อัจฉริยะสมองเพชร 2168-2177

 ตอนที่ 2168 จอมโจร!

เหล่ากองโจรหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมขณะกระชับวงล้อมให้แน่นขึ้นอีก


เห็นภาพนั้น โม่หย่วนส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะแอบกระซิบกับเสิ่นเฉิง “ผมจะถ่วงเวลาไว้นะ หาทางฝ่าวงล้อมของพวกมันและพาทุกคนกลับไปให้ได้!”


จากนั้น โม่หย่วนก็พุ่งเข้าใส่สายเทาโดยไม่ลังเล


ในความเห็นของเขา วิธีเดียวที่จะพลิกผันสถานการณ์ได้ก็คือต้องรีบเล่นงานสายเทาให้พ่ายแพ้ เพื่อบีบบังคับให้กองโจรที่เหลือยอมแพ้ไปด้วย


เขาปล่อยกระแสดาบฉีเข้าใส่สายเทาโดยไม่ลังเล ทำให้อีกฝ่ายหรี่ตา


นักรบที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นกลางถือว่ายังอ่อนด้อยสำหรับสรวงสวรรค์ แต่แน่นอนว่าพละกำลังและความว่องไวของเขาเหนือชั้นกว่านักรบที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ แถมโม่หย่วนเป็นอาจารย์ ทุกกระบวนท่าของเขาจึงได้รับการขัดเกลามาอย่างดี เป็นอันตรายไม่น้อยต่อสายเทา


“คุณรนหาที่ตายแล้วล่ะ!”


สายเทารู้ดีว่าสุดท้ายก็ต้องลงเอยแบบนี้ จึงเงื้อกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวและฟันฉับเข้าใส่โม่หย่วน


มันเป็นกระบวนท่าที่แสนเรียบง่าย แต่พละกำลังมหาศาลของการโจมตีนั้นถือว่ายากจะรับมือ


โม่หย่วนรีบชักดาบของเขาออกมาเพื่อปัดป้อง


ด้วยพละกำลังมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ดาบของโม่หย่วนสั่นสะท้านไม่หยุด เขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่เข้าทิ่มแทงง่ามนิ้ว เลือดสีแดงก่ำไหลซึมจากฝ่ามือ เรี่ยวแรงหนักหน่วงนั้นทำให้ตัวเขาเข่าอ่อน แทบจะร่วงลงไปกองกับพื้น


ด้วยพละกำลังเหนือชั้นและความได้เปรียบจากการอยู่บนหลังม้า สายเทาปราบโม่หย่วนได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว


“พละกำลังที่แท้จริงเอาชนะทุกอุปสรรคได้…” จางเซวียนเปรย


เขารู้แล้วว่าสถานการณ์จะบานปลายตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงอู๋เฉียวเฉี่ยวประกาศภูมิหลังของเธอ ท่านเจ้าเมืองอาจเป็นนักรบผู้ทรงพลังก็จริง แต่อาณาเขตของอิทธิพลของเขาไม่ได้กว้างใหญ่พอจะแผ่ออกมาถึงดินแดนที่อยู่นอกกำแพงเมือง


แถมคนพวกนี้ยังเป็นจอมโจรด้วย…จอมโจร!


การบอกพวกนั้นว่า ‘ฉันคือลูกสาวของท่านเจ้าเมือง’ ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่า ‘ครอบครัวของฉันมีเงินมากมาย เชิญกวาดไปให้หมด!’


การที่สาวน้อยคนนี้จะถูกเลี้ยงดูแบบตามใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความอ่อนต่อโลกของเธอทำให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิมมาก แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้พูดอย่างอื่นก็ใช่ว่าแตกต่างอะไรมากมาย ถึงอย่างไรจอมโจรพวกนี้ก็ไม่ปล่อยพวกเขาไปอยู่ดี


เพราะผู้ที่ได้เข้าเรียนในสถาบันตะวันรอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอัจฉริยะชั้นยอดของเมืองตะวันรอน มักมาจากตระกูลและครอบครัวที่มั่งคั่ง การดักปล้นคนเหล่านี้และปล่อยให้มีชีวิตรอดกลับไปก็ไม่ต่างอะไรกับฝังระเบิดเวลาให้ตัวเอง


ในฐานะผู้ที่สร้างชื่อเสียงจนได้เป็นจอมโจร ไม่มีทางที่สายเทาจะมอบความปรานีให้เพียงเพราะพวกเขาเป็นนักเรียน


เหตุผลที่สายเทาอ้างว่าต้องการแค่อาวุธกับหมาจิ้งจอกสลาตันก็เพื่อทำให้ทุกคนตายใจและยอมแพ้โดยง่าย นั่นก็เพราะพวกกองโจรดูออกว่าไม่ว่าจางเซวียนหรือโม่หย่วนก็ไม่อาจห้ามปรามอู๋เฉียวเฉี่ยวได้เมื่อเธอออกอาการตีโพยตีพาย ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด สายเทาก็ถอนกระบี่พระจันทร์เสี้ยวกลับแล้วฟาดฟันเข้าใส่โม่หย่วนอีกครั้งด้วยพละกำลังที่หนักหน่วงกว่าเดิม


การโจมตีนั้นทำให้โม่หย่วนถูกอัดกระแทกกำแพง ร่างของเขาร่วงลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง แม้ยังไม่สลบ แต่ก็ยากจะสำแดงกระบวนท่าใดๆได้ในสภาวะแบบนี้


“มัดเขาไว้!”


จอมโจร 2 คนรีบควบม้าเข้าไปและใช้บ่วงรัดโม่เหยียนไว้อย่างแน่นหนา


“ทีนี้พวกคุณที่เหลือจะทำอย่างไร? ยังคิดจะสู้อยู่ไหม?”


หลังจากเล่นงานโม่หย่วนซึ่งทรงพลังที่สุดในกลุ่มได้ภายใน 2 กระบวนท่า สายเทาหันมามอง สมาชิกคนอื่นๆที่เหลือด้วยแววตาดุร้าย


“คือ…”


เสิ่นเฉิง อู๋เฉียวเฉี่ยว และคนอื่นๆถอยกรูดไปโดยไม่รู้ตัวขณะจับจ้องเหล่ากองโจรด้วยสีหน้าพรั่นพรึง


พวกเขาคิดว่าอย่างน้อยท่านอาจารย์ก็คงรับมือกับเหล่ากองโจรได้สักครู่ พอจะยื้อเวลาให้ทุกคนหลบหนีได้ แต่กลับตรงกันข้าม ท่านอาจารย์ของพวกเขาพ่ายแพ้ภายใน 2 กระบวนท่า…


อาจารย์ของพวกเขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นกลาง ซึ่งถ้าแม้แต่เขายังสู้กับเหล่ากองโจรไม่ได้ คนอื่นที่เหลือจะรับมือได้อย่างไร?


ขณะที่ทุกคนกำลังอับจนหนทาง จางเซวียนก็ก้าวออกไปด้วยสีหน้าที่ดูผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด


ชายหนุ่มเดินออกไปอย่างเงียบเชียบด้วยทีท่าสบายๆ แต่ไม่ได้เดินไปยังทิศทางที่สายเทาอยู่ เขาตรงเข้าหาจุดที่ดาบของโม่หย่วนหลุดมือเมื่อครู่ จากนั้นก็โน้มตัวลงเก็บมันขึ้นมา


ท่วงท่าของเขาดูเอื่อยเฉื่อยและสบายใจ ราวกับไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกกองโจรปิดล้อม


สายเทาคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มอายุ 20 ปีที่มีวรยุทธแค่ระดับเทพเจ้าขั้นต่ำจะยังคงสงบนิ่งได้ต่อหน้าเขา เขาหรี่ตาเพื่อประเมินชายหนุ่มก่อนจะพูดว่า “ไอ้น้อง คุณนี่บ้าบิ่นจริงๆ!”


หมอนี่ปัญญาอ่อนหรือเปล่า?


เราเอาชนะนักรบที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มได้ภายใน 2 กระบวนท่า แต่ไม่เพียงหมอนี่จะไม่กลัว ยังเดินเข้าไปเก็บดาบด้วย คิดว่าดาบนั่นสำคัญกว่าชีวิตของตัวเองหรือ?


โม่หย่วนก็จังงังกับการกระทำของจางเซวียน


จริงอยู่ว่าดาบของเขาไม่ใช่อาวุธธรรมดาสามัญ เป็นถึงของล้ำค่าระดับเทพเจ้าขั้นกลาง แต่เขาก็ทำให้มันยอมจำนนได้สำเร็จและซึมซับไปแล้ว ต่อให้ชายหนุ่มเก็บดาบขึ้นมาก็ไม่อาจใช้มันได้ แล้วจะทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์แบบนี้ไปเพื่ออะไร?


“ชู่ววว อย่าเพิ่งพูด”


หลังจากเก็บดาบขึ้นมา จางเซวียนใช้นิ้วแตะริมฝีปากก่อนจะมองไปรอบๆด้วยสีหน้าสุขุม “ใช้หัวใจของพวกคุณและตั้งใจฟัง”


“ใช้หัวใจของพวกเราและตั้งใจฟัง?”


ทุกคนงุนงง เขากำลังพยายามทำอะไร?


“อย่ามัวพูดเหลวไหลให้เราเสียเวลาน่ะ!”


ในที่สุดจอมโจรคนหนึ่งก็หมดความอดทนหลังจากทนฟังเสียงพึมพำพูดพล่ามของจางเซวียน เขาเงื้อแขนที่มีกล้ามเป็นมัดๆ หมายจะตบชายหนุ่มให้สลบ


แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงกรุ๋งกริ๋งรื่นเริงก็ดังก้องจากดาบในมือของอีกฝ่าย ยอมจำนนแล้ว!


หลังจากหยิบดาบขึ้นมาเพียงไม่ถึง 2 อึดใจ ชายหนุ่มก็ทำให้ดาบที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นกลางยอมจำนนได้สำเร็จ มันกลายเป็นของเขา!


ประกายเย็นวาบแผ่ซ่านออกจากปลายดาบที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นกลาง พริบตาต่อมา จอมโจรผู้นั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือ


กว่าเขาจะรู้ตัว มือข้างนั้นก็ถูกตัดและร่วงลงกับพื้น


“อ๊ากกกกก!” จอมโจรร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน แทบสลบเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้น


เขาตั้งใจจะตบหน้าชายงี่เง่าผู้นี้ให้ตื่นเสียที ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าอีกฝ่ายจะทำให้ดาบยอมจำนนได้รวดเร็วขนาดนั้น แถมยังใช้ดาบฟันฉับเข้าที่จุดอ่อนของเขาอย่างจัง ทำให้เขาไม่มีเวลาตอบโต้


สุดท้ายเขาก็สูญเสียมือไปข้างหนึ่ง


“คุณ…”


สายเทาก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ความประหลาดใจของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความระแวงและความโกรธเกรี้ยว เขาพุ่งออกไปแล้วกวัดแกว่งกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวเข้าใส่ชายหนุ่ม


ฟึ่บ!


กระบี่ของเขาแหวกอากาศด้วยพละกำลังหนักหน่วง พร้อมเล่นงานทุกสิ่งที่ขวางทาง


เขาคิดว่าชายหนุ่มคงจะเงื้อดาบขึ้นปัดป้องเหมือนที่โม่หย่วนทำเมื่อครู่ แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผน อีกฝ่ายเลือกที่จะพุ่งออกมาและเร่งความเร็วของตัวเอง


จากนั้น ชายหนุ่มก็โยนดาบเข้าใส่มือซ้ายของเขา แล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่แตะหน้าผากม้า


เพราะจางเซวียนอยู่ใกล้กับม้าเกินไป สายเทาจึงไม่อาจโจมตีซ้ำได้เพราะเกรงม้าจะได้รับบาดเจ็บ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอนกระบี่คืน


“หวังหยิ่ง!”


จางเซวียนส่งเสียงเรียกขณะแตะแก้มม้า


หวังหยิ่งเข้าใจเจตนาของจางเซวียนทันที เธอพุ่งเข้าใส่ม้าตัวอื่นๆที่เหลือของเหล่าจอมโจรและแตะพวกมันทีละตัว


? ? ?


เห็นตัวประกันของพวกเขาพยายามทำดีกับม้าแทนที่จะหาทางตอบโต้หรือหลบหนี สายเทาแทบเสียสติ


จอมโจรคนอื่นๆต่างก็งุนงง


น้องชาย…นี่คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น?


พวกเราล้อมคุณไว้หมดแล้ว ชีวิตของคุณอยู่ในกำมือของพวกเรา! จะสำนึกเสียหน่อยได้ไหมว่าตัวเองเป็นตัวประกัน? มันเรื่องอะไรถึงพยายามหยอกเอินกับม้าของเราแทนที่จะตอบโต้ พวกคุณเสียสติกันไปหมดแล้วหรือเปล่า?


“มัวพูดกับพวกคุณก็เสียเวลา ตายซะ!”


สายเทาคำราม จากนั้นก็เงื้อกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวแล้วฟันฉับใส่จางเซวียนอีกครั้ง


ไม่ว่าชายหนุ่มจะคิดอะไร ทุกอย่างจะไร้ความหมายทันทีหากเขาเสียชีวิต


แต่ยังไม่ทันที่กระบี่จะได้ทำอะไร ม้าที่อยู่ใต้หว่างขาของสายเทาก็ร้องลั่นก่อนกระโจนพรวดขึ้นสู่กลางอากาศ


การเคลื่อนไหวอย่างปุบปับของม้าทำให้การโจมตีของสายเทาขาดตอน การฟาดฟันของเขาจึงพลาดเป้า จางเซวียนฉวยโอกาสนี้ใช้มือซ้ายสัมผัสกระบี่


กระบี่ส่งเสียงฮัมเบาๆออกมา…


“คุณ…” สายเทาตาค้างด้วยความไม่อยากเชื่อขณะที่เพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น


เขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวมาอย่างน้อยก็ 20 ปีแล้ว จนถึงขนาดที่ไม่มีอาวุธชิ้นไหนเหมาะมือมากกว่ากระบี่เล่มนี้อีก แต่ในชั่วพริบตา มันก็ยอมจำนนให้ชายอีกคนหนึ่ง


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนเขาแทบจะขนลุก!


ยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆม้าของเขาก็กระโจนพรวด ราวกับมันจงใจขัดขวางการเคลื่อนไหวของเขา!


สายเทาทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์รอบตัวที่ไม่มีคำอธิบาย แต่รู้ดีเกินกว่าจะวอกแวกเมื่ออยู่ระหว่างการต่อสู้ ไม่ว่ากระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวจะยอมจำนนให้ใคร ทุกอย่างก็จะจบสิ้นทันทีที่เขาเล่นงานชายหนุ่มได้สำเร็จ


สายเทาจึงพยายามเงื้อกระบี่พระจันทร์เสี้ยวเพื่อฟาดฟันชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แต่พบว่ากระบี่นั้นหนักอึ้งเกินกว่าที่เขาจะยกไหว


ด้วยความประหลาดใจ สายเทาก้มลงมอง เห็นชายหนุ่มกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาสุขุม


“คุณถือสมบัติของผมอยู่นะ ปล่อยมันไป”


ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มก็กวัดแกว่งดาบในมือซ้ายด้วยทิศทางที่ขนานกับกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยว พุ่งเป้าโจมตีข้อมือของสายเทา


สายเทาพยายามหลบเลี่ยง แต่พบว่าไม่อาจขยับเขยื้อนได้เพราะน้ำหนักของกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยว ด้วยความปั่นป่วน เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปล่อยมือ


ชายหนุ่มรีบฉวยโอกาสนี้คว้ากระบี่พระจันทร์เสี้ยวไว้ก่อนจะปล่อยการโจมตีตามไปติดๆ


สายเทาถอยกรูดไปโดยอัตโนมัติเพื่อให้พ้นรัศมีของการโจมตี แต่แล้วก็พบว่าม้าของเขากลับก้าวออกไปข้างหน้า


“….” สายเทา


นี่มันเกินไปแล้วนะ! ฉันเลี้ยงดูแกมาตั้งหลายปี!


เมื่อม้าก้าวออกไปข้างหน้า กระบวนท่าที่สายเทาใช้หลบเลี่ยงก็ปราศจากผล ทำให้ศีรษะของเขาเข้าทางของกระบี่พระจันทร์เสี้ยวพอดี


ตอนที่ 2169 มันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่?

ในชั่วพริบตานั้น สายเทารู้ทันทีว่าชายหนุ่มใช้เวทมนตร์ลึกลับบางอย่างทำให้ม้าของเขายอมจำนน และดูเหมือนเขาจะตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิมหากยังอยู่บนหลังม้า จึงรีบกลิ้งตัวออกไปด้านข้างเพื่อลงจากหลังของมัน


ด้วยเหตุนี้ สายเทาจึงหลบการฟาดฟันของกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่อ้าปากหอบหายใจ เขาก็ใช้มือยันพื้นเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ขอแค่เขาตั้งตัวได้ ก็มั่นใจว่าจะใช้พละกำลังเหนือชั้นของตัวเองปราบชายหนุ่มได้สำเร็จ


แต่ระหว่างที่กำลังลุกขึ้นยืน ก็พลันรู้สึกว่ามีเงามืดทาบทับลงมา ผลักเขาให้ล้มกระแทกพื้นอย่างไร้ความปรานี


เกือกม้าอันหนึ่งประทับที่กลางใบหน้าของเขา


ถ้าคิดในแง่ดี สิ่งนี้ก็ไขข้อข้องใจในหัวสมองของเขาได้อีกข้อ คือตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าม้าตัวนี้ทรยศเขาเหมือนกับกระบี่พระจันทร์เสี้ยว


“แก ไอ้พวกสารเลว! ฆ่ามันให้หมด!”


สายเทาแทบเสียสติ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะพ่ายแพ้เพราะวิธีการที่เหลือเชื่อแบบนี้


ชายหนุ่มอ่อนแอกว่าเขาแน่นอน เรื่องนั้นเขาไม่สงสัย แต่กลับทำให้กระบี่และม้าของเขายอมจำนนได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้ปาฏิหาริย์บางอย่าง แถมยังเล่นงานตัวเขาซึ่งเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลางให้จนมุมได้ ถ้าเขาพ่ายแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังกว่ามากก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่รับไม่ได้ที่ต้องพ่ายแพ้อย่างน่าทุเรศแบบนี้!


เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของสายเทา จอมโจรที่เหลือจึงพลันได้สติ เมื่อรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็กระทุ้งสีข้างม้า เร่งให้พวกมันควบตรงเข้าหาจ้าวหย่าและคนอื่นๆ


แต่โชคชะตาก็เล่นตลก ทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่พวกเขาคาดไว้


ม้าทุกตัวที่สาวน้อยได้สัมผัสก่อนหน้านี้ต่างหันหน้าเข้าหากันและเงื้อกีบเท้าขึ้น เตะคนขี่ให้ร่วงลงไปอย่างไม่ลังเล


ไม่มีจอมโจรคนไหนเตรียมใจรับสถานการณ์แบบนี้ ทำให้ถูกเตะเข้าที่จุดสำคัญอย่างจัง ทุกคนร่วงลงไปกองกับพื้นขณะกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา


“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่?” สายเทาโมโหเสียจนสติแทบขาดผึง


เหตุผลที่พวกเขาขี่ม้าก็เพื่อให้แน่ใจว่าจะเล่นงานคู่ต่อสู้ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว และหลบหนีทันก่อนที่ใครจะเรียกกำลังเสริม มันควรเป็นความได้เปรียบที่พวกเขาเหนือกว่าคู่ต่อสู้ แต่ในชั่วพริบตา ก็กลับกลายเป็นภาระ!


ขณะที่สายเทาจนปัญญาและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร กระแสดาบฉีสายหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ตัวเขา มันโอบล้อมเขาไว้อย่างรวดเร็ว เกิดเป็นตาข่ายแข็งแกร่งทนทานที่พันธนาการเขาไว้ในชั่วพริบตา


ยังไม่ทันที่สายเทาจะทันได้ต่อสู้ ดาบเล่มหนึ่งก็จ่อเข้าที่ลำคอของเขา


“หยุดได้แล้ว!”


เมื่อรู้สึกได้ถึงความคมกริบและเย็นเยียบของดาบที่จ่อลำคอ สายเทารีบสั่งการให้บริวารของเขาหยุดการโจมตี


สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือเหล่าจอมโจรล้วนเป็นนักสู้ผู้ช่ำชอง แม้ความอลหม่านในตอนแรกจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บเกินกว่าครึ่ง แต่ก็ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็วและดำเนินการโจมตีต่อไปได้ เพียงไม่กี่กระบวนท่า พวกเขาก็เล่นงานเสิ่นเฉิงกับคนอื่นๆจนหมอบ


ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินคำสั่งให้หยุด จึงอดไม่ได้ที่จะหันมามองสายเทาอย่างขัดใจ


ทำแบบนี้ถือว่าเสียหน้า!


ในฐานะกองโจรที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในพื้นที่ ต่อให้หลับตา พวกเขาก็น่าจะเล่นงานนักเรียนกลุ่มนี้ได้สบาย แต่หัวหน้ากลับมาเสียท่าในช่วงเวลาคับขัน…


“ต้องแบบนี้สิ” จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ


ด้วยพละกำลังของเขาในเวลานี้ หากใช้ประสิทธิภาพเต็มพิกัดของหัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม ก็ย่อมเอาชนะสายเทาได้อย่างง่ายดาย


แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ทำแบบนั้น เพราะรู้ดีว่าพลังจิตวิญญาณในบริเวณนี้แสนจะเบาบาง เขาไม่อาจฟื้นคืนพละกำลังได้เร็วพอ และนั่นจะทำให้ตกอยู่ในหายนะหากต้องเจอกับการโจมตีของกองโจรกลุ่มอื่น


จางเซวียนรู้ดีว่าต้องเอาชนะการต่อสู้ด้วยการใช้สมองและยุทธวิธีเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการพ่ายแพ้


เขาจึงทำให้ดาบของโม่หย่วนกับม้าของสายเทายอมจำนนเพื่อเล่นงานอีกฝ่าย และสุดท้าย ทันทีที่สายเทาไม่ทันระมัดระวังตัว เขาก็ปล่อยหมัดเด็ด


จางเซวียนดูออกว่าจอมโจรเหล่านี้ล้วนภักดีกับสายเทา ดังนั้น ขอแค่เขาปราบอีกฝ่ายได้ ทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทางไปเอง


“ให้พวกเขาส่งอาวุธทั้งหมดมา” จางเซวียนสั่งการขณะจ่อดาบเข้าที่ลำคอของสายเทา


สายเทารู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง แต่เพราะชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของชายหนุ่มแล้ว จึงไม่มีทางเลือกอื่น


“มัวรีรออะไรอยู่เล่า? รีบทำตามที่เขาบอกสิ!”


“ได้…”


เหล่าจอมโจรรีบปลดอาวุธในมือและวางลงกับพื้น


“จ้าวหย่า เจิ้งหยาง กับพวกคุณที่เหลือ ผมอยากให้พวกคุณดึงอาวุธไว้คนละชิ้นและจัดการให้มันยอมจำนนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” จางเซวียนสั่งการ


“ได้!” จ้าวหย่ากับพรรคพวกพยักหน้าก่อนจะตรงเข้าคว้าอาวุธของกองโจร


หลังจากเข้าสู่สรวงสวรรค์ พวกเขารู้ทันทีว่าอาวุธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่มีอยู่ไม่มีประโยชน์แล้ว หากทำให้อาวุธระดับเทพเจ้าขั้นต่ำของจอมโจรกลุ่มนี้ยอมจำนนได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาก็จะสูงขึ้นอีกมาก


จางเซวียนกดคมดาบที่จ่อลำคอของสายเทาให้ลึกลงอีก ถึงขนาดที่เลือดไหลเป็นทางโซมร่างของอีกฝ่าย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกคนของคุณให้ส่งทรัพย์สมบัติ เหรียญสวรรค์ และของมีค่าทุกอย่างมาให้หมด!”


สายเทาแทบคลุ้มคลั่งที่เห็นสถานการณ์พลิกผัน แต่เพราะรักตัวกลัวตาย จึงหันไปตวาดบริวาร “พวกคุณไม่ได้ยินหรือไง?”


บ้าที่สุด! ผมต่างหากที่เป็นจอมโจร!


ผมควรจะเป็นคนที่ข่มขู่พวกคุณให้ส่งของมีค่าทั้งหมดมา!


“ดะ-ได้…”


เหล่าจอมโจรมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็พากันล้วงกระเป๋าและมอบของมีค่าทั้งหมดให้จางเซวียน


ตอนที่สนทนากับโม่หย่วน จางเซวียนได้รู้ว่าเก้าเวหาของสรวงสวรรค์ใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่เรียกกันว่าเหรียญสวรรค์ เหมือนกับเหรียญทองในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เหรียญเหล่านี้มีแก่นสารของสรวงสวรรค์อยู่ ทำให้การคดโกงใดๆไม่อาจเกิดขึ้นได้


จางเซวียนเฝ้ามองเหล่าจอมโจรนำเงิน 200 เหรียญสวรรค์ออกมา เขาพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็หันไปจับจ้องสายเทาและประเมินอีกฝ่ายจากหัวจรดเท้าก่อนจะถอดแหวนเก็บสมบัติของสายเทาออกมา


การสร้างมิติที่แข็งแกร่งพอจะต้านทานแรงกดดันของมิติในสรวงสวรรค์ได้เป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้ แหวนเก็บสมบัติจึงเป็นของล้ำค่าและหายากมาก แม้แต่โม่หย่วนก็ยังไม่มีสักวง


เป็นไปได้ว่าสายเทาคงใช้วิธีการชั่วร้ายมากมายเพื่อให้ได้มันมา แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้แหวนเก็บสมบัติก็เป็นของเขาแล้ว


จางเซวียนรีบซึมซับแหวนเก็บสมบัติ ก่อนจะเก็บเหรียญสวรรค์ทุกเหรียญและข้าวของทั้งหมดที่กองอยู่กับพื้นไว้ในนั้น จากนั้นก็สั่งการให้จ้าวหย่ากับคนอื่นๆมัดจอมโจรทุกคนไว้


เมื่อเสร็จเรียบร้อย จางเซวียนให้สมาชิกคนอื่นๆที่เหลือขึ้นขี่ม้าของเหล่ากองโจรตัวละ 2 คน ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เมืองตะวันรอน


“จอมโจรพวกนี้ทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าเราควบคุมตัวพวกเขาได้ คงได้รางวัลนำจับไม่น้อย…” โม่หย่วนพูดอย่างอ่อนระโหย


ท่านเจ้าเมืองขึ้นบัญชีดำสายเทากับบริวารของเขาไว้เนิ่นนานแล้ว หากพวกเขาจับตัวคนเหล่านี้และนำส่งที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองได้ ก็น่าจะได้รับรางวัลอย่างงาม


“ไม่จำเป็นหรอก เดี๋ยวก็มีคนจัดการเอง” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มมีเลศนัยขณะที่ม้าของเขาควบไปอย่างรวดเร็ว


ในเมื่อลูกสาวท่านเจ้าเมืองอยู่ในกลุ่มนี้ ก็ยากที่จะเชื่อว่าไม่มีใครอื่นที่คอยปกป้องเธอ นอกจากท่านอาจารย์ของเธอที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นกลาง


ซึ่งก็เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ หลังจากที่พวกเขาควบม้าจากไปได้ไม่นาน ชาย 2 คนก็โผล่ออกจากเงามืดและมายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าสายเทากับบริวารของเขา


เมื่อเห็นหน้าชาย 2 คนนั้นชัดๆ สายเทาหน้าซีดเผือดอย่างสิ้นหวังก่อนจะครวญคราง


“บ้าที่สุด! พวกเราเป็นจอมโจร แต่กลับถูกปล้นเสียเอง…บ้าเอ๊ย!”


จริงอยู่ว่าการนำตัวจอมโจรกลับไปที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองจะทำให้พวกเขาได้รับสินบนนำจับอย่างงาม แต่นั่นก็หมายความว่าจะต้องส่งมอบทุกอย่างที่เพิ่งยึดมาจากจอมโจรให้ทางการด้วย ต่อให้สินบนนำจับจะมีมูลค่ามากแค่ไหน ก็ไม่น่าจะเกิน 40 ถึง 50 เหรียญสวรรค์


นั่นเทียบไม่ได้กับแม้เพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่พวกเขาฉกฉวยมาจากกองโจร


หลังจากแสดงความเป็นเจ้าของแหวนเก็บสมบัติของสายเทาแล้ว จางเซวียนพบว่ามีเงินกว่า 400 เหรียญสวรรค์อยู่ภายใน ซึ่งก็หมายความว่าเขาเพิ่งได้เงินถึง 600 เหรียญสวรรค์จากโจรกลุ่มนี้ รวมถึงยาเม็ดสมุนไพรและอาวุธต่างๆนานาด้วย


สายเทาคงทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางสะสมทรัพย์สมบัติจนมั่งคั่งขนาดนี้ได้


จางเซวียนครุ่นคิด…ในเมื่อเขาทิ้งสายเทาไว้ให้ท่านเจ้าเมืองจัดการ เป็นโอกาสทองให้ท่านเจ้าเมืองได้ชำระความแค้นอันเนื่องจากการแข็งข้อของเหล่ากองโจร แถมเขายังมีความดีความชอบที่ช่วยชีวิตลูกสาวท่านเจ้าเมืองไว้อีกด้วย ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าเมืองก็คงไม่ใจร้ายใจดำถึงขนาดจะขอให้เขาส่งคืนข้าวของที่ยึดมาจากเหล่ากองโจร


เมื่อพิจารณาทุกประเด็นแล้ว ในที่สุดจางเซวียนก็ตัดสินใจมัดเหล่ากองโจรและทิ้งพวกเขาไว้ที่นั่น ปล่อยให้ทางคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองมาจัดการเอง


“หมอนั่นปราดเปรื่องจริงๆ!”


ชาย 2 คนที่ซุ่มอยู่ในเงามืดมองหมู่เมฆที่ลอยอยู่ไกลๆและเหล่ากองโจรที่หมดสภาพอยู่ตรงหน้าก่อนจะตั้งข้อสังเกต


ด้วยการรับภารกิจปกป้องนายหญิงน้อย พวกเขาจับตามองสถานการณ์โดยตลอด


จนกระทั่งถึงตอนนี้ ทั้งคู่ก็ยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มมีพละกำลังมากขนาดนั้นจริงๆ หรือแค่ปลอมตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังคนหนึ่ง


“รายงานเรื่องนี้ต่อท่านเจ้าเมือง!” ชายคนหนึ่งสั่งการ “แล้วส่งคนมานำตัวเจ้าพวกนี้กลับไปด้วย เราจะเปิดการไต่สวนสาธารณะ!”


“รับทราบ ผมจะไปจัดการ!” ชายอีกคนหนึ่งตอบก่อนจะกลืนหายไปในเงามืด


เมื่อคราวนี้มีม้าให้ขี่ ทั้งจางเซวียน โม่หย่วน และคนอื่นๆก็รุดหน้าไปได้รวดเร็วกว่าเดิม เพียง 1 ชั่วโมง กำแพงเมืองสูงตระหง่านก็ปรากฏแก่สายตา


“นี่คงเป็นเมืองตะวันรอน” จางเซวียนตาโต


เมืองใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขามีอาณาเขตกว้างขวางกว่าเมืองใดๆที่เขาเคยเห็น ถึงขนาดที่คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่ามันใหญ่กว่าแม้แต่เกาะคว้าดาว!


กำแพงเมืองสีเทาดูจะทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีค่ายกลขนาดมหึมาล้อมรอบทั้งเมืองไว้ ครอบคลุมทุกอย่างด้วยสีสันที่ดูลึกลับ


โม่หย่วนตอบข้อสงสัยของจางเซวียนด้วยการพยักหน้า


เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับสายเทา แต่ด้วยความที่เป็นนักรบผู้ช่ำชอง จึงพกอุปกรณ์ฟื้นฟูพละกำลังขั้นพื้นฐานติดตัวไว้ไม่ว่าจะไปที่ไหน หลังจากใช้ของเหล่านั้นเยียวยาตัวเองได้ราว 1 ชั่วโมง ก็สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยไม่มีปัญหามากนัก


ตอนที่ 2170 เป็นค่ายกลที่น่าทึ่งจริงๆ

เมื่อมาถึงประตูเมือง โม่หย่วนนำตราสัญลักษณ์พิเศษที่เขาได้รับออกมาแสดง เหล่าองครักษ์อนุญาตให้ทุกคนเข้าไปโดยไม่ตรวจสอบอะไร


ทันทีที่ก้าวเข้าสู่เมืองตะวันรอน จางเซวียนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมมาก


โลกภายนอกแห้งแล้งและโหดร้าย ลมกรรโชกเกรี้ยวกราดโหมกระหน่ำทุกแห่งโดยไม่หยุดหย่อน ในยามค่ำคืน อุณหภูมิจะตกฮวบถึงขนาดที่นักรบทั่วไปแทบจะทนทานไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้น พลังจิตวิญญาณในบรรยากาศก็มีอยู่น้อยมาก


แต่พื้นที่ภายในเมืองตะวันรอนให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ พลังจิตวิญญาณที่อบอวลอยู่ในอากาศก็เข้มข้นและสดชื่น มันอยู่ห่างกันเพียงแค่ข้ามกำแพงเมืองไป แต่จางเซวียนรู้สึกราวกับได้ก้าวเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง


“เป็นค่ายกลที่น่าทึ่งจริงๆ” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตด้วยความยำเกรง


จะต้องใช้ค่ายกลที่ทรงพลังมากถึงจะแยกเมืองทั้งเมืองออกจากโลกภายนอกได้โดยเด็ดขาด ถึงขนาดที่สภาวะของทั้ง 2 แห่งตรงกันข้ามกันในทุกๆด้าน


จางเซวียนรู้ดีว่าเขาไม่อาจแผลงฤทธิ์ใดๆได้ในสภาวะแบบนี้ โดยอย่างน้อยที่สุดก็จะต้องสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างให้ได้เสียก่อน


“ค่ายกลนี้คือกุญแจของการรักษาทั้งเมืองไว้ ไม่นานหลังจากที่เกิดปรากฏการณ์การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ เก้าจอมราชันย์ก็สั่งการให้บรรดาราชันย์เทพเจ้าที่อยู่ในสังกัดสร้างค่ายกลเหล่านี้ขึ้นทั่วเมืองใหญ่ๆเพื่อรักษาสภาวะเดิมไว้ เว้นเสียแต่จะมีผู้เชี่ยวชาญสักคนลงมือเคลื่อนไหวหรือโจมตี ก็ไม่มีทางทำลายค่ายกลเหล่านี้ได้โดยเด็ดขาด” โม่หย่วนอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้า


ดูเหมือนเขาจะประเมินทุกอย่างต่ำไป เขาคิดว่าค่ายกลนี้เป็นฝีมือของเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่กลับกลายเป็นว่าผู้นั้นจะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้าเสียก่อนถึงจะสร้างค่ายกลที่แข็งแกร่งมั่นคงขนาดนี้ได้


จางเซวียนหลับตาและสูดหายใจลึกขณะเปิดรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย


พลังจิตวิญญาณจากบริเวณโดยรอบซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเขาทันที ปลดปล่อยความอ่อนล้าที่สะสมมาเนิ่นนานให้หมดสิ้นไป


“พลังจิตวิญญาณของสรวงสวรรค์ช่างน่าทึ่งจริงๆ!” จางเซวียนพยักหน้าด้วยความยำเกรง


แค่สูดเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอจะทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยแล้ว


ตอนนี้จางเซวียนมาถึงสรวงสวรรค์ได้ราว 20 วัน ซึ่งแม้จะได้กินพืชและอาหารหลากหลายชนิด แต่วรยุทธของเขาก็ยังคงชะงักงัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่าพลังจิตวิญญาณในสรวงสวรรค์ทรงพลังแค่ไหน


มันไม่ได้เข้มข้นเหมือนรังสีสวรรค์ที่เขาเคยซึมซับคราวก่อน แต่ก็เพียงพอสำหรับนักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำอย่างเขา พลังจิตวิญญาณนี้เหนือชั้นเสียจนพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทของมิติเบื้องบนก็เทียบไม่ได้


ล่วงเข้าดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วตอนที่พวกเขามาถึงเมืองตะวันรอน แต่ถนนหนทางก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและยานพาหนะทุกชนิด


จางเซวียนกวาดสายตามองไปรอบๆ และพบว่าแม้แต่นักรบที่อ่อนแอที่สุดที่เห็นก็เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ อีกทั้งเป็นคนส่วนน้อย


นั่นอธิบายได้ว่าทำไมโม่หย่วนถึงประหลาดใจเมื่อพบตัวเขา จ้าวหย่า และคนอื่นๆ น่าจะเป็นได้ว่าผู้ที่เกิดมาในสรวงสวรรค์นั้นมีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาตั้งแต่เกิด และขอเพียงได้รับรังสีสวรรค์สักหน่อย ก็จะกลายเป็นเทพเจ้า


ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังที่จะปรากฏตัวในมิติเบื้องบนทุกๆสองสามพันปีจึงไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่ออยู่ในสรวงสวรรค์


“น้องจาง ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเรา!” โม่หย่วนถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะมองจางเซวียนด้วยความสำนึกในบุญคุณ


เขาเคยคิดว่าหมอนี่เป็นแค่คนธรรมดาที่โชคดีพอจะเตะตาผู้อาวุโสหยางชวน แต่ก็เห็นกันแล้วว่าอีกฝ่ายซ่อนกลเม็ดเด็ดพรายไว้มากมาย


แม้แต่อู๋เฉียวเฉี่ยวก็เปลี่ยนความคิดไปหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอแอบชำเลืองมองจางเซวียนเป็นระยะด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความไม่เข้าใจ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความอับอาย


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอคิดว่าจางเซวียนกับพรรคพวกคือคนที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร เหตุผลเดียวที่ได้เดินทางพร้อมกับพวกเธอก็เพราะท่านอาจารย์ของพวกเขา


แต่ด้วยพละกำลังของคนเหล่านี้ พวกเขาเล่นงานสายเทาผู้โด่งดังจนแพ้ราบคาบ ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นอาชญากรผู้ทรงพลังและเก่งกาจพอจะหลุดรอดเงื้อมมือท่านพ่อของเธอได้หลายต่อหลายครั้ง


แค่คิดถึงการที่เธอเย้ยหยันพวกเขาตลอดการเดินทางก็ทำให้ละอายใจแล้ว


อู๋เฉียวเฉี่ยวรู้ว่าเธอโชคดีที่จางเซวียนกับพรรคพวกไม่ถือสา เพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้ตัวเธอ 10 คนก็ไม่เก่งกาจพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา!


“พวกเราก็สำนึกในบุญคุณของคุณเช่นกัน ถ้าไม่ได้คุณนำทาง ป่านนี้เราคงยังระเหเร่ร่อนอยู่ในภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่” จางเซวียนหัวเราะหึๆ


เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ดึงใบไม้ใบหนึ่งออกมาและยื่นให้โม่หย่วน “นี่คือรายละเอียดอีกครึ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์ของผมฝากให้คุณ”


“ขอบคุณมาก” โม่หย่วนตาโตขณะรับใบไม้จากมือของจางเซวียน


ตลอดการเดินทางกลับเมืองตะวันรอน เขาได้ปรับเปลี่ยนเทคนิควรยุทธตามรายละเอียดของข้อบกพร่องที่ผู้อาวุโสหยางชวนระบุไว้ และรู้สึกได้ทันทีว่าสภาวะร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ระดับวรยุทธที่เคยชะงักงันเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย การควบคุมพละกำลังก็เฉียบคมและแม่นยำกว่าเดิม


เพียงเท่านี้ก็มากพอจะชี้ชัดแล้วว่าผู้อาวุโสหยางชวนคือตัวจริง การได้พบกับผู้อาวุโสหยางชวนถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งหนึ่งในชีวิต


บางที คงมีแต่ผู้เชี่ยวชาญระดับผู้อาวุโสหยางชวนเท่านั้นที่บ่มเพาะลูกศิษย์ผู้น่าทึ่งขนาดนี้ได้ ดูจางเซวียนเป็นตัวอย่าง แม้จะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าเขา แต่ก็เอาชนะสายเทาได้อย่างง่ายดาย


ถึงตอนนี้ โม่หย่วนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเสนอ “ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่พวกคุณมาถึงเมืองตะวันรอน ผมคิดว่าพวกคุณคงยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกว่าจะพักที่ไหน ทำไมไม่ตามผมไปที่สถาบันตะวันรอนล่ะ? ผมหาที่พักให้พวกคุณได้”


“แบบนั้นจะรบกวนคุณเกินไป คุณดูแลพวกเราอย่างดีตลอดการเดินทาง รบกวนคุณมากกว่านี้อีกคงไม่ดีเท่าไหร่ เอาล่ะ คุณกับลูกศิษย์ของคุณเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เหตุผลเดียวที่เขาเดินทางมากับโม่หย่วนก็เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเขาเอง ท่านพ่อท่านแม่ และลูกศิษย์ทุกคนจะเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัย และในเมื่อตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องรวมกลุ่มกับโม่หย่วนแล้ว


อีกอย่าง ถ้าพวกเขายังไปกับโม่หย่วน ไม่ช้าไม่นานคนอื่นๆก็คงรู้ว่าเขาคือผู้เล่นงานสายเทา ซึ่งนั่นจะนำความยุ่งยากมาไม่น้อย


ข้อหนึ่ง ถึงท่านเจ้าเมืองจะไม่หน้าหนาพอจะขอให้พวกเขาคืนเงินและข้าวของที่ยึดมาได้จากสายเทา แต่ก็มีโอกาสที่บรรดาพ่อค้าที่เคยถูกสายเทาปล้นจะมาตามหาตัวเขาเพื่อหวังว่าจะได้เงินที่ถูกปล้นไปกลับคืน ซึ่งหากเขาปฏิเสธ ก็ย่อมดูไม่ดี


แถมจางเซวียนยังไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของใครๆด้วย โดยเฉพาะเมื่อเขายังมีพละกำลังไม่แข็งแกร่งพอจะปกป้องตัวเอง ปกป้องท่านพ่อท่านแม่และบรรดาลูกศิษย์


เรื่องสำคัญที่สุดของเขาในเวลานี้คือพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งกว่าเดิมและหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสรวงสวรรค์ให้มากขึ้น ก่อนที่จะดำเนินการใดๆต่อไป


“ผมเข้าใจ แต่ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือล่ะก็ มาพบผมที่สถาบันตะวันรอนได้เลย” โม่หย่วนตอบ


เขาคิดว่าผู้อาวุโสหยางชวนคงจะเตรียมแผนการไว้ให้จางเซวียนกับคนอื่นๆแล้ว จึงไม่เซ้าซี้


“ไปกันเถอะ” จางเซวียนร้องเรียกคนอื่นๆก่อนจะมุ่งหน้าสู่ถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน


“นายน้อย เราจะไปไหน?” ซุนฉางถาม


“เราจะหาที่พัก และหาข้อมูลว่าจะพบรังสีสวรรค์ได้ที่ไหน เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับพวกคุณทุกคนในเวลานี้ก็คือสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้า” จางเซวียนพูด


เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าแล้วเท่านั้น เหล่าศิษย์สายตรงของเขาจึงจะมีพละกำลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้ในโลกใบนี้ ไม่อย่างนั้น คงมีแต่จะอับจนหนทางหากเจอใครที่มีเจตนาทำร้าย


“ผมเข้าใจ” ซุนฉางพยักหน้า


เขามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการหาข้อมูลเบ็ดเตล็ดต่างๆ ไม่ช้าซุนฉางก็ปลีกตัวออกจากกลุ่มไปอย่างเงียบๆ


ที่พักของจางเซวียนเป็นบ้านพักหลังใหญ่ที่ทุกคนพักอาศัยอยู่ด้วยกันได้โดยไม่แออัด ราคาก็ไม่แพง ค่าเช่าตกราว 2 เหรียญสวรรค์ต่อเดือนเท่านั้น


ถึงตอนนี้ จางเซวียนเพิ่งเข้าใจว่าอัตราแลกเปลี่ยนของเหรียญสวรรค์นั้นสูงกว่าที่เขาคิดไว้มาก


1 เหรียญสวรรค์แลกได้เป็น 1,000 เหรียญกึ่งสรวงสวรรค์ และเหรียญกึ่งสรวงสวรรค์ก็เป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้กันทั่วไปในโลกใบนี้


“น่าเสียดายที่บริเวณนี้ไม่มีรังสีสวรรค์ พวกคุณไม่มีทางฝ่าด่านวรยุทธได้หรอกหากฝึกฝนวรยุทธที่นี่ แต่ปริมาณพลังจิตวิญญาณที่มีอยู่ก็พอเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนวรยุทธอยู่บ้าง สองสามวันมานี้พวกคุณเหน็ดเหนื่อยกันไม่น้อย เพราะฉะนั้นก็พักผ่อนเสียหลังจากที่เสร็จสิ้นการฝึกฝนวรยุทธแล้ว” จางเซวียนพูด


พวกเขาเพิ่งย้ายเข้าที่พักได้ราว 4 ชั่วโมง ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า


หลังจากทุกคนเข้าที่พัก จางเซวียนก็เข้าห้องของเขาและทรุดตัวลงนั่ง


เขาเพ่งสมาธิเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติที่ยึดมาจากสายเทา เพียงครู่เดียว ยาเม็ดและสมุนไพรกองใหญ่ก็มาอยู่ในมือ


นี่คือของล้ำค่าที่สายเทาสะสมไว้ตลอดระยะเวลาหลายปีของการออกปล้น


ด้วยการสัมผัสสมุนไพรแต่ละชนิด ไม่ช้าจางเซวียนก็เข้าใจคุณสมบัติทั้งหมดของมัน ทุกชนิดล้วนมีราคาแพง แต่ไม่มีเลือดอสูรหม่าหยางที่เขาต้องการรวมอยู่ในสมุนไพรกองนี้


มันคือส่วนผสมที่เขาต้องการนำมาผสมกับหญ้าโบราณอสูรเขียวเพื่อช่วยยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ


จางเซวียนรู้ดีว่าเขาคงยกระดับไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างในรวดเดียวไม่ได้ แต่ก็คงดีหากได้เป็นเทพเจ้าขั้นสูงเสียก่อน


ยิ่งเขารู้จักสรวงสวรรค์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องเพิ่มพูนพละกำลังของตัวเองให้มากขึ้นโดยเร็วที่สุด และที่นี่ก็ไม่เหมือนมิติเบื้องบน เขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง จางเซวียนไม่อาจปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์สายตรงและท่านพ่อท่านแม่ของเขาได้


ในเมื่อส่วนผสมที่เขาต้องการไม่ได้รวมอยู่ในข้าวของกองนี้ จางเซวียนจึงหันไปมองยาเม็ด มันมีอยู่มากมายหลายชนิด รวมถึงยาเม็ดฟื้นฟูร่างกายที่ใช้สำหรับบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณให้กลับคืนมา


รวมแล้ว มียาเม็ด 3 ขวดที่ช่วยบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณ


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า นั่นคือชื่อยา


มันสามารถฟื้นฟูแก่นสารภายในร่างกายของเทพเจ้า ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของพลังงานสวรรค์ที่เทพเจ้ามีอยู่ในครอบครอง


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหนังสือจำนวนหนึ่งอยู่ในแหวนเก็บสมบัติด้วย จางเซวียนรีบพลิกดูหนังสือเหล่านั้น มันช่วยเพิ่มความเข้าใจที่มีต่อสรวงสวรรค์ให้เพิ่มขึ้นอีกมาก


ตอนที่ 2171 ขอลองหน่อยเถอะ!

ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้ฟังจากโม่หย่วนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย แต่แน่นอนว่าข้อมูลจากหนังสือย่อมละเอียดลออกว่า


จางเซวียนได้รู้ว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าคือยาที่มีราคาแพง การถดถอยของพลังจิตวิญญาณส่งผลให้สมุนไพรจำนวนมากเหี่ยวแห้งและตายไป ราคายาจึงพุ่งพรวด ความต้องการของท้องตลาดที่มีต่อยาเม็ดที่สามารถฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


ด้วยเหตุนี้ แม้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าจะไม่ได้ทรงพลังอะไรมากมาย แต่ก็มีราคาถึงเม็ดละ 1 เหรียญสวรรค์ ทำให้ใครๆอ้าปากค้างได้เลยทีเดียว


จะว่าไป ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าก็เหมือนกับยาเม็ดอมตะของมิติเบื้องบน มันแบ่งออกเป็น 4 ระดับขั้น คือขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสูงสุด


แน่นอนว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำก็เพียงพอสำหรับการฝึกฝนวรยุทธของนักรบระดับเทพเจ้า เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับเทพพระเจ้าสวรรค์สร้างแล้วเท่านั้นถึงจะต้องใช้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลาง


“ขอลองหน่อยเถอะ!”


จางเซวียนโยนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเม็ด 1 ใส่ปาก พลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลถูกปลดปล่อยเข้าสู่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์เพื่อขัดเกลาและซึมซับพลังจิตวิญญาณนั้น


ด้วยเทคนิควรยุทธที่เขาได้มาจากการต่อสู้กับตัวโคลนของปรมาจารย์ขง, สายสัมพันธ์พี่น้อง จางเซวียนสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว


สิ่งหนึ่งที่เขาได้จากการทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ก็คือ อารมณ์และความรู้สึกของเขาไม่ได้เป็นสิ่งที่แยกตัวออกจากสิ่งอื่นๆ หากมองอารมณ์ของเขาให้อยู่ในรูปของเทคนิควรยุทธ ก็จะเห็นได้ว่ามันเชื่อมโยงและถักทอกันอย่างแน่นหนา เกิดเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่


มันไม่ได้ทับซ้อนกันแบบง่ายๆ โดยแต่ละอารมณ์ที่เขาทำความเข้าใจจะหลอมรวมเข้ากับการรู้แจ้งในครั้งก่อนๆ ทำให้เกิดเป็นเทคนิควรยุทธที่พัฒนาตัวเขาให้ก้าวสู่ระดับใหม่


ภายใต้การบ่มเพาะของพลังจิตวิญญาณ จางเซวียนขัดเกลาวรยุทธระดับเทพเจ้าของเขาได้อย่างรวดเร็ว เกิดเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาวรยุทธให้สูงขึ้นต่อไป รังสีของเขาค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อยอย่างมั่นคง


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะรู้ตัว ก็มายืนอยู่ตรงหน้ามหาสมุทรเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เขารู้สึกได้ถึงพลังงานสวรรค์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในมหาสมุทร เห็นกระแสสีทองของรังสีสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วนแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างอิสระเสรี


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จางเซวียนต้องเพ่งสมาธิอย่างหนักในการเคลื่อนไหว เขาอยากจะคว้ากระแสรังสีสวรรค์จากน้ำให้ได้ แต่ทันทีที่ร่างกายขยับ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็หายวับไปราวกับคลื่นซัดสาด ผลักเขาเข้าสู่ความมืดมิด


เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่ากำลังนั่งอยู่ในห้องเดิม


ราวกับสิ่งที่เพิ่งเห็นเป็นเพียงความฝัน


“มันคือภาพลวงตาหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


นับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนวรยุทธ เขายังไม่เคยพบปีศาจใต้สำนึกของตัวเองมาก่อน และปีศาจใต้สำนึกตัวที่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าเขาก็ลงเอยด้วยการเป็นลูกศิษย์ ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่เคยมีประสบการณ์การเห็นภาพหลอน ทำไมจู่ๆถึงมาเจอกับปัญหาแบบนั้นในเวลานี้?


หรือว่าเทคนิควรยุทธที่เขาทำความเข้าใจจะมีข้อบกพร่อง?


เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนรีบนำสมุดเปล่าออกมาและตั้งต้นเขียนความเข้าใจเรื่องเวทนาสวรรค์ลงไป แต่ยังไม่ทันจะเขียนเสร็จ สมุดก็สลายตัวกลายเป็นเถ้าถ่าน


สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจมาก


เขาไม่ได้ใช้เทคนิควรยุทธใดๆและไม่ได้สำแดงพละกำลังมากมาย ก็แค่เขียนลงไปตามธรรมดา แต่จู่ๆสมุดก็สลายตัวไป ราวกับหน้ากระดาษไม่อาจแบกรับความรู้เรื่องเวทนาสวรรค์ได้


จางเซวียนมองเถ้าถ่านที่อยู่ตรงหน้าอย่างงุนงงก่อนจะนำอัลลอยก้อนหนึ่งที่มีความทนทานออกจากแหวนเก็บสมบัติ


เท่าที่ดูจากคุณภาพของมัน ก็น่าจะใช้หลอมของล้ำค่าระดับเทพเจ้าขั้นกลางได้ ต่อให้มีพละกำลังแบบจางเซวียน ก็ยากจะสร้างรอยขีดข่วนบนนั้น


จางเซวียนถือพู่กันไว้ในมือ เขาตั้งต้นเขียนเวทนาสวรรค์ลงไป


ฟึ่บ!


ซึ่งก็อีกครั้ง ยังไม่ทันที่จะเขียนเทคนิควรยุทธเสร็จ อัลลอยก็สลายตัวกลายเป็นธุลี ราวกับมันไม่อาจแบกรับความรู้เรื่องเวทนาสวรรค์ได้…


เวทนาสวรรค์คือเทคนิควรยุทธที่อยู่เหนือกว่าความเข้าใจของสรวงสวรรค์ นี่เป็นสัญญาณว่าสรวงสวรรค์ของที่นี่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของมัน จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขารู้ดีว่าเวทนาสวรรค์มีพละกำลังแข็งแกร่งแค่ไหน หากไร้ซึ่งพันธนาการ ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่เขาเคยฝึกฝนเสียอีก นี่หมายความว่ามันคือเทคนิควรยุทธที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์


แล้วสวรรค์จะอนุญาตให้สิ่งที่แข็งแกร่งกว่ามันดำรงอยู่ในโลกได้อย่างไร?


“เรื่องนี้อธิบายได้เลยว่าทำไมเราถึงเรียกการทดสอบของเทพเจ้ามาไม่ได้เมื่อตอนที่อยู่ในมิติเบื้องบน…” จางเซวียนตาโต


การทดสอบวรยุทธคือการที่สวรรค์สำแดงความเกรี้ยวกราดใส่เหล่านักรบที่บังอาจเข้าใกล้พวกเขา


ด้วยเหตุนี้ ตอนที่จางเซวียนเรียกการทดสอบวรยุทธของเขามา เจ้านั่นจึงจึงไม่แยแสเขาโดยสิ้นเชิง กลับเลือกที่จะเล่นงานไก่น้อยแทน ปรากฏการณ์แปลกประหลาดในครั้งนั้นทำให้จางเซวียนงุนงงอยู่นาน แต่เมื่อลองคิดดู ก็เป็นได้ว่าเขาอาจก้าวล่วงเข้าสู่การพิพากษาของสวรรค์โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจหาญลงทัณฑ์


“ต่อให้เราหาวิธีเขียนเวทนาสวรรค์ออกมาได้ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าหอสมุดเทียบฟ้าจะสามารถประเมินมัน ดูเหมือนเราต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะ!”


ตลอดเวลาที่ผ่านมา จางเซวียนอาศัยหอสมุดเทียบฟ้าในการขัดเกลาทุกเทคนิคที่เขาฝึกฝนให้สมบูรณ์แบบ ทำให้แน่ใจว่าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ดูเหมือนสุดท้ายเขาก็มาถึงจุดที่ไม่อาจพึ่งพามันได้อีกต่อไป


สิ่งที่พึ่งพาได้คือตัวเองเท่านั้น เขาคงต้องค่อยๆพิจารณาและทำความเข้าใจทุกอย่างผ่านการลองผิดลองถูกและก้าวไปข้างหน้าทีละขั้น


โชคดีที่จางเซวียนสั่งสมความรู้มากมายมหาศาลไว้จากการอ่านหนังสือเป็นล้านๆเล่ม ทำให้เขามีทั้งรากฐานความรู้และสัญชาตญาณที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติภารกิจสำคัญครั้งนี้


จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา เขารีบทบทวนความเข้าใจเรื่องเวทนาสวรรค์ แต่ก็ไม่พบข้อบกพร่องใดๆ จึงนำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าที่อยู่ในขวดหยกออกมาและกลืนมันลงไปเม็ดแล้วเม็ดเล่า


ครู่ต่อมา…


เสียงครืดคราดเป็นชุดดังออกจากร่างของจางเซวียนขณะที่เขาลุกขึ้นยืน ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างดูเหมือนเขาจะสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก


จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงพลังงานสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา เท่าที่ดูจากปริมาณของมัน เขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างน้อยก็ 2 เท่า


“เราเข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ-สูงสุดแล้ว” จางเซวียนพึมพำขณะยืดตัวบิดขี้เกียจ


2-3 ชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้ไร้ประโยชน์ เขายกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำ-ขั้นต้นมาเป็นเทพเจ้าขั้นต่ำ-สูงสุดได้สำเร็จ และอยู่ไม่ไกลจากการฝ่าด่านวรยุทธ


ถ้าไม่ใช่เพราะเขามียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าไม่เพียงพอ ก็คงได้เป็นเทพเจ้าขั้นกลางไปแล้ว “แต่นั่นแหละ คงไม่ดีนักหากพยายามฝ่าด่านวรยุทธตั้งแต่ตอนนี้…”


จากการอ่านหนังสือหลายเล่มที่สายเทาทิ้งไว้ จางเซวียนได้รับความเข้าใจเรื่องวรยุทธของเทพเจ้าที่มีหลากหลายขั้น


ด้วยสภาวะของเขาในเวลานี้ หากมีพลังจิตวิญญาณมากพอ ก็สามารถยกระดับไปเป็นเทพเจ้าขั้นกลางได้


แต่จางเซวียนจะต้องขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งกายเนื้อและจิตวิญญาณของเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปตาม


หากเขาบีบบังคับตัวเองให้ฝ่าด่านวรยุทธ ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณจะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันหนักหน่วงจากพลังงานสวรรค์ปริมาณมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในทางเดินพลังปราณของเขา


ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด ยังไม่ต่างอะไรกับการฝังระเบิดเวลาไว้ในตัว เกิดเป็นความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น


จางเซวียนมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นดวงอาทิตย์ลอยสูง น่าจะเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน


ทันทีที่เขาเดินออกจากห้อง ซุนฉางก็ตรงเข้ามาหา “นายน้อย ผมพอได้ข้อมูลเกี่ยวกับรังสีสวรรค์แล้ว เหมือนอย่างที่โม่หย่วนเคยบอกไว้นั่นแหละ รังสีสวรรค์เป็นทรัพยากรที่ถูกควบคุมดูแลอย่างถี่ถ้วน วิธีเดียวที่จะได้มันมาก็คือต้องขึ้นไปบนภูเขาสวรรค์สร้าง แต่ภูเขาสวรรค์สร้างก็ไม่ใช่สถานที่ที่นักรบคนไหนจะไปเยือนเมื่อไหร่ก็ได้ตามแต่ต้องการ ที่นั่นจะเปิดทุกๆครึ่งปี และมีแต่ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไป”


“มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ใช่ ในแต่ละครั้งจะมีนักรบที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเพียง 1,000 คนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องหาทางให้ตัวเองอยู่ในรายชื่อให้ได้ เพื่อให้ได้รับโอกาส!” ซุนฉางตอบ


“เข้าใจแล้ว…แล้วเรามีเวลาแค่ไหนก่อนที่ภูเขาสวรรค์สร้างจะเปิดอีกครั้ง?” จางเซวียนถาม


“เรามีเวลาไม่ถึง 1 วัน…ภูเขาสวรรค์สร้างจะเปิดวันพรุ่งนี้” ซุนฉางตอบพร้อมกับยิ้มแหยๆ


ข่าวที่ได้รับอย่างปุบปับทำให้จางเซวียนอึ้งไป เขาไม่คิดว่าเวลาจะกระชั้นชิดขนาดนี้ จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็ถามต่อ “ทำอย่างไรถึงจะได้อยู่ในรายชื่อ?”


“นักรบที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีลงไปและมีระดับวรยุทธต่ำกว่าเทพเจ้าจะมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่จะได้อยู่ในรายชื่อของการเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง แต่ผลการคัดเลือกถูกประกาศแล้ว…วิธีเดียวที่เราจะเข้าไปอยู่ในรายชื่อได้ในเวลานี้ก็คือท้าทายผู้ที่มีรายชื่ออยู่ก่อนและเอาชนะพวกเขา แล้วเราก็จะได้แทนที่”


ซุนฉางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่การประกาศรายชื่อทำให้ทุกคนที่มีรายชื่อพากันซ่อนตัว ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมเสี่ยงกับการสูญเสียโอกาสเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง อีกอย่าง ผู้ที่มีรายชื่อส่วนใหญ่ก็มาจากกลุ่มอำนาจใหญ่ๆ เราเข้าไปแทนที่พวกเขาไม่ได้ง่ายๆหรอก”


ผู้ที่ได้เข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างในวันพรุ่งนี้ล้วนมีโอกาสสูงที่จะได้เป็นเทพเจ้า แล้วใครเล่าจะโง่เง่าถึงขนาดยอมเอาอนาคตของตัวเองไปเสี่ยงกับการดวล?


วรยุทธระดับเทพเจ้ากับระดับที่ต่ำกว่าเทพเจ้านั้นมีความแตกต่างกันมาก หากพลาดโอกาสนี้ ก็คงสูญเสียสิทธิ์ที่จะได้ฝึกฝนวรยุทธต่อไป


“มีวิธีอื่นอีกไหม?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ด้วยความสามารถของตัวเขากับบรรดาลูกศิษย์ เขามั่นใจว่าจะคว้าที่นั่งได้ในวันพรุ่งนี้ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา


แต่จางเซวียนก็ไม่ค่อยสบายใจที่จะทำแบบนั้น เพราะนั่นเท่ากับเขาขโมยความหวังของการมีอนาคตที่ดีขึ้นไปจากคนอื่นๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้ทำให้เขาหนักใจ


ตอนที่ 2172 โชคมาเกี่ยวอะไรด้วย?

จางเซวียนรู้ว่าสรวงสวรรค์คือสถานที่ที่ผู้มีอำนาจและแข็งแกร่งกว่าสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แต่นั่นไม่ใช่การกระทำชนิดที่คนอย่างเขาต้องการ ถ้าเป็นไปได้…ก็ไม่อยากใช้วิธีการแบบนั้น


ซุนฉางครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เท่าที่ผมรู้มา มีอีกทางหนึ่ง บางที…น่านฟ้าแห่งวิญญาณเร่ร่อนอาจรู้สึกว่าการมอบโควต้าเพียง 1,000 ที่ให้เมืองตะวันรอนนั้นน้อยเกินไปและเสี่ยงต่อการเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ จึงมอบโควต้าอีก 200 ที่ให้กับคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือตำหนักบาดาล ตำหนักบาดาลจะนำโควต้าเหล่านั้นออกขาย ผู้ที่คว้าโควต้ามาได้สำเร็จก็จะได้เข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง”


เมืองตะวันรอนมีระเบียบกฎเกณฑ์ ผู้ฝ่าฝืนกฎจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง แต่เมื่อคนคนหนึ่งหมดหนทางขึ้นมา ก็คงไม่ลังเลที่จะยอมเสี่ยงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ


เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์วุ่นวาย น่านฟ้าแห่งวิญญาณเร่ร่อนจึงเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า


“นำออกขาย? แปลว่าต้องประมูลโควต้าหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ถ้าเป็นอย่างนั้น ใครก็ตามที่มีเงินมากพอย่อมได้โควต้าทั้งหมดไป แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเปิดรับสินบน!


“ไม่ใช่หรอก ราคาของโควต้าน่ะไม่ได้แพงเกินไป การจะได้โควต้ามาไม่ใช่เพราะเงิน แต่ขึ้นอยู่กับโชค” ซุนฉางตอบ


“โชค?” จางเซวียนทวนคำอย่างงุนงง


“โชคมาเกี่ยวอะไรด้วย?”


ซุนฉางพยักหน้าและอธิบายอย่างจริงจัง “โควต้าเหล่านี้ไม่ได้ถูกวางขายให้เหล่านักรบโดยตรง แต่ใช้ระบบอย่างหนึ่งที่เหมือนกับการโยนลูกเต๋า ตำหนักบาดาลจะกำหนดตัวเลขไว้ 100 หมายเลขสำหรับโควตาแต่ละที่ นักรบคนหนึ่งจะซื้อหมายเลขไหนก็ได้ ทันทีที่ทั้ง 100 หมายเลขถูกขายหมด ก็จะมีการประกาศผลออกมา ใครที่ถูกรางวัลก็จะได้โควต้าไป ส่วนคนที่เหลือก็พยายามใหม่”


“เพื่อป้องกันการโกง จึงมีกฎเกณฑ์กำหนดไว้อย่างชัดเจน นักรบคนหนึ่งจะซื้อได้เพียง 1 หมายเลขต่อวันเท่านั้น และแต่ละหมายเลขก็จะมีผู้ซื้อได้เพียงคนเดียว”


“ฮะ…” จางเซวียนชะงัก


แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเล่นการพนัน!


จางเซวียนถามต่อด้วยสีหน้าที่ยังสงสัย “แล้ว 1 หมายเลขมีราคาเท่าไหร่?”


“ผมว่าก็ไม่แพงเกินไปนะ แต่ก็ไม่ถูก…1 หมายเลขมีสนนราคาอยู่ที่หนึ่งเหรียญสวรรค์!” ซุนฉางตอบ


จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ


หนึ่งเหรียญสวรรค์ถือว่าแพงสำหรับคนทั่วไป แต่ก็ใช่ว่าจะเอื้อมไม่ถึง อันที่จริง พวกเขายังพอมีโอกาสแม้โอกาสจะริบหรี่เต็มที


ในเวลาเดียวกัน มันก็ไม่ได้ถูกเสียจนจะทำให้พวกคนรวยโกงระบบได้ จริงอยู่ว่าพวกเขาได้เปรียบเรื่องเงิน แต่สำหรับความเป็นไปได้ที่มีเพียง 1% แต่ละคนคงต้องใช้เหรียญสวรรค์จำนวนหลายสิบหรือแม้แต่หลายร้อยเหรียญกว่าจะได้โควต้ามาสักหนึ่งที่…


นั่นถือเป็นเงินจำนวนมาก ต่อให้ผู้ที่มาจากตระกูลมั่งคั่งก็ไม่อาจทุ่มเงินให้กับการเสี่ยงโชคแบบนี้ได้


ถึงจะไม่ต่างอะไรกับการพนัน แต่จางเซวียนก็เห็นด้วยว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่จะกระจายโควต้าให้ทั่วถึงกันภายในเมืองตะวันรอน


“ตำหนักบาดาลอยู่ที่ไหน? ผมอยากไปดูให้เห็นกับตา” จางเซวียนพูดขณะเดินไปที่ประตูทางออก


แต่หลังจากเดินไปได้ 2-3 ก้าว ก็พลันนึกอะไรบางอย่างได้ จึงออกปากสั่งการ “พาจ้าวหย่ากับคนอื่นๆไปด้วย”


แน่นอนว่าพวกนั้นควรไปกับเขา เพราะนั่นหมายถึงโอกาสของการได้เข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง


อีกอย่าง ในเมื่อนักรบคนหนึ่งซื้อได้เพียง 1 ตัวเลขต่อ 1 วัน ก็จำเป็นต้องใช้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเพิ่มโอกาส


“ได้สิ แต่ตำหนักบาดาลอยู่ไกลจากที่นี่เอาการนะ น่าจะใช้เวลา 7 ถึง 8 ชั่วโมง” ซุนฉางพูด


“ไม่เป็นไร ขี่ม้าไปก็ได้” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


พวกเขายังมีม้าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่ยึดมาจากกองโจร ถ้าขี่ม้าไปก็น่าจะไปถึงภายใน 1 ชั่วโมง


เมื่อไม่มีอะไรเพิ่มเติม ซุนฉางรีบเดินไปบอกจ้าวหย่ากับคนอื่นๆให้มารวมตัวกันที่ลานบ้าน


เท่าที่ดูจากสีหน้าเคร่งเครียดของพวกนั้น ดูเหมือนซุนฉางจะบอกรายละเอียดกับทุกคนแล้ว


“ไปกันเถอะ!”


จางเซวียนกับศิษย์สายตรงของเขารีบปีนขึ้นหลังม้าและควบออกไป


เป็นอย่างที่คาดไว้ ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงก็มาถึงตำหนักบาดาล


ทุกคนรีบหาที่ผูกม้าก่อนจะเดินตรงเข้าไป


สถานที่ที่เรียกว่าตำหนักบาดาลนั้นกว้างใหญ่มาก แต่ไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนหอนิรันดร์ แทนที่จะเรียกว่าตำหนัก เรียกว่า ‘ตลาด’ ดูจะเหมาะสมกว่า


ที่นั่นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนตอนที่พวกเขาเข้าไป


“ผมได้มาหนึ่งที่! มีใครจะซื้อไหม? ลดราคานะ! 50 เหรียญสวรรค์เท่านั้น จ่ายเต็ม!”


“ผมเอา!”


“ขายผมเถอะ ผมให้ 51 เหรียญ!”


“ฮ่า! ผมให้ 52 เหรียญ!”


คนกลุ่มหนึ่งตรงเข้ากลุ้มรุมชายที่นำโควต้ามาเสนอขาย


“หนึ่งเหรียญสวรรค์มากพอจะซื้อเศษเสี้ยวหนึ่งของความหวังได้ จึงมีผู้คนมากมายมาที่นี่เพราะหวังเสี่ยงโชค ซึ่งหากทำสำเร็จ ก็จะได้ขายโควต้านั้นให้คนอื่นๆ ขอแค่ตั้งราคาต่ำกว่า 100 เหรียญสวรรค์ ถึงอย่างไรก็มีคนซื้อ เพราะต่อให้คุณมีเงิน 100 เหรียญสวรรค์อยู่ในมือ ก็ยากที่จะรวบรวมผู้คนที่ไว้ใจได้ในจำนวนที่มากพอจะกว้านซื้อทุกหมายเลข และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆจะไม่คว้าเลขนั้นไปก่อน…”


“เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็เริ่มทำธุรกิจกับสิ่งนี้ มีคนไม่น้อยพยายามเก็งทิศทางของตัวเลข หวังจะได้ตัวเลขที่ตรงเผง” ซุนฉางตั้งข้อสังเกต


“เก็งทิศทางของตัวเลข?” จางเซวียนส่ายหัว


นี่ไม่ต่างอะไรกับการซื้อลอตเตอรี่ในชีวิตเก่าของเขา แล้วทิศทางของตัวเลขควรจะเป็นอย่างไร?


คนคนหนึ่งควรใช้ชีวิตแบบติดดินมากกว่า เพราะโอกาสที่จะได้เงินก้อนใหญ่จากการทำงานหนักมีสูงกว่าการถูกลอตเตอรี่หลายเท่า!


แต่ก็แน่นอนว่าคนมากมายไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งนั้นได้ จึงยังมีนักเสี่ยงโชคจำนวนหนึ่งที่ใช้ชีวิตวันต่อวัน หวังว่าเทพธิดาแห่งโชคชะตาจะเข้าข้างพวกเขาสักครั้ง


จางเซวียนเห็นคนแบบนี้มามากมายในชีวิตเก่าของเขา


เครื่องมือที่ทำหน้าที่เลือกหมายเลขคือวงล้อเสี่ยงทายที่มีตัวเลขจำนวน 100 หมายเลขอยู่บนนั้น มีเข็มเล่มหนึ่งอยู่บนวงล้อซึ่งจะหมุนติ้วทันทีที่วงล้อถูกเปิดใช้งาน มันถูกควบคุมด้วยค่ายกลชนิดพิเศษ จึงไม่มีใครสามารถควบคุมหรือชี้นำผลการเสี่ยงทายได้


เมื่อเริ่มเสี่ยงทาย เข็มเล่มนั้นจะหมุนติ้วต่อหน้าต่อตาผู้ชม แต่หลังจากหมุนไปได้ 2-3 รอบ ค่ายกลจะถูกเปิดใช้งานเพื่อบดบังเข็มเล่มนั้นไว้ และทันทีที่เข็มหยุดหมุน ทุกคนก็จะเริ่มซื้อหมายเลขที่พวกเขาคาดว่าเป็นเลขที่ออก


กระบวนการซื้อหมายเลขก็ไม่ยาก มันคล้ายกับคาสิโนสมัยโบราณที่เพียงแค่วางเงินบนโต๊ะเพื่อซื้อตัวเลขที่คุณต้องการ


จางเซวียนมองแค่แวบเดียวก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี สาวๆและหนุ่มๆ อย่างที่พวกคุณรู้ การทดสอบทุกครึ่งปีของภูเขาสวรรค์สร้างจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่เรายังเหลือโควต้าอีก 30 ที่ วันนี้เราจะนำออกขายทั้งหมด ถ้าคุณยังไม่ได้โควต้าสำหรับตัวเองหรือคนที่คุณรัก นี่คือโอกาสที่ไม่ควรพลาด!”


ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ขายตัวเลขกวาดสายตามองฝูงชนก่อนจะตะโกน “เริ่มได้!”


ทันทีที่สิ้นเสียง เข็มที่อยู่บนวงล้อก็หมุนติ้ว หลังจากหมุนไปได้ 2-3 รอบ ค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งาน บดบังเข็มและวงล้อไว้ไม่ให้ใครๆเห็น


“จากประสบการณ์ของผม เมื่อไหร่ก็ตามที่เข็มบนวงล้อหมุนเร็วขนาดนั้น เลขที่ออกน่าจะเป็นหมายเลข 10 หรือต่ำกว่า”


“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่ามั่นใจนักเลย ผมก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน บอกคุณได้คำเดียวว่าตัวเลขที่เหมาะสมที่สุดที่ควรแทงน่ะอยู่ระหว่าง 80-90”


“เพ้อเจ้อ! คราวก่อนน่ะหมายเลขที่ออกคือ 80 และก่อนหน้านั้นคือหมายเลข 9 เพราะฉะนั้น…ในความคิดของผม คราวนี้น่าจะอยู่ที่ราวๆ 20 ถ้าคุณดูให้ดีล่ะก็ จะรู้เลยว่าเข็มน่ะไม่ได้ชี้ไปที่หมายเลขระหว่าง 20-30 มาระยะหนึ่งแล้ว!”


เมื่อเข็มเริ่มหมุน ฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างก็ออกความคิดเห็นกันอย่างเผ็ดร้อนว่าหมายเลขไหนที่น่าจะออก


ครู่ต่อมา ค่ายกลที่อยู่รอบวงล้อเสี่ยงทายก็หยุดสั่น บ่งบอกว่าเข็มหยุดหมุนแล้ว


ผู้ที่ถือสมุดเล่มเล็กไว้ในมือเริ่มคำนวณแรงเหวี่ยงเริ่มต้นของเข็ม ความกดดันอากาศ แรงเสียดทาน แรงลม และปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย พวกเขาเข้าสู่การสร้างสมการที่คิดค้นขึ้นเองเพื่อหาตัวเลขที่ ‘ถูกต้อง’


“วางเดิมพันของคุณมาเลย! ตัดสินใจเลือกเลขไหนแล้วก็วางเงินและถอยออกไป!” ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ดูแลวงล้อเสี่ยงทายส่งเสียงตะโกน


น่าประหลาดใจที่ไม่มีใครสักคนรีบเข้าไปวางเดิมพัน พวกเขากลับเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อดูว่าคนอื่นกำลังทำอะไร


“ดวงตาหยั่งรู้!” จางเซวียนเพ่งสมาธิขณะพยายามมองทะลุค่ายกล


ถ้าเขามองทะลุค่ายกลได้ ก็จะรู้ผลของการเสี่ยงทาย ซึ่งจะทำให้ประหยัดเหรียญสวรรค์อันล้ำค่าไปได้มาก


ครู่ต่อมา จางเซวียนก็ส่ายหัว


ดูเหมือนค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นโดยราชันย์เทพเจ้าจะมีกลไกบางอย่างที่ทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครสามารถแอบดูผลการเสี่ยงทายได้ก่อนที่ค่ายกลจะถูกปิดใช้งาน ทำให้มั่นใจได้เรื่องความชอบธรรม


“แล้วถ้าใช้หอสมุดเทียบฟ้าล่ะ? ข้อบกพร่อง!”


ในเมื่อตอนนี้ค่ายกลถูกเปิดใช้งานอยู่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องแตะมันเพื่อทำการประมวลหนังสือ


จางเซวียนรีบพลิกดูหน้าหนังสือที่ปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้า


“ค่ายกลปกปิดวงล้อเสี่ยงทายโควต้าภูเขาสวรรค์สร้างของเมืองตะวันรอน ข้อบกพร่อง: ข้อ 1…”


สิ่งที่ระบุในหนังสือคือข้อบกพร่องมากมายของค่ายกล เช่นปัญหาที่เกิดขึ้นกับวัสดุที่ใช้สร้างค่ายกล ความผิดพลาดของผู้ติดตั้งค่ายกล และข้อบกพร่องอื่นๆเกี่ยวกับพิมพ์เขียว


แต่ไม่มีข้อไหนที่จางเซวียนนำมาใช้ได้เลย เขาไม่ต้องการข้อมูลพวกนี้ สิ่งที่เขาอยากรู้คือเข็มเล่มนั้นจะชี้ไปที่หมายเลขไหน


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากำลังจะปิดหนังสือ ก็พอดีกับที่เห็นรายละเอียดบรรทัดสุดท้าย


“ข้อบกพร่อง ข้อที่ 68: 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9…”


มันคือตัวเลขที่เรียงกัน มีทั้งหมด 99 ตัว ตัวเดียวที่หายไปจากตรงนั้นคือหมายเลข 73


หรือจะหมายความว่าเข็มเล่มนั้นชี้ไปที่หมายเลข 73? ซึ่งเหตุผลที่หมายเลขอื่นๆถูกระบุว่าเป็นข้อบกพร่องเพราะเข็มไม่ได้ชี้ไปที่มันหรือเปล่า? จางเซวียนคิดขณะใจเต้นตึกตัก


ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่ต่างกับการที่เขาเดินเข้าสู่ห้องสอบพร้อมกับคำตอบที่มีพร้อมในมือ ด้วยสิ่งนี้ เขาแน่ใจได้เลยว่าจะเอาชนะการเสี่ยงทายได้ทุกรอบ!


“ซุนฉาง ไปตรงนั้น ซื้อหมายเลข 73 มา!” จางเซวียนสั่งการโดยไม่ลังเล


“73?” ซุนฉางขมวดคิ้ว “นายน้อย ผมดูการคิดคำนวณของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่นี่แล้ว พวกเขาได้ข้อสรุปร่วมกันว่าควรจะแทงระหว่างหมายเลข 30-40 เพื่อให้มีโอกาสชนะ ผมไม่แน่ใจว่าการแทงหมายเลข 73 จะเป็นความคิดที่ดีนัก”


มีผู้คนมากมายทำการคิดคำนวณไว้ว่าเข็มน่าจะหยุดอยู่ตรงไหน โดยใช้ข้อมูลที่พวกเขารวบรวมได้จากการเปิดใช้งานค่ายกลในครั้งก่อนๆ


แม้จะเป็นไปได้ยากที่จะคำนวณหมายเลขที่เข็มจะชี้ไปให้ถูกเป๊ะ แต่พวกเขาก็พยายามสุดฝีมือเผื่อว่าจะมีโอกาส และยังเป็นแนวทางให้กับผู้ที่คิดจะเข้าร่วมเสี่ยงทายด้วย


ตอนที่ 2173 เป็นไปได้อย่างไร?

“หุบปากน่ะ ไปจัดการตามนั้นเถอะ” จางเซวียนตอบอย่างหงุดหงิด


ซุนฉางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขาเดินไปที่โต๊ะและวางเงิน 1 เหรียญสวรรค์ จากนั้นก็พูดว่า “ผมขอแทงหมายเลข 73”


“คุณจะแทงหมายเลข 73? ไม่กลัวตายเลยสินะ?”


เมื่อเห็นว่าหมายเลขแรกที่ถูกซื้อไปไม่ได้ใกล้เคียงกับข้อสรุปร่วมกันของคนอื่นๆ ฝูงชนพากันหัวเราะลั่น


จากการคิดคำนวณของพวกเขา ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามีโอกาสสูงที่เข็มจะชี้ไปที่หมายเลข 30 ถึง 40 จึงอดคิดไม่ได้ว่าช่างโง่เง่าเหลือเกินที่อีกฝ่ายเลือกแทงหมายเลขที่ห่างไกลลิบลับกับการวิเคราะห์แบบมีหลักการของพวกเขา


ในตอนนั้นเอง ชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งก็ก้าวฉับๆเข้ามาและพูดด้วยทีท่าโอหัง “สหาย คุณซื้อหมายเลข 73 หรือ? ขอผมบอกคุณหน่อยนะ แทงเลขนั้นน่ะคุณเสียแน่ ฟังผมเถอะ แทงหมายเลข 36 ดีกว่า ผมมั่นใจเลยว่าคุณจะไม่พลาด!”


“อ้อ คุณคงไม่รู้ว่าผมเป็นใครสินะ ใช่ไหม? ผมชื่อเหยาซัน อยู่ที่นี่มาตั้งแต่วงล้อเสี่ยงทายถูกเปิดใช้งานเป็นครั้งแรก เห็นทุกหมายเลขที่ออกตลอดสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ช่วยเหลือผู้คนมามากกว่า 30 คนให้คว้าโควต้าได้สำเร็จ ว่าอย่างไรล่ะ? เชื่อผู้เชี่ยวชาญเถอะ แล้วคุณจะไม่มีวันผิดพลาด!”


“ผู้เชี่ยวชาญ?” จางเซวียนเลิกคิ้ว “ไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงคิดจะช่วยผม?”


“ง่ายนิดเดียว ถ้าเลขนั้นออก คุณก็จ่าย 10 เหรียญสวรรค์ให้ผมเป็นค่าบริการ แต่ถ้าไม่ใช่…ถ้าความต่างบวกลบไม่เกิน 3 หมายเลข คุณจะต้องจ่ายผม 1 เหรียญสวรรค์ ถ้าความต่างบวกลบไม่เกิน 10 หมายเลข จะต้องจ่ายผม 100 เหรียญกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ถ้าความต่างบวกลบเกิน 10 หมายเลขล่ะก็ ผมจะจ่ายคุณ 100 เหรียญกึ่งสรวงสวรรค์เลย!” เหยาซันตอบอย่างมั่นใจ


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนหัวเราะหึๆและถามต่อ “แล้วถ้าผลออกมาบวกลบเกิน 30 ล่ะ?”


“ถ้าความต่างบวกลบเกิน 30 ล่ะก็ ผมจะจ่ายคุณ 1 เหรียญสวรรค์!” เหยาซันตอบอย่างมั่นใจ


จากการศึกษาและวิเคราะห์มาตลอดหลายปี เขาคิดค้นกฎเกณฑ์อันสมบูรณ์แบบที่มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่เข้าใจ ดูจากการหมุนของเข็มเมื่อครู่ เขาสรุปได้ว่าตัวเลขจะต้องอยู่ระหว่าง 1 ถึง 10 หรืออย่างแย่ที่สุดก็ไม่เกิน 30 ถึง 40


จางเซวียนกระพริบตาปริบๆครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมคิดว่าถึงอย่างไรก็จะแทงหมายเลข 73 ส่วนคุณจะแทงหมายเลข 36 ของคุณก็ได้ถ้าคุณต้องการ ส่วนเดิมพันน่ะ ทำไมไม่ทำแบบนี้ล่ะ? ถ้าคุณทายถูก ผมจะจ่ายคุณ 2 เหรียญสวรรค์ แต่ถ้าผมทายถูก คุณจะต้องจ่ายผม 2 เหรียญสวรรค์เหมือนกัน แบบนี้เป็นไง?”


เหยาซันลังเลเล็กน้อย


พูดกันตามตรง เหยาซันก็ไม่ได้มั่นใจเต็มเปี่ยมในหมายเลขของเขา เขาแค่วางท่ามั่นใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นตัวเอง เหยาซันวางกฎเกณฑ์ของเดิมพันไว้ในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเขาแล้ว ขอแค่ได้รับความไว้วางใจจากคนอื่นๆ ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะได้กำไรติดกระเป๋ากลับไป แต่ถ้าบังเอิญทายถูกขึ้นมา ก็ถือว่าได้รางวัลก้อนใหญ่!


ในความเห็นของเขา ทำแบบนี้ปลอดภัยและได้เงินดีกว่าการเลือกแทงหมายเลขบนวงล้อโดยตรง อันที่จริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาทำเงินได้ไม่น้อยจากกิจการนี้ จนสามารถซื้อบ้านพักในทำเลทองของเมืองตะวันรอนได้!


มันเป็นบ้านพักขนาด 2 ห้องนอน มีห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และห้องครัว


ดังนั้น การเสี่ยงทายหมายเลขโดยตรงจึงทำให้เขาออกจะลังเล และเดิมพันก็สูงลิ่ว เป็นราคาถึง 2 เหรียญสวรรค์


“แล้วถ้าเราทั้งคู่ไม่มีใครทายถูกล่ะ?”


“ในเมื่อผมเป็นคนยื่นข้อเสนอ ถ้าเราสองคนทายไม่ถูก ผมก็จะถือว่าผมแพ้ จะจ่ายคุณ 2 เหรียญสวรรค์เช่นกัน” จางเซวียนตอบ


“ตกลงตามนั้น!”


ได้ฟังคำตอบ เหยาซันตาโต เขาเดินตรงเข้าไปในฝูงชน จากนั้นก็พาชายหนุ่มคนหนึ่งออกมา ดูเหมือนชายหนุ่มคนนั้นจะเชื่อเขาและแทงหมายเลข 36


เกิดการหารือกันกว่า 10 นาทีก่อนที่ทุกหมายเลขจะถูกซื้อไป


“ในเมื่อตอนนี้ทุกหมายเลขมีผู้ซื้อไปหมดแล้ว ผมจะขยับค่ายกลล่ะนะ เพื่อดูว่าเข็มชี้ไปที่ตำแหน่งไหน!” ชายหนุ่มหัวเราะลั่นขณะใช้นิ้วเคาะค่ายกล


ฟึ่บ!


ม่านหมอกที่อยู่ในค่ายกลค่อยๆสลายตัวไป เผยให้เห็นผลของการเสี่ยงทายต่อหน้าต่อตา


“หวังว่าคุณคงพร้อมจ่ายนะ” เหยาซันพูดพร้อมกับหัวเราะหึๆ เขามองจางเซวียนอย่างลิงโลด


เหยาซันไม่คิดว่าจะมีใครโง่เง่าถึงขนาดแทงหมายเลขที่ตรงข้ามกับเขา ขอแค่เข็มชี้ไปที่หมายเลขไหนก็ได้ในบรรดา 99 หมายเลขที่ไม่ใช่หมายเลข 73 เขาก็ได้เงิน 2 เหรียญสวรรค์อยู่ดี!


เมื่อนึกถึงลาภลอยก้อนย่อมๆที่กำลังจะได้มาเร็วๆนี้ เหยาซันก็เริ่มครุ่นคิดว่าเขาควรใช้มันซื้อเกี้ยวหลังใหม่ดีไหม เพื่อจะได้นำไปอวดเพื่อนฝูง หรือไม่ก็ไปเที่ยวบาร์และใช้เวลากับสาวๆ


ในตอนนั้น ผลการเสี่ยงทายถูกเปิดเผยแล้ว ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าประกาศลั่น “หมายเลขที่ออกคือ…หมายเลข 73!”


“หมายเลข 73?” เหยาซันผงะเมื่อได้ยินเสียงประกาศ เขาหันขวับไปมองวงล้อเสี่ยงทาย เข็มนั้นหยุดอยู่ที่หมายเลข 73 จริงๆ คนละเรื่องกับหมายเลข 36 ที่เขาเสนอ


“เป็นไปได้อย่างไร? พวกเราคำนวณพลาดหรือ?”


“ต่อให้เราคนใดคนหนึ่งพลาด ก็ไม่มีทางที่ทุกคนจะทำพลาดเหมือนๆกัน!”


“ผมบอกคุณแล้วว่าวงล้อเสี่ยงทายจะเหวี่ยงไปเรื่อยๆ ไม่มีทางที่การคิดคำนวณแบบของคุณจะใช้ได้ผล แต่คุณก็ไม่ฟัง!”


เลขที่ออกทำให้นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากถึงกับจังงัง


พวกเขารีบทบทวนการคำนวณของตัวเอง ซึ่งก็ไม่มีจุดไหนผิดพลาด แล้วทำไมเลขที่ออกถึงลงเอยโดยแตกต่างจากการคาดการณ์ของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง?


“เพราะฉะนั้น โควต้านี้จะตกเป็นของ…ซุนฉาง!”


ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ดูแลวงล้อเสี่ยงทายไม่แยแสเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่รอบตัว เขายื่นตราหยกอันหนึ่งให้ซุนฉาง


ขณะที่รับตราหยกมา ซุนฉางอดไม่ได้ที่จะจ้องจางเซวียนเขม็ง ดูราวกับลูกตาของเขาพร้อมจะร่วงลงพื้นได้ทุกขณะ


ผู้เชี่ยวชาญมากมายพากันสรุปว่าเข็มจะต้องชี้ไปที่หมายเลขระหว่าง 30-40 อย่างแน่นอนโดยวิเคราะห์จากการคำนวณของพวกเขา ซุนฉางคิดว่าหมายเลข 73 ที่จางเซวียนเลือกคงไม่มีโอกาสถูก แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือคำตอบที่ถูกต้อง!


“นายน้อย…” ซุนฉางแทบไม่อยากเชื่อ ขณะที่เริ่มสงสัยว่าคราวนี้จางเซวียนอาจเป็นของจริง


“ก็แค่โชคดีน่ะ” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉยขณะหันไปมองเหยาซัน“ผลออกแล้วนะ…2 เหรียญสวรรค์”


“ได้!” เหยาซันหน้าแดงก่ำ เขากัดฟันกรอดขณะยื่นเงิน 2 เหรียญสวรรค์ให้จางเซวียน


เขาวนเวียนอยู่ที่นี่มาหลายทศวรรษแล้ว ถือเป็นผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง หากปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าชดใช้ ก็คงไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีก


ไม่ช้าเข็มที่อยู่บนวงล้อเสี่ยงทายก็หมุนติ้วอีกครั้ง เพียงไม่นาน ค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งาน บดบังเข็มไว้ด้วยชั้นหมอกหนา


เหยาซันจับตามองทุกกระบวนการอย่างถี่ถ้วนเพื่อเก็บทุกรายละเอียด เขาหันไปถามจางเซวียน “พนันกับผมอีกไหม?”


“ได้สิ!” จางเซวียนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ


“ผมแทงหมายเลข 57…บวกลบ 10” เหยาซันพูด “เหมือนครั้งก่อนนะ เดิมพันคือ 2 เหรียญสวรรค์!”


“ไม่มีปัญหา” จางเซวียนตอบยิ้มๆ เขาหันไปพูดกับจ้าวหย่า “เดินไปตรงนั้น แทงหมายเลข 95”


“ได้ ท่านอาจารย์” จ้าวหย่ารีบเดินไปและแทงหมายเลข 95


เหยาซันรีบหาคนมาแทงหมายเลข 57


ครู่ต่อมา ผลการเสี่ยงทายก็ปรากฏ…


95!


เหยาซันทึ้งผมอย่างคลุ้มคลั่ง


การคำนวณของเขาผิดพลาดอย่างจังถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ขณะที่อีกฝ่ายทายถูกเผงทั้ง 2 ครั้ง! หมอนั่นทำได้อย่างไร?


วงล้อเสี่ยงทายมีระดับการสุ่มไม่ใช่หรือ?


หรือการคำนวณตัวเลขที่ถูกต้องสามารถทำได้จริงๆ?


เหยาซันกัดฟันกรอด เขายื่นเงิน 2 เหรียญสวรรค์ให้จางเซวียนอย่างไม่เต็มใจ


ตอนนี้เขาใกล้เสียสติเต็มที เขาอยู่ที่นี่มาก็หลายทศวรรษแล้ว ดูออกว่าใครคือมือใหม่ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาเดินเข้าหาจางเซวียนเพื่อยื่นข้อเสนอและหวังทำกำไรจากอีกฝ่าย แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขากำลังตกเป็นเหยื่อเสียเอง


เขาเสียเงิน 4 เหรียญสวรรค์ไปในชั่วพริบตา!


ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังได้โควต้าไปถึง 2 ที่ด้วยเงินของเขา


“คุณจะเล่นต่อไหม?” จางเซวียนถามยิ้มๆขณะที่เข็มเริ่มหมุนติ้วอีกครั้ง


เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหยาซันคนนี้ช่างใจดีเหลือเกิน ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ เขาคงเดินออกจากคาสิโนแห่งนี้ได้พร้อมกับโควตาในมือ แถมด้วยเงินพิเศษอีกจำนวนหนึ่ง


“ไม่ล่ะ ผมขอผ่าน…” เหยาซันตัวสั่นเมื่อคิดว่ากำลังจะต้องเสียเงินอีก 2 เหรียญสวรรค์


ถ้าเขายังพนันกับชายหนุ่มคนนี้ต่อไป ก็เป็นไปได้ว่าอาจต้องเสียบ้านที่เพิ่งซื้อมา อันที่จริง เขารู้สึกว่าตัวเองเสียห้องน้ำไปห้องหนึ่งเรียบร้อยแล้ว!


เหยาซันจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ


เขาอดสงสัยไม่ได้…หรือว่าหมอนี่เป็นเทพแห่งการเสี่ยงทายกลับชาติมาเกิด?


เขาไม่รู้ว่ามีเทพแห่งการเสี่ยงโชคอยู่ในสรวงสวรรค์จริงๆหรือเปล่า แต่การที่ชายหนุ่มทายตัวเลขได้ถูกต้องถึง 2 ครั้งติดต่อกันก็เกินพอที่จะชี้ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา


เขาอยากพนันอีก แต่ความมีเหตุผลก็ยับยั้งไว้ มันบอกเขาว่าอาจหมดตัวได้หากดันทุรัง จึงต้องยอมถอย


ต่อให้เขาอยากเดิมพันกับชายหนุ่มอีก ก็ควรจะรออย่างน้อยสัก 2-3 ตาเพื่อดูว่าอีกฝ่ายสามารถทายตัวเลขได้แม่นยำจริงๆหรือไม่


เหยาซันจับตามองเข็มที่กำลังหมุนติ้ว เขาคาดว่าเลขที่ออกน่าจะเป็นหมายเลข 50 จึงแอบชำเลืองมองชายหนุ่ม เห็นอีกฝ่ายสั่งการสาวน้อยคนหนึ่งที่อยู่ข้างเขา


“หวังหยิ่ง แทงหมายเลข 27”


“ได้” สาวน้อยรับคำ


ครู่ต่อมาก็มีการประกาศผล และหมายเลขที่ออกคือหมายเลข 27!


เหยาซันถึงกับเหงื่อโชก โชคดีที่เขาไม่ได้พนันต่อ ไม่อย่างนั้นคงได้เสียห้องครัวด้วย!


เขาล้มเลิกความคิดที่จะล้างตาเพื่อเอา 4 เหรียญสวรรค์คืนจากชายหนุ่มในทันใด แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหมอนั่นใช้วิธีไหนถึงทำนายเลขที่ออกได้แม่นยำแบบนั้น?


โอกาสมีเพียงหนึ่งในร้อย แต่เขาก็ทำได้ถึง 3 ครั้งติดต่อกัน…


ครั้งแรกอาจเป็นโชคดี ครั้งที่ 2 ก็อาจเป็นความบังเอิญครั้งใหญ่ แต่ครั้งที่ 3…มันเกินความเป็นจริงไปมากหากจะคิดว่านั่นคือความโชคดีอีกครั้ง!


ไม่ใช่เหยาซันคนเดียวที่งุนงง จ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็สงสัยไม่แพ้กัน นัยน์ตาของพวกเขาเป็นประกายด้วยความชื่นชมยกย่อง


สมกับเป็นท่านอาจารย์!


เขาโดดเด่นเสมอแม้เมื่ออยู่ในสรวงสวรรค์…สถานที่ที่ผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังที่สุดในจักรวาลต่างแวะเวียนมา


…..


ฟู่หยวนคือ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองตะวันรอน มีอิทธิพลยิ่งใหญ่และได้รับความเคารพจากผู้คนทั่วไป เป็นรองก็เพียงท่านเจ้าเมืองอู๋ฟังชิงเท่านั้น เขาทำหน้าที่ดูแลบริหารกิจการทั่วไปที่เกี่ยวกับตำหนักบาดาล


วงล้อเสี่ยงทายก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา


ตอนที่ 2174 บ้าที่สุด!

หลังจากเสร็จสิ้นอาหารเที่ยงมื้อใหญ่ ฟู่หยวนยืดหลังบิดขี้เกียจก่อนจะเดินไปที่โรงมหรสพเพื่อชมการแสดง


เขารู้ดีว่าแม้ตัวเองจะมีตำแหน่งสูงส่ง แต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดหรือทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันรอน แต่ฟู่หยวนก็พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ ในฐานะนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงและผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่ง เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไต่เต้าให้สูงไปกว่านี้


ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีความคิดแบบนั้น แต่รู้ดีว่าด้วยขีดจำกัดของสติปัญญา เขาคงไม่มีทางได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ควรเสียเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไปกับการไขว่คว้าสิ่งที่สูญเปล่า


การใช้ชีวิตแบบสบายๆและเก็บเกี่ยวความสุขจากการทำงานหนักมาชั่วชีวิตย่อมดีกว่ากันมาก


“หลัวเซิง ไปดูซิว่าแม่ดอกบัวน้อยแห่งตำหนักหยกแดงว่างหรือเปล่า ถ้าเธอว่าง บอกเธอด้วยว่าจบการแสดงแล้วผมจะไปหา” ผู้อาวุโสฟู่หยวนสั่งการ


แม่ดอกบัวน้อยแห่งตำหนักหยกแดงคือหนึ่งในคู่ขาคนสนิทของเขา และเขาก็ไปหาเธอบ่อยๆ


ลูกน้องของฟู่หยวนที่ชื่อหลัวเซิงพยักหน้าก่อนจะรีบออกไป ไม่ช้าก็กลับมาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย


เห็นความปั่นป่วนของหลัวเซิง ผู้อาวุโสฟู่หยวนลุกขึ้นยืนขณะจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”


“นายท่าน เราเพิ่งได้รับรายงานว่าใครคนหนึ่งแทงหมายเลขบนวงล้อเสี่ยงทายได้ถูกต้องถึง 11 ครั้งติดต่อกัน!” หลัวเซิงตอบอย่างอัศจรรย์ใจ


“เดี๋ยวก่อน คุณกำลังบอกว่าเขาเอาชนะวงล้อเสี่ยงทายได้ถึง 11 ครั้งติดต่อกัน?” ผู้อาวุโสฟู่หยวนถึงกับผงะ “หมายความว่าอย่างไร? เขาซื้อทีเดียว 100 หมายเลข หรือว่า…มันเกิดอะไรขึ้น?”


เคยมีกรณีที่คนรวยมากๆจะซื้อพร้อมกันทีเดียว 100 หมายเลขเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็จะได้โควต้ามา


“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น เขาซื้อทีละหมายเลข แต่ก็แทงถูกทุกรอบ อย่างกับค่ายกลของวงล้อเสี่ยงทายทำตามความต้องการของเขาอย่างนั้นแหละ” หลัวเซิงตอบด้วยสีหน้าที่ยังไม่อยากเชื่อ


“เขาซื้อแค่หนึ่งหมายเลข แต่แทงทุกครั้ง?” ผู้อาวุโสฟู่หยวนตาโต “คุณไม่ได้โกหกผมใช่ไหม?”


“นี่เรื่องจริงนะ! ตอนนี้ที่นั่นวุ่นวายมาก” หลัวเซิงอุทานออกมา


“แล้ว…คุณตรวจสอบค่ายกลหรือยัง? มันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”


“เราตรวจสอบถี่ถ้วนแล้ว ทุกอย่างทำงานเป็นปกติ!”


“ไปดูกัน” ฟู่หยวนพูดขณะรีบมุ่งหน้าสู่ตำหนักบาดาล


ไม่ช้าก็ถึงที่หมาย


ในตอนนั้น ฝูงชนกลุ่มใหญ่กำลังออกันอยู่รอบวงล้อเสี่ยงทาย


“เขาแทงถูกอีกแล้ว! นี่ครั้งที่ 13 แล้วนะ ใช่ไหม?”


“บ้าที่สุด! แทงถูกถึง 13 ครั้งติดต่อกัน! ทำได้ไง?”


“ดูเหมือนพวกเราที่เหลือจะไม่มีโอกาสเลย…”


ทุกคนในห้องล้วนแต่ไม่เชื่อสายตา


ผู้อาวุโสฟู่หยวนเดินเข้าไปตรวจสอบค่ายกล แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ชายหนุ่มที่ทุกคนในห้องกำลังรุมล้อมเขาอยู่ก็ไม่ได้แสดงอาการน่าสงสัย อันที่จริง สองมือของเขาไพล่หลังอยู่ตลอดเวลาด้วยซ้ำ


เป็นไปได้จริงๆหรือที่ใครสักคนจะแทงถูกติดต่อกันถึง 13 ครั้งโดยไม่ได้ทำอะไรเลย?


เมื่อเห็นเข็มที่อยู่บนวงล้อกำลังจะหมุนติ้วเป็นครั้งที่ 14 ผู้อาวุโสฟู่หยวนรีบเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “ให้ผมจัดการเอง!”


จากนั้นเขาก็กระดิกนิ้ว แล้วเข็มบนวงล้อเสี่ยงทายก็หมุนติ้ว


ครู่ต่อมา ค่ายกลก็สั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะปล่อยม่านหมอกเข้าปกคลุมวงล้อ


ผู้อาวุโสฟู่หยวนตรวจดูวงล้อทุกตารางนิ้ว แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ


“แทงหมายเลข 13” ชายหนุ่มประกาศ


อีกครู่หนึ่ง เมื่อค่ายกลถูกปิดใช้งาน เข็มบนวงล้อเสี่ยงทายก็ชี้ไปที่หมายเลข 13


นี่คือการประกาศชัยชนะติดต่อกันเป็นครั้งที่ 14 ของชายหนุ่ม


ผู้อาวุโสฟู่หยวนแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะไม่มีทางที่ใครสักคนจะแทงถูกได้ถึง 14 ครั้งติดต่อกัน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร และนั่นทำให้หงุดหงิดมาก


สุดท้ายเขาก็หมดความอดทนแล้วเดินไปหาจางเซวียน “คุณเป็นใครกัน? พยายามทำอะไรอยู่?”


“ผมเป็นแค่บุคคลนิรนามที่ไม่สลักสำคัญอะไร ก็แค่แทงตัวเลขเพื่อจะได้มีโอกาสเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


“แล้วคุณแทงถูกถึง 14 ครั้งติดต่อกันนี่นะ?” ผู้อาวุโสฟู่หยวนคำรามด้วยความสงสัย “พวกเรา! เชิญแขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้ไปที่ห้อง ผมอยากสอบถามอะไรเขาสักหน่อย!”


“คุณจะขังผมหรือ? ตำหนักบาดาลคือสถานที่ที่เปิดขายโควต้า แต่คุณกำลังจะจับกุมผมเพียงเพราะผมโชคดีพอที่จะทายตัวเลขถูก?” จางเซวียนมองหน้าผู้อาวุโสฟู่หยวนอย่างเย้ยหยัน


โดยหลักการ ระบบนี้ทำงานแบบเดียวกับการซื้อลอตเตอรี่ จะมาจับกุมผู้ที่ถูกลอตเตอรี่เพียงเพราะ ผู้นั้นแทงถูกทุกครั้งไม่ได้ ถูกไหม?


เขาไม่ได้ทำอะไรผิดกฎ และไม่เคยแตะต้องวงล้อเสี่ยงทายหรือค่ายกลด้วย


“เหตุผลที่ตำหนักบาดาลนำโควต้าออกวางขายก็เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง ถ้าคุณคว้าโควต้าทั้งหมดไปเป็นของตัวเอง แล้วนักรบคนอื่นๆล่ะ? ก็ไม่ยุติธรรมกับพวกเขาน่ะสิ!” ผู้อาวุโสฟู่หยวนพูด


“คุณพูดถึงความยุติธรรม? คนกลุ่มนั้นน่ะพยายามคิดคำนวณหาทิศทางของวงล้อเสี่ยงทายเพื่อจะทำนายตัวเลข คุณคิดว่ามันยุติธรรมแล้วหรือที่พวกเขาทำแบบนั้น? แถมยังมีผู้คนอีกมากมายที่อุทิศตัวศึกษาวงล้อเสี่ยงทายและถึงกับทำมาหากินกับมันด้วย คุณให้คำจำกัดความเรื่องพวกนี้ว่ายุติธรรมหรือไง?”


จางเซวียนโบกมืออย่างหงุดหงิดและพูดต่อ “ช่างเถอะ ถ้าคุณไม่ต้อนรับผม ผมก็แค่กลับ ลาก่อน”


เขาต้องการโควต้าให้ท่านพ่อท่านแม่กับศิษย์สายตรงทั้ง 11 คนของเขา รวมถึงซุนฉางด้วย ซึ่งก็ได้มาทั้งหมด 14 ที่ตามที่ต้องการแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ


ถึงอย่างไร เป้าหมายของเขาก็คือการได้รังสีสวรรค์จากภูเขาสวรรค์สร้าง ไม่ใช่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าสู่สรวงสวรรค์ การเก็บเนื้อเก็บตัวไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่น


“รอก่อน!” ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสฟู่หยวนจะได้ตอบโต้ ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ในฝูงชนก็ก้าวออกมาขวาง


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายชราที่แพ้พนันให้เขา 2 ครั้งก่อนหน้านี้, เหยาซัน


“คุณคิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือที่จะกลับไปง่ายๆหลังจากคว้าโควต้าไปมากมายขนาดนี้?”


“ใช่!”


“พวกเรามาที่นี่เพื่อหาโควต้า แต่ลงท้ายคุณก็คว้าไปเกือบหมด ตัดโอกาสของพวกเราจนไม่เหลือ คุณจะกลับไปง่ายๆแบบนี้ไม่ได้หรอก!”


“อย่างน้อยที่สุด เอาไปแค่เจ็ดที่ก็พอ แล้วแบ่งที่เหลือให้พวกเรา คงไม่ใช่คำขอที่มากเกินไปหรอกนะ ใช่ไหม?”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ดังจากฝูงชน


พวกเขาไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วชายหนุ่มคดโกงหรือไม่ แต่เมื่อมีคนเปิดฉาก ก็น่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือบ้างหากเข้าไปร่วมวง


จางเซวียนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดมองหน้าผู้อาวุโสฟู่หยวนและตั้งคำถาม “นี่คือกฎเกณฑ์ของตำหนักบาดาลหรือ? คุณนำโควต้ามาวางขาย แต่ไม่ปล่อยให้ใครได้มันไป”


“ไม่ใช่แน่นอน! แต่ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายได้ว่าการแทงถูกถึง 14 ครั้งติดต่อกันเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ชอบธรรมล่ะก็ ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเราจะสงสัยว่าคุณกำลังโกง”


“โกง? ก็ดี!” จางเซวียนจ้องหน้าฝูงชนอย่างโกรธเกรี้ยว “แสดงหลักฐานสิว่าผมโกงอย่างไร ถ้าคุณอธิบายได้ว่าผมโกงได้อย่างไรทั้งๆที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยขนาดนี้ล่ะก็ ผมจะคืนโควต้าทั้ง 14 ที่ให้คุณเลย!”


“เอ่อ…”


ฝูงชนพากันเงียบกริบ


หากพวกเขารู้ว่าชายหนุ่มทำได้อย่างไร คงไม่มัวยืนอยู่ตรงนี้ คงรี่เข้าคว้าโอกาสและกลับไปแล้ว!


“มีใครอธิบายได้ไหม?” จางเซวียนส่ายหน้า “ถ้าไม่มี ก็ลาก่อน!”


ทันทีที่พูดจบ จางเซวียนเรียกศิษย์สายตรงของเขาให้ตามออกไปนอกตำหนักบาดาล


“คุณไปไม่ได้นะ!”


ฝูงชนตรงเข้ารุมล้อม


“พวกคุณจะไม่ปล่อยผมไป? ก็ได้ ถ้าผมจำไม่ผิดล่ะก็ เหลือโควต้าอีก 16 ที่ใช่ไหม? ผมจะอยู่ตรงนี้แหละ และรวบอีก 16 ที่ให้หมด!” จางเซวียนยืนกอดอกขณะพูดยิ้มๆ


ประโยคนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึง เมื่อหวนนึกถึงปาฏิหาริย์ที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น พวกเขาก็เริ่มไม่แน่ใจ


ถ้าปล่อยให้ชายหนุ่มจากไป ก็ยังมีโอกาสคว้าโควต้าที่เหลือ แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายยังอยู่ตรงนี้ เงินของพวกเขาที่เสียไปกับการแทงตัวเลขก็คงสูญเปล่า!


“อย่าไปฟังที่เขาพูด” เหยาซันอุทานออกมา “เขามากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แค่ 14 คน แทงตัวเลขไม่ได้มากกว่านี้แล้วล่ะ!”


ด้วยกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้นักรบคนหนึ่งแทงได้เพียง 1 หมายเลขต่อวัน จางเซวียนจึงไม่อาจเข้าร่วมการเดิมพันรอบต่อๆไปได้ ต่อให้อยากเข้าร่วมก็ตาม


“ก็ใช่นะ คุณพูดถูก”


“ต่อให้พวกเรารั้งเขาไว้ที่นี่ เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว…”


ทุกคนพากันตาโตเมื่อนึกได้ พวกเขายังคงขวางจางเซวียนไว้ไม่ให้กลับไป


ขอแค่รั้งตัวอีกฝ่ายไว้ที่นี่ได้ ไม่ช้าไม่นานเขาก็คงยอมคายโควต้าบางส่วนที่ได้ไปในวันนี้


ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนหมู่มาก มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในกลุ่มมากมาย ต่อให้ชายหนุ่มจะทรงพลังแค่ไหนก็ไม่มีทางสู้ได้ อีกอย่าง ตอนนี้ทุกคนอยู่ในเมือง ชายหนุ่มคงไม่กล้าบุ่มบ่ามโจมตีพวกเขา ไม่อย่างนั้นคงต้องรับโทษทางกฎหมาย


“พวกคุณคิดแบบนั้นหรือ?” จางเซวียนหันไปพูดกับผู้อาวุโสฟู่หยวน “ผู้อาวุโส ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เดิมพันไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับมนุษย์เท่านั้น ใช่ไหม?”


หลังจากใช้เวลาระยะหนึ่งที่นี่ เขาก็พอจะคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ของวงล้อเสี่ยงทาย


“ใช่” ฟู่หยวนพยักหน้า


มีอสูรสวรรค์จำนวนหนึ่งในสรวงสวรรค์ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ หากพวกเขากำหนดให้มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถมีส่วนร่วม ก็จะเสี่ยงกับการทำให้อสูรสวรรค์ขุ่นเคือง


ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีสิทธิ์เดิมพัน


“ดี” จางเซวียนพยักหน้าขณะหันไปสั่งการบางอย่างกับซุนฉาง


ซุนฉางอ้าปากค้างก่อนจะมองจางเซวียนด้วยสีหน้าประหลาด จากนั้นก็เดินออกจากห้องก่อนจะกลับมาพร้อมกับม้า 14 ตัว


“ในเมื่อพวกคุณไม่ให้ผมไป ก็บังเอิญว่าม้าฝูงนี้ของผมมีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ และอยากได้โควต้าเหมือนกัน ถ้าผมให้พวกมันเข้าร่วมเดิมพันด้วย ก็คงจะไม่เกินไป ใช่ไหม?”


จางเซวียนโบกมือเบาๆ แล้วม้าตัวหนึ่งก็เดินตรงเข้าไปที่โต๊ะและใช้กีบเท้าเขียนหมายเลข 64 ก่อนจะยื่นเงิน 1 เหรียญสวรรค์ให้


ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ดูแลวงล้อเสี่ยงทายถึงกับงง เขาไม่รู้ว่าควรรับเหรียญสวรรค์นั้นไว้หรือเปล่า


แต่เมื่อคิดดูให้ดี ก็ไม่มีกฎข้อไหนห้ามไม่ให้ทำแบบนี้ จึงรับเหรียญสวรรค์ไว้อย่างลังเลและยื่นตราสัญลักษณ์ที่มีหมายเลข 64 ให้


ครู่ต่อมา ค่ายกลก็หายวับไป หมายเลขที่ปรากฏบนวงล้อเสี่ยงทายคือ…64!


“ม้าก็แทงเลขได้หรือ?”


“ไม่มีกฎข้อไหนที่ห้ามไม่ให้สัตว์แทงเลขใช่ไหม? ถ้าม้าแต่ละตัวของเขาแทงถูกขึ้นมาล่ะก็…ให้นรกกินเถอะ นั่นหมายความว่าจะไม่เหลืออะไรให้พวกเราเลยนะ!”


“แล้วเราจะทำอย่างไร?”


ฝูงชนพากันตื่นตระหนก


พวกเขาคิดว่าชายหนุ่มคงจนมุมแล้ว ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีมือไม้มากมายขนาดนี้?


ยิ่งไปกว่านั้น ม้าพวกนั้นยังสามารถยื่นเงินและแทงเลขที่ถูกต้องได้ด้วย โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว?


นี่พวกเราย่ำแย่กว่าม้าตัวหนึ่งอีกหรือ


ตอนที่ 2175 เลือดอสูรหม่าหยาง

ผู้อาวุโสฟู่หยวนทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็สั่งการ “ปล่อยเขา!”


ถ้าไม่ปล่อยชายหนุ่มให้จากไป อีกฝ่ายคงกวาดโควต้าที่มีอยู่ไปหมดแน่


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรไม่ถูกต้องนับตั้งแต่มีการเปิดใช้วงล้อเสี่ยงทาย ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์จะออกมาในรูปนี้?


ถ้าไม่ใช่เพราะมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่เขาต้องปฏิบัติตาม เขาคงรี่เข้าซ้อมชายหนุ่มคนนั้นไปแล้ว!


“คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผม ผู้อาวุโส!”


จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะเดินไปตามเส้นทางที่ฝูงชนเปิดทางให้อย่างไม่เต็มใจ ขณะที่กำลังจะออกจากพื้นที่ ก็หยุดกึกก่อนจะหันกลับมา


“เรื่องสุดท้ายนะ ในเมื่อเมืองตะวันรอนให้ความสำคัญกับการรักษาความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันในหมู่นักรบ ผมก็อยากรู้ว่าการที่ใครสักคนขายหมายเลขที่เขาคำนวณไว้ให้คนอื่นเพื่อทำกำไรจากวงล้อเสี่ยงทาย…แบบนี้ถือว่าคดโกงหรือเปล่า”


“การกระทำแบบนี้ถือว่าคดโกงแน่นอน” ผู้อาวุโสฟู่หยวนตอบด้วยสีหน้าที่ยังไม่เข้าใจ


วงล้อเสี่ยงทายถูกออกแบบมาเพื่อกระจายหมายเลขแบบสุ่ม ถ้าใครคนหนึ่งขายหมายเลขที่คิดคำนวณไว้โดยไม่ถูกต้อง ก็แน่นอนว่าเป็นการหลอกลวง หรือต่อให้คิดคำนวณตัวเลขได้ถูกต้องจริงๆ ก็ถือว่าคดโกงอยู่ดี


“เหยาซันคนนั้นน่ะขายตัวเลขที่ตัวเขาคำนวณไว้ให้กับนักรบคนอื่นๆที่นี่ ผมเชื่อว่าคงมีหลายคนที่เป็นพยานได้” จางเซวียนพูดยิ้มๆ “แค่นี้แหละ ลาก่อน!”


เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็ออกจากตำหนักบาดาลโดยไม่ฟังเสียงโต้ตอบใดๆ


หมอนั่น, เหยาซัน ปลุกระดมฝูงชนให้ต่อต้านเขา พยายามกีดกันไม่ให้เขากลับออกไป คิดว่าตัวเขาเป็นไอ้ขี้แพ้หรือ?


ส่วนเรื่องหลักฐานการคดโกง เหยาซันได้หว่านล้อมให้นักรบ 2-3 คนแทงหมายเลขที่เขานำเสนอ ในเมื่อไม่มีใครแทงถูก คนเหล่านั้นก็คงยิ่งกว่าเต็มใจที่จะเอาเรื่องเหยาซันให้เต็มที่ อีกอย่าง อาจเรียกเงินที่จ่ายให้เหยาซันกลับคืนมาได้ด้วย


เหยาซันคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะพลิกผันกลับมาเล่นงานเขา เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ละล่ำละลักอธิบาย “ผู้อาวุโสฟู่หยวน ผม…”


แต่ผู้อาวุโสฟู่หยวนไม่แยแส “นำตัวเขาไป!”


ฟึ่บ!


คนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาจับตัวเหยาซันทันที


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชะตากรรมของเหยาซันเป็นอันถึงจุดจบ


ก่อนหน้านี้เขาเสียแค่ห้องน้ำห้องหนึ่งกับห้องครัวอีกห้อง แต่ตอนนี้กำลังจะเสียบ้านทั้งหลัง!


จางเซวียนไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นด้านใน ตัวเขากับพรรคพวกรีบขึ้นหลังม้าและควบออกจากตำหนักบาดาล หลังจากผ่านถนนมาได้หลายสาย จางเซวียนก็ตรวจตราบริเวณโดยรอบจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา ก่อนจะส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด


“พวกคุณควรกลับไปเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง จะดีมากหากทุกคนฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าได้สำเร็จ ส่วนผมขอไปจัดการเรื่องอื่นก่อน”


ทุกคนพยักหน้า


จากนั้นจางเซวียนก็หันหลังกลับและควบม้าไปยังอีกทิศหนึ่ง ไม่ช้าก็หายลับไปที่สุดปลายถนน


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆรีบเดินทางกลับที่พัก ทุกคนรู้ดีว่าจะต้องสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าให้ได้เพื่อไม่ให้เป็นภาระของจางเซวียน ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่ปล่อยให้โอกาสสูญเปล่า


…..


เมื่อแยกตัวจากกลุ่ม จางเซวียนควบม้าตรงไป ไม่ช้าก็มาถึงอาคารหลังหนึ่ง


อาคารหลังนี้ดูแสนจะธรรมดาสามัญ ไม่โดดเด่นอะไรบนถนนสายนั้น เป็นอาคารแบบที่ใครๆมองข้ามและอาจเห็นมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของทัศนียภาพทั่วไป แถมประตูและหน้าต่างก็ปิดสนิท ทำให้ดูเหมือนถูกทิ้งร้าง


จางเซวียนเดินไปที่อาคารหลังนั้นและเคาะประตูไม้ 6 ครั้ง โดยเคาะยาว 4 ครั้ง เคาะสั้น 2 ครั้ง


แอ๊ดดดด!


ประตูเปิดออก


ชายตาบอดคนหนึ่งเดินออกมาและกระชากเสียง “ตามผมมา”


จางเซวียนตามชายตาบอดไปติดๆโดยไม่พูดอะไร


ภายในอาคารหลังนั้นค่อนข้างมืด เป็นบรรยากาศที่ออกจะน่าขยะแขยง


ทั้งคู่เดินไปตามทางเพื่อเข้าสู่ห้องด้านในสุด ก่อนที่ชายตาบอดจะหยุดกึกและยกมือขึ้น


จางเซวียนเข้าใจการส่งสัญญาณของอีกฝ่าย เขาสะบัดข้อมือและยื่นตราสัญลักษณ์อันหนึ่งให้


ชายตาบอดสัมผัสตราสัญลักษณ์อย่างถี่ถ้วนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็ทาบฝ่ามือลงบนผนัง


เกิดเสียงหึ่งเบาๆ เหมือนค่ายกลที่พลันมีชีวิต ผนังนั้นกลายสภาพเป็นวัตถุโปร่งแสง ชายตาบอด เดินผ่านผนังโปร่งแสงเข้าไปโดยปราศจากปัญหาใดๆ


จางเซวียนตามไปติดๆ


เมื่อเดินตรงไป ก็มีขั้นบันไดที่ทอดตัวลงสู่ชั้นใต้ดิน ทั่วทั้งพื้นที่ปกคลุมด้วยความมืดมิด แทบเดาไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ตรงหน้า ทั้งหมดที่มองเห็นได้คืออักษรจารึกบนพื้นดินซึ่งทำหน้าที่ปกปิดสถานที่แห่งนี้ไว้ไม่ให้ใครเห็น


ขั้นบันไดนี้สั้นอย่างน่าประหลาด ไม่ช้าทั้งคู่ก็ลงมาถึงก้นบึ้ง


จางเซวียนพบว่าตัวเขายืนอยู่ตรงหน้าเรือลำหนึ่งที่ลอยอยู่ในแม่น้ำใต้ดิน


เขารีบลงเรือพร้อมกับชายตาบอด จากนั้นอีกฝ่ายก็พาเรือรุดหน้าไป บริเวณโดยรอบมืดสนิทถึงขนาดที่จางเซวียนมองอะไรไม่เห็นแม้จะเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ เขาทำได้แค่เชื่อใจว่าชายตาบอดจะพาเขาไปยังจุดหมายที่ต้องการ


อีก 1 ชั่วโมงต่อมา ทั้งหมดที่จางเซวียนได้ยินมีแต่เสียงพายกระทบน้ำ ผ่านไปครู่หนึ่ง เรือก็ชนเบาๆเข้ากับโขดหินขนาดใหญ่ มันส่ายไปมาครู่หนึ่งก่อนจะหยุดนิ่ง


ชายตาบอดขึ้นจากเรือและนำทาง มีบันไดปรากฏอีกรอบ แต่คราวนี้เป็นการไต่สูงขึ้นไป พวกเขาเดินผ่านผนังอีกอัน และในที่สุด เมื่อเดินออกจากประตู ก็มาอยู่ในตลาดพลุกพล่านจอแจแห่งหนึ่ง ผู้คนส่งเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ เป็นบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา


“รอผมที่นี่นะ เสร็จธุระแล้วผมจะกลับมา” จางเซวียนสั่งการก่อนจะเดินหายไปในหมู่ฝูงชน


สถานที่ที่เขายืนอยู่ตอนนี้คือตลาดมืดของเมืองตะวันรอน!


ที่ไหนก็ตามที่มีกฎเกณฑ์บังคับ ผู้คนก็มักจะหาช่องทางแหกกฎเสมอ ซึ่งตลาดมืดก็เป็นหนึ่งในนั้น


จอมโจรที่มีสมญานามว่าสายเทาแวะเวียนมาที่ตลาดมืดใต้ดินเสมอเพื่อขายสินค้าและข้าวของที่ปล้นมาจากบรรดาพ่อค้า ซึ่งรายละเอียดของวิธีการเข้าสู่ตลาดมืดมีระบุไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติของสายเทา


นักรบคนหนึ่งสามารถซื้อหาทุกอย่างได้ตามต้องการจากที่นี่ รวมทั้งสินค้าผิดกฎหมายที่ไม่อาจวางขายได้ในตลาดทั่วไป เพียงแต่สนนราคาก็จะสูงขึ้น


ผู้จัดการของตลาดมืดขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นสุภาพสตรีไก่แก่แม่ปลาช่อนที่มีอายุราว 30 กลางๆ เธอมีรอยสักรูปดอกกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนามอยู่ที่ลำคอ บ่งบอกถึงบุคลิกที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร กลิ่นน้ำหอมของเธอที่ออกจะฉุนไปสักหน่อยก็ขับเน้นให้สิ่งนี้ชัดเจนขึ้น


แม่สาวไก่แก่แม่ปลาช่อนเอนตัวเข้ามากระแซะจางเซวียนขณะเอ่ยปากทัก “นี่ คุณน่ะดูคุ้นตาฉันจังเลย…”


“แล้วคุณจะไม่ยอมทำธุรกิจกับคนที่คุณไม่คุ้นตาหรือไง?” จางเซวียนสบตาเธออย่างเคร่งขรึม


“ไม่หรอกน่ะ!” สุภาพสตรีคนนั้นตอบขณะเดินออกมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์ เธอส่งยิ้มยั่วยวนให้จางเซวียนและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อๆคนนี้มีธุระแบบไหนกับฉัน? ที่นี่เราขายทุกอย่างนะ รวมถึงตัวฉันด้วย”


หลังจากพูดจบ เธอก็จงใจระบายลมหายใจรดใบหน้าของจางเซวียน


จางเซวียนไม่สะทกสะท้านขณะตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผมต้องการเลือดอสูรหม่าหยาง ที่นี่พอจะมีไหม?”


เขามีหญ้าโบราณอสูรเขียวอยู่ในมือแล้ว ดังนั้น ขอแค่ได้เลือดอสูรหม่าหยางมา ก็จะสามารถยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้สูงขึ้นได้


“เลือดอสูรหม่าหยาง? อสูรหม่าหยางเป็นอสูรระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ จะหาเลือดของมันน่ะไม่ง่ายหรอกนะ…”


สุภาพสตรีคนนั้นถอยหลังก้าวหนึ่งก่อนจะมองหน้าจางเซวียนพร้อมกับขมวดคิ้ว


อสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างส่วนใหญ่สามารถแปลงกายให้มีสภาพแบบเดียวกับมนุษย์ได้ การจับตัวพวกมันจึงยากมาก ดังนั้น การจะได้เลือดของมันมาจึงไม่ใช่งานง่าย


“ผมเข้าใจ งั้นผมจะลองคุยกับคนอื่นก็แล้วกัน” จางเซวียนออกเดินไปอีกทางหนึ่ง


“นี่ เดี๋ยวสิ รอก่อน!” สุภาพสตรีคนนั้นรีบเข้ามาขวางทาง “รีบร้อนไปไหนนักหนา ที่ฉันบอกว่าได้มันมาไม่ง่ายน่ะ ก็ไม่ได้แปลว่าจะหาไม่ได้นะ…”


“ผมต้องการ 1 ลิตร” จางเซวียนเสริม


“คุณต้องการมากขนาดนั้นเลย?” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “ในเมื่อคุณมาถึงที่นี่เพื่อซื้อเลือดของอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ฉันก็เชื่อว่าคุณคงรู้นะว่ามันมีมูลค่าสูงขนาดไหน เอาเป็นว่า…ตรงเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน…3,000 เหรียญสวรรค์!”


“3,000 เหรียญสวรรค์?” คราวนี้ถึงตาจางเซวียนขมวดคิ้ว “ราคาไม่ค่อยน่าคบหาเลย”


ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีอยู่ราว 600 เหรียญสวรรค์ที่ได้มาจากสายเทา แสนจะห่างไกลกับเงินจำนวน 3,000 เหรียญสวรรค์ เลือดอสูรหม่าหยางราคาแพงขนาดนั้นจริงๆหรือ?


เขาไม่รู้เลยว่าเลือดของอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างจะมีมูลค่าสูงขนาดนี้ แต่รู้สึกว่าราคาที่สุภาพสตรีคนนี้เสนอให้ดูจะสูงกว่าราคาตลาดอยู่มาก


จางเซวียนรู้ดีว่ามันออกจะดูแปลกที่คนธรรมดาสามัญอย่างเขาซึ่งไม่มีภูมิหลังที่น่าสนใจใดๆจะถามหาเลือดของอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างในตลาดทั่วไป จึงตั้งใจตรงมาที่ตลาดมืดแห่งนี้ เขาไม่แน่ใจนักว่าราคาที่แท้จริงของมันคือเท่าไหร่


“ฉันแน่ใจว่าคุณคงรู้แหละว่าการจะได้เลือดของอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างมาน่ะมันยากเย็นแค่ไหน พูดกันตรงๆเลยก็แล้วกัน…3,000 เหรียญสวรรค์น่ะไม่แพงหรอก อีกอย่าง ในฐานะสาวสวยที่อาศัยอยู่ในมุมมืดแบบนี้ ฉันจะหาสามีดีๆสักคนได้อย่างไรถ้าไม่รีบกอบโกยไว้ให้มากที่สุดตอนที่ยังมีปัญญาหาได้?”


แม่สาวไก่แก่แม่ปลาช่อนเดินวนรอบตัวจางเซวียนและหัวเราะคิกคักอย่างจะหยอกเอิน “ถ้าราคาไม่ถูกใจล่ะก็ ทำไมคุณไม่แต่งงานกับฉันเสียล่ะ? แล้วฉันจะลดให้”


“600 เหรียญสวรรค์, แล้วผมจะให้คำชี้แนะกับคุณเป็นการแลกเปลี่ยน” จางเซวียนตอบ


“600 เหรียญสวรรค์? คุณคิดจะป่วนที่นี่หรือไง?” อีกฝ่ายหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที


สิ้นเสียงของเธอ กลุ่มชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็กรูกันออกมา ทุกคนมีรูปร่างล่ำสันบึกบึน ต่างคนต่างสำแดงพละกำลังของนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง


“ผมไม่อยากเสียเวลากับสิ่งที่ไม่มีค่ากับผม” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉย ไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ด้วยความหนาวเย็น ความชื้น และสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณของตลาดมืด คุณต้องกินยาเม็ดขจัดความชื้นเพื่อคงความอ่อนเยาว์ให้กับรูปร่างหน้าตาของคุณ”


สุภาพสตรีผู้นั้นคำราม “แล้วไงต่อ?”


เพราะใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนใต้ดินที่แสงอาทิตย์ไม่เคยส่องถึง ผู้คนมากมายที่นี่จึงต้องกินยาเม็ดขจัดความชื้นอยู่บ่อยๆ ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็เดาออกว่าเธอจะต้องทำแบบเดียวกัน


“คนอื่นกินน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ไม่ใช่คุณ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ บริเวณลำคอและหน้าอกของคุณน่ะมีผื่นแดงเต็มไปหมด แถมรักษาไม่หาย” จางเซวียนพูด


“คุณได้ยินมาจากไหน?” สุภาพสตรีผู้นั้นขมวดคิ้ว


ตอนที่ 2176 เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา

ชายหนุ่มพูดถูก เรือนร่างของเธอมีผื่นแดงอยู่มากมาย ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย เพราะเหตุนี้ เธอจึงต้องประโคมน้ำหอมและสักรูปดอกกุหลาบที่บริเวณลำคอ


“ผมรู้โดยไม่ต้องฟังจากใคร แค่เห็นคุณก็ดูออกแล้ว”


จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังอย่างสบายใจขณะพูดต่อ “คุณฝึกฝนองค์ประกอบของพลังหยินที่อยู่ในศิลปะคลื่นสะท้านเย็นเยือก เทคนิควรยุทธที่ว่านี้ทำให้คุณต้องซึมซับพลังหยินจากกระแสน้ำและคลื่นที่มีความเย็น ส่งผลให้ร่างกายของคุณเปียกชื้นกว่าคนอื่น การกินยาเม็ดขจัดความชื้นอาจแก้ปัญหาต่างๆที่คุณต้องเผชิญจากการอาศัยอยู่ที่นี่ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็ลดทอนแก่นสารของเทคนิควรยุทธของคุณลงไป”


“ประสิทธิภาพของเทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนลดลงไปกว่าครึ่งเพราะเหตุนี้ ผื่นแดงพวกนั้นเป็นแค่อาการเบื้องต้นที่เกิดกับสภาวะร่างกายของคุณนะ เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหนังของคุณจะเริ่มเน่าเปื่อย การยกระดับวรยุทธจะค่อยๆช้าลงจนในที่สุดก็หยุดนิ่ง สุดท้ายวรยุทธของคุณจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกและถึงแก่ชีวิต”


“พ่อหนุ่มน้อย คิดจะขู่ให้ฉันกลัวหรือไง ขาใหญ่คนนี้น่ะไม่กลัวจนตัวสั่นหรอกนะ!” สุภาพสตรีที่เป็นผู้จัดการตลาดมืดคำรามพร้อมกับหรี่ตา


อีกฝ่ายพูดถูกเผงอยู่หลายเรื่อง รวมถึงเรื่องเทคนิควรยุทธและสภาวะร่างกายของเธอด้วย แต่เธอก็ไม่อยากเชื่อว่าลำพังแค่ยาเม็ดขจัดความชื้นจะเป็นสาเหตุของอาการพวกนั้น อีกอย่าง บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน


“แน่นอนว่าไม่ถึงขนาดนั้น” จางเซวียนตอบ “ลำพังแค่ยาเม็ดขจัดความชื้นน่ะมีอานุภาพไม่รุนแรงพอจะก่อให้เกิดปัญหากับร่างกายของคุณหรอก แต่จะเป็นอย่างไรถ้าค่ายกลปกปิดมีอานุภาพครอบคลุมพื้นที่ของตลาดมืดใต้ดินด้วย? แก้ไขนะถ้าผมเข้าใจผิด แต่คุณพักอยู่ในพื้นที่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตลาดมืด ใช่ไหม?”


สุภาพสตรีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินจางเซวียนพูดถึงบริเวณที่เธออาศัยอยู่


จางเซวียนไม่แยแสปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขาพูดต่อ “ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ การขึ้นของดวงอาทิตย์เร่งให้เกิดพลังหยางในตัวคุณ ส่วนการตกของดวงอาทิตย์ก็เป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประตูพลังหยิน ทิศตะวันตกเฉียงใต้คือทิศที่พลังหยินกับพลังหยางบรรจบกัน สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่เจริญเติบโตและงอกงามได้ดีในทำเลแบบนี้ แต่กับคุณ…กลายเป็นตรงกันข้าม”


“ศิลปะคลื่นสะท้านเยือกคือเทคนิคที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ ดังนั้น สภาวะของพื้นที่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้จึงเป็นทำเลเหมาะสมที่สุดในการยกระดับวรยุทธของคุณ แต่คุณกินยาเม็ดขจัดความชื้นเข้าไป ทำให้ร่างกายของคุณอ่อนแอต่อพลังหยาง ดังนั้น ผลที่เกิดในเวลานี้ก็คือพลังหยินกับพลังหยางตีกันวุ่นวายอยู่ในร่างกายของคุณ ซึ่งการเกิดผื่นแดงเป็นเพียงอาการเบื้องต้น”


“เอ่อ…”


สุภาพสตรีที่เป็นผู้จัดการตลาดถึงกับพูดไม่ออก


เธอเคยคิดว่าชายหนุ่มคงทำได้แค่ปั้นเรื่องโกหกให้เธอกลัว แต่หลังจากได้ฟังเขาพูด ก็เริ่มเกิดความสงสัย


พื้นที่ที่เธออาศัยอยู่คือดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตลาดมืดใต้ดิน เหตุที่เธอเลือกทำเลนั้นก็เพราะอยู่ใกล้กับแม่น้ำใต้ดิน ซึ่งจะทำให้การซึมซับพลังหยินจากสภาพแวดล้อมที่ชุ่มชื้นเพื่อยกระดับวรยุทธเป็นไปได้ง่ายขึ้น


แต่ถ้าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดเป็นความจริง เธอก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่


“คุณยังไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดอีกหรือ?” จางเซวียนส่ายหัว “ค่ายกลปกปิดของตลาดมืดใต้ดินแห่งนี้มีแม่น้ำใต้ดินควบคุมอยู่ จึงมีกระแสพลังหยิน ซึ่งองค์ประกอบของพลังหยินนี่แหละที่ทำให้ตลาดมืดใต้ดินปัดป้องการรับรู้จิตวิญญาณของเทพเจ้าสวรรค์สร้างออกไปได้ ทำให้ที่นี่สามารถซ่อนตัวจากสายตาชาวโลก”


“ดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ดูเหมือนจะเป็นจุดกำเนิดของพลังหยิน หากอาศัยอยู่ที่นั่นไปนานๆ ลงท้ายก็จะเกิดปัญหากับร่างกายของคุณเอง…”


“พอที ฉันไม่ปฏิเสธนะว่าสิ่งที่คุณพูดมาก็พอมีส่วนจริง แต่ใครสักคนที่มีทฤษฎีที่เชื่อถือได้ก็พูดแบบนี้ได้เหมือนกัน ไม่มีหลักฐานข้อไหนเลยที่หนักแน่นพอจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นเรื่องจริง เว้นเสียแต่…”


สุภาพสตรีโบกมือ จากนั้นก็ส่งสายตาบุ้ยใบ้ให้ชายวัยกลางคนทั้ง 4 ออกไปก่อนจะหันกลับมามองจางเซวียนอีกครั้ง “คุณมีวิธีทำให้ผื่นแดงของฉันหายไปหรือเปล่าล่ะ? ถ้าคุณทำได้ ฉันจะขายเลือดอสูรหม่าหยางให้ตามราคาที่คุณต้องการ”


“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” จางเซวียนพูด “ผมขอยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 10 ขวดก็พอ”


“ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 10 ขวด?” เธอย้อนถามเพื่อความแน่ใจ


เพราะพลังจิตวิญญาณกำลังเหือดแห้งไปจากสรวงสวรรค์ มูลค่าของยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าจึงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงเธอจะหายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าจำนวน 10 ขวดมาได้ แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนโต


“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าคุณอยากรักษาอาการผื่นแดง ก็ต้องยอมจ่ายบ้าง ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าน่ะ โดยปกติใช้เป็นแหล่งพลังจิตวิญญาณ แต่มันมีอานุภาพมากกว่านั้นนะ เอาเถอะ…ถ้าคุณไม่พร้อมจ่าย ลืมเรื่องที่ผมพูดเสียก็ได้ สามพันเหรียญสวรรค์ไม่ใช่เงินก้อนเล็ก แต่ผมเชื่อว่าด้วยวิธีการของผม ไม่นานก็คงหาได้เอง!” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


“ก็ได้ คราวนี้ฉันจะเชื่อคุณ แต่ถ้าคุณรักษาอาการของฉันไม่ได้ล่ะก็ อย่าได้ฝันนะว่าจะมีชีวิตรอดออกจากที่นี่!” สุภาพสตรีที่เป็นผู้จัดการตลาดมืดคำราม


“คุณเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้นคงยังไม่รู้ ตลาดมืดใต้ดินน่ะเป็นดินแดนไม่มีขื่อแป ไม่เหมือนเมืองตะวันรอน ต่อให้ฉันฆ่าคุณเสียที่นี่ เดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีใครพูดอะไรหรอก!”


ส่วนจางเซวียนก็ยืนนิ่ง ขี้คร้านจะตอบโต้การข่มขู่ของอีกฝ่าย


ไม่ช้า ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 10 ขวดก็มาอยู่ตรงหน้า


“ผมอยากได้ห้องส่วนตัวสักห้องเพื่อขัดเกลายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเหล่านี้ให้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาอาการของคุณ” จางเซวียนพูด


สาวไก่แก่แม่ปลาช่อนจ้องหน้าจางเซวียนครู่หนึ่งก่อนจะโบกมืออย่างหงุดหงิด ผู้ช่วยคนหนึ่งของเธอปรากฏตัวขึ้นทันที เขาพาจางเซวียนไปยังห้องส่วนตัว


เมื่อเข้าไปในห้อง จางเซวียนปิดประตูก่อนจะติดตั้งค่ายกลปิดกั้นจำนวนหลายชั้น


เมื่อเสร็จเรียบร้อย ก็นำยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเม็ดหนึ่งออกมา เขากระดิกนิ้วและถ่ายทอดกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเข้าไป


อาการป่วยของสุภาพสตรีคนนั้นไม่ใช่อาการที่รักษากันง่ายๆ แต่เพราะพลังปราณเทียบฟ้าที่ไร้องค์ประกอบมีพละกำลังอันน่าทึ่งในการซึมซับพลังงานทุกรูปแบบและผสมผสานมันเข้าด้วยกัน จึงเป็นยารักษาที่วิเศษสุด


เหตุผลที่เขาร้องขอยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าถึง 10 ขวด…ก็แน่นอนว่าเพื่อจะได้นำมาใช้กับตัวเองด้วย ถ้าต้องการยกระดับวรยุทธให้รวดเร็ว จางเซวียนก็จำเป็นต้องเสาะหาทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธเก็บไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


ถึงอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าตลาดมืดใต้ดินจะทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงไม่รู้สึกผิดที่รีดเอายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเหล่านี้จากเธอ


จางเซวียนเก็บยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าไว้ในแหวนเก็บสมบัติและรออยู่ในห้องส่วนตัวแห่งนั้นราว 15 นาทีก่อนจะเดินออกไปด้วยสีหน้าอ่อนระโหย


ทันทีที่ออกจากห้อง ก็เห็นสุภาพสตรีผู้นั้นยืนรออยู่บริเวณทางเข้า ราวกับจะกันเขาไว้ไม่ให้หนีไป


จางเซวียนยื่นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าที่ได้รับการถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าให้เธอและพูดว่า “กินยาเม็ดนี้ลงไป!”


“คุณใช้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าตั้ง 10 ขวดเพื่อหลอมเป็นเม็ดเดียวหรือ?” สุภาพสตรีมองหน้าจางเซวียนอย่างสงสัย


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 1 ขวดมี 10 เม็ด ซึ่งก็หมายความว่าฉันให้คุณไปถึง 100 เม็ด แล้วคุณคืนฉันมาแค่เม็ดเดียว…


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าไม่น่าจะแปรสภาพเป็นแบบนี้ได้…คุณเห็นฉันเป็นไอ้โง่ใช่ไหม?


“ลองดูก่อนเถอะ แล้วคุณจะรู้เองว่าคุ้มค่าหรือเปล่า” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ


แม่สาวไก่แก่แม่ปลาช่อนประเมินยาเม็ดอย่างถี่ถ้วนเพื่อดูว่ามีพิษปนเปื้อนหรือไม่ก่อนจะกลืนลงไป เพียงครู่เดียว นัยน์ตาของเธอก็เบิกโพลง


เธอรีบยกมือขึ้นแตะรอยสักรูปดอกกุหลาบสีแดงก่ำบนลำคอก่อนจะสะบัดเสื้อคลุมไปมาเพื่อตรวจตราทุกส่วนของร่างกาย จากนั้นก็ตัวสั่นไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น


ยาเม็ดที่ชายหนุ่มมอบให้เธอออกฤทธิ์เหมือนปาฏิหาริย์! แค่กินเข้าไปเพียง 2 นาที ผื่นแดงที่อยู่กับเธอมากว่า 2 ปีก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง แถมยังรู้สึกตัวเบาสบายกว่าแต่ก่อนด้วย


ยานี้จะน่าทึ่งไปหน่อยไหม?


“คุณ…” สุภาพสตรีผู้จัดการตลาดมืดจ้องหน้าจางเซวียนอย่างตกตะลึง


เธอทดลองยามาแล้วทุกรูปแบบ ทั้งยังหาหมอทุกประเภทเพื่อพยายามรักษาอาการป่วย แต่ไม่มีอะไรได้ผล เพราะไม่มีทางเลือก เธอจึงต้องประโคมน้ำหอมและใช้รอยสักปกปิดอาการเหล่านั้น


ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มมองทะลุถึงต้นตอของปัญหาและรักษาได้ด้วยยาเพียงเม็ดเดียว?


น่าสะพรึงเหลือเกิน!


“ผู้จัดการ ผมไม่รู้นะว่าผมตาฝาดไหม แต่ผิวพรรณของคุณน่ะดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก!” ชายวัยกลางคนที่เป็นหนึ่งในบริวารของเธอตั้งข้อสังเกต


สุภาพสตรีผู้จัดการตลาดมืดประหลาดใจเมื่อได้ยินคำนั้น เธอรีบส่องกระจก จากนั้นก็ตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของตัวเอง


อาการป่วยทำให้ผิวพรรณของเธอออกจะหยาบกระด้างและเหี่ยวแห้ง ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากโบกรองพื้นหนาเพื่อปกปิดสีผิวที่ดูจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แต่ด้วยการกินยาเข้าไปเพียงเม็ดเดียว ไม่เพียงแต่ผื่นแดงจะหายไปหมด ผิวพรรณของเธอยังเรียบเนียนกว่าเดิมมาก


ราวกับอ่อนวัยกว่าเดิมเป็นสิบปี!


ยานี้น่าทึ่งขนาดนั้นจริงๆหรือ?


“คุณยังมียาอีกไหม?” สุภาพสตรีตั้งคำถาม


ตอนนี้อาการผื่นแดงหายไปหมดแล้ว แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเป็นใหม่หรือเปล่า แล้วจะทำอย่างไรถ้าตอนนั้นไม่มียาอยู่กับตัว?


อีกอย่าง ต่อให้เธอไม่กลับมาเป็นอีก ยานี้ก็จะช่วยรักษาความอ่อนเยาว์ของเธอไว้ได้ เพียงเท่านี้ก็เกินพอจะทำให้เธอยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อมันแล้ว


“ผมใช้เวลาครึ่งชีวิตเชียวนะกว่าจะหลอมยาได้สักเม็ด แต่คุณยังอยากได้อีก? ถ้างั้นก็เอายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ามาอีก 10 ขวด!” จางเซวียนพูด


เหตุผลที่อีกฝ่ายเกิดอาการผื่นแดงเพราะไม่อาจผสมผสานพลังหยินกับพลังหยางในร่างกายของเธอให้กลมกลืนกันได้ ซึ่งนั่นคือปัญหาที่พลังปราณเทียบฟ้าของเขาแก้ไขได้อย่างง่ายดาย


แต่…มันเรื่องอะไร ผิวพรรณของเธอถึงดูดีและอ่อนเยาว์กว่าเดิมด้วย?


หรือว่าพลังปราณเทียบฟ้าของเขามีอานุภาพมากขึ้นหลังจากที่เขาเริ่มฝึกฝนเวทนาสวรรค์?


ตอนที่ 2177 ส่วนจอมราชันย์…

จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


อารมณ์และความรู้สึกของคนคนหนึ่งส่งผลกระทบต่อรูปร่างหน้าตาของเขาได้เช่นกัน ก็เหมือนกับการที่ใครสักคนที่กำลังตกหลุมรักจะมีหน้าตาผิวพรรณผ่องใส…หรือว่าเวทนาสวรรค์ของเราได้เปลี่ยนธรรมชาติของพลังปราณเทียบฟ้าไป?


อารมณ์และความรู้สึกนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของแรงขับเคลื่อนและแรงบันดาลใจ แต่ก็ทำให้รูปลักษณ์หน้าตาของผู้นั้นเปลี่ยนแปลงไปได้มาก ว่ากันว่าผู้ที่มีความสุขอยู่เสมอจะแก่ช้ากว่าผู้ที่เอาแต่จมจ่อมอยู่กับความวิตกกังวล


ใครจะไปรู้ว่าการทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์จะส่งผลต่อพลังปราณเทียบฟ้าแบบนี้?


“รอสักครู่นะ…”


สุภาพสตรีผู้นั้นรีบออกไป เพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าอีก 10 ขวด


“ผมจะหลอมให้คุณอีกเม็ดหนึ่งเดี๋ยวนี้แหละ” จางเซวียนพูดขณะกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องเดิม


15 นาทีให้หลัง เขาก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดกว่าครั้งก่อน ดูเหมือนพร้อมจะสะดุดล้มและเป็นลมได้ทุกขณะ


สุภาพสตรีตรวจสอบยาเม็ดที่ได้มาใหม่อย่างละเอียดละออ วิเคราะห์ทุกริ้วรอยบนเม็ดยา แต่ก็ไม่เห็นความแตกต่างใดระหว่างยาเม็ดในมือของเธอกับยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าทั่วไป


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ยกมือขึ้นและสั่งการบางอย่างกับชายวัยกลางคนที่เป็นหนึ่งในบริวารของเธอ


ไม่ช้า สุภาพสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ถูกนำตัวเข้ามา


เธอเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลางและมีอายุราว 40 กว่าปี แต่ดูร่วงโรยกว่านั้นมาก ริ้วรอยของกาลเวลาเหยียบย่ำผิวพรรณของเธอ สีผิวก็ออกเหลืองเล็กน้อย


ตอนนี้เธอดูเหมือนอายุราว 70 ถึง 80 ปี


หลังจากอ่านหนังสือที่สายเทาทิ้งไว้ จางเซวียนก็ได้ความเข้าใจบางส่วนเกี่ยวกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของเหล่าเทพเจ้าในสรวงสวรรค์


ก่อนจะเกิดการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ เทพเจ้าโดยทั่วไปมีอายุขัยราว 150 ปีหรือมากกว่านั้น แต่เพราะสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายกว่าเดิม ในเวลานี้เทพเจ้าส่วนใหญ่จึงอยู่ได้เพียง 80 ปี


ส่วนนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ใครที่อยู่ได้จนอายุ 60 ปีก็ถือว่ามีชีวิตยืนยาวแล้ว


วิธีเดียวที่เหล่าเทพเจ้าจะยืดอายุขัยของพวกเขาได้ก็คือยกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง โดยเทพเจ้าสวรรค์สร้างจะมีอายุขัยราว 1,000 ปี


ราชันย์เทพเจ้ามีอายุขัยราว 10,000 ปี และว่ากันว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมีอายุขัยราว 100,000 ปีเลยทีเดียว


ส่วนจอมราชันย์…


เป็นที่รู้กันว่าเก้าจอมราชันย์อยู่มาตั้งแต่มีสรวงสวรรค์ ในสายตาของโลก พวกเขาคือผู้ไม่มีวันตาย


“กินยานี้เสีย!” สุภาพสตรีผู้จัดการตลาดมืดพูด


สุภาพสตรีวัยกลางคนรับยาเม็ดนั้นและกลืนลงไปโดยไม่ลังเล


ครู่ต่อมา รูปร่างหน้าตาของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป ริ้วรอยและจุดด่างดำต่างๆจางลงจนมองไม่เห็น ผิวหน้าของเธอผ่องใสและดูสดชื่นเปล่งปลั่ง ราวกับมีใครย้อนเวลาให้เธอหลายสิบปี นำเธอกลับสู่ช่วงเวลาของสาวน้อยทรงเสน่ห์ในวัย 30 ต้นๆ


สุภาพสตรีวัยกลางคนจ้องดูรูปร่างหน้าตาใหม่ของเธอในกระจกเงาพร้อมกับอ้าปากค้าง


ในสรวงสวรรค์มีอัจฉริยะผู้เก่งกาจอยู่มากมาย แต่ไม่มีใครคิดค้นยาเม็ดเพิ่มความงามที่สร้างปาฏิหาริย์แบบนี้ได้ ต่อให้ยาเม็ดเพิ่มความงามที่แพงที่สุดที่มีขายในท้องตลาดก็ไม่อาจเปลี่ยนสภาพเธอได้รวดเร็วขนาดนี้!


สุภาพสตรีวัยกลางคนรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่เพราะยาเม็ดนั้น


“มันได้ผลจริงๆ…ด้วยยานี้ ต่อให้ฉันเลิกดูแลตลาดมืดใต้ดิน ก็ไม่มีวันขัดสนแหล่งทำเงิน!”


แม่สาวไก่แก่แม่ปลาช่อนนัยน์ตาเป็นประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้น เธอหันไปมองจางเซวียน “น้องชาย ไม่ทราบว่าฉันควรเรียกคุณว่าอย่างไร?”


เมื่อครู่นี้เธอกับเขาแค่ทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกัน การไม่รู้จักชื่อของกันและกันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่ช้าก็คงแยกย้ายและน่าจะไม่ได้พบกันอีก


แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคือพันธมิตรทางธุรกิจที่แสนจะมีศักยภาพ!


“จางเซวียน”


“ฉันชื่อฉีหลิงเอ๋อ ฉันเชื่อว่าคุณคงรู้ดีอยู่แล้วว่ายาเม็ดที่คุณหลอมมีอานุภาพคืนความอ่อนเยาว์ครั้งใหม่…แล้วทำไมเราไม่จับมือกันเพื่อสร้างธุรกิจใหญ่ล่ะ? คุณรับหน้าที่หลอมยา ส่วนฉันจะหาเครือข่ายเพื่อขายยาของเรา ผลกำไรก็แบ่งกัน 50:50 คุณพอใจไหม?” ฉีหลิงเอ๋อยื่นข้อเสนอ


“50:50? ผมโอเค” จางเซวียนพยักหน้า


ด้วยเครือข่ายและเส้นสายกว้างขวางที่ฉีหลิงเอ๋อมีตลอดระยะเวลาหลายปีของการเป็นผู้จัดการตลาดมืดใต้ดิน ก็ถือว่าสมเหตุสมผลที่เธอจะเรียกร้องผลกำไรครึ่งหนึ่ง อีกอย่าง การหลอมยาของเขาก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร


“ดี! อันดับแรกเลยนะ ฉันอยากให้คุณหลอมยาให้ฉัน 10 เม็ด ฉันจะส่งมันไปขายที่เมืองตะวันรอนในอีก 2-3 วันนี้ สร้างความแตกตื่นครั้งใหญ่กันเลย” ฉีหลิงเอ๋อสั่งการ


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่ผมต้องการยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าในจำนวนที่มากพอ”จางเซวียนพูดขณะมองฉีหลิงเอ๋อ


“ฉันเข้าใจ แต่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าจะถือเป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งในการทำธุรกิจของเรานะ” ฉีหลิงเอ๋อตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ามีสนนราคาอยู่ที่เม็ดละ 1 เหรียญสวรรค์ เพราะฉะนั้น…10 ขวดก็เป็นราคา 100 เหรียญสวรรค์”


“ทำเลยก็แล้วกัน” จางเซวียนพยักหน้า


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำมีไว้สำหรับนักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ซึ่งยังอีกยาวไกลกว่าจางเซวียนจะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง เขาจึงต้องการยาเม็ดชนิดนี้ในปริมาณมาก แถมยังมีผู้คนอีกมากมายให้ต้องดูแล


“เยี่ยม!” ได้ยินจางเซวียนรับปาก ฉีหลิงเอ๋อไปสั่งการกับชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลัง “บอกผู้เฒ่าเย่นะว่าฉันต้องการยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าทั้งหมดที่เขามี”


ชายวัยกลางคนพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้อง


ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่ง


“ผู้จัดการ ผมเหมายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าของเขามาหมด รวมแล้วก็ 300 เม็ด เขาบอกว่าเขาจะหาทางนำมาให้ได้มากกว่านี้ถ้าคุณยังต้องการเพิ่ม”


“ดี” ฉีหลิงเอ๋อพยักหน้า เธอรีบถ่ายยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าในแหวนเก็บสมบัติวงนั้นไปยังแหวนเก็บสมบัติอีกวงก่อนจะยื่นให้จางเซวียน “มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 1,300 เม็ดอยู่ในนี้ ฉันต้องการยาเม็ดเพิ่มความงาม 13 เม็ด แต่รู้ว่าตอนนี้คุณออกจะอ่อนเพลียไม่น้อย เพราะฉะนั้นก็จะให้เวลา 10 วันในการหลอมยา”


“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ชอบทำอะไรชักช้า รอตรงนี้สักครู่ เดี๋ยวจะนำมาให้”


จางเซวียนลากสังขารอ่อนปวกเปียกกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวและปิดห้อง ราว 15 นาทีให้หลัง ก็เดินออกมายื่นขวดหยก 2 ใบให้ฉีหลิงเอ๋อ


จางเซวียนดูย่ำแย่กว่าเดิม สีหน้าของเขาซีดเผือด มีเลือดซึมออกจากมุมปาก ร่างกายโงนเงนไปมา ดูเหนื่อยอ่อนเสียจนแทบไม่น่าเชื่อว่าใครสักคนจะยังมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพแบบนี้


หลังจากเปิดฝาขวดหยกเพื่อตรวจดู ฉีหลิงเอ๋อตาโตด้วยความประหลาดใจ


“นี่มัน…20 เม็ดนี่?”


ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มหลอมยาเม็ดเพิ่มความงามได้ 1 เม็ดจากยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 100 เม็ด เธอจึงยินดีปรีดายิ่งนักที่เห็นในขวดหยกมียาเพิ่มมา 7 เม็ดจากที่คิดไว้


“คราวนี้ผมโชคดีน่ะ เลยหลอมได้มากกว่าเดิม” จางเซวียนตอบอย่างอ่อนระโหย


“เยี่ยมเลย คุณทำได้ดีมาก! นี่คือบัตรสรวงสวรรค์ซึ่งใช้กันแพร่หลายที่นี่ ฉันจะโอนกำไรจากการขายยาเม็ดเข้าบัตรนี้โดยตรง จำนวนเงินคือ 50 เปอร์เซ็นต์ของกำไรทั้งหมดอย่างที่เราตกลงกันไว้” ฉีหลิงเอ๋อพูดอย่างลิงโลดขณะยื่นบัตรใบหนึ่งให้


จางเซวียนเข้าใจทันทีว่าบัตรสรวงสวรรค์นี้ทำหน้าที่แบบเดียวกับแหวนเก็บสมบัติ จึงรับไว้พร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็เอ่ยถาม “แล้วเลือดอสูรหม่าหยางของผม…”


“คุณต้องรอ 1 วันนะกว่าเลือดอสูรหม่าหยางจะมาถึง ตอนนี้ฉันมีอยู่ในสต๊อกไม่มาก จึงต้องโอนสินค้ามาจากตลาดมืดสาขาอื่น ต่อให้เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วัน” ฉีหลิงเอ๋อตอบ


“แต่ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลพันธมิตรทางธุรกิจของฉันอย่างดีเสมอ ส่วนเรื่องเงินน่ะ คุณก็ไม่ต้องจ่าย หักออกจากส่วนแบ่งกำไรก็แล้วกัน ดีไหม?”


จางเซวียนพยักหน้าก่อนกล่าวลา “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อน”


หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและออกจากตลาดมืด ไม่ช้าก็พบตัวชายตาบอดและกลับถึงเมืองตะวันรอนด้วยเรือลำเดิม


ทันทีที่จางเซวียนลับตาไป สุภาพสตรีวัยกลางคนที่ได้กินยาเม็ดเพิ่มความงามเมื่อครู่ก็ตั้งคำถาม “นายหญิงน้อย ในเมื่อหมอนั่นหลอมยาเม็ดที่มีอานุภาพไร้เทียมทานได้ ทำไมเราไม่กักตัวเขาไว้และบังคับให้เขาบอกสูตรยา? เราจะไม่เสียเงินก้อนโตหรือหากต้องแบ่งผลกำไรกับเขา?”


ฉีหลิงเอ๋อรับหน้าที่จัดหาวัตถุดิบและเครือข่ายการกระจายสินค้า อีกทั้งดูแลเรื่องการตลาดและอื่นๆ ทั้งหมดที่ชายหนุ่มมีก็แค่วิธีการหลอมยาเท่านั้น ไม่มีเหตุผลเลยที่พวกเธอจะต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อการนี้


พวกเธอไม่ได้อยู่ในเมืองตะวันรอน ขอแค่จับตัวชายหนุ่มไว้ ไม่ช้าไม่นานอีกฝ่ายก็ต้องยอมคายความลับเรื่องสูตรยาออกมา


“คุณคิดว่าเขาใช้พละกำลังเกินพิกัดตอนที่หลอมยาเมื่อครู่นี้ใช่ไหม?” ฉีหลิงเอ๋อโพล่งออกมา


“ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือ? ฉันตรวจสอบสภาวะร่างกายของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังชีวิตของเขา เสื่อมสภาพไปเพราะการใช้แรงเกินขนาด” สุภาพสตรีวัยกลางคนตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ฉันเข้าใจว่ากระบวนการหลอมยาอาจจะทำให้ร่างกายของผู้หลอมเกิดความบอบช้ำได้มาก แต่ขอแค่เรายอมจ่าย ฉันก็เชื่อว่าคงมีนักปรุงยามากมายที่ยิ่งกว่าเต็มใจรับงานนี้…”


มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่พร้อมพุ่งเข้าชนกับอันตรายเพื่อเติมเต็มความโลภและความกระหายของตัวเอง


ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้า “เขาแสร้งทำเป็นอ่อนแอ”


“แสร้งทำเป็นอ่อนแอ?” สุภาพสตรีวัยกลางคนทวนคำอย่างประหลาดใจ


“ใช่” ฉีหลิงเอ๋อพูด “แม้จะดูเหมือนเขาได้รับความบอบช้ำสาหัสและมีรังสีที่อ่อนระโหยโรยแรงมาก แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของเขายังอยู่ในสภาพดี ไม่มีสัญญาณของการเสื่อมถอยสักนิด นั่นแปลว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ”


“ในฐานะนักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ เขาจะบาดเจ็บหรือไม่ก็ไม่เป็นอันตรายกับพวกเราอยู่แล้ว แต่ตราสัญลักษณ์ที่เขาใช้เพื่อเข้าสู่ตลาดมืดใต้ดินนั้นเป็นของสายเทา ซึ่งฉันได้ข่าวว่าสายเทากับกองโจรของเขาถูกชายนิรนามผู้หนึ่งเล่นงานจนพ่ายแพ้ราบคาบเมื่อคืนนี้ เท่าที่ฉันรู้มา สายเทารับมือกับคู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้แม้จะเป็นการดวลตัวต่อตัว มีความเป็นไปได้สูงว่าคู่ต่อสู้ของสายเทาคือชายหนุ่มคนนั้น”


“นายหญิงน้อย คุณกำลังบอกว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นมีพละกำลังมากพอถึงขนาดเอาชนะนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลางได้ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำอย่างนั้นหรือ?” สุภาพสตรีวัยกลางคนชะงักเมื่อรู้เรื่อง


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เธอรีบตั้งคำถาม “นี่หมายความว่าเขามีสายเลือดที่ทรงพลังเป็นพิเศษใช่ไหม?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)