยหลอมยา ดูผังดวงชะตา ตอนนี้แม้แต่เวลานางไม่สำรวมก็ไม่ด่าทออย่างโหดร้ายอีกแล้ว ถึงแม้เรื่องอื่นไม่มีอะไรต่าง แต่มู่จิ่วเชื่อว่าอาจารย์ย่อมดีใจที่นางกลับบ้านหลังจากไปปีกว่า
วันนี้นางได้รับกระเรียนกระดาษตอบกลับจากซ่างกวนสุ่น ถึงได้รู้ว่าหลังนางไป ลู่ยายังอยู่ช่วยจัดการเรื่องตอนท้ายของตระกูลอ๋าวและตระกูลอวิ๋น ทุกวันนี้ซ่างกวนสุ่นยังอยู่ที่ทิวเขาริ้วหยก ในจดหมายเพียงบอกคร่าวๆ เขาถามถึงเสี่ยวซิง มู่จิ่วอยู่ในห้องหลิวหยางพอดี จึงหยิบพู่กันของหลิวหยางมาเขียนจดหมายตอบกลับเขาไป
หลิวหยางถาม “คดีตระกูลอ๋าวนั้นเป็นมาอย่างไร?”
วันนั้นมู่จิ่วเพียงพูดถึงเรื่องเขาคุนหลุนตะวันออกกับเขา พวกเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน จึงเล่าเรื่องที่นางสังหารเฉินผิงที่เกาะเป่ยอี๋ “ได้ยินว่าตอนนี้คลี่คลายแล้ว อ๋าวเชินไปหาลู่ยาที่วังชิงเสวียนแล้ว หลังจากนี้ห้าร้อยปีเขาสามารถเอากุญแจจันทราให้ตระกูลอวิ๋นยืม ส่วนอวิ๋นฉัวได้กุญแจจันทราหยางแล้วเตรียมปิดด่าน”
หลิวหยางฟังจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง วางยันต์ในมือก่อนถาม “ห้าพันปีก่อน?”
“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “เป็นห้าพันปีก่อน อ๋าวเชินถูกพลังวิญญาณในบึงน้ำดำทำร้าย และหลังจากนั้นไม่นานอวิ๋นฉัวก็ถูกคนลึกลับทำร้ายอีก”
พูดถึงตรงนี้นางก็รู้สึกเสียดาย ถึงแม้ตอนนี้เรื่องตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นทั้งสองจะจบลงแล้ว แต่กลับยังหาผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่พบ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด?
………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น